Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā

    ๒. อายตนวิภโงฺค

    2. Āyatanavibhaṅgo

    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา

    1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā

    ๑๕๔. อสาธารณโตติ อาเวณิกโตฯ ตํ เนสํ อสาธารณภาวํ วิปกฺขวเสน ปติฎฺฐาเปตุํ สาธารณํ อุทาหรณวเสน ทเสฺสติ ‘‘อายตนสทฺทโตฺถ วิยา’’ติฯ อถ วา จกฺขาทิอโตฺถ เอว จกฺขาทิสทฺทวิเสสิโต อายตนโตฺถติ ตํ ตาทิสํ อายตนตฺถํ สนฺธายาห ‘‘อายตนสทฺทโตฺถ วิย อสาธารณโต’’ติฯ

    154. Asādhāraṇatoti āveṇikato. Taṃ nesaṃ asādhāraṇabhāvaṃ vipakkhavasena patiṭṭhāpetuṃ sādhāraṇaṃ udāharaṇavasena dasseti ‘‘āyatanasaddattho viyā’’ti. Atha vā cakkhādiattho eva cakkhādisaddavisesito āyatanatthoti taṃ tādisaṃ āyatanatthaṃ sandhāyāha ‘‘āyatanasaddattho viya asādhāraṇato’’ti.

    ยทิ วิสยสฺสาทนโตฺถ จกฺขุ-สโทฺท, โสตาทีนมฺปิ อยํ สมญฺญา สิยาติ อติปฺปสงฺคํ ปริหรโนฺต ‘‘สติปี’’ติอาทิมาหฯ ทุติเย อตฺถวิกเปฺป จกฺขตีติ วิญฺญาณาธิฎฺฐิตํ สมวิสมํ อาจิกฺขติ, อาจิกฺขนฺตํ วิย, วิภาเวนฺตํ วิย วา โหตีติ อโตฺถฯ รูปมิว จกฺขุวิเญฺญยฺยํ วิย สวิคฺคหมิว สพิมฺพกํ วิย วณฺณวาจโก รูป-สโทฺท อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘วิตฺถารณํ วา รูปสทฺทสฺส อโตฺถ’’ติฯ

    Yadi visayassādanattho cakkhu-saddo, sotādīnampi ayaṃ samaññā siyāti atippasaṅgaṃ pariharanto ‘‘satipī’’tiādimāha. Dutiye atthavikappe cakkhatīti viññāṇādhiṭṭhitaṃ samavisamaṃ ācikkhati, ācikkhantaṃ viya, vibhāventaṃ viya vā hotīti attho. Rūpamiva cakkhuviññeyyaṃ viya saviggahamiva sabimbakaṃ viya vaṇṇavācako rūpa-saddo adhippetoti āha ‘‘vitthāraṇaṃ vā rūpasaddassa attho’’ti.

    วจนเมวาติ สวิญฺญตฺติกสทฺทเมวฯ คมียตีติ อุปนียติฯ อโชฺฌหรณสฺส รสคฺคหณมูลตาวจเนน รสสฺส ปรมฺปราย ชีวิตเหตุตํ ทเสฺสติฯ รสนิมิตฺตญฺหิ รสคฺคหณํ, รสคฺคหณนิมิตฺตํ อโชฺฌหรณํ, ตํนิมิตฺตํ ชีวิตนฺติฯ รสคฺคหณมูลตา จ อโชฺฌหรณสฺส เยภุยฺยโต เวทิตพฺพาฯ ทิสฺสติ อปทิสฺสติ เอเตน ผลนฺติ เทโส, เหตูติ อาห ‘‘อุปฺปตฺติเทโสติ อุปฺปตฺติการณ’’นฺติฯ ตถาติ จกฺขายตนาทิปฺปกาเรนฯ มโนโคจรภูตาติ มนโส เอว โคจรภูตาฯ สามญฺญลกฺขเณเนวาติ อนุภวนาทิวิเสสลกฺขณํ อคฺคเหตฺวา ธมฺมภาวสงฺขาตสาธารณลกฺขเณเนว ฯ เอกายตนตฺตํ อุปเนตฺวา วุตฺตา ทฺวาทส เอกสภาวตฺตา ภินฺทิตฺวา วจเน ปโยชนาภาวาฯ ทฺวาราลมฺพนวิภาคทสฺสนตฺถา หิ อายตนเทสนาติฯ

    Vacanamevāti saviññattikasaddameva. Gamīyatīti upanīyati. Ajjhoharaṇassa rasaggahaṇamūlatāvacanena rasassa paramparāya jīvitahetutaṃ dasseti. Rasanimittañhi rasaggahaṇaṃ, rasaggahaṇanimittaṃ ajjhoharaṇaṃ, taṃnimittaṃ jīvitanti. Rasaggahaṇamūlatā ca ajjhoharaṇassa yebhuyyato veditabbā. Dissati apadissati etena phalanti deso, hetūti āha ‘‘uppattidesoti uppattikāraṇa’’nti. Tathāti cakkhāyatanādippakārena. Manogocarabhūtāti manaso eva gocarabhūtā. Sāmaññalakkhaṇenevāti anubhavanādivisesalakkhaṇaṃ aggahetvā dhammabhāvasaṅkhātasādhāraṇalakkhaṇeneva . Ekāyatanattaṃ upanetvā vuttā dvādasa ekasabhāvattā bhinditvā vacane payojanābhāvā. Dvārālambanavibhāgadassanatthā hi āyatanadesanāti.

    ปุพฺพนฺตโตติ ปุริมภาคโต ปากภาวโตฯ ปากภาโว หิ สภาวธมฺมานํ ปุพฺพโนฺต, วิทฺธํสาภาโว อปรโนฺตฯ

    Pubbantatoti purimabhāgato pākabhāvato. Pākabhāvo hi sabhāvadhammānaṃ pubbanto, viddhaṃsābhāvo aparanto.

    นิวาสฎฺฐานาทีสุ อายตน-สโทฺท น อายตนตฺถาทีสุ วิย ปทตฺถวิวรณมุเขน ปวโตฺต, อถ โข ตสฺมิํ ตสฺมิํ เทวฆราทิเก นิรุฬฺหตาย เอวมโตฺถติ อาห ‘‘รุฬฺหิวเสน อายตนสทฺทสฺสตฺถํ วตฺตุ’’นฺติฯ มโนติ ทฺวารภูตมโน ฯ นิสฺสยภาโวติ เอตฺถ นิสฺสยสทิโส นิสฺสโย, สทิสตา จ ผลสฺส ตปฺปฎิพทฺธวุตฺติตาย ทฎฺฐพฺพาฯ วจนียโตฺถ ภาวโตฺถฯ

    Nivāsaṭṭhānādīsu āyatana-saddo na āyatanatthādīsu viya padatthavivaraṇamukhena pavatto, atha kho tasmiṃ tasmiṃ devagharādike niruḷhatāya evamatthoti āha ‘‘ruḷhivasena āyatanasaddassatthaṃ vattu’’nti. Manoti dvārabhūtamano . Nissayabhāvoti ettha nissayasadiso nissayo, sadisatā ca phalassa tappaṭibaddhavuttitāya daṭṭhabbā. Vacanīyattho bhāvattho.

    ตาวตฺวโตติ ตตฺตกโตฯ อูนโจทนาติ ทฺวาทสโต อูนานิ กสฺมา น วุตฺตานีติ โจทนาฯ ยทิ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ อสาธารณํ ธมฺมชาตํ ธมฺมายตนํ, เอวํ สเนฺต จกฺขาทีนมฺปิ ธมฺมายตนภาโว สิยาติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘สติปี’’ติอาทิฯ ทฺวารารมฺมณภาเวหีติ น อารมฺมณภาเวเนว อสาธารณํ, อถ โข ทฺวารารมฺมณภาเวหิ อสาธารณํ สมฺภวตีติ วจนเสโสฯ

    Tāvatvatoti tattakato. Ūnacodanāti dvādasato ūnāni kasmā na vuttānīti codanā. Yadi cakkhuviññāṇādīnaṃ asādhāraṇaṃ dhammajātaṃ dhammāyatanaṃ, evaṃ sante cakkhādīnampi dhammāyatanabhāvo siyāti codanaṃ sandhāyāha ‘‘satipī’’tiādi. Dvārārammaṇabhāvehīti na ārammaṇabhāveneva asādhāraṇaṃ, atha kho dvārārammaṇabhāvehi asādhāraṇaṃ sambhavatīti vacanaseso.

    เยภุยฺยสหุปฺปตฺติอาทีหีติ เยภุเยฺยน จกฺขายตนาทีนิ กสฺสจิ กทาจิ เอกโต อุปฺปชฺชนฺติฯ ‘‘กามธาตุยา อุปปตฺติกฺขเณ กสฺสจิ เอกาทสายตนานิ อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา อายตนานํ อุปฺปตฺติกฺกโม ตาว น ยุชฺชติ, น ปหานกฺกโม กุสลาพฺยากตานํ อปฺปหาตพฺพโต, น ปฎิปตฺติกฺกโม อกุสลานํ, เอกจฺจอพฺยากตานญฺจ อปฺปฎิปชฺชนียโต, น ภูมิกฺกโม อเฑฺฒกาทสนฺนํ อายตนานํ เอกนฺตกามาวจรตฺตา, อิตเรสํ จตุภูมิปริยาปนฺนตฺตา, เอกจฺจสฺส โลกุตฺตรภาวโต จฯ เอวํ อุปฺปตฺติกฺกมาทิอยุตฺติโยชนา เวทิตพฺพาฯ เยสุ วิชฺชมาเนสุ อตฺตภาวสฺส ปญฺญาปนา, เต ‘‘มยฺหํ จกฺขุ’’นฺติอาทินา อธิกสิเนหวตฺถุภูตา จกฺขาทโย ยถา อชฺฌตฺติกตาย, เอวํ ทสฺสนาทิกิจฺจกรอินฺทฺริยตา จ ปธานาติ อาห ‘‘อชฺฌตฺติกภาเวน, วิสยิภาเวน จา’’ติฯ ฆานาทิกฺกเมนาติ ฆานํ ชิวฺหา กาโยติ อิมินา กเมนฯ

    Yebhuyyasahuppattiādīhīti yebhuyyena cakkhāyatanādīni kassaci kadāci ekato uppajjanti. ‘‘Kāmadhātuyā upapattikkhaṇe kassaci ekādasāyatanāni uppajjantī’’ti hi vuttaṃ. Tasmā āyatanānaṃ uppattikkamo tāva na yujjati, na pahānakkamo kusalābyākatānaṃ appahātabbato, na paṭipattikkamo akusalānaṃ, ekaccaabyākatānañca appaṭipajjanīyato, na bhūmikkamo aḍḍhekādasannaṃ āyatanānaṃ ekantakāmāvacarattā, itaresaṃ catubhūmipariyāpannattā, ekaccassa lokuttarabhāvato ca. Evaṃ uppattikkamādiayuttiyojanā veditabbā. Yesu vijjamānesu attabhāvassa paññāpanā, te ‘‘mayhaṃ cakkhu’’ntiādinā adhikasinehavatthubhūtā cakkhādayo yathā ajjhattikatāya, evaṃ dassanādikiccakaraindriyatā ca padhānāti āha ‘‘ajjhattikabhāvena, visayibhāvena cā’’ti. Ghānādikkamenāti ghānaṃ jivhā kāyoti iminā kamena.

    ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณตฺตา วา จกฺขาทีนิ ปฐมํ วุตฺตานิ, มโน ปน กิญฺจิ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณํ , กิญฺจิ ยาวนวตฺตพฺพารมฺมณนฺติ ปจฺฉา วุตฺตํฯ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมเณสุปิ อุปาทารูปารมฺมณานิ จตฺตาริ ปฐมํ วุตฺตานิ, ตโต ภูตรูปารมฺมณํฯ อุปาทารูปารมฺมเณสุปิ ทูรตเร ทูเร, สีฆตรํ สีฆญฺจ อารมฺมณสมฺปฎิจฺฉนทีปนตฺถํ จกฺขาทีนํ เทสนากฺกโมฯ จกฺขุโสตทฺวยญฺหิ ทูรโคจรนฺติ ปฐมํ วุตฺตํฯ ตตฺราปิ จกฺขุ ทูรตรโคจรนฺติ สพฺพปฐมํ วุตฺตํฯ ปสฺสโนฺตปิ หิ ทูรตเร นทิโสตํ น ตสฺส สทฺทํ สุณาติฯ ฆานชิวฺหาสุปิ ฆานํ สีฆตรวุตฺตีติ ปฐมํ วุตฺตํฯ ปุรโต ฐปิตมตฺตสฺส หิ โภชนสฺส คโนฺธ คยฺหตีติฯ ยถาฐานํ วา เตสํ เทสนากฺกโมฯ อิมสฺมิญฺหิ สรีเร สพฺพุปริ จกฺขุสฺส อธิฎฺฐานํ, ตสฺส อโธ โสตสฺส, ตสฺส อโธ ฆานสฺส, ตสฺส อโธ ชิวฺหาย, ตถา กายสฺส เยภุเยฺยน, มโน ปน อรูปีภาวโต สพฺพปจฺฉา วุโตฺตฯ ตํตํโคจรตฺตา ตสฺส ตสฺสานนฺตรํ พาหิรายตนานิ วุตฺตานีติ วุโตฺตวายมโตฺถติ เอวมฺปิ อิเมสํ กโม เวทิตโพฺพฯ

    Paccuppannārammaṇattā vā cakkhādīni paṭhamaṃ vuttāni, mano pana kiñci paccuppannārammaṇaṃ , kiñci yāvanavattabbārammaṇanti pacchā vuttaṃ. Paccuppannārammaṇesupi upādārūpārammaṇāni cattāri paṭhamaṃ vuttāni, tato bhūtarūpārammaṇaṃ. Upādārūpārammaṇesupi dūratare dūre, sīghataraṃ sīghañca ārammaṇasampaṭicchanadīpanatthaṃ cakkhādīnaṃ desanākkamo. Cakkhusotadvayañhi dūragocaranti paṭhamaṃ vuttaṃ. Tatrāpi cakkhu dūrataragocaranti sabbapaṭhamaṃ vuttaṃ. Passantopi hi dūratare nadisotaṃ na tassa saddaṃ suṇāti. Ghānajivhāsupi ghānaṃ sīghataravuttīti paṭhamaṃ vuttaṃ. Purato ṭhapitamattassa hi bhojanassa gandho gayhatīti. Yathāṭhānaṃ vā tesaṃ desanākkamo. Imasmiñhi sarīre sabbupari cakkhussa adhiṭṭhānaṃ, tassa adho sotassa, tassa adho ghānassa, tassa adho jivhāya, tathā kāyassa yebhuyyena, mano pana arūpībhāvato sabbapacchā vutto. Taṃtaṃgocarattā tassa tassānantaraṃ bāhirāyatanāni vuttānīti vuttovāyamatthoti evampi imesaṃ kamo veditabbo.

    ตโตติ หทยวตฺถุเภทโตฯ ยญฺหิ หทยวตฺถุํ นิสฺสาย เอกํ มโนวิญฺญาณํ ปวตฺตติ, น ตเทว นิสฺสาย อญฺญํ ปวตฺตติฯ นิเทฺทสวเสนาติ สเงฺขปวิตฺถารนิเทฺทสวเสนฯ โยเชตพฺพํ ‘‘กุสลสมุฎฺฐานํ กุสลสมุฎฺฐานสฺส สภาค’’นฺติอาทินาฯ

    Tatoti hadayavatthubhedato. Yañhi hadayavatthuṃ nissāya ekaṃ manoviññāṇaṃ pavattati, na tadeva nissāya aññaṃ pavattati. Niddesavasenāti saṅkhepavitthāraniddesavasena. Yojetabbaṃ ‘‘kusalasamuṭṭhānaṃ kusalasamuṭṭhānassa sabhāga’’ntiādinā.

    สภาโวติ วิสยิวิสยภาโว, ตทภินิพฺพตฺติยญฺจ โยคฺยตาฯ การณสมตฺถตาติ การณภูตา สมตฺถตา ปจฺจยภาโวฯ ทฺวาราทิภาโวติ ทฺวารารมฺมเณ ทฺวารวุตฺติภาโวฯ อิมสฺมิํ อเตฺถติ อนนฺตรํ วุตฺตอเตฺถฯ ยสฺมาติ ยาย ธมฺมตาย เยน ทฺวาราทิภาเวน การณภูเตนฯ สมฺภวนวิเสสนนฺติ กิริยาย ปรามสนมาหฯ ยํ สมฺภวนํ, ธมฺมตาเวสาติ อโตฺถฯ ริตฺตกาเนวาติ ธุวาทิภาวริตฺตกาเนวฯ วิสมาทีสุ อชฺฌาสโย เอเตสนฺติ วิสมาทิอชฺฌาสยานิ, วิสมาทิอชฺฌาสยานิ วิย โหนฺตีติ วิสมาทิอชฺฌาสยานิ, จกฺขาทีนิฯ วิสมภาว…เป.… วนภาเวหีติ วิสมภาวาทิสนฺนิสฺสิตอหิอาทิสทิสุปาทินฺนธเมฺมหิ จกฺขาทีหิ, วนสนฺนิสฺสิตมกฺกฎสทิเสน จิเตฺตน จ อภิรมิตตฺตาฯ วนภาโวติ หิ วนชฺฌาสโยติ อโตฺถฯ

    Sabhāvoti visayivisayabhāvo, tadabhinibbattiyañca yogyatā. Kāraṇasamatthatāti kāraṇabhūtā samatthatā paccayabhāvo. Dvārādibhāvoti dvārārammaṇe dvāravuttibhāvo. Imasmiṃ attheti anantaraṃ vuttaatthe. Yasmāti yāya dhammatāya yena dvārādibhāvena kāraṇabhūtena. Sambhavanavisesananti kiriyāya parāmasanamāha. Yaṃ sambhavanaṃ, dhammatāvesāti attho. Rittakānevāti dhuvādibhāvarittakāneva. Visamādīsu ajjhāsayo etesanti visamādiajjhāsayāni, visamādiajjhāsayāni viya hontīti visamādiajjhāsayāni, cakkhādīni. Visamabhāva…pe… vanabhāvehīti visamabhāvādisannissitaahiādisadisupādinnadhammehi cakkhādīhi, vanasannissitamakkaṭasadisena cittena ca abhiramitattā. Vanabhāvoti hi vanajjhāsayoti attho.

    ปุริมนฺตวิวิตฺตตาติ ปุพฺพภาควิรโหฯ อุปฺปาทโต ปุริมโกฎฺฐาโส หิ อิธ ปุริมโนฺตฯ อปรเนฺตติ อปรภาเค, ภงฺคโต อุทฺธนฺติ อโตฺถฯ อุทยพฺพยปริจฺฉิโนฺน หิ สภาวธโมฺมฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อนิธานคตา ภคฺคา, ปุโญฺช นตฺถิ อนาคเต’’ติ (มหานิ. ๑๐)ฯ สทา อภาโวติ น สทา อภาวปติฎฺฐาปนํ สพฺพกาลมฺปิ นตฺถีติ, อถ โข อุทยพฺพยปริจฺฉินฺนตฺตา สทาภาวปฎิเกฺขโปติ อาห ‘‘อนิจฺจลกฺขณ’’นฺติฯ สภาววิชหนนฺติ ภงฺคปฺปตฺติมาห ฯ วิปริวตฺตนํ อุปฺปาทชราวตฺถาหิ สนฺตานํ วินา น วิการาปตฺตีติ อาห ‘‘สนฺตานวิการาปตฺติ วา’’ติฯ

    Purimantavivittatāti pubbabhāgaviraho. Uppādato purimakoṭṭhāso hi idha purimanto. Aparanteti aparabhāge, bhaṅgato uddhanti attho. Udayabbayaparicchinno hi sabhāvadhammo. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘anidhānagatā bhaggā, puñjo natthi anāgate’’ti (mahāni. 10). Sadā abhāvoti na sadā abhāvapatiṭṭhāpanaṃ sabbakālampi natthīti, atha kho udayabbayaparicchinnattā sadābhāvapaṭikkhepoti āha ‘‘aniccalakkhaṇa’’nti. Sabhāvavijahananti bhaṅgappattimāha . Viparivattanaṃ uppādajarāvatthāhi santānaṃ vinā na vikārāpattīti āha ‘‘santānavikārāpatti vā’’ti.

    ชาติธมฺมตาทีหีติ ชาติชราพฺยาธิมรณาทิสภาวตาหิฯ อนิฎฺฐตาติ น อิฎฺฐตา, ทุกฺขตาติ อโตฺถฯ ปุริมํ สามญฺญลกฺขณนฺติ ‘‘ปฎิปีฬนเฎฺฐนา’’ติ ปุเพฺพ สามญฺญโต วุตฺตํ ทุกฺขลกฺขณํฯ ปจฺจยวเสน ทุกฺขนากาเรน ปวตฺตมานานํ สภาวธมฺมานํ ทุกฺขนํ ปุคฺคลเสฺสว วเสน ทุกฺขมตาติ อาห ‘‘ปุคฺคลสฺส ปีฬนโต ทุกฺขม’’นฺติฯ ทุกฺขวจนนฺติ ‘‘ทุกฺข’’นฺติ สตฺถุ วจนํฯ

    Jātidhammatādīhīti jātijarābyādhimaraṇādisabhāvatāhi. Aniṭṭhatāti na iṭṭhatā, dukkhatāti attho. Purimaṃ sāmaññalakkhaṇanti ‘‘paṭipīḷanaṭṭhenā’’ti pubbe sāmaññato vuttaṃ dukkhalakkhaṇaṃ. Paccayavasena dukkhanākārena pavattamānānaṃ sabhāvadhammānaṃ dukkhanaṃ puggalasseva vasena dukkhamatāti āha ‘‘puggalassa pīḷanato dukkhama’’nti. Dukkhavacananti ‘‘dukkha’’nti satthu vacanaṃ.

    ‘‘นตฺถิ เอตสฺส วสวตฺตโก’’ติ อิมินา นตฺถิ เอตสฺส อตฺตาติ อนตฺตาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ, ‘‘นาปิ อิทํ วสวตฺตก’’นฺติ อิมินา ปน น อตฺตาติ อนตฺตาติฯ อตฺตโนติ นิยกชฺฌตฺตํ สนฺธาย วทติฯ ปรสฺมินฺติ ตโต อญฺญสฺมิํฯ ปรสฺส จ อตฺตนีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ตํ เอตสฺส นตฺถีติ ตํ ยถาวุตฺตปรปริกปฺปิตํ วสวตฺตกํ เอตสฺส จกฺขาทิโน นตฺถิ, เอเตน จตุโกฎิกสุญฺญตาย สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘สุญฺญํ ตํ เตน วสวตฺตนากาเรนา’’ติ อิมินา อุภยถาปิ อวสวตฺตนเฎฺฐ ทสฺสิตเพฺพ ตตฺถ ตาว เอกํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปรสฺสา’’ติอาทิํ วตฺวา ปุน ‘‘อถ วา’’ติอาทินา อิตรํ ทเสฺสติฯ สามิ เอว สามิโก, น สามิโก อสฺสามิโกติ เอวํ อเตฺถ คยฺหมาเน ‘‘อสฺสามิกโต’’ติ ปทสฺส สุญฺญวิเสสนตาย ปโยชนํ นตฺถิฯ กามการิยนฺติ ยถากามกรณียํฯ อวสวตฺตนตฺถํ วิเสเสตฺวา ทเสฺสติ สมาสทฺวยตฺถสงฺคหโตฯ

    ‘‘Natthi etassa vasavattako’’ti iminā natthi etassa attāti anattāti imamatthaṃ dasseti, ‘‘nāpi idaṃ vasavattaka’’nti iminā pana na attāti anattāti. Attanoti niyakajjhattaṃ sandhāya vadati. Parasminti tato aññasmiṃ. Parassa ca attanīti etthāpi eseva nayo. Taṃ etassa natthīti taṃ yathāvuttaparaparikappitaṃ vasavattakaṃ etassa cakkhādino natthi, etena catukoṭikasuññatāya saṅgaho daṭṭhabbo. ‘‘Suññaṃ taṃ tena vasavattanākārenā’’ti iminā ubhayathāpi avasavattanaṭṭhe dassitabbe tattha tāva ekaṃ dassetuṃ ‘‘parassā’’tiādiṃ vatvā puna ‘‘atha vā’’tiādinā itaraṃ dasseti. Sāmi eva sāmiko, na sāmiko assāmikoti evaṃ atthe gayhamāne ‘‘assāmikato’’ti padassa suññavisesanatāya payojanaṃ natthi. Kāmakāriyanti yathākāmakaraṇīyaṃ. Avasavattanatthaṃ visesetvā dasseti samāsadvayatthasaṅgahato.

    สสนฺตาเน ธมฺมานํ วิสทิสุปฺปตฺติ อิธ ภาวสงฺกนฺติคมนํ นามาติ อาห ‘‘สนฺตติยํ ภาวนฺตรุปฺปตฺติเยวา’’ติฯ ตถา วิสทิสุปฺปตฺติยํ ปุริมาการวิคโม ปกติภาววิชหนนฺติ อาห ‘‘สนฺตติยา ยถาปวตฺตาการวิชหน’’นฺติฯ ภวตีติ วา ภาโว, อวตฺถาวิเสโส, ตสฺส สงฺกมนํ ภาวสงฺกนฺติฯ สภาวธโมฺม หิ อุปฺปาทกฺขณํ ฐิติกฺขณญฺจ ปตฺวา ภิชฺชตีติ อุปฺปาทาวตฺถาย ชราวตฺถํ, ตโต ภงฺคาวตฺถํ สงฺกมตีติ วุจฺจติฯ ตถา สงฺกมโต จ อตฺตลาภกฺขณโต อุทฺธํ ชรามรเณหิ ตํสภาวปริจฺจาโค ปกติภาววิชหนนฺติ ขณวเสน เจตํ โยเชตพฺพํฯ ปุพฺพาปรวเสนาติ จ ขณานํ ปุพฺพาปรวเสนาติ อโตฺถ สมฺภวติฯ เอกตฺถตฺตาติ สมานาธิกรณตฺตา, น ปน วิเสสนวิเสสิตพฺพภาวานํ เอกตฺตาฯ ‘‘จกฺขุํ อนิจฺจ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อนิจฺจํ จกฺขุ’’นฺติปิ วุตฺตเมว โหตีติ ‘‘ยํ จกฺขุ, ตํ อนิจฺจํ, ยํ อนิจฺจํ, ตํ จกฺขุ’’นฺติ อาปนฺนเมวาติ อาห ‘‘อนิจฺจานํ เสสธมฺมานมฺปิ จกฺขุภาโว อาปชฺชตี’’ติฯ

    Sasantāne dhammānaṃ visadisuppatti idha bhāvasaṅkantigamanaṃ nāmāti āha ‘‘santatiyaṃ bhāvantaruppattiyevā’’ti. Tathā visadisuppattiyaṃ purimākāravigamo pakatibhāvavijahananti āha ‘‘santatiyā yathāpavattākāravijahana’’nti. Bhavatīti vā bhāvo, avatthāviseso, tassa saṅkamanaṃ bhāvasaṅkanti. Sabhāvadhammo hi uppādakkhaṇaṃ ṭhitikkhaṇañca patvā bhijjatīti uppādāvatthāya jarāvatthaṃ, tato bhaṅgāvatthaṃ saṅkamatīti vuccati. Tathā saṅkamato ca attalābhakkhaṇato uddhaṃ jarāmaraṇehi taṃsabhāvapariccāgo pakatibhāvavijahananti khaṇavasena cetaṃ yojetabbaṃ. Pubbāparavasenāti ca khaṇānaṃ pubbāparavasenāti attho sambhavati. Ekatthattāti samānādhikaraṇattā, na pana visesanavisesitabbabhāvānaṃ ekattā. ‘‘Cakkhuṃ anicca’’nti vutte ‘‘aniccaṃ cakkhu’’ntipi vuttameva hotīti ‘‘yaṃ cakkhu, taṃ aniccaṃ, yaṃ aniccaṃ, taṃ cakkhu’’nti āpannamevāti āha ‘‘aniccānaṃ sesadhammānampi cakkhubhāvo āpajjatī’’ti.

    เตหิ จ อนิจฺจทุกฺขลกฺขเณหิ จ อนตฺตลกฺขณเมว วิเสเสน ทสฺสิตํ ‘‘ยทนิจฺจํ, ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ, ตทนตฺตา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๑๕, ๔๕, ๗๖, ๘๕; ๒.๔.๑, ๒; ปฎิ. ม. ๒.๑๐) วิยฯ โทสลกฺขณาการนิทสฺสนโตฺถติ โทสสฺส ลกฺขิตพฺพาการนิทสฺสนโตฺถฯ เอวํ ทุเกฺขนาติ เอวํ นานปฺปกาเรน อกฺขิโรคาทิทุเกฺขน อาพาธตายฯ อนตฺตลกฺขณทีปกานนฺติ อนตฺตตาปญฺญาปนสฺส โชตกานํ อุปายภูตานํฯ น หิ ฆฎเภทกณฺฎกเวธาทิวเสน ลพฺภมานา อนิจฺจทุกฺขตา สตฺตานํ เอกนฺตโต อนตฺตตาธิคมเหตู โหนฺติฯ ปจฺจยปฎิพทฺธตาอภิณฺหสมฺปฎิปีฬนาทิวเสน ปน ลพฺภมานา โหนฺติฯ ตถา หิ จกฺขาทีนิ กมฺมาทิมหาภูตาทิปจฺจยปฎิพทฺธวุตฺตีนิ, ตโต เอว อหุตฺวา สมฺภวนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตีติ อนิจฺจานิ, อภิณฺหสมฺปฎิปีฬิตตฺตา ทุกฺขานิ, เอวํภูตานิ จ อวสวตฺตนโต อนตฺตกานีติ ปริคฺคเห ฐิเตหิ สมุปจิตญาณสมฺภาเรหิ ปสฺสิตุํ สกฺกาฯ

    Tehi ca aniccadukkhalakkhaṇehi ca anattalakkhaṇameva visesena dassitaṃ ‘‘yadaniccaṃ, taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ, tadanattā’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.15, 45, 76, 85; 2.4.1, 2; paṭi. ma. 2.10) viya. Dosalakkhaṇākāranidassanatthoti dosassa lakkhitabbākāranidassanattho. Evaṃ dukkhenāti evaṃ nānappakārena akkhirogādidukkhena ābādhatāya. Anattalakkhaṇadīpakānanti anattatāpaññāpanassa jotakānaṃ upāyabhūtānaṃ. Na hi ghaṭabhedakaṇṭakavedhādivasena labbhamānā aniccadukkhatā sattānaṃ ekantato anattatādhigamahetū honti. Paccayapaṭibaddhatāabhiṇhasampaṭipīḷanādivasena pana labbhamānā honti. Tathā hi cakkhādīni kammādimahābhūtādipaccayapaṭibaddhavuttīni, tato eva ahutvā sambhavanti, hutvā paṭiventīti aniccāni, abhiṇhasampaṭipīḷitattā dukkhāni, evaṃbhūtāni ca avasavattanato anattakānīti pariggahe ṭhitehi samupacitañāṇasambhārehi passituṃ sakkā.

    กถํ ปเนเตสํ หุตฺวา อภาโว ชานิตโพฺพติ? ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตทสฺสนโตฯ ตํ กถํ ญายตีติ? ยุตฺติโตฯ กา ปเนตฺถ ยุตฺตีติ? วิเสสคฺคหณํฯ ยทิ จกฺขาทีนํ ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ น สิยา, พหิปจฺจยเภเท ยทิทํ ปจฺฉา วิเสสคฺคหณํ, ตํ น สิยาฯ ยสฺส หิ ตาทิสํ ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ นตฺถิ, ตสฺส อสติ พหิปจฺจยวิเสเส กถํ ปจฺฉา วิเสสคฺคหณํ ภเวยฺย, ภวติ จ วิเสสคฺคหณํฯ ตสฺมา อตฺถิ เนสํ ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ ยํ สณิกํ สณิกํ วเฑฺฒนฺตํ ปจฺฉา ปากฎตรํ ชายตีติฯ ตถา หิ สรีรสฺส ตาว อานาปานานํ อนวตฺถานโต ปริสฺสมโต จ วิเสสคฺคหณํฯ อนวตฺถิตา หิ อสฺสาสปสฺสาสา วาตา วาเรน วาเรน ปวตฺตนโตฯ ยทิ หิ อสฺสสิเต วา ปสฺสสฺสิเต วา สรีรสฺส โกจิ ปจฺฉา วิเสโส น สิยา, น เนสํ โกจิ เภโท สิยา, ทิโฎฺฐ จ โสฯ ตสฺมา อสฺสสิตํ สรีรํ อญฺญถา โหนฺตํ กเมน ตาทิสํ อวตฺถํ ปาปุณาติฯ ยา ปสฺสาสสฺส ปจฺจโย โหติ, ปสฺสสิเต จ ปุน ตเถว อสฺสาสสฺส ปจฺจโย โหตีติ อานาปานานํ อนวตฺถานโตปิ สรีรสฺส วิเสสคฺคหณํ อญฺญถตฺตสิทฺธิฯ ตถา ปริสฺสโมปิ อสติ วิเสเส ปจฺฉา สรีรสฺส น สิยา, เยนายํ อิริยาปถนฺตราทีนิ เสวเนน ปริสฺสมวิโนทนํ กโรติฯ

    Kathaṃ panetesaṃ hutvā abhāvo jānitabboti? Khaṇe khaṇe aññathattadassanato. Taṃ kathaṃ ñāyatīti? Yuttito. Kā panettha yuttīti? Visesaggahaṇaṃ. Yadi cakkhādīnaṃ khaṇe khaṇe aññathattaṃ na siyā, bahipaccayabhede yadidaṃ pacchā visesaggahaṇaṃ, taṃ na siyā. Yassa hi tādisaṃ khaṇe khaṇe aññathattaṃ natthi, tassa asati bahipaccayavisese kathaṃ pacchā visesaggahaṇaṃ bhaveyya, bhavati ca visesaggahaṇaṃ. Tasmā atthi nesaṃ khaṇe khaṇe aññathattaṃ yaṃ saṇikaṃ saṇikaṃ vaḍḍhentaṃ pacchā pākaṭataraṃ jāyatīti. Tathā hi sarīrassa tāva ānāpānānaṃ anavatthānato parissamato ca visesaggahaṇaṃ. Anavatthitā hi assāsapassāsā vātā vārena vārena pavattanato. Yadi hi assasite vā passassite vā sarīrassa koci pacchā viseso na siyā, na nesaṃ koci bhedo siyā, diṭṭho ca so. Tasmā assasitaṃ sarīraṃ aññathā hontaṃ kamena tādisaṃ avatthaṃ pāpuṇāti. Yā passāsassa paccayo hoti, passasite ca puna tatheva assāsassa paccayo hotīti ānāpānānaṃ anavatthānatopi sarīrassa visesaggahaṇaṃ aññathattasiddhi. Tathā parissamopi asati visese pacchā sarīrassa na siyā, yenāyaṃ iriyāpathantarādīni sevanena parissamavinodanaṃ karoti.

    อถ วา รูปาทิเภทโตปิ วิเสสคฺคหณํฯ รูปคนฺธรสผสฺสาทีนญฺหิ วิเสเสน โย สรีเร อนินฺทฺริยพเทฺธสุ จ ขีรูทกวตฺถปุปฺผผโลสธิธญฺญาทีนํ ปจฺฉา วิเสโส คยฺหติ, โส อสติ พหิปจฺจยวิเสเส เนสํ ชราทิอวตฺถาสุ วณฺณพลาทิเภโท, รสวีริยวิปากานุภาวเภโท จ ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ วินา กถมุปลเพฺภยฺยฯ ยํ ปน ตํ ธมฺมตารูปํ สิลาทิ, ตตฺถ กถนฺติ? ตสฺสาปิ สีตุณฺหสมฺผสฺสเภทโต อเตฺถว วิเสสคฺคหณํฯ ตํ ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ วินา น ยุชฺชตีติฯ สติ จ รูปาทิเภเท สิโทฺธว ตํนิสฺสยมหาภูตเภโทปิฯ น หิ นิสฺสยมหาภูตเภเทน วินา นิสฺสิตเภโท สมฺภวตีติฯ เอวํ ตาว รูปธมฺมานํ วิเสสคฺคหณโต ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ, ตโต จ หุตฺวา อภาวสิทฺธิฯ

    Atha vā rūpādibhedatopi visesaggahaṇaṃ. Rūpagandharasaphassādīnañhi visesena yo sarīre anindriyabaddhesu ca khīrūdakavatthapupphaphalosadhidhaññādīnaṃ pacchā viseso gayhati, so asati bahipaccayavisese nesaṃ jarādiavatthāsu vaṇṇabalādibhedo, rasavīriyavipākānubhāvabhedo ca khaṇe khaṇe aññathattaṃ vinā kathamupalabbheyya. Yaṃ pana taṃ dhammatārūpaṃ silādi, tattha kathanti? Tassāpi sītuṇhasamphassabhedato attheva visesaggahaṇaṃ. Taṃ khaṇe khaṇe aññathattaṃ vinā na yujjatīti. Sati ca rūpādibhede siddhova taṃnissayamahābhūtabhedopi. Na hi nissayamahābhūtabhedena vinā nissitabhedo sambhavatīti. Evaṃ tāva rūpadhammānaṃ visesaggahaṇato khaṇe khaṇe aññathattaṃ, tato ca hutvā abhāvasiddhi.

    อรูปธมฺมานํ ปน อารมฺมณาทิเภเทน วิเสสคฺคหณํฯ ยตฺถ ยตฺถ หิ อารมฺมเณ อรูปธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ, ตตฺถ ตเตฺถว เต ภิชฺชนฺติ, น อญฺญํ สงฺกมนฺติ, อารมฺมณธมฺมา จ ยถาสกํ ขณโต อุทฺธํ น ติฎฺฐนฺตีติฯ สฺวายมโตฺถ ปทีปาทิอุทาหรเณน เวทิตโพฺพฯ อเญฺญ เอว หิ ขเณ ขเณ รูปาทโย ปทีปชาลาย, ตถา ขีรธาราทีสุ ปตนฺตีสุ, วายุมฺหิ จ ปหรเนฺต สมฺผสฺสานิฯ ยถา เจเตสํ ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ, กิมงฺคํ ปน จิตฺตเจตสิกานํฯ กิญฺจ สทฺทเภทโต, สทฺทวิเสสโตปิ ตนฺนิมิตฺตานํ จิตฺตเจตสิกานํ ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ, ตโต วิเสสคฺคหณํฯ ปคุณญฺหิ คนฺถํ สีฆํ ปริวเตฺตนฺตสฺส จิตฺตสมุฎฺฐานานํ สทฺทานํ เภโท ทิโฎฺฐฯ น หิ การณเภเทน วินา ผลเภโท อตฺถิฯ ยถา ตํ วาทิตสทฺทานํ, เอวํ อารมฺมณเภเทน อรูปธมฺมานํ วิเสสคฺคหณํฯ เตเนว เนสํ ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตํ เวทิตพฺพํฯ ชาติภูมิสมฺปยุตฺตธมฺมเภเทน วิเสสคฺคหเณปิ เอเสว นโยฯ เอวํ รูปารูปธมฺมานํ วิเสสคฺคหณโต ขเณ ขเณ อญฺญถตฺตสิทฺธิฯ ยโต หุตฺวา อภาวโต จกฺขาทีนิ อนิจฺจานีติ สิทฺธานิ, อนิจฺจตฺตา เอว อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนโต ทุกฺขานิ, ตโต จ อวสวตฺตนโต อนตฺตกานิฯ เตนาห ภควา ‘‘ยทนิจฺจํ, ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ, ตทนตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๕, ๔๕, ๗๖, ๘๕; ๒.๔.๑, ๒; ปฎิ. ม. ๒.๑๐)ฯ

    Arūpadhammānaṃ pana ārammaṇādibhedena visesaggahaṇaṃ. Yattha yattha hi ārammaṇe arūpadhammā uppajjanti, tattha tattheva te bhijjanti, na aññaṃ saṅkamanti, ārammaṇadhammā ca yathāsakaṃ khaṇato uddhaṃ na tiṭṭhantīti. Svāyamattho padīpādiudāharaṇena veditabbo. Aññe eva hi khaṇe khaṇe rūpādayo padīpajālāya, tathā khīradhārādīsu patantīsu, vāyumhi ca paharante samphassāni. Yathā cetesaṃ khaṇe khaṇe aññathattaṃ, kimaṅgaṃ pana cittacetasikānaṃ. Kiñca saddabhedato, saddavisesatopi tannimittānaṃ cittacetasikānaṃ khaṇe khaṇe aññathattaṃ, tato visesaggahaṇaṃ. Paguṇañhi ganthaṃ sīghaṃ parivattentassa cittasamuṭṭhānānaṃ saddānaṃ bhedo diṭṭho. Na hi kāraṇabhedena vinā phalabhedo atthi. Yathā taṃ vāditasaddānaṃ, evaṃ ārammaṇabhedena arūpadhammānaṃ visesaggahaṇaṃ. Teneva nesaṃ khaṇe khaṇe aññathattaṃ veditabbaṃ. Jātibhūmisampayuttadhammabhedena visesaggahaṇepi eseva nayo. Evaṃ rūpārūpadhammānaṃ visesaggahaṇato khaṇe khaṇe aññathattasiddhi. Yato hutvā abhāvato cakkhādīni aniccānīti siddhāni, aniccattā eva abhiṇhasampaṭipīḷanato dukkhāni, tato ca avasavattanato anattakāni. Tenāha bhagavā ‘‘yadaniccaṃ, taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ, tadanattā’’ti (saṃ. ni. 3.15, 45, 76, 85; 2.4.1, 2; paṭi. ma. 2.10).

    นิรนฺตรํ ปวตฺตมานสฺสาติ อภิณฺหสทฺทตฺถํ วิเสเสตฺวา วทติฯ ธาตุมตฺตตายาติ ธาตุมตฺตภาเวนฯ สมูหโตติ สสมฺภารจกฺขาทิปิณฺฑโตฯ ‘‘จกฺขาทีน’’นฺติ อิทํ ‘‘สมูหโต’’ติ ปทํ อเปกฺขิตฺวา สมฺพเนฺธ สามิวจนํ, ‘‘วินิพฺภุชน’’นฺติ ปทํ อเปกฺขิตฺวา กมฺมเตฺถติ เวทิตพฺพํฯ จตฺตาริปิ ฆนานีติ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนานิฯ ปวตฺตรูปาทิคฺคหณโตติ รุปฺปนาทิวเสน ปวตฺตญฺจ ตํ รูปาทิคฺคหณญฺจาติ ปวตฺตรูปาทิคฺคหณํ, ตโตติ โยเชตพฺพํฯ อนิจฺจาทิคฺคหณสฺส สพฺภาวาติ รูปเวทนาทิญาณโต ภินฺนสฺส อนิจฺจาทิญาณสฺส ลพฺภมานตฺตาฯ เตน สติปิ รูปาทิอตฺถานํ อนิจฺจาทิภาเว รุปฺปนาทิภาวโต อนิจฺจาทิภาวสฺส เภทมาหฯ อิทานิ ตเมว เภทํ ญาตตีรณปริญฺญาวิสยตาย ปากฎํ กาตุํ ‘‘น หี’’ติอาทิมาหฯ นาติธาวิตุนฺติ อิธ ลกฺขณลกฺขณวนฺตา ภินฺนา วุตฺตาฯ ตตฺถ ลกฺขณารมฺมณิกวิปสฺสนาย ขนฺธารมฺมณตาวจเนน อภินฺนาติ อญฺญมญฺญวิโรธาปาทเนน อติธาวิตุํ น ยุตฺตํฯ กสฺมาติ เจ? วุตฺตํ ‘‘เต ปนาการา’’ติอาทิฯ อธิปฺปาโยปิ เจตฺถ ลกฺขณานํ รูปาทิอาการมตฺตตาวิภาวนนฺติ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา’’ติ หิ สงฺขาเร สภาวโต สลฺลเกฺขโนฺตเยว ลกฺขณานิ จ สลฺลเกฺขตีติฯ ยถา อนิจฺจาทิโต อนิจฺจตาทีนํ วุตฺตนเยน เภโท, เอวํ อนิจฺจตาทีนมฺปิ สติปิ ลกฺขณภาวสามเญฺญ นานาญาณโคจรตาย, นานาปฎิปกฺขตาย, นานินฺทฺริยาธิกตาย จ วิโมกฺขมุขตฺตยภูตานํ อญฺญมญฺญเภโทติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนิจฺจนฺติ จ คณฺหโนฺต’’ติอาทิมาหฯ ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Nirantaraṃpavattamānassāti abhiṇhasaddatthaṃ visesetvā vadati. Dhātumattatāyāti dhātumattabhāvena. Samūhatoti sasambhāracakkhādipiṇḍato. ‘‘Cakkhādīna’’nti idaṃ ‘‘samūhato’’ti padaṃ apekkhitvā sambandhe sāmivacanaṃ, ‘‘vinibbhujana’’nti padaṃ apekkhitvā kammattheti veditabbaṃ. Cattāripi ghanānīti santatisamūhakiccārammaṇaghanāni. Pavattarūpādiggahaṇatoti ruppanādivasena pavattañca taṃ rūpādiggahaṇañcāti pavattarūpādiggahaṇaṃ, tatoti yojetabbaṃ. Aniccādiggahaṇassa sabbhāvāti rūpavedanādiñāṇato bhinnassa aniccādiñāṇassa labbhamānattā. Tena satipi rūpādiatthānaṃ aniccādibhāve ruppanādibhāvato aniccādibhāvassa bhedamāha. Idāni tameva bhedaṃ ñātatīraṇapariññāvisayatāya pākaṭaṃ kātuṃ ‘‘na hī’’tiādimāha. Nātidhāvitunti idha lakkhaṇalakkhaṇavantā bhinnā vuttā. Tattha lakkhaṇārammaṇikavipassanāya khandhārammaṇatāvacanena abhinnāti aññamaññavirodhāpādanena atidhāvituṃ na yuttaṃ. Kasmāti ce? Vuttaṃ ‘‘te panākārā’’tiādi. Adhippāyopi cettha lakkhaṇānaṃ rūpādiākāramattatāvibhāvananti daṭṭhabbo. ‘‘Aniccaṃ dukkhaṃ anattā’’ti hi saṅkhāre sabhāvato sallakkhentoyeva lakkhaṇāni ca sallakkhetīti. Yathā aniccādito aniccatādīnaṃ vuttanayena bhedo, evaṃ aniccatādīnampi satipi lakkhaṇabhāvasāmaññe nānāñāṇagocaratāya, nānāpaṭipakkhatāya, nānindriyādhikatāya ca vimokkhamukhattayabhūtānaṃ aññamaññabhedoti dassento ‘‘aniccanti ca gaṇhanto’’tiādimāha. Taṃ suviññeyyameva.

    สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttantabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา

    2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā

    ๑๕๕. ปจฺจยยุคฬวเสนาติ อชฺฌตฺติกพาหิรปจฺจยทฺวยวเสนฯ อชฺฌตฺติกพาหิรวเสน อโพฺพการโตติ อชฺฌตฺติกวเสน เจว พาหิรวเสน จ อสงฺกรโตฯ

    155. Paccayayugaḷavasenāti ajjhattikabāhirapaccayadvayavasena. Ajjhattikabāhiravasena abbokāratoti ajjhattikavasena ceva bāhiravasena ca asaṅkarato.

    ๑๖๗. วิสงฺขารนินฺนสฺสาติ นิพฺพานโปณสฺสฯ วินิมุตฺตสงฺขารสฺสาติ สมุเจฺฉทปฎิปสฺสทฺธิวิมุตฺตีหิ สมุเขน, ตปฺปฎิพทฺธฉนฺทราคปฺปหาเนน จ สุฎฺฐุ วินิมุตฺตสงฺขารสฺส ปรมสฺสาสภาเวน, คติภาเวน จ ปติฎฺฐานภูเตฯ ‘‘นิพฺพานํ อรหโต คตี’’ติ (ปฎิ. ๓๓๙) หิ วุตฺตํฯ ฐิติภาเวนาติ จ ปาโฐฯ ตํสจฺฉิกรณาภาเวติ ตสฺส นิพฺพานสฺส สจฺฉิกรณาภาเวฯ นีโตติ ปาปิโต, ปกาสิโตติ อโตฺถฯ

    167. Visaṅkhāraninnassāti nibbānapoṇassa. Vinimuttasaṅkhārassāti samucchedapaṭipassaddhivimuttīhi samukhena, tappaṭibaddhachandarāgappahānena ca suṭṭhu vinimuttasaṅkhārassa paramassāsabhāvena, gatibhāvena ca patiṭṭhānabhūte. ‘‘Nibbānaṃ arahato gatī’’ti (paṭi. 339) hi vuttaṃ. Ṭhitibhāvenāti ca pāṭho. Taṃsacchikaraṇābhāveti tassa nibbānassa sacchikaraṇābhāve. Nītoti pāpito, pakāsitoti attho.

    จุณฺณิตนฺติ เภทิตํฯ ตฺวเมว กิํ น ชานาสีติ กิํ ตฺวํ น ชานาสิเยวาติ อโตฺถฯ ‘‘กิํ ตฺวํ เอกํ นานํ ชานาสิ, กิํ ตฺวํ น ชานาสิ เอวา’’ติ เอวํ วิเกฺขปํ กโรนฺตํ ปรวาทิํ ‘‘นนุ ญาเต’’ติอาทินา สกวาที นิพนฺธติฯ วิภชิตฺวาติ ‘‘ราคาทีนํ ขีณเนฺต อุปฺปนฺนตฺตา’’ติ ภาวตฺถํ วิภชิตฺวาฯ ราคาทีนํ ขยา น โหนฺตีติ โยชนาฯ สสภาวตา จ นิพฺพานสฺส อาปนฺนา โหตีติ สมฺพโนฺธฯ

    Cuṇṇitanti bheditaṃ. Tvameva kiṃ na jānāsīti kiṃ tvaṃ na jānāsiyevāti attho. ‘‘Kiṃ tvaṃ ekaṃ nānaṃ jānāsi, kiṃ tvaṃ na jānāsi evā’’ti evaṃ vikkhepaṃ karontaṃ paravādiṃ ‘‘nanu ñāte’’tiādinā sakavādī nibandhati. Vibhajitvāti ‘‘rāgādīnaṃ khīṇante uppannattā’’ti bhāvatthaṃ vibhajitvā. Rāgādīnaṃ khayā na hontīti yojanā. Sasabhāvatā ca nibbānassa āpannā hotīti sambandho.

    นิพฺพานารมฺมณกรเณน การณภูเตนฯ เหตุอเตฺถ หิ อิทํ กรณวจนํฯ กิเลสกฺขยมตฺตตํ วา นิพฺพานสฺส อิจฺฉโต กิเลสกฺขเยน ภวิตพฺพนฺติ โยชนาฯ

    Nibbānārammaṇakaraṇena kāraṇabhūtena. Hetuatthe hi idaṃ karaṇavacanaṃ. Kilesakkhayamattataṃ vā nibbānassa icchato kilesakkhayena bhavitabbanti yojanā.

    เอวํ กิเลสกฺขยมเตฺต นิพฺพาเน เขเปตพฺพา กิเลสา พหุวิธา นานปฺปการา, มโคฺค จ โอธิโส กิเลเส เขเปติฯ สฺวายํ ‘‘กตมํ กิเลสกฺขยํ นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวา กตเม กิเลเส เขเปตี’’ติ ปุริมปุจฺฉาทฺวยเมว วทติฯ ตเทวาติ ยํ ‘‘อวิชฺชาตณฺหานํ กิญฺจิ เอกเทสมตฺตมฺปี’’ติ วุตฺตํ, ตเทวฯ

    Evaṃ kilesakkhayamatte nibbāne khepetabbā kilesā bahuvidhā nānappakārā, maggo ca odhiso kilese khepeti. Svāyaṃ ‘‘katamaṃ kilesakkhayaṃ nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā katame kilese khepetī’’ti purimapucchādvayameva vadati. Tadevāti yaṃ ‘‘avijjātaṇhānaṃ kiñci ekadesamattampī’’ti vuttaṃ, tadeva.

    เอตฺถ จ ยายํ ‘‘กิเลสกฺขโยว นิพฺพาน’’นฺติ นิพฺพานสฺส อภาวตาโจทนา, ตตฺรายํ อาคมโต ยุตฺติโต จสฺส ภาวาภาววิภาวนาฯ ตญฺหิ ภควตา –

    Ettha ca yāyaṃ ‘‘kilesakkhayova nibbāna’’nti nibbānassa abhāvatācodanā, tatrāyaṃ āgamato yuttito cassa bhāvābhāvavibhāvanā. Tañhi bhagavatā –

    ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขต’’นฺติ (อุทา. ๗๓; อิติวุ. ๔๓)ฯ

    ‘‘Atthi, bhikkhave, ajātaṃ abhūtaṃ akataṃ asaṅkhata’’nti (udā. 73; itivu. 43).

    ‘‘อตฺถิ , ภิกฺขเว, ตทายตนํ, ยตฺถ เนว ปถวี น อาโป น เตโช น วาโย’’ติ (อุทา. ๗๑) –

    ‘‘Atthi , bhikkhave, tadāyatanaṃ, yattha neva pathavī na āpo na tejo na vāyo’’ti (udā. 71) –

    จ อาทินา, ตถา –

    Ca ādinā, tathā –

    ‘‘คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สโนฺต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๓๗; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๗-๘) –

    ‘‘Gambhīro duddaso duranubodho santo paṇīto atakkāvacaro nipuṇo paṇḍitavedanīyo’’ti (ma. ni. 2.337; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 7-8) –

    ‘‘อสงฺขตญฺจ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ อสงฺขตคามินิญฺจ ปฎิปทํ, อนตํ, อนาสวํ, สจฺจํ, ปารํ, นิปุณํ, สุทุทฺทสํ, อชชฺชรํ, ธุวํ, อปโลกิตํ, อนิทสฺสนํ, นิปฺปปญฺจํ, สนฺตํ, อมตํ, ปณีตํ, สิวํ, เขมํ, ตณฺหากฺขยํ, อจฺฉริยํ, อพฺภุตํ, อนีติกํ, อนีติกธมฺมํ, นิพฺพานํ, อพฺยาพชฺฌํ, วิราคํ, สุทฺธิํ, มุตฺติํ, อนาลยํ, ทีปํ, เลณํ, ตาณํ, สรณํ, ปรายณญฺจ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ ปรายณคามินิญฺจ ปฎิปท’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๗๗) –

    ‘‘Asaṅkhatañca vo, bhikkhave, desessāmi asaṅkhatagāminiñca paṭipadaṃ, anataṃ, anāsavaṃ, saccaṃ, pāraṃ, nipuṇaṃ, sududdasaṃ, ajajjaraṃ, dhuvaṃ, apalokitaṃ, anidassanaṃ, nippapañcaṃ, santaṃ, amataṃ, paṇītaṃ, sivaṃ, khemaṃ, taṇhākkhayaṃ, acchariyaṃ, abbhutaṃ, anītikaṃ, anītikadhammaṃ, nibbānaṃ, abyābajjhaṃ, virāgaṃ, suddhiṃ, muttiṃ, anālayaṃ, dīpaṃ, leṇaṃ, tāṇaṃ, saraṇaṃ, parāyaṇañca vo, bhikkhave, desessāmi parāyaṇagāminiñca paṭipada’’nti (saṃ. ni. 4.377) –

    เอวมาทีหิ จ สุตฺตปเทหิ ‘‘อปฺปจฺจยา ธมฺมา, อสงฺขตา ธมฺมา (ธ. ส. ทุกมาติกา ๗), สพฺพญฺจ รูปํ อสงฺขตา จ ธาตู’’ติอาทีหิ (ธ. ส. ๑๑๙๒, ๑๑๙๘, ๑๒๐๐) อภิธมฺมปเทเสหิ จ ปรมตฺถภาเวเนว เทสิตํฯ น หิ สภาววิรหิตสฺส อภาวมตฺตสฺส คมฺภีราสงฺขตาทิภาโว อพฺยากตธมฺมาทิภาโว จ ยุโตฺต, วุโตฺต จ โสฯ ตสฺมา น อภาวมตฺตํ นิพฺพานํฯ

    Evamādīhi ca suttapadehi ‘‘appaccayā dhammā, asaṅkhatā dhammā (dha. sa. dukamātikā 7), sabbañca rūpaṃ asaṅkhatā ca dhātū’’tiādīhi (dha. sa. 1192, 1198, 1200) abhidhammapadesehi ca paramatthabhāveneva desitaṃ. Na hi sabhāvavirahitassa abhāvamattassa gambhīrāsaṅkhatādibhāvo abyākatadhammādibhāvo ca yutto, vutto ca so. Tasmā na abhāvamattaṃ nibbānaṃ.

    อปิ จายํ อภาววาที เอวํ ปุจฺฉิตโพฺพ – ยทิ กิเลสาภาโว นิพฺพานํ, สฺวายมภาโว เอโก วา สิยา อเนโก วา? ยทิ เอโก, เอเกเนว มเคฺคน กโต สจฺฉิกโต จ โหตีติ อุปริมานํ มคฺคานํ นิรตฺถกตา อาปชฺชติฯ น หิ เอกํ อเนเกหิ กมฺมปฺปวเตฺตหิ สาเธตพฺพํ ทิฎฺฐํฯ อถ สิยา เอโกว โส กิเลสาภาโว, น ปน มเคฺคหิ กาตโพฺพ, อถ โข สจฺฉิกาตโพฺพติฯ เอวํ สติ สุฎฺฐุตรํ มคฺคสฺส นิรตฺถกตา อาปชฺชติ กิเลสานํ อปฺปหานโตฯ อกโรโนฺต จ มโคฺค กิเลสาภาวํ ตสฺส สจฺฉิกิริยาย กมตฺถํ สาเธยฺย, อถ มคฺคานํ สํโยชนตฺตยปฺปหานาทิปฎินิยตกิจฺจตาย ปหายกวิภาเคน กิเลสาภาวเภโท, เอวํ สติ วินา สภาวเภทํ พหุภาโว นตฺถีติ พหุภาวตาปเทเสนสฺส สสภาวตา อาปนฺนาฯ อถาปิ สิยา ‘‘เยสํ อภาโว, เตสํ พหุภาเวน พหุภาโวปจาโร’’ติ, เอวํ สติ เยสํ อภาโว, เตสํ สภาวตาย สสภาโวปจาโรปิ สิยาฯ ตถา เตสํ กิเลสสงฺขตาทิตาย กิเลสสงฺขตาทิภาวา จ สิยุํ, น เจตํ ยุตฺตนฺติ น เตสํ พหุภาโวปจาโร ยุโตฺตฯ เอกภาโวปิ จสฺส อสภาวตาย เอว วตฺตุํ น สกฺกาติ เจ? น, อภาวสามญฺญโต, อภาวสามเญฺญน อเภทสมญฺญาย เอกตฺตนิเทฺทโสฯ สติ จ เอกเตฺต ปุเพฺพ วุตฺตโทสานติวตฺติฯ

    Api cāyaṃ abhāvavādī evaṃ pucchitabbo – yadi kilesābhāvo nibbānaṃ, svāyamabhāvo eko vā siyā aneko vā? Yadi eko, ekeneva maggena kato sacchikato ca hotīti uparimānaṃ maggānaṃ niratthakatā āpajjati. Na hi ekaṃ anekehi kammappavattehi sādhetabbaṃ diṭṭhaṃ. Atha siyā ekova so kilesābhāvo, na pana maggehi kātabbo, atha kho sacchikātabboti. Evaṃ sati suṭṭhutaraṃ maggassa niratthakatā āpajjati kilesānaṃ appahānato. Akaronto ca maggo kilesābhāvaṃ tassa sacchikiriyāya kamatthaṃ sādheyya, atha maggānaṃ saṃyojanattayappahānādipaṭiniyatakiccatāya pahāyakavibhāgena kilesābhāvabhedo, evaṃ sati vinā sabhāvabhedaṃ bahubhāvo natthīti bahubhāvatāpadesenassa sasabhāvatā āpannā. Athāpi siyā ‘‘yesaṃ abhāvo, tesaṃ bahubhāvena bahubhāvopacāro’’ti, evaṃ sati yesaṃ abhāvo, tesaṃ sabhāvatāya sasabhāvopacāropi siyā. Tathā tesaṃ kilesasaṅkhatāditāya kilesasaṅkhatādibhāvā ca siyuṃ, na cetaṃ yuttanti na tesaṃ bahubhāvopacāro yutto. Ekabhāvopi cassa asabhāvatāya eva vattuṃ na sakkāti ce? Na, abhāvasāmaññato, abhāvasāmaññena abhedasamaññāya ekattaniddeso. Sati ca ekatte pubbe vuttadosānativatti.

    พหุภาเว จ สสภาวตา สิทฺธาฯ ยทิปิ สิยา ยถา พหุภาโว สสภาวตํ, เอวํ สามเญฺญน สสภาวตา พหุภาวํ น พฺยภิจเรยฺยาติ สสภาวปเกฺขปิ นิพฺพานสฺส พหุภาโว อาปชฺชตีติ? ตํ น, กสฺมา? ตถา สามญฺญาเภทโตฯ น หิ เอวํ วตฺตุํ ลพฺภา ยถา ขรภาโว สสภาวตํ น พฺยภิจรติ, เอวํ สสภาวตาปิ ขรภาวํ น พฺยภิจเรยฺยาติฯ เอวญฺหิ สติ ตทญฺญสพฺพธมฺมาภาวปฺปสโงฺค สิยา, ตสฺมา พหุภาโว สสภาวตาเปโกฺข, น สสภาวตา พหุภาวาเปกฺขาติ น สสภาวสฺส นิพฺพานสฺส พหุภาวาปตฺติฯ ‘‘เอกญฺหิ สจฺจํ น ทุตียมตฺถิ (สุ. นิ. ๘๙๐; มหานิ. ๑๑๙), เอกา นิฎฺฐา น ปุถุนิฎฺฐา’’ติอาทิวจนโตฯ

    Bahubhāve ca sasabhāvatā siddhā. Yadipi siyā yathā bahubhāvo sasabhāvataṃ, evaṃ sāmaññena sasabhāvatā bahubhāvaṃ na byabhicareyyāti sasabhāvapakkhepi nibbānassa bahubhāvo āpajjatīti? Taṃ na, kasmā? Tathā sāmaññābhedato. Na hi evaṃ vattuṃ labbhā yathā kharabhāvo sasabhāvataṃ na byabhicarati, evaṃ sasabhāvatāpi kharabhāvaṃ na byabhicareyyāti. Evañhi sati tadaññasabbadhammābhāvappasaṅgo siyā, tasmā bahubhāvo sasabhāvatāpekkho, na sasabhāvatā bahubhāvāpekkhāti na sasabhāvassa nibbānassa bahubhāvāpatti. ‘‘Ekañhi saccaṃ na dutīyamatthi (su. ni. 890; mahāni. 119), ekā niṭṭhā na puthuniṭṭhā’’tiādivacanato.

    อปิ เจตฺถ กิเลสาภาโว นาม ราคาทีนํ สมุเจฺฉโท อจฺจนฺตปฺปหานํ อนุปฺปาทนิโรโธฯ ตสฺส จ เอกเตฺต เอเกเนว มเคฺคน สาเธตพฺพตา กิจฺจวิเสสาภาวโตติ ทสฺสนาทิมคฺควิภาโค น สิยาฯ อิจฺฉิโต จ โส โอธิโสว กิเลสานํ ปหาตพฺพตฺตาฯ โส จ มคฺควิภาโค สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ นาติติกฺขติกฺขติกฺขตรติกฺขตมภาเวน เอกสฺมิมฺปิ สมุเจฺฉทปฺปหานโยคฺยภาเว สจฺฉิกิริยาวิเสเสน โหตีติ นิพฺพานสฺส สสภาวตายเยว ยุโตฺตฯ อภาโว ปน กิเลสานํ มเคฺคน กาตโพฺพ สิยา ‘‘มา มคฺคสฺส นิรตฺถกตา อโหสี’’ติ, น สจฺฉิกาตโพฺพฯ โก หิ ตสฺส สภาโว, โย เตน สจฺฉิกริเยยฺยฯ โส จ กิเลสาภาโว เอเกเนว มเคฺคน สาเธตโพฺพ สิยา, น จตูหิ ‘‘มา จตุภาวนิพฺพานตาปตฺติ, นิพฺพานวิเสสาปตฺติ จ อโหสี’’ติฯ ตโต ทสฺสนาทิมคฺควิภาโค น สิยาติ สพฺพํ อาวตฺตติฯ

    Api cettha kilesābhāvo nāma rāgādīnaṃ samucchedo accantappahānaṃ anuppādanirodho. Tassa ca ekatte ekeneva maggena sādhetabbatā kiccavisesābhāvatoti dassanādimaggavibhāgo na siyā. Icchito ca so odhisova kilesānaṃ pahātabbattā. So ca maggavibhāgo saddhādīnaṃ indriyānaṃ nātitikkhatikkhatikkhataratikkhatamabhāvena ekasmimpi samucchedappahānayogyabhāve sacchikiriyāvisesena hotīti nibbānassa sasabhāvatāyayeva yutto. Abhāvo pana kilesānaṃ maggena kātabbo siyā ‘‘mā maggassa niratthakatā ahosī’’ti, na sacchikātabbo. Ko hi tassa sabhāvo, yo tena sacchikariyeyya. So ca kilesābhāvo ekeneva maggena sādhetabbo siyā, na catūhi ‘‘mā catubhāvanibbānatāpatti, nibbānavisesāpatti ca ahosī’’ti. Tato dassanādimaggavibhāgo na siyāti sabbaṃ āvattati.

    ยทิ จ อภาโว ภาวสฺส สิยาติ ตสฺส ภาวธมฺมตา อิจฺฉิตา, เอวํ สติ ยถา สงฺขตธมฺมสฺส ตสฺส ชรามรณาทีนํ วิย สงฺขตธมฺมตาปิ อาปนฺนา, เอวํ พหูนํ กิเลสานํ ธมฺมสฺส ตสฺส พหุภาวาทิปฺปสโงฺคปิ ทุนฺนิวาโรติ อตํสภาวสฺส อสงฺขตเสฺสกสฺส สสภาวสฺส นิพฺพานภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Yadi ca abhāvo bhāvassa siyāti tassa bhāvadhammatā icchitā, evaṃ sati yathā saṅkhatadhammassa tassa jarāmaraṇādīnaṃ viya saṅkhatadhammatāpi āpannā, evaṃ bahūnaṃ kilesānaṃ dhammassa tassa bahubhāvādippasaṅgopi dunnivāroti ataṃsabhāvassa asaṅkhatassekassa sasabhāvassa nibbānabhāvo veditabbo.

    ยทิ เอวํ กสฺมา ‘‘ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๑๕, ๓๓๐) วุตฺตนฺติ? ขเยน อธิคนฺตพฺพตฺตาฯ ขโย หิ อริยมโคฺคฯ ยถาห ‘‘ขเย ญาณํ, อนุปฺปาเท ญาณ’’นฺติ (ธ. ส. ทุกมาติกา ๑๔๒)ฯ เตน ราคาทิกฺขยปริยาเยน อริยมเคฺคน อธิคนฺตพฺพโต ‘‘ปรมตฺถํ คมฺภีรํ นิปุณํ ทุทฺทสํ ทุรนุโพธํ นิพฺพานํ ราคาทิกฺขโย’’ติ วุตฺตํฯ ราคาทิปฺปหานมุเขน วา ตถา ปตฺตพฺพโต, ยถา อญฺญตฺถาปิ วุตฺตํ ‘‘มทนิมฺมทฺทโน ปิปาสวินโย’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐)ฯ

    Yadi evaṃ kasmā ‘‘rāgakkhayo dosakkhayo mohakkhayo’’ti (saṃ. ni. 4.315, 330) vuttanti? Khayena adhigantabbattā. Khayo hi ariyamaggo. Yathāha ‘‘khaye ñāṇaṃ, anuppāde ñāṇa’’nti (dha. sa. dukamātikā 142). Tena rāgādikkhayapariyāyena ariyamaggena adhigantabbato ‘‘paramatthaṃ gambhīraṃ nipuṇaṃ duddasaṃ duranubodhaṃ nibbānaṃ rāgādikkhayo’’ti vuttaṃ. Rāgādippahānamukhena vā tathā pattabbato, yathā aññatthāpi vuttaṃ ‘‘madanimmaddano pipāsavinayo’’tiādi (a. ni. 4.34; itivu. 90).

    อปิจ ยถา ปริเญฺญยฺยตาย สอุตฺตรานํ กามานํ รูปานญฺจ ปฎิปกฺขภูตํ ตพฺพิธุรสภาวํ นิสฺสรณํ ปญฺญายติ, เอวํ สสภาวานํ สเพฺพสมฺปิ สงฺขตธมฺมานํ ปฎิปกฺขภูเตน ตพฺพิธุรสภาเวน นิสฺสรเณน ภวิตพฺพํฯ ยญฺจ ตนฺนิสฺสรณํ, สา อสงฺขตา ธาตุฯ กิญฺจ ภิโยฺย – สงฺขตธมฺมารมฺมณํ วิปสฺสนาญาณํ อปิ อนุโลมญาณํ กิเลเส ตทงฺควเสน ปชหติ, น สมุเจฺฉทวเสน ปชหิตุํ สโกฺกติฯ ตถา สมฺมุติสจฺจารมฺมณํ ปฐมชฺฌานาทีสุ ญาณํ วิกฺขมฺภนวเสเนว กิเลเส ปชหติ, น สมุเจฺฉทวเสนฯ อิติ สงฺขตธมฺมารมฺมณสฺส, สมฺมุติสจฺจารมฺมณสฺส จ ญาณสฺส กิเลสานํ สมุเจฺฉทปฺปหาเน อสมตฺถภาวโต เตสํ สมุเจฺฉทปฺปหานกรสฺส อริยมคฺคญาณสฺส ตทุภยวิปรีตสภาเวน อารมฺมเณน ภวิตพฺพํ, สา อสงฺขตา ธาตุฯ ตถา ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขต’’นฺติ (อุทา. ๗๓; อิติวุ. ๔๓) อิทํ นิพฺพานสฺส ปรมตฺถโต อตฺถิภาวโชตกํ วจนํ อวิปรีตตฺถํ ภควตา ภาสิตตฺตาฯ ยญฺหิ ภควตา ภาสิตํ, ตํ อวิปรีตตฺถํ ยถา ตํ ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา, สเพฺพ สงฺขารา ทุกฺขา, สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ (ธ. ป. ๒๗๗-๒๗๙; เถรคา. ๖๗๖-๖๗๘; เนตฺติ. ๕), ตถา นิพฺพาน-สโทฺท กตฺถจิ วิสเย ยถาภูตปรมตฺถวิสโย อุปจารวุตฺติสพฺภาวโต เสยฺยถาปิ สีห-สโทฺทฯ อถ วา อเตฺถว ปรมตฺถโต อสงฺขตา ธาตุ อิตรตพฺพิปรีตวิมุตฺติสภาวตฺตา เสยฺยถาปิ ‘‘ปถวีธาตุ เวทนา จา’’ติ เอวมาทีหิ นเยหิ ยุตฺติโตปิ อสงฺขตาย ธาตุยา ปรมตฺถโต อตฺถิภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Apica yathā pariññeyyatāya sauttarānaṃ kāmānaṃ rūpānañca paṭipakkhabhūtaṃ tabbidhurasabhāvaṃ nissaraṇaṃ paññāyati, evaṃ sasabhāvānaṃ sabbesampi saṅkhatadhammānaṃ paṭipakkhabhūtena tabbidhurasabhāvena nissaraṇena bhavitabbaṃ. Yañca tannissaraṇaṃ, sā asaṅkhatā dhātu. Kiñca bhiyyo – saṅkhatadhammārammaṇaṃ vipassanāñāṇaṃ api anulomañāṇaṃ kilese tadaṅgavasena pajahati, na samucchedavasena pajahituṃ sakkoti. Tathā sammutisaccārammaṇaṃ paṭhamajjhānādīsu ñāṇaṃ vikkhambhanavaseneva kilese pajahati, na samucchedavasena. Iti saṅkhatadhammārammaṇassa, sammutisaccārammaṇassa ca ñāṇassa kilesānaṃ samucchedappahāne asamatthabhāvato tesaṃ samucchedappahānakarassa ariyamaggañāṇassa tadubhayaviparītasabhāvena ārammaṇena bhavitabbaṃ, sā asaṅkhatā dhātu. Tathā ‘‘atthi, bhikkhave, ajātaṃ abhūtaṃ akataṃ asaṅkhata’’nti (udā. 73; itivu. 43) idaṃ nibbānassa paramatthato atthibhāvajotakaṃ vacanaṃ aviparītatthaṃ bhagavatā bhāsitattā. Yañhi bhagavatā bhāsitaṃ, taṃ aviparītatthaṃ yathā taṃ ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā, sabbe saṅkhārā dukkhā, sabbe dhammā anattā’’ti (dha. pa. 277-279; theragā. 676-678; netti. 5), tathā nibbāna-saddo katthaci visaye yathābhūtaparamatthavisayo upacāravuttisabbhāvato seyyathāpi sīha-saddo. Atha vā attheva paramatthato asaṅkhatā dhātu itaratabbiparītavimuttisabhāvattā seyyathāpi ‘‘pathavīdhātu vedanā cā’’ti evamādīhi nayehi yuttitopi asaṅkhatāya dhātuyā paramatthato atthibhāvo veditabbo.

    อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. ปญฺหปุจฺฉกวณฺณนา

    3. Pañhapucchakavaṇṇanā

    ๑๖๘. กิญฺจีติ กิญฺจิ อารมฺมณํฯ อาลมฺพนโตติ อารมฺมณกรณโตฯ

    168. Kiñcīti kiñci ārammaṇaṃ. Ālambanatoti ārammaṇakaraṇato.

    ปญฺหปุจฺฉกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pañhapucchakavaṇṇanā niṭṭhitā.

    อายตนวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āyatanavibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๒. อายตนวิภโงฺค • 2. Āyatanavibhaṅgo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā
    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา • 1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā
    ๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา • 2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā
    ๓. ปญฺหาปุจฺฉกวณฺณนา • 3. Pañhāpucchakavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๒. อายตนวิภโงฺค • 2. Āyatanavibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact