Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๕๑๐] ๑๔. อโยฆรชาตกวณฺณนา
[510] 14. Ayogharajātakavaṇṇanā
ยเมกรตฺติํ ปฐมนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มหาภินิกฺขมนเญฺญว อารพฺภ กเถสิฯ ตทาปิ หิ โส ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yamekarattiṃ paṭhamanti idaṃ satthā jetavane viharanto mahābhinikkhamanaññeva ārabbha kathesi. Tadāpi hi so ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato mahābhinikkhamanaṃ nikkhantoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พฺรหฺมทตฺตสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสี คพฺภํ ปฎิลภิตฺวา ลทฺธคพฺภปริหารา ปริณตคพฺภา ปจฺจูสสมนนฺตเร ปุตฺตํ วิชายิฯ ตสฺสา ปุริมตฺตภาเว เอกา สปตฺติกา ‘‘ตว ชาตํ ชาตํ ปชํ ขาทิตุํ ลภิสฺสามี’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ สา กิร สยํ วญฺฌา หุตฺวา ปุตฺตมาตุโกเธน ตํ ปตฺถนํ กตฺวา ยกฺขโยนิยํ นิพฺพตฺติฯ อิตรา รโญฺญ อคฺคมเหสี หุตฺวา อิมํ ปุตฺตํ วิชายิฯ สา ยกฺขินี ตทา โอกาสํ ลภิตฺวา เทวิยา ปสฺสนฺติยาว พีภจฺฉรูปา หุตฺวา อาคนฺตฺวา ตํ ทารกํ คเหตฺวา ปลายิฯ เทวี ‘‘ยกฺขินี เม ปุตฺตํ คเหตฺวา ปลายี’’ติ มหาสเทฺทน วิรวิฯ อิตราปิ ทารกํ มูลกนฺทํ วิย มุรุํ มุรุํ กโรนฺตี ขาทิตฺวา เทวิยา หตฺถวิการาทีหิ เภรวํ ปกาเสตฺวา ตเชฺชตฺวา ปกฺกามิฯ ราชา ตํ วจนํ สุตฺวา ‘‘กิํ สกฺกา ยกฺขินิยา กาตุ’’นฺติ ตุณฺหี อโหสิฯ ปุน เทวิยา วิชายนกาเล ทฬฺหํ อารกฺขมกาสิฯ เทวี ปุตฺตํ ปุน วิชายิฯ ยกฺขินี อาคนฺตฺวา ตมฺปิ ขาทิตฺวา คตาฯ ตติยวาเร ตสฺสา กุจฺฉิยํ มหาสโตฺต ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ราชา มหาชนํ สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘เทวิยา ชาตํ ชาตํ ปชํ เอกา ยกฺขินี ขาทติ , กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อเถโก ‘‘ยกฺขา นาม ตาลปณฺณสฺส ภายนฺติ, เทวิยา หตฺถปาเทสุ ตาลปณฺณํ พนฺธิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ อเถโก ‘‘อโยฆรสฺส ภายนฺติ, อโยฆรํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ อตฺตโน วิชิเต กมฺมาเร สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘อโยฆรํ กโรถา’’ติ อาณาเปตฺวา อายุตฺตเก อทาสิฯ อโนฺตนคเรเยว รมณีเย ภูมิภาเค เคหํ ปฎฺฐเปสุํ, ถเมฺภ อาทิํ กตฺวา สพฺพเคหสมฺภารา อโยมยาว อเหสุํ, นวหิ มาเสหิ อโยมยํ มหนฺตํ จตุรสฺสสาลํ นิฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตํ นิจฺจํ ปชฺชลิตปทีปเมว โหติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente brahmadattassa rañño aggamahesī gabbhaṃ paṭilabhitvā laddhagabbhaparihārā pariṇatagabbhā paccūsasamanantare puttaṃ vijāyi. Tassā purimattabhāve ekā sapattikā ‘‘tava jātaṃ jātaṃ pajaṃ khādituṃ labhissāmī’’ti patthanaṃ paṭṭhapesi. Sā kira sayaṃ vañjhā hutvā puttamātukodhena taṃ patthanaṃ katvā yakkhayoniyaṃ nibbatti. Itarā rañño aggamahesī hutvā imaṃ puttaṃ vijāyi. Sā yakkhinī tadā okāsaṃ labhitvā deviyā passantiyāva bībhaccharūpā hutvā āgantvā taṃ dārakaṃ gahetvā palāyi. Devī ‘‘yakkhinī me puttaṃ gahetvā palāyī’’ti mahāsaddena viravi. Itarāpi dārakaṃ mūlakandaṃ viya muruṃ muruṃ karontī khāditvā deviyā hatthavikārādīhi bheravaṃ pakāsetvā tajjetvā pakkāmi. Rājā taṃ vacanaṃ sutvā ‘‘kiṃ sakkā yakkhiniyā kātu’’nti tuṇhī ahosi. Puna deviyā vijāyanakāle daḷhaṃ ārakkhamakāsi. Devī puttaṃ puna vijāyi. Yakkhinī āgantvā tampi khāditvā gatā. Tatiyavāre tassā kucchiyaṃ mahāsatto paṭisandhiṃ gaṇhi. Rājā mahājanaṃ sannipātetvā ‘‘deviyā jātaṃ jātaṃ pajaṃ ekā yakkhinī khādati , kiṃ nu kho kātabba’’nti pucchi. Atheko ‘‘yakkhā nāma tālapaṇṇassa bhāyanti, deviyā hatthapādesu tālapaṇṇaṃ bandhituṃ vaṭṭatī’’ti āha. Atheko ‘‘ayogharassa bhāyanti, ayogharaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti āha. Rājā ‘‘sādhū’’ti attano vijite kammāre sannipātetvā ‘‘ayogharaṃ karothā’’ti āṇāpetvā āyuttake adāsi. Antonagareyeva ramaṇīye bhūmibhāge gehaṃ paṭṭhapesuṃ, thambhe ādiṃ katvā sabbagehasambhārā ayomayāva ahesuṃ, navahi māsehi ayomayaṃ mahantaṃ caturassasālaṃ niṭṭhānaṃ agamāsi. Taṃ niccaṃ pajjalitapadīpameva hoti.
ราชา เทวิยา คพฺภปริปากํ ญตฺวา อโยฆรํ อลงฺการาเปตฺวา ตํ อาทาย อโยฆรํ ปาวิสิฯ สา ตตฺถ ธญฺญปุญฺญลกฺขณสมฺปนฺนํ ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘อโยฆรกุมาโร’’เตฺววสฺส นามํ กริํสุฯ ตํ ธาตีนํ ทตฺวา มหนฺตํ อารกฺขํ สํวิทหิตฺวา ราชา เทวิํ อาทาย นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อลงฺกตปาสาทตลเมว อภิรุหิฯ ยกฺขินีปิ อุทกวารํ คนฺตฺวา เวสฺสวณสฺส อุทกํ วหนฺตี ชีวิตกฺขยํ ปตฺตาฯ มหาสโตฺต อโยฆเรเยว วฑฺฒิตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต ตเตฺถว สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิฯ ราชา ‘‘โก เม ปุตฺตสฺส วยปฺปเทโส’’ติ อมเจฺจ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘โสฬสวโสฺส, เทว, สูโร ถามสมฺปโนฺน ยกฺขสหสฺสมฺปิ ปฎิพาหิตุํ สมโตฺถ’’ติ สุตฺวา ‘‘รชฺชมสฺส ทสฺสามิ, สกลนครํ อลงฺกริตฺวา อโยฆรโต ตํ นีหริตฺวา อาเนถา’’ติ อาหฯ อมจฺจา ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ ทฺวาทสโยชนิกํ พาราณสิํ อลงฺกริตฺวา สพฺพาลงฺการวิภูสิตํ มงฺคลวารณํ อาทาย ตตฺถ คนฺตฺวา กุมารํ อลงฺการาเปตฺวา หตฺถิกฺขเนฺธ นิสีทาเปตฺวา ‘‘เทว, กุลสนฺตกํ อลงฺกตนครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปิตรํ กาสิราชานํ วนฺทถ, อเชฺชว เสตจฺฉตฺตํ ลภิสฺสถา’’ติ อาหํสุฯ
Rājā deviyā gabbhaparipākaṃ ñatvā ayogharaṃ alaṅkārāpetvā taṃ ādāya ayogharaṃ pāvisi. Sā tattha dhaññapuññalakkhaṇasampannaṃ puttaṃ vijāyi, ‘‘ayogharakumāro’’tvevassa nāmaṃ kariṃsu. Taṃ dhātīnaṃ datvā mahantaṃ ārakkhaṃ saṃvidahitvā rājā deviṃ ādāya nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā alaṅkatapāsādatalameva abhiruhi. Yakkhinīpi udakavāraṃ gantvā vessavaṇassa udakaṃ vahantī jīvitakkhayaṃ pattā. Mahāsatto ayoghareyeva vaḍḍhitvā viññutaṃ patto tattheva sabbasippāni uggaṇhi. Rājā ‘‘ko me puttassa vayappadeso’’ti amacce pucchitvā ‘‘soḷasavasso, deva, sūro thāmasampanno yakkhasahassampi paṭibāhituṃ samattho’’ti sutvā ‘‘rajjamassa dassāmi, sakalanagaraṃ alaṅkaritvā ayogharato taṃ nīharitvā ānethā’’ti āha. Amaccā ‘‘sādhu, devā’’ti dvādasayojanikaṃ bārāṇasiṃ alaṅkaritvā sabbālaṅkāravibhūsitaṃ maṅgalavāraṇaṃ ādāya tattha gantvā kumāraṃ alaṅkārāpetvā hatthikkhandhe nisīdāpetvā ‘‘deva, kulasantakaṃ alaṅkatanagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā pitaraṃ kāsirājānaṃ vandatha, ajjeva setacchattaṃ labhissathā’’ti āhaṃsu.
มหาสโตฺต นครํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต อารามรามเณยฺยกวนโปกฺขรณิภูมิรามเณยฺยกปาสาทรามเณยฺยกาทีนิ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มม ปิตา มํ เอตฺตกํ กาลํ พนฺธนาคาเร วสาเปสิฯ เอวรูปํ อลงฺกตนครํ ทฎฺฐุํ นาทาสิ, โก นุ โข มยฺหํ โทโส’’ติ อมเจฺจ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, นตฺถิ ตุมฺหากํ โทโส, ตุมฺหากํ ปน เทฺวภาติเก เอกา ยกฺขินี ขาทิ, เตน โว ปิตา อโยฆเร วสาเปสิ, อโยฆเรน ชีวิตํ ตุมฺหากํ ลทฺธ’’นฺติฯ โส เตสํ วจนํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อหํ ทส มาเส โลหกุมฺภินิรเย วิย จ คูถนิรเย วิย จ มาตุกุจฺฉิมฺหิ วสิตฺวา มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตกาลโต ปฎฺฐาย โสฬส วสฺสานิ เอตสฺมิํ พนฺธนาคาเร วสิํ, พหิ โอโลเกตุมฺปิ น ลภิํ, อุสฺสทนิรเย ขิโตฺต วิย อโหสิํ, ยกฺขินิยา หตฺถโต มุโตฺตปิ ปนาหํ เนว อชโร, น อมโร โหมิ, กิํ เม รเชฺชน, รเชฺช ฐิตกาลโต ปฎฺฐาย ทุนฺนิกฺขมนํ โหติ, อเชฺชว มม ปิตรํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ โส นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ราชกุลํ ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ
Mahāsatto nagaraṃ padakkhiṇaṃ karonto ārāmarāmaṇeyyakavanapokkharaṇibhūmirāmaṇeyyakapāsādarāmaṇeyyakādīni disvā cintesi ‘‘mama pitā maṃ ettakaṃ kālaṃ bandhanāgāre vasāpesi. Evarūpaṃ alaṅkatanagaraṃ daṭṭhuṃ nādāsi, ko nu kho mayhaṃ doso’’ti amacce pucchi. ‘‘Deva, natthi tumhākaṃ doso, tumhākaṃ pana dvebhātike ekā yakkhinī khādi, tena vo pitā ayoghare vasāpesi, ayogharena jīvitaṃ tumhākaṃ laddha’’nti. So tesaṃ vacanaṃ sutvā cintesi ‘‘ahaṃ dasa māse lohakumbhiniraye viya ca gūthaniraye viya ca mātukucchimhi vasitvā mātukucchito nikkhantakālato paṭṭhāya soḷasa vassāni etasmiṃ bandhanāgāre vasiṃ, bahi oloketumpi na labhiṃ, ussadaniraye khitto viya ahosiṃ, yakkhiniyā hatthato muttopi panāhaṃ neva ajaro, na amaro homi, kiṃ me rajjena, rajje ṭhitakālato paṭṭhāya dunnikkhamanaṃ hoti, ajjeva mama pitaraṃ pabbajjaṃ anujānāpetvā himavantaṃ pavisitvā pabbajissāmī’’ti. So nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā rājakulaṃ pavisitvā rājānaṃ vanditvā aṭṭhāsi.
ราชา ตสฺส สรีรโสภํ โอโลเกตฺวา พลวสิเนเหน อมเจฺจ โอโลเกสิฯ เต ‘‘กิํ กโรม, เทวา’’ติ วทิํสุฯ ปุตฺตํ เม รตนราสิมฺหิ ฐเปตฺวา ตีหิ สเงฺขหิ อภิสิญฺจิตฺวา กญฺจนมาลํ เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปถาติฯ มหาสโตฺต ปิตรํ วนฺทิตฺวา ‘‘น มยฺหํ รเชฺชนโตฺถ, อหํ ปพฺพชิสฺสามิ, ปพฺพชฺชํ เม อนุชานาถา’’ติ อาหฯ ตาต รชฺชํ ปฎิกฺขิปิตฺวา กิํการณา ปพฺพชิสฺสสีติฯ ‘‘เทว อหํ มาตุกุจฺฉิมฺหิ ทส มาเส คูถนิรเย วิย วสิตฺวา มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขโนฺต ยกฺขินิภเยน โสฬส วสฺสานิ พนฺธนาคาเร วสโนฺต พหิ โอโลเกตุมฺปิ น อลภิํ, อุสฺสทนิรเย ขิโตฺต วิย อโหสิํ, ยกฺขินิยา หตฺถโต มุโตฺตมฺหีติปิ อชโร อมโร น โหมิฯ มจฺจุ นาเมส น สกฺกา เกนจิ ชินิตุํ, ภเว อุกฺกณฺฐิโตมฺหิ, ยาว เม พฺยาธิชรามรณานิ นาคจฺฉนฺติ, ตาวเทว ปพฺพชิตฺวา ธมฺมํ จริสฺสามิ, อลํ เม รเชฺชน, อนุชานาถ มํ, เทวา’’ติ วตฺวา ปิตุ ธมฺมํ เทเสโนฺต อาห –
Rājā tassa sarīrasobhaṃ oloketvā balavasinehena amacce olokesi. Te ‘‘kiṃ karoma, devā’’ti vadiṃsu. Puttaṃ me ratanarāsimhi ṭhapetvā tīhi saṅkhehi abhisiñcitvā kañcanamālaṃ setacchattaṃ ussāpethāti. Mahāsatto pitaraṃ vanditvā ‘‘na mayhaṃ rajjenattho, ahaṃ pabbajissāmi, pabbajjaṃ me anujānāthā’’ti āha. Tāta rajjaṃ paṭikkhipitvā kiṃkāraṇā pabbajissasīti. ‘‘Deva ahaṃ mātukucchimhi dasa māse gūthaniraye viya vasitvā mātukucchito nikkhanto yakkhinibhayena soḷasa vassāni bandhanāgāre vasanto bahi oloketumpi na alabhiṃ, ussadaniraye khitto viya ahosiṃ, yakkhiniyā hatthato muttomhītipi ajaro amaro na homi. Maccu nāmesa na sakkā kenaci jinituṃ, bhave ukkaṇṭhitomhi, yāva me byādhijarāmaraṇāni nāgacchanti, tāvadeva pabbajitvā dhammaṃ carissāmi, alaṃ me rajjena, anujānātha maṃ, devā’’ti vatvā pitu dhammaṃ desento āha –
๓๖๓.
363.
‘‘ยเมกรตฺติํ ปฐมํ, คเพฺภ วสติ มาณโว;
‘‘Yamekarattiṃ paṭhamaṃ, gabbhe vasati māṇavo;
อพฺภุฎฺฐิโตว โส ยาติ, ส คจฺฉํ น นิวตฺตติฯ
Abbhuṭṭhitova so yāti, sa gacchaṃ na nivattati.
๓๖๔.
364.
‘‘น ยุชฺฌมานา น พเลนวสฺสิตา, นรา น ชีรนฺติ น จาปิ มียเร;
‘‘Na yujjhamānā na balenavassitā, narā na jīranti na cāpi mīyare;
สพฺพํ หิทํ ชาติชรายุปทฺทุตํ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Sabbaṃ hidaṃ jātijarāyupaddutaṃ, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๖๕.
365.
‘‘จตุรงฺคินิํ เสนํ สุภิํสรูปํ, ชยนฺติ รฎฺฐาธิปตี ปสยฺห;
‘‘Caturaṅginiṃ senaṃ subhiṃsarūpaṃ, jayanti raṭṭhādhipatī pasayha;
น มจฺจุโน ชยิตุมุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno jayitumussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๖๖.
366.
‘‘หตฺถีหิ อเสฺสหิ รเถหิ ปตฺติภิ, ปริวาริตา มุจฺจเร เอกเจฺจยฺยา;
‘‘Hatthīhi assehi rathehi pattibhi, parivāritā muccare ekacceyyā;
น มจฺจุโน มุจฺจิตุมุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno muccitumussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๖๗.
367.
‘‘หตฺถีหิ อเสฺสหิ รเถหิ ปตฺติภิ, สูรา ปภญฺชนฺติ ปธํสยนฺติ;
‘‘Hatthīhi assehi rathehi pattibhi, sūrā pabhañjanti padhaṃsayanti;
น มจฺจุโน ภญฺชิตุมุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno bhañjitumussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๖๘.
368.
‘‘มตฺตา คชา ภินฺนคฬา ปภินฺนา, นครานิ มทฺทนฺติ ชนํ หนนฺติ;
‘‘Mattā gajā bhinnagaḷā pabhinnā, nagarāni maddanti janaṃ hananti;
น มจฺจุโน มทฺทิตุมุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno madditumussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๖๙.
369.
‘‘อิสฺสาสิโน กตหตฺถาปิ วีรา, ทูเรปาตี อกฺขณเวธิโนปิ;
‘‘Issāsino katahatthāpi vīrā, dūrepātī akkhaṇavedhinopi;
น มจฺจุโน วิชฺฌิตุมุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno vijjhitumussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๐.
370.
‘‘สรานิ ขียนฺติ สเสลกานนา, สพฺพํ หิทํ ขียติ ทีฆมนฺตรํ;
‘‘Sarāni khīyanti saselakānanā, sabbaṃ hidaṃ khīyati dīghamantaraṃ;
สพฺพํ หิทํ ภญฺชเร กาลปริยายํ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Sabbaṃ hidaṃ bhañjare kālapariyāyaṃ, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๑.
371.
‘‘สเพฺพสเมวญฺหิ นราน นารินํ, จลาจลํ ปาณภุโนธ ชีวิตํ;
‘‘Sabbesamevañhi narāna nārinaṃ, calācalaṃ pāṇabhunodha jīvitaṃ;
ปโฎว ธุตฺตสฺส, ทุโมว กูลโช, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Paṭova dhuttassa, dumova kūlajo, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๒.
372.
‘‘ทุมปฺผลาเนว ปตนฺติ มาณวา, ทหรา จ วุทฺธา จ สรีรเภทา;
‘‘Dumapphalāneva patanti māṇavā, daharā ca vuddhā ca sarīrabhedā;
นาริโย นรา มชฺฌิมโปริสา จ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Nāriyo narā majjhimaporisā ca, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๓.
373.
‘‘นายํ วโย ตารกราชสนฺนิโภ, ยทพฺภตีตํ คตเมว ทานิ ตํ;
‘‘Nāyaṃ vayo tārakarājasannibho, yadabbhatītaṃ gatameva dāni taṃ;
ชิณฺณสฺส หี นตฺถิ รตี กุโต สุขํ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Jiṇṇassa hī natthi ratī kuto sukhaṃ, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๔.
374.
‘‘ยกฺขา ปิสาจา อถวาปิ เปตา, กุปิตา เต อสฺสสนฺติ มนุเสฺส;
‘‘Yakkhā pisācā athavāpi petā, kupitā te assasanti manusse;
น มจฺจุโน อสฺสสิตุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno assasitussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๕.
375.
‘‘ยเกฺข ปิสาเจ อถวาปิ เปเต, กุปิเตปิ เต นิชฺฌปนํ กโรนฺติ;
‘‘Yakkhe pisāce athavāpi pete, kupitepi te nijjhapanaṃ karonti;
น มจฺจุโน นิชฺฌปนํ กโรนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno nijjhapanaṃ karonti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๖.
376.
‘‘อปราธเก ทูสเก เหฐเก จ, ราชาโน ทเณฺฑนฺติ วิทิตฺวาน โทสํ;
‘‘Aparādhake dūsake heṭhake ca, rājāno daṇḍenti viditvāna dosaṃ;
น มจฺจุโน ทณฺฑยิตุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno daṇḍayitussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๗.
377.
‘‘อปราธกา ทูสกา เหฐกา จ, ลภนฺติ เต ราชิโน นิชฺฌเปตุํ;
‘‘Aparādhakā dūsakā heṭhakā ca, labhanti te rājino nijjhapetuṃ;
น มจฺจุโน นิชฺฌปนํ กโรนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno nijjhapanaṃ karonti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๘.
378.
‘‘น ขตฺติโยติ น จ พฺราหฺมโณติ, น อฑฺฒกา พลวา เตชวาปิ;
‘‘Na khattiyoti na ca brāhmaṇoti, na aḍḍhakā balavā tejavāpi;
น มจฺจุราชสฺส อเปกฺขมตฺถิ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccurājassa apekkhamatthi, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๗๙.
379.
‘‘สีหา จ พฺยคฺฆา จ อโถปิ ทีปิโย, ปสยฺห ขาทนฺติ วิปฺผนฺทมานํ;
‘‘Sīhā ca byagghā ca athopi dīpiyo, pasayha khādanti vipphandamānaṃ;
น มจฺจุโน ขาทิตุมุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno khāditumussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๘๐.
380.
‘‘มายาการา รงฺคมเชฺฌ กโรนฺตา, โมเหนฺติ จกฺขูนิ ชนสฺส ตาวเท;
‘‘Māyākārā raṅgamajjhe karontā, mohenti cakkhūni janassa tāvade;
น มจฺจุโน โมหยิตุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno mohayitussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๘๑.
381.
‘‘อาสีวิสา กุปิตา อุคฺคเตชา, ฑํสนฺติ มาเรนฺติปิ เต มนุเสฺส;
‘‘Āsīvisā kupitā uggatejā, ḍaṃsanti mārentipi te manusse;
น มจฺจุโน ฑํสิตุมุสฺสหนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno ḍaṃsitumussahanti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๘๒.
382.
‘‘อาสีวิสา กุปิตา ยํ ฑํสนฺติ, ติกิจฺฉกา เตส วิสํ หนนฺติ;
‘‘Āsīvisā kupitā yaṃ ḍaṃsanti, tikicchakā tesa visaṃ hananti;
น มจฺจุโน ทฎฺฐวิสํ หนนฺติ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccuno daṭṭhavisaṃ hananti, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๘๓.
383.
‘‘ธมฺมนฺตรี เวตฺตรณี จ โภโช, วิสานิ หนฺตฺวาน ภุชงฺคมานํ;
‘‘Dhammantarī vettaraṇī ca bhojo, visāni hantvāna bhujaṅgamānaṃ;
สุยฺยนฺติ เต กาลกตา ตเถว, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Suyyanti te kālakatā tatheva, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๘๔.
384.
‘‘วิชฺชาธรา โฆรมธียมานา, อทสฺสนํ โอสเธหิ วชนฺติ;
‘‘Vijjādharā ghoramadhīyamānā, adassanaṃ osadhehi vajanti;
น มจฺจุราชสฺส วชนฺตทสฺสนํ, ตํ เม มตี โหติ จรามิ ธมฺมํฯ
Na maccurājassa vajantadassanaṃ, taṃ me matī hoti carāmi dhammaṃ.
๓๘๕.
385.
‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ, ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหาติ;
‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāriṃ, dhammo suciṇṇo sukhamāvahāti;
เอสานิสํโส ธเมฺม สุจิเณฺณ, น ทุคฺคติํ คจฺฉติ ธมฺมจารีฯ
Esānisaṃso dhamme suciṇṇe, na duggatiṃ gacchati dhammacārī.
๓๘๖.
386.
‘‘น หิ ธโมฺม อธโมฺม จ, อุโภ สมวิปากิโน;
‘‘Na hi dhammo adhammo ca, ubho samavipākino;
อธโมฺม นิรยํ เนติ, ธโมฺม ปาเปติ สุคฺคติ’’นฺติฯ
Adhammo nirayaṃ neti, dhammo pāpeti suggati’’nti.
ตตฺถ ยเมกรตฺตินฺติ เยภุเยฺยน สตฺตา มาตุกุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหนฺตา รตฺติยํเยว คณฺหนฺติ, ตสฺมา เอวมาหฯ อยํ ปเนตฺถ อโตฺถ – ยํ เอกรตฺติํ วา ทิวา วา ปฐมเมว ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา มาตุกุจฺฉิสงฺขาเต คเพฺภ วสติฯ มาณโวติ สโตฺต กลลภาเวน ปติฎฺฐาติฯ อพฺภุฎฺฐิโตว โส ยาตีติ โส มาณโว ยถา นาม วลาหกสงฺขาโต อโพฺภ อุฎฺฐิโต นิพฺพโตฺต วายุเวคาหโต ปฎิคจฺฉติ, ตเถว –
Tattha yamekarattinti yebhuyyena sattā mātukucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhantā rattiyaṃyeva gaṇhanti, tasmā evamāha. Ayaṃ panettha attho – yaṃ ekarattiṃ vā divā vā paṭhamameva paṭisandhiṃ gaṇhitvā mātukucchisaṅkhāte gabbhe vasati. Māṇavoti satto kalalabhāvena patiṭṭhāti. Abbhuṭṭhitova so yātīti so māṇavo yathā nāma valāhakasaṅkhāto abbho uṭṭhito nibbatto vāyuvegāhato paṭigacchati, tatheva –
‘‘ปฐมํ กลลํ โหติ, กลลา โหติ อพฺพุทํ;
‘‘Paṭhamaṃ kalalaṃ hoti, kalalā hoti abbudaṃ;
อพฺพุทา ชายเต เปสิ, เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน;
Abbudā jāyate pesi, pesi nibbattatī ghano;
ฆนา ปสาขา ชายนฺติ, เกสา โลมา นขาปิ จฯ
Ghanā pasākhā jāyanti, kesā lomā nakhāpi ca.
‘‘ยญฺจสฺส ภุญฺชตี มาตา, อนฺนํ ปานญฺจ โภชนํ;
‘‘Yañcassa bhuñjatī mātā, annaṃ pānañca bhojanaṃ;
เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, มาตุกุจฺฉิคโต นโรติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๓๕);
Tena so tattha yāpeti, mātukucchigato naroti. (saṃ. ni. 1.235);
อิมํ มาตุกุจฺฉิยํ กลลาทิภาวํ, มาตุกุจฺฉิโต จ นิกฺขโนฺต มนฺททสกาทิภาวํ อาปชฺชมาโน สตตํ สมิตํ คจฺฉติฯ ส คจฺฉํ น นิวตฺตตีติ สจายํ เอวํ คจฺฉโนฺต ปุน อพฺพุทโต กลลภาวํ, เปสิอาทิโต วา อพฺพุทาทิภาวํ, ขิฑฺฑาทสกโต มนฺททสกภาวํ, วณฺณทสกาทิโต วา ขิฑฺฑาทสกาทิภาวํ ปาปุณิตุํ น นิวตฺตติฯ ยถา ปน โส วลาหโก วาตเวเคน สํจุณฺณิยมาโน ‘‘อหํ อสุกฎฺฐาเน นาม อุฎฺฐิโต ปุน นิวตฺติตฺวา ตเตฺถว คนฺตฺวา ปกติภาเวน ฐสฺสามี’’ติ น ลภติ, ยํ ทิสํ คตํ, ตํ คตเมว, ยํ อนฺตรหิตํ, ตํ อนฺตรหิตเมว โหติ, ตถา โสปิ กลลาทิภาเวน คจฺฉมาโน คจฺฉเตว, ตสฺมิํ ตสฺมิํ โกฎฺฐาเส สงฺขารา ปุริมานํ ปุริมานํ ปจฺจยา หุตฺวา ปจฺฉโต อนิวตฺติตฺวา ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนฺติ, ชรากาเล สงฺขารา ‘‘อเมฺหหิ เอส ปุเพฺพ ยุวา ถามสมฺปโนฺน กโต, ปุน นํ นิวตฺติตฺวา ตเตฺถว กริสฺสามา’’ติ น ลภนฺติ, ตตฺถ ตเตฺถว อนฺตรธายนฺตีติ ทเสฺสติฯ
Imaṃ mātukucchiyaṃ kalalādibhāvaṃ, mātukucchito ca nikkhanto mandadasakādibhāvaṃ āpajjamāno satataṃ samitaṃ gacchati. Sa gacchaṃ na nivattatīti sacāyaṃ evaṃ gacchanto puna abbudato kalalabhāvaṃ, pesiādito vā abbudādibhāvaṃ, khiḍḍādasakato mandadasakabhāvaṃ, vaṇṇadasakādito vā khiḍḍādasakādibhāvaṃ pāpuṇituṃ na nivattati. Yathā pana so valāhako vātavegena saṃcuṇṇiyamāno ‘‘ahaṃ asukaṭṭhāne nāma uṭṭhito puna nivattitvā tattheva gantvā pakatibhāvena ṭhassāmī’’ti na labhati, yaṃ disaṃ gataṃ, taṃ gatameva, yaṃ antarahitaṃ, taṃ antarahitameva hoti, tathā sopi kalalādibhāvena gacchamāno gacchateva, tasmiṃ tasmiṃ koṭṭhāse saṅkhārā purimānaṃ purimānaṃ paccayā hutvā pacchato anivattitvā tattha tattheva bhijjanti, jarākāle saṅkhārā ‘‘amhehi esa pubbe yuvā thāmasampanno kato, puna naṃ nivattitvā tattheva karissāmā’’ti na labhanti, tattha tattheva antaradhāyantīti dasseti.
น ยุชฺฌมานาติ อุภโต พฺยูเฬฺห สงฺคาเม ยุชฺฌนฺตาฯ น พเลนวสฺสิตาติ น กายพเลน วา โยธพเลน วา อุปคตา สมนฺนาคตาฯ น ชีรนฺตีติ ปุริม-น-การํ อาหริตฺวา เอวรูปาปิ นรา น ชีรนฺติ น จาปิ น มียเรติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สพฺพํ หิทนฺติ มหาราช, สพฺพเมว อิทํ ปาณมณฺฑลํ มหายเนฺตน ปีฬิยมานา อุจฺฉุฆฎิกา วิย ชาติยา จ ชราย จ อุปทฺทุตํ นิจฺจํ ปีฬิตํฯ ตํ เม มตี โหตีติ เตน การเณน มม ‘‘ปพฺพชิตฺวา ธมฺมํ จรามี’’ติ มติ โหติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ
Nayujjhamānāti ubhato byūḷhe saṅgāme yujjhantā. Na balenavassitāti na kāyabalena vā yodhabalena vā upagatā samannāgatā. Na jīrantīti purima-na-kāraṃ āharitvā evarūpāpi narā na jīranti na cāpi na mīyareti attho veditabbo. Sabbaṃ hidanti mahārāja, sabbameva idaṃ pāṇamaṇḍalaṃ mahāyantena pīḷiyamānā ucchughaṭikā viya jātiyā ca jarāya ca upaddutaṃ niccaṃ pīḷitaṃ. Taṃ me matī hotīti tena kāraṇena mama ‘‘pabbajitvā dhammaṃ carāmī’’ti mati hoti cittaṃ uppajjati.
จตุรงฺคินินฺติ หตฺถิอาทีหิ จตุรเงฺคหิ สมนฺนาคตํฯ เสนํ สุภิํสรูปนฺติ สุฎฺฐุ ภิํสนกชาติกํ เสนํฯ ชยนฺตีติ กทาจิ เอกเจฺจ ราชาโน อตฺตโน เสนาย ชยนฺติฯ น มจฺจุโนติ เตปิ ราชาโน มหาเสนสฺส มจฺจุโน เสนํ ชยิตุํ น อุสฺสหนฺติ, น พฺยาธิชรามรณานิ มทฺทิตุํ สโกฺกนฺติฯ มุจฺจเร เอกเจฺจยฺยาติ เอเตหิ หตฺถิอาทีหิ ปริวาริตา เอกเจฺจ ปจฺจามิตฺตานํ หตฺถโต มุจฺจนฺติ, มจฺจุโน ปน สนฺติกา มุจฺจิตุํ น สโกฺกนฺติฯ ปภญฺชนฺตีติ เอเตหิ หตฺถิอาทีหิ ปจฺจตฺถิกราชูนํ นครานิ ปภญฺชนฺติฯ ปธํสยนฺตีติ มหาชนํ ธํเสนฺตา ปธํเสนฺตา ชีวิตกฺขยํ ปาเปนฺติฯ น มจฺจุโนติ เตปิ มรณกาเล ปเตฺต มจฺจุโน ภญฺชิตุํ น สโกฺกนฺติฯ
Caturaṅgininti hatthiādīhi caturaṅgehi samannāgataṃ. Senaṃ subhiṃsarūpanti suṭṭhu bhiṃsanakajātikaṃ senaṃ. Jayantīti kadāci ekacce rājāno attano senāya jayanti. Na maccunoti tepi rājāno mahāsenassa maccuno senaṃ jayituṃ na ussahanti, na byādhijarāmaraṇāni maddituṃ sakkonti. Muccare ekacceyyāti etehi hatthiādīhi parivāritā ekacce paccāmittānaṃ hatthato muccanti, maccuno pana santikā muccituṃ na sakkonti. Pabhañjantīti etehi hatthiādīhi paccatthikarājūnaṃ nagarāni pabhañjanti. Padhaṃsayantīti mahājanaṃ dhaṃsentā padhaṃsentā jīvitakkhayaṃ pāpenti. Na maccunoti tepi maraṇakāle patte maccuno bhañjituṃ na sakkonti.
ภินฺนคฬา ปภินฺนาติ ตีสุ ฐาเนสุ ปภินฺนา หุตฺวา มทํ คฬนฺตา, ปคฺฆริตมทาติ อโตฺถฯ น มจฺจุโนติ เตปิ มหามจฺจุํ มทฺทิตุํ น สโกฺกนฺติฯ อิสฺสาสิโนติ อิสฺสาสา ธนุคฺคหาฯ กตหตฺถาติ สุสิกฺขิตาฯ ทูเรปาตีติ สรํ ทูเร ปาเตตุํ สมตฺถาฯ อกฺขณเวธิโนติ อวิรทฺธเวธิโน, วิชฺชุอาโลเกน วิชฺฌนสมตฺถา วาฯ สรานีติ อโนตตฺตาทีนิ มหาสรานิ ขียนฺติเยวฯ สเสลกานนาติ สปพฺพตวนสณฺฑา มหาปถวีปิ ขียติฯ สพฺพํ หิทนฺติ สพฺพมิทํ สงฺขารคตํ ทีฆมนฺตรํ ฐตฺวา ขียเตวฯ กปฺปุฎฺฐานคฺคิํ ปตฺวา มหาสิเนรุปิ อคฺคิมุเข มธุสิตฺถกํ วิย วิลียเตว, อณุมโตฺตปิ สงฺขาโร ฐาตุํ น สโกฺกติฯ กาลปริยายนฺติ กาลปริยายํ นสฺสนกาลวารํ ปตฺวา สพฺพํ ภญฺชเร, สพฺพํ สงฺขารคตํ ภิชฺชเตวฯ ตสฺส ปกาสนตฺถํ สตฺตสูริยสุตฺตํ (อ. นิ. ๗.๖๖) อาหริตพฺพํฯ
Bhinnagaḷā pabhinnāti tīsu ṭhānesu pabhinnā hutvā madaṃ gaḷantā, paggharitamadāti attho. Na maccunoti tepi mahāmaccuṃ maddituṃ na sakkonti. Issāsinoti issāsā dhanuggahā. Katahatthāti susikkhitā. Dūrepātīti saraṃ dūre pātetuṃ samatthā. Akkhaṇavedhinoti aviraddhavedhino, vijjuālokena vijjhanasamatthā vā. Sarānīti anotattādīni mahāsarāni khīyantiyeva. Saselakānanāti sapabbatavanasaṇḍā mahāpathavīpi khīyati. Sabbaṃ hidanti sabbamidaṃ saṅkhāragataṃ dīghamantaraṃ ṭhatvā khīyateva. Kappuṭṭhānaggiṃ patvā mahāsinerupi aggimukhe madhusitthakaṃ viya vilīyateva, aṇumattopi saṅkhāro ṭhātuṃ na sakkoti. Kālapariyāyanti kālapariyāyaṃ nassanakālavāraṃ patvā sabbaṃ bhañjare, sabbaṃ saṅkhāragataṃ bhijjateva. Tassa pakāsanatthaṃ sattasūriyasuttaṃ (a. ni. 7.66) āharitabbaṃ.
จลาจลนฺติ จญฺจลํ สกภาเวน ฐาตุํ อสมตฺถํ นานาภาววินาภาวสภาวเมวฯ ปาณภุโนธ ชีวิตนฺติ อิธ โลเก อิเมสํ ปาณภูตานํ ชีวิตํ ฯ ปโฎว ธุตฺตสฺส, ทุโมว กูลโชติ สุรธุโตฺต หิ สุรํ ทิสฺวาว อุทเร พทฺธํ สาฎกํ ทตฺวา ปิวเตว, นทีกูเล ชาตทุโมว กูเล ลุชฺชมาเน ลุชฺชติ, ยถา เอส ปโฎ จ ทุโม จ จญฺจโล, เอวํ สตฺตานํ ชีวิตํ, เทวาติฯ ทุมปฺผลาเนวาติ ยถา ปกฺกานิ ผลานิ วาตาหตานิ ทุมคฺคโต ภูมิยํ ปตนฺติ, ตเถวิเม มาณวา ชราวาตาหตา ชีวิตา คฬิตฺวา มรณปถวิยํ ปตนฺติฯ ทหราติ อนฺตมโส กลลภาเว ฐิตาปิฯ มชฺฌิมโปริสาติ นารีนรานํ มเชฺฌ ฐิตา อุภโตพฺยญฺชนกนปุํสกาฯ
Calācalanti cañcalaṃ sakabhāvena ṭhātuṃ asamatthaṃ nānābhāvavinābhāvasabhāvameva. Pāṇabhunodhajīvitanti idha loke imesaṃ pāṇabhūtānaṃ jīvitaṃ . Paṭova dhuttassa, dumova kūlajoti suradhutto hi suraṃ disvāva udare baddhaṃ sāṭakaṃ datvā pivateva, nadīkūle jātadumova kūle lujjamāne lujjati, yathā esa paṭo ca dumo ca cañcalo, evaṃ sattānaṃ jīvitaṃ, devāti. Dumapphalānevāti yathā pakkāni phalāni vātāhatāni dumaggato bhūmiyaṃ patanti, tathevime māṇavā jarāvātāhatā jīvitā gaḷitvā maraṇapathaviyaṃ patanti. Daharāti antamaso kalalabhāve ṭhitāpi. Majjhimaporisāti nārīnarānaṃ majjhe ṭhitā ubhatobyañjanakanapuṃsakā.
ตารกราชสนฺนิโภติ ยถา ตารกราชา กาฬปเกฺข ขีโณ, ปุน ชุณฺหปเกฺข ปูรติ, น เอวํ สตฺตานํ วโยฯ สตฺตานญฺหิ ยํ อพฺภตีตํ, คตเมว ทานิ ตํ, น ตสฺส ปุนาคมนํ อตฺถิฯ กุโต สุขนฺติ ชราชิณฺณสฺส กามคุเณสุ รติปิ นตฺถิ, เต ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชนกสุขํ กุโตเยวฯ ยกฺขาติ มหิทฺธิกา ยกฺขาฯ ปิสาจาติ ปํสุปิสาจกาฯ เปตาติ เปตฺติวิสยิกาฯ อสฺสสนฺตีติ อสฺสาสวาเตน อุปหนนฺติ, อาวิสนฺตีติ วา อโตฺถฯ น มจฺจุโนติ มจฺจุํ ปน เตปิ อสฺสาเสน อุปหนิตุํ วา อาวิสิตุํ วา น สโกฺกนฺติฯ นิชฺฌปนํ กโรนฺตีติ พลิกมฺมวเสน ขมาเปนฺติ ปสาเทนฺติฯ อปราธเกติ ราชาปราธการเกฯ ทูสเกติ รชฺชทูสเกฯ เหฐเกติ สนฺธิเจฺฉทาทีหิ โลกวิเหฐเกฯ ราชาโนติ ราชาโนฯ วิทิตฺวาน โทสนฺติ โทสํ ชานิตฺวา ยถานุรูเปน ทเณฺฑน ทเณฺฑนฺตีติ อโตฺถฯ น มจฺจุโนติ เตปิ มจฺจุํ ทณฺฑยิตุํ น สโกฺกนฺติฯ
Tārakarājasannibhoti yathā tārakarājā kāḷapakkhe khīṇo, puna juṇhapakkhe pūrati, na evaṃ sattānaṃ vayo. Sattānañhi yaṃ abbhatītaṃ, gatameva dāni taṃ, na tassa punāgamanaṃ atthi. Kuto sukhanti jarājiṇṇassa kāmaguṇesu ratipi natthi, te paṭicca uppajjanakasukhaṃ kutoyeva. Yakkhāti mahiddhikā yakkhā. Pisācāti paṃsupisācakā. Petāti pettivisayikā. Assasantīti assāsavātena upahananti, āvisantīti vā attho. Na maccunoti maccuṃ pana tepi assāsena upahanituṃ vā āvisituṃ vā na sakkonti. Nijjhapanaṃ karontīti balikammavasena khamāpenti pasādenti. Aparādhaketi rājāparādhakārake. Dūsaketi rajjadūsake. Heṭhaketi sandhicchedādīhi lokaviheṭhake. Rājānoti rājāno. Viditvāna dosanti dosaṃ jānitvā yathānurūpena daṇḍena daṇḍentīti attho. Na maccunoti tepi maccuṃ daṇḍayituṃ na sakkonti.
นิชฺฌเปตุนฺติ สกฺขีหิ อตฺตโน นิรปราธภาวํ ปกาเสตฺวา ปสาเทตุํฯ น อฑฺฒกา พลวา เตชวาปีติ ‘‘อิเม อฑฺฒา, อยํ กายพลญาณพลาทีหิ พลวา, อยํ เตชวา’’ติ เอวมฺปิ น ปจฺจุราชสฺส อเปกฺขํ อตฺถิ, เอกสฺมิมฺปิ สเตฺต อเปกฺขํ เปมํ สิเนโห นตฺถิ, สพฺพเมว อภิมทฺทตีติ ทเสฺสติฯ ปสยฺหาติ พลกฺกาเรน อภิภวิตฺวาฯ น มจฺจุโนติ เตปิ มจฺจุํ ขาทิตุํ น สโกฺกนฺติฯ กโรนฺตาติ มายํ กโรนฺตาฯ โมเหนฺตีติ อภูตํ ภูตํ กตฺวา ทเสฺสนฺตา โมเหนฺติฯ อุคฺคเตชาติ อุคฺคเตน วิสเตเชน สมนฺนาคตาฯ ติกิจฺฉกาติ วิสเวชฺชาฯ ธมฺมนฺตรี เวตฺตรณี จ โภโชติ เอเต เอวํนามกา เวชฺชาฯ โฆรมธียมานาติ โฆรํ นาม วิชฺชํ อธียนฺตาฯ โอสเธหีติ โฆรํ วา คนฺธาริํ วา วิชฺชํ สาเวตฺวา โอสธํ อาทาย เตหิ โอสเธหิ ปจฺจตฺถิกานํ อทสฺสนํ วชนฺติฯ
Nijjhapetunti sakkhīhi attano niraparādhabhāvaṃ pakāsetvā pasādetuṃ. Na aḍḍhakā balavā tejavāpīti ‘‘ime aḍḍhā, ayaṃ kāyabalañāṇabalādīhi balavā, ayaṃ tejavā’’ti evampi na paccurājassa apekkhaṃ atthi, ekasmimpi satte apekkhaṃ pemaṃ sineho natthi, sabbameva abhimaddatīti dasseti. Pasayhāti balakkārena abhibhavitvā. Na maccunoti tepi maccuṃ khādituṃ na sakkonti. Karontāti māyaṃ karontā. Mohentīti abhūtaṃ bhūtaṃ katvā dassentā mohenti. Uggatejāti uggatena visatejena samannāgatā. Tikicchakāti visavejjā. Dhammantarī vettaraṇī ca bhojoti ete evaṃnāmakā vejjā. Ghoramadhīyamānāti ghoraṃ nāma vijjaṃ adhīyantā. Osadhehīti ghoraṃ vā gandhāriṃ vā vijjaṃ sāvetvā osadhaṃ ādāya tehi osadhehi paccatthikānaṃ adassanaṃ vajanti.
ธโมฺมติ สุจริตธโมฺมฯ รกฺขตีติ เยน รกฺขิโต, ตํ ปฎิรกฺขติฯ สุขนฺติ ฉสุ กามสเคฺคสุ สุขํ อาวหติฯ ปาเปตีติ ปฎิสนฺธิวเสน อุปเนติฯ
Dhammoti sucaritadhammo. Rakkhatīti yena rakkhito, taṃ paṭirakkhati. Sukhanti chasu kāmasaggesu sukhaṃ āvahati. Pāpetīti paṭisandhivasena upaneti.
เอวํ มหาสโตฺต จตุวีสติยา คาถาหิ ปิตุ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘มหาราช, ตุมฺหากํ รชฺชํ ตุมฺหากเมว โหตุ, น มยฺหํ อิมินา อโตฺถ, ตุเมฺหหิ ปน สทฺธิํ กเถนฺตเมว มํ พฺยาธิชรามรณานิ อุปคจฺฉนฺติ, ติฎฺฐถ, ตุเมฺห’’ติ วตฺวา อยทามํ ฉินฺทิตฺวา มตฺตหตฺถี วิย กญฺจนปญฺชรํ ฉินฺทิตฺวา สีหโปตโก วิย กาเม ปหาย มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา นิกฺขมิฯ อถสฺส ปิตา ‘‘มมปิ รเชฺชนโตฺถ นตฺถี’’ติ รชฺชํ ปหาย เตน สทฺธิเญฺญว นิกฺขมิ, ตสฺมิํ นิกฺขเนฺต เทวีปิ อมจฺจาปิ พฺราหฺมณคหปติกาทโยปีติ สกลนครวาสิโน เคหานิ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขมิํสุฯ สมาคโม มหา อโหสิ, ปริสา ทฺวาทสโยชนิกา ชาตาฯ ตํ อาทาย มหาสโตฺต หิมวนฺตํ ปาวิสิฯ สโกฺก ตสฺส นิกฺขนฺตภาวํ ญตฺวา วิสฺสกมฺมํ เปเสตฺวา ทฺวาทสโยชนายามํ สตฺตโยชนวิตฺถารํ อสฺสมปทํ กาเรสิฯ สเพฺพ ปพฺพชิตปริกฺขาเร ปฎิยาทาเปสิฯ อิโต ปรํ มหาสตฺตสฺส ปพฺพชฺชา จ โอวาททานญฺจ พฺรหฺมโลกปรายณตา จ ปริสาย อนปายคมนียตา จ สพฺพา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ mahāsatto catuvīsatiyā gāthāhi pitu dhammaṃ desetvā ‘‘mahārāja, tumhākaṃ rajjaṃ tumhākameva hotu, na mayhaṃ iminā attho, tumhehi pana saddhiṃ kathentameva maṃ byādhijarāmaraṇāni upagacchanti, tiṭṭhatha, tumhe’’ti vatvā ayadāmaṃ chinditvā mattahatthī viya kañcanapañjaraṃ chinditvā sīhapotako viya kāme pahāya mātāpitaro vanditvā nikkhami. Athassa pitā ‘‘mamapi rajjenattho natthī’’ti rajjaṃ pahāya tena saddhiññeva nikkhami, tasmiṃ nikkhante devīpi amaccāpi brāhmaṇagahapatikādayopīti sakalanagaravāsino gehāni chaḍḍetvā nikkhamiṃsu. Samāgamo mahā ahosi, parisā dvādasayojanikā jātā. Taṃ ādāya mahāsatto himavantaṃ pāvisi. Sakko tassa nikkhantabhāvaṃ ñatvā vissakammaṃ pesetvā dvādasayojanāyāmaṃ sattayojanavitthāraṃ assamapadaṃ kāresi. Sabbe pabbajitaparikkhāre paṭiyādāpesi. Ito paraṃ mahāsattassa pabbajjā ca ovādadānañca brahmalokaparāyaṇatā ca parisāya anapāyagamanīyatā ca sabbā heṭṭhā vuttanayeneva veditabbā.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ อเหสุํ, เสสปริสา พุทฺธปริสา, อโยฆรปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, pubbepi tathāgato mahābhinikkhamanaṃ nikkhantoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mātāpitaro mahārājakulāni ahesuṃ, sesaparisā buddhaparisā, ayogharapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.
อโยฆรชาตกวณฺณนา จุทฺทสมาฯ
Ayogharajātakavaṇṇanā cuddasamā.
ชาตกุทฺทานํ –
Jātakuddānaṃ –
มาตโงฺค จิตฺตสมฺภูโต, สิวิ สิรี จ โรหณํ;
Mātaṅgo cittasambhūto, sivi sirī ca rohaṇaṃ;
หํโส สตฺติคุโมฺพ ภลฺลา, โสมนสฺสํ จเมฺปยฺยกํฯ
Haṃso sattigumbo bhallā, somanassaṃ campeyyakaṃ.
ปโลภํ ปญฺจปณฺฑิตํ, หตฺถิปาลํ อโยฆรํ;
Palobhaṃ pañcapaṇḍitaṃ, hatthipālaṃ ayogharaṃ;
วีสติยมฺหิ ชาตกา, จตุทฺทเสว สงฺคิตาฯ
Vīsatiyamhi jātakā, catuddaseva saṅgitā.
วีสตินิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Vīsatinipātavaṇṇanā niṭṭhitā.
(จตุโตฺถ ภาโค นิฎฺฐิโต)
(Catuttho bhāgo niṭṭhito)
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
ขุทฺทกนิกาเย
Khuddakanikāye
ชาตก-อฎฺฐกถา
Jātaka-aṭṭhakathā
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๑๐. อโยฆรชาตกํ • 510. Ayogharajātakaṃ