Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๑๐. พาหิยสุตฺตวณฺณนา

    10. Bāhiyasuttavaṇṇanā

    ๑๐. ทสเม พาหิโยติ ตสฺส นามํฯ ทารุจีริโยติ ทารุมยจีโรฯ สุปฺปารเกติ เอวํนามเก ปฎฺฎเน วสติฯ โก ปนายํ พาหิโย, กถญฺจ ทารุจีริโย อโหสิ, กถํ สุปฺปารเก ปฎฺฎเน ปฎิวสตีติ?

    10. Dasame bāhiyoti tassa nāmaṃ. Dārucīriyoti dārumayacīro. Suppāraketi evaṃnāmake paṭṭane vasati. Ko panāyaṃ bāhiyo, kathañca dārucīriyo ahosi, kathaṃ suppārake paṭṭane paṭivasatīti?

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพีกถา – อิโต กิร กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก ปทุมุตฺตรสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล เอโก กุลปุโตฺต หํสวตีนคเร ทสพลสฺส ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ขิปฺปาภิญฺญานํ เอตทเคฺค ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มหา วตายํ ภิกฺขุ, โย สตฺถารา เอวํ เอตทเคฺค ฐปียติ, อโห วตาหมฺปิ อนาคเต เอวรูปสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาสเน ปพฺพชิตฺวา สตฺถารา เอทิเส ฐาเน เอตทเคฺค ฐเปตโพฺพ ภเวยฺยํ ยถายํ ภิกฺขู’’ติ ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา ตทนุรูปํ อธิการกมฺมํ กตฺวา ยาวชีวํ ปุญฺญํ กตฺวา สคฺคปรายโณ หุตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสปทสพลสฺส สาสเน ปพฺพชิตฺวา ปริปุณฺณสีโล สมณธมฺมํ กโรโนฺตว ชีวิตกฺขยํ ปตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ โส เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวโลเก วสิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท พาหิยรเฎฺฐ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, ตํ พาหิยรเฎฺฐ ชาตตฺตา พาหิโยติ สญฺชานิํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ฆราวาสํ วสโนฺต วณิชฺชตฺถาย พหูนํ ภณฺฑานํ นาวํ ปูเรตฺวา สมุทฺทํ ปวิสิตฺวา อปราปรํ สญฺจรโนฺต สตฺต วาเร สทฺธิํเยว ปริสาย อตฺตโน นครํ อุปคญฺฉิฯ

    Tatrāyaṃ anupubbīkathā – ito kira kappasatasahassamatthake padumuttarasammāsambuddhakāle eko kulaputto haṃsavatīnagare dasabalassa dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ khippābhiññānaṃ etadagge ṭhapentaṃ disvā ‘‘mahā vatāyaṃ bhikkhu, yo satthārā evaṃ etadagge ṭhapīyati, aho vatāhampi anāgate evarūpassa sammāsambuddhassa sāsane pabbajitvā satthārā edise ṭhāne etadagge ṭhapetabbo bhaveyyaṃ yathāyaṃ bhikkhū’’ti taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā tadanurūpaṃ adhikārakammaṃ katvā yāvajīvaṃ puññaṃ katvā saggaparāyaṇo hutvā devamanussesu saṃsaranto kassapadasabalassa sāsane pabbajitvā paripuṇṇasīlo samaṇadhammaṃ karontova jīvitakkhayaṃ patvā devaloke nibbatti. So ekaṃ buddhantaraṃ devaloke vasitvā imasmiṃ buddhuppāde bāhiyaraṭṭhe kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhi, taṃ bāhiyaraṭṭhe jātattā bāhiyoti sañjāniṃsu. So vayappatto gharāvāsaṃ vasanto vaṇijjatthāya bahūnaṃ bhaṇḍānaṃ nāvaṃ pūretvā samuddaṃ pavisitvā aparāparaṃ sañcaranto satta vāre saddhiṃyeva parisāya attano nagaraṃ upagañchi.

    อฎฺฐเม วาเร ปน ‘‘สุวณฺณภูมิํ คมิสฺสามี’’ติ อาโรปิตภโณฺฑ นาวํ อภิรุหิฯ นาวา มหาสมุทฺทํ อโชฺฌคาเหตฺวา อิจฺฉิตเทสํ อปตฺวาว สมุทฺทมเชฺฌ วิปนฺนาฯ มหาชโน มจฺฉกจฺฉปภโกฺข อโหสิฯ พาหิโย ปน เอกํ นาวาผลกํ คเหตฺวา ตรโนฺต อูมิเวเคน มนฺทมนฺทํ ขิปมาโน ภสฺสิตฺวา สมุเทฺท ปติตตฺตา ชาตรูเปเนว สมุทฺทตีเร นิปโนฺนฯ ปริสฺสมํ วิโนเทตฺวา อสฺสาสมตฺตํ ลภิตฺวา อุฎฺฐาย ลชฺชาย คุมฺพนฺตรํ ปวิสิตฺวา อจฺฉาทนํ อญฺญํ กิญฺจิ อปสฺสโนฺต อกฺกนาฬานิ ฉินฺทิตฺวา วาเกหิ ปลิเวเฐตฺวา นิวาสนปาวุรณานิ กตฺวา อจฺฉาเทสิฯ เกจิ ปน ‘‘ทารุผลกานิ วิชฺฌิตฺวา วาเกน อาวุณิตฺวา นิวาสนปาวุรณํ กตฺวา อจฺฉาเทสี’’ติ วทนฺติฯ เอวํ สพฺพถาปิ ทารุมยจีรธาริตาย ‘‘ทารุจีริโย’’ติ ปุริมโวหาเรน ‘‘พาหิโย’’ติ จ ปญฺญายิตฺถฯ

    Aṭṭhame vāre pana ‘‘suvaṇṇabhūmiṃ gamissāmī’’ti āropitabhaṇḍo nāvaṃ abhiruhi. Nāvā mahāsamuddaṃ ajjhogāhetvā icchitadesaṃ apatvāva samuddamajjhe vipannā. Mahājano macchakacchapabhakkho ahosi. Bāhiyo pana ekaṃ nāvāphalakaṃ gahetvā taranto ūmivegena mandamandaṃ khipamāno bhassitvā samudde patitattā jātarūpeneva samuddatīre nipanno. Parissamaṃ vinodetvā assāsamattaṃ labhitvā uṭṭhāya lajjāya gumbantaraṃ pavisitvā acchādanaṃ aññaṃ kiñci apassanto akkanāḷāni chinditvā vākehi paliveṭhetvā nivāsanapāvuraṇāni katvā acchādesi. Keci pana ‘‘dāruphalakāni vijjhitvā vākena āvuṇitvā nivāsanapāvuraṇaṃ katvā acchādesī’’ti vadanti. Evaṃ sabbathāpi dārumayacīradhāritāya ‘‘dārucīriyo’’ti purimavohārena ‘‘bāhiyo’’ti ca paññāyittha.

    ตํ เอกํ กปาลํ คเหตฺวา วุตฺตนิยาเมน สุปฺปารกปฎฺฎเน ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา มนุสฺสา จิเนฺตสุํ ‘‘สเจ โลเก อรหโนฺต นาม โหนฺติ, เอวํวิเธหิ ภวิตพฺพํ, กินฺนุ โข อยํ อโยฺย วตฺถํ ทิยฺยมานํ คเณฺหยฺย, อุทาหุ อปฺปิจฺฉตาย น คเณฺหยฺยา’’ติ วีมํสนฺตา นานาทิสาหิ วตฺถานิ อุปเนสุํฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ อิมินา นิยาเมน นาคมิสฺสํ, นยิเม เอวํ มยิ ปสีเทยฺยุํ, ยํนูนาหํ อิมานิ ปฎิกฺขิปิตฺวา อิมินาว นีหาเรน วิหเรยฺยํ, เอวํ เม ลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติฯ โส เอวํ จิเนฺตตฺวา โกหเญฺญ ฐตฺวา วตฺถานิ น ปฎิคฺคณฺหิฯ มนุสฺสา ‘‘อโห อปฺปิโจฺฉ วตายํ อโยฺย’’ติ ภิโยฺยโสมตฺตาย ปสนฺนมานสา มหนฺตํ สกฺการสมฺมานํ กริํสุฯ

    Taṃ ekaṃ kapālaṃ gahetvā vuttaniyāmena suppārakapaṭṭane piṇḍāya carantaṃ disvā manussā cintesuṃ ‘‘sace loke arahanto nāma honti, evaṃvidhehi bhavitabbaṃ, kinnu kho ayaṃ ayyo vatthaṃ diyyamānaṃ gaṇheyya, udāhu appicchatāya na gaṇheyyā’’ti vīmaṃsantā nānādisāhi vatthāni upanesuṃ. So cintesi – ‘‘sacāhaṃ iminā niyāmena nāgamissaṃ, nayime evaṃ mayi pasīdeyyuṃ, yaṃnūnāhaṃ imāni paṭikkhipitvā imināva nīhārena vihareyyaṃ, evaṃ me lābhasakkāro uppajjissatī’’ti. So evaṃ cintetvā kohaññe ṭhatvā vatthāni na paṭiggaṇhi. Manussā ‘‘aho appiccho vatāyaṃ ayyo’’ti bhiyyosomattāya pasannamānasā mahantaṃ sakkārasammānaṃ kariṃsu.

    โสปิ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา อวิทูรฎฺฐาเน เอกํ เทวายตนํ อคมาสิฯ มหาชโน เตน สทฺธิํ เอว คนฺตฺวา ตํ เทวายตนํ ปฎิชคฺคิตฺวา อทาสิฯ โส ‘‘อิเม มยฺหํ จีรธารณมเตฺต ปสีทิตฺวา เอวํวิธํ สกฺการสมฺมานํ กโรนฺติ, เอเตสํ มยา อุกฺกฎฺฐวุตฺตินา ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สลฺลหุกปริกฺขาโร อปฺปิโจฺฉว หุตฺวา วิหาสิฯ ‘‘อรหา’’ติ ปน เตหิ สมฺภาวียมาโน ‘‘อรหา’’ติ อตฺตานํ อมญฺญิ, อุปรูปริ จสฺส สกฺการครุกาโร อภิวฑฺฒิ, ลาภี จ อโหสิ อุฬารานํ ปจฺจยานํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตน โข ปน สมเยน พาหิโย ทารุจีริโย สุปฺปารเก ปฎิวสติ สมุทฺทตีเร สกฺกโต ครุกโต’’ติอาทิฯ

    Sopi bhattakiccaṃ katvā avidūraṭṭhāne ekaṃ devāyatanaṃ agamāsi. Mahājano tena saddhiṃ eva gantvā taṃ devāyatanaṃ paṭijaggitvā adāsi. So ‘‘ime mayhaṃ cīradhāraṇamatte pasīditvā evaṃvidhaṃ sakkārasammānaṃ karonti, etesaṃ mayā ukkaṭṭhavuttinā bhavituṃ vaṭṭatī’’ti sallahukaparikkhāro appicchova hutvā vihāsi. ‘‘Arahā’’ti pana tehi sambhāvīyamāno ‘‘arahā’’ti attānaṃ amaññi, uparūpari cassa sakkāragarukāro abhivaḍḍhi, lābhī ca ahosi uḷārānaṃ paccayānaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘tena kho pana samayena bāhiyo dārucīriyo suppārake paṭivasati samuddatīre sakkato garukato’’tiādi.

    ตตฺถ สกฺกโตติ สกฺกจฺจํ อาทเรน อุปฎฺฐานวเสน สกฺกโตฯ ครุกโตติ คุณวิเสเสน ยุโตฺตติ อธิปฺปาเยน ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุกรณวเสน ครุกโตฯ มานิโตติ มนสา สมฺภาวนวเสน มานิโตฯ ปูชิโตติ ปุปฺผคนฺธาทีหิ ปูชาวเสน ปูชิโตฯ อปจิโตติ อภิปฺปสนฺนจิเตฺตหิ มคฺคทานอาสนาภิหรณาทิวเสน อปจิโตฯ ลาภี จีวร…เป.… ปริกฺขารานนฺติ ปณีตปณีตานํ อุปรูปริ อุปนียมานานํ จีวราทีนํ จตุนฺนํ ปจฺจยานํ ลภนวเสน ลาภีฯ

    Tattha sakkatoti sakkaccaṃ ādarena upaṭṭhānavasena sakkato. Garukatoti guṇavisesena yuttoti adhippāyena pāsāṇacchattaṃ viya garukaraṇavasena garukato. Mānitoti manasā sambhāvanavasena mānito. Pūjitoti pupphagandhādīhi pūjāvasena pūjito. Apacitoti abhippasannacittehi maggadānaāsanābhiharaṇādivasena apacito. Lābhī cīvara…pe… parikkhārānanti paṇītapaṇītānaṃ uparūpari upanīyamānānaṃ cīvarādīnaṃ catunnaṃ paccayānaṃ labhanavasena lābhī.

    อปโร นโย – สกฺกโตติ สกฺการปฺปโตฺตฯ ครุกโตติ ครุการปฺปโตฺตฯ มานิโตติ พหุมานิโต มนสา ปิยายิโต จฯ ปูชิโตติ จตุปจฺจยาภิปูชาย ปูชิโตฯ อปจิโตติ อปจายนปฺปโตฺตฯ ยสฺส หิ จตฺตาโร ปจฺจเย สกฺกตฺวา สุอภิสงฺขเต ปณีตปณีเต เทนฺติ, โส สกฺกโตฯ ยสฺมิํ ครุภาวํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา เทนฺติ, โส ครุกโตฯ ยํ มนสา ปิยายนฺติ พหุมญฺญนฺติ จ, โส มานิโตฯ ยสฺส สพฺพเมฺปตํ ปูชนวเสน กโรนฺติ, โส ปูชิโตฯ ยสฺส อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานญฺชลิกมฺมาทิวเสน ปรมนิปจฺจการํ กโรนฺติ, โส อปจิโตฯ พาหิยสฺส ปน เต สพฺพเมตํ อกํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘พาหิโย ทารุจีริโย สุปฺปารเก ปฎิวสติ สกฺกโต’’ติอาทิฯ เอตฺถ จ จีวรํ โส อคฺคณฺหโนฺตปิ ‘‘เอหิ, ภเนฺต, อิมํ วตฺถํ ปฎิคฺคณฺหาหี’’ติ อุปนามนวเสน จีวรสฺสาปิ ‘‘ลาภี’’เตฺวว วุโตฺตฯ

    Aparo nayo – sakkatoti sakkārappatto. Garukatoti garukārappatto. Mānitoti bahumānito manasā piyāyito ca. Pūjitoti catupaccayābhipūjāya pūjito. Apacitoti apacāyanappatto. Yassa hi cattāro paccaye sakkatvā suabhisaṅkhate paṇītapaṇīte denti, so sakkato. Yasmiṃ garubhāvaṃ paccupaṭṭhapetvā denti, so garukato. Yaṃ manasā piyāyanti bahumaññanti ca, so mānito. Yassa sabbampetaṃ pūjanavasena karonti, so pūjito. Yassa abhivādanapaccuṭṭhānañjalikammādivasena paramanipaccakāraṃ karonti, so apacito. Bāhiyassa pana te sabbametaṃ akaṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘bāhiyo dārucīriyo suppārake paṭivasati sakkato’’tiādi. Ettha ca cīvaraṃ so aggaṇhantopi ‘‘ehi, bhante, imaṃ vatthaṃ paṭiggaṇhāhī’’ti upanāmanavasena cīvarassāpi ‘‘lābhī’’tveva vutto.

    รโหคตสฺสาติ รหสิ คตสฺสฯ ปฎิสลฺลีนสฺสาติ เอกีภูตสฺส พหูหิ มนุเสฺสหิ ‘‘อรหา’’ติ วุจฺจมานสฺส ตสฺส อิทานิ วุจฺจมานากาเรน เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ จิตฺตสฺส มิจฺฉาสงฺกโปฺป อุปฺปชฺชิฯ กถํ? เย โข เกจิ โลเก อรหโนฺต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา, อหํ เตสํ อญฺญตโรติฯ ตสฺสโตฺถ – เย อิมสฺมิํ สตฺตโลเก กิเลสารีนํ หตตฺตา ปูชาสกฺการาทีนญฺจ อรหภาเวน อรหโนฺต, เย กิเลสารีนํ หนเนน อรหตฺตมคฺคํ สมาปนฺนา, เตสุ อหํ เอโกติฯ

    Rahogatassāti rahasi gatassa. Paṭisallīnassāti ekībhūtassa bahūhi manussehi ‘‘arahā’’ti vuccamānassa tassa idāni vuccamānākārena cetaso parivitakko udapādi cittassa micchāsaṅkappo uppajji. Kathaṃ? Ye kho keci loke arahanto vā arahattamaggaṃ vā samāpannā, ahaṃ tesaṃ aññataroti. Tassattho – ye imasmiṃ sattaloke kilesārīnaṃ hatattā pūjāsakkārādīnañca arahabhāvena arahanto, ye kilesārīnaṃ hananena arahattamaggaṃ samāpannā, tesu ahaṃ ekoti.

    ปุราณสาโลหิตาติ ปุริมสฺมิํ ภเวสาโลหิตา พนฺธุสทิสา เอกโต กตสมณธมฺมา เทวตาฯ เกจิ ปน ‘‘ปุราณสาโลหิตาติ ปุราณกาเล ภวนฺตเร สาโลหิตา มาตุภูตา เอกา เทวตา’’ติ วทนฺติ, ตํ อฎฺฐกถายํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปุริโมเยวโตฺถ คหิโตฯ

    Purāṇasālohitāti purimasmiṃ bhavesālohitā bandhusadisā ekato katasamaṇadhammā devatā. Keci pana ‘‘purāṇasālohitāti purāṇakāle bhavantare sālohitā mātubhūtā ekā devatā’’ti vadanti, taṃ aṭṭhakathāyaṃ paṭikkhipitvā purimoyevattho gahito.

    ปุเพฺพ กิร กสฺสปทสพลสฺส สาสเน โอสกฺกมาเน สามเณราทีนํ วิปฺปการํ ทิสฺวา สตฺต ภิกฺขู สํเวคปฺปตฺตา ‘‘ยาว สาสนํ น อนฺตรธายติ, ตาว อตฺตโน ปติฎฺฐํ กริสฺสามา’’ติ สุวณฺณเจติยํ วนฺทิตฺวา อรญฺญํ ปวิฎฺฐา เอกํ ปพฺพตํ ทิสฺวา ‘‘ชีวิเต สาลยา นิวตฺตนฺตุ, นิราลยา อิมํ ปพฺพตํ อภิรุหนฺตู’’ติ วตฺวา นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา สเพฺพ ตํ ปพฺพตํ อภิรุยฺห นิเสฺสณิํ ปาเตตฺวา สมณธมฺมํ กริํสุฯ เตสุ สงฺฆเตฺถโร เอกรตฺตาติกฺกเมเนว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส อุตฺตรกุรุโต ปิณฺฑปาตํ อาเนตฺวา เต ภิกฺขู, ‘‘อาวุโส, อิโต ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, อตฺตโน อานุภาเวน เอวํ อกตฺถ, มยมฺปิ สเจ ตุเมฺห วิย วิเสสํ นิพฺพเตฺตสฺสาม, สยเมว อาหริตฺวา ภุญฺชิสฺสามา’’ติ ภุญฺชิตุํ น อิจฺฉิํสุฯ ตโต ทุติยทิวเส ทุติยเตฺถโร อนาคามิผลํ ปาปุณิ, โสปิ ตเถว ปิณฺฑปาตํ อาทาย ตตฺถ คนฺตฺวา อิตเร นิมเนฺตสิ, เตปิ ตเถว ปฎิกฺขิปิํสุฯ เตสุ อรหตฺตปฺปโตฺต ปรินิพฺพายิ, อนาคามี สุทฺธาวาสภูมิยํ นิพฺพตฺติฯ อิตเร ปน ปญฺจ ชนา ฆเฎนฺตา วายมนฺตาปิ วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิํสุฯ เต อสโกฺกนฺตา ตเตฺถว ปริสุสฺสิตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺตาฯ เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทเวสุเยว สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท เทวโลกโต จวิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ กุลฆเร นิพฺพตฺติํสุฯ เตสุ หิ เอโก ปกฺกุสาติ ราชา อโหสิ, เอโก กุมารกสฺสโป, เอโก ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต, เอโก สภิโย ปริพฺพาชโก, เอโก พาหิโย ทารุจีริโยฯ ตตฺถ โย โส อนาคามี พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺต, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ ‘‘ปุราณสาโลหิตา เทวตา’’ติฯ เทวปุโตฺตปิ หิ เทวธีตา วิย เทโว เอว เทวตาติ กตฺวา เทวตาติ วุจฺจติ ‘‘อถ โข อญฺญตรา เทวตา’’ติอาทีสุ วิยฯ อิธ ปน พฺรหฺมา เทวตาติ อธิเปฺปโตฯ

    Pubbe kira kassapadasabalassa sāsane osakkamāne sāmaṇerādīnaṃ vippakāraṃ disvā satta bhikkhū saṃvegappattā ‘‘yāva sāsanaṃ na antaradhāyati, tāva attano patiṭṭhaṃ karissāmā’’ti suvaṇṇacetiyaṃ vanditvā araññaṃ paviṭṭhā ekaṃ pabbataṃ disvā ‘‘jīvite sālayā nivattantu, nirālayā imaṃ pabbataṃ abhiruhantū’’ti vatvā nisseṇiṃ bandhitvā sabbe taṃ pabbataṃ abhiruyha nisseṇiṃ pātetvā samaṇadhammaṃ kariṃsu. Tesu saṅghatthero ekarattātikkameneva arahattaṃ pāpuṇi. So uttarakuruto piṇḍapātaṃ ānetvā te bhikkhū, ‘‘āvuso, ito piṇḍapātaṃ paribhuñjathā’’ti āha. Te ‘‘tumhe, bhante, attano ānubhāvena evaṃ akattha, mayampi sace tumhe viya visesaṃ nibbattessāma, sayameva āharitvā bhuñjissāmā’’ti bhuñjituṃ na icchiṃsu. Tato dutiyadivase dutiyatthero anāgāmiphalaṃ pāpuṇi, sopi tatheva piṇḍapātaṃ ādāya tattha gantvā itare nimantesi, tepi tatheva paṭikkhipiṃsu. Tesu arahattappatto parinibbāyi, anāgāmī suddhāvāsabhūmiyaṃ nibbatti. Itare pana pañca janā ghaṭentā vāyamantāpi visesaṃ nibbattetuṃ nāsakkhiṃsu. Te asakkontā tattheva parisussitvā devaloke nibbattā. Ekaṃ buddhantaraṃ devesuyeva saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde devalokato cavitvā tattha tattha kulaghare nibbattiṃsu. Tesu hi eko pakkusāti rājā ahosi, eko kumārakassapo, eko dabbo mallaputto, eko sabhiyo paribbājako, eko bāhiyo dārucīriyo. Tattha yo so anāgāmī brahmaloke nibbatto, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ ‘‘purāṇasālohitā devatā’’ti. Devaputtopi hi devadhītā viya devo eva devatāti katvā devatāti vuccati ‘‘atha kho aññatarā devatā’’tiādīsu viya. Idha pana brahmā devatāti adhippeto.

    ตสฺส หิ พฺรหฺมุโน ตตฺถ นิพฺพตฺตสมนนฺตรเมว อตฺตโน พฺรหฺมสมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา อาคตฎฺฐานํ อาวเชฺชนฺตสฺส สตฺตนฺนํ ชนานํ ปพฺพตํ อารุยฺห สมณธมฺมกรณํ, ตเตฺถกสฺส ปรินิพฺพุตภาโว, อนาคามิผลํ ปตฺวา อตฺตโน จ เอตฺถ นิพฺพตฺตภาโว อุปฎฺฐาสิฯ โส ‘‘กตฺถ นุ โข อิตเร ปญฺจ ชนา’’ติ อาวเชฺชโนฺต กามาวจรเทวโลเก เตสํ นิพฺพตฺตภาวํ ญตฺวา อปรภาเค กาลานุกาลํ ‘‘กินฺนุ โข กโรนฺตี’’ติ เตสํ ปวตฺติํ โอโลเกติเยวฯ อิมสฺมิํ ปน กาเล ‘‘กหํ นุ โข’’ติ อาวเชฺชโนฺต พาหิยํ สุปฺปารกปฎฺฎนํ อุปนิสฺสาย ทารุจีรธาริํ โกหเญฺญน ชีวิกํ กเปฺปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มยา สทฺธิํ ปุเพฺพ นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา ปพฺพตํ อภิรุหิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺต อติสเลฺลขวุตฺติยา ชีวิเต อนเปโกฺข อรหตาปิ อาภตํ ปิณฺฑปาตํ อปริภุญฺชิตฺวา อิทานิ สมฺภาวนาธิปฺปาโย อนรหาว อรหตฺตํ ปฎิชานิตฺวา วิจรติ ลาภสกฺการสิโลกํ นิกามยมาโน, ทสพลสฺส จ นิพฺพตฺตภาวํ น ชานาติ, หนฺท นํ สํเวเชตฺวา พุทฺธุปฺปาทํ ชานาเปสฺสามี’’ติ ตาวเทว พฺรหฺมโลกโต โอตริตฺวา รตฺติภาเค สุปฺปารกปฎฺฎเน ทารุจีริยสฺส สมฺมุเข ปาตุรโหสิฯ พาหิโย อตฺตโน วสนฎฺฐาเน อุฬารํ โอภาสํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ พหิ นิกฺขมิตฺวา โอโลเกโนฺต อากาเส ฐิตํ มหาพฺรหฺมานํ ทิสฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส โส พฺรหฺมา ‘‘อหํ เต โปราณกสหาโย ตทา อนาคามิผลํ ปตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺต, ตฺวํ ปน กิญฺจิ วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต ตทา ปุถุชฺชนกาลกิริยํ กตฺวา สํสรโนฺต อิทานิ ติตฺถิยเวสธารี อนรหาว สมาโน ‘อรหา อห’นฺติ อิมํ ลทฺธิํ คเหตฺวา วิจรสีติ ญตฺวา อาคโต, เนว โข ตฺวํ, พาหิย, อรหา, ปฎินิสฺสเชฺชตํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ, มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย, สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺนฯ โส หิ ภควา อรหา, คจฺฉ นํ ปยิรุปาสสฺสู’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข พาหิยสฺส ทารุจีริยสฺส ปุราณสาโลหิตา เทวตา’’ติอาทิฯ

    Tassa hi brahmuno tattha nibbattasamanantarameva attano brahmasampattiṃ oloketvā āgataṭṭhānaṃ āvajjentassa sattannaṃ janānaṃ pabbataṃ āruyha samaṇadhammakaraṇaṃ, tatthekassa parinibbutabhāvo, anāgāmiphalaṃ patvā attano ca ettha nibbattabhāvo upaṭṭhāsi. So ‘‘kattha nu kho itare pañca janā’’ti āvajjento kāmāvacaradevaloke tesaṃ nibbattabhāvaṃ ñatvā aparabhāge kālānukālaṃ ‘‘kinnu kho karontī’’ti tesaṃ pavattiṃ oloketiyeva. Imasmiṃ pana kāle ‘‘kahaṃ nu kho’’ti āvajjento bāhiyaṃ suppārakapaṭṭanaṃ upanissāya dārucīradhāriṃ kohaññena jīvikaṃ kappentaṃ disvā ‘‘ayaṃ mayā saddhiṃ pubbe nisseṇiṃ bandhitvā pabbataṃ abhiruhitvā samaṇadhammaṃ karonto atisallekhavuttiyā jīvite anapekkho arahatāpi ābhataṃ piṇḍapātaṃ aparibhuñjitvā idāni sambhāvanādhippāyo anarahāva arahattaṃ paṭijānitvā vicarati lābhasakkārasilokaṃ nikāmayamāno, dasabalassa ca nibbattabhāvaṃ na jānāti, handa naṃ saṃvejetvā buddhuppādaṃ jānāpessāmī’’ti tāvadeva brahmalokato otaritvā rattibhāge suppārakapaṭṭane dārucīriyassa sammukhe pāturahosi. Bāhiyo attano vasanaṭṭhāne uḷāraṃ obhāsaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti bahi nikkhamitvā olokento ākāse ṭhitaṃ mahābrahmānaṃ disvā añjaliṃ paggayha ‘‘ke tumhe’’ti pucchi. Athassa so brahmā ‘‘ahaṃ te porāṇakasahāyo tadā anāgāmiphalaṃ patvā brahmaloke nibbatto, tvaṃ pana kiñci visesaṃ nibbattetuṃ asakkonto tadā puthujjanakālakiriyaṃ katvā saṃsaranto idāni titthiyavesadhārī anarahāva samāno ‘arahā aha’nti imaṃ laddhiṃ gahetvā vicarasīti ñatvā āgato, neva kho tvaṃ, bāhiya, arahā, paṭinissajjetaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ, mā te ahosi dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya, sammāsambuddho loke uppanno. So hi bhagavā arahā, gaccha naṃ payirupāsassū’’ti āha. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bāhiyassa dārucīriyassa purāṇasālohitā devatā’’tiādi.

    ตตฺถ อนุกมฺปิกาติ อนุคฺคหสีลา กรุณาธิกาฯ อตฺถกามาติ หิตกามา เมตฺตาธิกาฯ ปุริมปเทน เจตฺถ พาหิยสฺส ทุกฺขาปนยนกามตํ ตสฺสา เทวตาย ทเสฺสติ, ปจฺฉิเมน หิตูปสํหารํฯ เจตสาติ อตฺตโน จิเตฺตน, เจโตสีเสน เจตฺถ เจโตปริยญาณํ คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เจโตปริวิตกฺกนฺติ ตสฺส จิตฺตปฺปวตฺติํฯ อญฺญายาติ ชานิตฺวาฯ เตนุปสงฺกมีติ เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมว พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต พาหิยสฺส ปุรโต ปาตุภวนวเสน อุปสงฺกมิฯ เอตทโวจาติ ‘‘เย โข เกจิ โลเก อรหโนฺต วา’’ติอาทิปวตฺตมิจฺฉาปริวิตกฺกํ พาหิยํ สโหฒํ โจรํ คณฺหโนฺต วิย ‘‘เนว โข ตฺวํ, พาหิย, อรหา’’ติอาทิกํ เอตํ อิทานิ วุจฺจมานวจนํ พฺรหฺมา อโวจฯ เนว โข ตฺวํ, พาหิย, อรหาติ เอเตน ตทา พาหิยสฺส อเสกฺขภาวํ ปฎิกฺขิปติ, นาปิ อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปโนฺนติ เอเตน เสกฺขภาวํ, อุภเยนปิสฺส อนริยภาวเมว ทีเปติฯ สาปิ เต ปฎิปทา นตฺถิ, ยาย ตฺวํ อรหา วา อสฺส อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปโนฺนติ อิมินา ปนสฺส กลฺยาณปุถุชฺชนภาวมฺปิ ปฎิกฺขิปติฯ ตตฺถ ปฎิปทาติ สีลวิสุทฺธิอาทโย ฉ วิสุทฺธิโยฯ ปฎิปชฺชติ เอตาย อริยมเคฺคติ ปฎิปทาฯ อสฺสาติ ภเวยฺยาสิฯ

    Tattha anukampikāti anuggahasīlā karuṇādhikā. Atthakāmāti hitakāmā mettādhikā. Purimapadena cettha bāhiyassa dukkhāpanayanakāmataṃ tassā devatāya dasseti, pacchimena hitūpasaṃhāraṃ. Cetasāti attano cittena, cetosīsena cettha cetopariyañāṇaṃ gahitanti veditabbaṃ. Cetoparivitakkanti tassa cittappavattiṃ. Aññāyāti jānitvā. Tenupasaṅkamīti seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evameva brahmaloke antarahito bāhiyassa purato pātubhavanavasena upasaṅkami. Etadavocāti ‘‘ye kho keci loke arahanto vā’’tiādipavattamicchāparivitakkaṃ bāhiyaṃ sahoḍhaṃ coraṃ gaṇhanto viya ‘‘neva kho tvaṃ, bāhiya, arahā’’tiādikaṃ etaṃ idāni vuccamānavacanaṃ brahmā avoca. Neva kho tvaṃ, bāhiya, arahāti etena tadā bāhiyassa asekkhabhāvaṃ paṭikkhipati, nāpi arahattamaggaṃ vā samāpannoti etena sekkhabhāvaṃ, ubhayenapissa anariyabhāvameva dīpeti. Sāpi te paṭipadā natthi, yāya tvaṃ arahā vā assa arahattamaggaṃ vā samāpannoti iminā panassa kalyāṇaputhujjanabhāvampi paṭikkhipati. Tattha paṭipadāti sīlavisuddhiādayo cha visuddhiyo. Paṭipajjati etāya ariyamaggeti paṭipadā. Assāti bhaveyyāsi.

    อยญฺจสฺส อรหตฺตาธิมาโน กิํ นิสฺสาย อุปฺปโนฺนติ? ‘‘อปฺปิจฺฉตาย สนฺตุฎฺฐิตาย สเลฺลขตาย ทีฆรตฺตํ กตาธิการตฺตา ตทงฺคปฺปหานวเสน กิเลสานํ วิหตตฺตา อรหตฺตาธิมาโน อุปฺปโนฺน’’ติ เกจิ วทนฺติฯ อปเร ปนาหุ ‘‘พาหิโย ปฐมาทิฌานจตุกฺกลาภี, ตสฺมาสฺส วิกฺขมฺภนปฺปหาเนน กิเลสานํ อสมุทาจารโต อรหตฺตาธิมาโน อุปฺปชฺชตี’’ติฯ ตทุภยมฺปิ เตสํ มติมตฺตเมว ‘‘สมฺภาวนาธิปฺปาโย ลาภสกฺการสิโลกํ นิกามยมาโน’’ติ จ อฎฺฐกถายํ อาคตตฺตาฯ ตสฺมา วุตฺตนเยเนเวตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Ayañcassa arahattādhimāno kiṃ nissāya uppannoti? ‘‘Appicchatāya santuṭṭhitāya sallekhatāya dīgharattaṃ katādhikārattā tadaṅgappahānavasena kilesānaṃ vihatattā arahattādhimāno uppanno’’ti keci vadanti. Apare panāhu ‘‘bāhiyo paṭhamādijhānacatukkalābhī, tasmāssa vikkhambhanappahānena kilesānaṃ asamudācārato arahattādhimāno uppajjatī’’ti. Tadubhayampi tesaṃ matimattameva ‘‘sambhāvanādhippāyo lābhasakkārasilokaṃ nikāmayamāno’’ti ca aṭṭhakathāyaṃ āgatattā. Tasmā vuttanayenevettha attho veditabbo.

    อถ พาหิโย อากาเส ฐตฺวา กเถนฺตํ มหาพฺรหฺมานํ โอโลเกตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อโห ภาริยํ วต กมฺมํ, ยมหํ อรหาติ จิเนฺตสิํ, อยญฺจ ‘อรหตฺตคามินี ปฎิปทาปิ เต นตฺถี’ติ วทติ, อตฺถิ นุ โข โลเก โกจิ อรหา’’ติ? อถ นํ ปุจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ เก จรหิ เทวเต โลเก อรหโนฺต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา’’ติฯ

    Atha bāhiyo ākāse ṭhatvā kathentaṃ mahābrahmānaṃ oloketvā cintesi – ‘‘aho bhāriyaṃ vata kammaṃ, yamahaṃ arahāti cintesiṃ, ayañca ‘arahattagāminī paṭipadāpi te natthī’ti vadati, atthi nu kho loke koci arahā’’ti? Atha naṃ pucchi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha ke carahi devate loke arahanto vā arahattamaggaṃ vā samāpannā’’ti.

    ตตฺถ อถาติ ปุจฺฉารเมฺภ นิปาโตฯ เก จรหีติ เก เอตรหิฯ โลเกติ โอกาสโลเกฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – ภาชนโลกภูเต สกลสฺมิํ ชมฺพุทีปตเล กสฺมิํ ฐาเน อรหโนฺต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา เอตรหิ วิหรนฺติ, ยตฺถ มยํ เต อุปสงฺกมิตฺวา เตสํ โอวาเท ฐตฺวา วฎฺฎทุกฺขโต มุจฺจิสฺสามาติฯ อุตฺตเรสูติ สุปฺปารกปฎฺฎนโต ปุพฺพุตฺตรทิสาภาคํ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    Tattha athāti pucchārambhe nipāto. Ke carahīti ke etarahi. Loketi okāsaloke. Ayañhettha adhippāyo – bhājanalokabhūte sakalasmiṃ jambudīpatale kasmiṃ ṭhāne arahanto vā arahattamaggaṃ vā samāpannā etarahi viharanti, yattha mayaṃ te upasaṅkamitvā tesaṃ ovāde ṭhatvā vaṭṭadukkhato muccissāmāti. Uttaresūti suppārakapaṭṭanato pubbuttaradisābhāgaṃ sandhāya vuttaṃ.

    อรหนฺติ อารกตฺตา อรหํฯ อารกา หิ โส สพฺพกิเลเสหิ สุวิทูรวิทูเร ฐิโต มเคฺคน สวาสนานํ กิเลสานํ วิทฺธํสิตตฺตาฯ อรีนํ วา หตตฺตา อรหํฯ ภควตา หิ กิเลสารโย อนวเสสโต อริยมเคฺคน หตา สมุจฺฉินฺนาติฯ อรานํ วา หตตฺตา อรหํฯ ยญฺจ อวิชฺชาภวตณฺหามยนาภิ ปุญฺญาทิอภิสงฺขารารํ ชรามรณเนมิ อาสวสมุทยมเยน อเกฺขน วิชฺฌิตฺวา ติภวรเถ สมาโยชิตํ อนาทิกาลปฺปวตฺตํ สํสารจกฺกํฯ ตสฺสาเนน โพธิมเณฺฑ วีริยปาเทหิ สีลปถวิยํ ปติฎฺฐาย สทฺธาหเตฺถน กมฺมกฺขยกรญาณผรสุํ คเหตฺวา สเพฺพปิ อรา หตา วิหตา วิทฺธํสิตาติฯ อรหตีติ วา อรหํฯ ภควา หิ สเทวเก โลเก อคฺคทกฺขิเณยฺยตฺตา อุฬาเร จีวราทิปจฺจเย ปูชาวิเสสญฺจ อรหติฯ รหาภาวโต วา อรหํฯ ตถาคโต หิ สพฺพโส สมุจฺฉินฺนราคาทิกิเลสตฺตา ปาปกิเลสสฺสาปิ อสมฺภวโต ปาปกรเณ รหาภาวโตปิ อรหนฺติ วุจฺจติฯ

    Arahanti ārakattā arahaṃ. Ārakā hi so sabbakilesehi suvidūravidūre ṭhito maggena savāsanānaṃ kilesānaṃ viddhaṃsitattā. Arīnaṃ vā hatattā arahaṃ. Bhagavatā hi kilesārayo anavasesato ariyamaggena hatā samucchinnāti. Arānaṃ vā hatattā arahaṃ. Yañca avijjābhavataṇhāmayanābhi puññādiabhisaṅkhārāraṃ jarāmaraṇanemi āsavasamudayamayena akkhena vijjhitvā tibhavarathe samāyojitaṃ anādikālappavattaṃ saṃsāracakkaṃ. Tassānena bodhimaṇḍe vīriyapādehi sīlapathaviyaṃ patiṭṭhāya saddhāhatthena kammakkhayakarañāṇapharasuṃ gahetvā sabbepi arā hatā vihatā viddhaṃsitāti. Arahatīti vā arahaṃ. Bhagavā hi sadevake loke aggadakkhiṇeyyattā uḷāre cīvarādipaccaye pūjāvisesañca arahati. Rahābhāvato vā arahaṃ. Tathāgato hi sabbaso samucchinnarāgādikilesattā pāpakilesassāpi asambhavato pāpakaraṇe rahābhāvatopi arahanti vuccati.

    สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ ภควา หิ อภิเญฺญเยฺย ธเมฺม อภิเญฺญยฺยโต, ปริเญฺญเยฺย ธเมฺม ปริเญฺญยฺยโต, ปหาตเพฺพ ธเมฺม ปหาตพฺพโต, สจฺฉิกาตเพฺพ ธเมฺม สจฺฉิกาตพฺพโต, ภาเวตเพฺพ ธเมฺม ภาเวตพฺพโต อภิสมฺพุชฺฌิฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddho. Bhagavā hi abhiññeyye dhamme abhiññeyyato, pariññeyye dhamme pariññeyyato, pahātabbe dhamme pahātabbato, sacchikātabbe dhamme sacchikātabbato, bhāvetabbe dhamme bhāvetabbato abhisambujjhi. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อภิเญฺญยฺยํ อภิญฺญาตํ, ภาเวตพฺพญฺจ ภาวิตํ;

    ‘‘Abhiññeyyaṃ abhiññātaṃ, bhāvetabbañca bhāvitaṃ;

    ปหาตพฺพํ ปหีนํ เม, ตสฺมา พุโทฺธสฺมิ พฺราหฺมณา’’ติฯ (สุ. นิ. ๕๖๓; ม. นิ. ๒.๓๙๙; วิสุทฺธิ. ๑.๑๓๑);

    Pahātabbaṃ pahīnaṃ me, tasmā buddhosmi brāhmaṇā’’ti. (su. ni. 563; ma. ni. 2.399; visuddhi. 1.131);

    อปิจ กุสเล ธเมฺม อนวชฺชสุขวิปากโต, อกุสเล ธเมฺม สาวชฺชทุกฺขวิปากโตติอาทินา สพฺพตฺติกทุกาทิวเสน อยมโตฺถ เนตโพฺพฯ อิติ อวิปรีตํ สยมฺภุญาเณน สพฺพาการโต สพฺพธมฺมานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธติ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๙-๑๓๑) อาคตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อรหตฺตายาติ อคฺคผลปฺปฎิลาภายฯ ธมฺมํ เทเสตีติ อาทิกลฺยาณาทิคุณวิเสสยุตฺตํ สีลาทิปฎิปทาธมฺมํ สมถวิปสฺสนาธมฺมเมว วา เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ อุปทิสติ กเถติฯ

    Apica kusale dhamme anavajjasukhavipākato, akusale dhamme sāvajjadukkhavipākatotiādinā sabbattikadukādivasena ayamattho netabbo. Iti aviparītaṃ sayambhuñāṇena sabbākārato sabbadhammānaṃ abhisambuddhattā sammāsambuddhoti ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana visuddhimagge (visuddhi. 1.129-131) āgatanayeneva veditabbo. Arahattāyāti aggaphalappaṭilābhāya. Dhammaṃ desetīti ādikalyāṇādiguṇavisesayuttaṃ sīlādipaṭipadādhammaṃ samathavipassanādhammameva vā veneyyajjhāsayānurūpaṃ upadisati katheti.

    สํเวชิโตติ ‘‘ธิรตฺถุ วต, โภ, ปุถุชฺชนภาวสฺส, เยนาหํ อนรหาว สมาโน อรหาติ อมญฺญิํ, สมฺมาสมฺพุทฺธญฺจ โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺตํ น ชานิํ, ทุชฺชานํ โข ปนิทํ ชีวิตํ, ทุชฺชานํ มรณ’’นฺติ สํเวคมาปาทิโต, เทวตาวจเนน ยถาวุเตฺตนากาเรน สํวิคฺคมานโสติ อโตฺถฯ ตาวเทวาติ ตสฺมิํเยว ขเณฯ สุปฺปารกา ปกฺกามีติ พุโทฺธติ นามมปิ สวเนน อุปฺปนฺนาย พุทฺธารมฺมณาย ปีติยา สํเวเคน จ โจทิยมานหทโย สุปฺปารกปฎฺฎนโต สาวตฺถิํ อุทฺทิสฺส ปกฺกโนฺตฯ สพฺพตฺถ เอกรตฺติปริวาเสนาติ สพฺพสฺมิํ มเคฺค เอกรตฺติวาเสเนว อคมาสิฯ สุปฺปารกปฎฺฎนโต หิ สาวตฺถิ วีสโยชนสเต โหติ, ตญฺจายํ เอตฺตกํ อทฺธานํ เอกรตฺติวาเสน อคมาสิฯ ยทา สุปฺปารกโต นิกฺขโนฺต, ตทเหว สาวตฺถิํ สมฺปโตฺตติฯ

    Saṃvejitoti ‘‘dhiratthu vata, bho, puthujjanabhāvassa, yenāhaṃ anarahāva samāno arahāti amaññiṃ, sammāsambuddhañca loke uppajjitvā dhammaṃ desentaṃ na jāniṃ, dujjānaṃ kho panidaṃ jīvitaṃ, dujjānaṃ maraṇa’’nti saṃvegamāpādito, devatāvacanena yathāvuttenākārena saṃviggamānasoti attho. Tāvadevāti tasmiṃyeva khaṇe. Suppārakā pakkāmīti buddhoti nāmamapi savanena uppannāya buddhārammaṇāya pītiyā saṃvegena ca codiyamānahadayo suppārakapaṭṭanato sāvatthiṃ uddissa pakkanto. Sabbattha ekarattiparivāsenāti sabbasmiṃ magge ekarattivāseneva agamāsi. Suppārakapaṭṭanato hi sāvatthi vīsayojanasate hoti, tañcāyaṃ ettakaṃ addhānaṃ ekarattivāsena agamāsi. Yadā suppārakato nikkhanto, tadaheva sāvatthiṃ sampattoti.

    กถํ ปนายํ เอวํ อคมาสีติ? เทวตานุภาเวน, ‘‘พุทฺธานุภาเวนา’’ติปิ วทนฺติฯ ‘‘สพฺพตฺถ เอกรตฺติปริวาเสนา’’ติ ปน วุตฺตตฺตา มคฺคสฺส จ วีสโยชนสติกตฺตา อนฺตรามเคฺค คามนิคมราชธานีสุ ยตฺถ ยตฺถ รตฺติยํ วสติ, ตตฺถ ตตฺถ ทุติยํ อรุณํ อนุฎฺฐาเปตฺวา สพฺพตฺถ เอกรตฺติวาเสเนว สาวตฺถิํ อุปสงฺกมีติ อยมโตฺถ ทีปิโต โหตีติฯ นยิทํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ สพฺพสฺมิํ วีสโยชนสติเก มเคฺค เอกรตฺติวาเสนาติ อิมสฺส อตฺถสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ เอกรตฺติมตฺตํ โส สกลสฺมิํ ตสฺมิํ มเคฺค วสิตฺวา ปจฺฉิมทิวเส ปุพฺพณฺหสมเย สาวตฺถิํ อนุปฺปโตฺตติฯ

    Kathaṃ panāyaṃ evaṃ agamāsīti? Devatānubhāvena, ‘‘buddhānubhāvenā’’tipi vadanti. ‘‘Sabbattha ekarattiparivāsenā’’ti pana vuttattā maggassa ca vīsayojanasatikattā antarāmagge gāmanigamarājadhānīsu yattha yattha rattiyaṃ vasati, tattha tattha dutiyaṃ aruṇaṃ anuṭṭhāpetvā sabbattha ekarattivāseneva sāvatthiṃ upasaṅkamīti ayamattho dīpito hotīti. Nayidaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ. Sabbasmiṃ vīsayojanasatike magge ekarattivāsenāti imassa atthassa adhippetattā. Ekarattimattaṃ so sakalasmiṃ tasmiṃ magge vasitvā pacchimadivase pubbaṇhasamaye sāvatthiṃ anuppattoti.

    ภควาปิ พาหิยสฺส อาคมนํ ญตฺวา ‘‘น ตาวสฺส อินฺทฺริยานิ ปริปากํ คตานิ, ขณนฺตเร ปน ปริปากํ คมิสฺสนฺตี’’ติ ตสฺส อินฺทฺริยานํ ปริปากํ อาคมยมาโน มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ตสฺมิํ ขเณ สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ โส จ เชตวนํ ปวิสิตฺวา ภุตฺตปาตราเส กายาลสิยวิโมจนตฺถํ อโพฺภกาเส จงฺกมเนฺต สมฺพหุเล ภิกฺขู ปสฺสิตฺวา ‘‘กหํ นุ โข เอตรหิ ภควา’’ติ ปุจฺฉิฯ ภิกฺขู ‘‘ภควา สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ’’ติ วตฺวา ปุจฺฉิํสุ ‘‘ตฺวํ ปน กุโต อาคโต’’ติ? ‘‘สุปฺปารกปฎฺฎนโต อาคโตมฺหี’’ติฯ ‘‘ทูรโต อาคโตสิ, นิสีท, ตาว ปาเท โธวิตฺวา มเกฺขตฺวา โถกํ วิสฺสมาหิ, อาคตกาเล สตฺถารํ ทกฺขสี’’ติฯ ‘‘อหํ, ภเนฺต, อตฺตโน ชีวิตนฺตรายํ น ชานามิ, เอกรเตฺตเนวมฺหิ กตฺถจิปิ จิรํ อฎฺฐตฺวา อนิสีทิตฺวา วีสโยชนสติกํ มคฺคํ อาคโต, สตฺถารํ ปสฺสิตฺวาว วิสฺสมิสฺสามี’’ติ วตฺวา ตรมานรูโป สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา อโนปมาย พุทฺธสิริยา วิโรจมานํ ภควนฺตํ ปสฺสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา ภิกฺขู อโพฺภกาเส จงฺกมนฺติฯ อถ โข พาหิโย ทารุจีริโย เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมี’’ติอาทิฯ

    Bhagavāpi bāhiyassa āgamanaṃ ñatvā ‘‘na tāvassa indriyāni paripākaṃ gatāni, khaṇantare pana paripākaṃ gamissantī’’ti tassa indriyānaṃ paripākaṃ āgamayamāno mahābhikkhusaṅghaparivuto tasmiṃ khaṇe sāvatthiṃ piṇḍāya pāvisi. So ca jetavanaṃ pavisitvā bhuttapātarāse kāyālasiyavimocanatthaṃ abbhokāse caṅkamante sambahule bhikkhū passitvā ‘‘kahaṃ nu kho etarahi bhagavā’’ti pucchi. Bhikkhū ‘‘bhagavā sāvatthiṃ piṇḍāya paviṭṭho’’ti vatvā pucchiṃsu ‘‘tvaṃ pana kuto āgato’’ti? ‘‘Suppārakapaṭṭanato āgatomhī’’ti. ‘‘Dūrato āgatosi, nisīda, tāva pāde dhovitvā makkhetvā thokaṃ vissamāhi, āgatakāle satthāraṃ dakkhasī’’ti. ‘‘Ahaṃ, bhante, attano jīvitantarāyaṃ na jānāmi, ekarattenevamhi katthacipi ciraṃ aṭṭhatvā anisīditvā vīsayojanasatikaṃ maggaṃ āgato, satthāraṃ passitvāva vissamissāmī’’ti vatvā taramānarūpo sāvatthiṃ pavisitvā anopamāya buddhasiriyā virocamānaṃ bhagavantaṃ passi. Tena vuttaṃ ‘‘tena kho pana samayena sambahulā bhikkhū abbhokāse caṅkamanti. Atha kho bāhiyo dārucīriyo yena te bhikkhū tenupasaṅkamī’’tiādi.

    ตตฺถ กหนฺติ กตฺถฯ นูติ สํสเย, โขติ ปทปูรเณ, กสฺมิํ นุ โข ปเทเสติ อโตฺถฯ ทสฺสนกามมฺหาติ ทฎฺฐุกามา อมฺหฯ มยญฺหิ ตํ ภควนฺตํ อโนฺธ วิย จกฺขุํ, พธิโร วิย โสตํ, มูโค วิย กลฺยาณวากฺกรณํ, หตฺถปาทวิกโล วิย หตฺถปาเท, ทลิโทฺท วิย ธนสมฺปทํ, กนฺตารทฺธานปฺปฎิปโนฺน วิย เขมนฺตภูมิํ, โรคาภิภูโต วิย อาโรคฺยํ, มหาสมุเทฺท ภินฺนนาโว วิย มหากุลฺลํ ปสฺสิตุํ อุปสงฺกมิตุญฺจ อิจฺฉามาติ ทเสฺสติฯ ตรมานรูโปติ ตรมานากาโรฯ

    Tattha kahanti kattha. ti saṃsaye, khoti padapūraṇe, kasmiṃ nu kho padeseti attho. Dassanakāmamhāti daṭṭhukāmā amha. Mayañhi taṃ bhagavantaṃ andho viya cakkhuṃ, badhiro viya sotaṃ, mūgo viya kalyāṇavākkaraṇaṃ, hatthapādavikalo viya hatthapāde, daliddo viya dhanasampadaṃ, kantāraddhānappaṭipanno viya khemantabhūmiṃ, rogābhibhūto viya ārogyaṃ, mahāsamudde bhinnanāvo viya mahākullaṃ passituṃ upasaṅkamituñca icchāmāti dasseti. Taramānarūpoti taramānākāro.

    ปาสาทิกนฺติ พาตฺติํสมหาปุริสลกฺขณอสีติอนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภาเกตุมาลาลงฺกตาย สมนฺตปาสาทิกาย อตฺตโน สรีรโสภาสมฺปตฺติยา รูปกายทสฺสนพฺยาวฎสฺส ชนสฺส สพฺพภาคโต ปสาทาวหํฯ ปสาทนียนฺติ ทสพลจตุเวสารชฺชฉอสาธารณญาณอฎฺฐารสาเวณิก- พุทฺธธมฺมปฺปภุติอปริมาณคุณคณสมนฺนาคตาย ธมฺมกายสมฺปตฺติยา สริกฺขกชนสฺส ปสาทนียํ ปสีทิตพฺพยุตฺตํ ปสาทารหํ วาฯ สนฺตินฺทฺริยนฺติ จกฺขาทิปญฺจินฺทฺริยโลลภาวาปคมเนน วูปสนฺตปญฺจินฺทฺริยํฯ สนฺตมานสนฺติ ฉฎฺฐสฺส มนินฺทฺริยสฺส นิพฺพิเสวนภาวูปคมเนน วูปสนฺตมานสํฯ อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปตฺตนฺติ โลกุตฺตรปญฺญาวิมุตฺติเจโตวิมุตฺติสงฺขาตํ อุตฺตมํ ทมถํ สมถญฺจ อนุปฺปตฺวา อธิคนฺตฺวา ฐิตํฯ ทนฺตนฺติ สุปริสุทฺธกายสมาจารตาย เจว หตฺถปาทกุกฺกุจฺจาภาวโต ทวาทิอภาวโต จ กาเยน ทนฺตํฯ คุตฺตนฺติ สุปริสุทฺธวจีสมาจารตาย เจว นิรตฺถกวาจาภาวโต ทวาทิอภาวโต จ วาจาย คุตฺตํฯ ยตินฺทฺริยนฺติ สุปริสุทฺธมโนสมาจารตาย อริยิทฺธิโยเคน อพฺยาวฎอปฺปฎิสงฺขานุเปกฺขาภาวโต จ มนินฺทฺริยวเสน ยตินฺทฺริยํฯ นาคนฺติ ฉนฺทาทิวเสน อคมนโต, ปหีนานํ ราคาทิกิเลสานํ ปุนานาคมนโต, กสฺสจิปิ อาคุสฺส สพฺพถาปิ อกรณโต, ปุนพฺภวสฺส จ อคมนโตติ อิเมหิ การเณหิ นาคํฯ เอตฺถ จ ปาสาทิกนฺติ อิมินา รูปกาเยน ภควโต ปมาณภูตตํ ทีเปติ, ปสาทนียนฺติ อิมินา ธมฺมกาเยน, สนฺตินฺทฺริยนฺติอาทินา เสเสหิ ปมาณภูตตํ ทีเปติฯ เตน จตุปฺปมาณิเก โลกสนฺนิวาเส อนวเสสโต สตฺตานํ ภควโต ปมาณภาโว ปกาสิโตติ เวทิตโพฺพฯ

    Pāsādikanti bāttiṃsamahāpurisalakkhaṇaasītianubyañjanabyāmappabhāketumālālaṅkatāya samantapāsādikāya attano sarīrasobhāsampattiyā rūpakāyadassanabyāvaṭassa janassa sabbabhāgato pasādāvahaṃ. Pasādanīyanti dasabalacatuvesārajjachaasādhāraṇañāṇaaṭṭhārasāveṇika- buddhadhammappabhutiaparimāṇaguṇagaṇasamannāgatāya dhammakāyasampattiyā sarikkhakajanassa pasādanīyaṃ pasīditabbayuttaṃ pasādārahaṃ vā. Santindriyanti cakkhādipañcindriyalolabhāvāpagamanena vūpasantapañcindriyaṃ. Santamānasanti chaṭṭhassa manindriyassa nibbisevanabhāvūpagamanena vūpasantamānasaṃ. Uttamadamathasamathamanuppattanti lokuttarapaññāvimutticetovimuttisaṅkhātaṃ uttamaṃ damathaṃ samathañca anuppatvā adhigantvā ṭhitaṃ. Dantanti suparisuddhakāyasamācāratāya ceva hatthapādakukkuccābhāvato davādiabhāvato ca kāyena dantaṃ. Guttanti suparisuddhavacīsamācāratāya ceva niratthakavācābhāvato davādiabhāvato ca vācāya guttaṃ. Yatindriyanti suparisuddhamanosamācāratāya ariyiddhiyogena abyāvaṭaappaṭisaṅkhānupekkhābhāvato ca manindriyavasena yatindriyaṃ. Nāganti chandādivasena agamanato, pahīnānaṃ rāgādikilesānaṃ punānāgamanato, kassacipi āgussa sabbathāpi akaraṇato, punabbhavassa ca agamanatoti imehi kāraṇehi nāgaṃ. Ettha ca pāsādikanti iminā rūpakāyena bhagavato pamāṇabhūtataṃ dīpeti, pasādanīyanti iminā dhammakāyena, santindriyantiādinā sesehi pamāṇabhūtataṃ dīpeti. Tena catuppamāṇike lokasannivāse anavasesato sattānaṃ bhagavato pamāṇabhāvo pakāsitoti veditabbo.

    เอวํภูตญฺจ ภควนฺตํ อนฺตรวีถิยํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘จิรสฺสํ วต เม สมฺมาสมฺพุโทฺธ ทิโฎฺฐ’’ติ หฎฺฐตุโฎฺฐ ปญฺจวณฺณาย ปีติยา นิรนฺตรํ ผุฎสรีโร ปีติวิปฺผาริตวิวฎนิจฺจลโลจโน ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอณตสรีโร ภควโต สรีรปฺปภาเวมชฺฌํ อโชฺฌคาเหตฺวา ตตฺถ นิมุชฺชโนฺต ภควโต สมีปํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ภควโต ปาเท สมฺพาหโนฺต ปริจุมฺพโนฺต ‘‘เทเสตุ เม, ภเนฺต, ภควา ธมฺม’’นฺติ อาหฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ภควโต ปาเท สิรสา นิปติตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘เทเสตุ เม, ภเนฺต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ, ยํ มมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’’ติฯ

    Evaṃbhūtañca bhagavantaṃ antaravīthiyaṃ gacchantaṃ disvā ‘‘cirassaṃ vata me sammāsambuddho diṭṭho’’ti haṭṭhatuṭṭho pañcavaṇṇāya pītiyā nirantaraṃ phuṭasarīro pītivipphāritavivaṭaniccalalocano diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya oṇatasarīro bhagavato sarīrappabhāvemajjhaṃ ajjhogāhetvā tattha nimujjanto bhagavato samīpaṃ upasaṅkamitvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā bhagavato pāde sambāhanto paricumbanto ‘‘desetu me, bhante, bhagavā dhamma’’nti āha. Tena vuttaṃ – ‘‘bhagavato pādesirasā nipatitvā bhagavantaṃ etadavoca – ‘desetu me, bhante, bhagavā dhammaṃ, desetu sugato dhammaṃ, yaṃ mamassa dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’’ti.

    ตตฺถ สุคโตติ โสภนคมนตฺตา, สุนฺทรํ ฐานํ คตตฺตา, สมฺมา คตตฺตา, สมฺมา คทตฺตา สุคโตฯ คมนมฺปิ หิ คตนฺติ วุจฺจติ, ตญฺจ ภควโต โสภนํ ปริสุทฺธํ อนวชฺชํฯ กิํ ปน ตนฺติ? อริยมโคฺคฯ เตน เหส คมเนน เขมํ ทิสํ อสชฺชมาโน คโต, อเญฺญปิ คเมตีติ โสภนคมนตฺตา สุคโตฯ สุนฺทรเญฺจส ฐานํ อมตํ นิพฺพานํ คโตติ สุนฺทรํ ฐานํ คตตฺตา สุคโตฯ สมฺมา จ คตตฺตา สุคโต เตน เตน มเคฺคน ปหีเน กิเลเส ปุน อปจฺจาคมนโตฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tattha sugatoti sobhanagamanattā, sundaraṃ ṭhānaṃ gatattā, sammā gatattā, sammā gadattā sugato. Gamanampi hi gatanti vuccati, tañca bhagavato sobhanaṃ parisuddhaṃ anavajjaṃ. Kiṃ pana tanti? Ariyamaggo. Tena hesa gamanena khemaṃ disaṃ asajjamāno gato, aññepi gametīti sobhanagamanattā sugato. Sundarañcesa ṭhānaṃ amataṃ nibbānaṃ gatoti sundaraṃ ṭhānaṃ gatattā sugato. Sammā ca gatattā sugato tena tena maggena pahīne kilese puna apaccāgamanato. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘โสตาปตฺติมเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เต กิเลเส น ปุเนติ น ปเจฺจติ น ปจฺจาคจฺฉตีติ สุคโตฯ สกทาคามิ…เป.… อรหตฺตมเคฺคน…เป.… น ปจฺจาคจฺฉตีติ สุคโต’’ติ (จูฬนิ. เมตฺตคูมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒๗)ฯ

    ‘‘Sotāpattimaggena ye kilesā pahīnā, te kilese na puneti na pacceti na paccāgacchatīti sugato. Sakadāgāmi…pe… arahattamaggena…pe… na paccāgacchatīti sugato’’ti (cūḷani. mettagūmāṇavapucchāniddesa 27).

    อถ วา สมฺมา คตตฺตาติ ตีสุปิ อวตฺถาสุ สมฺมาปฎิปตฺติยา คตตฺตา, สุปฺปฎิปนฺนตฺตาติ อโตฺถฯ ทีปงฺกรปาทมูลโต หิ ปฎฺฐาย ยาว มหาโพธิมณฺฑา ตาว สมติํสปารมิปูริตาย สมฺมาปฎิปตฺติยา ญาตตฺถจริยาย โลกตฺถจริยาย พุทฺธตฺถจริยาย โกฎิํ ปาปุณิตฺวา สพฺพโลกสฺส หิตสุขเมว ปริพฺรูหโนฺต สสฺสตํ อุเจฺฉทํ กามสุขํ อตฺตกิลมถนฺติ อิเม อเนฺต อนุปคจฺฉนฺติยา อนุตฺตราย โพชฺฌงฺคภาวนาสงฺขาตาย มชฺฌิมาย ปฎิปทาย อริยสเจฺจสุ ตโต ปรํ สมธิคตธมฺมาธิปเตโยฺย สพฺพสเตฺตสุ อวิสยาย สมฺมาปฎิปตฺติยา จ คโต ปฎิปโนฺนติ เอวมฺปิ สมฺมา คตตฺตา สุคโตฯ สมฺมา เจส คทติ ยุตฺตฎฺฐาเน ยุตฺตเมว วาจํ ภาสตีติ สุคโตฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Atha vā sammā gatattāti tīsupi avatthāsu sammāpaṭipattiyā gatattā, suppaṭipannattāti attho. Dīpaṅkarapādamūlato hi paṭṭhāya yāva mahābodhimaṇḍā tāva samatiṃsapāramipūritāya sammāpaṭipattiyā ñātatthacariyāya lokatthacariyāya buddhatthacariyāya koṭiṃ pāpuṇitvā sabbalokassa hitasukhameva paribrūhanto sassataṃ ucchedaṃ kāmasukhaṃ attakilamathanti ime ante anupagacchantiyā anuttarāya bojjhaṅgabhāvanāsaṅkhātāya majjhimāya paṭipadāya ariyasaccesu tato paraṃ samadhigatadhammādhipateyyo sabbasattesu avisayāya sammāpaṭipattiyā ca gato paṭipannoti evampi sammā gatattā sugato. Sammā cesa gadati yuttaṭṭhāne yuttameva vācaṃ bhāsatīti sugato. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘กาลวาที , ภูตวาที, อตฺถวาที, ธมฺมวาที, วินยวาที, นิธานวติํ วาจํ ภาสิตา กาเลน สาปเทสํ ปริยนฺตวติํ อตฺถสํหิต’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๙; ม. นิ. ๓.๑๔)ฯ

    ‘‘Kālavādī , bhūtavādī, atthavādī, dhammavādī, vinayavādī, nidhānavatiṃ vācaṃ bhāsitā kālena sāpadesaṃ pariyantavatiṃ atthasaṃhita’’nti (dī. ni. 1.9; ma. ni. 3.14).

    อปรมฺปิ วุตฺตํ –

    Aparampi vuttaṃ –

    ‘‘ยา สา วาจา อภูตา อตจฺฉา อนตฺถสํหิตา, ยา จ ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๒.๘๖)ฯ

    ‘‘Yā sā vācā abhūtā atacchā anatthasaṃhitā, yā ca paresaṃ appiyā amanāpā, na taṃ tathāgato vācaṃ bhāsatī’’tiādi (ma. ni. 2.86).

    เอวํ สมฺมา คทตฺตาปิ สุคโตฯ

    Evaṃ sammā gadattāpi sugato.

    ยํ มมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายาติ ยํ ธมฺมสฺส อุปทิสนํ จิรกาลํ มม ฌานวิโมกฺขาทิหิตาย ตทธิคนฺตพฺพสุขาย จ สิยาฯ อกาโล โข ตาว พาหิยาติ ตว ธมฺมเทสนาย น ตาว กาโลติ อโตฺถฯ กิํ ปน ภควโต สตฺตหิตปฎิปตฺติยา อกาโลปิ นาม อตฺถิ, ยโต ภควา กาลวาทีติ? วุจฺจเต – กาโลติ เจตฺถ เวเนยฺยานํ อินฺทฺริยปริปากกาโล อธิเปฺปโตฯ ยสฺมา ปน ตทา พาหิยสฺส อตฺตโน อินฺทฺริยานํ ปริปกฺกาปริปกฺกภาโว ทุพฺพิเญฺญโยฺย, ตสฺมา ภควา ตํ อวตฺวา อตฺตโน อนฺตรวีถิยํ ฐิตภาวมสฺส การณํ อปทิสโนฺต อาห ‘‘อนฺตรฆรํ ปวิฎฺฐมฺหา’’ติฯ ทุชฺชานนฺติ ทุพฺพิเญฺญยฺยํฯ ชีวิตนฺตรายานนฺติ ชีวิตสฺส อนฺตรายกรธมฺมานํ วตฺตนํ อวตฺตนํ วาติ วตฺตุกาโม สมฺภมวเสน ‘‘ชีวิตนฺตรายาน’’นฺติ อาหฯ ตถา หิ อเนกปจฺจยปฺปฎิพทฺธวุตฺติชีวิตํ อเนกรูปา จ ตทนฺตรายาฯ วุตฺตญฺหิ –

    Yaṃ mamassa dīgharattaṃ hitāya sukhāyāti yaṃ dhammassa upadisanaṃ cirakālaṃ mama jhānavimokkhādihitāya tadadhigantabbasukhāya ca siyā. Akālo kho tāva bāhiyāti tava dhammadesanāya na tāva kāloti attho. Kiṃ pana bhagavato sattahitapaṭipattiyā akālopi nāma atthi, yato bhagavā kālavādīti? Vuccate – kāloti cettha veneyyānaṃ indriyaparipākakālo adhippeto. Yasmā pana tadā bāhiyassa attano indriyānaṃ paripakkāparipakkabhāvo dubbiññeyyo, tasmā bhagavā taṃ avatvā attano antaravīthiyaṃ ṭhitabhāvamassa kāraṇaṃ apadisanto āha ‘‘antaragharaṃ paviṭṭhamhā’’ti. Dujjānanti dubbiññeyyaṃ. Jīvitantarāyānanti jīvitassa antarāyakaradhammānaṃ vattanaṃ avattanaṃ vāti vattukāmo sambhamavasena ‘‘jīvitantarāyāna’’nti āha. Tathā hi anekapaccayappaṭibaddhavuttijīvitaṃ anekarūpā ca tadantarāyā. Vuttañhi –

    ‘‘อเชฺชว กิจฺจมาตปฺปํ, โก ชญฺญา มรณํ สุเว;

    ‘‘Ajjeva kiccamātappaṃ, ko jaññā maraṇaṃ suve;

    น หิ โน สงฺครํ เตน, มหาเสเนน มจฺจุนา’’ติฯ (ม. นิ. ๓.๒๗๒; เนตฺติ. ๑๐๓);

    Na hi no saṅgaraṃ tena, mahāsenena maccunā’’ti. (ma. ni. 3.272; netti. 103);

    กสฺมา ปนายํ ชีวิตนฺตรายเมว ตาว ปุรกฺขโรติ? ‘‘นิมิตฺตญฺญุตาย อทิฎฺฐโกสเลฺลน วา’’ติ เกจิฯ อปเร ‘‘เทวตาย สนฺติเก ชีวิตนฺตรายสฺส สุตตฺตา’’ติ วทนฺติฯ อนฺติมภวิกตฺตา ปน อุปนิสฺสยสมฺปตฺติยา โจทิยมาโน เอวมาหฯ น หิ เตสํ อปฺปตฺตอรหตฺตานํ ชีวิตกฺขโย โหติฯ กิํ ปน การณา ภควา ตสฺส ธมฺมํ เทเสตุกาโมว ทฺวิกฺขตฺตุํ ปฎิกฺขิปิ? เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘อิมสฺส มํ ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย สกลสรีรํ ปีติยา นิรนฺตรํ ผุฎํ, อติพลวา ปีติเวโค, ธมฺมํ สุตฺวาปิ น ตาว สกฺขิสฺสติ ปฎิวิชฺฌิตุํฯ ยาว ปน มชฺฌตฺตุเปกฺขา สณฺฐาติ, ตาว ติฎฺฐตุ, วีสโยชนสตํ มคฺคํ อาคตตฺตา ทรโถปิสฺส กาเย พลวา, โสปิ ตาว ปฎิปฺปสฺสมฺภตู’’ติฯ ตสฺมา ทฺวิกฺขตฺตุํ ปฎิกฺขิปิฯ เกจิ ปน ‘‘ธมฺมสฺสวเน อาทรชนนตฺถํ ภควา เอวมกาสี’’ติ วทนฺติฯ ตติยวารํ ยาจิโต ปน มชฺฌตฺตุเปกฺขํ ทรถปฺปฎิปสฺสทฺธิํ ปจฺจุปฎฺฐิตญฺจสฺส ชีวิตนฺตรายํ ทิสฺวา ‘‘อิทานิ ธมฺมเทสนาย กาโล’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ตสฺมา ติหา’’ติอาทินา ธมฺมเทสนํ อารภิฯ

    Kasmā panāyaṃ jīvitantarāyameva tāva purakkharoti? ‘‘Nimittaññutāya adiṭṭhakosallena vā’’ti keci. Apare ‘‘devatāya santike jīvitantarāyassa sutattā’’ti vadanti. Antimabhavikattā pana upanissayasampattiyā codiyamāno evamāha. Na hi tesaṃ appattaarahattānaṃ jīvitakkhayo hoti. Kiṃ pana kāraṇā bhagavā tassa dhammaṃ desetukāmova dvikkhattuṃ paṭikkhipi? Evaṃ kirassa ahosi ‘‘imassa maṃ diṭṭhakālato paṭṭhāya sakalasarīraṃ pītiyā nirantaraṃ phuṭaṃ, atibalavā pītivego, dhammaṃ sutvāpi na tāva sakkhissati paṭivijjhituṃ. Yāva pana majjhattupekkhā saṇṭhāti, tāva tiṭṭhatu, vīsayojanasataṃ maggaṃ āgatattā darathopissa kāye balavā, sopi tāva paṭippassambhatū’’ti. Tasmā dvikkhattuṃ paṭikkhipi. Keci pana ‘‘dhammassavane ādarajananatthaṃ bhagavā evamakāsī’’ti vadanti. Tatiyavāraṃ yācito pana majjhattupekkhaṃ darathappaṭipassaddhiṃ paccupaṭṭhitañcassa jīvitantarāyaṃ disvā ‘‘idāni dhammadesanāya kālo’’ti cintetvā ‘‘tasmā tihā’’tiādinā dhammadesanaṃ ārabhi.

    ตตฺถ ตสฺมาติ ยสฺมา ตฺวํ อุสฺสุกฺกชาโต หุตฺวา อติวิย มํ ยาจสิ, ยสฺมา วา ชีวิตนฺตรายานํ ทุชฺชานตํ วทสิ, อินฺทฺริยานิ จ เต ปริปากํ คตานิ, ตสฺมาฯ ติหาติ นิปาตมตฺตํฯ เตติ ตยา เอวนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพาการํ วทติฯ

    Tattha tasmāti yasmā tvaṃ ussukkajāto hutvā ativiya maṃ yācasi, yasmā vā jīvitantarāyānaṃ dujjānataṃ vadasi, indriyāni ca te paripākaṃ gatāni, tasmā. Tihāti nipātamattaṃ. Teti tayā evanti idāni vattabbākāraṃ vadati.

    สิกฺขิตพฺพนฺติ อธิสีลสิกฺขาทีนํ ติสฺสนฺนมฺปิ สิกฺขานํ วเสน สิกฺขนํ กาตพฺพํฯ ยถา ปน สิกฺขิตพฺพํ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติอาทิมาหฯ

    Sikkhitabbanti adhisīlasikkhādīnaṃ tissannampi sikkhānaṃ vasena sikkhanaṃ kātabbaṃ. Yathā pana sikkhitabbaṃ, taṃ dassento ‘‘diṭṭhe diṭṭhamattaṃ bhavissatī’’tiādimāha.

    ตตฺถ ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตนฺติ รูปายตเน จกฺขุวิญฺญาเณน ทิฎฺฐมตฺตํฯ ยถา หิ จกฺขุวิญฺญาณํ รูเป รูปมตฺตเมว ปสฺสติ, น อนิจฺจาทิสภาวํ, เอวเมว เสสํฯ จกฺขุทฺวาริกวิญฺญาเณน หิ เม ทิฎฺฐมตฺตเมว ภวิสฺสตีติ สิกฺขิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ อถ วา ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐํ นาม จกฺขุวิญฺญาเณน รูปวิชานนนฺติ อโตฺถฯ มตฺตนฺติ ปมาณํฯ ทิฎฺฐา มตฺตา เอตสฺสาติ ทิฎฺฐมตฺตํ, จกฺขุวิญฺญาณมตฺตเมว จิตฺตํ ภวิสฺสตีติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา อาปาถคเต รูเป จกฺขุวิญฺญาณํ น รชฺชติ, น ทุสฺสติ, น มุยฺหติ, เอวํ ราคาทิวิรเหน จกฺขุวิญฺญาณมตฺตเมว เม ชวนํ ภวิสฺสติ, จกฺขุวิญฺญาณปฺปมาเณเนว ชวนํ ฐเปสฺสามีติฯ

    Tattha diṭṭhe diṭṭhamattanti rūpāyatane cakkhuviññāṇena diṭṭhamattaṃ. Yathā hi cakkhuviññāṇaṃ rūpe rūpamattameva passati, na aniccādisabhāvaṃ, evameva sesaṃ. Cakkhudvārikaviññāṇena hi me diṭṭhamattameva bhavissatīti sikkhitabbanti attho. Atha vā diṭṭhe diṭṭhaṃ nāma cakkhuviññāṇena rūpavijānananti attho. Mattanti pamāṇaṃ. Diṭṭhā mattā etassāti diṭṭhamattaṃ, cakkhuviññāṇamattameva cittaṃ bhavissatīti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā āpāthagate rūpe cakkhuviññāṇaṃ na rajjati, na dussati, na muyhati, evaṃ rāgādivirahena cakkhuviññāṇamattameva me javanaṃ bhavissati, cakkhuviññāṇappamāṇeneva javanaṃ ṭhapessāmīti.

    อถ วา ทิฎฺฐํ นาม จกฺขุวิญฺญาเณน ทิฎฺฐํ รูปํ, ทิฎฺฐมตฺตํ นาม ตเตฺถว อุปฺปนฺนํ สมฺปฎิจฺฉนสนฺตีรณโวฎฺฐพฺพนสงฺขาตํ จิตฺตตฺตยํฯ ยถา ตํ น รชฺชติ, น ทุสฺสติ, น มุยฺหติ, เอวํ อาปาถคเต รูเป เตเนว สมฺปฎิจฺฉนาทิปฺปมาเณน ชวนํ อุปฺปาเทสฺสามิ, นาหํ ตํ ปมาณํ อติกฺกมิตฺวา รชฺชนาทิวเสน อุปฺปชฺชิตุํ ทสฺสามีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอเสว นโย สุตมุเต ฯ มุตนฺติ ตทารมฺมณวิญฺญาเณหิ สทฺธิํ คนฺธรสโผฎฺฐพฺพายตนํ เวทิตพฺพํฯ วิญฺญาเต วิญฺญาตมตฺตนฺติ เอตฺถ ปน วิญฺญาตํ นาม มโนทฺวาราวชฺชเนน วิญฺญาตารมฺมณํฯ ตสฺมิํ วิญฺญาเต วิญฺญาตมตฺตนฺติ อาวชฺชนปฺปมาณํฯ ยถา อาวชฺชนํ น รชฺชติ, น ทุสฺสติ, น มุยฺหติ, เอวํ รชฺชนาทิวเสน จ อุปฺปชฺชิตุํ อทตฺวา อาวชฺชนปฺปมาเณเนว จิตฺตํ ฐเปสฺสามีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ เอวญฺหิ เต, พาหิย, สิกฺขิตพฺพนฺติ เอวํ อิมาย ปฎิปทาย ตยา, พาหิย, ติสฺสนฺนํ สิกฺขานํ อนุวตฺตนวเสน สิกฺขิตพฺพํฯ

    Atha vā diṭṭhaṃ nāma cakkhuviññāṇena diṭṭhaṃ rūpaṃ, diṭṭhamattaṃ nāma tattheva uppannaṃ sampaṭicchanasantīraṇavoṭṭhabbanasaṅkhātaṃ cittattayaṃ. Yathā taṃ na rajjati, na dussati, na muyhati, evaṃ āpāthagate rūpe teneva sampaṭicchanādippamāṇena javanaṃ uppādessāmi, nāhaṃ taṃ pamāṇaṃ atikkamitvā rajjanādivasena uppajjituṃ dassāmīti evamettha attho daṭṭhabbo. Eseva nayo sutamute . Mutanti tadārammaṇaviññāṇehi saddhiṃ gandharasaphoṭṭhabbāyatanaṃ veditabbaṃ. Viññāte viññātamattanti ettha pana viññātaṃ nāma manodvārāvajjanena viññātārammaṇaṃ. Tasmiṃ viññāte viññātamattanti āvajjanappamāṇaṃ. Yathā āvajjanaṃ na rajjati, na dussati, na muyhati, evaṃ rajjanādivasena ca uppajjituṃ adatvā āvajjanappamāṇeneva cittaṃ ṭhapessāmīti ayamettha attho. Evañhi te, bāhiya, sikkhitabbanti evaṃ imāya paṭipadāya tayā, bāhiya, tissannaṃ sikkhānaṃ anuvattanavasena sikkhitabbaṃ.

    อิติ ภควา พาหิยสฺส สํขิตฺตรุจิตาย ฉหิ วิญฺญาณกาเยหิ สทฺธิํ ฉฬารมฺมณเภทภินฺนํ วิปสฺสนาย วิสยํ ทิฎฺฐาทีหิ จตูหิ โกฎฺฐาเสหิ วิภชิตฺวา ตตฺถสฺส ญาตตีรณปริญฺญํ ทเสฺสติฯ กถํ? เอตฺถ หิ รูปายตนํ ปสฺสิตพฺพเฎฺฐน ทิฎฺฐํ นาม, จกฺขุวิญฺญาณํ ปน สทฺธิํ ตํทฺวาริกวิญฺญาเณหิ ทสฺสนเฎฺฐน, ตทุภยมฺปิ ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ธมฺมมตฺตเมว, น เอตฺถ โกจิ กตฺตา วา กาเรตา วา, ยโต ตํ หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจํ, อุทยพฺพยปฺปฎิปีฬนเฎฺฐน ทุกฺขํ, อวสวตฺตนเฎฺฐน อนตฺตาติ กุโต ตตฺถ ปณฺฑิตสฺส รชฺชนาทีนํ โอกาโสติ? อยเมตฺถ อธิปฺปาโย สุตาทีสุปิฯ

    Iti bhagavā bāhiyassa saṃkhittarucitāya chahi viññāṇakāyehi saddhiṃ chaḷārammaṇabhedabhinnaṃ vipassanāya visayaṃ diṭṭhādīhi catūhi koṭṭhāsehi vibhajitvā tatthassa ñātatīraṇapariññaṃ dasseti. Kathaṃ? Ettha hi rūpāyatanaṃ passitabbaṭṭhena diṭṭhaṃ nāma, cakkhuviññāṇaṃ pana saddhiṃ taṃdvārikaviññāṇehi dassanaṭṭhena, tadubhayampi yathāpaccayaṃ pavattamānaṃ dhammamattameva, na ettha koci kattā vā kāretā vā, yato taṃ hutvā abhāvaṭṭhena aniccaṃ, udayabbayappaṭipīḷanaṭṭhena dukkhaṃ, avasavattanaṭṭhena anattāti kuto tattha paṇḍitassa rajjanādīnaṃ okāsoti? Ayamettha adhippāyo sutādīsupi.

    อิทานิ ญาตตีรณปริญฺญาสุ ปติฎฺฐิตสฺส อุปริ สห มคฺคผเลน ปหานปริญฺญํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ยโต โข เต, พาหิยา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ ยโตติ ยทา, ยสฺมา วาฯ เตติ ตวฯ ตโตติ ตทา, ตสฺมา วาฯ เตนาติ เตน ทิฎฺฐาทินา, ทิฎฺฐาทิปฎิพเทฺธน ราคาทินา วาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – พาหิย, ตว ยสฺมิํ กาเล เยน วา การเณน ทิฎฺฐาทีสุ มยา วุตฺตวิธิํ ปฎิปชฺชนฺตสฺส อวิปรีตสภาวาวโพเธน ทิฎฺฐาทิมตฺตํ ภวิสฺสติ, ตสฺมิํ กาเล เตน วา การเณน ทิฎฺฐาทิปฎิพเทฺธน ราคาทินา สห น ภวิสฺสสิ, รโตฺต วา ทุโฎฺฐ วา มูโฬฺห วา น ภวิสฺสสิ, ปหีนราคาทิกตฺตา เตน วา ทิฎฺฐาทินา สห ปฎิพโทฺธ น ภวิสฺสสีติฯ ตโต ตฺวํ, พาหิย, น ตตฺถาติ ยทา ยสฺมา วา ตฺวํ เตน ราเคน วา รโตฺต โทเสน วา ทุโฎฺฐ โมเหน วา มูโฬฺห น ภวิสฺสสิ, ตทา ตสฺมา วา ตฺวํ ตตฺถ ทิฎฺฐาทิเก น ภวิสฺสสิ, ตสฺมิํ ทิเฎฺฐ วา สุตมุตวิญฺญาเต วา ‘‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ ตณฺหามานทิฎฺฐีหิ อลฺลีโน ปติฎฺฐิโต น ภวิสฺสสิฯ เอตฺตาวตา ปหานปริญฺญํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ขีณาสวภูมิ ทสฺสิตาฯ

    Idāni ñātatīraṇapariññāsu patiṭṭhitassa upari saha maggaphalena pahānapariññaṃ dassetuṃ, ‘‘yato kho te, bāhiyā’’tiādi āraddhaṃ. Tattha yatoti yadā, yasmā vā. Teti tava. Tatoti tadā, tasmā vā. Tenāti tena diṭṭhādinā, diṭṭhādipaṭibaddhena rāgādinā vā. Idaṃ vuttaṃ hoti – bāhiya, tava yasmiṃ kāle yena vā kāraṇena diṭṭhādīsu mayā vuttavidhiṃ paṭipajjantassa aviparītasabhāvāvabodhena diṭṭhādimattaṃ bhavissati, tasmiṃ kāle tena vā kāraṇena diṭṭhādipaṭibaddhena rāgādinā saha na bhavissasi, ratto vā duṭṭho vā mūḷho vā na bhavissasi, pahīnarāgādikattā tena vā diṭṭhādinā saha paṭibaddho na bhavissasīti. Tato tvaṃ, bāhiya, na tatthāti yadā yasmā vā tvaṃ tena rāgena vā ratto dosena vā duṭṭho mohena vā mūḷho na bhavissasi, tadā tasmā vā tvaṃ tattha diṭṭhādike na bhavissasi, tasmiṃ diṭṭhe vā sutamutaviññāte vā ‘‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti taṇhāmānadiṭṭhīhi allīno patiṭṭhito na bhavissasi. Ettāvatā pahānapariññaṃ matthakaṃ pāpetvā khīṇāsavabhūmi dassitā.

    ตโต ตฺวํ, พาหิย, เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเรนาติ ยทา ตฺวํ, พาหิย, เตน ราคาทินา ตตฺถ ทิฎฺฐาทีสุ ปฎิพโทฺธ น ภวิสฺสสิ, ตทา ตฺวํ เนว อิธโลเก น ปรโลเก น อุภยตฺถาปิฯ เอเสวโนฺต ทุกฺขสฺสาติ กิเลสทุกฺขสฺส จ วฎฺฎทุกฺขสฺส จ อยเมว หิ อโนฺต อยํ ปริวฎุมภาโวติ อยเมว หิ เอตฺถ อโตฺถฯ เย ปน ‘‘อุภยมนฺตเรนา’’ติ ปทํ คเหตฺวา อนฺตราภวํ นาม อิจฺฉนฺติ, เตสํ ตํ มิจฺฉาฯ อนฺตราภวสฺส หิ ภาโว อภิธเมฺม ปฎิกฺขิโตฺตเยวฯ อนฺตเรนาติ วจนํ ปน วิกปฺปนฺตรทีปนํ, ตสฺมา อยเมตฺถ อโตฺถ – ‘‘เนว อิธ น หุรํ, อปโร วิกโปฺป น อุภย’’นฺติฯ

    Tatotvaṃ, bāhiya, nevidha na huraṃ na ubhayamantarenāti yadā tvaṃ, bāhiya, tena rāgādinā tattha diṭṭhādīsu paṭibaddho na bhavissasi, tadā tvaṃ neva idhaloke na paraloke na ubhayatthāpi. Esevanto dukkhassāti kilesadukkhassa ca vaṭṭadukkhassa ca ayameva hi anto ayaṃ parivaṭumabhāvoti ayameva hi ettha attho. Ye pana ‘‘ubhayamantarenā’’ti padaṃ gahetvā antarābhavaṃ nāma icchanti, tesaṃ taṃ micchā. Antarābhavassa hi bhāvo abhidhamme paṭikkhittoyeva. Antarenāti vacanaṃ pana vikappantaradīpanaṃ, tasmā ayamettha attho – ‘‘neva idha na huraṃ, aparo vikappo na ubhaya’’nti.

    อถ วา อนฺตเรนาติ วจนํ ปน วิกปฺปนฺตราภาวทีปนํฯ ตสฺสโตฺถ – ‘‘เนว อิธ น หุรํ, อุภยมนฺตเร ปน น อญฺญฎฺฐานํ อตฺถี’’ติฯ เยปิ จ ‘‘อนฺตราปรินิพฺพายี สมฺภเวสี’’ติ จ อิเมสํ สุตฺตปทานํ อตฺถํ อโยนิโส คเหตฺวา ‘‘อตฺถิเยว อนฺตราภโว’’ติ วทนฺติ, เตปิ ยสฺมา อวิหาทีสุ ตตฺถ ตตฺถ อายุเวมชฺฌํ อนติกฺกมิตฺวา อนฺตรา อคฺคมคฺคาธิคเมน อนวเสสกิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายตีติ อนฺตราปรินิพฺพายี, น อนฺตราภวภูโตติ ปุริมสฺส สุตฺตปทสฺส อโตฺถฯ ปจฺฉิมสฺส จ เย ภูตา เอว, น ภวิสฺสนฺติ, เต ขีณาสวา ปุริมปเท ภูตาติ วุตฺตาฯ ตพฺพิรุทฺธตาย สมฺภวเมสนฺตีติ สมฺภเวสิโน, อปฺปหีนภวสํโยชนตฺตา เสขา ปุถุชฺชนา จฯ จตูสุ วา โยนีสุ อณฺฑชชลาพุชสตฺตา ยาว อณฺฑโกสํ วตฺถิโกสญฺจ น ภินฺทนฺติ, ตาว สมฺภเวสี นาม, อณฺฑโกสโต วตฺถิโกสโต จ พหิ นิกฺขนฺตา ภูตา นามฯ สํเสทชา โอปปาติกา จ ปฐมจิตฺตกฺขเณ สมฺภเวสี นาม, ทุติยจิตฺตกฺขณโต ปฎฺฐาย ภูตา นามฯ เยน วา อิริยาปเถน ชายนฺติ, ยาว ตโต อญฺญํ น ปาปุณนฺติ, ตาว สมฺภเวสิโน, ตโต ปรํ ภูตาติ อโตฺถฯ ตสฺมา นตฺถีติ ปฎิกฺขิปิตพฺพาฯ สติ หิ อุชุเก ปาฬิอนุคเต อเตฺถ กิํ อนิทฺธาริตสามตฺถิเยน อนฺตราภเวน ปริกปฺปิเตน ปโยชนนฺติฯ

    Atha vā antarenāti vacanaṃ pana vikappantarābhāvadīpanaṃ. Tassattho – ‘‘neva idha na huraṃ, ubhayamantare pana na aññaṭṭhānaṃ atthī’’ti. Yepi ca ‘‘antarāparinibbāyī sambhavesī’’ti ca imesaṃ suttapadānaṃ atthaṃ ayoniso gahetvā ‘‘atthiyeva antarābhavo’’ti vadanti, tepi yasmā avihādīsu tattha tattha āyuvemajjhaṃ anatikkamitvā antarā aggamaggādhigamena anavasesakilesaparinibbānena parinibbāyatīti antarāparinibbāyī, na antarābhavabhūtoti purimassa suttapadassa attho. Pacchimassa ca ye bhūtā eva, na bhavissanti, te khīṇāsavā purimapade bhūtāti vuttā. Tabbiruddhatāya sambhavamesantīti sambhavesino, appahīnabhavasaṃyojanattā sekhā puthujjanā ca. Catūsu vā yonīsu aṇḍajajalābujasattā yāva aṇḍakosaṃ vatthikosañca na bhindanti, tāva sambhavesī nāma, aṇḍakosato vatthikosato ca bahi nikkhantā bhūtā nāma. Saṃsedajā opapātikā ca paṭhamacittakkhaṇe sambhavesī nāma, dutiyacittakkhaṇato paṭṭhāya bhūtā nāma. Yena vā iriyāpathena jāyanti, yāva tato aññaṃ na pāpuṇanti, tāva sambhavesino, tato paraṃ bhūtāti attho. Tasmā natthīti paṭikkhipitabbā. Sati hi ujuke pāḷianugate atthe kiṃ aniddhāritasāmatthiyena antarābhavena parikappitena payojananti.

    เย ปน ‘‘สนฺตานวเสน ปวตฺตมานานํ ธมฺมานํ อวิเจฺฉเทน เทสนฺตเรสุ ปาตุภาโว ทิโฎฺฐ, ยถา ตํ วีหิอาทิอวิญฺญาณกสนฺตาเน, เอวํ สวิญฺญาณกสนฺตาเนปิ อวิเจฺฉเทน เทสนฺตเรสุ ปาตุภาเวน ภวิตพฺพํฯ อยญฺจ นโย สติ อนฺตราภเว ยุชฺชติ, น อญฺญถา’’ติ ยุตฺติํ วทนฺติฯ เตน หิ อิทฺธิมโต เจโตวสิปฺปตฺตสฺส จิตฺตานุคติกํ กายํ อธิฎฺฐหนฺตสฺส ขเณน พฺรหฺมโลกโต อิธูปสงฺกมเน อิโต วา พฺรหฺมโลกคมเน ยุตฺติ วตฺตพฺพาฯ ยทิ สพฺพเตฺถว อวิจฺฉินฺนเทเส ธมฺมานํ ปวตฺติ อิจฺฉิตา, ยทิปิ สิยา อิทฺธิมนฺตานํ อิทฺธิวิสโย อจิเนฺตโยฺยติฯ ตํ อิธาปิ สมานํ ‘‘กมฺมวิปาโก อจิเนฺตโยฺย’’ติ วจนโตฯ ตสฺมา ตํ เตสํ มติมตฺตเมวฯ อจิเนฺตยฺยสภาวา หิ สภาวธมฺมา, เต กตฺถจิ ปจฺจยวเสน วิจฺฉินฺนเทเส ปาตุภวนฺติ, กตฺถจิ อวิจฺฉินฺนเทเสฯ ตถา หิ มุขโฆสาทีหิ ปจฺจเยหิ อญฺญสฺมิํ เทเส อาทาสปพฺพตปฺปเทสาทิเก ปฎิพิมฺพปฎิโฆสาทิกํ ปจฺจยุปฺปนฺนํ นิพฺพตฺตมานํ ทิสฺสติ, ตสฺมา น สพฺพํ สพฺพตฺถ อุปเนตพฺพนฺติ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน ปฎิพิมฺพสฺส อุทาหรณภาวสาธนาทิโก อนฺตราภวกถาวิจาโร กถาวตฺถุปกรณสฺส (กถา. ๕๐๕; กถา. อฎฺฐ. ๕๐๕) ฎีกายํ คเหตโพฺพฯ

    Ye pana ‘‘santānavasena pavattamānānaṃ dhammānaṃ avicchedena desantaresu pātubhāvo diṭṭho, yathā taṃ vīhiādiaviññāṇakasantāne, evaṃ saviññāṇakasantānepi avicchedena desantaresu pātubhāvena bhavitabbaṃ. Ayañca nayo sati antarābhave yujjati, na aññathā’’ti yuttiṃ vadanti. Tena hi iddhimato cetovasippattassa cittānugatikaṃ kāyaṃ adhiṭṭhahantassa khaṇena brahmalokato idhūpasaṅkamane ito vā brahmalokagamane yutti vattabbā. Yadi sabbattheva avicchinnadese dhammānaṃ pavatti icchitā, yadipi siyā iddhimantānaṃ iddhivisayo acinteyyoti. Taṃ idhāpi samānaṃ ‘‘kammavipāko acinteyyo’’ti vacanato. Tasmā taṃ tesaṃ matimattameva. Acinteyyasabhāvā hi sabhāvadhammā, te katthaci paccayavasena vicchinnadese pātubhavanti, katthaci avicchinnadese. Tathā hi mukhaghosādīhi paccayehi aññasmiṃ dese ādāsapabbatappadesādike paṭibimbapaṭighosādikaṃ paccayuppannaṃ nibbattamānaṃ dissati, tasmā na sabbaṃ sabbattha upanetabbanti ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana paṭibimbassa udāharaṇabhāvasādhanādiko antarābhavakathāvicāro kathāvatthupakaraṇassa (kathā. 505; kathā. aṭṭha. 505) ṭīkāyaṃ gahetabbo.

    อปเร ปน ‘‘อิธาติ กามภโว, หุรนฺติ อรูปภโว, อุภยมนฺตเรนาติ รูปภโว วุโตฺต’’ติฯ อเญฺญ ‘‘อิธาติ อชฺฌตฺติกายตนานิ, หุรนฺติ พาหิรายตนานิ, อุภยมนฺตเรนาติ จิตฺตเจตสิกา’’ติฯ ‘‘อิธาติ วา ปจฺจยธมฺมา, หุรนฺติ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมา, อุภยมนฺตเรนาติ ปณฺณตฺติธมฺมา วุตฺตา’’ติ วทนฺติฯ ตํ สพฺพํ อฎฺฐกถาสุ นตฺถิฯ เอวํ ตาว ‘‘ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติอาทินา ทิฎฺฐาทิวเสน จตุธา เตภูมกธมฺมา สงฺคเหตพฺพาฯ ตตฺถ สุภสุขนิจฺจอตฺตคฺคาหปริวชฺชนมุเขน อสุภทุกฺขานิจฺจานตฺตานุปสฺสนา ทสฺสิตาติ เหฎฺฐิมาหิ วิสุทฺธีหิ สทฺธิํ สเงฺขเปเนว วิปสฺสนา กถิตาฯ ‘‘ตโต ตฺวํ, พาหิย, น เตนา’’ติ อิมินา ราคาทีนํ สมุเจฺฉทสฺส อธิเปฺปตตฺตา มโคฺคฯ ‘‘ตโต ตฺวํ, พาหิย, น ตตฺถา’’ติ อิมินา ผลํฯ ‘‘เนวิธา’’ติอาทินา อนุปาทิเสสา ปรินิพฺพานธาตุ กถิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข พาหิยสฺส…เป.… อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจี’’ติฯ

    Apare pana ‘‘idhāti kāmabhavo, huranti arūpabhavo, ubhayamantarenāti rūpabhavo vutto’’ti. Aññe ‘‘idhāti ajjhattikāyatanāni, huranti bāhirāyatanāni, ubhayamantarenāti cittacetasikā’’ti. ‘‘Idhāti vā paccayadhammā, huranti paccayuppannadhammā, ubhayamantarenāti paṇṇattidhammā vuttā’’ti vadanti. Taṃ sabbaṃ aṭṭhakathāsu natthi. Evaṃ tāva ‘‘diṭṭhe diṭṭhamattaṃ bhavissatī’’tiādinā diṭṭhādivasena catudhā tebhūmakadhammā saṅgahetabbā. Tattha subhasukhaniccaattaggāhaparivajjanamukhena asubhadukkhāniccānattānupassanā dassitāti heṭṭhimāhi visuddhīhi saddhiṃ saṅkhepeneva vipassanā kathitā. ‘‘Tato tvaṃ, bāhiya, na tenā’’ti iminā rāgādīnaṃ samucchedassa adhippetattā maggo. ‘‘Tato tvaṃ, bāhiya, na tatthā’’ti iminā phalaṃ. ‘‘Nevidhā’’tiādinā anupādisesā parinibbānadhātu kathitāti daṭṭhabbaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bāhiyassa…pe… āsavehi cittaṃ vimuccī’’ti.

    อิมาย สํขิตฺตปทาย เทสนาย ตาวเทวาติ ตสฺมิํเยว ขเณ, น กาลนฺตเรฯ อนุปาทายาติ อคฺคเหตฺวาฯ อาสเวหีติ อาภวคฺคํ อาโคตฺรภุํ สวนโต ปวตฺตนโต จิรปาริวาสิยเฎฺฐน มทิราทิอาสวสทิสตาย จ ‘‘อาสวา’’ติ ลทฺธนาเมหิ กามราคาทีหิฯ วิมุจฺจีติ สมุเจฺฉทวิมุตฺติยา ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติยา จ วิมุจฺจิ นิสฺสชฺชิฯ โส หิ สตฺถุ ธมฺมํ สุณโนฺต เอว สีลานิ โสเธตฺวา ยถาลทฺธํ จิตฺตสมาธิํ นิสฺสาย วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา ขิปฺปาภิญฺญตาย ตาวเทว สพฺพาสเว เขเปตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส สํสารโสตํ ฉินฺทิตฺวา กตวฎฺฎปริยโนฺต อนฺติมเทหธโร หุตฺวา เอกูนวีสติยา ปจฺจเวกฺขณาสุ ปวตฺตาสุ ธมฺมตาย โจทิยมาโน ภควนฺตํ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ ‘‘ปริปุณฺณํ เต ปตฺตจีวร’’นฺติ ปุโฎฺฐ ‘‘น ปริปุณฺณ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘เตน หิ ปตฺตจีวรํ ปริเยสา’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา…เป.… ปกฺกามี’’ติฯ

    Imāya saṃkhittapadāya desanāya tāvadevāti tasmiṃyeva khaṇe, na kālantare. Anupādāyāti aggahetvā. Āsavehīti ābhavaggaṃ āgotrabhuṃ savanato pavattanato cirapārivāsiyaṭṭhena madirādiāsavasadisatāya ca ‘‘āsavā’’ti laddhanāmehi kāmarāgādīhi. Vimuccīti samucchedavimuttiyā paṭippassaddhivimuttiyā ca vimucci nissajji. So hi satthu dhammaṃ suṇanto eva sīlāni sodhetvā yathāladdhaṃ cittasamādhiṃ nissāya vipassanaṃ paṭṭhapetvā khippābhiññatāya tāvadeva sabbāsave khepetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. So saṃsārasotaṃ chinditvā katavaṭṭapariyanto antimadehadharo hutvā ekūnavīsatiyā paccavekkhaṇāsu pavattāsu dhammatāya codiyamāno bhagavantaṃ pabbajjaṃ yāci. ‘‘Paripuṇṇaṃ te pattacīvara’’nti puṭṭho ‘‘na paripuṇṇa’’nti āha. Atha naṃ satthā ‘‘tena hi pattacīvaraṃ pariyesā’’ti vatvā pakkāmi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavā…pe… pakkāmī’’ti.

    โส กิร กสฺสปทสพลสฺส สาสเน วีสวสฺสสหสฺสานิ สมณธมฺมํ กโรโนฺต ‘‘ภิกฺขุนา นาม อตฺตนา ปจฺจเย ลภิตฺวา ยถาทานํ กโรเนฺตน อตฺตนาว ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เอกสฺส ภิกฺขุสฺสปิ ปเตฺตน วา จีวเรน วา สงฺคหํ นากาสิ, เตนสฺส เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทาย อุปนิสฺสโย นาโหสิฯ เกจิ ปนาหุ – ‘‘โส กิร พุทฺธสุเญฺญ โลเก โจโร หุตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา อรเญฺญ โจริกํ กโรโนฺต เอกํ ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา ปตฺตจีวรโลเภน ตํ อุสุนา วิชฺฌิตฺวา ปตฺตจีวรํ คณฺหิ, เตนสฺส อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ น อุปฺปชฺชิสฺสตีติ, สตฺถา ตํ ญตฺวา เอหิภิกฺขุภาเวน ปพฺพชฺชํ น อทาสี’’ติฯ ตมฺปิ ปตฺตจีวรปริเยสนํ จรมานํ เอกา เธนุ เวเคน อาปตนฺตี ปหริตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อถ โข อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต พาหิยํ ทารุจีริยํ คาวี ตรุณวจฺฉา อธิปติตฺวา ชีวิตา โวโรเปสี’’ติฯ

    So kira kassapadasabalassa sāsane vīsavassasahassāni samaṇadhammaṃ karonto ‘‘bhikkhunā nāma attanā paccaye labhitvā yathādānaṃ karontena attanāva paribhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti ekassa bhikkhussapi pattena vā cīvarena vā saṅgahaṃ nākāsi, tenassa ehibhikkhuupasampadāya upanissayo nāhosi. Keci panāhu – ‘‘so kira buddhasuññe loke coro hutvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā araññe corikaṃ karonto ekaṃ paccekabuddhaṃ disvā pattacīvaralobhena taṃ usunā vijjhitvā pattacīvaraṃ gaṇhi, tenassa iddhimayapattacīvaraṃ na uppajjissatīti, satthā taṃ ñatvā ehibhikkhubhāvena pabbajjaṃ na adāsī’’ti. Tampi pattacīvarapariyesanaṃ caramānaṃ ekā dhenu vegena āpatantī paharitvā jīvitakkhayaṃ pāpesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘atha kho acirapakkantassa bhagavato bāhiyaṃ dārucīriyaṃ gāvī taruṇavacchā adhipatitvā jīvitā voropesī’’ti.

    ตตฺถ อจิรปกฺกนฺตสฺสาติ น จิรํ ปกฺกนฺตสฺส ภควโตฯ คาวี ตรุณวจฺฉาติ เอกา ยกฺขินี ตรุณวจฺฉเธนุรูปาฯ อธิปติตฺวาติ อภิภวิตฺวา มทฺทิตฺวาฯ ชีวิตา โวโรเปสีติ ปุริมสฺมิํ อตฺตภาเว ลทฺธาฆาตตาย ทิฎฺฐมเตฺตเนว เวริจิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา สิเงฺคน ปหริตฺวา ชีวิตา โวโรเปสิฯ

    Tattha acirapakkantassāti na ciraṃ pakkantassa bhagavato. Gāvī taruṇavacchāti ekā yakkhinī taruṇavacchadhenurūpā. Adhipatitvāti abhibhavitvā madditvā. Jīvitā voropesīti purimasmiṃ attabhāve laddhāghātatāya diṭṭhamatteneva vericittaṃ uppādetvā siṅgena paharitvā jīvitā voropesi.

    สตฺถา ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ นครโต นิกฺขมโนฺต พาหิยสฺส สรีรํ สงฺการฎฺฐาเน ปติตํ ทิสฺวา ภิกฺขู อาณาเปสิ – ‘‘ภิกฺขเว, เอกสฺมิํ ฆรทฺวาเร ฐตฺวา มญฺจกํ อาหราเปตฺวา อิทํ สรีรํ นครโต นีหริตฺวา ฌาเปตฺวา ถูปํ กโรถา’’ติ, ภิกฺขู ตถา อกํสุฯ กตฺวา จ ปน วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตนา กตกิจฺจํ อาโรเจตฺวา ตสฺส อภิสมฺปรายํ ปุจฺฉิํสุฯ อถ เนสํ ภควา ตสฺส ปรินิพฺพุตภาวํ อาจิกฺขิฯ ภิกฺขู ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, ‘พาหิโย ทารุจีริโย อรหตฺตํ ปโตฺต’ติ วทถ, กทา โส อรหตฺตํ ปโตฺต’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘มม ธมฺมํ สุตกาเล’’ติ จ วุเตฺต ‘‘กทา ปนสฺส ตุเมฺหหิ ธโมฺม กถิโต’’ติ? ‘‘ปิณฺฑาย จรเนฺตน อเชฺชว อนฺตรวีถิยํ ฐตฺวา’’ติฯ ‘‘อปฺปมตฺตโก โส, ภเนฺต, ตุเมฺหหิ อนฺตรวีถิยํ ฐตฺวา กถิตธโมฺม, กถํ โส ตาวตเกน วิเสสํ นิพฺพเตฺตสี’’ติ? ‘‘กิํ, ภิกฺขเว, มม ธมฺมํ ‘อปฺปํ วา พหุํ วา’ติ ปมิณถ, อเนกานิ คาถาสหสฺสานิปิ อนตฺถสํหิตานิ น เสโยฺย, อตฺถนิสฺสิตํ ปน เอกมฺปิ คาถาปทํ เสโยฺย’’ติ ทเสฺสโนฺต –

    Satthā piṇḍāya caritvā katabhattakicco sambahulehi bhikkhūhi saddhiṃ nagarato nikkhamanto bāhiyassa sarīraṃ saṅkāraṭṭhāne patitaṃ disvā bhikkhū āṇāpesi – ‘‘bhikkhave, ekasmiṃ gharadvāre ṭhatvā mañcakaṃ āharāpetvā idaṃ sarīraṃ nagarato nīharitvā jhāpetvā thūpaṃ karothā’’ti, bhikkhū tathā akaṃsu. Katvā ca pana vihāraṃ gantvā satthāraṃ upasaṅkamitvā attanā katakiccaṃ ārocetvā tassa abhisamparāyaṃ pucchiṃsu. Atha nesaṃ bhagavā tassa parinibbutabhāvaṃ ācikkhi. Bhikkhū ‘‘tumhe, bhante, ‘bāhiyo dārucīriyo arahattaṃ patto’ti vadatha, kadā so arahattaṃ patto’’ti pucchiṃsu. ‘‘Mama dhammaṃ sutakāle’’ti ca vutte ‘‘kadā panassa tumhehi dhammo kathito’’ti? ‘‘Piṇḍāya carantena ajjeva antaravīthiyaṃ ṭhatvā’’ti. ‘‘Appamattako so, bhante, tumhehi antaravīthiyaṃ ṭhatvā kathitadhammo, kathaṃ so tāvatakena visesaṃ nibbattesī’’ti? ‘‘Kiṃ, bhikkhave, mama dhammaṃ ‘appaṃ vā bahuṃ vā’ti pamiṇatha, anekāni gāthāsahassānipi anatthasaṃhitāni na seyyo, atthanissitaṃ pana ekampi gāthāpadaṃ seyyo’’ti dassento –

    ‘‘สหสฺสมปิ เจ คาถา, อนตฺถปทสญฺหิตา;

    ‘‘Sahassamapi ce gāthā, anatthapadasañhitā;

    เอกํ คาถาปทํ เสโยฺย, ยํ สุตฺวา อุปสมฺมตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๐๑) –

    Ekaṃ gāthāpadaṃ seyyo, yaṃ sutvā upasammatī’’ti. (dha. pa. 101) –

    ธมฺมปเท อิมํ คาถํ วตฺวา ‘‘น เกวลํ โส ปรินิพฺพานมเตฺตน, อถ โข มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ขิปฺปาภิญฺญานํ อคฺคภาเวนปิ ปูชารโห’’ติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ขิปฺปาภิญฺญานํ, ยทิทํ พาหิโย ทารุจีริโย’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๖) ตํ อายสฺมนฺตํ เอตทเคฺค ฐเปสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา…เป.… ปรินิพฺพุโต, ภิกฺขเว, พาหิโย ทารุจีริโย’’ติฯ

    Dhammapade imaṃ gāthaṃ vatvā ‘‘na kevalaṃ so parinibbānamattena, atha kho mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ khippābhiññānaṃ aggabhāvenapi pūjāraho’’ti dassento ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ khippābhiññānaṃ, yadidaṃ bāhiyo dārucīriyo’’ti (a. ni. 1.216) taṃ āyasmantaṃ etadagge ṭhapesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavā sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā…pe… parinibbuto, bhikkhave, bāhiyo dārucīriyo’’ti.

    ตตฺถ ปจฺฉาภตฺตนฺติ ภตฺตกิจฺจโต ปจฺฉาฯ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺตติ ปิณฺฑปาตปริเยสนโต ปฎินิวโตฺตฯ ปททฺวเยนาปิ กตภตฺตกิโจฺจติ วุตฺตํ โหติฯ นีหริตฺวาติ นครโต พหิ เนตฺวาฯ ฌาเปถาติ ทหถฯ ถูปญฺจสฺส กโรถาติ อสฺส พาหิยสฺส สรีรธาตุโย คเหตฺวา เจติยญฺจ กโรถ ฯ ตตฺถ การณมาห – ‘‘สพฺรหฺมจารี โว, ภิกฺขเว, กาลกโต’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ยํ ตุเมฺห เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมํ อธิสีลาทิปฎิปตฺติธมฺมํ สนฺทิฎฺฐํ จรถ, ตํ โส ตุเมฺหหิ สมานํ พฺรหฺมํ อจรีติ สพฺรหฺมจารี มรณกาลสฺส ปตฺติยาว กาลกโต, ตสฺมา ตํ มญฺจเกน นีหริตฺวา ฌาเปถ, ถูปญฺจสฺส กโรถาติฯ

    Tattha pacchābhattanti bhattakiccato pacchā. Piṇḍapātapaṭikkantoti piṇḍapātapariyesanato paṭinivatto. Padadvayenāpi katabhattakiccoti vuttaṃ hoti. Nīharitvāti nagarato bahi netvā. Jhāpethāti dahatha. Thūpañcassa karothāti assa bāhiyassa sarīradhātuyo gahetvā cetiyañca karotha . Tattha kāraṇamāha – ‘‘sabrahmacārī vo, bhikkhave, kālakato’’ti. Tassattho – yaṃ tumhe seṭṭhaṭṭhena brahmaṃ adhisīlādipaṭipattidhammaṃ sandiṭṭhaṃ caratha, taṃ so tumhehi samānaṃ brahmaṃ acarīti sabrahmacārī maraṇakālassa pattiyāva kālakato, tasmā taṃ mañcakena nīharitvā jhāpetha, thūpañcassa karothāti.

    ตสฺส กา คตีติ ปญฺจสุ คตีสุ ตสฺส กตมา คติ อุปปตฺติ ภวภูตา, คตีติ นิปฺผตฺติ, อริโย ปุถุชฺชโน วาติ กา นิฎฺฐาติ อโตฺถฯ อภิสมฺปราโยติ เปจฺจ ภวุปฺปตฺติ ภวนิโรโธ วาฯ กิญฺจาปิ ตสฺส ถูปกรณาณตฺติยาว ปรินิพฺพุตภาโว อตฺถโต ปกาสิโต โหติ, เย ปน ภิกฺขู ตตฺตเกน น ชานิํสุ, เต ‘‘ตสฺส กา คตี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ปากฎตรํ วา การาเปตุกามา ตถา ภควนฺตํ ปุจฺฉิํสุฯ

    Tassa kā gatīti pañcasu gatīsu tassa katamā gati upapatti bhavabhūtā, gatīti nipphatti, ariyo puthujjano vāti kā niṭṭhāti attho. Abhisamparāyoti pecca bhavuppatti bhavanirodho vā. Kiñcāpi tassa thūpakaraṇāṇattiyāva parinibbutabhāvo atthato pakāsito hoti, ye pana bhikkhū tattakena na jāniṃsu, te ‘‘tassa kā gatī’’ti pucchiṃsu. Pākaṭataraṃ vā kārāpetukāmā tathā bhagavantaṃ pucchiṃsu.

    ปณฺฑิโตติ อคฺคมคฺคปญฺญาย อธิคตตฺตา ปเณฺฑน อิโต คโต ปวโตฺตติ ปณฺฑิโตฯ ปจฺจปาทีติ ปฎิปชฺชิฯ ธมฺมสฺสาติ โลกุตฺตรธมฺมสฺสฯ อนุธมฺมนฺติ สีลวิสุทฺธิอาทิปฎิปทาธมฺมํฯ อถ วา ธมฺมสฺสาติ นิพฺพานธมฺมสฺสฯ อนุธมฺมนฺติ อริยมคฺคผลธมฺมํฯ น จ มํ ธมฺมาธิกรณนฺติ ธมฺมเทสนาเหตุ น จ มํ วิเหเสสิ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปนฺนตฺตาฯ โย หิ สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา กมฺมฎฺฐานํ วา คเหตฺวา ยถานุสิฎฺฐํ น ปฎิปชฺชติ, โส สตฺถารํ วิเหเสติ นามฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘วิหิํสสญฺญี ปคุณํ น ภาสิํ, ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม’’ติ (มหาว. ๙; ม. นิ. ๑.๒๘๓; ๒.๓๓๙)ฯ อถ วา น จ มํ ธมฺมาธิกรณนฺติ น จ อิมํ ธมฺมาธิกรณํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – วฎฺฎทุกฺขโต นิยฺยานเหตุภูตํ อิมํ มม สาสนธมฺมํ สุปฺปฎิปนฺนตฺตา น วิเหเสติฯ ทุปฺปฎิปโนฺน หิ สาสนํ ภินฺทโนฺต สตฺถุ ธมฺมสรีเร ปหารํ เทติ นามฯ อยํ ปน สมฺมาปฎิปตฺติํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปรินิพฺพุโต, ภิกฺขเว, พาหิโย ทารุจีริโย’’ติฯ

    Paṇḍitoti aggamaggapaññāya adhigatattā paṇḍena ito gato pavattoti paṇḍito. Paccapādīti paṭipajji. Dhammassāti lokuttaradhammassa. Anudhammanti sīlavisuddhiādipaṭipadādhammaṃ. Atha vā dhammassāti nibbānadhammassa. Anudhammanti ariyamaggaphaladhammaṃ. Na ca maṃ dhammādhikaraṇanti dhammadesanāhetu na ca maṃ vihesesi yathānusiṭṭhaṃ paṭipannattā. Yo hi satthu santike dhammaṃ sutvā kammaṭṭhānaṃ vā gahetvā yathānusiṭṭhaṃ na paṭipajjati, so satthāraṃ viheseti nāma. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘vihiṃsasaññī paguṇaṃ na bhāsiṃ, dhammaṃ paṇītaṃ manujesu brahme’’ti (mahāva. 9; ma. ni. 1.283; 2.339). Atha vā na ca maṃ dhammādhikaraṇanti na ca imaṃ dhammādhikaraṇaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – vaṭṭadukkhato niyyānahetubhūtaṃ imaṃ mama sāsanadhammaṃ suppaṭipannattā na viheseti. Duppaṭipanno hi sāsanaṃ bhindanto satthu dhammasarīre pahāraṃ deti nāma. Ayaṃ pana sammāpaṭipattiṃ matthakaṃ pāpetvā anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Tena vuttaṃ – ‘‘parinibbuto, bhikkhave, bāhiyo dārucīriyo’’ti.

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ เถรสฺส พาหิยสฺส อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุตภาวํ, ตถา ปรินิพฺพุตานญฺจ ขีณาสวานํ คติยา ปจุรชเนหิ ทุพฺพิเญฺญยฺยภาวํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ อปฺปติฎฺฐิตปรินิพฺพานานุภาวทีปกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthaṃ viditvāti etaṃ therassa bāhiyassa anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbutabhāvaṃ, tathā parinibbutānañca khīṇāsavānaṃ gatiyā pacurajanehi dubbiññeyyabhāvaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti imaṃ appatiṭṭhitaparinibbānānubhāvadīpakaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ ยตฺถาติ ยสฺมิํ นิพฺพาเน อาโป จ น คาธติ, ปถวี จ เตโช จ วาโย จ น คาธติ, น ปติฎฺฐาติฯ กสฺมา? นิพฺพานสฺส อสงฺขตสภาวตฺตาฯ น หิ ตตฺถ สงฺขตธมฺมานํ เลโสปิ สมฺภวติฯ สุกฺกาติ สุกฺกวณฺณตาย สุกฺกาติ ลทฺธนามา คหนกฺขตฺตตารกาฯ น โชตนฺตีติ น ภาสนฺติฯ อาทิโจฺจ นปฺปกาสตีติ ตีสุ ทีเปสุ เอกสฺมิํ ขเณ อาโลกผรณสมโตฺถ อาทิโจฺจปิ อาภาวเสน น ทิพฺพติฯ น ตตฺถ จนฺทิมา ภาตีติ สติปิ ภาสุรภาเว กนฺตสีตลกิรโณ จโนฺทปิ ตสฺมิํ นิพฺพาเน อภาวโต เอว อตฺตโน ชุณฺหาวิภาสเนน น วิโรจติฯ ยทิ ตตฺถ จนฺทิมสูริยาทโย นตฺถิ, โลกนฺตโร วิย นิจฺจนฺธการเมว ตํ ภเวยฺยาติ อาสงฺกํ สนฺธายาห ‘‘ตโม ตตฺถ น วิชฺชตี’’ติฯ สติ หิ รูปาภาเว ตโม นาม น สิยาฯ

    Tattha yatthāti yasmiṃ nibbāne āpo ca na gādhati, pathavī ca tejo ca vāyo ca na gādhati, na patiṭṭhāti. Kasmā? Nibbānassa asaṅkhatasabhāvattā. Na hi tattha saṅkhatadhammānaṃ lesopi sambhavati. Sukkāti sukkavaṇṇatāya sukkāti laddhanāmā gahanakkhattatārakā. Na jotantīti na bhāsanti. Ādicco nappakāsatīti tīsu dīpesu ekasmiṃ khaṇe ālokapharaṇasamattho ādiccopi ābhāvasena na dibbati. Na tattha candimā bhātīti satipi bhāsurabhāve kantasītalakiraṇo candopi tasmiṃ nibbāne abhāvato eva attano juṇhāvibhāsanena na virocati. Yadi tattha candimasūriyādayo natthi, lokantaro viya niccandhakārameva taṃ bhaveyyāti āsaṅkaṃ sandhāyāha ‘‘tamo tattha na vijjatī’’ti. Sati hi rūpābhāve tamo nāma na siyā.

    ยทา จ อตฺตนา เวทิ, มุนิ โมเนน พฺราหฺมโณติ จตุสจฺจมุนนโต โมนนฺติ ลทฺธนาเมน มคฺคญาเณน กายโมเนยฺยาทีหิ จ สมนฺนาคตตฺตา ‘‘มุนี’’ติ ลทฺธนาโม อริยสาวกพฺราหฺมโณ เตเนว โมนสงฺขาเตน ปฎิเวธญาเณน ยทา ยสฺมิํ กาเล อคฺคมคฺคกฺขเณ อตฺตนา สยเมว อนุสฺสวาทิเก ปหาย อตฺตปจฺจกฺขํ กตฺวา นิพฺพานํ เวทิ ปฎิวิชฺฌิฯ ‘‘อเวที’’ติปิ ปาโฐ, อญฺญาสีติ อโตฺถฯ อถ รูปา อรูปา จ, สุขทุกฺขา ปมุจฺจตีติ อถาติ ตสฺส นิพฺพานสฺส ชานนโต ปจฺฉาฯ รูปาติ รูปธมฺมา, เตน ปญฺจโวการภโว เอกโวการภโว จ คหิโต โหติฯ อรูปาติ อรูปธมฺมา, เตน รูเปนามิสฺสีกโต อรูปภโว คหิโต โหติฯ โส ‘‘จตุโวการภโว’’ติปิ วุจฺจติฯ สุขทุกฺขาติ สพฺพตฺถ อุปฺปชฺชนกสุขทุกฺขโตปิ วฎฺฎโตฯ อถ วา รูปาติ รูปโลกปฎิสนฺธิโตฯ อรูปาติ อรูปโลกปฎิสนฺธิโตฯ สุขทุกฺขาติ กามาวจรปฎิสนฺธิโตฯ กามภโว หิ พฺยามิสฺสสุขทุโกฺขฯ เอวเมตสฺมา สกลโตปิ วฎฺฎโต อจฺจนฺตเมว มุจฺจตีติ คาถาทฺวเยนปิ ภควา ‘‘มยฺหํ ปุตฺตสฺส พาหิยสฺส เอวรูปา นิพฺพานคตี’’ติ ทเสฺสติฯ

    Yadā ca attanā vedi, muni monena brāhmaṇoti catusaccamunanato monanti laddhanāmena maggañāṇena kāyamoneyyādīhi ca samannāgatattā ‘‘munī’’ti laddhanāmo ariyasāvakabrāhmaṇo teneva monasaṅkhātena paṭivedhañāṇena yadā yasmiṃ kāle aggamaggakkhaṇe attanā sayameva anussavādike pahāya attapaccakkhaṃ katvā nibbānaṃ vedi paṭivijjhi. ‘‘Avedī’’tipi pāṭho, aññāsīti attho. Atha rūpā arūpā ca, sukhadukkhā pamuccatīti athāti tassa nibbānassa jānanato pacchā. Rūpāti rūpadhammā, tena pañcavokārabhavo ekavokārabhavo ca gahito hoti. Arūpāti arūpadhammā, tena rūpenāmissīkato arūpabhavo gahito hoti. So ‘‘catuvokārabhavo’’tipi vuccati. Sukhadukkhāti sabbattha uppajjanakasukhadukkhatopi vaṭṭato. Atha vā rūpāti rūpalokapaṭisandhito. Arūpāti arūpalokapaṭisandhito. Sukhadukkhāti kāmāvacarapaṭisandhito. Kāmabhavo hi byāmissasukhadukkho. Evametasmā sakalatopi vaṭṭato accantameva muccatīti gāthādvayenapi bhagavā ‘‘mayhaṃ puttassa bāhiyassa evarūpā nibbānagatī’’ti dasseti.

    ทสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิตา จ โพธิวคฺควณฺณนาฯ

    Niṭṭhitā ca bodhivaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๑๐. พาหิยสุตฺตํ • 10. Bāhiyasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact