Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๖. พาหิยเตฺถรอปทานวณฺณนา

    6. Bāhiyattheraapadānavaṇṇanā

    ฉฎฺฐาปทาเน อิโต สตสหสฺสมฺหีติอาทิกํ อายสฺมโต พาหิยสฺส ทารุจีริยเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล พฺราหฺมณกุเล นิพฺพโตฺต พฺราหฺมณสิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ คนฺตฺวา เวทเงฺคสุ อนวโย เอกทิวสํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต ปสนฺนมานโส สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ขิปฺปาภิญฺญานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ตํ ฐานํ ปตฺตุกาโม สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา สตฺตาหสฺส อจฺจเยน ภควโต ปาทมูเล นิปโนฺน ‘‘ภควา, ภเนฺต, อิโต สตฺตเม ทิวเส ยํ ภิกฺขุํ ขิปฺปาภิญฺญานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิ, โส วิย อหมฺปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน ขิปฺปาภิญฺญานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิ ฯ ภควา อนาคตํสญาเณน โอโลเกตฺวา สมิชฺฌนภาวํ ญตฺวา ‘‘อนาคเต โคตมสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา ขิปฺปาภิญฺญานํ อโคฺค ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากาสิฯ โส ยาวตายุกํ ปุญฺญานิ กตฺวา ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพโตฺต ตตฺถ ฉ กามาวจรสมฺปตฺติโย อนุภวิตฺวา ปุน มนุเสฺสสุ จกฺกวตฺติอาทิสมฺปตฺติโย อเนกกปฺปโกฎิสเตสุ อนุภวิตฺวา กสฺสปสฺส ภควโต กาเล เอกสฺมิํ กุเล นิพฺพโตฺต, ภควติ ปรินิพฺพุเต ปพฺพชิโต ยทา สาสเน โอสกฺกมาเน สตฺต ภิกฺขู จตุนฺนํ ปริสานํ อชฺฌาจารํ ทิสฺวา สํเวคปฺปตฺตา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ‘‘ยาว สาสนสฺส อนฺตรธานํ น โหติ, ตาว อตฺตโน ปติฎฺฐํ กริสฺสามา’’ติ สุวณฺณเจติยํ วนฺทิตฺวา ตตฺถ อรเญฺญ เอกํ ปพฺพตํ ทิสฺวา ‘‘ชีวิตสาลยา นิวตฺตนฺตุ, นิราลยา อิมํ ปพฺพตํ อภิรุหนฺตู’’ติ นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา สเพฺพ ตํ ปพฺพตํ อภิรุยฺห นิเสฺสณิํ ปาเตตฺวา สมณธมฺมํ กริํสุฯ เตสุ สงฺฆเตฺถโร เอกรตฺตาติกฺกเมน อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส อโนตตฺตทเห นาคลตาทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา มุขํ โธวิตฺวา อุตฺตรกุรุโต ปิณฺฑปาตํ อาหริตฺวา เต ภิกฺขู อาห – ‘‘อาวุโส, อิมํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชถา’’ติฯ เต อาหํสุ – ‘‘กิํ, ภเนฺต, อเมฺหหิ เอวํ กติกา กตา ‘โย ปฐมํ อรหตฺตํ ปาปุณาติ, เตนาภตํ ปิณฺฑปาตํ อวเสสา ปริภุญฺชนฺตู’’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อาวุโส’’ติฯ ‘‘เตน หิ สเจ มยมฺปิ ตุเมฺห วิย วิเสสํ นิพฺพเตฺตสฺสาม, สยํ อาหริตฺวา ภุญฺชิสฺสามา’’ติ น อิจฺฉิํสุฯ

    Chaṭṭhāpadāne ito satasahassamhītiādikaṃ āyasmato bāhiyassa dārucīriyattherassa apadānaṃ. Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto padumuttarassa bhagavato kāle brāhmaṇakule nibbatto brāhmaṇasippesu nipphattiṃ gantvā vedaṅgesu anavayo ekadivasaṃ satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ suṇanto pasannamānaso satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ khippābhiññānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā taṃ ṭhānaṃ pattukāmo sattāhaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā sattāhassa accayena bhagavato pādamūle nipanno ‘‘bhagavā, bhante, ito sattame divase yaṃ bhikkhuṃ khippābhiññānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi, so viya ahampi anāgate ekassa buddhassa sāsane khippābhiññānaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi . Bhagavā anāgataṃsañāṇena oloketvā samijjhanabhāvaṃ ñatvā ‘‘anāgate gotamassa bhagavato sāsane pabbajitvā khippābhiññānaṃ aggo bhavissatī’’ti byākāsi. So yāvatāyukaṃ puññāni katvā tato cuto devaloke nibbatto tattha cha kāmāvacarasampattiyo anubhavitvā puna manussesu cakkavattiādisampattiyo anekakappakoṭisatesu anubhavitvā kassapassa bhagavato kāle ekasmiṃ kule nibbatto, bhagavati parinibbute pabbajito yadā sāsane osakkamāne satta bhikkhū catunnaṃ parisānaṃ ajjhācāraṃ disvā saṃvegappattā araññaṃ pavisitvā ‘‘yāva sāsanassa antaradhānaṃ na hoti, tāva attano patiṭṭhaṃ karissāmā’’ti suvaṇṇacetiyaṃ vanditvā tattha araññe ekaṃ pabbataṃ disvā ‘‘jīvitasālayā nivattantu, nirālayā imaṃ pabbataṃ abhiruhantū’’ti nisseṇiṃ bandhitvā sabbe taṃ pabbataṃ abhiruyha nisseṇiṃ pātetvā samaṇadhammaṃ kariṃsu. Tesu saṅghatthero ekarattātikkamena arahattaṃ pāpuṇi. So anotattadahe nāgalatādantakaṭṭhaṃ khāditvā mukhaṃ dhovitvā uttarakuruto piṇḍapātaṃ āharitvā te bhikkhū āha – ‘‘āvuso, imaṃ piṇḍapātaṃ bhuñjathā’’ti. Te āhaṃsu – ‘‘kiṃ, bhante, amhehi evaṃ katikā katā ‘yo paṭhamaṃ arahattaṃ pāpuṇāti, tenābhataṃ piṇḍapātaṃ avasesā paribhuñjantū’’’ti? ‘‘No hetaṃ, āvuso’’ti. ‘‘Tena hi sace mayampi tumhe viya visesaṃ nibbattessāma, sayaṃ āharitvā bhuñjissāmā’’ti na icchiṃsu.

    ทุติยทิวเส ทุติยเตฺถโร อนาคามี หุตฺวา ตเถว ปิณฺฑปาตํ อาหริตฺวา อิตเร นิมเนฺตสิฯ เต เอวมาหํสุ – ‘‘กิํ ปนาวุโส, กติกา กตา, ‘มหาเถเรน อาภตํ ปิณฺฑปาตํ อภุญฺชิตฺวา อนุเถเรน อาภตํ ภุญฺชิสฺสามา’’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อาวุโส’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต ตุเมฺห วิย มยมฺปิ วิเสสํ นิพฺพเตฺตตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ปุริสกาเรน ภุญฺชิตุํ สโกฺกนฺตา ภุญฺชิสฺสามา’’ติ น อิจฺฉิํสุฯ เตสุ อรหตฺตปฺปตฺตเตฺถโร ปรินิพฺพายิ, ทุติโย อนาคามี พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติ, อิตเร ปญฺจ วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกนฺตา สุสฺสิตฺวา สตฺตเม ทิวเส กาลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ ตตฺถ ทิพฺพสุขํ อนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ตโต จวิตฺวา มนุเสฺสสุ นิพฺพตฺติํสุฯ เตสุ เอโก ปุกฺกุสาติ ราชา อโหสิ, เอโก คนฺธารรเฎฺฐ ตกฺกสิลายํ กุมารกสฺสโป, เอโก พาหิโย ทารุจีริโย, เอโก ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต, เอโก สภิโย ปริพฺพาชโกติฯ เตสุ อยํ พาหิโย ทารุจีริโย สุปฺปารกปฎฺฎเน วาณิชกุเล นิพฺพโตฺต วาณิชกเมฺม นิปฺผตฺติํ คโต มหทฺธโน มหาโภโค, โส สุวณฺณภูมิํ คจฺฉเนฺตหิ วาณิเชหิ สทฺธิํ นาวมารุยฺห วิเทสํ คจฺฉโนฺต กติปาหํ คนฺตฺวา ภินฺนาย นาวาย เสเสสุ มจฺฉกจฺฉปภเกฺขสุ ชาเตสุ เอโกเยว อวสิโฎฺฐ เอกํ ผลกํ คเหตฺวา วายมโนฺต สตฺตเม ทิวเส สุปฺปารกปฎฺฎนตีรํ โอกฺกมิฯ ตสฺส นิวาสนปารุปนํ นตฺถิ, โส อญฺญํ กิญฺจิ อปสฺสโนฺต สุกฺขกฎฺฐทณฺฑเก วาเกหิ ปลิเวเฐตฺวา นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา จ เทวกุลโต กปาลํ คเหตฺวา สุปฺปารกปฎฺฎนํ อคมาสิฯ มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา ยาคุภตฺตาทีนิ ทตฺวา ‘‘อยํ เอโก อรหา’’ติ สมฺภาเวสุํฯ โส วเตฺถสุ อุปนีเตสุ ‘‘สจาหํ นิวาเสมิ, ปารุปามิ วา, ลาภสกฺกาโร เม ปริหายิสฺสตี’’ติ ตานิ ปฎิกฺขิปิตฺวา ทารุจีราเนว ปริหริฯ

    Dutiyadivase dutiyatthero anāgāmī hutvā tatheva piṇḍapātaṃ āharitvā itare nimantesi. Te evamāhaṃsu – ‘‘kiṃ panāvuso, katikā katā, ‘mahātherena ābhataṃ piṇḍapātaṃ abhuñjitvā anutherena ābhataṃ bhuñjissāmā’’’ti? ‘‘No hetaṃ, āvuso’’ti. ‘‘Evaṃ sante tumhe viya mayampi visesaṃ nibbattetvā attano attano purisakārena bhuñjituṃ sakkontā bhuñjissāmā’’ti na icchiṃsu. Tesu arahattappattatthero parinibbāyi, dutiyo anāgāmī brahmaloke nibbatti, itare pañca visesaṃ nibbattetuṃ asakkontā sussitvā sattame divase kālaṃ katvā devaloke nibbattiṃsu. Tattha dibbasukhaṃ anubhavitvā imasmiṃ buddhuppāde tato cavitvā manussesu nibbattiṃsu. Tesu eko pukkusāti rājā ahosi, eko gandhāraraṭṭhe takkasilāyaṃ kumārakassapo, eko bāhiyo dārucīriyo, eko dabbo mallaputto, eko sabhiyo paribbājakoti. Tesu ayaṃ bāhiyo dārucīriyo suppārakapaṭṭane vāṇijakule nibbatto vāṇijakamme nipphattiṃ gato mahaddhano mahābhogo, so suvaṇṇabhūmiṃ gacchantehi vāṇijehi saddhiṃ nāvamāruyha videsaṃ gacchanto katipāhaṃ gantvā bhinnāya nāvāya sesesu macchakacchapabhakkhesu jātesu ekoyeva avasiṭṭho ekaṃ phalakaṃ gahetvā vāyamanto sattame divase suppārakapaṭṭanatīraṃ okkami. Tassa nivāsanapārupanaṃ natthi, so aññaṃ kiñci apassanto sukkhakaṭṭhadaṇḍake vākehi paliveṭhetvā nivāsetvā pārupitvā ca devakulato kapālaṃ gahetvā suppārakapaṭṭanaṃ agamāsi. Manussā taṃ disvā yāgubhattādīni datvā ‘‘ayaṃ eko arahā’’ti sambhāvesuṃ. So vatthesu upanītesu ‘‘sacāhaṃ nivāsemi, pārupāmi vā, lābhasakkāro me parihāyissatī’’ti tāni paṭikkhipitvā dārucīrāneva parihari.

    อถสฺส ‘‘อรหา, อรหา’’ติ พหูหิ สมฺภาวิยมานสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘‘เย เกจิ โลเก อรหโนฺต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา, อหํ เตสํ อญฺญตโร’’ติ โส เตน นิยาเมน กุหนกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปติฯ

    Athassa ‘‘arahā, arahā’’ti bahūhi sambhāviyamānassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘‘ye keci loke arahanto vā arahattamaggaṃ vā samāpannā, ahaṃ tesaṃ aññataro’’ti so tena niyāmena kuhanakammena jīvikaṃ kappeti.

    กสฺสปทสพลสฺส สาสเน สตฺตสุ ชเนสุ ปพฺพตํ อารุยฺห สมณธมฺมํ กโรเนฺตสุ เอโก อนาคามี หุตฺวา สุทฺธาวาสพฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติตฺวา อตฺตโน พฺรหฺมสมฺปตฺติํ โอโลเกโนฺต อาคตฎฺฐานํ อาวเชฺชโนฺต ปพฺพตมารุยฺห สมณธมฺมํ กรณฎฺฐานํ ทิสฺวา เสสานํ นิพฺพตฺตนฎฺฐานํ อาวเชฺชโนฺต เอกสฺส ปรินิพฺพุตภาวํ อิตเรสญฺจ ปญฺจนฺนํ กามาวจรเทวโลเก นิพฺพตฺตภาวํ ญตฺวา เต กาลานุกาลํ อาวเชฺชสิ ‘‘อิมสฺมิํ ปน กาเล กหํ นุ โข เต’’ติ อาวเชฺชโนฺต ทารุจีริยํ สุปฺปารกปฎฺฎนํ นิสฺสาย กุหนกเมฺมน ชีวิตํ กเปฺปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘นโฎฺฐ วตายํ พาโล, ปุเพฺพ สมณธมฺมํ กโรโนฺต อติอุกฺกฎฺฐภาเวน อรหตาปิ อาภตํ ปิณฺฑปาตํ อปริภุญฺชิตฺวา อิทานิ อุทรเหตุ อนารหาว สมาโน อรหตฺตํ ปฎิชานิตฺวา โลกํ วเญฺจโนฺต วิจรติ, ทสพลสฺส อุปฺปนฺนภาวํ น ชานาติ, คจฺฉามิ นํ สํเวเชตฺวา พุทฺธุปฺปาทํ ชานาเปสฺสามี’’ติ ขเณเนว พฺรหฺมโลกโต โอตริตฺวา สุปฺปารกปฎฺฎเน รตฺติภาคสมนนฺตเร ทารุจีริยสฺส สมฺมุเข ปาตุรโหสิฯ โส อตฺตโน วสนฎฺฐาเน โอภาสํ ทิสฺวา พหิ นิกฺขมิตฺวา มหาพฺรหฺมานํ ทิสฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ ตุมฺหากํ โปราณกสหาโย อนาคามิผลํ ปตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺต, อมฺหากํ สพฺพเชฎฺฐโก อรหา หุตฺวา ปรินิพฺพุโต, ตุเมฺห ปน ปญฺจชนา เทวโลเก นิพฺพตฺตาฯ สฺวาหํ ทานิ ตํ อิมสฺมิํ ฐาเน กุหนกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปนฺตํ ทิสฺวา ทมิตุํ อาคโต’’ติ วตฺวา อิทํ การณํ อาห – ‘‘เนว โข ตฺวํ, พาหิย, อรหา นาปิ อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปโนฺน, สาปิ เต ปฎิปทา นตฺถิ, ยาย ตฺวํ อรหา วา อสฺส อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปโนฺน’’ติฯ อถสฺส สตฺถุ อุปฺปนฺนภาวํ สาวตฺถิยํ วสนภาวญฺจ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘สตฺถุ สนฺติกํ คจฺฉา’’ติ ตํ อุโยฺยเชตฺวา พฺรหฺมโลกเมว อคมาสิฯ

    Kassapadasabalassa sāsane sattasu janesu pabbataṃ āruyha samaṇadhammaṃ karontesu eko anāgāmī hutvā suddhāvāsabrahmaloke nibbattitvā attano brahmasampattiṃ olokento āgataṭṭhānaṃ āvajjento pabbatamāruyha samaṇadhammaṃ karaṇaṭṭhānaṃ disvā sesānaṃ nibbattanaṭṭhānaṃ āvajjento ekassa parinibbutabhāvaṃ itaresañca pañcannaṃ kāmāvacaradevaloke nibbattabhāvaṃ ñatvā te kālānukālaṃ āvajjesi ‘‘imasmiṃ pana kāle kahaṃ nu kho te’’ti āvajjento dārucīriyaṃ suppārakapaṭṭanaṃ nissāya kuhanakammena jīvitaṃ kappentaṃ disvā ‘‘naṭṭho vatāyaṃ bālo, pubbe samaṇadhammaṃ karonto atiukkaṭṭhabhāvena arahatāpi ābhataṃ piṇḍapātaṃ aparibhuñjitvā idāni udarahetu anārahāva samāno arahattaṃ paṭijānitvā lokaṃ vañcento vicarati, dasabalassa uppannabhāvaṃ na jānāti, gacchāmi naṃ saṃvejetvā buddhuppādaṃ jānāpessāmī’’ti khaṇeneva brahmalokato otaritvā suppārakapaṭṭane rattibhāgasamanantare dārucīriyassa sammukhe pāturahosi. So attano vasanaṭṭhāne obhāsaṃ disvā bahi nikkhamitvā mahābrahmānaṃ disvā añjaliṃ paggayha ‘‘ke tumhe’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ tumhākaṃ porāṇakasahāyo anāgāmiphalaṃ patvā brahmaloke nibbatto, amhākaṃ sabbajeṭṭhako arahā hutvā parinibbuto, tumhe pana pañcajanā devaloke nibbattā. Svāhaṃ dāni taṃ imasmiṃ ṭhāne kuhanakammena jīvikaṃ kappentaṃ disvā damituṃ āgato’’ti vatvā idaṃ kāraṇaṃ āha – ‘‘neva kho tvaṃ, bāhiya, arahā nāpi arahattamaggaṃ vā samāpanno, sāpi te paṭipadā natthi, yāya tvaṃ arahā vā assa arahattamaggaṃ vā samāpanno’’ti. Athassa satthu uppannabhāvaṃ sāvatthiyaṃ vasanabhāvañca ācikkhitvā ‘‘satthu santikaṃ gacchā’’ti taṃ uyyojetvā brahmalokameva agamāsi.

    พาหิโย ปน อากาเส ฐตฺวา กเถนฺตํ มหาพฺรหฺมานํ โอโลเกตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อโห ภาริยํ กมฺมํ มยา กตํ, อนรหํ อรหา อหนฺติ จิเนฺตสิํ, อยญฺจ มํ ‘น ตฺวํ อรหา, นาปิ อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนาสี’ติ วทติ, อตฺถิ นุ โข โลเก อโญฺญ อรหา’’ติฯ อถ นํ ปุจฺฉิ – ‘‘อถ เก จรหิ สเทวเก โลเก อรหโนฺต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา’’ติฯ อถสฺส เทวตา อาจิกฺขิ – ‘‘อตฺถิ, พาหิย, อุตฺตเรสุ ชนปเทสุ สาวตฺถิ นาม นครํ, ตตฺถ โส ภควา เอตรหิ วิหรติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โส หิ, พาหิย, ภควา อรหา เจว อรหตฺตาย จ ธมฺมํ เทเสสี’’ติฯ พาหิโย รตฺติภาเค เทวตาย กถํ สุตฺวา สํวิคฺคมานโส ตํขณํเยว สุปฺปารกา นิกฺขมิตฺวา เอกรตฺติวาเสน สาวตฺถิํ อคมาสิ, คจฺฉโนฺต จ ปน เทวตานุภาเวน พุทฺธานุภาเวน จ วีสโยชนสติกํ มคฺคํ อติกฺกมิตฺวา สาวตฺถิํ อนุปฺปโตฺต, ตสฺมิํ ขเณ สตฺถา สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ โหติฯ โส เชตวนํ ปวิสิตฺวา อโพฺภกาเส จงฺกมเนฺต สมฺพหุเล ภิกฺขู ปุจฺฉิ – ‘‘กุหิํ เอตรหิ สตฺถา’’ติ? ภิกฺขู ‘‘สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ’’ติ วตฺวา ‘‘ตฺวํ ปน กุโต อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘สุปฺปารกา อาคโตมฺหี’’ติฯ ‘‘กทา นิกฺขโนฺตสี’’ติ? ‘‘หิโยฺย สายนฺหสมเย นิกฺขโนฺตมฺหี’’ติฯ ‘‘ทูรโตปิ อาคโต, นิสีท ตาว ปาเท โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา โถกํ วิสฺสมาหิ, อาคตกาเล สตฺถารํ ทกฺขิสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ ‘‘อหํ, ภเนฺต, สตฺถุ วา อตฺตโน วา ชีวิตนฺตรายํ น ชานามิ, กตฺถจิ อฎฺฐตฺวา อนิสีทิตฺวา เอกรเตฺตเนว วีสโยชนสติกํ มคฺคํ อาคโต, สตฺถารํ ปสฺสิตฺวาว วิสฺสมิสฺสามี’’ติ อาหฯ โส เอวํ วตฺวา ตรมานรูโป สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา ภควนฺตํ อโนปมาย พุทฺธสิริยา จรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘จิรสฺสํ วต เม โคตโม สมฺมาสมฺพุโทฺธ ทิโฎฺฐ’’ติ ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอนตสรีโร คนฺตฺวา อนฺตรวีถิยํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา โคปฺผเกสุ ทฬฺหํ คเหตฺวา เอวมาห – ‘‘เทเสตุ, ภเนฺต ภควา, ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ, ยํ มมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘อกาโล โข ตาว, พาหิย, อนฺตรฆรํ ปวิฎฺฐมฺหา ปิณฺฑายา’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ

    Bāhiyo pana ākāse ṭhatvā kathentaṃ mahābrahmānaṃ oloketvā cintesi – ‘‘aho bhāriyaṃ kammaṃ mayā kataṃ, anarahaṃ arahā ahanti cintesiṃ, ayañca maṃ ‘na tvaṃ arahā, nāpi arahattamaggaṃ vā samāpannāsī’ti vadati, atthi nu kho loke añño arahā’’ti. Atha naṃ pucchi – ‘‘atha ke carahi sadevake loke arahanto vā arahattamaggaṃ vā samāpannā’’ti. Athassa devatā ācikkhi – ‘‘atthi, bāhiya, uttaresu janapadesu sāvatthi nāma nagaraṃ, tattha so bhagavā etarahi viharati arahaṃ sammāsambuddho. So hi, bāhiya, bhagavā arahā ceva arahattāya ca dhammaṃ desesī’’ti. Bāhiyo rattibhāge devatāya kathaṃ sutvā saṃviggamānaso taṃkhaṇaṃyeva suppārakā nikkhamitvā ekarattivāsena sāvatthiṃ agamāsi, gacchanto ca pana devatānubhāvena buddhānubhāvena ca vīsayojanasatikaṃ maggaṃ atikkamitvā sāvatthiṃ anuppatto, tasmiṃ khaṇe satthā sāvatthiyaṃ piṇḍāya paviṭṭho hoti. So jetavanaṃ pavisitvā abbhokāse caṅkamante sambahule bhikkhū pucchi – ‘‘kuhiṃ etarahi satthā’’ti? Bhikkhū ‘‘sāvatthiyaṃ piṇḍāya paviṭṭho’’ti vatvā ‘‘tvaṃ pana kuto āgatosī’’ti pucchiṃsu. ‘‘Suppārakā āgatomhī’’ti. ‘‘Kadā nikkhantosī’’ti? ‘‘Hiyyo sāyanhasamaye nikkhantomhī’’ti. ‘‘Dūratopi āgato, nisīda tāva pāde dhovitvā telena makkhetvā thokaṃ vissamāhi, āgatakāle satthāraṃ dakkhissatī’’ti āhaṃsu. ‘‘Ahaṃ, bhante, satthu vā attano vā jīvitantarāyaṃ na jānāmi, katthaci aṭṭhatvā anisīditvā ekaratteneva vīsayojanasatikaṃ maggaṃ āgato, satthāraṃ passitvāva vissamissāmī’’ti āha. So evaṃ vatvā taramānarūpo sāvatthiṃ pavisitvā bhagavantaṃ anopamāya buddhasiriyā carantaṃ disvā ‘‘cirassaṃ vata me gotamo sammāsambuddho diṭṭho’’ti diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya onatasarīro gantvā antaravīthiyaṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā gopphakesu daḷhaṃ gahetvā evamāha – ‘‘desetu, bhante bhagavā, dhammaṃ, desetu sugato dhammaṃ, yaṃ mamassa dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti. Atha naṃ satthā ‘‘akālo kho tāva, bāhiya, antaragharaṃ paviṭṭhamhā piṇḍāyā’’ti paṭikkhipi.

    ตํ สุตฺวา พาหิโย, ‘‘ภเนฺต, สํสาเร สํสรเนฺตน กพฬีการาหาโร น อลทฺธปุโพฺพ, ตุมฺหากํ วา มยฺหํ วา ชีวิตนฺตรายํ น ชานามิ, เทเสตุ เม, ภเนฺต ภควา, ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺม’’นฺติ ปุน ยาจิฯ สตฺถา ทุติยมฺปิ ตเถว ปฎิกฺขิปิฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อิมสฺส ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย สกลสรีรํ ปีติยา นิรนฺตรํ อโชฺฌตฺถฎํ โหติ, พลวปีติเวโค ธมฺมํ สุตฺวาปิ น สกฺขิสฺสติ ปฎิวิชฺฌิตุํ, มชฺฌตฺตุเปกฺขาย ตาว ติฎฺฐตุ, เอกรเตฺตเนว วีสโยชนสติกํ มคฺคํ อาคตสฺสปิ จสฺส ทรโถ พลวา โสปิ ตาว ปฎิปฺปสฺสมฺภตู’’ติฯ ตสฺมา ทฺวิกฺขตฺตุํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ตติยํ ยาจิโต อนฺตรวีถิยํ ฐิโตว ‘‘ตสฺมาติห เต, พาหิย, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ, ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติอาทินา (อุทา. ๑๐) นเยน อเนกปริยาเยน ธมฺมํ เทเสสิฯ โส สตฺถุ ธมฺมํ สุณโนฺตเยว สพฺพาสเว เขเปตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    Taṃ sutvā bāhiyo, ‘‘bhante, saṃsāre saṃsarantena kabaḷīkārāhāro na aladdhapubbo, tumhākaṃ vā mayhaṃ vā jīvitantarāyaṃ na jānāmi, desetu me, bhante bhagavā, dhammaṃ, desetu sugato dhamma’’nti puna yāci. Satthā dutiyampi tatheva paṭikkhipi. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘imassa diṭṭhakālato paṭṭhāya sakalasarīraṃ pītiyā nirantaraṃ ajjhotthaṭaṃ hoti, balavapītivego dhammaṃ sutvāpi na sakkhissati paṭivijjhituṃ, majjhattupekkhāya tāva tiṭṭhatu, ekaratteneva vīsayojanasatikaṃ maggaṃ āgatassapi cassa daratho balavā sopi tāva paṭippassambhatū’’ti. Tasmā dvikkhattuṃ paṭikkhipitvā tatiyaṃ yācito antaravīthiyaṃ ṭhitova ‘‘tasmātiha te, bāhiya, evaṃ sikkhitabbaṃ, diṭṭhe diṭṭhamattaṃ bhavissatī’’tiādinā (udā. 10) nayena anekapariyāyena dhammaṃ desesi. So satthu dhammaṃ suṇantoyeva sabbāsave khepetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi.

    ๑๗๘. โส อรหตฺตํ ปตฺตกฺขเณเยว ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา สญฺชาตโสมนโสฺส ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสโนฺต อิโต สตสหสฺสมฺหีติอาทิมาหฯ ตํ เหฎฺฐา วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถเมวฯ อนุตฺตานปทวณฺณนเมว กริสฺสามฯ

    178. So arahattaṃ pattakkhaṇeyeva pubbakammaṃ saritvā sañjātasomanasso pubbacaritāpadānaṃ pakāsento ito satasahassamhītiādimāha. Taṃ heṭṭhā vuttanayattā uttānatthameva. Anuttānapadavaṇṇanameva karissāma.

    ๑๘๑. หสนํ ปจฺจเวกฺขณนฺติ ปริปุณฺณโสมนสฺสชาตํ ปจฺจเวกฺขณํ, โกมารวณฺณํ อติโกมลนฺติ อโตฺถฯ

    181.Hasanaṃ paccavekkhaṇanti paripuṇṇasomanassajātaṃ paccavekkhaṇaṃ, komāravaṇṇaṃ atikomalanti attho.

    ๑๘๒. เหมยโญฺญปจิตงฺคนฺติ สุวณฺณสุตฺตยโญฺญปจิตสุตฺตอวยวํ สรีรํ เทหนฺติ อโตฺถฯ ปลมฺพพิมฺพตโมฺพฎฺฐนฺติ โอลมฺพิตพิมฺพผลสทิสํ รตฺตวณฺณํ โอฎฺฐทฺวยสมนฺนาคตนฺติ อโตฺถฯ เสตติณฺหสมํ ทิชนฺติ สุนิสิตติขิณอยโลหฆํสเนน ฆํสิตฺวา สมํ กตํ วิย สมทนฺตนฺติ อโตฺถฯ

    182.Hemayaññopacitaṅganti suvaṇṇasuttayaññopacitasuttaavayavaṃ sarīraṃ dehanti attho. Palambabimbatamboṭṭhanti olambitabimbaphalasadisaṃ rattavaṇṇaṃ oṭṭhadvayasamannāgatanti attho. Setatiṇhasamaṃ dijanti sunisitatikhiṇaayalohaghaṃsanena ghaṃsitvā samaṃ kataṃ viya samadantanti attho.

    ๑๘๓. ปีติสมฺผุลฺลิตานนนฺติ ปีติยา สุฎฺฐุ ผุลฺลิตํ วิกสิตํ อานนํ มุขํ อาทาสตลสทิสมุขวนฺตนฺติ อโตฺถฯ

    183.Pītisamphullitānananti pītiyā suṭṭhu phullitaṃ vikasitaṃ ānanaṃ mukhaṃ ādāsatalasadisamukhavantanti attho.

    ๑๘๔. ขิปฺปาภิญฺญสฺส ภิกฺขุโนติ ขิปฺปํ เทสนาย สมุคฺฆาฎิตกฺขเณเยว อภิวิเสเสน ญาตุํ สมตฺถสฺส ภิกฺขุโนติ อโตฺถฯ

    184.Khippābhiññassa bhikkhunoti khippaṃ desanāya samugghāṭitakkhaṇeyeva abhivisesena ñātuṃ samatthassa bhikkhunoti attho.

    ๑๘๖. สคฺคํ อคํ สภวนํ ยถาติ อตฺตโน เคหํ วิย สคฺคํ โลกํ อคมาสินฺติ อโตฺถฯ

    186.Saggaṃagaṃ sabhavanaṃ yathāti attano gehaṃ viya saggaṃ lokaṃ agamāsinti attho.

    ๑๙๖. ตฺวํ อุปายมคฺคญฺญูติ ตฺวํ นิพฺพานาธิคมูปายภูตมคฺคญฺญู น อโหสีติ อโตฺถฯ

    196.Natvaṃ upāyamaggaññūti tvaṃ nibbānādhigamūpāyabhūtamaggaññū na ahosīti attho.

    ๒๐๐. สตฺถุโน สทา ชินนฺติ สทา สพฺพกาลํ ชินํ ชินโนฺต ปราชิตโกโป สตฺถุโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วิมลานนํ อาทาสตลสทิสมุขํ ปสฺสิสฺสามิ ปสฺสิตุํ นิกฺขมามีติ โยชนาฯ ทิเช อปุจฺฉิํ กุหิํ โลกนนฺทโนติ กุหิํ ฐาเน โลกปสาทกโร สตฺถาติ ทิเช พฺราหฺมเณ อหํ ภิกฺขู อปุจฺฉินฺติ อโตฺถฯ

    200.Satthuno sadā jinanti sadā sabbakālaṃ jinaṃ jinanto parājitakopo satthuno sammāsambuddhassa vimalānanaṃ ādāsatalasadisamukhaṃ passissāmi passituṃ nikkhamāmīti yojanā. Dije apucchiṃ kuhiṃ lokanandanoti kuhiṃ ṭhāne lokapasādakaro satthāti dije brāhmaṇe ahaṃ bhikkhū apucchinti attho.

    ๒๐๑. สโสว ขิปฺปํ มุนิทสฺสนุสฺสุโกติ มุนิทสฺสเน ตถาคตทสฺสเน อุสฺสุโก อุสฺสาหชาโต สโส อิว ขิปฺปํ ปาปุณาตีติ อโตฺถฯ

    201.Sasova khippaṃ munidassanussukoti munidassane tathāgatadassane ussuko ussāhajāto saso iva khippaṃ pāpuṇātīti attho.

    ๒๐๒. ตุวฎํ คนฺตฺวาติ สีฆํ คนฺตฺวาฯ ปิณฺฑตฺถํ อปิหาคิธนฺติ ปิณฺฑปาตํ ปฎิจฺจ อปิหํ อปคตปิหํ อคิธํ นิตฺตณฺหํฯ

    202.Tuvaṭaṃ gantvāti sīghaṃ gantvā. Piṇḍatthaṃ apihāgidhanti piṇḍapātaṃ paṭicca apihaṃ apagatapihaṃ agidhaṃ nittaṇhaṃ.

    ๒๐๓. อโลลกฺขนฺติ อิโต จิโต จ อโนโลกยมานํ อุตฺตเม สาวตฺถินคเร ปิณฺฑาย วิจรนฺตํ อทกฺขินฺติ สมฺพโนฺธฯ สิรีนิลยสงฺกาสนฺติ สิริยา ลกฺขณานุพฺยญฺชนโสภาย นิลยํ สงฺกาสํ ชลมานโตรณสทิสํฯ รวิทิตฺติหรานนนฺติ วิโชฺชตมานสูริยมณฺฑลํ วิย วิโชฺชตมานมุขมณฺฑลํฯ

    203.Alolakkhanti ito cito ca anolokayamānaṃ uttame sāvatthinagare piṇḍāya vicarantaṃ adakkhinti sambandho. Sirīnilayasaṅkāsanti siriyā lakkhaṇānubyañjanasobhāya nilayaṃ saṅkāsaṃ jalamānatoraṇasadisaṃ. Ravidittiharānananti vijjotamānasūriyamaṇḍalaṃ viya vijjotamānamukhamaṇḍalaṃ.

    ๒๐๔. กุปเถ วิปฺปนฎฺฐสฺสาติ กุจฺฉิตปเถ โสปทฺทวมเคฺค มูฬฺหสฺส มิจฺฉาปฎิปนฺนสฺส เม สรณํ โหหิ ปติฎฺฐา โหหิฯ โคตมาติ ภควนฺตํ โคเตฺตน อาลปติฯ

    204.Kupathe vippanaṭṭhassāti kucchitapathe sopaddavamagge mūḷhassa micchāpaṭipannassa me saraṇaṃ hohi patiṭṭhā hohi. Gotamāti bhagavantaṃ gottena ālapati.

    ๒๑๘. น ตตฺถ สุกฺกา โชตนฺตีติ สุกฺกปภาสมฺปนฺนา โชตมานโอสธิตารกาทโย น โชตนฺติ นปฺปภาสนฺติฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ โส เอวํ ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสตฺวา ตาวเทว จ ภควนฺตํ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ ‘‘ปริปุณฺณํ เต ปตฺตจีวร’’นฺติ จ ปุโฎฺฐ ‘‘น ปริปุณฺณ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘เตน หิ ปตฺตจีวรํ ปริเยสาหี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ โส กิร วีสติวสฺสสหสฺสานิ สมณธมฺมํ กโรโนฺต ‘‘ภิกฺขุนา นาม อตฺตนา ปจฺจเย ลภิตฺวา อญฺญํ อโนโลเกตฺวา สยเมว ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา เอกภิกฺขุสฺสาปิ ปเตฺตน วา จีวเรน วา สงฺคหํ นากาสิ, ‘‘น เตนสฺส อิทฺธิมยํ ปตฺตจีวรํ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ภควา เอหิภิกฺขุภาเวน ปพฺพชฺชํ นาทาสิฯ ตมฺปิ ปตฺตจีวรํ ปริเยสมานเมว สงฺการฎฺฐานโต โจฬกฺขณฺฑานิ สํกเฑฺฒนฺตํ ปุพฺพเวริโก อมนุโสฺส เอกิสฺสา ตรุณวจฺฉาย คาวิยา สรีเร อธิมุจฺจิตฺวา วามอูรุมฺหิ ปหริตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิฯ สตฺถา ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ นิกฺขมโนฺต พาหิยสฺส สรีรํ สงฺการฎฺฐาเน ปติตํ ทิสฺวา ‘‘คณฺหถ, ภิกฺขเว, เอตํ พาหิยํ ทารุจีริยนฺติ เอกสฺมิํ เคหทฺวาเร ฐตฺวา มญฺจกํ อาหราเปตฺวา อิมํ สรีรํ นครทฺวารโต นีหริตฺวา ฌาเปตฺวา ธาตุโย คเหตฺวา ถูปํ กโรถา’’ติ ภิกฺขู อาณาเปสิฯ

    218.Na tattha sukkā jotantīti sukkapabhāsampannā jotamānaosadhitārakādayo na jotanti nappabhāsanti. Sesaṃ uttānatthameva. So evaṃ pubbacaritāpadānaṃ pakāsetvā tāvadeva ca bhagavantaṃ pabbajjaṃ yāci. ‘‘Paripuṇṇaṃ te pattacīvara’’nti ca puṭṭho ‘‘na paripuṇṇa’’nti āha. Atha naṃ satthā ‘‘tena hi pattacīvaraṃ pariyesāhī’’ti vatvā pakkāmi. So kira vīsativassasahassāni samaṇadhammaṃ karonto ‘‘bhikkhunā nāma attanā paccaye labhitvā aññaṃ anoloketvā sayameva paribhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti vatvā ekabhikkhussāpi pattena vā cīvarena vā saṅgahaṃ nākāsi, ‘‘na tenassa iddhimayaṃ pattacīvaraṃ uppajjissatī’’ti ñatvā bhagavā ehibhikkhubhāvena pabbajjaṃ nādāsi. Tampi pattacīvaraṃ pariyesamānameva saṅkāraṭṭhānato coḷakkhaṇḍāni saṃkaḍḍhentaṃ pubbaveriko amanusso ekissā taruṇavacchāya gāviyā sarīre adhimuccitvā vāmaūrumhi paharitvā jīvitakkhayaṃ pāpesi. Satthā piṇḍāya caritvā katabhattakicco sambahulehi bhikkhūhi saddhiṃ nikkhamanto bāhiyassa sarīraṃ saṅkāraṭṭhāne patitaṃ disvā ‘‘gaṇhatha, bhikkhave, etaṃ bāhiyaṃ dārucīriyanti ekasmiṃ gehadvāre ṭhatvā mañcakaṃ āharāpetvā imaṃ sarīraṃ nagaradvārato nīharitvā jhāpetvā dhātuyo gahetvā thūpaṃ karothā’’ti bhikkhū āṇāpesi.

    เต ภิกฺขู ธาตุํ มหาปเถ ถูปํ กาเรตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน กตกมฺมํ อาโรเจสุํฯ ตโต สงฺฆมเชฺฌ กถา อุทปาทิ – ‘‘ตถาคโต ภิกฺขุสเงฺฆน สรีรฌาปนกิจฺจํ กาเรสิ, ธาตุโย จ คาหาเปตฺวา เจติยํ การาเปสิ, กตรมโคฺค นุ โข เตน สมธิคโต, สามเณโร นุ โข โส, ภิกฺขุ นุ โข’’ติฯ สตฺถา ตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ‘‘ปติฎฺฐิโต, ภิกฺขเว, พาหิโย ทารุจีริโย อรหโตฺต’’ติ อุปริ ธมฺมเทสนํ วเฑฺฒติฯ ตสฺส ปรินิพฺพุตภาวญฺจ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ขิปฺปาภิญฺญานํ ยทิทํ พาหิโย ทารุจีริโย’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๐๙, ๒๑๖) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ

    Te bhikkhū dhātuṃ mahāpathe thūpaṃ kāretvā satthāraṃ upasaṅkamitvā attano katakammaṃ ārocesuṃ. Tato saṅghamajjhe kathā udapādi – ‘‘tathāgato bhikkhusaṅghena sarīrajhāpanakiccaṃ kāresi, dhātuyo ca gāhāpetvā cetiyaṃ kārāpesi, kataramaggo nu kho tena samadhigato, sāmaṇero nu kho so, bhikkhu nu kho’’ti. Satthā taṃ aṭṭhuppattiṃ katvā ‘‘patiṭṭhito, bhikkhave, bāhiyo dārucīriyo arahatto’’ti upari dhammadesanaṃ vaḍḍheti. Tassa parinibbutabhāvañca ācikkhitvā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ khippābhiññānaṃ yadidaṃ bāhiyo dārucīriyo’’ti (a. ni. 1.209, 216) etadagge ṭhapesi.

    อถ นํ ภิกฺขู ปุจฺฉิํสุ – ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, ‘พาหิโย ทารุจีริโย อรหตฺตํ ปโตฺต’ติ วเทถ, กทา โส อรหตฺตํ ปโตฺต’’ติ? ‘‘มม ธมฺมํ สุตกาเล, ภิกฺขเว’’ติฯ ‘‘กทา ปนสฺส, ภเนฺต, ตุเมฺหหิ ธโมฺม กถิโต’’ติ? ‘‘ภิกฺขาย จรเนฺตน อนฺตรวีถิยํ ฐิเตนา’’ติฯ ‘‘อปฺปมตฺตโก, ภเนฺต, ตุเมฺหหิ อนฺตรวีถิยํ ฐตฺวา กถิตธโมฺม; กถํ โส ตาวตฺตเกน วิเสสํ นิพฺพเตฺตสี’’ติ? อถ เน สตฺถา, ‘‘ภิกฺขเว, มม ธมฺมํ ‘อปฺปํ’ วา ‘พหุํ วา’ติ มา จินฺตยิตฺถฯ อเนกานิปิ หิ อนตฺถปทสํหิตานิ คาถาสหสฺสานิ น เสโยฺย, อตฺถนิสฺสิตํ ปน เอกมฺปิ คาถาปทํ เสโยฺย’’ติ วตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ bhikkhū pucchiṃsu – ‘‘tumhe, bhante, ‘bāhiyo dārucīriyo arahattaṃ patto’ti vadetha, kadā so arahattaṃ patto’’ti? ‘‘Mama dhammaṃ sutakāle, bhikkhave’’ti. ‘‘Kadā panassa, bhante, tumhehi dhammo kathito’’ti? ‘‘Bhikkhāya carantena antaravīthiyaṃ ṭhitenā’’ti. ‘‘Appamattako, bhante, tumhehi antaravīthiyaṃ ṭhatvā kathitadhammo; kathaṃ so tāvattakena visesaṃ nibbattesī’’ti? Atha ne satthā, ‘‘bhikkhave, mama dhammaṃ ‘appaṃ’ vā ‘bahuṃ vā’ti mā cintayittha. Anekānipi hi anatthapadasaṃhitāni gāthāsahassāni na seyyo, atthanissitaṃ pana ekampi gāthāpadaṃ seyyo’’ti vatvā anusandhiṃ ghaṭetvā dhammaṃ desento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘สหสฺสมปิ เจ คาถา, อนตฺถปทสํหิตา;

    ‘‘Sahassamapi ce gāthā, anatthapadasaṃhitā;

    เอกํ คาถาปทํ เสโยฺย, ยํ สุตฺวา อุปสมฺมตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๐๑) –

    Ekaṃ gāthāpadaṃ seyyo, yaṃ sutvā upasammatī’’ti. (dha. pa. 101) –

    เทสนาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสีติฯ

    Desanāpariyosāne caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosīti.

    พาหิยเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Bāhiyattheraapadānavaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๖. พาหิยเตฺถรอปทานํ • 6. Bāhiyattheraapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact