Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๕. พหุธาตุกสุตฺตวณฺณนา
5. Bahudhātukasuttavaṇṇanā
๑๒๔. เอวํ เม สุตนฺติ พหุธาตุกสุตฺตํฯ ตตฺถ ภยานีติอาทีสุ ภยนฺติ จิตฺตุตฺราโสฯ อุปทฺทโวติ อเนกคฺคตากาโรฯ อุปสโคฺคติ อุปสฎฺฐากาโร ตตฺถ ตตฺถ ลคฺคนากาโรฯ เตสํ เอวํ นานตฺตํ เวทิตพฺพํ – ปพฺพตาทิวิสมนิสฺสิตา โจรา ชนปทวาสีนํ เปเสนฺติ ‘‘มยํ อสุกทิวเส นาม ตุมฺหากํ คามํ ปหริสฺสามา’’ติฯ ตํ ปวตฺติํ สุตกาลโต ปฎฺฐาย ภยํ สนฺตาสํ อาปชฺชนฺติฯ อยํ จิตฺตุตฺราโส นามฯ ‘‘อิธ โน โจรา กุปิตา อนตฺถมฺปิ อาวเหยฺยุ’’นฺติ หตฺถสารํ คเหตฺวา ทฺวิปทจตุปฺปเทหิ สทฺธิํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ภูมิยํ นิปชฺชนฺติ, ฑํสมกสาทีหิ ขชฺชมานา คุมฺพนฺตรานิ ปวิสนฺติ, ขาณุกณฺฎเก มทฺทนฺติฯ เตสํ เอวํ วิจรนฺตานํ วิกฺขิตฺตภาโว อเนกคฺคตากาโร นามฯ ตโต โจเรสุ ยถาวุเตฺต ทิวเส อนาคจฺฉเนฺตสุ ‘‘ตุจฺฉกสาสนํ ตํ ภวิสฺสติ, คามํ ปวิสิสฺสามา’’ติ สปริกฺขารา คามํ ปวิสนฺติ, อถ เตสํ ปวิฎฺฐภาวํ ญตฺวา คามํ ปริวาเรตฺวา ทฺวาเร อคฺคิํ ทตฺวา มนุเสฺส ฆาเตตฺวา โจรา สพฺพํ วิภวํ วิลุเมฺปตฺวา คจฺฉนฺติฯ เตสุ ฆาติตาวเสสา อคฺคิํ นิพฺพาเปตฺวา โกฎฺฐจฺฉายภิตฺติจฺฉายาทีสุ ตตฺถ ตตฺถ ลคฺคิตฺวา นิสีทนฺติ นฎฺฐํ อนุโสจมานาฯ อยํ อุปสฎฺฐากาโร ลคฺคนากาโร นามฯ
124.Evaṃme sutanti bahudhātukasuttaṃ. Tattha bhayānītiādīsu bhayanti cittutrāso. Upaddavoti anekaggatākāro. Upasaggoti upasaṭṭhākāro tattha tattha lagganākāro. Tesaṃ evaṃ nānattaṃ veditabbaṃ – pabbatādivisamanissitā corā janapadavāsīnaṃ pesenti ‘‘mayaṃ asukadivase nāma tumhākaṃ gāmaṃ paharissāmā’’ti. Taṃ pavattiṃ sutakālato paṭṭhāya bhayaṃ santāsaṃ āpajjanti. Ayaṃ cittutrāso nāma. ‘‘Idha no corā kupitā anatthampi āvaheyyu’’nti hatthasāraṃ gahetvā dvipadacatuppadehi saddhiṃ araññaṃ pavisitvā tattha tattha bhūmiyaṃ nipajjanti, ḍaṃsamakasādīhi khajjamānā gumbantarāni pavisanti, khāṇukaṇṭake maddanti. Tesaṃ evaṃ vicarantānaṃ vikkhittabhāvo anekaggatākāro nāma. Tato coresu yathāvutte divase anāgacchantesu ‘‘tucchakasāsanaṃ taṃ bhavissati, gāmaṃ pavisissāmā’’ti saparikkhārā gāmaṃ pavisanti, atha tesaṃ paviṭṭhabhāvaṃ ñatvā gāmaṃ parivāretvā dvāre aggiṃ datvā manusse ghātetvā corā sabbaṃ vibhavaṃ vilumpetvā gacchanti. Tesu ghātitāvasesā aggiṃ nibbāpetvā koṭṭhacchāyabhitticchāyādīsu tattha tattha laggitvā nisīdanti naṭṭhaṃ anusocamānā. Ayaṃ upasaṭṭhākāro lagganākāro nāma.
นฬาคาราติ นเฬหิ ปริจฺฉนฺนา อคารา, เสสสมฺภารา ปเนตฺถ รุกฺขมยา โหนฺติฯ ติณาคาเรปิ เอเสว นโยฯ พาลโต อุปฺปชฺชนฺตีติ พาลเมว นิสฺสาย อุปฺปชฺชนฺติฯ พาโล หิ อปณฺฑิตปุริโส รชฺชํ วา อุปรชฺชํ วา อญฺญํ วา ปน มหนฺตํ ฐานํ ปเตฺถโนฺต กติปเย อตฺตนา สทิเส วิธวาปุเตฺต มหาธุเตฺต คเหตฺวา ‘‘เอถ อหํ ตุเมฺห อิสฺสเร กริสฺสามี’’ติ ปพฺพตคหนาทีนิ นิสฺสาย อนฺตเนฺต คาเม ปหรโนฺต ทามริกภาวํ ชานาเปตฺวา อนุปุเพฺพน นิคเมปิ ชนปเทปิ ปหรติ, มนุสฺสา เคหานิ ฉเฑฺฑตฺวา เขมนฺตฎฺฐานํ ปตฺถยมานา ปกฺกมนฺติ, เต นิสฺสาย วสนฺตา ภิกฺขูปิ ภิกฺขุนิโยปิ อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานานิ ปหาย ปกฺกมนฺติฯ คตคตฎฺฐาเน ภิกฺขาปิ เสนาสนมฺปิ ทุลฺลภํ โหติฯ เอวํ จตุนฺนํ ปริสานํ ภยํ อาคตเมว โหติฯ ปพฺพชิเตสุปิ เทฺว พาลา ภิกฺขู อญฺญมญฺญํ วิวาทํ ปฎฺฐเปตฺวา โจทนํ อารภนฺติ ฯ อิติ โกสมฺพิวาสิกานํ วิย มหากลโห อุปฺปชฺชติ, จตุนฺนํ ปริสานํ ภยํ อาคตเมว โหตีติ เอวํ ยานิ กานิจิ ภยานิ อุปฺปชฺชนฺติ, สพฺพานิ ตานิ พาลโต อุปฺปชฺชนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ
Naḷāgārāti naḷehi paricchannā agārā, sesasambhārā panettha rukkhamayā honti. Tiṇāgārepi eseva nayo. Bālato uppajjantīti bālameva nissāya uppajjanti. Bālo hi apaṇḍitapuriso rajjaṃ vā uparajjaṃ vā aññaṃ vā pana mahantaṃ ṭhānaṃ patthento katipaye attanā sadise vidhavāputte mahādhutte gahetvā ‘‘etha ahaṃ tumhe issare karissāmī’’ti pabbatagahanādīni nissāya antante gāme paharanto dāmarikabhāvaṃ jānāpetvā anupubbena nigamepi janapadepi paharati, manussā gehāni chaḍḍetvā khemantaṭṭhānaṃ patthayamānā pakkamanti, te nissāya vasantā bhikkhūpi bhikkhuniyopi attano attano vasanaṭṭhānāni pahāya pakkamanti. Gatagataṭṭhāne bhikkhāpi senāsanampi dullabhaṃ hoti. Evaṃ catunnaṃ parisānaṃ bhayaṃ āgatameva hoti. Pabbajitesupi dve bālā bhikkhū aññamaññaṃ vivādaṃ paṭṭhapetvā codanaṃ ārabhanti . Iti kosambivāsikānaṃ viya mahākalaho uppajjati, catunnaṃ parisānaṃ bhayaṃ āgatameva hotīti evaṃ yāni kānici bhayāni uppajjanti, sabbāni tāni bālato uppajjantīti veditabbāni.
เอตทโวจาติ ภควตา ธมฺมเทสนา มตฺถกํ อปาเปตฺวาว นิฎฺฐาปิตาฯ ยํนูนาหํ ทสพลํ ปุจฺฉิตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาเณเนวสฺส เทสนาย ปาริปูริํ กเรยฺยนฺติ จิเนฺตตฺวา เอตํ ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ
Etadavocāti bhagavatā dhammadesanā matthakaṃ apāpetvāva niṭṭhāpitā. Yaṃnūnāhaṃ dasabalaṃ pucchitvā sabbaññutaññāṇenevassa desanāya pāripūriṃ kareyyanti cintetvā etaṃ ‘‘kittāvatā nu kho, bhante’’tiādivacanaṃ avoca.
๑๒๕. อฎฺฐารสสุ ธาตูสุ อเฑฺฒกาทสธาตุโย รูปปริคฺคโห, อฑฺฒฎฺฐมกธาตุโย อรูปปริคฺคโหติ รูปารูปปริคฺคโหว กถิโตฯ สพฺพาปิ ขนฺธวเสน ปญฺจกฺขนฺธา โหนฺติฯ ปญฺจปิ ขนฺธา ทุกฺขสจฺจํ, เตสํ สมุฎฺฐาปิกา ตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปชานนา ปฎิปทา มคฺคสจฺจํฯ อิติ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํ เอกสฺส ภิกฺขุโน นิคฺคมนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา กถิตํ โหติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปเนตา ธาตุโย วิสุทฺธิมเคฺค กถิตาวฯ ชานาติ ปสฺสตีติ สห วิปสฺสนาย มโคฺค วุโตฺตฯ
125. Aṭṭhārasasu dhātūsu aḍḍhekādasadhātuyo rūpapariggaho, aḍḍhaṭṭhamakadhātuyo arūpapariggahoti rūpārūpapariggahova kathito. Sabbāpi khandhavasena pañcakkhandhā honti. Pañcapi khandhā dukkhasaccaṃ, tesaṃ samuṭṭhāpikā taṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, nirodhapajānanā paṭipadā maggasaccaṃ. Iti catusaccakammaṭṭhānaṃ ekassa bhikkhuno niggamanaṃ matthakaṃ pāpetvā kathitaṃ hoti. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato panetā dhātuyo visuddhimagge kathitāva. Jānāti passatīti saha vipassanāya maggo vutto.
ปถวีธาตุอาทโย สวิญฺญาณกกายํ สุญฺญโต นิสฺสตฺตโต ทเสฺสตุํ วุตฺตาฯ ตาปิ ปุริมาหิ อฎฺฐารสหิ ธาตูหิ ปูเรตพฺพาฯ ปูเรเนฺตน วิญฺญาณธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพาฯ วิญฺญาณธาตุ เหสา จกฺขุวิญฺญาณาทิวเสน ฉพฺพิธา โหติฯ ตตฺถ จกฺขุวิญฺญาณธาตุยา ปริคฺคหิตาย ตสฺสา วตฺถุ จกฺขุธาตุ, อารมฺมณํ รูปธาตูติ เทฺว ธาตุโย ปริคฺคหิตาว โหนฺติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ มโนวิญฺญาณธาตุยา ปน ปริคฺคหิตาย ตสฺสา ปุริมปจฺฉิมวเสน มโนธาตุ, อารมฺมณวเสน ธมฺมธาตูติ เทฺว ธาตุโย ปริคฺคหิตาว โหนฺติฯ อิติ อิมาสุ อฎฺฐารสสุ ธาตูสุ อเฑฺฒกาทสธาตุโย รูปปริคฺคโหติ ปุริมนเยเนว อิทมฺปิ เอกสฺส ภิกฺขุโน นิคฺคมนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา กถิตํ โหติฯ
Pathavīdhātuādayo saviññāṇakakāyaṃ suññato nissattato dassetuṃ vuttā. Tāpi purimāhi aṭṭhārasahi dhātūhi pūretabbā. Pūrentena viññāṇadhātuto nīharitvā pūretabbā. Viññāṇadhātu hesā cakkhuviññāṇādivasena chabbidhā hoti. Tattha cakkhuviññāṇadhātuyā pariggahitāya tassā vatthu cakkhudhātu, ārammaṇaṃ rūpadhātūti dve dhātuyo pariggahitāva honti. Esa nayo sabbattha. Manoviññāṇadhātuyā pana pariggahitāya tassā purimapacchimavasena manodhātu, ārammaṇavasena dhammadhātūti dve dhātuyo pariggahitāva honti. Iti imāsu aṭṭhārasasu dhātūsu aḍḍhekādasadhātuyo rūpapariggahoti purimanayeneva idampi ekassa bhikkhuno niggamanaṃ matthakaṃ pāpetvā kathitaṃ hoti.
สุขธาตูติอาทีสุ สุขญฺจ ตํ นิสฺสตฺตสุญฺญตเฎฺฐน ธาตุ จาติ สุขธาตุฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ เอตฺถ จ ปุริมา จตโสฺส ธาตุโย สปฺปฎิปกฺขวเสน คหิตา, ปจฺฉิมา เทฺว สริกฺขกวเสนฯ อวิภูตภาเวน หิ อุเปกฺขาธาตุ อวิชฺชาธาตุยา สริกฺขาฯ เอตฺถ จ สุขทุกฺขธาตูสุ ปริคฺคหิตาสุ กายวิญฺญาณธาตุ ปริคฺคหิตาว โหติ, เสสาสุ ปริคฺคหิตาสุ มโนวิญฺญาณธาตุ ปริคฺคหิตาว โหติฯ อิมาปิ ฉ ธาตุโย เหฎฺฐา อฎฺฐารสหิเยว ปูเรตพฺพาฯ ปูเรเนฺตน อุเปกฺขาธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพาฯ อิติ อิมาสุ อฎฺฐารสสุ ธาตูสุ อเฑฺฒกาทสธาตุโย รูปปริคฺคโหติ ปุริมนเยเนว อิทมฺปิ เอกสฺส ภิกฺขุโน นิคฺคมนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา กถิตํ โหติฯ
Sukhadhātūtiādīsu sukhañca taṃ nissattasuññataṭṭhena dhātu cāti sukhadhātu. Esa nayo sabbattha. Ettha ca purimā catasso dhātuyo sappaṭipakkhavasena gahitā, pacchimā dve sarikkhakavasena. Avibhūtabhāvena hi upekkhādhātu avijjādhātuyā sarikkhā. Ettha ca sukhadukkhadhātūsu pariggahitāsu kāyaviññāṇadhātu pariggahitāva hoti, sesāsu pariggahitāsu manoviññāṇadhātu pariggahitāva hoti. Imāpi cha dhātuyo heṭṭhā aṭṭhārasahiyeva pūretabbā. Pūrentena upekkhādhātuto nīharitvā pūretabbā. Iti imāsu aṭṭhārasasu dhātūsu aḍḍhekādasadhātuyo rūpapariggahoti purimanayeneva idampi ekassa bhikkhuno niggamanaṃ matthakaṃ pāpetvā kathitaṃ hoti.
กามธาตุอาทีนํ เทฺวธาวิตเกฺก (ม. นิ. ๑.๒๐๖) กามวิตกฺกาทีสุ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อภิธเมฺมปิ ‘‘ตตฺถ กตมา กามธาตุ, กามปฎิสํยุโตฺต ตโกฺก วิตโกฺก’’ติอาทินา (วิภ. ๑๘๒) นเยเนว เอตาสํ วิตฺถาโร อาคโตเยวฯ อิมาปิ ฉ ธาตุโย เหฎฺฐา อฎฺฐารสหิเยว ปูเรตพฺพาฯ ปูเรเนฺตน กามธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพาฯ อิติ อิมาสุ อฎฺฐารสสุ ธาตูสุ อเฑฺฒกาทสธาตุโย รูปปริคฺคโหติ ปุริมนเยเนว อิทมฺปิ เอกสฺส ภิกฺขุโน นิคฺคมนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา กถิตํ โหติฯ
Kāmadhātuādīnaṃ dvedhāvitakke (ma. ni. 1.206) kāmavitakkādīsu vuttanayeneva attho veditabbo. Abhidhammepi ‘‘tattha katamā kāmadhātu, kāmapaṭisaṃyutto takko vitakko’’tiādinā (vibha. 182) nayeneva etāsaṃ vitthāro āgatoyeva. Imāpi cha dhātuyo heṭṭhā aṭṭhārasahiyeva pūretabbā. Pūrentena kāmadhātuto nīharitvā pūretabbā. Iti imāsu aṭṭhārasasu dhātūsu aḍḍhekādasadhātuyo rūpapariggahoti purimanayeneva idampi ekassa bhikkhuno niggamanaṃ matthakaṃ pāpetvā kathitaṃ hoti.
กามธาตุอาทีสุ ปญฺจ กามาวจรกฺขนฺธา กามธาตุ นาม, ปญฺจ รูปาวจรกฺขนฺธา รูปธาตุ นาม, จตฺตาโร อรูปาวจรกฺขนฺธา อรูปธาตุ นามฯ อภิธเมฺม ปน ‘‘ตตฺถ กตมา กามธาตุ, เหฎฺฐโต อวีจินิรยํ ปริยนฺตํ กริตฺวา’’ติอาทินา (วิภ. ๑๘๒) นเยน เอตาสํ วิตฺถาโร อาคโตเยวฯ อิมาปิ ติโสฺส ธาตุโย เหฎฺฐา อฎฺฐารสหิเยว ปูเรตพฺพาฯ ปูเรเนฺตน กามธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพาฯ อิติ อิมาสุ อฎฺฐารสสุ ธาตูสุ อเฑฺฒกาทสธาตุโย รูปปริคฺคโหติ ปุริมนเยเนว อิทมฺปิ เอกสฺส ภิกฺขุโน นิคฺคมนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา กถิตํ โหติฯ
Kāmadhātuādīsu pañca kāmāvacarakkhandhā kāmadhātu nāma, pañca rūpāvacarakkhandhā rūpadhātu nāma, cattāro arūpāvacarakkhandhā arūpadhātu nāma. Abhidhamme pana ‘‘tattha katamā kāmadhātu, heṭṭhato avīcinirayaṃ pariyantaṃ karitvā’’tiādinā (vibha. 182) nayena etāsaṃ vitthāro āgatoyeva. Imāpi tisso dhātuyo heṭṭhā aṭṭhārasahiyeva pūretabbā. Pūrentena kāmadhātuto nīharitvā pūretabbā. Iti imāsu aṭṭhārasasu dhātūsu aḍḍhekādasadhātuyo rūpapariggahoti purimanayeneva idampi ekassa bhikkhuno niggamanaṃ matthakaṃ pāpetvā kathitaṃ hoti.
สงฺขตาติ ปจฺจเยหิ สมาคนฺตฺวา กตา, ปญฺจนฺนํ ขนฺธานเมตํ อธิวจนํฯ น สงฺขตา อสงฺขตาฯ นิพฺพานเสฺสตํ อธิวจนํฯ อิมาปิ เทฺว ธาตุโย เหฎฺฐา อฎฺฐารสหิเยว ปูเรตพฺพาฯ ปูเรเนฺตน สงฺขตธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพาฯ อิติ อิมาสุ อฎฺฐารสสุ ธาตูสุ อเฑฺฒกาทสธาตุโย รูปปริคฺคโหติ ปุริมนเยเนว อิทมฺปิ เอกสฺส ภิกฺขุโน นิคฺคมนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา กถิตํ โหติฯ
Saṅkhatāti paccayehi samāgantvā katā, pañcannaṃ khandhānametaṃ adhivacanaṃ. Na saṅkhatā asaṅkhatā. Nibbānassetaṃ adhivacanaṃ. Imāpi dve dhātuyo heṭṭhā aṭṭhārasahiyeva pūretabbā. Pūrentena saṅkhatadhātuto nīharitvā pūretabbā. Iti imāsu aṭṭhārasasu dhātūsu aḍḍhekādasadhātuyo rūpapariggahoti purimanayeneva idampi ekassa bhikkhuno niggamanaṃ matthakaṃ pāpetvā kathitaṃ hoti.
๑๒๖. อชฺฌตฺติกพาหิรานีติ อชฺฌตฺติกานิ จ พาหิรานิ จฯ เอตฺถ หิ จกฺขุอาทีนิ อชฺฌตฺติกานิ ฉ, รูปาทีนิ พาหิรานิ ฉฯ อิธาปิ ชานาติ ปสฺสตีติ สห วิปสฺสนาย มโคฺค กถิโตฯ
126.Ajjhattikabāhirānīti ajjhattikāni ca bāhirāni ca. Ettha hi cakkhuādīni ajjhattikāni cha, rūpādīni bāhirāni cha. Idhāpi jānāti passatīti saha vipassanāya maggo kathito.
อิมสฺมิํ สติ อิทนฺติอาทิ มหาตณฺหาสงฺขเย วิตฺถาริตเมวฯ
Imasmiṃsati idantiādi mahātaṇhāsaṅkhaye vitthāritameva.
๑๒๗. อฎฺฐานนฺติ เหตุปฎิเกฺขโปฯ อนวกาโสติ ปจฺจยปฎิเกฺขโปฯ อุภเยนาปิ การณเมว ปฎิกฺขิปติฯ การณญฺหิ ตทายตฺตวุตฺติตาย อตฺตโน ผลสฺส ฐานนฺติ จ อวกาโสติ จ วุจฺจติฯ ยนฺติ เยน การเณนฯ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺนติ มคฺคทิฎฺฐิยา สมฺปโนฺน โสตาปโนฺน อริยสาวโกฯ กญฺจิ สงฺขารนฺติ จตุภูมเกสุ สงฺขตสงฺขาเรสุ กญฺจิ เอกสงฺขารมฺปิฯ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺยาติ นิโจฺจติ คเณฺหยฺยฯ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ เอตํ การณํ นตฺถิ น อุปลพฺภติฯ ยํ ปุถุชฺชโนติ เยน การเณน ปุถุชฺชโนฯ ฐานเมตํ วิชฺชตีติ เอตํ การณํ อตฺถิฯ สสฺสตทิฎฺฐิยา หิ โส เตภูมเกสุ สงฺขตสงฺขาเรสุ กญฺจิ สงฺขารํ นิจฺจโต คเณฺหยฺยาติ อโตฺถฯ จตุตฺถภูมกสงฺขารา ปน เตชุสฺสทตฺตา ทิวสํ สนฺตโตฺต อโยคุโฬ วิย มกฺขิกานํ ทิฎฺฐิยา วา อเญฺญสํ วา อกุสลานํ อารมฺมณํ น โหนฺติฯ อิมินา นเยน กญฺจิ สงฺขารํ สุขโตติอาทีสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
127.Aṭṭhānanti hetupaṭikkhepo. Anavakāsoti paccayapaṭikkhepo. Ubhayenāpi kāraṇameva paṭikkhipati. Kāraṇañhi tadāyattavuttitāya attano phalassa ṭhānanti ca avakāsoti ca vuccati. Yanti yena kāraṇena. Diṭṭhisampannoti maggadiṭṭhiyā sampanno sotāpanno ariyasāvako. Kañci saṅkhāranti catubhūmakesu saṅkhatasaṅkhāresu kañci ekasaṅkhārampi. Niccato upagaccheyyāti niccoti gaṇheyya. Netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti etaṃ kāraṇaṃ natthi na upalabbhati. Yaṃ puthujjanoti yena kāraṇena puthujjano. Ṭhānametaṃ vijjatīti etaṃ kāraṇaṃ atthi. Sassatadiṭṭhiyā hi so tebhūmakesu saṅkhatasaṅkhāresu kañci saṅkhāraṃ niccato gaṇheyyāti attho. Catutthabhūmakasaṅkhārā pana tejussadattā divasaṃ santatto ayoguḷo viya makkhikānaṃ diṭṭhiyā vā aññesaṃ vā akusalānaṃ ārammaṇaṃ na honti. Iminā nayena kañci saṅkhāraṃ sukhatotiādīsupi attho veditabbo.
สุขโต อุปคเจฺฉยฺยาติ ‘‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๑, ๒๒) เอวํ อตฺตทิฎฺฐิวเสน สุขโต คาหํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตจิเตฺตน ปน อริยสาวโก ปริฬาหาภิภูโต ปริฬาหวูปสมตฺถํ มตฺตหตฺถิํ ปริตฺตาสิโต วิย, โจกฺขพฺราหฺมโณ วิย จ คูถํ กญฺจิ สงฺขารํ สุขโต อุปคจฺฉติฯ อตฺตวาเร กสิณาทิปณฺณตฺติสงฺคหตฺถํ สงฺขารนฺติ อวตฺวา กญฺจิ ธมฺมนฺติ วุตฺตํฯ อิธาปิ อริยสาวกสฺส จตุภูมกวเสน เวทิตโพฺพ, ปุถุชฺชนสฺส เตภูมกวเสนฯ สพฺพวาเรสุ อริยสาวกสฺสาปิ เตภูมกวเสเนว ปริเจฺฉโท วฎฺฎติฯ ยํ ยญฺหิ ปุถุชฺชโน คณฺหาติ, ตโต ตโต อริยสาวโก คาหํ วินิเวเฐติฯ ปุถุชฺชโน หิ ยํ ยํ นิจฺจํ สุขํ อตฺตาติ คณฺหาติ, ตํ ตํ อริยสาวโก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ คณฺหโนฺต ตํ คาหํ วินิเวเฐติฯ
Sukhato upagaccheyyāti ‘‘ekantasukhī attā hoti arogo paraṃ maraṇā’’ti (ma. ni. 3.21, 22) evaṃ attadiṭṭhivasena sukhato gāhaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Diṭṭhivippayuttacittena pana ariyasāvako pariḷāhābhibhūto pariḷāhavūpasamatthaṃ mattahatthiṃ parittāsito viya, cokkhabrāhmaṇo viya ca gūthaṃ kañci saṅkhāraṃ sukhato upagacchati. Attavāre kasiṇādipaṇṇattisaṅgahatthaṃ saṅkhāranti avatvā kañci dhammanti vuttaṃ. Idhāpi ariyasāvakassa catubhūmakavasena veditabbo, puthujjanassa tebhūmakavasena. Sabbavāresu ariyasāvakassāpi tebhūmakavaseneva paricchedo vaṭṭati. Yaṃ yañhi puthujjano gaṇhāti, tato tato ariyasāvako gāhaṃ viniveṭheti. Puthujjano hi yaṃ yaṃ niccaṃ sukhaṃ attāti gaṇhāti, taṃ taṃ ariyasāvako aniccaṃ dukkhaṃ anattāti gaṇhanto taṃ gāhaṃ viniveṭheti.
๑๒๘. มาตรนฺติอาทีสุ ชนิกาว มาตา, ชนโก ปิตา, มนุสฺสภูโตว ขีณาสโว อรหาติ อธิเปฺปโตฯ กิํ ปน อริยสาวโก อญฺญํ ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ? เอตมฺปิ อฎฺฐานํฯ สเจปิ หิ ภวนฺตรคตํ อริยสาวกํ อตฺตโน อริยภาวํ อชานนฺตมฺปิ โกจิ เอวํ วเทยฺย ‘‘อิมํ กุนฺถกิปิลฺลิกํ ชีวิตา โวโรเปตฺวา สกลจกฺกวาฬคเพฺภ จกฺกวตฺติรชฺชํ ปฎิปชฺชาหี’’ติ , เนว โส ตํ ชีวิตา โวโรเปยฺยฯ อถาปิ นํ เอวํ วเทยฺย ‘‘สเจ อิมํ น ฆาเตสฺสสิ, สีสํ เต ฉินฺทิสฺสามา’’ติฯ สีสเมวสฺส ฉิเนฺทยฺย, น จ โส ตํ ฆาเตยฺยฯ ปุถุชฺชนภาวสฺส ปน มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถํ อริยสาวกสฺส จ พลทีปนตฺถเมตํ วุตฺตํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – สาวโชฺช ปุถุชฺชนภาโว, ยตฺร หิ นาม ปุถุชฺชโน มาตุฆาตาทีนิปิ อานนฺตริยานิ กริสฺสติฯ มหาพโล จ อริยสาวโก, โย เอตานิ กมฺมานิ น กโรตีติฯ
128.Mātarantiādīsu janikāva mātā, janako pitā, manussabhūtova khīṇāsavo arahāti adhippeto. Kiṃ pana ariyasāvako aññaṃ jīvitā voropeyyāti? Etampi aṭṭhānaṃ. Sacepi hi bhavantaragataṃ ariyasāvakaṃ attano ariyabhāvaṃ ajānantampi koci evaṃ vadeyya ‘‘imaṃ kunthakipillikaṃ jīvitā voropetvā sakalacakkavāḷagabbhe cakkavattirajjaṃ paṭipajjāhī’’ti , neva so taṃ jīvitā voropeyya. Athāpi naṃ evaṃ vadeyya ‘‘sace imaṃ na ghātessasi, sīsaṃ te chindissāmā’’ti. Sīsamevassa chindeyya, na ca so taṃ ghāteyya. Puthujjanabhāvassa pana mahāsāvajjabhāvadassanatthaṃ ariyasāvakassa ca baladīpanatthametaṃ vuttaṃ. Ayañhettha adhippāyo – sāvajjo puthujjanabhāvo, yatra hi nāma puthujjano mātughātādīnipi ānantariyāni karissati. Mahābalo ca ariyasāvako, yo etāni kammāni na karotīti.
ทุฎฺฐจิโตฺตติ วธกจิเตฺตน ปทุฎฺฐจิโตฺตฯ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยาติ ชีวมานกสรีเร ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยฯ สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ สมานสํวาสกํ สมานสีมาย ฐิตํ ปญฺจหิ การเณหิ สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ปญฺจหุปาลิ อากาเรหิ สโงฺฆ ภิชฺชติฯ กเมฺมน อุเทฺทเสน โวหรโนฺต อนุสฺสาวเนน สลากคฺคาเหนา’’ติ (ปริ. ๔๕๘)ฯ
Duṭṭhacittoti vadhakacittena paduṭṭhacitto. Lohitaṃ uppādeyyāti jīvamānakasarīre khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ uppādeyya. Saṅghaṃ bhindeyyāti samānasaṃvāsakaṃ samānasīmāya ṭhitaṃ pañcahi kāraṇehi saṅghaṃ bhindeyya. Vuttañhetaṃ ‘‘pañcahupāli ākārehi saṅgho bhijjati. Kammena uddesena voharanto anussāvanena salākaggāhenā’’ti (pari. 458).
ตตฺถ กเมฺมนาติ อปโลกนาทีสุ จตูสุ กเมฺมสุ อญฺญตเรน กเมฺมนฯ อุเทฺทเสนาติ ปญฺจสุ ปาติโมกฺขุเทฺทเสสุ อญฺญตเรน อุเทฺทเสนฯ โวหรโนฺตติ กถยโนฺต, ตาหิ ตาหิ อุปฺปตฺตีหิ อธมฺมํ ธโมฺมติอาทีนิ อฎฺฐารส เภทกรวตฺถูนิ ทีเปโนฺตฯ อนุสฺสาวเนนาติ นนุ ตุเมฺห ชานาถ มยฺหํ อุจฺจากุลา ปพฺพชิตภาวํ พหุสฺสุตภาวญฺจ, มาทิโส นาม อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุสาสนํ คาเหยฺยาติ จิตฺตมฺปิ อุปฺปาเทตุํ ตุมฺหากํ ยุตฺตํ, กิํ มยฺหํ อวีจิ นีลุปฺปลวนํ วิย สีตโล, กิํ อหํ อปายโต น ภายามีติอาทินา นเยน กณฺณมูเล วจีเภทํ กตฺวา อนุสฺสาวเนนฯ สลากคฺคาเหนาติ เอวํ อนุสฺสาเวตฺวา เตสํ จิตฺตํ อุปตฺถเมฺภตฺวา อนิวตฺติธเมฺม กตฺวา ‘‘คณฺหถ อิมํ สลาก’’นฺติ สลากคฺคาเหนฯ
Tattha kammenāti apalokanādīsu catūsu kammesu aññatarena kammena. Uddesenāti pañcasu pātimokkhuddesesu aññatarena uddesena. Voharantoti kathayanto, tāhi tāhi uppattīhi adhammaṃ dhammotiādīni aṭṭhārasa bhedakaravatthūni dīpento. Anussāvanenāti nanu tumhe jānātha mayhaṃ uccākulā pabbajitabhāvaṃ bahussutabhāvañca, mādiso nāma uddhammaṃ ubbinayaṃ satthusāsanaṃ gāheyyāti cittampi uppādetuṃ tumhākaṃ yuttaṃ, kiṃ mayhaṃ avīci nīluppalavanaṃ viya sītalo, kiṃ ahaṃ apāyato na bhāyāmītiādinā nayena kaṇṇamūle vacībhedaṃ katvā anussāvanena. Salākaggāhenāti evaṃ anussāvetvā tesaṃ cittaṃ upatthambhetvā anivattidhamme katvā ‘‘gaṇhatha imaṃ salāka’’nti salākaggāhena.
เอตฺถ จ กมฺมเมว อุเทฺทโส วา ปมาณํ, โวหารานุสฺสาวนสลากคฺคาหา ปน ปุพฺพภาคาฯ อฎฺฐารสวตฺถุทีปนวเสน หิ โวหรเนฺตน ตตฺถ รุจิชนนตฺถํ อนุสฺสาเวตฺวา สลากาย คาหิตายปิ อภิโนฺนว โหติ สโงฺฆฯ ยทา ปน เอวํ จตฺตาโร วา อติเรกา วา สลากํ คาเหตฺวา อาเวณิกํ กมฺมํ วา อุเทฺทสํ วา กโรนฺติ, ตทา สโงฺฆ ภิโนฺน นาม โหติฯ เอวํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ เอตฺตาวตา มาตุฆาตาทีนิ ปญฺจ อานนฺตริยกมฺมานิ ทสฺสิตานิ โหนฺติ, ยานิ ปุถุชฺชโน กโรติ, น อริยสาวโก, เตสํ อาวิภาวตฺถํ –
Ettha ca kammameva uddeso vā pamāṇaṃ, vohārānussāvanasalākaggāhā pana pubbabhāgā. Aṭṭhārasavatthudīpanavasena hi voharantena tattha rucijananatthaṃ anussāvetvā salākāya gāhitāyapi abhinnova hoti saṅgho. Yadā pana evaṃ cattāro vā atirekā vā salākaṃ gāhetvā āveṇikaṃ kammaṃ vā uddesaṃ vā karonti, tadā saṅgho bhinno nāma hoti. Evaṃ diṭṭhisampanno puggalo saṅghaṃ bhindeyyāti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Ettāvatā mātughātādīni pañca ānantariyakammāni dassitāni honti, yāni puthujjano karoti, na ariyasāvako, tesaṃ āvibhāvatthaṃ –
กมฺมโต ทฺวารโต เจว, กปฺปฎฺฐิติยโต ตถา;
Kammato dvārato ceva, kappaṭṭhitiyato tathā;
ปากสาธารณาทีหิ, วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Pākasādhāraṇādīhi, viññātabbo vinicchayo.
ตตฺถ กมฺมโต ตาว – เอตฺถ หิ มนุสฺสภูตเสฺสว มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา อปิ ปริวตฺตลิงฺคํ ชีวิตา โวโรเปนฺตสฺส กมฺมํ อานนฺตริยํ โหติ, ตสฺส วิปากํ ปฎิพาหิสฺสามีติ สกลจกฺกวาฬํ มหาเจติยปฺปมาเณหิ กญฺจนถูเปหิ ปูเรตฺวาปิ สกลจกฺกวาฬํ ปูเรตฺวา นิสินฺนภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวาปิ พุทฺธสฺส ภควโต สงฺฆาฎิกณฺณํ อมุญฺจโนฺต วิจริตฺวาปิ กายสฺส เภทา นิรยเมว อุปปชฺชติฯ โย ปน สยํ มนุสฺสภูโต ติรจฺฉานภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา, สยํ วา ติรจฺฉานภูโต มนุสฺสภูตํ, ติรจฺฉาโนเยว วา ติรจฺฉานภูตํ ชีวิตา โวโรเปติ, ตสฺส กมฺมํ อานนฺตริยํ น โหติ, ภาริยํ ปน โหติ, อานนฺตริยํ อาหเจฺจว ติฎฺฐติฯ มนุสฺสชาติกานํ ปน วเสน อยํ ปโญฺห กถิโตฯ
Tattha kammato tāva – ettha hi manussabhūtasseva manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā api parivattaliṅgaṃ jīvitā voropentassa kammaṃ ānantariyaṃ hoti, tassa vipākaṃ paṭibāhissāmīti sakalacakkavāḷaṃ mahācetiyappamāṇehi kañcanathūpehi pūretvāpi sakalacakkavāḷaṃ pūretvā nisinnabhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvāpi buddhassa bhagavato saṅghāṭikaṇṇaṃ amuñcanto vicaritvāpi kāyassa bhedā nirayameva upapajjati. Yo pana sayaṃ manussabhūto tiracchānabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā, sayaṃ vā tiracchānabhūto manussabhūtaṃ, tiracchānoyeva vā tiracchānabhūtaṃ jīvitā voropeti, tassa kammaṃ ānantariyaṃ na hoti, bhāriyaṃ pana hoti, ānantariyaṃ āhacceva tiṭṭhati. Manussajātikānaṃ pana vasena ayaṃ pañho kathito.
ตตฺถ เอฬกจตุกฺกํ สงฺคามจตุกฺกํ โจรจตุกฺกญฺจ กเถตพฺพํฯ เอฬกํ มาเรมีติ อภิสนฺธินาปิ หิ เอฬกฎฺฐาเน ฐิตํ มนุโสฺส มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา มาเรโนฺต อานนฺตริยํ ผุสติฯ เอฬกาภิสนฺธินา ปน มาตาปิตาอภิสนฺธินา วา เอฬกํ มาเรโนฺต อานนฺตริยํ น ผุสติฯ มาตาปิตาอภิสนฺธินา มาตาปิตโร มาเรโนฺต ผุสเตวฯ เอเสว นโย อิตรสฺมิมฺปิ จตุกฺกทฺวเยฯ ยถา จ มาตาปิตูสุ, เอวํ อรหเนฺตปิ เอตานิ จตุกฺกานิ เวทิตพฺพานิฯ
Tattha eḷakacatukkaṃ saṅgāmacatukkaṃ coracatukkañca kathetabbaṃ. Eḷakaṃ māremīti abhisandhināpi hi eḷakaṭṭhāne ṭhitaṃ manusso manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā mārento ānantariyaṃ phusati. Eḷakābhisandhinā pana mātāpitāabhisandhinā vā eḷakaṃ mārento ānantariyaṃ na phusati. Mātāpitāabhisandhinā mātāpitaro mārento phusateva. Eseva nayo itarasmimpi catukkadvaye. Yathā ca mātāpitūsu, evaṃ arahantepi etāni catukkāni veditabbāni.
มนุสฺสอรหนฺตเมว มาเรตฺวา อานนฺตริยํ ผุสติ, น ยกฺขภูตํฯ กมฺมํ ปน ภาริยํ, อานนฺตริยสทิสเมวฯ มนุสฺสอรหนฺตสฺส จ ปุถุชฺชนกาเลเยว สตฺถปฺปหาเร วา วิเส วา ทิเนฺนปิ ยทิ โส อรหตฺตํ ปตฺวา เตเนว มรติ, อรหนฺตฆาโต โหติเยวฯ ยํ ปน ปุถุชฺชนกาเล ทินฺนํ ทานํ อรหตฺตํ ปตฺวา ปริภุญฺชติ, ปุถุชฺชนเสฺสว ทินฺนํ โหติฯ เสสอริยปุคฺคเล มาเรนฺตสฺส อานนฺตริยํ นตฺถิฯ กมฺมํ ปน ภาริยํ, อานนฺตริยสทิสเมวฯ
Manussaarahantameva māretvā ānantariyaṃ phusati, na yakkhabhūtaṃ. Kammaṃ pana bhāriyaṃ, ānantariyasadisameva. Manussaarahantassa ca puthujjanakāleyeva satthappahāre vā vise vā dinnepi yadi so arahattaṃ patvā teneva marati, arahantaghāto hotiyeva. Yaṃ pana puthujjanakāle dinnaṃ dānaṃ arahattaṃ patvā paribhuñjati, puthujjanasseva dinnaṃ hoti. Sesaariyapuggale mārentassa ānantariyaṃ natthi. Kammaṃ pana bhāriyaṃ, ānantariyasadisameva.
โลหิตุปฺปาเท ตถาคตสฺส อเภชฺชกายตาย ปรูปกฺกเมน จมฺมเจฺฉทํ กตฺวา โลหิตปคฺฆรณํ นาม นตฺถิฯ สรีรสฺส ปน อโนฺตเยว เอกสฺมิํเยว ฐาเน โลหิตํ สโมสรติฯ เทวทเตฺตน ปวิทฺธสิลโต ภิชฺชิตฺวา คตา สกลิกาปิ ตถาคตสฺส ปาทนฺตํ ปหริ, ผรสุนา ปหโฎ วิย ปาโท อโนฺตโลหิโตเยว อโหสิฯ ตถา กโรนฺตสฺส อานนฺตริยํ โหติฯ ชีวโก ปน ตถาคตสฺส รุจิยา สตฺถเกน จมฺมํ ฉินฺทิตฺวา ตมฺหา ฐานา ทุฎฺฐโลหิตํ นีหริตฺวา ผาสุมกาสิ, ตถา กโรนฺตสฺส ปุญฺญกมฺมเมว โหติฯ
Lohituppāde tathāgatassa abhejjakāyatāya parūpakkamena cammacchedaṃ katvā lohitapaggharaṇaṃ nāma natthi. Sarīrassa pana antoyeva ekasmiṃyeva ṭhāne lohitaṃ samosarati. Devadattena paviddhasilato bhijjitvā gatā sakalikāpi tathāgatassa pādantaṃ pahari, pharasunā pahaṭo viya pādo antolohitoyeva ahosi. Tathā karontassa ānantariyaṃ hoti. Jīvako pana tathāgatassa ruciyā satthakena cammaṃ chinditvā tamhā ṭhānā duṭṭhalohitaṃ nīharitvā phāsumakāsi, tathā karontassa puññakammameva hoti.
อถ เย จ ปรินิพฺพุเต ตถาคเต เจติยํ ภินฺทนฺติ, โพธิํ ฉินฺทนฺติ ธาตุมฺหิ อุปกฺกมนฺติ, เตสํ กิํ โหตีติ? ภาริยํ กมฺมํ โหติ อานนฺตริยสทิสํฯ สธาตุกํ ปน ถูปํ วา ปฎิมํ วา พาธมานํ โพธิสาขํ ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ สเจปิ ตตฺถ นิลีนา สกุณา เจติเย วจฺจํ ปาเตนฺติ, ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติเยวฯ ปริโภคเจติยโต หิ สรีรเจติยํ มหนฺตตรํฯ เจติยวตฺถุํ ภินฺทิตฺวา คจฺฉนฺตํ โพธิมูลมฺปิ ฉินฺทิตฺวา หริตุํ วฎฺฎติฯ ยา ปน โพธิสาขา โพธิฆรํ พาธติ, ตํ เคหรกฺขณตฺถํ ฉินฺทิตุํ น ลภติ, โพธิอตฺถญฺหิ เคหํ, น เคหตฺถาย โพธิฯ อาสนฆเรปิ เอเสว นโยฯ ยสฺมิํ ปน อาสนฆเร ธาตุ นิหิตา โหติ, ตสฺส รกฺขณตฺถาย โพธิสาขํ ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ โพธิชคฺคนตฺถํ โอโชหรณสาขํ วา ปูติฎฺฐานํ วา ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติเยว, ภควโต สรีรปฎิชคฺคเน วิย ปุญฺญมฺปิ โหติฯ
Atha ye ca parinibbute tathāgate cetiyaṃ bhindanti, bodhiṃ chindanti dhātumhi upakkamanti, tesaṃ kiṃ hotīti? Bhāriyaṃ kammaṃ hoti ānantariyasadisaṃ. Sadhātukaṃ pana thūpaṃ vā paṭimaṃ vā bādhamānaṃ bodhisākhaṃ chindituṃ vaṭṭati. Sacepi tattha nilīnā sakuṇā cetiye vaccaṃ pātenti, chindituṃ vaṭṭatiyeva. Paribhogacetiyato hi sarīracetiyaṃ mahantataraṃ. Cetiyavatthuṃ bhinditvā gacchantaṃ bodhimūlampi chinditvā harituṃ vaṭṭati. Yā pana bodhisākhā bodhigharaṃ bādhati, taṃ geharakkhaṇatthaṃ chindituṃ na labhati, bodhiatthañhi gehaṃ, na gehatthāya bodhi. Āsanagharepi eseva nayo. Yasmiṃ pana āsanaghare dhātu nihitā hoti, tassa rakkhaṇatthāya bodhisākhaṃ chindituṃ vaṭṭati. Bodhijagganatthaṃ ojoharaṇasākhaṃ vā pūtiṭṭhānaṃ vā chindituṃ vaṭṭatiyeva, bhagavato sarīrapaṭijaggane viya puññampi hoti.
สงฺฆเภเท สีมฎฺฐกสเงฺฆ อสนฺนิปติเต วิสุํ ปริสํ คเหตฺวา กตโวหารานุสฺสาวน-สลากคฺคาหสฺส กมฺมํ วา กโรนฺตสฺส, อุเทฺทสํ วา อุทฺทิสนฺตสฺส เภโท จ โหติ อานนฺตริยกมฺมญฺจฯ สมคฺคสญฺญาย ปน วฎฺฎตีติ กมฺมํ กโรนฺตสฺส เภโทว โหติ, น อานนฺตริยกมฺมํ, ตถา นวโต อูนปริสายํฯ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน นวนฺนํ ชนานํ โย สงฺฆํ ภินฺทติ , ตสฺส อานนฺตริยกมฺมํ โหติฯ อนุวตฺตกานํ อธมฺมวาทีนํ มหาสาวชฺชกมฺมํฯ ธมฺมวาทิโน ปน อนวชฺชาฯ
Saṅghabhede sīmaṭṭhakasaṅghe asannipatite visuṃ parisaṃ gahetvā katavohārānussāvana-salākaggāhassa kammaṃ vā karontassa, uddesaṃ vā uddisantassa bhedo ca hoti ānantariyakammañca. Samaggasaññāya pana vaṭṭatīti kammaṃ karontassa bhedova hoti, na ānantariyakammaṃ, tathā navato ūnaparisāyaṃ. Sabbantimena paricchedena navannaṃ janānaṃ yo saṅghaṃ bhindati , tassa ānantariyakammaṃ hoti. Anuvattakānaṃ adhammavādīnaṃ mahāsāvajjakammaṃ. Dhammavādino pana anavajjā.
ตตฺถ นวนฺนเมว สงฺฆเภเท อิทํ สุตฺตํ – ‘‘เอกโต อุปาลิ จตฺตาโร โหนฺติ, เอกโต จตฺตาโร, นวโม อนุสฺสาเวติ, สลากํ คาเหติ ‘อยํ ธโมฺม อยํ วินโย อิทํ สตฺถุสาสนํ, อิทํ คณฺหถ, อิมํ โรเจถา’ติ, เอวํ โข, อุปาลิ, สงฺฆราชิ เจว โหติ สงฺฆเภโท จฯ นวนฺนํ วา, อุปาลิ, อติเรกนวนฺนํ วา สงฺฆราชิ เจว โหติ สงฺฆเภโท จา’’ติ (จูฬว. ๓๕๑)ฯ เอเตสุ ปน ปญฺจสุ สงฺฆเภโท วจีกมฺมํ, เสสานิ กายกมฺมานีติฯ เอวํ กมฺมโต วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Tattha navannameva saṅghabhede idaṃ suttaṃ – ‘‘ekato upāli cattāro honti, ekato cattāro, navamo anussāveti, salākaṃ gāheti ‘ayaṃ dhammo ayaṃ vinayo idaṃ satthusāsanaṃ, idaṃ gaṇhatha, imaṃ rocethā’ti, evaṃ kho, upāli, saṅgharāji ceva hoti saṅghabhedo ca. Navannaṃ vā, upāli, atirekanavannaṃ vā saṅgharāji ceva hoti saṅghabhedo cā’’ti (cūḷava. 351). Etesu pana pañcasu saṅghabhedo vacīkammaṃ, sesāni kāyakammānīti. Evaṃ kammato viññātabbo vinicchayo.
ทฺวารโตติ สพฺพาเนว เจตานิ กายทฺวารโตปิ วจีทฺวารโตปิ สมุฎฺฐหนฺติฯ ปุริมานิ ปเนตฺถ จตฺตาริ อาณตฺติกวิชฺชามยปโยควเสน วจีทฺวารโต สมุฎฺฐหิตฺวาปิ กายทฺวารเมว ปูเรนฺติ, สงฺฆเภโท หตฺถมุทฺทาย เภทํ กโรนฺตสฺส กายทฺวารโต สมุฎฺฐหิตฺวาปิ วจีทฺวารเมว ปูเรตีติฯ เอวเมตฺถ ทฺวารโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Dvāratoti sabbāneva cetāni kāyadvāratopi vacīdvāratopi samuṭṭhahanti. Purimāni panettha cattāri āṇattikavijjāmayapayogavasena vacīdvārato samuṭṭhahitvāpi kāyadvārameva pūrenti, saṅghabhedo hatthamuddāya bhedaṃ karontassa kāyadvārato samuṭṭhahitvāpi vacīdvārameva pūretīti. Evamettha dvāratopi viññātabbo vinicchayo.
กปฺปฎฺฐิติยโตติ สงฺฆเภโทเยว เจตฺถ กปฺปฎฺฐิติโยฯ สณฺฐหเนฺต หิ กเปฺป กปฺปเวมเชฺฌ วา สงฺฆเภทํ กตฺวา กปฺปวินาเสเยว มุจฺจติฯ สเจปิ หิ เสฺวว กโปฺป วินสฺสิสฺสตีติ อชฺช สงฺฆเภทํ กโรติ, เสฺวว มุจฺจติ, เอกทิวสเมว นิรเย ปจฺจติฯ เอวํ กรณํ ปน นตฺถิฯ เสสานิ จตฺตาริ กมฺมานิ อานนฺตริยาเนว โหนฺติ, น กปฺปฎฺฐิติยานีติ เอวเมตฺถ กปฺปฎฺฐิติยโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Kappaṭṭhitiyatoti saṅghabhedoyeva cettha kappaṭṭhitiyo. Saṇṭhahante hi kappe kappavemajjhe vā saṅghabhedaṃ katvā kappavināseyeva muccati. Sacepi hi sveva kappo vinassissatīti ajja saṅghabhedaṃ karoti, sveva muccati, ekadivasameva niraye paccati. Evaṃ karaṇaṃ pana natthi. Sesāni cattāri kammāni ānantariyāneva honti, na kappaṭṭhitiyānīti evamettha kappaṭṭhitiyatopi viññātabbo vinicchayo.
ปากโตติ เยน จ ปญฺจเป’ตานิ กมฺมานิ กตานิ โหนฺติ, ตสฺส สงฺฆเภโทเยว ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติ, เสสานิ ‘‘อโหสิกมฺมํ, นาโหสิ กมฺมวิปาโก’’ติ เอวมาทีสุ สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ สงฺฆสฺส เภทาภาเว โลหิตุปฺปาโท, ตทภาเว อรหนฺตฆาโต, ตทภาเว จ สเจ ปิตา สีลวา โหติ, มาตา ทุสฺสีลา, โน วา ตถา สีลวตี, ปิตุฆาโต ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติฯ สเจ มาตาปิตุฆาโต, ทฺวีสุปิ สีเลน วา ทุสฺสีเลน วา สมาเนสุ มาตุฆาโตว ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติ ฯ มาตา หิ ทุกฺกรการินี พหูปการา จ ปุตฺตานนฺติ เอวเมตฺถ ปากโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Pākatoti yena ca pañcape’tāni kammāni katāni honti, tassa saṅghabhedoyeva paṭisandhivasena vipaccati, sesāni ‘‘ahosikammaṃ, nāhosi kammavipāko’’ti evamādīsu saṅkhyaṃ gacchanti. Saṅghassa bhedābhāve lohituppādo, tadabhāve arahantaghāto, tadabhāve ca sace pitā sīlavā hoti, mātā dussīlā, no vā tathā sīlavatī, pitughāto paṭisandhivasena vipaccati. Sace mātāpitughāto, dvīsupi sīlena vā dussīlena vā samānesu mātughātova paṭisandhivasena vipaccati . Mātā hi dukkarakārinī bahūpakārā ca puttānanti evamettha pākatopi viññātabbo vinicchayo.
สาธารณาทีหีติ ปุริมานิ จตฺตาริ สเพฺพสมฺปิ คหฎฺฐปพฺพชิตานํ สาธารณานิฯ สงฺฆเภโท ปน ‘‘น โข, อุปาลิ ภิกฺขุนี, สงฺฆํ ภินฺทติ, น สิกฺขมานา, น สามเณโร, น สามเณรี, น อุปาสโก, น อุปาสิกา สงฺฆํ ภินฺทติ, ภิกฺขุ โข, อุปาลิ, ปกตโตฺต สมานสํวาสโก สมานสีมายํ ฐิโต สงฺฆํ ภินฺทตี’’ติ (จูฬว. ๓๕๑) วจนโต วุตฺตปฺปการสฺส ภิกฺขุโนว โหติ, น อญฺญสฺส, ตสฺมา อสาธารโณฯ อาทิสเทฺทน สเพฺพปิ เต ทุกฺขเวทนาสหคตา โทสโมหสมฺปยุตฺตา จาติ เอวเมตฺถ สาธารณาทีหิปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Sādhāraṇādīhīti purimāni cattāri sabbesampi gahaṭṭhapabbajitānaṃ sādhāraṇāni. Saṅghabhedo pana ‘‘na kho, upāli bhikkhunī, saṅghaṃ bhindati, na sikkhamānā, na sāmaṇero, na sāmaṇerī, na upāsako, na upāsikā saṅghaṃ bhindati, bhikkhu kho, upāli, pakatatto samānasaṃvāsako samānasīmāyaṃ ṭhito saṅghaṃ bhindatī’’ti (cūḷava. 351) vacanato vuttappakārassa bhikkhunova hoti, na aññassa, tasmā asādhāraṇo. Ādisaddena sabbepi te dukkhavedanāsahagatā dosamohasampayuttā cāti evamettha sādhāraṇādīhipi viññātabbo vinicchayo.
อญฺญํ สตฺถารนฺติ ‘‘อยํ เม สตฺถา สตฺถุกิจฺจํ กาตุํ อสมโตฺถ’’ติ ภวนฺตเรปิ อญฺญํ ติตฺถกรํ ‘‘อยํ เม สตฺถา’’ติ เอวํ คเณฺหยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ อโตฺถฯ
Aññaṃ satthāranti ‘‘ayaṃ me satthā satthukiccaṃ kātuṃ asamattho’’ti bhavantarepi aññaṃ titthakaraṃ ‘‘ayaṃ me satthā’’ti evaṃ gaṇheyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti attho.
๑๒๙. เอกิสฺสา โลกธาตุยาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุยาฯ ตีณิ หิ เขตฺตานิ ชาติเขตฺตํ อาณาเขตฺตํ วิสยเขตฺตํฯ ตตฺถ ชาติเขตฺตํ นาม ทสสหสฺสี โลกธาตุฯ สา หิ ตถาคตสฺส มาตุกุจฺฉิโอกฺกมนกาเล นิกฺขมนกาเล สโมฺพธิกาเล ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน อายุสงฺขาโรสฺสชฺชเน ปรินิพฺพาเน จ กมฺปติฯ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬํ ปน อาณาเขตฺตํ นามฯ อาฎานาฎิยโมรปริตฺตธชคฺคปริตฺตรตนปริตฺตาทีนญฺหิ เอตฺถ อาณา วตฺตติฯ วิสยเขตฺตสฺส ปน ปริมาณํ นตฺถิฯ พุทฺธานญฺหิ ‘‘ยาวตกํ ญาณํ ตาวตกํ เนยฺยํ, ยาวตกํ เนยฺยํ ตาวตกํ ญาณํ, ญาณปริยนฺติกํ เนยฺยํ เนยฺยปริยนฺติกํ ญาณ’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๓.๕) วจนโต อวิสโย นาม นตฺถิฯ
129.Ekissā lokadhātuyāti dasasahassilokadhātuyā. Tīṇi hi khettāni jātikhettaṃ āṇākhettaṃ visayakhettaṃ. Tattha jātikhettaṃ nāma dasasahassī lokadhātu. Sā hi tathāgatassa mātukucchiokkamanakāle nikkhamanakāle sambodhikāle dhammacakkappavattane āyusaṅkhārossajjane parinibbāne ca kampati. Koṭisatasahassacakkavāḷaṃ pana āṇākhettaṃ nāma. Āṭānāṭiyamoraparittadhajaggaparittaratanaparittādīnañhi ettha āṇā vattati. Visayakhettassa pana parimāṇaṃ natthi. Buddhānañhi ‘‘yāvatakaṃ ñāṇaṃ tāvatakaṃ neyyaṃ, yāvatakaṃ neyyaṃ tāvatakaṃ ñāṇaṃ, ñāṇapariyantikaṃ neyyaṃ neyyapariyantikaṃ ñāṇa’’nti (paṭi. ma. 3.5) vacanato avisayo nāma natthi.
อิเมสุ ปน ตีสุ เขเตฺตสุ ฐเปตฺวา อิมํ จกฺกวาฬํ อญฺญสฺมิํ จกฺกวาเฬ พุทฺธา อุปฺปชฺชนฺตีติ สุตฺตํ นตฺถิ, น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถิฯ ตีณิ ปิฎกานิ วินยปิฎกํ สุตฺตนฺตปิฎกํ อภิธมฺมปิฎกํ, ติโสฺส สงฺคีติโย มหากสฺสปเตฺถรสฺส สงฺคีติ, ยสเตฺถรสฺส สงฺคีติ, โมคฺคลิปุตฺตติสฺสเตฺถรสฺส สงฺคีตีติฯ อิมา ติโสฺส สงฺคีติโย อารุเฬฺห เตปิฎเก พุทฺธวจเน อิมํ จกฺกวาฬํ มุญฺจิตฺวา อญฺญตฺถ พุทฺธา อุปฺปชฺชนฺตีติ สุตฺตํ นตฺถิ, น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถิฯ
Imesu pana tīsu khettesu ṭhapetvā imaṃ cakkavāḷaṃ aññasmiṃ cakkavāḷe buddhā uppajjantīti suttaṃ natthi, na uppajjantīti pana atthi. Tīṇi piṭakāni vinayapiṭakaṃ suttantapiṭakaṃ abhidhammapiṭakaṃ, tisso saṅgītiyo mahākassapattherassa saṅgīti, yasattherassa saṅgīti, moggaliputtatissattherassa saṅgītīti. Imā tisso saṅgītiyo āruḷhe tepiṭake buddhavacane imaṃ cakkavāḷaṃ muñcitvā aññattha buddhā uppajjantīti suttaṃ natthi, na uppajjantīti pana atthi.
อปุพฺพํ อจริมนฺติ อปุเร อปจฺฉาฯ เอกโต น อุปฺปชฺชนฺติ, ปุเร วา ปจฺฉา วา อุปฺปชฺชนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ หิ โพธิปลฺลเงฺก โพธิํ อปฺปตฺวา น อุฎฺฐหิสฺสามีติ นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย ยาว มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิคฺคหณํ, ตาว ปุเพฺพติ น เวทิตพฺพํฯ โพธิสตฺตสฺส หิ ปฎิสนฺธิคฺคหเณน ทสสหสฺสจกฺกวาฬกมฺปเนเนว เขตฺตปริคฺคโห กโต, อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ นิวาริตาว โหติฯ ปรินิพฺพานกาลโต ปฎฺฐาย ยาว สาสปมตฺตา ธาตุ ติฎฺฐติ, ตาว ปจฺฉาติ น เวทิตพฺพํฯ ธาตูสุ หิ ฐิตาสุ พุทฺธา ฐิตาว โหนฺติฯ ตสฺมา เอตฺถนฺตเร อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ นิวาริตาว โหติฯ ธาตุปรินิพฺพาเน ปน ชาเต อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ น นิวาริตาฯ
Apubbaṃ acarimanti apure apacchā. Ekato na uppajjanti, pure vā pacchā vā uppajjantīti vuttaṃ hoti. Tattha hi bodhipallaṅke bodhiṃ appatvā na uṭṭhahissāmīti nisinnakālato paṭṭhāya yāva mātukucchismiṃ paṭisandhiggahaṇaṃ, tāva pubbeti na veditabbaṃ. Bodhisattassa hi paṭisandhiggahaṇena dasasahassacakkavāḷakampaneneva khettapariggaho kato, aññassa buddhassa uppatti nivāritāva hoti. Parinibbānakālato paṭṭhāya yāva sāsapamattā dhātu tiṭṭhati, tāva pacchāti na veditabbaṃ. Dhātūsu hi ṭhitāsu buddhā ṭhitāva honti. Tasmā etthantare aññassa buddhassa uppatti nivāritāva hoti. Dhātuparinibbāne pana jāte aññassa buddhassa uppatti na nivāritā.
ตีณิ หิ อนฺตรธานานิ นาม ปริยตฺติอนฺตรธานํ, ปฎิเวธอนฺตรธานํ, ปฎิปตฺติอนฺตรธานนฺติฯ ตตฺถ ปริยตฺตีติ ตีณิ ปิฎกานิฯ ปฎิเวโธติ สจฺจปฎิเวโธฯ ปฎิปตฺตีติ ปฎิปทาฯ ตตฺถ ปฎิเวโธ จ ปฎิปตฺติ จ โหติปิ น โหติปิฯ เอกสฺมิญฺหิ กาเล ปฎิเวธธรา ภิกฺขู พหู โหนฺติ, เอโส ภิกฺขุ ปุถุชฺชโนติ องฺคุลิํ ปสาเรตฺวา ทเสฺสตโพฺพ โหติฯ อิมสฺมิํเยว ทีเป เอกวาเร ปุถุชฺชนภิกฺขุ นาม นาโหสิฯ ปฎิปตฺติปูริกาปิ กทาจิ พหู โหนฺติ กทาจิ อปฺปาฯ อิติ ปฎิเวโธ จ ปฎิปตฺติ จ โหติปิ น โหติปิ, สาสนฎฺฐิติยา ปน ปริยตฺติ ปมาณํฯ
Tīṇi hi antaradhānāni nāma pariyattiantaradhānaṃ, paṭivedhaantaradhānaṃ, paṭipattiantaradhānanti. Tattha pariyattīti tīṇi piṭakāni. Paṭivedhoti saccapaṭivedho. Paṭipattīti paṭipadā. Tattha paṭivedho ca paṭipatti ca hotipi na hotipi. Ekasmiñhi kāle paṭivedhadharā bhikkhū bahū honti, eso bhikkhu puthujjanoti aṅguliṃ pasāretvā dassetabbo hoti. Imasmiṃyeva dīpe ekavāre puthujjanabhikkhu nāma nāhosi. Paṭipattipūrikāpi kadāci bahū honti kadāci appā. Iti paṭivedho ca paṭipatti ca hotipi na hotipi, sāsanaṭṭhitiyā pana pariyatti pamāṇaṃ.
ปณฺฑิโต หิ เตปิฎกํ สุตฺวา เทฺวปิ ปูเรติฯ ยถา อมฺหากํ โพธิสโตฺต อาฬารสฺส สนฺติเก ปญฺจาภิญฺญา สตฺต จ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา ปริกมฺมํ ปุจฺฉิ, โส น ชานามีติ อาหฯ ตโต อุทกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อธิคตํ วิเสสํ สํสเนฺทตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสฺส ปริกมฺมํ ปุจฺฉิ, โส อาจิกฺขิ, ตสฺส วจนสมนนฺตรเมว มหาสโตฺต ตํ สมฺปาเทสิ, เอวเมว ปญฺญวา ภิกฺขุ ปริยตฺติํ สุตฺวา เทฺวปิ ปูเรติฯ ตสฺมา ปริยตฺติยา ฐิตาย สาสนํ ฐิตํ โหติฯ
Paṇḍito hi tepiṭakaṃ sutvā dvepi pūreti. Yathā amhākaṃ bodhisatto āḷārassa santike pañcābhiññā satta ca samāpattiyo nibbattetvā nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiyā parikammaṃ pucchi, so na jānāmīti āha. Tato udakassa santikaṃ gantvā adhigataṃ visesaṃ saṃsandetvā nevasaññānāsaññāyatanassa parikammaṃ pucchi, so ācikkhi, tassa vacanasamanantarameva mahāsatto taṃ sampādesi, evameva paññavā bhikkhu pariyattiṃ sutvā dvepi pūreti. Tasmā pariyattiyā ṭhitāya sāsanaṃ ṭhitaṃ hoti.
ยทา ปน สา อนฺตรธายติ, ตทา ปฐมํ อภิธมฺมปิฎกํ นสฺสติฯ ตตฺถ ปฎฺฐานํ สพฺพปฐมํ อนฺตรธายติ, อนุกฺกเมน ปจฺฉา ธมฺมสงฺคโห, ตสฺมิํ อนฺตรหิเต อิตเรสุ ทฺวีสุ ปิฎเกสุ ฐิเตสุ สาสนํ ฐิตเมว โหติฯ ตตฺถ สุตฺตนฺตปิฎเก อนฺตรธายมาเน ปฐมํ องฺคุตฺตรนิกาโย เอกาทสกโต ปฎฺฐาย ยาว เอกกา อนฺตรธายติ, ตทนนฺตรํ สํยุตฺตนิกาโย จกฺกเปยฺยาลโต ปฎฺฐาย ยาว โอฆตรณา อนฺตรธายติ, ตทนนฺตรํ มชฺฌิมนิกาโย อินฺทฺริยภาวนโต ปฎฺฐาย ยาว มูลปริยายา อนฺตรธายติ, ตทนนฺตรํ ทีฆนิกาโย ทสุตฺตรโต ปฎฺฐาย ยาว พฺรหฺมชาลา อนฺตรธายติฯ เอกิสฺสาปิ ทฺวินฺนมฺปิ คาถานํ ปุจฺฉา อทฺธานํ คจฺฉติ, สาสนํ ธาเรตุํ น สโกฺกติ สภิยปุจฺฉา (สุ. นิ. สภิยสุตฺตํ) วิย อาฬวกปุจฺฉา (สุ. นิ. อาฬวกสุตฺตํ; สํ. นิ. ๑.๒๔๖) วิย จฯ เอตา กิร กสฺสปพุทฺธกาลิกา อนฺตรา สาสนํ ธาเรตุํ นาสกฺขิํสุฯ
Yadā pana sā antaradhāyati, tadā paṭhamaṃ abhidhammapiṭakaṃ nassati. Tattha paṭṭhānaṃ sabbapaṭhamaṃ antaradhāyati, anukkamena pacchā dhammasaṅgaho, tasmiṃ antarahite itaresu dvīsu piṭakesu ṭhitesu sāsanaṃ ṭhitameva hoti. Tattha suttantapiṭake antaradhāyamāne paṭhamaṃ aṅguttaranikāyo ekādasakato paṭṭhāya yāva ekakā antaradhāyati, tadanantaraṃ saṃyuttanikāyo cakkapeyyālato paṭṭhāya yāva oghataraṇā antaradhāyati, tadanantaraṃ majjhimanikāyo indriyabhāvanato paṭṭhāya yāva mūlapariyāyā antaradhāyati, tadanantaraṃ dīghanikāyo dasuttarato paṭṭhāya yāva brahmajālā antaradhāyati. Ekissāpi dvinnampi gāthānaṃ pucchā addhānaṃ gacchati, sāsanaṃ dhāretuṃ na sakkoti sabhiyapucchā (su. ni. sabhiyasuttaṃ) viya āḷavakapucchā (su. ni. āḷavakasuttaṃ; saṃ. ni. 1.246) viya ca. Etā kira kassapabuddhakālikā antarā sāsanaṃ dhāretuṃ nāsakkhiṃsu.
ทฺวีสุ ปน ปิฎเกสุ อนฺตรหิเตสุปิ วินยปิฎเก ฐิเต สาสนํ ติฎฺฐติ, ปริวารขนฺธเกสุ อนฺตรหิเตสุ อุภโตวิภเงฺค ฐิเต ฐิตเมว โหติฯ อุภโตวิภเงฺค อนฺตรหิเต มาติกาย ฐิตายปิ ฐิตเมว โหติฯ มาติกาย อนฺตรหิตาย ปาติโมกฺขปพฺพชฺชอุปสมฺปทาสุ ฐิตาสุ สาสนํ ติฎฺฐติฯ ลิงฺคมทฺธานํ คจฺฉติ, เสตวตฺถสมณวํโส ปน กสฺสปพุทฺธกาลโต ปฎฺฐาย สาสนํ ธาเรตุํ นาสกฺขิฯ ปจฺฉิมกสฺส ปน สจฺจปฎิเวธโต ปจฺฉิมกสฺส สีลเภทโต จ ปฎฺฐาย สาสนํ โอสกฺกิตํ นาม โหติฯ ตโต ปฎฺฐาย อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ น วาริตาติฯ
Dvīsu pana piṭakesu antarahitesupi vinayapiṭake ṭhite sāsanaṃ tiṭṭhati, parivārakhandhakesu antarahitesu ubhatovibhaṅge ṭhite ṭhitameva hoti. Ubhatovibhaṅge antarahite mātikāya ṭhitāyapi ṭhitameva hoti. Mātikāya antarahitāya pātimokkhapabbajjaupasampadāsu ṭhitāsu sāsanaṃ tiṭṭhati. Liṅgamaddhānaṃ gacchati, setavatthasamaṇavaṃso pana kassapabuddhakālato paṭṭhāya sāsanaṃ dhāretuṃ nāsakkhi. Pacchimakassa pana saccapaṭivedhato pacchimakassa sīlabhedato ca paṭṭhāya sāsanaṃ osakkitaṃ nāma hoti. Tato paṭṭhāya aññassa buddhassa uppatti na vāritāti.
ตีณิ ปรินิพฺพานานิ นาม กิเลสปรินิพฺพานํ ขนฺธปรินิพฺพานํ ธาตุปรินิพฺพานนฺติฯ ตตฺถ กิเลสปรินิพฺพานํ โพธิปลฺลเงฺก อโหสิ, ขนฺธปรินิพฺพานํ กุสินารายํ, ธาตุปรินิพฺพานํ อนาคเต ภวิสฺสติฯ สาสนสฺส กิร โอสกฺกนกาเล อิมสฺมิํ ตมฺพปณฺณิทีเป ธาตุโย สนฺนิปติตฺวา มหาเจติยํ คมิสฺสนฺติ, มหาเจติยโต นาคทีเป ราชายตนเจติยํ, ตโต มหาโพธิปลฺลงฺกํ คมิสฺสนฺติ, นาคภวนโตปิ เทวโลกโตปิ พฺรหฺมโลกโตปิ ธาตุโย มหาโพธิปลฺลงฺกเมว คมิสฺสนฺติฯ สาสปมตฺตาปิ ธาตุ อนฺตรา น นสฺสิสฺสติฯ สพฺพา ธาตุโย มหาโพธิปลฺลเงฺก ราสิภูตา สุวณฺณกฺขโนฺธ วิย เอกคฺฆนา หุตฺวา ฉพฺพณฺณรสฺมิโย วิสฺสเชฺชสฺสนฺติ, ตา ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริสฺสนฺติฯ
Tīṇi parinibbānāni nāma kilesaparinibbānaṃ khandhaparinibbānaṃ dhātuparinibbānanti. Tattha kilesaparinibbānaṃ bodhipallaṅke ahosi, khandhaparinibbānaṃ kusinārāyaṃ, dhātuparinibbānaṃ anāgate bhavissati. Sāsanassa kira osakkanakāle imasmiṃ tambapaṇṇidīpe dhātuyo sannipatitvā mahācetiyaṃ gamissanti, mahācetiyato nāgadīpe rājāyatanacetiyaṃ, tato mahābodhipallaṅkaṃ gamissanti, nāgabhavanatopi devalokatopi brahmalokatopi dhātuyo mahābodhipallaṅkameva gamissanti. Sāsapamattāpi dhātu antarā na nassissati. Sabbā dhātuyo mahābodhipallaṅke rāsibhūtā suvaṇṇakkhandho viya ekagghanā hutvā chabbaṇṇarasmiyo vissajjessanti, tā dasasahassilokadhātuṃ pharissanti.
ตโต ทสสหสฺสจกฺกวาเฬ เทวตา โย สนฺนิปติตฺวา ‘‘อชฺช สตฺถา ปรินิพฺพายติ, อชฺช สาสนํ โอสกฺกติ, ปจฺฉิมทสฺสนํ ทานิ อิทํ อมฺหาก’’นฺติ ทสพลสฺส ปรินิพฺพุตทิวสโต มหนฺตตรํ การุญฺญํ กริสฺสนฺติฯ ฐเปตฺวา อนาคามิขีณาสเว อวเสสา สกภาเวน สณฺฐาตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ ธาตูสุ เตโชธาตุ อุฎฺฐหิตฺวา ยาว พฺรหฺมโลกา อุคฺคจฺฉิสฺสติ, สาสปมตฺตายปิ ธาตุยา สติ เอกชาลาว ภวิสฺสติ, ธาตูสุ ปริยาทานํ คตาสุ ปจฺฉิชฺชิสฺสติฯ เอวํ มหนฺตํ อานุภาวํ ทเสฺสตฺวา ธาตูสุ อนฺตรหิตาสุ สาสนํ อนฺตรหิตํ นาม โหติฯ ยาว เอวํ น อนนฺตรธายติ, ตาว อจริมํ นาม โหติฯ เอวํ อปุพฺพํ อจริมํ อุปฺปเชฺชยฺยุนฺติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
Tato dasasahassacakkavāḷe devatā yo sannipatitvā ‘‘ajja satthā parinibbāyati, ajja sāsanaṃ osakkati, pacchimadassanaṃ dāni idaṃ amhāka’’nti dasabalassa parinibbutadivasato mahantataraṃ kāruññaṃ karissanti. Ṭhapetvā anāgāmikhīṇāsave avasesā sakabhāvena saṇṭhātuṃ na sakkhissanti. Dhātūsu tejodhātu uṭṭhahitvā yāva brahmalokā uggacchissati, sāsapamattāyapi dhātuyā sati ekajālāva bhavissati, dhātūsu pariyādānaṃ gatāsu pacchijjissati. Evaṃ mahantaṃ ānubhāvaṃ dassetvā dhātūsu antarahitāsu sāsanaṃ antarahitaṃ nāma hoti. Yāva evaṃ na anantaradhāyati, tāva acarimaṃ nāma hoti. Evaṃ apubbaṃ acarimaṃ uppajjeyyunti netaṃ ṭhānaṃ vijjati.
กสฺมา ปน อปุพฺพํ อจริมํ น อุปฺปชฺชนฺตีติฯ อนจฺฉริยตฺตาฯ พุทฺธา หิ อจฺฉริยมนุสฺสาฯ ยถาห – ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ อจฺฉริยมนุโสฺส, กตโม เอกปุคฺคโล, ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๗๑-๑๗๔)ฯ
Kasmā pana apubbaṃ acarimaṃ na uppajjantīti. Anacchariyattā. Buddhā hi acchariyamanussā. Yathāha – ‘‘ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati acchariyamanusso, katamo ekapuggalo, tathāgato arahaṃ sammāsambuddho’’ti (a. ni. 1.171-174).
ยทิ จ เทฺว วา จตฺตาโร วา อฎฺฐ วา โสฬส วา เอกโต อุปฺปเชฺชยฺยุํ, น อจฺฉริยา ภเวยฺยุํฯ เอกสฺมิญฺหิ วิหาเร ทฺวินฺนํ เจติยานมฺปิ ลาภสกฺกาโร อุฬาโร น โหติ ภิกฺขูปิ พหุตาย น อจฺฉริยา ชาตา, เอวํ พุทฺธาปิ ภเวยฺยุํฯ ตสฺมา น อุปฺปชฺชนฺติฯ
Yadi ca dve vā cattāro vā aṭṭha vā soḷasa vā ekato uppajjeyyuṃ, na acchariyā bhaveyyuṃ. Ekasmiñhi vihāre dvinnaṃ cetiyānampi lābhasakkāro uḷāro na hoti bhikkhūpi bahutāya na acchariyā jātā, evaṃ buddhāpi bhaveyyuṃ. Tasmā na uppajjanti.
เทสนาย จ วิเสสาภาวโตฯ ยญฺหิ สติปฎฺฐานาทิเภทํ ธมฺมํ เอโก เทเสติ, อเญฺญน อุปฺปชฺชิตฺวาปิ โสว เทเสตโพฺพ สิยาฯ ตโต น อจฺฉริโย สิยา, เอกสฺมิํ ปน ธมฺมํ เทเสเนฺต เทสนาปิ อจฺฉริยา โหติฯ
Desanāya ca visesābhāvato. Yañhi satipaṭṭhānādibhedaṃ dhammaṃ eko deseti, aññena uppajjitvāpi sova desetabbo siyā. Tato na acchariyo siyā, ekasmiṃ pana dhammaṃ desente desanāpi acchariyā hoti.
วิวาทาภาวโต จฯ พหูสุ จ พุเทฺธสุ อุปฺปชฺชเนฺตสุ พหูนํ อาจริยานํ อเนฺตวาสิกา วิย ‘‘อมฺหากํ พุโทฺธ ปาสาทิโก, อมฺหากํ พุโทฺธ มธุรสฺสโร ลาภี ปุญฺญวา’’ติ วิวเทยฺยุํ, ตสฺมาปิ เอวํ น อุปฺปชฺชนฺติฯ อปิเจตํ การณํ มิลินฺทรญฺญา ปุเฎฺฐน นาคเสนเตฺถเรน วิตฺถาริตเมวฯ วุตฺตญฺหิ (มิ. ป. ๕.๑.๑) –
Vivādābhāvato ca. Bahūsu ca buddhesu uppajjantesu bahūnaṃ ācariyānaṃ antevāsikā viya ‘‘amhākaṃ buddho pāsādiko, amhākaṃ buddho madhurassaro lābhī puññavā’’ti vivadeyyuṃ, tasmāpi evaṃ na uppajjanti. Apicetaṃ kāraṇaṃ milindaraññā puṭṭhena nāgasenattherena vitthāritameva. Vuttañhi (mi. pa. 5.1.1) –
‘‘ตตฺถ, ภเนฺต นาคเสน, ภาสิตเมฺปตํ ภควตา ‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา อปุพฺพํ อจริมํ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’ติฯ เทเสนฺตา จ, ภเนฺต นาคเสน, สเพฺพปิ ตถาคตา สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธเมฺม เทเสนฺติ, กถยมานา จ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ กเถนฺติ, สิกฺขาเปนฺตา จ ตีสุ สิกฺขาสุ สิกฺขาเปนฺติ, อนุสาสมานา จ อปฺปมาทปฎิปตฺติยํ อนุสาสนฺติฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, สเพฺพสมฺปิ ตถาคตานํ เอกา เทสนา เอกา กถา เอกา สิกฺขา เอกา อนุสิฎฺฐิ, เกน การเณน เทฺว ตถาคตา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติ? เอเกนปิ ตาว พุทฺธุปฺปาเทน อยํ โลโก โอภาสชาโตฯ ยทิ ทุติโย พุโทฺธ ภเวยฺย, ทฺวินฺนํ ปภาย อยํ โลโก ภิโยฺยโสมตฺตาย โอภาสชาโต ภเวยฺยฯ โอวทมานา จ เทฺว ตถาคตา สุขํ โอวเทยฺยุํ, อนุสาสมานา จ สุขํ อนุสาเสยฺยุํ, ตตฺถ เม การณํ พฺรูหิ, ยถาหํ นิสฺสํสโย ภเวยฺยนฺติฯ
‘‘Tattha, bhante nāgasena, bhāsitampetaṃ bhagavatā ‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddhā apubbaṃ acarimaṃ uppajjeyyuṃ, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’ti. Desentā ca, bhante nāgasena, sabbepi tathāgatā sattatiṃsa bodhipakkhiyadhamme desenti, kathayamānā ca cattāri ariyasaccāni kathenti, sikkhāpentā ca tīsu sikkhāsu sikkhāpenti, anusāsamānā ca appamādapaṭipattiyaṃ anusāsanti. Yadi, bhante nāgasena, sabbesampi tathāgatānaṃ ekā desanā ekā kathā ekā sikkhā ekā anusiṭṭhi, kena kāraṇena dve tathāgatā ekakkhaṇe nuppajjanti? Ekenapi tāva buddhuppādena ayaṃ loko obhāsajāto. Yadi dutiyo buddho bhaveyya, dvinnaṃ pabhāya ayaṃ loko bhiyyosomattāya obhāsajāto bhaveyya. Ovadamānā ca dve tathāgatā sukhaṃ ovadeyyuṃ, anusāsamānā ca sukhaṃ anusāseyyuṃ, tattha me kāraṇaṃ brūhi, yathāhaṃ nissaṃsayo bhaveyyanti.
อยํ มหาราช ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี, เอกเสฺสว ตถาคตสฺส คุณํ ธาเรติ, ยทิ ทุติโย พุโทฺธ อุปฺปเชฺชยฺย, นายํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ ธาเรยฺย, จเลยฺย กเมฺปยฺย นเมยฺย โอนเมยฺย วินเมยฺย วิกิเรยฺย วิธเมยฺย วิทฺธํเสยฺย, น ฐานมุปคเจฺฉยฺยฯ
Ayaṃ mahārāja dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī, ekasseva tathāgatassa guṇaṃ dhāreti, yadi dutiyo buddho uppajjeyya, nāyaṃ dasasahassī lokadhātu dhāreyya, caleyya kampeyya nameyya onameyya vinameyya vikireyya vidhameyya viddhaṃseyya, na ṭhānamupagaccheyya.
ยถา, มหาราช, นาวา เอกปุริสสนฺธารณี ภเวยฺยฯ เอกสฺมิํ ปุริเส อภิรูเฬฺห สา นาวา สมุปาทิกา ภเวยฺยฯ อถ ทุติโย ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ตาทิโส อายุนา วเณฺณน วเยน ปมาเณน กิสถูเลน สพฺพงฺคปจฺจเงฺคน, โส ตํ นาวํ อภิรูเหยฺยฯ อปินุ สา มหาราช, นาวา ทฺวินฺนมฺปิ ธาเรยฺยาติ? น หิ, ภเนฺต, จเลยฺย กเมฺปยฺย นเมยฺย โอนเมยฺย วินเมยฺย วิกิเรยฺย วิธเมยฺย วิทฺธํเสยฺย, น ฐานมุปคเจฺฉยฺย, โอสีเทยฺย อุทเกติฯ เอวเมว โข, มหาราช, อยํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี, เอกเสฺสว ตถาคตสฺส คุณํ ธาเรติ, ยทิ ทุติโย พุโทฺธ อุปฺปเชฺชยฺย, นายํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ ธาเรยฺย, จเลยฺย…เป.… น ฐานมุปคเจฺฉยฺยฯ
Yathā, mahārāja, nāvā ekapurisasandhāraṇī bhaveyya. Ekasmiṃ purise abhirūḷhe sā nāvā samupādikā bhaveyya. Atha dutiyo puriso āgaccheyya tādiso āyunā vaṇṇena vayena pamāṇena kisathūlena sabbaṅgapaccaṅgena, so taṃ nāvaṃ abhirūheyya. Apinu sā mahārāja, nāvā dvinnampi dhāreyyāti? Na hi, bhante, caleyya kampeyya nameyya onameyya vinameyya vikireyya vidhameyya viddhaṃseyya, na ṭhānamupagaccheyya, osīdeyya udaketi. Evameva kho, mahārāja, ayaṃ dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī, ekasseva tathāgatassa guṇaṃ dhāreti, yadi dutiyo buddho uppajjeyya, nāyaṃ dasasahassī lokadhātu dhāreyya, caleyya…pe… na ṭhānamupagaccheyya.
ยถา วา ปน มหาราช ปุริโส ยาวทตฺถํ โภชนํ ภุเญฺชยฺย ฉาเทนฺตํ ยาวกณฺฐมภิปูรยิตฺวา, โส ธาโต ปีณิโต ปริปุโณฺณ นิรนฺตโร ตนฺทิกโต อโนนมิตทณฺฑชาโต ปุนเทว ตตฺตกํ โภชนํ ภุเญฺชยฺย, อปินุ โข, มหาราช, ปุริโส สุขิโต ภเวยฺยาติ? น หิ, ภเนฺต, สกิํ ภุโตฺตว มเรยฺยาติฯ เอวเมว โข, มหาราช, อยํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี …เป.… น ฐานมุปคเจฺฉยฺยาติฯ
Yathā vā pana mahārāja puriso yāvadatthaṃ bhojanaṃ bhuñjeyya chādentaṃ yāvakaṇṭhamabhipūrayitvā, so dhāto pīṇito paripuṇṇo nirantaro tandikato anonamitadaṇḍajāto punadeva tattakaṃ bhojanaṃ bhuñjeyya, apinu kho, mahārāja, puriso sukhito bhaveyyāti? Na hi, bhante, sakiṃ bhuttova mareyyāti. Evameva kho, mahārāja, ayaṃ dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī …pe… na ṭhānamupagaccheyyāti.
กิํ นุ โข, ภเนฺต นาคเสน, อติธมฺมภาเรน ปถวี จลตีติ? อิธ, มหาราช, เทฺว สกฎา รตนปริปูริตา ภเวยฺยุํ ยาว มุขสมาฯ เอกสฺมา สกฎโต รตนํ คเหตฺวา เอกสฺมิํ สกเฎ อากิเรยฺยุํ, อปินุ โข ตํ, มหาราช, สกฎํ ทฺวินฺนมฺปิ สกฎานํ รตนํ ธาเรยฺยาติ? น หิ, ภเนฺต, นาภิปิ ตสฺส ผเลยฺย, อราปิ ตสฺส ภิเชฺชยฺยุํ, เนมิปิ ตสฺส โอปเตยฺย, อโกฺขปิ ตสฺส ภิเชฺชยฺยาติฯ กิํ นุ โข, มหาราช, อติรตนภาเรน สกฎํ ภิชฺชตีติ? อาม, ภเนฺตติฯ เอวเมว โข, มหาราช, อติธมฺมภาเรน ปถวี จลตีติฯ
Kiṃ nu kho, bhante nāgasena, atidhammabhārena pathavī calatīti? Idha, mahārāja, dve sakaṭā ratanaparipūritā bhaveyyuṃ yāva mukhasamā. Ekasmā sakaṭato ratanaṃ gahetvā ekasmiṃ sakaṭe ākireyyuṃ, apinu kho taṃ, mahārāja, sakaṭaṃ dvinnampi sakaṭānaṃ ratanaṃ dhāreyyāti? Na hi, bhante, nābhipi tassa phaleyya, arāpi tassa bhijjeyyuṃ, nemipi tassa opateyya, akkhopi tassa bhijjeyyāti. Kiṃ nu kho, mahārāja, atiratanabhārena sakaṭaṃ bhijjatīti? Āma, bhanteti. Evameva kho, mahārāja, atidhammabhārena pathavī calatīti.
อปิจ มหาราช อิมํ การณํ พุทฺธพลปริทีปนาย โอสาริตํ, อญฺญมฺปิ ตตฺถ อภิรูปํ การณํ สุโณหิ, เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติฯ ยทิ, มหาราช, เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เตสํ ปริสาย วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย – ‘‘ตุมฺหากํ พุโทฺธ อมฺหากํ พุโทฺธ’’ติ อุภโตปกฺขชาตา ภเวยฺยุํฯ ยถา, มหาราช, ทฺวินฺนํ พลวามจฺจานํ ปริสาย วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย ‘ตุมฺหากํ อมโจฺจ อมฺหากํ อมโจฺจ’ติ อุภโตปกฺขชาตา โหนฺติ, เอวเมว โข, มหาราช, ยทิ, เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เตสํ ปริสาย วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย ‘ตุมฺหากํ พุโทฺธ อมฺหากํ พุโทฺธ’ติ อุภโตปกฺขชาตา ภเวยฺยุํฯ อิทํ ตาว, มหาราช, เอกํ การณํ, เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติฯ
Apica mahārāja imaṃ kāraṇaṃ buddhabalaparidīpanāya osāritaṃ, aññampi tattha abhirūpaṃ kāraṇaṃ suṇohi, yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe nuppajjanti. Yadi, mahārāja, dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ, tesaṃ parisāya vivādo uppajjeyya – ‘‘tumhākaṃ buddho amhākaṃ buddho’’ti ubhatopakkhajātā bhaveyyuṃ. Yathā, mahārāja, dvinnaṃ balavāmaccānaṃ parisāya vivādo uppajjeyya ‘tumhākaṃ amacco amhākaṃ amacco’ti ubhatopakkhajātā honti, evameva kho, mahārāja, yadi, dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ, tesaṃ parisāya vivādo uppajjeyya ‘tumhākaṃ buddho amhākaṃ buddho’ti ubhatopakkhajātā bhaveyyuṃ. Idaṃ tāva, mahārāja, ekaṃ kāraṇaṃ, yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe nuppajjanti.
อปรมฺปิ, มหาราช, อุตฺตริํ การณํ สุโณหิ, เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติฯ ยทิ, มหาราช, เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, อโคฺค พุโทฺธติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉา ภเวยฺยฯ เชโฎฺฐ พุโทฺธติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉา ภเวยฺยฯ เสโฎฺฐ พุโทฺธติ, วิสิโฎฺฐ พุโทฺธติ, อุตฺตโม พุโทฺธติ, ปวโร พุโทฺธติ, อสโม พุโทฺธติ, อสมสโม พุโทฺธติ, อปฺปฎิสโม พุโทฺธติ, อปฺปฎิภาโค พุโทฺธติ, อปฺปฎิปุคฺคโล พุโทฺธติ ยํ วจนํ , ตํ มิจฺฉา ภเวยฺยฯ อิทมฺปิ โข ตฺวํ, มหาราช , การณํ อตฺถโต สมฺปฎิจฺฉ, เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติฯ
Aparampi, mahārāja, uttariṃ kāraṇaṃ suṇohi, yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe nuppajjanti. Yadi, mahārāja, dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ, aggo buddhoti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā bhaveyya. Jeṭṭho buddhoti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā bhaveyya. Seṭṭho buddhoti, visiṭṭho buddhoti, uttamo buddhoti, pavaro buddhoti, asamo buddhoti, asamasamo buddhoti, appaṭisamo buddhoti, appaṭibhāgo buddhoti, appaṭipuggalo buddhoti yaṃ vacanaṃ , taṃ micchā bhaveyya. Idampi kho tvaṃ, mahārāja , kāraṇaṃ atthato sampaṭiccha, yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe nuppajjanti.
อปิจ โข มหาราช พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สภาวปกติ เอสา, ยํ เอโกเยว พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชติฯ กสฺมา การณา? มหนฺตตาย สพฺพญฺญุพุทฺธคุณานํฯ อญฺญมฺปิ มหาราช ยํ โลเก มหนฺตํ, ตํ เอกํเยว โหติฯ ปถวี, มหาราช, มหนฺตี, สา เอกาเยวฯ สาคโร มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ สิเนรุ คิริราชา มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ อากาโส มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ สโกฺก มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ มาโร มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ พฺรหฺมา มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ มหโนฺต, โส เอโกเยว โลกสฺมิํฯ ยตฺถ เต อุปฺปชฺชนฺติ, ตตฺถ อญฺญสฺส โอกาโส น โหติฯ ตสฺมา, มหาราช, ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ เอโกเยว โลกสฺมิํ อุปฺปชฺชตีติฯ สุกถิโต, ภเนฺต นาคเสน, ปโญฺห โอปเมฺมหิ การเณหี’’ติฯ
Apica kho mahārāja buddhānaṃ bhagavantānaṃ sabhāvapakati esā, yaṃ ekoyeva buddho loke uppajjati. Kasmā kāraṇā? Mahantatāya sabbaññubuddhaguṇānaṃ. Aññampi mahārāja yaṃ loke mahantaṃ, taṃ ekaṃyeva hoti. Pathavī, mahārāja, mahantī, sā ekāyeva. Sāgaro mahanto, so ekoyeva. Sineru girirājā mahanto, so ekoyeva. Ākāso mahanto, so ekoyeva. Sakko mahanto, so ekoyeva. Māro mahanto, so ekoyeva. Brahmā mahanto, so ekoyeva. Tathāgato arahaṃ sammāsambuddho mahanto, so ekoyeva lokasmiṃ. Yattha te uppajjanti, tattha aññassa okāso na hoti. Tasmā, mahārāja, tathāgato arahaṃ sammāsambuddho ekoyeva lokasmiṃ uppajjatīti. Sukathito, bhante nāgasena, pañho opammehi kāraṇehī’’ti.
เอกิสฺสา โลกธาตุยาติ เอกสฺมิํ จกฺกวาเฬฯ เหฎฺฐา อิมินาว ปเทน ทสจกฺกวาฬสหสฺสานิ คหิตานิ ตานิปิ, เอกจกฺกวาเฬเนว ปริจฺฉินฺทิตุํ วฎฺฎนฺติฯ พุทฺธา หิ อุปฺปชฺชมานา อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปชฺชนฎฺฐาเน ปน วาริเต อิโต อเญฺญสุ จกฺกวาเฬสุ นุปฺปชฺชนฺตีติ วาริตเมว โหติฯ
Ekissā lokadhātuyāti ekasmiṃ cakkavāḷe. Heṭṭhā imināva padena dasacakkavāḷasahassāni gahitāni tānipi, ekacakkavāḷeneva paricchindituṃ vaṭṭanti. Buddhā hi uppajjamānā imasmiṃyeva cakkavāḷe uppajjanti, uppajjanaṭṭhāne pana vārite ito aññesu cakkavāḷesu nuppajjantīti vāritameva hoti.
อปุพฺพํ อจริมนฺติ เอตฺถ จกฺกรตนปาตุภาวโต ปุเพฺพ ปุพฺพํ, ตเสฺสว อนฺตรธานโต ปจฺฉา จริมํฯ ตตฺถ ทฺวิธา จกฺกรตนสฺส อนฺตรธานํ โหติ, จกฺกวตฺติโน กาลํกิริยโต วา ปพฺพชฺชาย วาฯ อนฺตรธายมานญฺจ ปน ตํ กาลํกิริยโต วา ปพฺพชฺชโต วา สตฺตเม ทิวเส อนฺตรธายติ, ตโต ปรํ จกฺกวตฺติโน ปาตุภาโว อวาริโตฯ
Apubbaṃ acarimanti ettha cakkaratanapātubhāvato pubbe pubbaṃ, tasseva antaradhānato pacchā carimaṃ. Tattha dvidhā cakkaratanassa antaradhānaṃ hoti, cakkavattino kālaṃkiriyato vā pabbajjāya vā. Antaradhāyamānañca pana taṃ kālaṃkiriyato vā pabbajjato vā sattame divase antaradhāyati, tato paraṃ cakkavattino pātubhāvo avārito.
กสฺมา ปน เอกจกฺกวาเฬ เทฺว จกฺกวตฺติโน นุปฺปชฺชนฺตีติ ฯ วิวาทุปเจฺฉทโต อจฺฉริยภาวโต จกฺกรตนสฺส มหานุภาวโต จฯ ทฺวีสุ หิ อุปฺปชฺชเนฺตสุ ‘‘อมฺหากํ ราชา มหโนฺต อมฺหากํ ราชา มหโนฺต’’ติ วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺยฯ เอกสฺมิํ ทีเป จกฺกวตฺตีติ จ เอกสฺมิํ ทีเป จกฺกวตฺตีติ จ อนจฺฉริยา ภเวยฺยุํ ฯ โย จายํ จกฺกรตนสฺส ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ อิสฺสริยานุปฺปทานสมโตฺถ มหานุภาโว, โส ปริหาเยถฯ อิติ วิวาทุปเจฺฉทโต อจฺฉริยภาวโต จกฺกรตนสฺส มหานุภาวโต จ น เอกจกฺกวาเฬ เทฺว อุปฺปชฺชนฺติฯ
Kasmā pana ekacakkavāḷe dve cakkavattino nuppajjantīti . Vivādupacchedato acchariyabhāvato cakkaratanassa mahānubhāvato ca. Dvīsu hi uppajjantesu ‘‘amhākaṃ rājā mahanto amhākaṃ rājā mahanto’’ti vivādo uppajjeyya. Ekasmiṃ dīpe cakkavattīti ca ekasmiṃ dīpe cakkavattīti ca anacchariyā bhaveyyuṃ . Yo cāyaṃ cakkaratanassa dvisahassadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu issariyānuppadānasamattho mahānubhāvo, so parihāyetha. Iti vivādupacchedato acchariyabhāvato cakkaratanassa mahānubhāvato ca na ekacakkavāḷe dve uppajjanti.
๑๓๐. ยํ อิตฺถี อสฺส อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธติ เอตฺถ ติฎฺฐตุ ตาว สพฺพญฺญุคุเณ นิพฺพเตฺตตฺวา โลกุตฺตารณสมโตฺถ พุทฺธภาโว, ปณิธานมตฺตมฺปิ อิตฺถิยา น สมฺปชฺชติฯ
130.Yaṃ itthī assa arahaṃ sammāsambuddhoti ettha tiṭṭhatu tāva sabbaññuguṇe nibbattetvā lokuttāraṇasamattho buddhabhāvo, paṇidhānamattampi itthiyā na sampajjati.
มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;
Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;
ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;
Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;
อฎฺฐธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌตีติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙) –
Aṭṭhadhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhatīti. (bu. vaṃ. 2.59) –
อิมานิ หิ ปณิธานสมฺปตฺติการณานิฯ อิติ ปณิธานมฺปิ สมฺปาเทตุํ อสมตฺถาย อิตฺถิยา กุโต พุทฺธภาโวติ ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส ยํ อิตฺถี อสฺส อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ วุตฺตํฯ สพฺพาการปริปูโร จ ปุญฺญุสฺสโย สพฺพาการปริปูรเมว อตฺตภาวํ นิพฺพเตฺตตีติ ปุริโสว อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ
Imāni hi paṇidhānasampattikāraṇāni. Iti paṇidhānampi sampādetuṃ asamatthāya itthiyā kuto buddhabhāvoti ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso yaṃ itthī assa arahaṃ sammāsambuddho’’ti vuttaṃ. Sabbākāraparipūro ca puññussayo sabbākāraparipūrameva attabhāvaṃ nibbattetīti purisova arahaṃ hoti sammāsambuddho.
ยํ อิตฺถี ราชา อสฺส จกฺกวตฺตีติอาทีสุปิ ยสฺมา อิตฺถิยา โกโสหิตวตฺถคุยฺหตาทีนํ อภาเวน ลกฺขณานิ น ปริปูเรนฺติ, อิตฺถิรตนาภาเวน สตฺตรตนสมงฺคิตา น สมฺปชฺชติ, สพฺพมนุเสฺสหิ จ อธิโก อตฺตภาโว น โหติ, ตสฺมา ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส ยํ อิตฺถี ราชา อสฺส จกฺกวตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา จ สกฺกตฺตาทีนิ ตีณิ ฐานานิ อุตฺตมานิ, อิตฺถิลิงฺคญฺจ หีนํ, ตสฺมา ตสฺสา สกฺกตฺตาทีนิปิ ปฎิสิทฺธานิฯ
Yaṃ itthī rājā assa cakkavattītiādīsupi yasmā itthiyā kosohitavatthaguyhatādīnaṃ abhāvena lakkhaṇāni na paripūrenti, itthiratanābhāvena sattaratanasamaṅgitā na sampajjati, sabbamanussehi ca adhiko attabhāvo na hoti, tasmā ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso yaṃ itthī rājā assa cakkavattī’’ti vuttaṃ. Yasmā ca sakkattādīni tīṇi ṭhānāni uttamāni, itthiliṅgañca hīnaṃ, tasmā tassā sakkattādīnipi paṭisiddhāni.
นนุ จ ยถา อิตฺถิลิงฺคํ, เอวํ ปุริสลิงฺคมฺปิ พฺรหฺมโลเก นตฺถิ? ตสฺมา ‘‘ยํ ปุริโส พฺรหฺมตฺตํ กเรยฺย, ฐานเมตํ วิชฺชตี’’ติปิ น วตฺตพฺพํ สิยาติฯ โน น วตฺตพฺพํฯ กสฺมา? อิธ ปุริสสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺตนโตฯ พฺรหฺมตฺตนฺติ หิ มหาพฺรหฺมตฺตํ อธิเปฺปตํฯ อิตฺถี จ อิธ ฌานํ ภาเวตฺวา กาลํ กตฺวา พฺรหฺมปาริสชฺชานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ, น มหาพฺรหฺมานํ, ปุริโส ปน ตตฺถ น อุปฺปชฺชตีติ น วตฺตโพฺพฯ สมาเนปิ เจตฺถ อุภยลิงฺคาภาเว ปุริสสณฺฐานาว พฺรหฺมาโน, น อิตฺถิสณฺฐานา, ตสฺมา สุวุตฺตเมเวตํฯ
Nanu ca yathā itthiliṅgaṃ, evaṃ purisaliṅgampi brahmaloke natthi? Tasmā ‘‘yaṃ puriso brahmattaṃ kareyya, ṭhānametaṃ vijjatī’’tipi na vattabbaṃ siyāti. No na vattabbaṃ. Kasmā? Idha purisassa tattha nibbattanato. Brahmattanti hi mahābrahmattaṃ adhippetaṃ. Itthī ca idha jhānaṃ bhāvetvā kālaṃ katvā brahmapārisajjānaṃ sahabyataṃ upapajjati, na mahābrahmānaṃ, puriso pana tattha na uppajjatīti na vattabbo. Samānepi cettha ubhayaliṅgābhāve purisasaṇṭhānāva brahmāno, na itthisaṇṭhānā, tasmā suvuttamevetaṃ.
๑๓๑. กายทุจฺจริตสฺสาติอาทีสุ ยถา นิมฺพพีชโกสาตกีพีชาทีนิ มธุรผลํ น นิพฺพเตฺตนฺติ, อสาตํ อมธุรเมว นิพฺพเตฺตนฺติ, เอวํ กายทุจฺจริตาทีนิ มธุรวิปากํ น นิพฺพเตฺตนฺติ, อมธุรเมว วิปากํ นิพฺพเตฺตนฺติฯ ยถา จ อุจฺฉุพีชสาลิพีชาทีนิ มธุรํ สาทุรสเมว ผลํ นิพฺพเตฺตนฺติ, น อสาตํ กฎุกํ, เอวํ กายสุจริตาทีนิ มธุรเมว วิปากํ นิพฺพเตฺตนฺติ, น อมธุรํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
131.Kāyaduccaritassātiādīsu yathā nimbabījakosātakībījādīni madhuraphalaṃ na nibbattenti, asātaṃ amadhurameva nibbattenti, evaṃ kāyaduccaritādīni madhuravipākaṃ na nibbattenti, amadhurameva vipākaṃ nibbattenti. Yathā ca ucchubījasālibījādīni madhuraṃ sādurasameva phalaṃ nibbattenti, na asātaṃ kaṭukaṃ, evaṃ kāyasucaritādīni madhurameva vipākaṃ nibbattenti, na amadhuraṃ. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ยาทิสํ วปเต พีชํ, ตาทิสํ หรเต ผลํ;
‘‘Yādisaṃ vapate bījaṃ, tādisaṃ harate phalaṃ;
กลฺยาณการี กลฺยาณํ, ปาปการี จ ปาปก’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕๖);
Kalyāṇakārī kalyāṇaṃ, pāpakārī ca pāpaka’’nti. (saṃ. ni. 1.256);
ตสฺมา ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส ยํ กายทุจฺจริตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Tasmā ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso yaṃ kāyaduccaritassā’’tiādi vuttaṃ.
กายทุจฺจริตสมงฺคีติอาทีสุ สมงฺคีติ ปญฺจวิธา สมงฺคิตา อายูหนสมงฺคิตา เจตนาสมงฺคิตา กมฺมสมงฺคิตา วิปากสมงฺคิตา, อุปฎฺฐานสมงฺคิตาติฯ ตตฺถ กุสลากุสลกมฺมายูหนกฺขเณ อายูหนสมงฺคิตาติ วุจฺจติฯ ตถา เจตนาสมงฺคิตาฯ ยาว ปน อรหตฺตํ น ปาปุณนฺติ, ตาว สเพฺพปิ สตฺตา ปุเพฺพ อุปจิตํ วิปาการหํ กมฺมํ สนฺธาย ‘‘กมฺมสมงฺคิโน’’ติ วุจฺจนฺติ, เอสา กมฺมสมงฺคิตาฯ วิปากสมงฺคิตา วิปากกฺขเณเยว เวทิตพฺพาฯ ยาว ปน สตฺตา อรหตฺตํ น ปาปุณนฺติ, ตาว เนสํ ตโต ตโต จวิตฺวา นิรเย ตาว อุปฺปชฺชมานานํ อคฺคิชาลโลหกุมฺภิอาทีหิ อุปฎฺฐานากาเรหิ นิรโย, คพฺภเสยฺยกตฺตํ อาปชฺชมานานํ มาตุกุจฺฉิ, เทเวสุ อุปฺปชฺชมานานํ กปฺปรุกฺขวิมานาทีหิ อุปฎฺฐานากาเรหิ เทวโลโกติ เอวํ อุปฺปตฺตินิมิตฺตํ อุปฎฺฐาติ, อิติ เนสํ อิมินา อุปฺปตฺตินิมิตฺตอุปฎฺฐาเนน อปริมุตฺตตา อุปฎฺฐานสมงฺคิตา นามฯ สา จลติ เสสา นิจฺจลาฯ นิรเย หิ อุปฎฺฐิเตปิ เทวโลโก อุปฎฺฐาติ, เทวโลเก อุปฎฺฐิเตปิ นิรโย อุปฎฺฐาติ, มนุสฺสโลเก อุปฎฺฐิเตปิ ติรจฺฉานโยนิ อุปฎฺฐาติ, ติรจฺฉานโยนิยา จ อุปฎฺฐิตายปิ มนุสฺสโลโก อุปฎฺฐาติเยวฯ
Kāyaduccaritasamaṅgītiādīsu samaṅgīti pañcavidhā samaṅgitā āyūhanasamaṅgitā cetanāsamaṅgitā kammasamaṅgitā vipākasamaṅgitā, upaṭṭhānasamaṅgitāti. Tattha kusalākusalakammāyūhanakkhaṇe āyūhanasamaṅgitāti vuccati. Tathā cetanāsamaṅgitā. Yāva pana arahattaṃ na pāpuṇanti, tāva sabbepi sattā pubbe upacitaṃ vipākārahaṃ kammaṃ sandhāya ‘‘kammasamaṅgino’’ti vuccanti, esā kammasamaṅgitā. Vipākasamaṅgitā vipākakkhaṇeyeva veditabbā. Yāva pana sattā arahattaṃ na pāpuṇanti, tāva nesaṃ tato tato cavitvā niraye tāva uppajjamānānaṃ aggijālalohakumbhiādīhi upaṭṭhānākārehi nirayo, gabbhaseyyakattaṃ āpajjamānānaṃ mātukucchi, devesu uppajjamānānaṃ kapparukkhavimānādīhi upaṭṭhānākārehi devalokoti evaṃ uppattinimittaṃ upaṭṭhāti, iti nesaṃ iminā uppattinimittaupaṭṭhānena aparimuttatā upaṭṭhānasamaṅgitā nāma. Sā calati sesā niccalā. Niraye hi upaṭṭhitepi devaloko upaṭṭhāti, devaloke upaṭṭhitepi nirayo upaṭṭhāti, manussaloke upaṭṭhitepi tiracchānayoni upaṭṭhāti, tiracchānayoniyā ca upaṭṭhitāyapi manussaloko upaṭṭhātiyeva.
ตตฺริทํ วตฺถุ – โสณคิริปาเท กิร อเจลวิหาเร โสณเตฺถโร นาม เอโก ธมฺมกถิโก, ตสฺส ปิตา สุนขชีวิโก อโหสิฯ เถโร ตํ ปฎิพาหโนฺตปิ สํวเร ฐเปตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘มา นสฺสิ ชรโก’’ติ มหลฺลกกาเล อกามกํ ปพฺพาเชสิฯ ตสฺส คิลานเสยฺยาย นิปนฺนสฺส นิรโย อุปฎฺฐาติ, โสณคิริปาทโต มหนฺตา มหนฺตา สุนขา อาคนฺตฺวา ขาทิตุกามา วิย สมฺปริวาเรสุํฯ โส มหาภยภีโต – ‘‘วาเรหิ, ตาต โสณ, วาเรหิ, ตาต โสณา’’ติ อาหฯ กิํ มหาเถราติฯ น ปสฺสสิ ตาตาติ ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ โสณเตฺถโร – ‘‘กถญฺหิ นาม มาทิสสฺส ปิตา นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ, ปติฎฺฐา’สฺส ภวิสฺสามี’’ติ สามเณเรหิ นานาปุปฺผานิ อาหราเปตฺวา เจติยงฺคณโพธิยงฺคเณสุ ตลสนฺถรณปูชํ อาสนปูชญฺจ กาเรตฺวา ปิตรํ มเญฺจน เจติยงฺคณํ อาหริตฺวา มเญฺจ นิสีทาเปตฺวา – ‘‘อยํ มหาเถร-ปูชา ตุมฺหากํ อตฺถาย กตา ‘อยํ เม ภควา ทุคฺคตปณฺณากาโร’ติ วตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา จิตฺตํ ปสาเทหี’’ติ อาหฯ โส มหาเถโร ปูชํ ทิสฺวา ตถา กโรโนฺต จิตฺตํ ปสาเทสิ, ตาวเทวสฺส เทวโลโก อุปฎฺฐาสิ, นนฺทนวน-จิตฺตลตาวน-มิสฺสกวน-ผารุสกวนวิมานานิ เจว นาฎกานิ จ ปริวาเรตฺวา ฐิตานิ วิย อเหสุํฯ โส ‘‘อเปถ อเปถ โสณา’’ติ อาหฯ กิมิทํ เถราติ? เอตา เต, ตาต, มาตโร อาคจฺฉนฺตีติ ฯ เถโร ‘‘สโคฺค อุปฎฺฐิโต มหาเถรสฺสา’’ติ จิเนฺตสิฯ เอวํ อุปฎฺฐานสมงฺคิตา จลตีติ เวทิตพฺพาฯ เอตาสุ สมงฺคิตาสุ อิธ อายูหนเจตนากมฺมสมงฺคิตาวเสน กายทุจฺจริตสมงฺคีติอาทิ วุตฺตํฯ
Tatridaṃ vatthu – soṇagiripāde kira acelavihāre soṇatthero nāma eko dhammakathiko, tassa pitā sunakhajīviko ahosi. Thero taṃ paṭibāhantopi saṃvare ṭhapetuṃ asakkonto ‘‘mā nassi jarako’’ti mahallakakāle akāmakaṃ pabbājesi. Tassa gilānaseyyāya nipannassa nirayo upaṭṭhāti, soṇagiripādato mahantā mahantā sunakhā āgantvā khāditukāmā viya samparivāresuṃ. So mahābhayabhīto – ‘‘vārehi, tāta soṇa, vārehi, tāta soṇā’’ti āha. Kiṃ mahātherāti. Na passasi tātāti taṃ pavattiṃ ācikkhi. Soṇatthero – ‘‘kathañhi nāma mādisassa pitā niraye nibbattissati, patiṭṭhā’ssa bhavissāmī’’ti sāmaṇerehi nānāpupphāni āharāpetvā cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇesu talasantharaṇapūjaṃ āsanapūjañca kāretvā pitaraṃ mañcena cetiyaṅgaṇaṃ āharitvā mañce nisīdāpetvā – ‘‘ayaṃ mahāthera-pūjā tumhākaṃ atthāya katā ‘ayaṃ me bhagavā duggatapaṇṇākāro’ti vatvā bhagavantaṃ vanditvā cittaṃ pasādehī’’ti āha. So mahāthero pūjaṃ disvā tathā karonto cittaṃ pasādesi, tāvadevassa devaloko upaṭṭhāsi, nandanavana-cittalatāvana-missakavana-phārusakavanavimānāni ceva nāṭakāni ca parivāretvā ṭhitāni viya ahesuṃ. So ‘‘apetha apetha soṇā’’ti āha. Kimidaṃ therāti? Etā te, tāta, mātaro āgacchantīti . Thero ‘‘saggo upaṭṭhito mahātherassā’’ti cintesi. Evaṃ upaṭṭhānasamaṅgitā calatīti veditabbā. Etāsu samaṅgitāsu idha āyūhanacetanākammasamaṅgitāvasena kāyaduccaritasamaṅgītiādi vuttaṃ.
๑๓๒. เอวํ วุเตฺต อายสฺมา อานโนฺทติ ‘‘เอวํ ภควตา อิมสฺมิํ สุเตฺต วุเตฺต เถโร อาทิโต ปฎฺฐาย สพฺพสุตฺตํ สมนฺนาหริตฺวา เอวํ สสฺสิริกํ กตฺวา เทสิตสุตฺตสฺส นาม ภควตา นามํ น คหิตํฯ หนฺทสฺส นามํ คณฺหาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจฯ
132.Evaṃ vutte āyasmā ānandoti ‘‘evaṃ bhagavatā imasmiṃ sutte vutte thero ādito paṭṭhāya sabbasuttaṃ samannāharitvā evaṃ sassirikaṃ katvā desitasuttassa nāma bhagavatā nāmaṃ na gahitaṃ. Handassa nāmaṃ gaṇhāpessāmī’’ti cintetvā bhagavantaṃ etadavoca.
ตสฺมา ติห ตฺวนฺติอาทีสุ อยํ อตฺถโยชนา –
Tasmā tiha tvantiādīsu ayaṃ atthayojanā –
อานนฺท, ยสฺมา อิมสฺมิํ ธมฺมปริยาเย ‘‘อฎฺฐารส โข อิมา, อานนฺท, ธาตุโย, ฉ อิมา, อานนฺท, ธาตุโย’’ติ เอวํ พหุธาตุโย วิภตฺตา, ตสฺมา ติห ตฺวํ อิมํ ธมฺมปริยายํ พหุธาตุโกติปิ นํ ธาเรหิฯ ยสฺมา ปเนตฺถ ธาตุอายตนปฎิจฺจสมุปฺปาทฎฺฐานาฎฺฐานวเสน จตฺตาโร ปริวฎฺฎา กถิตา , ตสฺมา จตุปริวโฎฺฎติปิ นํ ธาเรหิฯ ยสฺมา จ อาทาสํ โอโลเกนฺตสฺส มุขนิมิตฺตํ วิย อิมํ ธมฺมปริยายํ โอโลเกนฺตสฺส เอเต ธาตุอาทโย อตฺถา ปากฎา โหนฺติ, ตสฺมา ธมฺมาทาโสติปิ นํ ธาเรหิฯ ยสฺมา จ ยถา นาม ปรเสนมทฺทนา โยธา สงฺคามตูริยํ ปคฺคเหตฺวา ปรเสนํ ปวิสิตฺวา สปเตฺต มทฺทิตฺวา อตฺตโน ชยํ คณฺหนฺติ, เอวเมว กิเลสเสนมทฺทนา โยคิโน อิธ วุตฺตวเสน วิปสฺสนํ ปคฺคเหตฺวา กิเลเส มทฺทิตฺวา อตฺตโน อรหตฺตชยํ คณฺหนฺติ, ตสฺมา อมตทุนฺทุภีติปิ นํ ธาเรหิฯ ยสฺมา จ ยถา สงฺคามโยธา ปญฺจาวุธํ คเหตฺวา ปรเสนํ วิทฺธํเสตฺวา ชยํ คณฺหนฺติ, เอวํ โยคิโนปิ อิธ วุตฺตํ วิปสฺสนาวุธํ คเหตฺวา กิเลสเสนํ วิทฺธํเสตฺวา อรหตฺตชยํ คณฺหนฺติฯ ตสฺมา อนุตฺตโร สงฺคามวิชโยติปิ นํ ธาเรหีติฯ
Ānanda, yasmā imasmiṃ dhammapariyāye ‘‘aṭṭhārasa kho imā, ānanda, dhātuyo, cha imā, ānanda, dhātuyo’’ti evaṃ bahudhātuyo vibhattā, tasmā tiha tvaṃ imaṃ dhammapariyāyaṃ bahudhātukotipi naṃ dhārehi. Yasmā panettha dhātuāyatanapaṭiccasamuppādaṭṭhānāṭṭhānavasena cattāro parivaṭṭā kathitā , tasmā catuparivaṭṭotipi naṃ dhārehi. Yasmā ca ādāsaṃ olokentassa mukhanimittaṃ viya imaṃ dhammapariyāyaṃ olokentassa ete dhātuādayo atthā pākaṭā honti, tasmā dhammādāsotipi naṃ dhārehi. Yasmā ca yathā nāma parasenamaddanā yodhā saṅgāmatūriyaṃ paggahetvā parasenaṃ pavisitvā sapatte madditvā attano jayaṃ gaṇhanti, evameva kilesasenamaddanā yogino idha vuttavasena vipassanaṃ paggahetvā kilese madditvā attano arahattajayaṃ gaṇhanti, tasmā amatadundubhītipi naṃ dhārehi. Yasmā ca yathā saṅgāmayodhā pañcāvudhaṃ gahetvā parasenaṃ viddhaṃsetvā jayaṃ gaṇhanti, evaṃ yoginopi idha vuttaṃ vipassanāvudhaṃ gahetvā kilesasenaṃ viddhaṃsetvā arahattajayaṃ gaṇhanti. Tasmā anuttaro saṅgāmavijayotipi naṃ dhārehīti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
พหุธาตุกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bahudhātukasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. พหุธาตุกสุตฺตํ • 5. Bahudhātukasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. พหุธาตุกสุตฺตวณฺณนา • 5. Bahudhātukasuttavaṇṇanā