Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๕. พหุธาตุกสุตฺตวณฺณนา

    5. Bahudhātukasuttavaṇṇanā

    ๑๒๔. ภยนฺติ (อ. นิ. ฎี. ๒.๓.๑) จิตฺตสํสปฺปตาติ อาห ‘‘จิตฺตุตฺราโส’’ติฯ อุปทฺทโวติ อนฺตราโยฯ ตสฺส ปน วิเกฺขปการณตฺตา วุตฺตํ ‘‘อเนกคฺคตากาโร’’ติฯ อุปสโคฺคติ อุปสชฺชนํฯ ตโต อปฺปตีการวิฆาตาปตฺติ ยสฺมา ปตีการาภาเวน วิหญฺญมานสฺส กิญฺจิ กาตุํ อสมตฺถสฺส โอสีทนการณํ, ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘ตตฺถ ตตฺถ ลคฺคนากาโร’’ติฯ วเญฺจตฺวา อาคนฺตุํ ยถาวุเตฺต ทิวเส อนาคจฺฉเนฺตสุฯ พหิ อนิกฺขมนตฺถาย ทฺวาเร อคฺคิํ ทตฺวา

    124.Bhayanti (a. ni. ṭī. 2.3.1) cittasaṃsappatāti āha ‘‘cittutrāso’’ti. Upaddavoti antarāyo. Tassa pana vikkhepakāraṇattā vuttaṃ ‘‘anekaggatākāro’’ti. Upasaggoti upasajjanaṃ. Tato appatīkāravighātāpatti yasmā patīkārābhāvena vihaññamānassa kiñci kātuṃ asamatthassa osīdanakāraṇaṃ, tasmā vuttaṃ – ‘‘tattha tattha lagganākāro’’ti. Vañcetvā āgantuṃ yathāvutte divase anāgacchantesu. Bahi anikkhamanatthāya dvāre aggiṃ datvā.

    นเฬหีติ นฬจฺฉนฺนสเงฺขเปน อุปริ ฉาเทตฺวา เตหิเยว ทารุกจฺฉทนนิยาเมน ปริโตปิ ฉาทิตาฯ เอเสว นโยติ อิมินา ติเณหิ ฉนฺนตํ, เสสสมฺภารานํ รุกฺขมยตญฺจ อติทิสติฯ วิธวาปุเตฺตติ อทนฺตภาโวปลกฺขณํฯ เต หิ นิปฺปิติกา อวินีตา อสํยตา อกิจฺจการิโน โหนฺติฯ

    Naḷehīti naḷacchannasaṅkhepena upari chādetvā tehiyeva dārukacchadananiyāmena paritopi chāditā. Eseva nayoti iminā tiṇehi channataṃ, sesasambhārānaṃ rukkhamayatañca atidisati. Vidhavāputteti adantabhāvopalakkhaṇaṃ. Te hi nippitikā avinītā asaṃyatā akiccakārino honti.

    มตฺถกํ อปาเปตฺวาว นิฎฺฐาปิตาติ กสฺมา ภควา เอวมกาสีติ? อานนฺทเตฺถรสฺส ปุจฺฉาโกสลฺลทีปนตฺถเมว, ตตฺถ นิสินฺนานํ สนฺนิปติตภิกฺขูนํ เทสนาย ชานนตฺถญฺจฯ เต กิร สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ อชานนฺตา อนฺธการํ ปวิฎฺฐา วิย ฐิตาฯ ปุจฺฉานุสนฺธิวเสน ปริคฺคยฺห ชานิสฺสนฺตีติฯ

    Matthakaṃ apāpetvāva niṭṭhāpitāti kasmā bhagavā evamakāsīti? Ānandattherassa pucchākosalladīpanatthameva, tattha nisinnānaṃ sannipatitabhikkhūnaṃ desanāya jānanatthañca. Te kira saṅkhepato vuttamatthaṃ ajānantā andhakāraṃ paviṭṭhā viya ṭhitā. Pucchānusandhivasena pariggayha jānissantīti.

    ๑๒๕. รูปปริคฺคโหว กถิโต, น อญฺญํ กิญฺจีติ อโตฺถฯ อิทานิ ตโต สจฺจานิ นิทฺธาเรตฺวา จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํ ทเสฺสตุํ, ‘‘สพฺพาปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปญฺจกฺขนฺธา โหนฺตีติ อเทฺธกาทส ธาตุโย รูปกฺขโนฺธ, อทฺธฎฺฐมา ธาตุโย ยถารหํ เวทนาทโย จตฺตาโร อรูปิโน ขนฺธาติ เอวํ อฎฺฐารส ธาตุโย ปญฺจกฺขนฺธา โหนฺติฯ ปญฺจปิ ขนฺธา ตณฺหาวชฺชา ทุกฺขสจฺจํฯ อปฺปวตฺตีติ อปฺปวตฺตินิมิตฺตํฯ นิโรธปชานนาติ ปญฺญาสีเสน มคฺคกิจฺจมาหฯ สมฺมาทิฎฺฐิปมุโข หิ อริยมโคฺคฯ มตฺถกํ ปาเปตฺวา กถิตํ โหติ สมฺมสนสฺส ภูมิยา นิปฺผตฺติยา จ กถิตตฺตาฯ ชานาติ ปสฺสตีติ อิมินา ญาณทสฺสนํ กถิตํ ตํ ปน โลกิยํ โลกุตฺตรนฺติ ทุวิธนฺติ ตทุภยมฺปิ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘สห วิปสฺสนาย มโคฺค วุโตฺต’’ติฯ

    125.Rūpapariggahova kathito, na aññaṃ kiñcīti attho. Idāni tato saccāni niddhāretvā catusaccakammaṭṭhānaṃ dassetuṃ, ‘‘sabbāpī’’tiādi vuttaṃ. Pañcakkhandhā hontīti addhekādasa dhātuyo rūpakkhandho, addhaṭṭhamā dhātuyo yathārahaṃ vedanādayo cattāro arūpino khandhāti evaṃ aṭṭhārasa dhātuyo pañcakkhandhā honti. Pañcapi khandhā taṇhāvajjā dukkhasaccaṃ. Appavattīti appavattinimittaṃ. Nirodhapajānanāti paññāsīsena maggakiccamāha. Sammādiṭṭhipamukho hi ariyamaggo. Matthakaṃ pāpetvā kathitaṃ hoti sammasanassa bhūmiyā nipphattiyā ca kathitattā. Jānāti passatīti iminā ñāṇadassanaṃ kathitaṃ taṃ pana lokiyaṃ lokuttaranti duvidhanti tadubhayampi dassento āha – ‘‘saha vipassanāya maggo vutto’’ti.

    เอตฺตาวตาปิ โขติ ปิ-สทฺทคฺคหเณน อเญฺญน ปริยาเยน สตฺถา ธาตุโกสลฺลํ เทเสตุกาโมติ เถโร , ‘‘สิยา ปน, ภเนฺต’’ติ ปุจฺฉตีติ ภควา ปถวีธาตุอาทิวเสนปิ ธาตุโกสลฺลํ วิภาเวติฯ ตตฺถ ปถวีธาตุอาทิสเทฺทน เทสนาการณํ วิภาเวโนฺต, ‘‘ปถวีธาตุ…เป.… วุตฺตา’’ติ อาหฯ ตาปิ หิ อาทิโต ฉ ธาตุโยฯ ‘‘วิญฺญาณธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพา’’ติ วตฺวา กถํ รูปธาตุโย นีหรียนฺตีติ โจทนํ สนฺธาย ตํ นยํ ทเสฺสตุํ, ‘‘วิญฺญาณธาตู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กามเญฺจตฺถ กายวิญฺญาณธาตุยา อารมฺมณํ โผฎฺฐพฺพธาตุปถวีธาตุ อาทิวเสน เทสนารุฬเมว, กายธาตุ ปน นีหริตพฺพาติ เอกํสเมว นีหรณวิธิํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘เอส นโย สพฺพตฺถา’’ติ อาหฯ ปุริมปจฺฉิมวเสน มโนธาตูติ ปจฺฉิมภาควเสน กิริยามโนธาตุ คเหตพฺพา ตสฺสานุรูปภาวโตฯ นนุ เจตฺถ มโนธาตุ นามายํ มโนวิญฺญาณธาตุยา อสํสฎฺฐา, วิสุํเยว เจสา ธาตูติ? สจฺจเมตํ อฎฺฐารสธาตุเทสนาย, จิตฺตวิภตฺตินิเทฺทเส ฉวิญฺญาณกายเทสนายํ ปน สา มโนวิญฺญาณกายสงฺคหิตาวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ ตํ วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนายํ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๒.๕๑๗) วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ อถ วา ปุริมปจฺฉิมวเสนาติ ปุเรจรานุจรวเสนฯ มโนธาตูติ วิปากมโนธาตุ คเหตพฺพา ปุเรจรณโต, ปรโต อุปฺปชฺชนกิริยามโนวิญฺญาณธาตุยา อนนฺตรํ มโนธาตุยา, กิริยามโนธาตุยา อนนฺตรํ มโนวิญฺญาณธาตุยา อนุปฺปชฺชนโต จฯ

    Ettāvatāpi khoti pi-saddaggahaṇena aññena pariyāyena satthā dhātukosallaṃ desetukāmoti thero , ‘‘siyā pana, bhante’’ti pucchatīti bhagavā pathavīdhātuādivasenapi dhātukosallaṃ vibhāveti. Tattha pathavīdhātuādisaddena desanākāraṇaṃ vibhāvento, ‘‘pathavīdhātu…pe… vuttā’’ti āha. Tāpi hi ādito cha dhātuyo. ‘‘Viññāṇadhātutonīharitvā pūretabbā’’ti vatvā kathaṃ rūpadhātuyo nīharīyantīti codanaṃ sandhāya taṃ nayaṃ dassetuṃ, ‘‘viññāṇadhātū’’tiādi vuttaṃ. Kāmañcettha kāyaviññāṇadhātuyā ārammaṇaṃ phoṭṭhabbadhātupathavīdhātu ādivasena desanāruḷameva, kāyadhātu pana nīharitabbāti ekaṃsameva nīharaṇavidhiṃ dassento, ‘‘esa nayo sabbatthā’’ti āha. Purimapacchimavasena manodhātūti pacchimabhāgavasena kiriyāmanodhātu gahetabbā tassānurūpabhāvato. Nanu cettha manodhātu nāmāyaṃ manoviññāṇadhātuyā asaṃsaṭṭhā, visuṃyeva cesā dhātūti? Saccametaṃ aṭṭhārasadhātudesanāya, cittavibhattiniddese chaviññāṇakāyadesanāyaṃ pana sā manoviññāṇakāyasaṅgahitāvāti daṭṭhabbaṃ. Yaṃ panettha vattabbaṃ taṃ visuddhimaggasaṃvaṇṇanāyaṃ (visuddhi. mahāṭī. 2.517) vuttanayena veditabbaṃ. Atha vā purimapacchimavasenāti purecarānucaravasena. Manodhātūti vipākamanodhātu gahetabbā purecaraṇato, parato uppajjanakiriyāmanoviññāṇadhātuyā anantaraṃ manodhātuyā, kiriyāmanodhātuyā anantaraṃ manoviññāṇadhātuyā anuppajjanato ca.

    ธมฺมานํ ยาวเทว นิสฺสตฺตนิชฺชีววิภาวนตฺถาย สตฺถุ ธาตุเทสนาติ อเญฺญสุ สภาวธารณาทิอเตฺถสุ ลพฺภมาเนสุปิ อยเมตฺถ อโตฺถ ปธาโนติ อาห – ‘‘เอสนโย สพฺพตฺถา’’ติฯ สปฺปฎิปกฺขวเสนาติ สปฺปฎิภาควเสน สุขํ ทุเกฺขน สปฺปฎิภาคํ, ทุกฺขํ สุเขน, เอวํ โสมนสฺสโทมนสฺสาติฯ ยถา สุขาทีนํเยว สมุทาจาโร วิภูโต, น อุเปกฺขาย, เอวํ ราคาทีนํเยว สมุทาจาโร วิภูโต, น โมหสฺส, เตน วุตฺตํ ‘‘อวิภูตภาเวนา’’ติฯ กายวิญฺญาณธาตุ ปริคฺคหิตาว โหติ ตทวินาภาวโตฯ เสสาสุ โสมนสฺสธาตุอาทีสุ, ปริคฺคหิตาว โหติ อวินาภาวโต เอวฯ น หิ โสมนสฺสาทโย มโนธาตุยา วินา วตฺตนฺติฯ อุเปกฺขาธาตุโต นีหริตฺวาติ เอตฺถ จกฺขุวิญฺญาณธาตุอาทโย จตโสฺส วิญฺญาณธาตุโย ตาสํ วตฺถารมฺมณภูตา จกฺขุธาตุอาทโย จาติ อฎฺฐ รูปธาตุโย, มโนธาตุ, อุเปกฺขาสหคตา มโนวิญฺญาณธาตุ, อุเปกฺขาสหคตา เอว ธมฺมธาตูติ เอวํ ปนฺนรส ธาตุโย อุเปกฺขาธาตุโต นีหริตพฺพาฯ โสมนสฺสธาตุอาทโย ปน จตโสฺส ธาตุโย ธมฺมธาตุอโนฺตคธา , เอวํ สุขธาตุโต กายวิญฺญาณธาตุยา ตสฺสา วตฺถารมฺมณภูตานํ กายธาตุโผฎฺฐพฺพธาตูนญฺจ นีหรณา เหฎฺฐา ทสฺสิตนยาติ, ‘‘อุเปกฺขาธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพา’’อิเจฺจว วุตฺตํฯ

    Dhammānaṃ yāvadeva nissattanijjīvavibhāvanatthāya satthu dhātudesanāti aññesu sabhāvadhāraṇādiatthesu labbhamānesupi ayamettha attho padhānoti āha – ‘‘esanayo sabbatthā’’ti. Sappaṭipakkhavasenāti sappaṭibhāgavasena sukhaṃ dukkhena sappaṭibhāgaṃ, dukkhaṃ sukhena, evaṃ somanassadomanassāti. Yathā sukhādīnaṃyeva samudācāro vibhūto, na upekkhāya, evaṃ rāgādīnaṃyeva samudācāro vibhūto, na mohassa, tena vuttaṃ ‘‘avibhūtabhāvenā’’ti. Kāyaviññāṇadhātu pariggahitāva hoti tadavinābhāvato. Sesāsu somanassadhātuādīsu, pariggahitāva hoti avinābhāvato eva. Na hi somanassādayo manodhātuyā vinā vattanti. Upekkhādhātuto nīharitvāti ettha cakkhuviññāṇadhātuādayo catasso viññāṇadhātuyo tāsaṃ vatthārammaṇabhūtā cakkhudhātuādayo cāti aṭṭha rūpadhātuyo, manodhātu, upekkhāsahagatā manoviññāṇadhātu, upekkhāsahagatā eva dhammadhātūti evaṃ pannarasa dhātuyo upekkhādhātuto nīharitabbā. Somanassadhātuādayo pana catasso dhātuyo dhammadhātuantogadhā , evaṃ sukhadhātuto kāyaviññāṇadhātuyā tassā vatthārammaṇabhūtānaṃ kāyadhātuphoṭṭhabbadhātūnañca nīharaṇā heṭṭhā dassitanayāti, ‘‘upekkhādhātuto nīharitvā pūretabbā’’icceva vuttaṃ.

    กามวิตกฺกาทโย อิธ กามธาตุอาทิปริยาเยน วุตฺตาติ ‘‘กามธาตุอาทีนํ เทฺวธาวิตเกฺก กามวิตกฺกาทีสุ วุตฺตนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพ’’ติ อาหฯ ตตฺถ หิ ‘‘กามวิตโกฺกติ กามปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก, พฺยาปาทวิตโกฺกติ พฺยาปาทปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก, วิหิํสาวิตโกฺกติ วิหิํสาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก, เนกฺขมฺมปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก เนกฺขมฺมวิตโกฺก, โส ยาว ปฐมชฺฌานา วฎฺฎติฯ อพฺยาปาทปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อพฺยาปาทวิตโกฺก, โส เมตฺตาปุพฺพภาคโต ปฎฺฐาย ยาว ปฐมชฺฌานา วฎฺฎติฯ อวิหิํสาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อวิหิํสาวิตโกฺก, โส กรุณาย ปุพฺพภาคโต ปฎฺฐาย ยาว ปฐมชฺฌานา วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ อยํ ปนโตฺถ อภิธเมฺม วิตฺถารโต อาคโต เอวาติ ทเสฺสตุํ, ‘‘อภิธเมฺม’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กามธาตุโต นีหริตฺวาติ เอตฺถ กามคฺคหเณน คหิตา รูปธาตุอาทโย ฉ, ตํวิสยา สตฺตวิญฺญาณธาตุโย, ตตฺถ ปญฺจนฺนํ วิญฺญาณธาตูนํ จกฺขุธาตุอาทโย ปญฺจาติ อฎฺฐารสฯ เนกฺขมฺมธาตุอาทโย ปน ธมฺมธาตุอโนฺตคธา เอวฯ

    Kāmavitakkādayo idha kāmadhātuādipariyāyena vuttāti ‘‘kāmadhātuādīnaṃ dvedhāvitakke kāmavitakkādīsu vuttanayena attho veditabbo’’ti āha. Tattha hi ‘‘kāmavitakkoti kāmapaṭisaṃyutto vitakko, byāpādavitakkoti byāpādapaṭisaṃyutto vitakko, vihiṃsāvitakkoti vihiṃsāpaṭisaṃyutto vitakko, nekkhammapaṭisaṃyutto vitakko nekkhammavitakko, so yāva paṭhamajjhānā vaṭṭati. Abyāpādapaṭisaṃyutto vitakko abyāpādavitakko, so mettāpubbabhāgato paṭṭhāya yāva paṭhamajjhānā vaṭṭati. Avihiṃsāpaṭisaṃyutto vitakko avihiṃsāvitakko, so karuṇāya pubbabhāgato paṭṭhāya yāva paṭhamajjhānā vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Ayaṃ panattho abhidhamme vitthārato āgato evāti dassetuṃ, ‘‘abhidhamme’’tiādi vuttaṃ. Kāmadhātuto nīharitvāti ettha kāmaggahaṇena gahitā rūpadhātuādayo cha, taṃvisayā sattaviññāṇadhātuyo, tattha pañcannaṃ viññāṇadhātūnaṃ cakkhudhātuādayo pañcāti aṭṭhārasa. Nekkhammadhātuādayo pana dhammadhātuantogadhā eva.

    กามตณฺหาย วิสยภูตา ธมฺมา กามธาตูติ อาห – ‘‘ปญฺจ กามาวจรกฺขนฺธา กามธาตู’’ติฯ ตถา รูปตณฺหาย วิสยภูตา ธมฺมา รูปธาตุ, อรูปตณฺหาย วิสยภูตา ธมฺมา อรูปธาตูติ อาห – ‘‘จตฺตาโร อรูปาวจรกฺขนฺธา’’ติอาทิฯ กามตณฺหา กาโม อุตฺตรปทโลเปน, เอวํ รูปารูปตณฺหา รูปารูปํฯ อารมฺมณกรณวเสน ตา ยตฺถ อวจรนฺติ, เต กามาวจราทโยติ เอวํ กามาวจรกฺขนฺธาทีนํ กามตณฺหาทิภาโว เวทิตโพฺพฯ อาทินา นเยนาติ เอเตน ‘‘อุปริโต ปรนิมฺมิตวสวตฺติเทเว อโนฺตกริตฺวา เอตฺถาวจรา’’ติอาทิปาฬิํ (วิภ. ๑๐๒๐) สงฺคณฺหาติฯ เอตฺถาวจราติ อวีจิปรนิมฺมิตปริจฺฉิโนฺนกาสาย กามตณฺหาย วิสยภาวํ สนฺธาย วุตฺตํ, ตโทกาสตา จ ตณฺหาย ตนฺนินฺนตฺตา เวทิตพฺพาฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ ปริปุณฺณอฎฺฐารสธาตุกตฺตา กามาวจรธมฺมานํ ‘‘กามธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ มโนวิญฺญาณธาตุธมฺมธาตุ เอกเทสมตฺตเมว หิ รูปารูปาวจรธมฺมาติฯ

    Kāmataṇhāya visayabhūtā dhammā kāmadhātūti āha – ‘‘pañca kāmāvacarakkhandhā kāmadhātū’’ti. Tathā rūpataṇhāya visayabhūtā dhammā rūpadhātu, arūpataṇhāya visayabhūtā dhammā arūpadhātūti āha – ‘‘cattāro arūpāvacarakkhandhā’’tiādi. Kāmataṇhā kāmo uttarapadalopena, evaṃ rūpārūpataṇhā rūpārūpaṃ. Ārammaṇakaraṇavasena tā yattha avacaranti, te kāmāvacarādayoti evaṃ kāmāvacarakkhandhādīnaṃ kāmataṇhādibhāvo veditabbo. Ādinā nayenāti etena ‘‘uparito paranimmitavasavattideve antokaritvā etthāvacarā’’tiādipāḷiṃ (vibha. 1020) saṅgaṇhāti. Etthāvacarāti avīciparanimmitaparicchinnokāsāya kāmataṇhāya visayabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ, tadokāsatā ca taṇhāya tanninnattā veditabbā. Sesapadadvayepi eseva nayo. Paripuṇṇaaṭṭhārasadhātukattā kāmāvacaradhammānaṃ ‘‘kāmadhātuto nīharitvā pūretabbā’’ti vuttaṃ. Manoviññāṇadhātudhammadhātu ekadesamattameva hi rūpārūpāvacaradhammāti.

    สมาคนฺตฺวาติ สหิตา หุตฺวาฯ ยตฺตกญฺหิ ปจฺจยธมฺมา อตฺตโน ผลสฺส การณํ, ตตฺถ ตนฺนิพฺพตฺตเน สมาคตา วิย โหติ เวกเลฺล ตทนิพฺพตฺตนโตฯ สงฺขตธาตุโต นีหริตฺวา ปูเรตพฺพา อสงฺขตาย ธาตุยา ธมฺมธาตุเอกเทสภาวโตฯ

    Samāgantvāti sahitā hutvā. Yattakañhi paccayadhammā attano phalassa kāraṇaṃ, tattha tannibbattane samāgatā viya hoti vekalle tadanibbattanato. Saṅkhatadhātuto nīharitvā pūretabbā asaṅkhatāya dhātuyā dhammadhātuekadesabhāvato.

    ๑๒๖. เอวํ ปวตฺตมานา มยํ อตฺตาติ คหณํ คมิสฺสามาติ อิมินา วิย อธิปฺปาเยน อตฺตานํ อธิกิจฺจ อุทฺทิสฺส ปวตฺตา อชฺฌตฺตา, เตสุ ภวา ตปฺปริยาปนฺนตฺตาติ อชฺฌตฺติกานิฯ ตโต พหิภูตานิ พาหิรานิฯ อายตนกถา ปฎิจฺจสมุปฺปาทกถา จ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๕๑๐, ๕๗๐, ๕๗๑) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาติ น วิตฺถาริตาฯ

    126. Evaṃ pavattamānā mayaṃ attāti gahaṇaṃ gamissāmāti iminā viya adhippāyena attānaṃ adhikicca uddissa pavattā ajjhattā, tesu bhavā tappariyāpannattāti ajjhattikāni. Tato bahibhūtāni bāhirāni. Āyatanakathā paṭiccasamuppādakathā ca visuddhimagge (visuddhi. 2.510, 570, 571) vuttanayeneva veditabbāti na vitthāritā.

    ๑๒๗. อวิชฺชมานํ ฐานํ อฎฺฐานํ (อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๒๖๘; วิภ. มูลฎี. ๘๐๙), นตฺถิ ฐานนฺติ วา อฎฺฐานํฯ อนวกาโสติ เอตฺถ เอเสว นโยฯ ตทตฺถนิคมนเมว หิ ‘‘เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ วจนนฺติฯ เตนาห ‘‘อุภเยนปี’’ติอาทิฯ นฺติ การเณ ปจฺจตฺตวจนํ, เหตุอโตฺถ จ การณโตฺถติ อาห – ‘‘ยนฺติ เยน การเณนา’’ติฯ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทเสน เอตฺถ ทิฎฺฐิสมฺปตฺติ เวทิตพฺพาติ วุตฺตํ ‘‘มคฺคทิฎฺฐิยา สมฺปโนฺน’’ติฯ กุโต ปนายมโตฺถ ลพฺภตีติ? ลิงฺคโตฯ ลิงฺคเญฺหตํ, ยทิทํ นิจฺจโต อุปคมนปฎิเกฺขโปฯ จตุภูมเกสูติ อิทํ จตุตฺถภูมกสงฺขารานํ อริยสาวกสฺส วิสยภาวูปคมนโต วุตฺตํ; น ปน เต อารพฺภ นิจฺจโต อุปคมนสพฺภาวโตฯ วกฺขติ จ ‘‘จตุตฺถภูมกสงฺขารา ปนา’’ติอาทินาฯ อภิสงฺขตสงฺขารอภิสงฺขรณกสงฺขารานํ สปฺปเทสตฺตา นิปฺปเทสสงฺขารคฺคหณตฺถํ ‘‘สงฺขตสงฺขาเรสู’’ติ วุตฺตํฯ โลกุตฺตรสงฺขารานํ ปน นิวตฺตเน การณํ สยเมว วกฺขติฯ เอตํ การณํ นตฺถิ เสตุฆาตตฺตาฯ เตชุสฺสทตฺตาติ สํกิเลสวิธมนเตชสฺส อธิกภาวโตฯ ตถา หิ เต คมฺภีรภาเวน ทุทฺทสาฯ อกุสลานํ อารมฺมณํ น โหนฺตีติ อิทํ ปกรณวเสน วุตฺตํฯ อปฺปหีนวิปลฺลาสานํ สตฺตานํ กุสลธมฺมานมฺปิ เต อารมฺมณํ น โหนฺติฯ

    127. Avijjamānaṃ ṭhānaṃ aṭṭhānaṃ (a. ni. ṭī. 1.1.268; vibha. mūlaṭī. 809), natthi ṭhānanti vā aṭṭhānaṃ. Anavakāsoti ettha eseva nayo. Tadatthanigamanameva hi ‘‘netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti vacananti. Tenāha ‘‘ubhayenapī’’tiādi. Yanti kāraṇe paccattavacanaṃ, hetuattho ca kāraṇatthoti āha – ‘‘yanti yena kāraṇenā’’ti. Ukkaṭṭhaniddesena ettha diṭṭhisampatti veditabbāti vuttaṃ ‘‘maggadiṭṭhiyā sampanno’’ti. Kuto panāyamattho labbhatīti? Liṅgato. Liṅgañhetaṃ, yadidaṃ niccato upagamanapaṭikkhepo. Catubhūmakesūti idaṃ catutthabhūmakasaṅkhārānaṃ ariyasāvakassa visayabhāvūpagamanato vuttaṃ; na pana te ārabbha niccato upagamanasabbhāvato. Vakkhati ca ‘‘catutthabhūmakasaṅkhārā panā’’tiādinā. Abhisaṅkhatasaṅkhāraabhisaṅkharaṇakasaṅkhārānaṃ sappadesattā nippadesasaṅkhāraggahaṇatthaṃ ‘‘saṅkhatasaṅkhāresū’’ti vuttaṃ. Lokuttarasaṅkhārānaṃ pana nivattane kāraṇaṃ sayameva vakkhati. Etaṃ kāraṇaṃ natthi setughātattā. Tejussadattāti saṃkilesavidhamanatejassa adhikabhāvato. Tathā hi te gambhīrabhāvena duddasā. Akusalānaṃ ārammaṇaṃ na hontīti idaṃ pakaraṇavasena vuttaṃ. Appahīnavipallāsānaṃ sattānaṃ kusaladhammānampi te ārammaṇaṃ na honti.

    อสุเข ‘‘สุข’’นฺติ วิปลฺลาโส จ อิธ สุขโต อุปคมนสฺส ฐานนฺติ อธิเปฺปตนฺติ ทเสฺสโนฺต, ‘‘เอกนฺต…เป.… วุตฺต’’นฺติฯ อตฺตทิฎฺฐิวเสนาติ ปธานทิฎฺฐิมาห ฯ ทิฎฺฐิยา นิพฺพานสฺส อวิสยภาโว เหฎฺฐา วุโตฺต เอวาติ ‘‘กสิณาทิปณฺณตฺติสงฺคหตฺถ’’นฺติ วุตฺตํฯ ปริเจฺฉโทติ สงฺขารานํ ปริเจฺฉโท สงฺขารานํ ปริจฺฉิชฺชคหณํฯ สฺวายํ เยสํ นิจฺจาทิโต อุปคมนํ ภวติ เตสํเยว วเสน กาตโพฺพติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สพฺพวาเรสู’’ติอาทิมาหฯ สพฺพวาเรสูติ นิจฺจาทิสพฺพวาเรสุฯ ปุถุชฺชโน หีติ หิ-สโทฺท เหตุอโตฺถฯ ยสฺมา ยํ ยํ สงฺขารํ นิจฺจาทิวเสน ปุถุชฺชนกาเล อุปคจฺฉติ, ตํ ตํ อริยมคฺคาธิคเมน อนิจฺจาทิวเสน คณฺหโนฺต ยาถาวโต ชานโนฺต ตํ คาหํ ตํ ทิฎฺฐิํ วินิเวเฐติ วิสฺสเชฺชติฯ ตสฺมา ยตฺถ คาโห ตตฺถ วิสฺสชฺชนาติ จตุตฺถภูมกสงฺขารา อิธ สงฺขารคฺคหเณน น คยฺหตีติ อโตฺถฯ

    Asukhe ‘‘sukha’’nti vipallāso ca idha sukhato upagamanassa ṭhānanti adhippetanti dassento, ‘‘ekanta…pe… vutta’’nti. Attadiṭṭhivasenāti padhānadiṭṭhimāha . Diṭṭhiyā nibbānassa avisayabhāvo heṭṭhā vutto evāti ‘‘kasiṇādipaṇṇattisaṅgahattha’’nti vuttaṃ. Paricchedoti saṅkhārānaṃ paricchedo saṅkhārānaṃ paricchijjagahaṇaṃ. Svāyaṃ yesaṃ niccādito upagamanaṃ bhavati tesaṃyeva vasena kātabboti dassento ‘‘sabbavāresū’’tiādimāha. Sabbavāresūti niccādisabbavāresu. Puthujjano hīti hi-saddo hetuattho. Yasmā yaṃ yaṃ saṅkhāraṃ niccādivasena puthujjanakāle upagacchati, taṃ taṃ ariyamaggādhigamena aniccādivasena gaṇhanto yāthāvato jānanto taṃ gāhaṃ taṃ diṭṭhiṃ viniveṭheti vissajjeti. Tasmā yattha gāho tattha vissajjanāti catutthabhūmakasaṅkhārā idha saṅkhāraggahaṇena na gayhatīti attho.

    ๑๒๘. ปุตฺตสมฺพเนฺธน มาตาปิตุสมญฺญา, ทตฺตกิตฺติมาทิวเสนปิ ปุตฺตโวหาโร โลเก ทิสฺสติ, โส จ โข ปริยายโต นิปฺปริยายสิทฺธํ ตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ชนิกา ว มาตา ชนโก ปิตา’’ติ วุตฺตํฯ ตถา อานนฺตริยกมฺมสฺส อธิเปฺปตตฺตา ‘‘มนุสฺสภูโตว ขีณาสโว อรหาติ อธิเปฺปโต’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อฎฺฐานเมต’’นฺติอาทินา มาตุอาทีนํเยว ชีวิตา โวโรปเน อริยสาวกสฺส อภพฺพภาวทสฺสนโต ตทญฺญํ อริยสาวโก ชีวิตา โวโรเปตีติ อิทํ อตฺถโต อาปนฺนเมวาติ มญฺญมาโน วทติ – ‘‘กิํ ปน อริยสาวโก อญฺญํ ชีวิตา โวโรเปยฺยา’’ติ ? ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ วจนโต, ‘‘เอตมฺปิ อฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘สเจปิ หี’’ติอาทิฯ พลทีปนตฺถนฺติ สทฺธาทิพลสมนฺนาคมทีปนตฺถํฯ อริยมเคฺคนาคตสทฺธาทิพลวเสน หิ อริยสาวโก ตาทิสํ สาวชฺชํ น กโรติฯ

    128. Puttasambandhena mātāpitusamaññā, dattakittimādivasenapi puttavohāro loke dissati, so ca kho pariyāyato nippariyāyasiddhaṃ taṃ dassetuṃ, ‘‘janikā va mātā janako pitā’’ti vuttaṃ. Tathā ānantariyakammassa adhippetattā ‘‘manussabhūtova khīṇāsavo arahāti adhippeto’’ti vuttaṃ. ‘‘Aṭṭhānameta’’ntiādinā mātuādīnaṃyeva jīvitā voropane ariyasāvakassa abhabbabhāvadassanato tadaññaṃ ariyasāvako jīvitā voropetīti idaṃ atthato āpannamevāti maññamāno vadati – ‘‘kiṃ pana ariyasāvako aññaṃ jīvitā voropeyyā’’ti ? ‘‘Aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo sañcicca pāṇaṃ jīvitā voropeyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti vacanato, ‘‘etampi aṭṭhāna’’nti vuttaṃ. Tenāha ‘‘sacepi hī’’tiādi. Baladīpanatthanti saddhādibalasamannāgamadīpanatthaṃ. Ariyamaggenāgatasaddhādibalavasena hi ariyasāvako tādisaṃ sāvajjaṃ na karoti.

    ปญฺจหิ การเณหีติ อิทํ อตฺถนิปฺผาทกานิ เตสํ ปุพฺพภาคิยานิ จ การณานิ การณภาวสามเญฺญน เอกชฺฌํ คเหตฺวา วุตฺตํ, น ปน สเพฺพสํ ปญฺจนฺนํ สหโยคกฺขมโตฯ อากาเรหีติ การเณหิฯ อนุสฺสาวเนนาติ อนุรูปํ สาวเนนฯ เภทสฺส อนุรูปํ ยถา เภโท โหติ, เอวํ ภินฺทิตพฺพานํ ภิกฺขูนํ อตฺตโน วจนสฺส สาวเนน วิญฺญาปเนนฯ เตนาห ‘‘นนุ ตุเมฺห’’ติอาทิฯ กณฺณมูเล วจีเภทํ กตฺวาติ เอเตน ‘‘ปากฎํ กตฺวา เภทกรวตฺถุทีปนํ โวหาโร, ตตฺถ อตฺตโน นิจฺฉิตมตฺถํ รหสฺสวเสน วิญฺญาปนํ อนุสฺสาวน’’นฺติ ทเสฺสติฯ

    Pañcahi kāraṇehīti idaṃ atthanipphādakāni tesaṃ pubbabhāgiyāni ca kāraṇāni kāraṇabhāvasāmaññena ekajjhaṃ gahetvā vuttaṃ, na pana sabbesaṃ pañcannaṃ sahayogakkhamato. Ākārehīti kāraṇehi. Anussāvanenāti anurūpaṃ sāvanena. Bhedassa anurūpaṃ yathā bhedo hoti, evaṃ bhinditabbānaṃ bhikkhūnaṃ attano vacanassa sāvanena viññāpanena. Tenāha ‘‘nanu tumhe’’tiādi. Kaṇṇamūle vacībhedaṃ katvāti etena ‘‘pākaṭaṃ katvā bhedakaravatthudīpanaṃ vohāro, tattha attano nicchitamatthaṃ rahassavasena viññāpanaṃ anussāvana’’nti dasseti.

    กมฺมเมว อุเทฺทโส วา ปมาณนฺติ เตหิ สงฺฆเภทสิทฺธิโต วุตฺตํ, อิตเร ปน เตสํ ปุพฺพภาคภูตาฯ เตนาห ‘‘โวหารา’’ติอาทิฯ ตตฺถาติ โวหาเรฯ จุติอนนฺตรํ ผลํ อนนฺตรํ นาม, ตสฺมิํ อนนฺตเร นิยุตฺตานิ ตนฺนิพฺพตฺตเนน อนนฺตรกรณสีลานิ, อนนฺตรปฺปโยชนานิ จาติ อานนฺตริยานิ, ตานิ เอว ‘‘อานนฺตริยกมฺมานี’’ติ วุตฺตานิฯ

    Kammameva uddeso vā pamāṇanti tehi saṅghabhedasiddhito vuttaṃ, itare pana tesaṃ pubbabhāgabhūtā. Tenāha ‘‘vohārā’’tiādi. Tatthāti vohāre. Cutianantaraṃ phalaṃ anantaraṃ nāma, tasmiṃ anantare niyuttāni tannibbattanena anantarakaraṇasīlāni, anantarappayojanāni cāti ānantariyāni, tāni eva ‘‘ānantariyakammānī’’ti vuttāni.

    กมฺมโตติ ‘‘เอวํ อานนฺตริยกมฺมํ โหติ, เอวํ อนนฺตริยกมฺมสทิส’’นฺติ เอวํ กมฺมวิภาคโตฯ ทฺวารโตติ กายาทิทฺวารโตฯ กปฺปฎฺฐิติยโตติ ‘‘อิทํ กปฺปฎฺฐิติกวิปากํ, อิทํ น กปฺปฎฺฐิติกวิปาก’’นฺติ เอวํ กปฺปฎฺฐิติยวิภาคโตฯ ปากาติ ‘‘อิทเมตฺถ วิปจฺจติ, อิทํ น วิปจฺจตี’’ติ วิปจฺจนวิภาคโตฯ สาธารณาทีหีติ คหฎฺฐปพฺพชิตานํ สาธารณาสาธารณโต, อาทิ-สเทฺทน เวทนาทิวิภาคโต จฯ

    Kammatoti ‘‘evaṃ ānantariyakammaṃ hoti, evaṃ anantariyakammasadisa’’nti evaṃ kammavibhāgato. Dvāratoti kāyādidvārato. Kappaṭṭhitiyatoti ‘‘idaṃ kappaṭṭhitikavipākaṃ, idaṃ na kappaṭṭhitikavipāka’’nti evaṃ kappaṭṭhitiyavibhāgato. Pākāti ‘‘idamettha vipaccati, idaṃ na vipaccatī’’ti vipaccanavibhāgato. Sādhāraṇādīhīti gahaṭṭhapabbajitānaṃ sādhāraṇāsādhāraṇato, ādi-saddena vedanādivibhāgato ca.

    ยสฺมา มนุสฺสตฺตภาเว ฐิตเสฺสว จ กุสลธมฺมานํ ติกฺขวิสทสูรภาวาปตฺติ, ยถา ตํ ติณฺณมฺปิ โพธิสตฺตานํ โพธิตฺตยนิพฺพตฺติยํ, เอวํ มนุสฺสภาเว ฐิตเสฺสว อกุสลธมฺมานมฺปิ ติกฺขวิสทสูรภาวาปตฺตีติ อาห ‘‘มนุสฺสภูตเสฺสวา’’ติฯ ปากติกมนุสฺสานมฺปิ จ กุสลธมฺมานํ วิเสสปฺปตฺติ วิมานวตฺถุอฎฺฐกถายํ (วิ. ว. อฎฺฐ. ๓) วุตฺตนเยน เวทิตพฺพาฯ ยถา วุโตฺต จ อโตฺถ สมานชาติยสฺส วิโกปเน กมฺมํ ครุตรํ, น ตถา วิชาติยสฺสาติ วุตฺตํ – ‘‘มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา’’ติฯ ลิเงฺค ปริวเตฺต จ โส เอว เอกกมฺมนิพฺพโตฺต ภวงฺคปฺปพโนฺธ, ชีวิตินฺทฺริยปฺปพโนฺธ จ, น อโญฺญติ อาห ‘‘อปิ ปริวตฺตลิงฺค’’นฺติฯ อรหเนฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺส วิปากนฺติอาทิ กมฺมสฺส อานนฺตริยภาวสมตฺถนํ, จตุโกฎิกเญฺจตฺถ สมฺภวติฯ ตตฺถ ปฐมา โกฎิ ทสฺสิตา, อิตราสุ วิสเงฺกตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘โย ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยทิปิ ตตฺถ วิสเงฺกโต, กมฺมํ ปน ครุตรํ อานนฺตริยสทิสํ ภายิตพฺพนฺติ อาห – ‘‘อานนฺตริยํ อาหเจฺจว ติฎฺฐตี’’ติฯ อยํ ปโญฺหติ ญาปนิจฺฉานิพฺพตฺตา กถาฯ

    Yasmā manussattabhāve ṭhitasseva ca kusaladhammānaṃ tikkhavisadasūrabhāvāpatti, yathā taṃ tiṇṇampi bodhisattānaṃ bodhittayanibbattiyaṃ, evaṃ manussabhāve ṭhitasseva akusaladhammānampi tikkhavisadasūrabhāvāpattīti āha ‘‘manussabhūtassevā’’ti. Pākatikamanussānampi ca kusaladhammānaṃ visesappatti vimānavatthuaṭṭhakathāyaṃ (vi. va. aṭṭha. 3) vuttanayena veditabbā. Yathā vutto ca attho samānajātiyassa vikopane kammaṃ garutaraṃ, na tathā vijātiyassāti vuttaṃ – ‘‘manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā’’ti. Liṅge parivatte ca so eva ekakammanibbatto bhavaṅgappabandho, jīvitindriyappabandho ca, na aññoti āha ‘‘api parivattaliṅga’’nti. Arahantepi eseva nayo. Tassa vipākantiādi kammassa ānantariyabhāvasamatthanaṃ, catukoṭikañcettha sambhavati. Tattha paṭhamā koṭi dassitā, itarāsu visaṅketaṃ dassetuṃ, ‘‘yo panā’’tiādi vuttaṃ. Yadipi tattha visaṅketo, kammaṃ pana garutaraṃ ānantariyasadisaṃ bhāyitabbanti āha – ‘‘ānantariyaṃ āhacceva tiṭṭhatī’’ti. Ayaṃ pañhoti ñāpanicchānibbattā kathā.

    อานนฺตริยํ ผุสติ มรณาธิปฺปาเยเนว อานนฺตริยวตฺถุโน วิโกปิตตฺตาฯ อานนฺตริยํ น ผุสติ อานนฺตริยวตฺถุอภาวโตฯ สพฺพตฺถ หิ ปุริมํ อภิสนฺธิจิตฺตํ อปฺปมาณํ, วธกจิตฺตํ ปน ตทารมฺมณํ ชีวิตินฺทฺริยญฺจ อานนฺตริยนานนฺตริยภาเว ปมาณนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สงฺคามจตุกฺกํ สมฺปตฺตวเสน โยเชตพฺพํฯ

    Ānantariyaṃ phusati maraṇādhippāyeneva ānantariyavatthuno vikopitattā. Ānantariyaṃ na phusati ānantariyavatthuabhāvato. Sabbattha hi purimaṃ abhisandhicittaṃ appamāṇaṃ, vadhakacittaṃ pana tadārammaṇaṃ jīvitindriyañca ānantariyanānantariyabhāve pamāṇanti daṭṭhabbaṃ. Saṅgāmacatukkaṃ sampattavasena yojetabbaṃ.

    เตเนวาติ เตเนว ปโยเคนฯ อรหนฺตฆาโต โหติเยว อรหโต มาริตตฺตาฯ ปุถุชฺชนเสฺสว ทินฺนํ โหตีติ ยสฺมา ยถา วธกจิตฺตํ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณมฺปิ ปพนฺธวิเจฺฉทวเสน จ ชีวิตินฺทฺริยํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตติ, น เอวํ จาคเจตนา, สา หิ จชิตพฺพวตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา จชนมตฺตเมว โหติ, อญฺญสนฺตกภาวกรณญฺจ ตสฺส จชนํ, ตสฺมา ยสฺส ตํ สนฺตกํ กตํฯ ตเสฺสว ทินฺนํ โหตีติฯ

    Tenevāti teneva payogena. Arahantaghāto hotiyeva arahato māritattā. Puthujjanasseva dinnaṃ hotīti yasmā yathā vadhakacittaṃ paccuppannārammaṇampi pabandhavicchedavasena ca jīvitindriyaṃ ārammaṇaṃ katvā pavattati, na evaṃ cāgacetanā, sā hi cajitabbavatthuṃ ārammaṇaṃ katvā cajanamattameva hoti, aññasantakabhāvakaraṇañca tassa cajanaṃ, tasmā yassa taṃ santakaṃ kataṃ. Tasseva dinnaṃ hotīti.

    โลหิตํ สโม สรตีติ อภิฆาเตน ปกุปฺปมานํ สญฺจิตํ โหติฯ มหนฺตตรนฺติ ครุตรํฯ สรีรปฎิชคฺคเน วิยาติ สตฺถุรูปกายปฎิชคฺคเน วิยฯ

    Lohitaṃ samo saratīti abhighātena pakuppamānaṃ sañcitaṃ hoti. Mahantataranti garutaraṃ. Sarīrapaṭijaggane viyāti satthurūpakāyapaṭijaggane viya.

    อสนฺนิปติเตติ อิทํ สามคฺคิยทีปนํฯ เภโท จ โหตีติ สงฺฆสฺส เภโท โหติฯ วฎฺฎตีติ สญฺญายาติ อีทิสกรณํ สงฺฆสฺส เภทาย น โหตีติ สญฺญายฯ นวโต อูนปริสายํ กโรนฺตสฺส ตถาติ โยเชตพฺพํ, ตถาติ อิมินา ‘‘น อานนฺตริยกมฺมนฺติ’’ อิมํ อากฑฺฒติ, น ปน ‘‘เภโท โหตี’’ติ อิทํฯ เหฎฺฐิมเนฺตน หิ นวนฺนเมว วเสน สงฺฆเภโทฯ ธมฺมวาทิโน อนวชฺชา ยถาธมฺมํ อวฎฺฐานโตฯ สงฺฆเภทสฺส ปุพฺพภาโค สงฺฆราชิ

    Asannipatiteti idaṃ sāmaggiyadīpanaṃ. Bhedo ca hotīti saṅghassa bhedo hoti. Vaṭṭatīti saññāyāti īdisakaraṇaṃ saṅghassa bhedāya na hotīti saññāya. Navato ūnaparisāyaṃ karontassa tathāti yojetabbaṃ, tathāti iminā ‘‘na ānantariyakammanti’’ imaṃ ākaḍḍhati, na pana ‘‘bhedo hotī’’ti idaṃ. Heṭṭhimantena hi navannameva vasena saṅghabhedo. Dhammavādino anavajjā yathādhammaṃ avaṭṭhānato. Saṅghabhedassa pubbabhāgo saṅgharāji.

    กายทฺวารเมว ปูเรนฺติ กายกมฺมภาเวเนว ลกฺขิตพฺพโตฯ

    Kāyadvārameva pūrenti kāyakammabhāveneva lakkhitabbato.

    ‘‘สณฺฐหเนฺต หิ…เป.… มุจฺจตี’’ติ อิทํ กปฺปฎฺฐกถาย น สเมติฯ ตถา หิ กปฺปฎฺฐกถายํ (กถา. อฎฺฐ. ๖๕๔-๖๕๗) วุตฺตํ – ‘‘อาปายิโกติ อิทํ สุตฺตํ ยํ โส เอกํ กปฺปํ อสีติภาเค กตฺวา ตโต เอกภาคมตฺตํ กาลํ ติเฎฺฐยฺย, ตํ อายุกปฺปํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติฯ กปฺปวินาเสเยวาติ ปน อายุกปฺปวินาเสเยวาติ อเตฺถ สติ นตฺถิ วิโรโธฯ เอตฺถ จ สณฺฐหเนฺตติ อิทมฺปิ ‘‘เสฺวววินสฺสิสฺสตี’’ติ วิย อภูตปริกปฺปวเสน วุตฺตํฯ เอกทิวสเมว นิรเย ปจฺจติ ตโต ปรํ กปฺปาภาเว อายุกปฺปสฺสปิ อภาวโตติ อวิโรธโต อตฺถโยชนา ทฎฺฐพฺพาฯ เสสานีติ สงฺฆเภทโต อญฺญานิ อานนฺตริยกมฺมานิฯ

    ‘‘Saṇṭhahante hi…pe… muccatī’’ti idaṃ kappaṭṭhakathāya na sameti. Tathā hi kappaṭṭhakathāyaṃ (kathā. aṭṭha. 654-657) vuttaṃ – ‘‘āpāyikoti idaṃ suttaṃ yaṃ so ekaṃ kappaṃ asītibhāge katvā tato ekabhāgamattaṃ kālaṃ tiṭṭheyya, taṃ āyukappaṃ sandhāya vutta’’nti. Kappavināseyevāti pana āyukappavināseyevāti atthe sati natthi virodho. Ettha ca saṇṭhahanteti idampi ‘‘svevavinassissatī’’ti viya abhūtaparikappavasena vuttaṃ. Ekadivasameva niraye paccati tato paraṃ kappābhāve āyukappassapi abhāvatoti avirodhato atthayojanā daṭṭhabbā. Sesānīti saṅghabhedato aññāni ānantariyakammāni.

    อโหสิกมฺมํ…เป.… สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติ, เอวํ สติ กถํ เนสํ อานนฺตริยตา จุติอนนฺตรํ วิปากทานาภาวโตฯ อถ สติ ผลทาเน จุติอนนฺตโร เอว เอเตสํ ผลกาโล, น อโญฺญติ ผลกาลนิยเมน นิยตตา นิจฺฉิตา, น ผลทานนิยเมน, เอวมฺปิ นิยตผลกาลานํ อเญฺญสมฺปิ อุปปชฺชเวทนียานํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียานญฺจ นิยตตา อาปเชฺชยฺยฯ ตสฺมา วิปากธมฺมธมฺมานํ ปจฺจยนฺตรวิกลตาทีหิ อวิปจฺจมานานมฺปิ อตฺตโน สภาเวน วิปากธมฺมตา วิย พลวตา อานนฺตริเยน วิปาเก ทิเนฺน อวิปจฺจมานานมฺปิ อานนฺตริยานํ ผลทาเน นิยตสภาวา อานนฺตริยสภาวา จ ปวตฺตีติ อตฺตโน สภาเวน ผลทานนิยเมเนว นิยตตา อานนฺตริยตา จ เวทิตพฺพาฯ อวสฺสญฺจ อานนฺตริยสภาวา ตโต เอว นิยตสภาวา จ เตสํ ปวตฺตีติ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพเมตํ อญฺญสฺส พลวโต อานนฺตริยสฺส อภาเว จุติอนนฺตรํ เอกเนฺตน ผลทานโตฯ

    Ahosikammaṃ…pe… saṅkhyaṃ gacchanti, evaṃ sati kathaṃ nesaṃ ānantariyatā cutianantaraṃ vipākadānābhāvato. Atha sati phaladāne cutianantaro eva etesaṃ phalakālo, na aññoti phalakālaniyamena niyatatā nicchitā, na phaladānaniyamena, evampi niyataphalakālānaṃ aññesampi upapajjavedanīyānaṃ diṭṭhadhammavedanīyānañca niyatatā āpajjeyya. Tasmā vipākadhammadhammānaṃ paccayantaravikalatādīhi avipaccamānānampi attano sabhāvena vipākadhammatā viya balavatā ānantariyena vipāke dinne avipaccamānānampi ānantariyānaṃ phaladāne niyatasabhāvā ānantariyasabhāvā ca pavattīti attano sabhāvena phaladānaniyameneva niyatatā ānantariyatā ca veditabbā. Avassañca ānantariyasabhāvā tato eva niyatasabhāvā ca tesaṃ pavattīti sampaṭicchitabbametaṃ aññassa balavato ānantariyassa abhāve cutianantaraṃ ekantena phaladānato.

    นนุ เอวํ อเญฺญสมฺปิ อุปปชฺชเวทนียานํ อญฺญสฺมิํ วิปากทายเก อสติ จุติอนนฺตรเมกเนฺตน ผลทานโต นิยตสภาวา อนนฺตริยสภาวา จ ปวตฺติ อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติฯ อสมานชาติเกน เจโตปณิธิวเสน อุปฆาตเกน จ นิวเตฺตตพฺพวิปากตฺตา อนนฺตเร เอกนฺตผลทายกตฺตาภาวาฯ น ปน อานนฺตริยกานํ ปฐมชฺฌานาทีนํ ทุติยชฺฌานาทีนิ วิย อสมานชาติกํ ผลนิวตฺตกํ อตฺถิ สพฺพานนฺตริยานํ อวีจิผลตฺตาฯ น จ เหฎฺฐูปปตฺติํ อิจฺฉโต สีลวโต เจโตปณิธิ วิย อุปรูปปตฺติชนกกมฺมผลํ อานนฺตริยผลํ นิวเตฺตตุํ สมโตฺถ เจโตปณิธิ อตฺถิ อนิจฺฉนฺตเสฺสว อวีจิปาตนโต, น จ อานนฺตริโยปฆาตกํ กิญฺจิ กมฺมํ อตฺถิ, ตสฺมา เตสํเยว อนนฺตเร เอกนฺตวิปากชนกสภาวา ปวตฺตีติฯ อเนกานิ จ อานนฺตริยานิ กตานิ เอกเนฺตเนว วิปาเก นิยตสภาวตฺตา อุปรตาวิปจฺจนสภาวาสงฺกตฺตา นิจฺฉิตานิ สภาวโต นิยตาเนวฯ เตสุ ปน สมานสภาเวสุ เอเกน วิปาเก ทิเนฺน อิตรานิ อตฺตนา กาตพฺพกิจฺจสฺส เตเนว กตตฺตา น ทุติยํ ตติยํ วา ปฎิสนฺธิํ กโรนฺติฯ น สมตฺถตาวิฆาตตฺตาติ นตฺถิ เตสํ อานนฺตริยกตา นิวตฺติ; ครุตรภาโว ปน เตสุ ลพฺภเตวาติ สงฺฆเภทสฺส สิยา ครุตรภาโวติ, ‘‘เยน…เป.… วิปจฺจตี’’ติ อาหฯ เอกสฺส ปน อญฺญานิ อุปตฺถมฺภกานิ โหนฺตีติ ทฎฺฐพฺพานิฯ ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจตีติ วจเนน อิตเรสํ ปวตฺติวิปากทายิตา อนุญฺญาตา วิย ทิสฺสติฯ โน วา ตถา สีลวตีติ ยถา ปิตา สีลวา, ตถา สีลวตี โน วา โหตีติ โยชนาฯ สเจ มาตา สีลวตี, มาตุฆาโต ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจตีติ โยชนาฯ

    Nanu evaṃ aññesampi upapajjavedanīyānaṃ aññasmiṃ vipākadāyake asati cutianantaramekantena phaladānato niyatasabhāvā anantariyasabhāvā ca pavatti āpajjatīti? Nāpajjati. Asamānajātikena cetopaṇidhivasena upaghātakena ca nivattetabbavipākattā anantare ekantaphaladāyakattābhāvā. Na pana ānantariyakānaṃ paṭhamajjhānādīnaṃ dutiyajjhānādīni viya asamānajātikaṃ phalanivattakaṃ atthi sabbānantariyānaṃ avīciphalattā. Na ca heṭṭhūpapattiṃ icchato sīlavato cetopaṇidhi viya uparūpapattijanakakammaphalaṃ ānantariyaphalaṃ nivattetuṃ samattho cetopaṇidhi atthi anicchantasseva avīcipātanato, na ca ānantariyopaghātakaṃ kiñci kammaṃ atthi, tasmā tesaṃyeva anantare ekantavipākajanakasabhāvā pavattīti. Anekāni ca ānantariyāni katāni ekanteneva vipāke niyatasabhāvattā uparatāvipaccanasabhāvāsaṅkattā nicchitāni sabhāvato niyatāneva. Tesu pana samānasabhāvesu ekena vipāke dinne itarāni attanā kātabbakiccassa teneva katattā na dutiyaṃ tatiyaṃ vā paṭisandhiṃ karonti. Na samatthatāvighātattāti natthi tesaṃ ānantariyakatā nivatti; garutarabhāvo pana tesu labbhatevāti saṅghabhedassa siyā garutarabhāvoti, ‘‘yena…pe… vipaccatī’’ti āha. Ekassa pana aññāni upatthambhakāni hontīti daṭṭhabbāni. Paṭisandhivasena vipaccatīti vacanena itaresaṃ pavattivipākadāyitā anuññātā viya dissati. No vā tathā sīlavatīti yathā pitā sīlavā, tathā sīlavatī no vā hotīti yojanā. Sace mātā sīlavatī, mātughāto paṭisandhivasena vipaccatīti yojanā.

    ปกตโตฺตติ อนุกฺขิโตฺตฯ สมานสํวาสโกติ อปาราชิโกฯ สมานสีมายนฺติ เอกสีมายํฯ

    Pakatattoti anukkhitto. Samānasaṃvāsakoti apārājiko. Samānasīmāyanti ekasīmāyaṃ.

    สตฺถุกิจฺจํ กาตุํ อสมโตฺถติ ยํ สตฺถารา กาตพฺพกิจฺจํ อนุสาสนาทิ, ตํ กาตุํ อสมโตฺถติ ภควนฺตํ ปจฺจกฺขายฯ อญฺญํ ติตฺถกรนฺติ อญฺญํ สตฺถารํฯ

    Satthukiccaṃ kātuṃ asamatthoti yaṃ satthārā kātabbakiccaṃ anusāsanādi, taṃ kātuṃ asamatthoti bhagavantaṃ paccakkhāya. Aññaṃ titthakaranti aññaṃ satthāraṃ.

    ๑๒๙. อภิชาติอาทิสุ (อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๒๗๗) ปกปฺปเนน เทวตูปสงฺกมนาทินา ชาตจกฺกวาเฬน สมานโยคเกฺขมํ ทสสหสฺสปริมาณํ ฐานํ ชาติเขตฺตํ, สรเสเนว อาณาปวตฺติฎฺฐานํ อาณาเขตฺตํ, วิสยภูตํ ฐานํ วิสยเขตฺตํฯ ทสสหสฺสี โลกธาตูติ อิมาย โลกธาตุยา สทฺธิํ อิมํ โลกธาตุํ ปริวาเรตฺวา ฐิตา ทสสหสฺสี โลกธาตุฯ ตตฺตกานํเยว ชาติเขตฺตภาโว ธมฺมตาวเสน เวทิตโพฺพฯ ‘‘ปริคฺคหวเสนา’’ติ เกจิฯ ‘‘สเพฺพสมฺปิ พุทฺธานํ ตตฺตกํ เอว ชาติเขตฺตํ ตนฺนิวาสีนํเยว จ เทวตานํ ธมฺมาภิสมโย’’ติ จ วทนฺติฯ มาตุกุจฺฉิโอกฺกมนกาลาทีนํ ฉนฺนํ เอว คหณํ นิทสฺสนมตฺตํ มหาภินีหาราทิกาเลปิ ตสฺส ปกมฺปนสฺส ลพฺภมานโตฯ อาณาเขตฺตํ นาม ยํ เอกชฺฌํ สํวฎฺฎติ จ วิวฎฺฎติ จฯ อาณา วตฺตติ อาณาย ตนฺนิวาสีนํ เทวตานํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉเนน, ตญฺจ โข เกวลํ พุทฺธานํ อานุภาเวเนว, น อธิปฺปายวเสน, อธิปฺปายวเสน ปน ‘‘ยาวตา วา ปน อากเงฺขยฺยา’’ติ (อ. นิ. ๓.๘๑) วจนโต ตโต ปรมฺปิ อาณา ปวเตฺตยฺยฯ

    129. Abhijātiādisu (a. ni. ṭī. 1.1.277) pakappanena devatūpasaṅkamanādinā jātacakkavāḷena samānayogakkhemaṃ dasasahassaparimāṇaṃ ṭhānaṃ jātikhettaṃ, saraseneva āṇāpavattiṭṭhānaṃ āṇākhettaṃ, visayabhūtaṃ ṭhānaṃ visayakhettaṃ. Dasasahassī lokadhātūti imāya lokadhātuyā saddhiṃ imaṃ lokadhātuṃ parivāretvā ṭhitā dasasahassī lokadhātu. Tattakānaṃyeva jātikhettabhāvo dhammatāvasena veditabbo. ‘‘Pariggahavasenā’’ti keci. ‘‘Sabbesampi buddhānaṃ tattakaṃ eva jātikhettaṃ tannivāsīnaṃyeva ca devatānaṃ dhammābhisamayo’’ti ca vadanti. Mātukucchiokkamanakālādīnaṃ channaṃ eva gahaṇaṃ nidassanamattaṃ mahābhinīhārādikālepi tassa pakampanassa labbhamānato. Āṇākhettaṃ nāma yaṃ ekajjhaṃ saṃvaṭṭati ca vivaṭṭati ca. Āṇā vattati āṇāya tannivāsīnaṃ devatānaṃ sirasā sampaṭicchanena, tañca kho kevalaṃ buddhānaṃ ānubhāveneva, na adhippāyavasena, adhippāyavasena pana ‘‘yāvatā vā pana ākaṅkheyyā’’ti (a. ni. 3.81) vacanato tato parampi āṇā pavatteyya.

    น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถีติ, ‘‘น เม อาจริโย อตฺถิ, สทิโส เม น วิชฺชตี’’ติอาทิํ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๑; กถา. ๔๐๕; มิ. ป. ๔.๕.๑๑) อิมิสฺสํ โลกธาตุยํ ฐตฺวา วทเนฺตน ภควตา, ‘‘กิํ ปนาวุโส สาริปุตฺต, อเตฺถตรหิ อเญฺญ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ภควตา สมสมา สโมฺพธิยนฺติ, เอวํ ปุโฎฺฐ อหํ, ภเนฺต, โนติ วเทยฺย’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๑๖๑), วตฺวา ตสฺส การณํ ทเสฺสตุํ, ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา’’ติ อิมํ สุตฺตํ (ที. นิ. ๓.๑๖๑; มิ. ป. ๕.๑.๑) ทเสฺสเนฺตน ธมฺมเสนาปตินา จ พุทฺธเขตฺตภูตํ อิมํ โลกธาตุํ ฐเปตฺวา อญฺญตฺถ อนุปฺปตฺติ วุตฺตา โหตีติ อธิปฺปาโยฯ

    Na uppajjantīti pana atthīti, ‘‘na me ācariyo atthi, sadiso me na vijjatī’’tiādiṃ (ma. ni. 1.285; 2.341; mahāva. 11; kathā. 405; mi. pa. 4.5.11) imissaṃ lokadhātuyaṃ ṭhatvā vadantena bhagavatā, ‘‘kiṃ panāvuso sāriputta, atthetarahi aññe samaṇā vā brāhmaṇā vā bhagavatā samasamā sambodhiyanti, evaṃ puṭṭho ahaṃ, bhante, noti vadeyya’’nti (dī. ni. 3.161), vatvā tassa kāraṇaṃ dassetuṃ, ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddhā’’ti imaṃ suttaṃ (dī. ni. 3.161; mi. pa. 5.1.1) dassentena dhammasenāpatinā ca buddhakhettabhūtaṃ imaṃ lokadhātuṃ ṭhapetvā aññattha anuppatti vuttā hotīti adhippāyo.

    เอกโตติ สห, เอกสฺมิํ กาเลติ อโตฺถฯ โส ปน กาโล กถํ ปริจฺฉิโนฺนติ จริมภเว ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย ยาว ธาตุปรินิพฺพานาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิมาหฯ นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐายาติ ปฎิโลมกฺกเมน วทติฯ ปรินิพฺพานโต ปฎฺฐายาติ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพานโต ปฎฺฐายฯ เอตฺถนฺตเรติ จริมภเว โพธิสตฺตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณํ ธาตุปรินิพฺพานนฺติ เอเตสํ อนฺตเรฯ

    Ekatoti saha, ekasmiṃ kāleti attho. So pana kālo kathaṃ paricchinnoti carimabhave paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya yāva dhātuparinibbānāti dassento ‘‘tatthā’’tiādimāha. Nisinnakālato paṭṭhāyāti paṭilomakkamena vadati. Parinibbānato paṭṭhāyāti anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbānato paṭṭhāya. Etthantareti carimabhave bodhisattassa paṭisandhiggahaṇaṃ dhātuparinibbānanti etesaṃ antare.

    อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ น นิวาริตา, ตตฺถ การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตีณิ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปฎิปตฺติอนฺตรธาเนน หิ สาสนสฺส โอสกฺกิตตฺตา อปรสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ ลทฺธาวสรา โหติฯ ปฎิปทาติ ปฎิเวธาวหา ปุพฺพภาคปฎิปทาฯ ‘‘ปริยตฺติ ปมาณ’’นฺติ วตฺวา ตมตฺถํ โพธิสตฺตํ นิทสฺสนํ กตฺวา ทเสฺสตุํ, ‘‘ยถา’’ติอาทิ วุตฺตํ ตยิทํ หีนํ กตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ นิยฺยานิกธมฺมสฺส ฐิติญฺหิ ทเสฺสโนฺต อนิยฺยานิกธมฺมํ นิทเสฺสติฯ

    Aññassa buddhassa uppatti na nivāritā, tattha kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘tīṇi hī’’tiādi vuttaṃ. Paṭipattiantaradhānena hi sāsanassa osakkitattā aparassa buddhassa uppatti laddhāvasarā hoti. Paṭipadāti paṭivedhāvahā pubbabhāgapaṭipadā. ‘‘Pariyatti pamāṇa’’nti vatvā tamatthaṃ bodhisattaṃ nidassanaṃ katvā dassetuṃ, ‘‘yathā’’tiādi vuttaṃ tayidaṃ hīnaṃ katanti daṭṭhabbaṃ. Niyyānikadhammassa ṭhitiñhi dassento aniyyānikadhammaṃ nidasseti.

    มาติกาย อนฺตรหิตายาติ, ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติอาทินยปฺปตฺตา สิกฺขาปทปาฬิ มาติกา, ตาย อนฺตรหิตาย นิทานุเทฺทสสงฺขาเต ปาติโมกฺขุเทฺทเส ปพฺพชฺชายุปสมฺปทากเมฺมสุ จ สาสนํ ติฎฺฐตีติ อโตฺถฯ อถ วา ปาติโมเกฺข ธรเนฺตเยว ปพฺพชฺชา อุปสมฺปทา จ, เอวํ สติ ตทุภยํ ปาติโมเกฺข อโนฺตคธํ ตทุภยาภาเว ปาติโมกฺขาภาวโต, ตสฺมา ตยิทํ ตยํ สาสนสฺส ฐิติเหตูติ อาห – ‘‘ปาติโมกฺขปพฺพชฺชาอุปสมฺปทาสุ ฐิตาสุ สาสนํ ติฎฺฐตี’’ติฯ ยสฺมา วา อุปสมฺปทาธีนํ ปาติโมกฺขํ, อุปสมฺปทา จ ปพฺพชฺชาธีนา, ตสฺมา ปาติโมเกฺข สิเทฺธ, สิทฺธาสุ ปพฺพชฺชาอุปสมฺปทาสุ จ สาสนํ ติฎฺฐติฯ ปจฺฉิมปฎิเวธโต หิ ปรํ ปฎิเวธสาสนํ, ปจฺฉิมสีลโต จ ปรํ ปฎิปตฺติสาสนํ วินฎฺฐํ นาม โหติฯ โอสกฺกิตํ นามาติ ปจฺฉิมกปฎิเวธสีลเภททฺวยํ เอกโต กตฺวา ตโต ปรํ วินฎฺฐํ นาม โหตีติ อโตฺถฯ

    Mātikāya antarahitāyāti, ‘‘yo pana bhikkhū’’tiādinayappattā sikkhāpadapāḷi mātikā, tāya antarahitāya nidānuddesasaṅkhāte pātimokkhuddese pabbajjāyupasampadākammesu ca sāsanaṃ tiṭṭhatīti attho. Atha vā pātimokkhe dharanteyeva pabbajjā upasampadā ca, evaṃ sati tadubhayaṃ pātimokkhe antogadhaṃ tadubhayābhāve pātimokkhābhāvato, tasmā tayidaṃ tayaṃ sāsanassa ṭhitihetūti āha – ‘‘pātimokkhapabbajjāupasampadāsu ṭhitāsu sāsanaṃ tiṭṭhatī’’ti. Yasmā vā upasampadādhīnaṃ pātimokkhaṃ, upasampadā ca pabbajjādhīnā, tasmā pātimokkhe siddhe, siddhāsu pabbajjāupasampadāsu ca sāsanaṃ tiṭṭhati. Pacchimapaṭivedhato hi paraṃ paṭivedhasāsanaṃ, pacchimasīlato ca paraṃ paṭipattisāsanaṃ vinaṭṭhaṃ nāma hoti. Osakkitaṃ nāmāti pacchimakapaṭivedhasīlabhedadvayaṃ ekato katvā tato paraṃ vinaṭṭhaṃ nāma hotīti attho.

    เตน กามํ ‘‘สาสนฎฺฐิติยา ปริยตฺติ ปมาณ’’นฺติ วุตฺตํ, ปริยตฺติ ปน ปฎิปตฺติเหตุกาติ ปฎิปตฺติยา อสติ อปฺปติฎฺฐา โหติ, ตสฺมา ปฎิปตฺติอนฺตรธานํ สาสโนสกฺกนสฺส วิเสสการณนฺติ ทเสฺสตฺวา ตยิทํ สาสโนสกฺกนํ ธาตุปรินิพฺพาโนสานนฺติ ทเสฺสตุํ, ‘‘ตีณิ ปรินิพฺพานานี’’ติ วุตฺตํฯ

    Tena kāmaṃ ‘‘sāsanaṭṭhitiyā pariyatti pamāṇa’’nti vuttaṃ, pariyatti pana paṭipattihetukāti paṭipattiyā asati appatiṭṭhā hoti, tasmā paṭipattiantaradhānaṃ sāsanosakkanassa visesakāraṇanti dassetvā tayidaṃ sāsanosakkanaṃ dhātuparinibbānosānanti dassetuṃ, ‘‘tīṇi parinibbānānī’’ti vuttaṃ.

    การุญฺญนฺติ ปริเทวนการุญฺญํฯ ชมฺพุทีเป ทีปนฺตเรสุ เทวนาคพฺรหฺมโลเกสุ จ วิปฺปกิริตฺวา ฐิตานํ ธาตูนํ มหาโพธิปลฺลเงฺก เอกชฺฌํ สนฺนิปตนํ, รสฺมิวิสฺสชฺชนํ, ตตฺถ เตโชธาตุยา อุฎฺฐานํ, เอกชาลีภาโว จาติ สพฺพเมตํ สตฺถุ อธิฎฺฐานวเสเนว เวทิตพฺพํฯ

    Kāruññanti paridevanakāruññaṃ. Jambudīpe dīpantaresu devanāgabrahmalokesu ca vippakiritvā ṭhitānaṃ dhātūnaṃ mahābodhipallaṅke ekajjhaṃ sannipatanaṃ, rasmivissajjanaṃ, tattha tejodhātuyā uṭṭhānaṃ, ekajālībhāvo cāti sabbametaṃ satthu adhiṭṭhānavaseneva veditabbaṃ.

    อนจฺฉริยตฺตาติ ทฺวีสุปิ อุปฺปชฺชมาเนสุ อจฺฉริยตฺตาภาวโทสโตติ อโตฺถฯ พุทฺธา นาม มเชฺฌ ภินฺนํ สุวณฺณํ วิย เอกสทิสาติ เตสํ เทสนาปิ เอกรสา เอวาติ อาห – ‘‘เทสนาย จ วิเสสาภาวโต’’ติฯ เอเตนปิ อนจฺฉริยตฺตเมว สาเธติฯ วิวาทภาวโตติ เอเตน วิวาทาภาวตฺถํ เทฺว เอกโต น อุปฺปชฺชนฺตีติ ทเสฺสติฯ

    Anacchariyattāti dvīsupi uppajjamānesu acchariyattābhāvadosatoti attho. Buddhā nāma majjhe bhinnaṃ suvaṇṇaṃ viya ekasadisāti tesaṃ desanāpi ekarasā evāti āha – ‘‘desanāya ca visesābhāvato’’ti. Etenapi anacchariyattameva sādheti. Vivādabhāvatoti etena vivādābhāvatthaṃ dve ekato na uppajjantīti dasseti.

    ตตฺถาติ มิลินฺทปเญฺหฯ เอกํ พุทฺธํ ธาเรตีติ เอกพุทฺธธารณีฯ เอเตน เอวํ สภาวา เอเต พุทฺธคุณา, เยน ทุติยพุทฺธคุเณ ธาเรตุํ อสมตฺถา อยํ โลกธาตูติ ทเสฺสติฯ ปจฺจยวิเสสนิปฺผนฺนานญฺหิ คุณธมฺมานํ ภาริโย วิเสโส น สกฺกา ธาเรตุนฺติ, ‘‘น ธาเรยฺยา’’ติ วตฺวา ตเมว อธารณํ ปริยายนฺตเรนปิ ปกาเสโนฺต ‘‘จเลยฺยา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ จเลยฺยาติ ปริปฺผเนฺทยฺยฯ กเมฺปยฺยาติ ปเวเธยฺยฯ นเมยฺยาติ เอกปเสฺสน นเมยฺยฯ โอนเมยฺยาติ โอสีเทยฺยฯ วินเมยฺยาติ วิวิธํ อิโตจิโต จ นเมยฺยฯ วิกิเรยฺยาติ วาเตน ถุสมุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิเรยฺยฯ วิธเมยฺยาติ วินเสฺสยฺยฯ วิทฺธํเสยฺยาติ สพฺพโส วิทฺธสฺตา ภเวยฺยฯ ตถาภูตา จ กตฺถจิ น ติเฎฺฐยฺยาติ อาห ‘‘น ฐานมุปคเจฺฉยฺยา’’ติฯ

    Tatthāti milindapañhe. Ekaṃ buddhaṃ dhāretīti ekabuddhadhāraṇī. Etena evaṃ sabhāvā ete buddhaguṇā, yena dutiyabuddhaguṇe dhāretuṃ asamatthā ayaṃ lokadhātūti dasseti. Paccayavisesanipphannānañhi guṇadhammānaṃ bhāriyo viseso na sakkā dhāretunti, ‘‘na dhāreyyā’’ti vatvā tameva adhāraṇaṃ pariyāyantarenapi pakāsento ‘‘caleyyā’’tiādimāha. Tattha caleyyāti paripphandeyya. Kampeyyāti pavedheyya. Nameyyāti ekapassena nameyya. Onameyyāti osīdeyya. Vinameyyāti vividhaṃ itocito ca nameyya. Vikireyyāti vātena thusamuṭṭhi viya vippakireyya. Vidhameyyāti vinasseyya. Viddhaṃseyyāti sabbaso viddhastā bhaveyya. Tathābhūtā ca katthaci na tiṭṭheyyāti āha ‘‘na ṭhānamupagaccheyyā’’ti.

    อิทานิ ตตฺถ นิทสฺสนํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘ยถา, มหาราชา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมุปาทิกาติ สมํ อุทฺธํ ปชฺชติ ปวตฺตตีติ สมุปาทิกา, อุทกสฺส อุปริ สมํ คามินีติ อโตฺถฯ วเณฺณนาติ สณฺฐาเนนฯ ปมาเณนาติ อาโรเหน ฯ กิสถูเลนาติ กิสถูลภาเวน, ปริณาเหนาติ อโตฺถฯ

    Idāni tattha nidassanaṃ dassento, ‘‘yathā, mahārājā’’tiādimāha. Tattha samupādikāti samaṃ uddhaṃ pajjati pavattatīti samupādikā, udakassa upari samaṃ gāminīti attho. Vaṇṇenāti saṇṭhānena. Pamāṇenāti ārohena . Kisathūlenāti kisathūlabhāvena, pariṇāhenāti attho.

    ฉาเทนฺตนฺติ โรเจนฺตํ รุจิํ อุปฺปาเทนฺตํฯ ตนฺทีกโตติ เตน โภชเนน ตนฺทีภูโตฯ อโนนมิตทณฺฑชาโตติ ยาวทตฺถํ โภชเนน โอนมิตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อโนนมิตทโณฺฑ วิย ชาโตฯ สกิํ ภุโตฺต วเมยฺยาติ เอกมฺปิ อาโลปํ อโชฺฌหริตฺวา วเมยฺยาติ อโตฺถฯ

    Chādentanti rocentaṃ ruciṃ uppādentaṃ. Tandīkatoti tena bhojanena tandībhūto. Anonamitadaṇḍajātoti yāvadatthaṃ bhojanena onamituṃ asakkuṇeyyatāya anonamitadaṇḍo viya jāto. Sakiṃ bhutto vameyyāti ekampi ālopaṃ ajjhoharitvā vameyyāti attho.

    อติธมฺมภาเรน ปถวี จลตีติ ธเมฺมน นาม ปถวี ติเฎฺฐยฺยฯ สา กิํ เตเนว จลติ วินสฺสตีติ อธิปฺปาเยน ปุจฺฉติฯ ปุน เถโร ‘‘รตนํ นาม โลเก กุฎุมฺพํ สนฺธาเรนฺตํ อภิมตญฺจ โลเกน อตฺตโน ครุสภาวตาย สกฎภงฺคสฺส การณํ อติภารภูตํ ทิฎฺฐํฯ เอวํธโมฺม จ หิตสุขวิเสเสหิ ตํสมงฺคินํ ธาเรโนฺต อภิมโต จ วิญฺญูนํ คมฺภีรปฺปเมยฺยภาเวน ครุสภาวตฺตา อติภารภูโต ปถวีจลนสฺส การณํ โหตี’’ติ ทเสฺสโนฺต, ‘‘อิธ, มหาราช, เทฺว สกฎา’’ติอาทิมาหฯ เอเตเนว ตถาคตสฺส มาตุกุจฺฉิโอกฺกมนาทิกาเล ปถวีกมฺปนการณํ สํวณฺณิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอกสกฎโต รตนนฺติ เอกสฺมา, เอกสฺส วา สกฎสฺส รตนํ, ตสฺมา สกฎโต คเหตฺวาติ อโตฺถฯ

    Atidhammabhārena pathavī calatīti dhammena nāma pathavī tiṭṭheyya. Sā kiṃ teneva calati vinassatīti adhippāyena pucchati. Puna thero ‘‘ratanaṃ nāma loke kuṭumbaṃ sandhārentaṃ abhimatañca lokena attano garusabhāvatāya sakaṭabhaṅgassa kāraṇaṃ atibhārabhūtaṃ diṭṭhaṃ. Evaṃdhammo ca hitasukhavisesehi taṃsamaṅginaṃ dhārento abhimato ca viññūnaṃ gambhīrappameyyabhāvena garusabhāvattā atibhārabhūto pathavīcalanassa kāraṇaṃ hotī’’ti dassento, ‘‘idha, mahārāja, dve sakaṭā’’tiādimāha. Eteneva tathāgatassa mātukucchiokkamanādikāle pathavīkampanakāraṇaṃ saṃvaṇṇitanti daṭṭhabbaṃ. Ekasakaṭato ratananti ekasmā, ekassa vā sakaṭassa ratanaṃ, tasmā sakaṭato gahetvāti attho.

    โอสาริตนฺติ อุจฺจาริตํ, วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อโคฺคติ สพฺพสเตฺตหิ อโคฺคฯ

    Osāritanti uccāritaṃ, vuttanti attho. Aggoti sabbasattehi aggo.

    สภาวปกตีติ สภาวภูตา อกิตฺติมา ปกติฯ การณมหนฺตตายาติ มหเนฺตหิ พุทฺธการกธเมฺมหิ ปารมิตาสงฺขาเตหิ การเณหิ พุทฺธคุณานํ นิพฺพตฺติโตติ วุตฺตํ โหติฯ ปถวิอาทีนิ มหนฺตานิ วตฺถูนิ, มหนฺตา จ สกฺกภาวาทโย อตฺตโน อตฺตโน วิสเย เอเกกา เอว, สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ มหโนฺต อตฺตโน วิสเย เอโกว, โก จ ตสฺส วิสโย? พุทฺธภูมิ, ยาวตกํ วา เญยฺยํฯ เอวํ ‘‘อากาโส วิย อนนฺตวิสโย ภควา เอโกว โหตี’’ติ วทโนฺต ปรจกฺกวาเฬสุ ทุติยสฺส พุทฺธสฺส อภาวํ ทเสฺสติฯ

    Sabhāvapakatīti sabhāvabhūtā akittimā pakati. Kāraṇamahantatāyāti mahantehi buddhakārakadhammehi pāramitāsaṅkhātehi kāraṇehi buddhaguṇānaṃ nibbattitoti vuttaṃ hoti. Pathaviādīni mahantāni vatthūni, mahantā ca sakkabhāvādayo attano attano visaye ekekā eva, sammāsambuddhopi mahanto attano visaye ekova, ko ca tassa visayo? Buddhabhūmi, yāvatakaṃ vā ñeyyaṃ. Evaṃ ‘‘ākāso viya anantavisayo bhagavā ekova hotī’’ti vadanto paracakkavāḷesu dutiyassa buddhassa abhāvaṃ dasseti.

    อิมินาว ปเทนาติ ‘‘เอกิสฺสา โลกธาตุยา’’ติ อิมินา เอว ปเทนฯ ทสจกฺกวาฬสหสฺสานิ คหิตานิ ชาติเขตฺตตฺตาฯ เอกจกฺกวาเฬเนวาติ อิมินา เอกจกฺกวาเฬเนวฯ ยถา – ‘‘อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ วุเตฺต อิมสฺมิมฺปิ จกฺกวาเฬ ชมฺพุทีเปเยว, ตตฺถปิ มชฺฌิมปเทเส เอวาติ ปริจฺฉินฺทิตุํ วฎฺฎติ; เอวํ ‘‘เอกิสฺสา โลกธาตุยา’’ติ ชาติเขเตฺต อธิเปฺปเตปิ อิมินาว จกฺกวาเฬน ปริจฺฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ

    Imināvapadenāti ‘‘ekissā lokadhātuyā’’ti iminā eva padena. Dasacakkavāḷasahassāni gahitāni jātikhettattā. Ekacakkavāḷenevāti iminā ekacakkavāḷeneva. Yathā – ‘‘imasmiṃyeva cakkavāḷe uppajjantī’’ti vutte imasmimpi cakkavāḷe jambudīpeyeva, tatthapi majjhimapadese evāti paricchindituṃ vaṭṭati; evaṃ ‘‘ekissā lokadhātuyā’’ti jātikhette adhippetepi imināva cakkavāḷena paricchindituṃ vaṭṭati.

    วิวาทูปเจฺฉทโตติ วิวาทูปเจฺฉทการณาฯ ทฺวีสุ อุปฺปเนฺนสุ โย วิวาโท ภเวยฺย, ตสฺส อนุปฺปาโทเยเวตฺถ วิวาทุปเจฺฉโทฯ เอกสฺมิํ ทีเปติอาทินา ทีปนฺตเรปิ เอกชฺฌํ น อุปฺปชฺชนฺติ, ปเคว เอกทีเปติ ทเสฺสติฯ โส ปริหาเยถาติ จกฺกวาฬสฺส ปเทเส เอว วตฺติตพฺพตฺตา ปริหาเยยฺยฯ

    Vivādūpacchedatoti vivādūpacchedakāraṇā. Dvīsu uppannesu yo vivādo bhaveyya, tassa anuppādoyevettha vivādupacchedo. Ekasmiṃ dīpetiādinā dīpantarepi ekajjhaṃ na uppajjanti, pageva ekadīpeti dasseti. So parihāyethāti cakkavāḷassa padese eva vattitabbattā parihāyeyya.

    ๑๓๐. มนุสฺสตฺตนฺติ มนุสฺสภาโว ตเสฺสว ปพฺพชฺชาทิคุณสมฺปตฺติอาทีนํ โยคฺคภาวโตฯ ลิงฺคสมฺปตฺตีติ ปุริสภาโวฯ เหตูติ มโนวจีปณิธานปุพฺพิกา เหตุสมฺปทาฯ สตฺถารทสฺสนนฺติ สตฺถุสมฺมุขีภาโวฯ ปพฺพชฺชาติ กมฺมกิริยวาทีสุ ตาปเสสุ, ภิกฺขูสุ วา ปพฺพชฺชาฯ คุณสมฺปตฺตีติ อภิญฺญาทิคุณสมฺปทาฯ อธิกาโรติ พุทฺธํ อุทฺทิสฺส อธิโก สกฺกาโรฯ ฉนฺทตาติ สมฺมาสโมฺพธิํ อุทฺทิสฺส สาติสโย กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉโนฺทฯ อฎฺฐธมฺมสโมธานาติ เอเตสํ อฎฺฐนฺนํ ธมฺมานํ สมาโยเคนฯ อภินีหาโรติ กายปณิธานํฯ สมิชฺฌตีติ นิปฺผชฺชตีติ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ปรมตฺถทีปนิยา จริยาปิฎกวณฺณนาย (จริยา. อฎฺฐ. ปกิณฺณกกถา) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ

    130.Manussattanti manussabhāvo tasseva pabbajjādiguṇasampattiādīnaṃ yoggabhāvato. Liṅgasampattīti purisabhāvo. Hetūti manovacīpaṇidhānapubbikā hetusampadā. Satthāradassananti satthusammukhībhāvo. Pabbajjāti kammakiriyavādīsu tāpasesu, bhikkhūsu vā pabbajjā. Guṇasampattīti abhiññādiguṇasampadā. Adhikāroti buddhaṃ uddissa adhiko sakkāro. Chandatāti sammāsambodhiṃ uddissa sātisayo kattukamyatākusalacchando. Aṭṭhadhammasamodhānāti etesaṃ aṭṭhannaṃ dhammānaṃ samāyogena. Abhinīhāroti kāyapaṇidhānaṃ. Samijjhatīti nipphajjatīti ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana paramatthadīpaniyā cariyāpiṭakavaṇṇanāya (cariyā. aṭṭha. pakiṇṇakakathā) vuttanayeneva veditabbo.

    สพฺพาการปริปูรเมวาติ ปริปุณฺณลกฺขณตาย สตฺตุสฺสทาทีหิ สพฺพากาเรหิ สมฺปนฺนเมวฯ น หิ อิตฺถิยา โกโสหิตวตฺถคุยฺหตา สมฺภวติ, ทุติยปกติ จ นาม ปฐมปกติโต นิหีนา เอวฯ เตเนวาห อนนฺตรวาเร ‘‘ยสฺมา’’ติอาทิฯ

    Sabbākāraparipūramevāti paripuṇṇalakkhaṇatāya sattussadādīhi sabbākārehi sampannameva. Na hi itthiyā kosohitavatthaguyhatā sambhavati, dutiyapakati ca nāma paṭhamapakatito nihīnā eva. Tenevāha anantaravāre ‘‘yasmā’’tiādi.

    อิธ ปุริสสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺตนโตติ อิมสฺมิํ มนุสฺสโลเก ปุริสภูตสฺส ตตฺถ พฺรหฺมโลเก พฺรหฺมตฺตภาเวน นิพฺพตฺตนโตฯ เตน อสติปิ ปุริสลิเงฺค ปุริสาการา พฺรหฺมาโน โหนฺตีติ ทเสฺสติฯ ตํเยว หิ ปุริสาการํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ยํ ปุริโส พฺรหฺมตฺตํ กเรยฺยา’’ติฯ เตเนวาห ‘‘สมาเนปี’’ติอาทิฯ ยทิ เอวํ อิตฺถิโย พฺรหฺมโลเก น อุปฺปชฺชนฺตีติ อาห ‘‘พฺรหฺมตฺต’’นฺติอาทิฯ

    Idha purisassa tattha nibbattanatoti imasmiṃ manussaloke purisabhūtassa tattha brahmaloke brahmattabhāvena nibbattanato. Tena asatipi purisaliṅge purisākārā brahmāno hontīti dasseti. Taṃyeva hi purisākāraṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘yaṃ puriso brahmattaṃ kareyyā’’ti. Tenevāha ‘‘samānepī’’tiādi. Yadi evaṃ itthiyo brahmaloke na uppajjantīti āha ‘‘brahmatta’’ntiādi.

    ๑๓๑. กายทุจฺจริตสฺสาติอาทิปาฬิยา กมฺมนิยาโม นาม กถิโตฯ สมญฺชนํ สมโงฺค, โส เอตสฺส อตฺถีติ สมงฺคี, สมนฺนาคโตฯ สมญฺชนสีโล วา สมงฺคีฯ ปุพฺพภาเค อายูหนสมงฺคิตา, สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาวเสน เจตนาสมงฺคิตาฯ เจตนาสนฺตติวเสน วา อายูหนสมงฺคิตา, ตํตํเจตนาขณวเสน เจตนาสมงฺคิตาฯ กตูปจิตสฺส อวิปกฺกวิปากสฺส กมฺมสฺส วเสน กมฺมสมงฺคิตา, กเมฺม ปน วิปจฺจิตุํ อารเทฺธ วิปากปฺปวตฺติวเสน วิปากสมงฺคิตาฯ กมฺมาทีนํ อุปฎฺฐานกาลวเสน อุปฎฺฐานสมงฺคิตาฯ กุสลากุสลกมฺมายูหนกฺขเณติ กุสลกมฺมสฺส จ อกุสลกมฺมสฺส จ สมีหนกฺขเณฯ ตถาติ อิมินา กุสลากุสลกมฺมปทํ อากฑฺฒติฯ ยถา กตํ กมฺมํ ผลทานสมตฺถํ โหติ, ตถา กตํ อุปจิตํฯ วิปาการหนฺติ ทุติยภวาทีสุ วิปจฺจนารหํฯ อุปฺปชฺชมานานํ อุปปตฺตินิมิตฺตํ อุปฎฺฐาตีติ โยชนาฯ จลตีติ ปริวตฺตติฯ เอเกน หิ กมฺมุนา ตเชฺช นิมิเตฺต อุปฎฺฐาปิเต ปจฺจยวิเสสวเสน ตโต อเญฺญน กมฺมุนา อญฺญสฺส นิมิตฺตสฺส อุปฎฺฐานํ ปริวตฺตนํฯ

    131.Kāyaduccaritassātiādipāḷiyā kammaniyāmo nāma kathito. Samañjanaṃ samaṅgo, so etassa atthīti samaṅgī, samannāgato. Samañjanasīlo vā samaṅgī. Pubbabhāge āyūhanasamaṅgitā, sanniṭṭhāpakacetanāvasena cetanāsamaṅgitā. Cetanāsantativasena vā āyūhanasamaṅgitā, taṃtaṃcetanākhaṇavasena cetanāsamaṅgitā. Katūpacitassa avipakkavipākassa kammassa vasena kammasamaṅgitā, kamme pana vipaccituṃ āraddhe vipākappavattivasena vipākasamaṅgitā. Kammādīnaṃ upaṭṭhānakālavasena upaṭṭhānasamaṅgitā. Kusalākusalakammāyūhanakkhaṇeti kusalakammassa ca akusalakammassa ca samīhanakkhaṇe. Tathāti iminā kusalākusalakammapadaṃ ākaḍḍhati. Yathā kataṃ kammaṃ phaladānasamatthaṃ hoti, tathā kataṃ upacitaṃ. Vipākārahanti dutiyabhavādīsu vipaccanārahaṃ. Uppajjamānānaṃ upapattinimittaṃ upaṭṭhātīti yojanā. Calatīti parivattati. Ekena hi kammunā tajje nimitte upaṭṭhāpite paccayavisesavasena tato aññena kammunā aññassa nimittassa upaṭṭhānaṃ parivattanaṃ.

    สุนขชีวิโกติ สุนเขหิ ชีวนสีโลฯ ตลสนฺถรณปูชนฺติ ภูมิตลสฺส ปุเปฺผหิ สนฺตรณปูชํฯ อายูหนเจตนากมฺมสมงฺคิตาวเสนาติ กายทุจฺจริตสฺส อปราปรํ อายูหเนน สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาย ตเสฺสว ปกปฺปเน กมฺมกฺขยกรญาเณน อเขปิตตฺตา ยถูปจิตกมฺมุนา จ สมงฺคิภาวสฺส วเสนฯ

    Sunakhajīvikoti sunakhehi jīvanasīlo. Talasantharaṇapūjanti bhūmitalassa pupphehi santaraṇapūjaṃ. Āyūhanacetanākammasamaṅgitāvasenāti kāyaduccaritassa aparāparaṃ āyūhanena sanniṭṭhāpakacetanāya tasseva pakappane kammakkhayakarañāṇena akhepitattā yathūpacitakammunā ca samaṅgibhāvassa vasena.

    ๑๓๒. เอวํ สสฺสิริกนฺติ วุตฺตปฺปกาเรน อเนกธาตุวิภชนาทินา นานานยวิจิตฺตตาย ปรมนิปุณคมฺภีรตาย จ อตฺถโต พฺยญฺชนโต จ สโสภํ กตฺวาฯ

    132.Evaṃ sassirikanti vuttappakārena anekadhātuvibhajanādinā nānānayavicittatāya paramanipuṇagambhīratāya ca atthato byañjanato ca sasobhaṃ katvā.

    นํ ธาเรหีติ เอตฺถ นฺติ นิปาตมตฺตํฯ ธาตุอาทิวเสน ปริวฎฺฎียนฺติ อตฺถา เอเตหีติ ปริวฎฺฎา, เทสนาเภทาฯ จตฺตาโร ปริวฎฺฎา เอตสฺส, เอตสฺมิํ วาติ จตุปริวโฎฺฎ, ธมฺมปริยาโยฯ ธโมฺม จ โส ปริยตฺติภาวโต ยถาวุเตฺตนเตฺถน อาทาโสติ ธมฺมาทาโสฯ อุปฎฺฐานเฎฺฐน ยถาธมฺมานํ อาทาโสติปิ ธมฺมาทาโสฯ ยถา หิ อาทาเสน สตฺตานํ มุเข มลโทสหรณํ, เอวํ อิมินาปิ สุเตฺตน โยคีนํ มุเข มลโทสหรณํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อิมินา สุเตฺตน กิเลเส มทฺทิตฺวา สมถาธิคเมน โยคิโน ชยปฺปตฺตา; ตสฺมา อมตปุรปฺปเวสเน อุโคฺฆสนมหาเภริตาย จ อมตทุนฺทุภิฯ อิธ วุตฺตนฺติ อิมสฺมิํ สุเตฺต วุตฺตํฯ อนุตฺตโร สงฺคามวิชโยติ อนุตฺตรภาวโต กิเลสสงฺคามวิชโย, ‘‘วิเชติ เอเตนา’’ติ กตฺวาฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Naṃ dhārehīti ettha nanti nipātamattaṃ. Dhātuādivasena parivaṭṭīyanti atthā etehīti parivaṭṭā, desanābhedā. Cattāro parivaṭṭā etassa, etasmiṃ vāti catuparivaṭṭo, dhammapariyāyo. Dhammo ca so pariyattibhāvato yathāvuttenatthena ādāsoti dhammādāso. Upaṭṭhānaṭṭhena yathādhammānaṃ ādāsotipi dhammādāso. Yathā hi ādāsena sattānaṃ mukhe maladosaharaṇaṃ, evaṃ imināpi suttena yogīnaṃ mukhe maladosaharaṇaṃ. Tasmāti yasmā iminā suttena kilese madditvā samathādhigamena yogino jayappattā; tasmā amatapurappavesane ugghosanamahābheritāya ca amatadundubhi. Idha vuttanti imasmiṃ sutte vuttaṃ. Anuttaro saṅgāmavijayoti anuttarabhāvato kilesasaṅgāmavijayo, ‘‘vijeti etenā’’ti katvā. Sesaṃ suviññeyyameva.

    พหุธาตุกสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Bahudhātukasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. พหุธาตุกสุตฺตํ • 5. Bahudhātukasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. พหุธาตุกสุตฺตวณฺณนา • 5. Bahudhātukasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact