Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๔. พากุลสุตฺตวณฺณนา
4. Bākulasuttavaṇṇanā
๒๐๙. เอวํ เม สุตนฺติ พากุลสุตฺตํฯ ตตฺถ พากุโลติ ยถา ทฺวาวีสติ ทฺวตฺติํสาติอาทิมฺหิ วตฺตเพฺพ พาวีสติ พาตฺติํสาติอาทีนิ วุจฺจนฺติ, เอวเมว ทฺวิกุโลติ วตฺตเพฺพ พากุโลติ วุตฺตํฯ ตสฺส หิ เถรสฺส เทฺว กุลานิ อเหสุํฯ โส กิร เทวโลโก จวิตฺวา โกสมฺพินคเร นาม มหาเสฎฺฐิกุเล นิพฺพโตฺต, ตเมนํ ปญฺจเม ทิวเส สีสํ นฺหาเปตฺวา คงฺคากีฬํ อกํสุฯ ธาติยา ทารกํ อุทเก นิมุชฺชนุมฺมุชฺชนวเสน กีฬาเปนฺติยา เอโก มโจฺฉ ทารกํ ทิสฺวา ‘‘ภโกฺข เม อย’’นฺติ มญฺญมาโน มุขํ วิวริตฺวา อุปคโตฯ ธาตี ทารกํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลาตาฯ มโจฺฉ ตํ คิลิฯ ปุญฺญวา สโตฺต ทุกฺขํ น ปาปุณิ, สยนคพฺภํ ปวิสิตฺวา นิปโนฺน วิย อโหสิฯ มโจฺฉ ทารกสฺส เตเชน ตตฺตกปลฺลํ คิลิตฺวา ทยฺหมาโน วิย เวเคน ติํสโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา พาราณสินครวาสิโน มจฺฉพนฺธสฺส ชาลํ ปาวิสิ, มหามจฺฉา นาม ชาลพทฺธา ปหริยมานา มรนฺติฯ อยํ ปน ทารกสฺส เตเชน ชาลโต นีหฎมโตฺตว มโตฯ มจฺฉพนฺธา จ มหนฺตํ มจฺฉํ ลภิตฺวา ผาเลตฺวา วิกฺกิณนฺติฯ ตํ ปน ทารกสฺส อานุภาเวน อผาเลตฺวา สกลเมว กาเชน หริตฺวา สหเสฺสน เทมาติ วทนฺตา นคเร วิจริํสุฯ โกจิ น คณฺหาติฯ
209.Evaṃme sutanti bākulasuttaṃ. Tattha bākuloti yathā dvāvīsati dvattiṃsātiādimhi vattabbe bāvīsati bāttiṃsātiādīni vuccanti, evameva dvikuloti vattabbe bākuloti vuttaṃ. Tassa hi therassa dve kulāni ahesuṃ. So kira devaloko cavitvā kosambinagare nāma mahāseṭṭhikule nibbatto, tamenaṃ pañcame divase sīsaṃ nhāpetvā gaṅgākīḷaṃ akaṃsu. Dhātiyā dārakaṃ udake nimujjanummujjanavasena kīḷāpentiyā eko maccho dārakaṃ disvā ‘‘bhakkho me aya’’nti maññamāno mukhaṃ vivaritvā upagato. Dhātī dārakaṃ chaḍḍetvā palātā. Maccho taṃ gili. Puññavā satto dukkhaṃ na pāpuṇi, sayanagabbhaṃ pavisitvā nipanno viya ahosi. Maccho dārakassa tejena tattakapallaṃ gilitvā dayhamāno viya vegena tiṃsayojanamaggaṃ gantvā bārāṇasinagaravāsino macchabandhassa jālaṃ pāvisi, mahāmacchā nāma jālabaddhā pahariyamānā maranti. Ayaṃ pana dārakassa tejena jālato nīhaṭamattova mato. Macchabandhā ca mahantaṃ macchaṃ labhitvā phāletvā vikkiṇanti. Taṃ pana dārakassa ānubhāvena aphāletvā sakalameva kājena haritvā sahassena demāti vadantā nagare vicariṃsu. Koci na gaṇhāti.
ตสฺมิํ ปน นคเร อปุตฺตกํ อสีติโกฎิวิภวํ เสฎฺฐิกุลํ อตฺถิ, ตสฺส ทฺวารมูลํ ปตฺวา ‘‘กิํ คเหตฺวา เทถา’’ติ วุตฺตา กหาปณนฺติ อาหํสุฯ เตหิ กหาปณํ ทตฺวา คหิโตฯ เสฎฺฐิภริยาปิ อเญฺญสุ ทิวเสสุ มเจฺฉ น เกลายติ, ตํ ทิวสํ ปน มจฺฉํ ผลเก ฐเปตฺวา สยเมว ผาเลสิฯ มจฺฉญฺจ นาม กุจฺฉิโต ผาเลนฺติ, สา ปน ปิฎฺฐิโต ผาเลนฺตี มจฺฉกุจฺฉิยํ สุวณฺณวณฺณํ ทารกํ ทิสฺวา – ‘‘มจฺฉกุจฺฉิยํ เม ปุโตฺต ลโทฺธ’’ติ นาทํ นทิตฺวา ทารกํ อาทาย สามิกสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ เสฎฺฐิ ตาวเทว เภริํ จราเปตฺวา ทารกํ อาทาย รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา – ‘‘มจฺฉกุจฺฉิยํ เม เทว ทารโก ลโทฺธ, กิํ กโรมี’’ติ อาหฯ ปุญฺญวา เอส, โย มจฺฉกุจฺฉิยํ อโรโค วสิ, โปเสหิ นนฺติฯ
Tasmiṃ pana nagare aputtakaṃ asītikoṭivibhavaṃ seṭṭhikulaṃ atthi, tassa dvāramūlaṃ patvā ‘‘kiṃ gahetvā dethā’’ti vuttā kahāpaṇanti āhaṃsu. Tehi kahāpaṇaṃ datvā gahito. Seṭṭhibhariyāpi aññesu divasesu macche na kelāyati, taṃ divasaṃ pana macchaṃ phalake ṭhapetvā sayameva phālesi. Macchañca nāma kucchito phālenti, sā pana piṭṭhito phālentī macchakucchiyaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ dārakaṃ disvā – ‘‘macchakucchiyaṃ me putto laddho’’ti nādaṃ naditvā dārakaṃ ādāya sāmikassa santikaṃ agamāsi. Seṭṭhi tāvadeva bheriṃ carāpetvā dārakaṃ ādāya rañño santikaṃ gantvā – ‘‘macchakucchiyaṃ me deva dārako laddho, kiṃ karomī’’ti āha. Puññavā esa, yo macchakucchiyaṃ arogo vasi, posehi nanti.
อโสฺสสิ โข อิตรํ กุลํ – ‘‘พาราณสิยํ กิร เอกํ เสฎฺฐิกุลํ มจฺฉกุจฺฉิยํ ทารกํ ลภตี’’ติ, เต ตตฺถ อคมํสุฯ อถสฺส มาตา ทารกํ อลงฺกริตฺวา กีฬาปิยมานํ ทิสฺวาว ‘‘มนาโป วตายํ ทารโก’’ติ คนฺตฺวา ปวติํ อาจิกฺขิฯ อิตรา มยฺหํ ปุโตฺตติอาทิมาหฯ กหํ เต ลโทฺธติ? มจฺฉกุจฺฉิยนฺติฯ โน ตุยฺหํ ปุโตฺต, มยฺหํ ปุโตฺตติฯ กหํ เต ลโทฺธติ? มยา ทสมาเส กุจฺฉิยา ธาริโต, อถ นํ นทิยา กีฬาปิยมานํ มโจฺฉ คิลีติฯ ตุยฺหํ ปุโตฺต อเญฺญน มเจฺฉน คิลิโต ภวิสฺสติ, อยํ ปน มยา มจฺฉกุจฺฉิยํ ลโทฺธติ, อุโภปิ ราชกุลํ อคมํสุฯ ราชา อาห – ‘‘อยํ ทส มาเส กุจฺฉิยา ธาริตตฺตา อมาตา กาตุํ น สกฺกา, มจฺฉํ คณฺหนฺตาปิ วกฺกยกนาทีนิ พหิ กตฺวา คณฺหนฺตา นาม นตฺถีติ มจฺฉกุจฺฉิยํ ลทฺธตฺตา อยมฺปิ อมาตา กาตุํ น สกฺกา, ทารโก อุภินฺนมฺปิ กุลานํ ทายาโท โหตุ, อุโภปิ นํ ชคฺคถา’’ติ อุโภปิ ชคฺคิํสุฯ
Assosi kho itaraṃ kulaṃ – ‘‘bārāṇasiyaṃ kira ekaṃ seṭṭhikulaṃ macchakucchiyaṃ dārakaṃ labhatī’’ti, te tattha agamaṃsu. Athassa mātā dārakaṃ alaṅkaritvā kīḷāpiyamānaṃ disvāva ‘‘manāpo vatāyaṃ dārako’’ti gantvā pavatiṃ ācikkhi. Itarā mayhaṃ puttotiādimāha. Kahaṃ te laddhoti? Macchakucchiyanti. No tuyhaṃ putto, mayhaṃ puttoti. Kahaṃ te laddhoti? Mayā dasamāse kucchiyā dhārito, atha naṃ nadiyā kīḷāpiyamānaṃ maccho gilīti. Tuyhaṃ putto aññena macchena gilito bhavissati, ayaṃ pana mayā macchakucchiyaṃ laddhoti, ubhopi rājakulaṃ agamaṃsu. Rājā āha – ‘‘ayaṃ dasa māse kucchiyā dhāritattā amātā kātuṃ na sakkā, macchaṃ gaṇhantāpi vakkayakanādīni bahi katvā gaṇhantā nāma natthīti macchakucchiyaṃ laddhattā ayampi amātā kātuṃ na sakkā, dārako ubhinnampi kulānaṃ dāyādo hotu, ubhopi naṃ jaggathā’’ti ubhopi jaggiṃsu.
วิญฺญุตํ ปตฺตสฺส ทฺวีสุปิ นคเรสุ ปาสาทํ กาเรตฺวา นาฎกานิ ปจฺจุปฎฺฐาเปสุํฯ เอเกกสฺมิํ นคเร จตฺตาโร จตฺตาโร มาเส วสติ, เอกสฺมิํ นคเร จตฺตาโร มาเส วุฎฺฐสฺส สงฺฆาฎนาวาย มณฺฑปํ กาเรตฺวา ตตฺถ นํ สทฺธิํ นาฎกาหิ อาโรเปนฺติฯ โส สมฺปตฺติํ อนุภวมาโน อิตรํ นครํ คจฺฉติฯ ตํนครวาสิโน นาฎกานิ อุปฑฺฒมคฺคํ อคมํสุฯ เต ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ตํ ปริวาเรตฺวา อตฺตโน ปาสาทํ นยนฺติฯ อิตรานิ นาฎกานิ นิวตฺติตฺวา อตฺตโน นครเมว คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ จตฺตาโร มาเส วสิตฺวา เตเนว นิยาเมน ปุน อิตรํ นครํ คจฺฉติฯ เอวมสฺส สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตสฺส อสีติ วสฺสานิ ปริปุณฺณานิฯ
Viññutaṃ pattassa dvīsupi nagaresu pāsādaṃ kāretvā nāṭakāni paccupaṭṭhāpesuṃ. Ekekasmiṃ nagare cattāro cattāro māse vasati, ekasmiṃ nagare cattāro māse vuṭṭhassa saṅghāṭanāvāya maṇḍapaṃ kāretvā tattha naṃ saddhiṃ nāṭakāhi āropenti. So sampattiṃ anubhavamāno itaraṃ nagaraṃ gacchati. Taṃnagaravāsino nāṭakāni upaḍḍhamaggaṃ agamaṃsu. Te paccuggantvā taṃ parivāretvā attano pāsādaṃ nayanti. Itarāni nāṭakāni nivattitvā attano nagarameva gacchanti. Tattha cattāro māse vasitvā teneva niyāmena puna itaraṃ nagaraṃ gacchati. Evamassa sampattiṃ anubhavantassa asīti vassāni paripuṇṇāni.
อถ ภควา จาริกํ จรมาโน พาราณสิํ ปโตฺตฯ โส ภควโต สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิโตฯ ปพฺพชิตฺวา สตฺตาหเมว ปุถุชฺชโน อโหสิ, อฎฺฐเม ปน โส สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณีติ เอวมสฺส เทฺว กุลานิ อเหสุํฯ ตสฺมา พากุโลติ สงฺขํ อคมาสีติฯ
Atha bhagavā cārikaṃ caramāno bārāṇasiṃ patto. So bhagavato santike dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajito. Pabbajitvā sattāhameva puthujjano ahosi, aṭṭhame pana so saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇīti evamassa dve kulāni ahesuṃ. Tasmā bākuloti saṅkhaṃ agamāsīti.
ปุราณคิหิสหาโยติ ปุเพฺพ คิหิกาเล สหาโยฯ อยมฺปิ ทีฆายุโกว เถรํ ปพฺพชิตํ ปสฺสิตุํ คจฺฉโนฺต อสีติเม วเสฺส คโตฯ เมถุโน ธโมฺมติ พาโล นคฺคสมณโก พาลปุจฺฉํ ปุจฺฉติ, น สาสนวจนํ, อิทานิ เถเรน ทินฺนนเย ฐิโต อิเมหิ ปน เตติ ปุจฺฉิฯ
Purāṇagihisahāyoti pubbe gihikāle sahāyo. Ayampi dīghāyukova theraṃ pabbajitaṃ passituṃ gacchanto asītime vasse gato. Methuno dhammoti bālo naggasamaṇako bālapucchaṃ pucchati, na sāsanavacanaṃ, idāni therena dinnanaye ṭhito imehi pana teti pucchi.
๒๑๐. ยํปายสฺมาติอาทีนิ ปทานิ สพฺพวาเรสุ ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ นิยเมตฺวา ฐปิตานิฯ ตตฺถ สญฺญา อุปฺปนฺนมตฺตาว, วิตโกฺก กมฺมปถเภทโกติ ฯ เถโร ปนาห – ‘‘กสฺมา วิสุํ กโรถ, อุภยเมฺปตํ กมฺมปถเภทกเมวา’’ติฯ
210.Yaṃpāyasmātiādīni padāni sabbavāresu dhammasaṅgāhakattherehi niyametvā ṭhapitāni. Tattha saññā uppannamattāva, vitakko kammapathabhedakoti . Thero panāha – ‘‘kasmā visuṃ karotha, ubhayampetaṃ kammapathabhedakamevā’’ti.
๒๑๑. คหปติจีวรนฺติ วสฺสาวาสิกํ จีวรํฯ สเตฺถนาติ ปิปฺผลเกนฯ สูจิยาติ สูจิํ คเหตฺวา สิพฺพิตภาวํ น สรามีติ อโตฺถฯ กถิเน จีวรนฺติ กถินจีวรํ, กถินจีวรมฺปิ หิ วสฺสาวาสิกคติกเมวฯ ตสฺมา ตตฺถ ‘‘สิพฺพิตา นาภิชานามี’’ติ อาหฯ
211.Gahapaticīvaranti vassāvāsikaṃ cīvaraṃ. Satthenāti pipphalakena. Sūciyāti sūciṃ gahetvā sibbitabhāvaṃ na sarāmīti attho. Kathine cīvaranti kathinacīvaraṃ, kathinacīvarampi hi vassāvāsikagatikameva. Tasmā tattha ‘‘sibbitā nābhijānāmī’’ti āha.
เอตฺตกํ ปนสฺส กาลํ คหปติจีวรํ อสาทิยนฺตสฺส ฉินฺทนสิพฺพนาทีนิ อกโรนฺตสฺส กุโต จีวรํ อุปฺปชฺชตีติฯ ทฺวีหิ นคเรหิฯ เถโร หิ มหายสสฺสี, ตสฺส ปุตฺตธีตโร นตฺตปนตฺตกา สุขุมสาฎเกหิ จีวรานิ กาเรตฺวา รชาเปตฺวา สมุเคฺค ปกฺขิปิตฺวา ปหิณนฺติฯ เถรสฺส นฺหานกาเล นฺหานโกฎฺฐเก ฐเปนฺติฯ เถโร ตานิ นิวาเสติ เจว ปารุปติ จ, ปุราณจีวรานิ สมฺปตฺตปพฺพชิตานํ เทติฯ เถโร ตานิ นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ นวกมฺมํ น กโรติ, กิญฺจิ อายูหนกมฺมํ นตฺถิฯ ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา อเปฺปตฺวา นิสีทติฯ จตูสุ มาเสสุ ปเตฺตสุ โลมกิลิฎฺฐานิ โหนฺติ, อถสฺส ปุน เตเนว นิยาเมน ปหิณิตฺวา เทนฺติฯ อฑฺฒมาเส อฑฺฒมาเส ปริวตฺตตีติปิ วทนฺติเยวฯ
Ettakaṃ panassa kālaṃ gahapaticīvaraṃ asādiyantassa chindanasibbanādīni akarontassa kuto cīvaraṃ uppajjatīti. Dvīhi nagarehi. Thero hi mahāyasassī, tassa puttadhītaro nattapanattakā sukhumasāṭakehi cīvarāni kāretvā rajāpetvā samugge pakkhipitvā pahiṇanti. Therassa nhānakāle nhānakoṭṭhake ṭhapenti. Thero tāni nivāseti ceva pārupati ca, purāṇacīvarāni sampattapabbajitānaṃ deti. Thero tāni nivāsetvā ca pārupitvā ca navakammaṃ na karoti, kiñci āyūhanakammaṃ natthi. Phalasamāpattiṃ appetvā appetvā nisīdati. Catūsu māsesu pattesu lomakiliṭṭhāni honti, athassa puna teneva niyāmena pahiṇitvā denti. Aḍḍhamāse aḍḍhamāse parivattatītipi vadantiyeva.
อนจฺฉริยเญฺจตํ เถรสฺส มหาปุญฺญสฺส มหาภิญฺญสฺส สตสหสฺสกเปฺป ปูริตปารมิสฺส, อโสกธมฺมรโญฺญ กุลูปโก นิโคฺรธเตฺถโร ทิวสสฺส นิกฺขตฺตุํ จีวรํ ปริวเตฺตสิฯ ตสฺส หิ ติจีวรํ หตฺถิกฺขเนฺธ ฐเปตฺวา ปญฺจหิ จ คนฺธสมุคฺคสเตหิ ปญฺจหิ จ มาลาสมุคฺคสเตหิ สทฺธิํ ปาโตว อาหริยิตฺถ, ตถา ทิวา เจว สายญฺจฯ ราชา กิร ทิวสสฺส นิกฺขตฺตุํ สาฎเก ปริวเตฺตโนฺต ‘‘เถรสฺส จีวรํ นีต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม นีต’’นฺติ สุตฺวาว ปริวเตฺตสิฯ เถโรปิ น ภณฺฑิกํ พนฺธิตฺวา ฐเปสิ, สมฺปตฺตสพฺรหฺมจารีนํ อทาสิฯ ตทา กิร ชมฺพุทีเป ภิกฺขุสงฺฆสฺส เยภุเยฺยน นิโคฺรธเสฺสว สนฺตกํ จีวรํ อโหสิฯ
Anacchariyañcetaṃ therassa mahāpuññassa mahābhiññassa satasahassakappe pūritapāramissa, asokadhammarañño kulūpako nigrodhatthero divasassa nikkhattuṃ cīvaraṃ parivattesi. Tassa hi ticīvaraṃ hatthikkhandhe ṭhapetvā pañcahi ca gandhasamuggasatehi pañcahi ca mālāsamuggasatehi saddhiṃ pātova āhariyittha, tathā divā ceva sāyañca. Rājā kira divasassa nikkhattuṃ sāṭake parivattento ‘‘therassa cīvaraṃ nīta’’nti pucchitvā ‘‘āma nīta’’nti sutvāva parivattesi. Theropi na bhaṇḍikaṃ bandhitvā ṭhapesi, sampattasabrahmacārīnaṃ adāsi. Tadā kira jambudīpe bhikkhusaṅghassa yebhuyyena nigrodhasseva santakaṃ cīvaraṃ ahosi.
อโห วต มํ โกจิ นิมเนฺตยฺยาติ กิํ ปน จิตฺตสฺส อนุปฺปาทนํ ภาริยํ, อุปฺปนฺนสฺส ปหานนฺติฯ จิตฺตํ นาม ลหุกปริวตฺตํ, ตสฺมา อนุปฺปาทนํ ภาริยํ , อุปฺปนฺนสฺส ปหานมฺปิ ภาริยเมว ฯ อนฺตรฆเรติ มหาสกุลุทายิสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๒๓๗) อินฺทขีลโต ปฎฺฐาย อนฺตรฆรํ นาม อิธ นิโมฺพทกปตนฎฺฐานํ อธิเปฺปตํฯ กุโต ปนสฺส ภิกฺขา อุปฺปชฺชิตฺถาติฯ เถโร ทฺวีสุ นคเรสุ อภิญฺญาโต, เคหทฺวารํ อาคตเสฺสวสฺส ปตฺตํ คเหตฺวา นานารสโภชนสฺส ปูเรตฺวา เทนฺติฯ โส ลทฺธฎฺฐานโต นิวตฺตติ, ภตฺตกิจฺจกรณฎฺฐานํ ปนสฺส นิพทฺธเมว อโหสิฯ อนุพฺยญฺชนโสติ เถเรน กิร รูเป นิมิตฺตํ คเหตฺวา มาตุคาโม น โอโลกิตปุโพฺพฯ มาตุคามสฺส ธมฺมนฺติ มาตุคามสฺส ฉปฺปญฺจวาจาหิ ธมฺมํ เทเสตุํ วฎฺฎติ, ปญฺหํ ปุเฎฺฐน คาถาสหสฺสมฺปิ วตฺตุํ วฎฺฎติเยวฯ เถโร ปน กปฺปิยเมว น อกาสิฯ เยภุเยฺยน หิ กุลูปกเถรานเมตํ กมฺมํ โหติฯ ภิกฺขุนุปสฺสยนฺติ ภิกฺขุนิอุปสฺสยํฯ ตํ ปน คิลานปุจฺฉเกน คนฺตุํ วฎฺฎติ, เถโร ปน กปฺปิยเมว น อกาสิฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ จุเณฺณนาติ โกสมฺพจุณฺณาทินาฯ คตฺตปริกเมฺมติ สรีรสมฺพาหนกเมฺมฯ วิจาริตาติ ปโยชยิตาฯ คทฺทูหนมตฺตนฺติ คาวิํ ถเน คเหตฺวา เอกํ ขีรพินฺทุํ ทูหนกาลมตฺตมฺปิฯ
Aho vata maṃ koci nimanteyyāti kiṃ pana cittassa anuppādanaṃ bhāriyaṃ, uppannassa pahānanti. Cittaṃ nāma lahukaparivattaṃ, tasmā anuppādanaṃ bhāriyaṃ , uppannassa pahānampi bhāriyameva . Antaraghareti mahāsakuludāyisutte (ma. ni. 2.237) indakhīlato paṭṭhāya antaragharaṃ nāma idha nimbodakapatanaṭṭhānaṃ adhippetaṃ. Kuto panassa bhikkhā uppajjitthāti. Thero dvīsu nagaresu abhiññāto, gehadvāraṃ āgatassevassa pattaṃ gahetvā nānārasabhojanassa pūretvā denti. So laddhaṭṭhānato nivattati, bhattakiccakaraṇaṭṭhānaṃ panassa nibaddhameva ahosi. Anubyañjanasoti therena kira rūpe nimittaṃ gahetvā mātugāmo na olokitapubbo. Mātugāmassa dhammanti mātugāmassa chappañcavācāhi dhammaṃ desetuṃ vaṭṭati, pañhaṃ puṭṭhena gāthāsahassampi vattuṃ vaṭṭatiyeva. Thero pana kappiyameva na akāsi. Yebhuyyena hi kulūpakatherānametaṃ kammaṃ hoti. Bhikkhunupassayanti bhikkhuniupassayaṃ. Taṃ pana gilānapucchakena gantuṃ vaṭṭati, thero pana kappiyameva na akāsi. Esa nayo sabbattha. Cuṇṇenāti kosambacuṇṇādinā. Gattaparikammeti sarīrasambāhanakamme. Vicāritāti payojayitā. Gaddūhanamattanti gāviṃ thane gahetvā ekaṃ khīrabinduṃ dūhanakālamattampi.
เกน ปน การเณน เถโร นิราพาโธ อโหสิฯ ปทุมุตฺตเร กิร ภควติ สตสหสฺสภิกฺขุปริวาเร จาริกํ จรมาเน หิมวติ วิสรุกฺขา ปุปฺผิํสุฯ ภิกฺขุสตสหสฺสานมฺปิ ติณปุปฺผกโรโค อุปฺปชฺชติฯ เถโร ตสฺมิํ สมเย อิทฺธิมา ตาปโส โหติ, โส อากาเสน คจฺฉโนฺต ภิกฺขุสงฺฆํ ทิสฺวา โอตริตฺวา โรคํ ปุจฺฉิตฺวา หิมวนฺตโต โอสธํ อาหริตฺวา อทาสิฯ อุปสิงฺฆนมเตฺตเนว โรโค วูปสมิฯ กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเลปิ ปฐมวปฺปทิวเส วปฺปํ ฐเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปริโภคํ อคฺคิสาลเญฺจว วจฺจกุฎิญฺจ กาเรตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส เภสชฺชวตฺตํ นิพนฺธิ, อิมินา กเมฺมน นิราพาโธ อโหสิฯ อุกฺกฎฺฐเนสชฺชิโก ปเนส อุกฺกฎฺฐารญฺญโก จ ตสฺมา ‘‘นาภิชานามิ อปเสฺสนกํ อปสฺสยิตา’’ติอาทิมาหฯ
Kena pana kāraṇena thero nirābādho ahosi. Padumuttare kira bhagavati satasahassabhikkhuparivāre cārikaṃ caramāne himavati visarukkhā pupphiṃsu. Bhikkhusatasahassānampi tiṇapupphakarogo uppajjati. Thero tasmiṃ samaye iddhimā tāpaso hoti, so ākāsena gacchanto bhikkhusaṅghaṃ disvā otaritvā rogaṃ pucchitvā himavantato osadhaṃ āharitvā adāsi. Upasiṅghanamatteneva rogo vūpasami. Kassapasammāsambuddhakālepi paṭhamavappadivase vappaṃ ṭhapetvā bhikkhusaṅghassa paribhogaṃ aggisālañceva vaccakuṭiñca kāretvā bhikkhusaṅghassa bhesajjavattaṃ nibandhi, iminā kammena nirābādho ahosi. Ukkaṭṭhanesajjiko panesa ukkaṭṭhāraññako ca tasmā ‘‘nābhijānāmi apassenakaṃ apassayitā’’tiādimāha.
สรโณติ สกิเลโสฯ อญฺญา อุทปาทีติ อนุปสมฺปนฺนสฺส อญฺญํ พฺยากาตุํ น วฎฺฎติฯ เถโร กสฺมา พฺยากาสิ? น เถโร อหํ อรหาติ อาห, อญฺญา อุทปาทีติ ปนาหฯ อปิจ เถโร อรหาติ ปากโฎ, ตสฺมา เอวมาหฯ
Saraṇoti sakileso. Aññā udapādīti anupasampannassa aññaṃ byākātuṃ na vaṭṭati. Thero kasmā byākāsi? Na thero ahaṃ arahāti āha, aññā udapādīti panāha. Apica thero arahāti pākaṭo, tasmā evamāha.
๒๑๒. ปพฺพชฺชนฺติ เถโร สยํ เนว ปพฺพาเชสิ, น อุปสมฺปาเทสิ อเญฺญหิ ปน ภิกฺขูหิ เอวํ การาเปสิฯ อวาปุรณํ อาทายาติ กุญฺจิกํ คเหตฺวาฯ
212.Pabbajjanti thero sayaṃ neva pabbājesi, na upasampādesi aññehi pana bhikkhūhi evaṃ kārāpesi. Avāpuraṇaṃ ādāyāti kuñcikaṃ gahetvā.
นิสินฺนโกว ปรินิพฺพายีติ อหํ ธรมาโนปิ น อญฺญสฺส ภิกฺขุสฺส ภาโร อโหสิํ, ปรินิพฺพุตสฺสาปิ เม สรีรํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปลิโพโธ มา อโหสีติ เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายิฯ สรีรโต ชาลา อุฎฺฐหิ, ฉวิมํสโลหิตํ สปฺปิ วิย ฌายมานํ ปริกฺขยํ คตํ, สุมนมกุลสทิสา ธาตุโยว อวเสสิํสุฯ เสสํ สพฺพตฺถ ปากฎเมวฯ อิทํ ปน สุตฺตํ ทุติยสงฺคเห สงฺคีตนฺติฯ
Nisinnakovaparinibbāyīti ahaṃ dharamānopi na aññassa bhikkhussa bhāro ahosiṃ, parinibbutassāpi me sarīraṃ bhikkhusaṅghassa palibodho mā ahosīti tejodhātuṃ samāpajjitvā parinibbāyi. Sarīrato jālā uṭṭhahi, chavimaṃsalohitaṃ sappi viya jhāyamānaṃ parikkhayaṃ gataṃ, sumanamakulasadisā dhātuyova avasesiṃsu. Sesaṃ sabbattha pākaṭameva. Idaṃ pana suttaṃ dutiyasaṅgahe saṅgītanti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
พากุลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bākulasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. พากุลสุตฺตํ • 4. Bākulasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๔. พากุลสุตฺตวณฺณนา • 4. Bākulasuttavaṇṇanā