Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๓. พนฺธุรเตฺถรคาถาวณฺณนา
3. Bandhurattheragāthāvaṇṇanā
นาหํ เอเตน อตฺถิโกติ อายสฺมโต พนฺธุรเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร สิทฺธตฺถสฺส ภควโต กาเล อญฺญตรสฺส รโญฺญ อเนฺตปุเร โคปโก หุตฺวา เอกทิวสํ ภควนฺตํ สปริสํ ราชงฺคเณน คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต กณเวรปุปฺผานิ คเหตฺวา สสงฺฆํ โลกนายกํ ปูเชสิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา อปราปรํ สุคตีสุเยว สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สีลวตีนคเร เสฎฺฐิปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, พนฺธุโรติสฺส นามํ อโหสิฯ โส วิญฺญุตํ ปโตฺต เกนจิเทว กรณีเยน สาวตฺถิยํ คโต อุปาสเกหิ สทฺธิํ วิหารํ คโต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา ญาณสฺส ปริปากตฺตา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๑๗.๗-๑๒) –
Nāhaṃ etena atthikoti āyasmato bandhurattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro siddhatthassa bhagavato kāle aññatarassa rañño antepure gopako hutvā ekadivasaṃ bhagavantaṃ saparisaṃ rājaṅgaṇena gacchantaṃ disvā pasannacitto kaṇaverapupphāni gahetvā sasaṅghaṃ lokanāyakaṃ pūjesi. So tena puññakammena devaloke nibbattitvā aparāparaṃ sugatīsuyeva saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sīlavatīnagare seṭṭhiputto hutvā nibbatti, bandhurotissa nāmaṃ ahosi. So viññutaṃ patto kenacideva karaṇīyena sāvatthiyaṃ gato upāsakehi saddhiṃ vihāraṃ gato satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā ñāṇassa paripākattā vipassanaṃ paṭṭhapetvā nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.17.7-12) –
‘‘สิทฺธโตฺถ นาม ภควา, โลกเชโฎฺฐ นราสโภ;
‘‘Siddhattho nāma bhagavā, lokajeṭṭho narāsabho;
ปุรกฺขโต สาวเกหิ, นครํ ปฎิปชฺชถฯ
Purakkhato sāvakehi, nagaraṃ paṭipajjatha.
‘‘รโญฺญ อเนฺตปุเร อาสิํ, โคปโก อภิสมฺมโต;
‘‘Rañño antepure āsiṃ, gopako abhisammato;
ปาสาเท อุปวิโฎฺฐหํ, อทฺทสํ โลกนายกํฯ
Pāsāde upaviṭṭhohaṃ, addasaṃ lokanāyakaṃ.
‘‘กณเวรํ คเหตฺวาน, ภิกฺขุสเงฺฆ สโมกิริํ;
‘‘Kaṇaveraṃ gahetvāna, bhikkhusaṅghe samokiriṃ;
พุทฺธสฺส วิสุํ กตฺวาน, ตโต ภิโยฺย สโมกิริํฯ
Buddhassa visuṃ katvāna, tato bhiyyo samokiriṃ.
‘‘จตุนฺนวุติโต กเปฺป, ยํ ปุปฺผมภิปูชยิํ;
‘‘Catunnavutito kappe, yaṃ pupphamabhipūjayiṃ;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, พุทฺธปูชายิทํ ผลํฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, buddhapūjāyidaṃ phalaṃ.
‘‘สตฺตาสีติมฺหิโต กเปฺป, จตุราสุํ มหิทฺธิกา;
‘‘Sattāsītimhito kappe, caturāsuṃ mahiddhikā;
สตฺตรตนสมฺปนฺนา, จกฺกวตฺตี มหพฺพลาฯ
Sattaratanasampannā, cakkavattī mahabbalā.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
อรหตฺตํ ปน ปตฺวา กตญฺญุภาเว ฐตฺวา อตฺตโน อุปการสฺส รโญฺญ ปจฺจุปการํ กาตุํ สีลวตีนครํ คนฺตฺวา รโญฺญ ธมฺมํ เทเสโนฺต สจฺจานิ ปกาเสสิฯ ราชา สจฺจปริโยสาเน โสตาปโนฺน หุตฺวา อตฺตโน นคเร สุทสฺสนํ นาม มหนฺตํ วิหารํ กาเรตฺวา เถรสฺส นิยฺยาเตสิฯ มหาลาภสกฺกาโร อโหสิฯ เถโร วิหารํ สพฺพญฺจ ลาภสกฺการํ สงฺฆสฺส นิยฺยาเตตฺวา สยํ ปุริมนิยาเมเนว ปิณฺฑาย จริตฺวา ยาเปโนฺต กติปาหํ ตตฺถ วสิตฺวา สาวตฺถิํ คนฺตุกาโม อโหสิฯ ภิกฺขู, ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห อิเธว วสถ, สเจ ปจฺจเยหิ เวกลฺลํ, มยํ ตํ ปริปูเรสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ เถโร, ‘‘น มยฺหํ, อาวุโส, อุฬาเรหิ ปจฺจเยหิ อโตฺถ อตฺถิ, อิตรีตเรหิ ปจฺจเยหิ ยาเปมิ, ธมฺมรเสเนวมฺหิ ติโตฺต’’ติ ทเสฺสโนฺต –
Arahattaṃ pana patvā kataññubhāve ṭhatvā attano upakārassa rañño paccupakāraṃ kātuṃ sīlavatīnagaraṃ gantvā rañño dhammaṃ desento saccāni pakāsesi. Rājā saccapariyosāne sotāpanno hutvā attano nagare sudassanaṃ nāma mahantaṃ vihāraṃ kāretvā therassa niyyātesi. Mahālābhasakkāro ahosi. Thero vihāraṃ sabbañca lābhasakkāraṃ saṅghassa niyyātetvā sayaṃ purimaniyāmeneva piṇḍāya caritvā yāpento katipāhaṃ tattha vasitvā sāvatthiṃ gantukāmo ahosi. Bhikkhū, ‘‘bhante, tumhe idheva vasatha, sace paccayehi vekallaṃ, mayaṃ taṃ paripūressāmā’’ti āhaṃsu. Thero, ‘‘na mayhaṃ, āvuso, uḷārehi paccayehi attho atthi, itarītarehi paccayehi yāpemi, dhammarasenevamhi titto’’ti dassento –
๑๐๓.
103.
‘‘นาหํ เอเตน อตฺถิโก, สุขิโต ธมฺมรเสน ตปฺปิโต;
‘‘Nāhaṃ etena atthiko, sukhito dhammarasena tappito;
ปิตฺวา รสคฺคมุตฺตมํ, น จ กาหามิ วิเสน สนฺถว’’นฺติฯ –
Pitvā rasaggamuttamaṃ, na ca kāhāmi visena santhava’’nti. –
คาถํ อภาสิฯ
Gāthaṃ abhāsi.
ตตฺถ นาหํ เอเตน อตฺถิโกติ เยน มํ ตุเมฺห ตเปฺปตุกามา ‘‘ปริปูเรสฺสามา’’ติ วทถ, เอเตน อามิสลาเภน ปจฺจยามิสรเสน นาหํ อตฺถิโก, มยฺหํ เอเตน อโตฺถ นตฺถิ, สนฺตุฎฺฐิ ปรมํ สุขนฺติ อิตรีตเรเหว ปจฺจเยหิ ยาเปมีติ อโตฺถฯ อิทานิ เตน อนตฺถิกภาเว ปธานการณํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘สุขิโต ธมฺมรเสน ตปฺปิโต’’ติฯ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธมฺมรเสน เจว นววิธโลกุตฺตรธมฺมรเสน จ ตปฺปิโต ปีณิโต สุขิโต อุตฺตเมน สุเขน สุหิโตติ อโตฺถฯ ปิตฺวา รสคฺคมุตฺตมนฺติ สพฺพรเสสุ อคฺคํ เสฎฺฐํ ตโตเยว อุตฺตมํ ยถาวุตฺตํ ธมฺมรสํ ปิวิตฺวา ฐิโต, เตนาห – ‘‘สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาตี’’ติ (ธ. ป. ๓๕๔)ฯ น จ กาหามิ วิเสน สนฺถวนฺติ เอวรูปํ รสุตฺตมํ ธมฺมรสํ ปิวิตฺวา ฐิโต วิเสน วิสสทิเสน วิสรเสน สนฺถวํ สํสคฺคํ น กริสฺสามิ, ตถากรณสฺส การณํ นตฺถีติ อโตฺถฯ
Tattha nāhaṃ etena atthikoti yena maṃ tumhe tappetukāmā ‘‘paripūressāmā’’ti vadatha, etena āmisalābhena paccayāmisarasena nāhaṃ atthiko, mayhaṃ etena attho natthi, santuṭṭhi paramaṃ sukhanti itarītareheva paccayehi yāpemīti attho. Idāni tena anatthikabhāve padhānakāraṇaṃ dassento āha ‘‘sukhito dhammarasena tappito’’ti. Sattatiṃsabodhipakkhiyadhammarasena ceva navavidhalokuttaradhammarasena ca tappito pīṇito sukhito uttamena sukhena suhitoti attho. Pitvā rasaggamuttamanti sabbarasesu aggaṃ seṭṭhaṃ tatoyeva uttamaṃ yathāvuttaṃ dhammarasaṃ pivitvā ṭhito, tenāha – ‘‘sabbarasaṃ dhammaraso jinātī’’ti (dha. pa. 354). Na ca kāhāmi visena santhavanti evarūpaṃ rasuttamaṃ dhammarasaṃ pivitvā ṭhito visena visasadisena visarasena santhavaṃ saṃsaggaṃ na karissāmi, tathākaraṇassa kāraṇaṃ natthīti attho.
พนฺธุรเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bandhurattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๓. พนฺธุรเตฺถรคาถา • 3. Bandhurattheragāthā