Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๓๙] ๙. พาเวรุชาตกวณฺณนา
[339] 9. Bāverujātakavaṇṇanā
อทสฺสเนน โมรสฺสาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต หตลาภสกฺกาเร ติตฺถิเย อารพฺภ กเถสิฯ ติตฺถิยา หิ อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ลาภิโน อเหสุํ, อุปฺปเนฺน ปน พุเทฺธ หตลาภสกฺการา สูริยุคฺคมเน ขโชฺชปนกา วิย ชาตาฯ เตสํ ตํ ปวตฺติํ อารพฺภ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ยาว คุณวนฺตา น อุปฺปชฺชนฺติ, ตาว นิคฺคุณา ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตา อเหสุํ, คุณวเนฺตสุ ปน อุปฺปเนฺนสุ นิคฺคุณา หตลาภสกฺการา ชาตา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Adassanena morassāti idaṃ satthā jetavane viharanto hatalābhasakkāre titthiye ārabbha kathesi. Titthiyā hi anuppanne buddhe lābhino ahesuṃ, uppanne pana buddhe hatalābhasakkārā sūriyuggamane khajjopanakā viya jātā. Tesaṃ taṃ pavattiṃ ārabbha bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi yāva guṇavantā na uppajjanti, tāva nigguṇā lābhaggayasaggappattā ahesuṃ, guṇavantesu pana uppannesu nigguṇā hatalābhasakkārā jātā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต โมรโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา วุฑฺฒิมนฺวาย โสภคฺคปฺปโตฺต อรเญฺญ วิจริฯ ตทา เอกเจฺจ วาณิชา ทิสากากํ คเหตฺวา นาวาย พาเวรุรฎฺฐํ อคมํสุฯ ตสฺมิํ กิร กาเล พาเวรุรเฎฺฐ สกุณา นาม นตฺถิฯ อาคตาคตา รฎฺฐวาสิโน ตํ ปญฺชเร นิสินฺนํ ทิสฺวา ‘‘ปสฺสถิมสฺส ฉวิวณฺณํ คลปริโยสานํ มุขตุณฺฑกํ มณิคุฬสทิสานิ อกฺขีนี’’ติ กากเมว ปสํสิตฺวา เต วาณิชเก อาหํสุ ‘‘อิมํ, อยฺยา, สกุณํ อมฺหากํ เทถ, อมฺหากํ อิมินา อโตฺถ, ตุเมฺห อตฺตโน รเฎฺฐ อญฺญํ ลภิสฺสถา’’ติฯ ‘‘เตน หิ มูเลน คณฺหถา’’ติฯ ‘‘กหาปเณน โน เทถา’’ติฯ ‘‘น เทมา’’ติ ฯ อนุปุเพฺพน วฑฺฒิตฺวา ‘‘สเตน เทถา’’ติ วุเตฺต ‘‘อมฺหากํ เอส พหูปกาโร, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ เมตฺติ โหตู’’ติ กหาปณสตํ คเหตฺวา อทํสุฯ เต ตํ เนตฺวา สุวณฺณปญฺชเร ปกฺขิปิตฺวา นานปฺปกาเรน มจฺฉมํเสน เจว ผลาผเลน จ ปฎิชคฺคิํสุฯ อเญฺญสํ สกุณานํ อวิชฺชมานฎฺฐาเน ทสหิ อสทฺธเมฺมหิ สมนฺนาคโต กาโก ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต อโหสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto morayoniyaṃ nibbattitvā vuḍḍhimanvāya sobhaggappatto araññe vicari. Tadā ekacce vāṇijā disākākaṃ gahetvā nāvāya bāveruraṭṭhaṃ agamaṃsu. Tasmiṃ kira kāle bāveruraṭṭhe sakuṇā nāma natthi. Āgatāgatā raṭṭhavāsino taṃ pañjare nisinnaṃ disvā ‘‘passathimassa chavivaṇṇaṃ galapariyosānaṃ mukhatuṇḍakaṃ maṇiguḷasadisāni akkhīnī’’ti kākameva pasaṃsitvā te vāṇijake āhaṃsu ‘‘imaṃ, ayyā, sakuṇaṃ amhākaṃ detha, amhākaṃ iminā attho, tumhe attano raṭṭhe aññaṃ labhissathā’’ti. ‘‘Tena hi mūlena gaṇhathā’’ti. ‘‘Kahāpaṇena no dethā’’ti. ‘‘Na demā’’ti . Anupubbena vaḍḍhitvā ‘‘satena dethā’’ti vutte ‘‘amhākaṃ esa bahūpakāro, tumhehi saddhiṃ metti hotū’’ti kahāpaṇasataṃ gahetvā adaṃsu. Te taṃ netvā suvaṇṇapañjare pakkhipitvā nānappakārena macchamaṃsena ceva phalāphalena ca paṭijaggiṃsu. Aññesaṃ sakuṇānaṃ avijjamānaṭṭhāne dasahi asaddhammehi samannāgato kāko lābhaggayasaggappatto ahosi.
ปุนวาเร เต วาณิชา เอกํ โมรราชานํ คเหตฺวา ยถา อจฺฉรสเทฺทน วสฺสติ, ปาณิปฺปหรณสเทฺทน นจฺจติ, เอวํ สิกฺขาเปตฺวา พาเวรุรฎฺฐํ อคมํสุฯ โส มหาชเน สนฺนิปติเต นาวาย ธุเร ฐตฺวา ปเกฺข วิธุนิตฺวา มธุรสฺสรํ นิจฺฉาเรตฺวา นจฺจิฯ มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา โสมนสฺสชาตา ‘‘เอตํ, อยฺยา, โสภคฺคปฺปตฺตํ สุสิกฺขิตํ สกุณราชานํ อมฺหากํ เทถา’’ติ อาหํสุฯ อเมฺหหิ ปฐมํ กาโก อานีโต, ตํ คณฺหิตฺถ, อิทานิ เอกํ โมรราชานํ อานยิมฺหา, เอตมฺปิ ยาจถ, ตุมฺหากํ รเฎฺฐ สกุณํ นาม คเหตฺวา อาคนฺตุํ น สกฺกาติฯ ‘‘โหตุ, อยฺยา, อตฺตโน รเฎฺฐ อญฺญํ ลภิสฺสถ, อิมํ โน เทถา’’ติ มูลํ วเฑฺฒตฺวา สหเสฺสน คณฺหิํสุฯ อถ นํ สตฺตรตนวิจิเตฺต ปญฺชเร ฐเปตฺวา มจฺฉมํสผลาผเลหิ เจว มธุลาชสกฺกรปานกาทีหิ จ ปฎิชคฺคิํสุ, มยูรราชา ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต ชาโต, ตสฺสาคตกาลโต ปฎฺฐาย กากสฺส ลาภสกฺกาโร ปริหายิ, โกจิ นํ โอโลเกตุมฺปิ น อิจฺฉิฯ กาโก ขาทนียโภชนียํ อลภมาโน ‘‘กากา’’ติ วสฺสโนฺต คนฺตฺวา อุกฺการภูมิยํ โอตริตฺวา โคจรํ คณฺหิฯ
Punavāre te vāṇijā ekaṃ morarājānaṃ gahetvā yathā accharasaddena vassati, pāṇippaharaṇasaddena naccati, evaṃ sikkhāpetvā bāveruraṭṭhaṃ agamaṃsu. So mahājane sannipatite nāvāya dhure ṭhatvā pakkhe vidhunitvā madhurassaraṃ nicchāretvā nacci. Manussā taṃ disvā somanassajātā ‘‘etaṃ, ayyā, sobhaggappattaṃ susikkhitaṃ sakuṇarājānaṃ amhākaṃ dethā’’ti āhaṃsu. Amhehi paṭhamaṃ kāko ānīto, taṃ gaṇhittha, idāni ekaṃ morarājānaṃ ānayimhā, etampi yācatha, tumhākaṃ raṭṭhe sakuṇaṃ nāma gahetvā āgantuṃ na sakkāti. ‘‘Hotu, ayyā, attano raṭṭhe aññaṃ labhissatha, imaṃ no dethā’’ti mūlaṃ vaḍḍhetvā sahassena gaṇhiṃsu. Atha naṃ sattaratanavicitte pañjare ṭhapetvā macchamaṃsaphalāphalehi ceva madhulājasakkarapānakādīhi ca paṭijaggiṃsu, mayūrarājā lābhaggayasaggappatto jāto, tassāgatakālato paṭṭhāya kākassa lābhasakkāro parihāyi, koci naṃ oloketumpi na icchi. Kāko khādanīyabhojanīyaṃ alabhamāno ‘‘kākā’’ti vassanto gantvā ukkārabhūmiyaṃ otaritvā gocaraṃ gaṇhi.
สตฺถา เทฺว วตฺถูนิ ฆเฎตฺวา สมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมา คาถา อภาสิ –
Satthā dve vatthūni ghaṭetvā sambuddho hutvā imā gāthā abhāsi –
๑๕๓.
153.
‘‘อทสฺสเนน โมรสฺส, สิขิโน มญฺชุภาณิโน;
‘‘Adassanena morassa, sikhino mañjubhāṇino;
กากํ ตตฺถ อปูเชสุํ, มํเสน จ ผเลน จฯ
Kākaṃ tattha apūjesuṃ, maṃsena ca phalena ca.
๑๕๔.
154.
‘‘ยทา จ สรสมฺปโนฺน, โมโร พาเวรุมาคมา;
‘‘Yadā ca sarasampanno, moro bāverumāgamā;
อถ ลาโภ จ สกฺกาโร, วายสสฺส อหายถฯ
Atha lābho ca sakkāro, vāyasassa ahāyatha.
๑๕๕.
155.
‘‘ยาว นุปฺปชฺชตี พุโทฺธ, ธมฺมราชา ปภงฺกโร;
‘‘Yāva nuppajjatī buddho, dhammarājā pabhaṅkaro;
ตาว อเญฺญ อปูเชสุํ, ปุถู สมณพฺราหฺมเณฯ
Tāva aññe apūjesuṃ, puthū samaṇabrāhmaṇe.
๑๕๖.
156.
‘‘ยทา จ สรสมฺปโนฺน, พุโทฺธ ธมฺมํ อเทสยิ;
‘‘Yadā ca sarasampanno, buddho dhammaṃ adesayi;
อถ ลาโภ จ สกฺกาโร, ติตฺถิยานํ อหายถา’’ติฯ
Atha lābho ca sakkāro, titthiyānaṃ ahāyathā’’ti.
ตตฺถ สิขิโนติ สิขาย สมนฺนาคตสฺสฯ มญฺชุภาณิโนติ มธุรสฺสรสฺสฯ อปูเชสุนฺติ อปูชยิํสุฯ มํเสน จ ผเลน จาติ นานปฺปกาเรน มํเสน ผลาผเลน จฯ พาเวรุมาคมาติ พาเวรุรฎฺฐํ อาคโตฯ ‘‘ภาเวรู’’ติปิ ปาโฐฯ อหายถาติ ปริหีโนฯ ธมฺมราชาติ นวหิ โลกุตฺตรธเมฺมหิ ปริสํ รเญฺชตีติ ธมฺมราชาฯ ปภงฺกโรติ สตฺตโลกโอกาสโลกสงฺขารโลเกสุ อาโลกสฺส กตตฺตา ปภงฺกโรฯ สรสมฺปโนฺนติ พฺรหฺมสฺสเรน สมนฺนาคโตฯ ธมฺมํ อเทสยีติ จตุสจฺจธมฺมํ ปกาเสสีติฯ
Tattha sikhinoti sikhāya samannāgatassa. Mañjubhāṇinoti madhurassarassa. Apūjesunti apūjayiṃsu. Maṃsena ca phalena cāti nānappakārena maṃsena phalāphalena ca. Bāverumāgamāti bāveruraṭṭhaṃ āgato. ‘‘Bhāverū’’tipi pāṭho. Ahāyathāti parihīno. Dhammarājāti navahi lokuttaradhammehi parisaṃ rañjetīti dhammarājā. Pabhaṅkaroti sattalokaokāsalokasaṅkhāralokesu ālokassa katattā pabhaṅkaro. Sarasampannoti brahmassarena samannāgato. Dhammaṃ adesayīti catusaccadhammaṃ pakāsesīti.
อิติ อิมา จตโสฺส คาถา ภาสิตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กาโก นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต อโหสิ, โมรราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Iti imā catasso gāthā bhāsitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kāko nigaṇṭho nāṭaputto ahosi, morarājā pana ahameva ahosi’’nti.
พาเวรุชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Bāverujātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๓๙. พาเวรุชาตกํ • 339. Bāverujātakaṃ