Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๖๕
The Middle-Length Suttas Collection 65
ภทฺทาลิสุตฺต
With Bhaddāli
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ภิกฺขโว”ติฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery. There the Buddha addressed the bhikkhus, “Bhikkhus!”
“ภทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Venerable sir,” they replied. The Buddha said this:
“อหํ โข, ภิกฺขเว, เอกาสนโภชนํ ภุญฺชามิ; เอกาสนโภชนํ โข, อหํ, ภิกฺขเว, ภุญฺชมาโน อปฺปาพาธตญฺจ สญฺชานามิ อปฺปาตงฺกตญฺจ ลหุฏฺฐานญฺจ พลญฺจ ผาสุวิหารญฺจฯ เอถ, ตุเมฺหปิ, ภิกฺขเว, เอกาสนโภชนํ ภุญฺชถ; เอกาสนโภชนํ โข, ภิกฺขเว, ตุเมฺหปิ ภุญฺชมานา อปฺปาพาธตญฺจ สญฺชานิสฺสถ อปฺปาตงฺกตญฺจ ลหุฏฺฐานญฺจ พลญฺจ ผาสุวิหารญฺจา”ติฯ
“Bhikkhus, I eat my food in one sitting per day. Doing so, I find that I’m healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. You too should eat your food in one sitting per day. Doing so, you’ll find that you’re healthy and well, nimble, strong, and living comfortably.”
เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อหํ โข, ภนฺเต, น อุสฺสหามิ เอกาสนโภชนํ ภุญฺชิตุํ; เอกาสนโภชนญฺหิ เม, ภนฺเต, ภุญฺชโต สิยา กุกฺกุจฺจํ, สิยา วิปฺปฏิสาโร”ติฯ
When he said this, Venerable Bhaddāli said to the Buddha, “Sir, I’m not going to try to eat my food in one sitting per day. For when eating once a day I might feel remorse and regret.”
“เตน หิ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ยตฺถ นิมนฺติโต อสฺสสิ ตตฺถ เอกเทสํ ภุญฺชิตฺวา เอกเทสํ นีหริตฺวาปิ ภุญฺเชยฺยาสิฯ เอวมฺปิ โข ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ภุญฺชมาโน เอกาสโน ยาเปสฺสสี”ติฯ
“Well then, Bhaddāli, eat one part of the meal in the place where you’re invited, and bring the rest back to eat. Eating this way, too, you will sustain yourself.”
“เอวมฺปิ โข อหํ, ภนฺเต, น อุสฺสหามิ ภุญฺชิตุํ; เอวมฺปิ หิ เม, ภนฺเต, ภุญฺชโต สิยา กุกฺกุจฺจํ, สิยา วิปฺปฏิสาโร”ติฯ อถ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสงฺเฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิฯ อถ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ สพฺพํ ตํ เตมาสํ น ภควโต สมฺมุขีภาวํ อทาสิ, ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการีฯ
“Sir, I’m not going to try to eat that way, either. For when eating that way I might also feel remorse and regret.” Then, as this rule was being laid down by the Buddha and the Saṅgha was undertaking it, Bhaddāli announced he would not try to keep it. Then for the whole of that three months Bhaddāli did not present himself in the presence of the Buddha, as happens when someone doesn’t fulfill the training according to the Teacher’s instructions.
เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา ภิกฺขู ภควโต จีวรกมฺมํ กโรนฺติ—นิฏฺฐิตจีวโร ภควา เตมาสจฺจเยน จาริกํ ปกฺกมิสฺสตีติฯ
At that time several bhikkhus were making a robe for the Buddha, thinking that when his robe was finished and the three months of the rains residence had passed the Buddha would set out wandering.
อถ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ ภทฺทาลึ เต ภิกฺขู เอตทโวจุํ: “อิทํ โข, อาวุโส ภทฺทาลิ, ภควโต จีวรกมฺมํ กรียติฯ นิฏฺฐิตจีวโร ภควา เตมาสจฺจเยน จาริกํ ปกฺกมิสฺสติฯ อิงฺฆาวุโส ภทฺทาลิ, เอตํ โทสกํ สาธุกํ มนสิ กโรหิ, มา เต ปจฺฉา ทุกฺกรตรํ อโหสี”ติฯ
Then Bhaddāli went up to those bhikkhus, and exchanged greetings with them. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side. The bhikkhus said to Bhaddāli, “Friend Bhaddāli, this robe is being made for the Buddha. When it’s finished and the three months of the rains residence have passed the Buddha will set out wandering. Come on, Bhaddāli, learn your lesson. Don’t make it hard for yourself later on.”
“เอวมาวุโส”ติ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ เตสํ ภิกฺขูนํ ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺจโย มํ, ภนฺเต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โยหํ ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสงฺเฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสึฯ ตสฺส เม, ภนฺเต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฏิคฺคณฺหาตุ อายตึ สํวรายา”ติฯ
“Yes, friends,” Bhaddāli replied. He went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “I have made a mistake, sir. It was foolish, stupid, and unskillful of me that, as this rule was being laid down by the Buddha and the Saṅgha was undertaking it, I announced I would not try to keep it. Please, sir, accept my mistake for what it is, so I will restrain myself in future.”
“ตคฺฆ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยํ ตฺวํ มยา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสงฺเฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิฯ
“Indeed, Bhaddāli, you made a mistake. It was foolish, stupid, and unskillful of you that, as this rule was being laid down by the Buddha and the Saṅgha was undertaking it, you announced you would not try to keep it.
สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ: ‘ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ—ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี'ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิฯ
And you didn’t realize this situation: ‘The Buddha is staying in Sāvatthī, and he’ll know me as the bhikkhu named Bhaddāli who doesn’t fulfill the training according to the Teacher’s instructions.’
สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ: ‘สมฺพหุลา โข ภิกฺขู สาวตฺถิยํ วสฺสํ อุปคตา, เตปิ มํ ชานิสฺสนฺติ—ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี'ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ: ‘สมฺพหุลา โข ภิกฺขุนิโย สาวตฺถิยํ วสฺสํ อุปคตา, ตาปิ มํ ชานิสฺสนฺติ—ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี'ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ: ‘สมฺพหุลา โข อุปาสกา สาวตฺถิยํ ปฏิวสนฺติ, เตปิ มํ ชานิสฺสนฺติ—ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี'ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ: ‘สมฺพหุลา โข อุปาสิกา สาวตฺถิยํ ปฏิวสนฺติ, ตาปิ มํ ชานิสฺสนฺติ—ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี'ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิฯ
And you didn’t realize this situation: ‘Several monks have commenced the rains retreat in Sāvatthī … several nuns have commenced the rains retreat in Sāvatthī … several laymen reside in Sāvatthī … several laywomen reside in Sāvatthī, and they’ll know me as the bhikkhu named Bhaddāli who doesn’t fulfill the training according to the Teacher’s instructions. …
สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ: ‘สมฺพหุลา โข นานาติตฺถิยา สมณพฺราหฺมณา สาวตฺถิยํ วสฺสํ อุปคตา, เตปิ มํ ชานิสฺสนฺติ—ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก เถรญฺญตโร ภิกฺขุ สาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี'ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสี”ติฯ
Several ascetics and brahmins who follow various other religions have commenced the rains retreat in Sāvatthī, and they’ll know me as the bhikkhu named Bhaddāli, one of the senior disciples of Gotama, who doesn’t fulfill the training according to the Teacher’s instructions.’ You also didn’t realize this situation.”
“อจฺจโย มํ, ภนฺเต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โยหํ ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสงฺเฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสึฯ ตสฺส เม, ภนฺเต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฏิคฺคณฺหาตุ อายตึ สํวรายา”ติฯ
“I made a mistake, sir. It was foolish, stupid, and unskillful of me that, as this rule was being laid down by the Buddha and the Saṅgha was undertaking it, I announced I would not try to keep it. Please, sir, accept my mistake for what it is, so I will restrain myself in future.”
“ตคฺฆ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยํ ตฺวํ มยา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสงฺเฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิฯ
“Indeed, Bhaddāli, you made a mistake. It was foolish, stupid, and unskillful of you that, as this rule was being laid down by the Buddha and the Saṅgha was undertaking it, you announced you would not try to keep it.
ตํ กึ มญฺญสิ, ภทฺทาลิ, อิธสฺส ภิกฺขุ อุภโตภาควิมุตฺโต, ตมหํ เอวํ วเทยฺยํ: ‘เอหิ เม ตฺวํ, ภิกฺขุ, ปงฺเก สงฺกโม โหหี'ติ, อปิ นุ โข โส สงฺกเมยฺย วา อญฺเญน วา กายํ สนฺนาเมยฺย, ‘โน'ติ วา วเทยฺยา”ติ?
What do you think, Bhaddāli? Suppose I was to say this to a bhikkhu who is freed both ways: ‘Please, bhikkhu, be a bridge for me to cross over the mud.’ Would they cross over themselves, or struggle to get out of it, or just say no?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“ตํ กึ มญฺญสิ, ภทฺทาลิ, อิธสฺส ภิกฺขุ ปญฺญาวิมุตฺโต … กายสกฺขิ … ทิฏฺฐิปฺปตฺโต … สทฺธาวิมุตฺโต … ธมฺมานุสารี … สทฺธานุสารี, ตมหํ เอวํ วเทยฺยํ: ‘เอหิ เม ตฺวํ, ภิกฺขุ, ปงฺเก สงฺกโม โหหี'ติ, อปิ นุ โข โส สงฺกเมยฺย วา อญฺเญน วา กายํ สนฺนาเมยฺย, ‘โน'ติ วา วเทยฺยา”ติ?
“What do you think, Bhaddāli? Suppose I was to say the same thing to a bhikkhu who is freed by wisdom, or a personal witness, or attained to view, or freed by faith, or a follower of the teachings, or a follower by faith: ‘Please, bhikkhu, be a bridge for me to cross over the mud.’ Would they cross over themselves, or struggle to get out of it, or just say no?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“ตํ กึ มญฺญสิ, ภทฺทาลิ, อปิ นุ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ตสฺมึ สมเย อุภโตภาควิมุตฺโต วา โหสิ ปญฺญาวิมุตฺโต วา กายสกฺขิ วา ทิฏฺฐิปฺปตฺโต วา สทฺธาวิมุตฺโต วา ธมฺมานุสารี วา สทฺธานุสารี วา”ติ?
“What do you think, Bhaddāli? At that time were you freed both ways, freed by wisdom, a personal witness, attained to view, freed by faith, a follower of the teachings, or a follower by faith?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“นนุ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ตสฺมึ สมเย ริตฺโต ตุจฺโฉ อปรทฺโธ”ติ?
“Weren’t you void, hollow, and mistaken?”
“เอวํ, ภนฺเตฯ
“Yes, sir.”
อจฺจโย มํ, ภนฺเต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โยหํ ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสงฺเฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสึฯ ตสฺส เม, ภนฺเต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฏิคฺคณฺหาตุ อายตึ สํวรายา”ติฯ
“I made a mistake, sir. … Please, sir, accept my mistake for what it is, so I will restrain myself in future.”
“ตคฺฆ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยํ ตฺวํ มยา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสงฺเฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิฯ ยโต จ โข ตฺวํ, ภทฺทาลิ, อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรสิ, ตํ เต มยํ ปฏิคฺคณฺหามฯ วุทฺธิเหสา, ภทฺทาลิ, อริยสฺส วินเย โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรติ, อายตึ สํวรํ อาปชฺชติฯ
“Indeed, Bhaddāli, you made a mistake. … But since you have recognized your mistake for what it is, and have dealt with it properly, I accept it. For it is growth in the training of the Noble One to recognize a mistake for what it is, deal with it properly, and commit to restraint in the future.
อิธ, ภทฺทาลิ, เอกจฺโจ ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี โหติฯ ตสฺส เอวํ โหติ: ‘ยนฺนูนาหํ วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภเชยฺยํ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อพฺโภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ อปฺเปว นามาหํ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ สจฺฉิกเรยฺยนฺ'ติฯ โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อพฺโภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ ตสฺส ตถาวูปกฏฺฐสฺส วิหรโต สตฺถาปิ อุปวทติ, อนุวิจฺจปิ วิญฺญู สพฺรหฺมจารี อุปวทนฺติ, เทวตาปิ อุปวทนฺติ, อตฺตาปิ อตฺตานํ อุปวทติฯ โส สตฺถาราปิ อุปวทิโต, อนุวิจฺจปิ วิญฺญูหิ สพฺรหฺมจารีหิ อุปวทิโต, เทวตาหิปิ อุปวทิโต, อตฺตนาปิ อตฺตานํ อุปวทิโต น อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ สจฺฉิกโรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการิสฺสฯ
Bhaddāli, take a bhikkhu who doesn’t fulfill the training according to the Teacher’s instructions. They think, ‘Why don’t I frequent a secluded lodging—a wilderness, the root of a tree, a hill, a ravine, a mountain cave, a charnel ground, a forest, the open air, a heap of straw. Hopefully I’ll realize a superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones.’ So they frequent a secluded lodging. While they’re living withdrawn, they’re reprimanded by the Teacher, by sensible spiritual companions after examination, by deities, and by themselves. Being reprimanded in this way, they don’t realize any superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones. Why is that? Because that’s how it is when someone doesn’t fulfill the training according to the Teacher’s instructions.
อิธ ปน, ภทฺทาลิ, เอกจฺโจ ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการี โหติฯ ตสฺส เอวํ โหติ: ‘ยนฺนูนาหํ วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภเชยฺยํ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อพฺโภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ อปฺเปว นามาหํ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ สจฺฉิกเรยฺยนฺ'ติฯ โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อพฺโภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ ตสฺส ตถาวูปกฏฺฐสฺส วิหรโต สตฺถาปิ น อุปวทติ, อนุวิจฺจปิ วิญฺญู สพฺรหฺมจารี น อุปวทนฺติ, เทวตาปิ น อุปวทนฺติ, อตฺตาปิ อตฺตานํ น อุปวทติฯ โส สตฺถาราปิ อนุปวทิโต, อนุวิจฺจปิ วิญฺญูหิ สพฺรหฺมจารีหิ อนุปวทิโต, เทวตาหิปิ อนุปวทิโต, อตฺตนาปิ อตฺตานํ อนุปวทิโต อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ สจฺฉิกโรติฯ
But take a bhikkhu who does fulfill the training according to the Teacher’s instructions. They think, ‘Why don’t I frequent a secluded lodging—a wilderness, the root of a tree, a hill, a ravine, a mountain cave, a charnel ground, a forest, the open air, a heap of straw. Hopefully I’ll realize a superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones.’ They frequent a secluded lodging—a wilderness, the root of a tree, a hill, a ravine, a mountain cave, a charnel ground, a forest, the open air, a heap of straw. While they’re living withdrawn, they’re not reprimanded by the Teacher, by sensible spiritual companions after examination, by deities, or by themselves. Not being reprimanded in this way, they realize a superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones.
โส วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
Quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, they enter and remain in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. Why is that? Because that’s what happens when someone fulfills the training according to the Teacher’s instructions.
ปุน จปรํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
Furthermore, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a bhikkhu enters and remains in the second jhāna, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. Why is that? Because that’s what happens when someone fulfills the training according to the Teacher’s instructions.
ปุน จปรํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ, สโต จ สมฺปชาโน สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ: ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี'ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
Furthermore, with the fading away of rapture, a bhikkhu enters and remains in the third jhāna, where they meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ Why is that? Because that’s what happens when someone fulfills the training according to the Teacher’s instructions.
ปุน จปรํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุพฺเพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
Furthermore, giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, a bhikkhu enters and remains in the fourth jhāna, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. Why is that? Because that’s what happens when someone fulfills the training according to the Teacher’s instructions.
โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward recollection of past lives. They recollect many kinds of past lives, that is, one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths; many eons of the world contracting, many eons of the world expanding, many eons of the world contracting and expanding. … They recollect their many kinds of past lives, with features and details. Why is that? Because that’s what happens when someone fulfills the training according to the Teacher’s instructions.
โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติ: ‘อิเม วต โภนฺโต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา …เป… วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนา; อิเม วา ปน โภนฺโต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา …เป… สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา'ติ อิติ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน …เป… ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward knowledge of the death and rebirth of sentient beings. With clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. They understand how sentient beings are reborn according to their deeds: ‘These dear beings did bad things by way of body, speech, and mind. … They’re reborn in the underworld, hell. These dear beings, however, did good things by way of body, speech, and mind. … they’re reborn in a good place, a heavenly realm.’ And so, with clairvoyance that is purified and superhuman … they understand how sentient beings are reborn according to their deeds. Why is that? Because that’s what happens when someone fulfills the training according to the Teacher’s instructions.
โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺขนฺ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ; ‘อิเม อาสวา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรโธ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ
When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward knowledge of the ending of defilements. They truly understand: ‘This is suffering’ … ‘This is the origin of suffering’ … ‘This is the cessation of suffering’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of suffering’. They truly understand: ‘These are defilements’ … ‘This is the origin of defilements’ … ‘This is the cessation of defilements’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of defilements’.
ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ
Knowing and seeing like this, their mind is freed from the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance. When they’re freed, they know they’re freed.
‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสา”ติฯ
They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’ Why is that? Because that’s what happens when someone fulfills the training according to the Teacher’s instructions.”
เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “โก นุ โข, ภนฺเต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน มิเธกจฺจํ ภิกฺขุํ ปสยฺห ปสยฺห การณํ กโรนฺติ? โก ปน, ภนฺเต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน มิเธกจฺจํ ภิกฺขุํ โน ตถา ปสยฺห ปสยฺห การณํ กโรนฺตี”ติ?
When he said this, Venerable Bhaddāli said to the Buddha, “What is the cause, sir, what is the reason why they punish some monk, repeatedly pressuring him? And what is the cause, what is the reason why they don’t similarly punish another monk, repeatedly pressuring him?”
“อิธ, ภทฺทาลิ, เอกจฺโจ ภิกฺขุ อภิณฺหาปตฺติโก โหติ อาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน อญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, น สมฺมา วตฺตติ, น โลมํ ปาเตติ, น เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สงฺโฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี'ติ นาหฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ: ‘อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ อภิณฺหาปตฺติโก อาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน อญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, น สมฺมา วตฺตติ, น โลมํ ปาเตติ, น เนตฺถารํ วตฺตติ, “เยน สงฺโฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี”ติ นาหฯ สาธุ วตายสฺมนฺโต อิมสฺส ภิกฺขุโน ตถา ตถา อุปปริกฺขถ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ น ขิปฺปเมว วูปสเมยฺยา'ติฯ ตสฺส โข เอวํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุโน ภิกฺขู ตถา ตถา อุปปริกฺขนฺติ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ น ขิปฺปเมว วูปสมฺมติฯ
“Take a monk who is a frequent offender with many offenses. When admonished by the monks, he dodges the issue, distracting the discussion with irrelevant points. He displays annoyance, hate, and bitterness. He doesn’t proceed properly, he doesn’t fall in line, he doesn’t proceed to get past it, and he doesn’t say: ‘I’ll do what pleases the Saṅgha.’ In such a case, the monks say: ‘Friends, this monk is a frequent offender, with many offenses. When admonished by the monks, he dodges the issue, distracting the discussion with irrelevant points. He displays annoyance, hate, and bitterness. He doesn’t proceed properly, he doesn’t fall in line, he doesn’t proceed to get past it, and he doesn’t say: “I’ll do what pleases the Saṅgha.” It’d be good for the venerables to examine this monk in such a way that this disciplinary issue is not quickly settled.’ And that’s what they do.
อิธ ปน, ภทฺทาลิ, เอกจฺโจ ภิกฺขุ อภิณฺหาปตฺติโก โหติ อาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน นาญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ, พหิทฺธา กถํ น อปนาเมติ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สงฺโฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี'ติ อาหฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ: ‘อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ อภิณฺหาปตฺติโก อาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน นาญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ, พหิทฺธา กถํ น อปนาเมติ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, “เยน สงฺโฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี”ติ อาหฯ สาธุ วตายสฺมนฺโต, อิมสฺส ภิกฺขุโน ตถา ตถา อุปปริกฺขถ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ ขิปฺปเมว วูปสเมยฺยา'ติฯ ตสฺส โข เอวํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุโน ภิกฺขู ตถา ตถา อุปปริกฺขนฺติ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ ขิปฺปเมว วูปสมฺมติฯ
Take some other monk who is a frequent offender with many offenses. When admonished by the monks, he doesn’t dodge the issue, distracting the discussion with irrelevant points. He doesn’t display annoyance, hate, and bitterness. He proceeds properly, he falls in line, he proceeds to get past it, and he says: ‘I’ll do what pleases the Saṅgha.’ In such a case, the monks say: ‘Friends, this monk is a frequent offender, with many offenses. When admonished by the monks, he doesn’t dodge the issue, distracting the discussion with irrelevant points. He doesn’t display annoyance, hate, and bitterness. He proceeds properly, he falls in line, he proceeds to get past it, and he says: ‘I’ll do what pleases the Saṅgha.’ It’d be good for the venerables to examine this monk in such a way that this disciplinary issue is quickly settled.’ And that’s what they do.
อิธ, ภทฺทาลิ, เอกจฺโจ ภิกฺขุ อธิจฺจาปตฺติโก โหติ อนาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน อญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, น สมฺมา วตฺตติ, น โลมํ ปาเตติ, น เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สงฺโฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี'ติ นาหฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ: ‘อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ อธิจฺจาปตฺติโก อนาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน อญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, น สมฺมา วตฺตติ, น โลมํ ปาเตติ, น เนตฺถารํ วตฺตติ, “เยน สงฺโฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี”ติ นาหฯ สาธุ วตายสฺมนฺโต, อิมสฺส ภิกฺขุโน ตถา ตถา อุปปริกฺขถ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ น ขิปฺปเมว วูปสเมยฺยา'ติฯ ตสฺส โข เอวํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุโน ภิกฺขู ตถา ตถา อุปปริกฺขนฺติ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ น ขิปฺปเมว วูปสมฺมติฯ
Take some other monk who is an occasional offender without many offenses. When admonished by the monks, he dodges the issue … In such a case, the monks say: ‘Friends, this monk is an occasional offender without many offenses. When admonished by the monks, he dodges the issue … It’d be good for the venerables to examine this monk in such a way that this disciplinary issue is not quickly settled.’ And that’s what they do.
อิธ ปน, ภทฺทาลิ, เอกจฺโจ ภิกฺขุ อธิจฺจาปตฺติโก โหติ อนาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน นาญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ, น พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สงฺโฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี'ติ อาหฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ: ‘อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ อธิจฺจาปตฺติโก อนาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน นาญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ, น พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, “เยน สงฺโฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี”ติ อาหฯ สาธุ วตายสฺมนฺโต, อิมสฺส ภิกฺขุโน ตถา ตถา อุปปริกฺขถ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ ขิปฺปเมว วูปสเมยฺยา'ติฯ ตสฺส โข เอวํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุโน ภิกฺขู ตถา ตถา อุปปริกฺขนฺติ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ ขิปฺปเมว วูปสมฺมติฯ
Take some other monk who is an occasional offender without many offenses. When admonished by the monks, he doesn’t dodge the issue … In such a case, the monks say: ‘Friends, this monk is an occasional offender without many offenses. When admonished by the monks, he doesn’t dodge the issue … It’d be good for the venerables to examine this monk in such a way that this disciplinary issue is quickly settled.’ And that’s what they do.
อิธ, ภทฺทาลิ, เอกจฺโจ ภิกฺขุ สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ: ‘อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนฯ สเจ มยํ อิมํ ภิกฺขุํ ปสยฺห ปสยฺห การณํ กริสฺสาม—มา ยมฺปิสฺส ตํ สทฺธามตฺตกํ เปมมตฺตกํ ตมฺหาปิ ปริหายี'ติฯ
Take some other monk who gets by with mere faith and love. In such a case, the monks say: ‘Friends, this monk gets by with mere faith and love. If we punish him, repeatedly pressuring him—no, let him not lose what little faith and love he has!’
เสยฺยถาปิ, ภทฺทาลิ, ปุริสสฺส เอกํ จกฺขุํ, ตสฺส มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ตํ เอกํ จกฺขุํ รกฺเขยฺยุํ: ‘มา ยมฺปิสฺส ตํ เอกํ จกฺขุํ ตมฺหาปิ ปริหายี'ติ; เอวเมว โข, ภทฺทาลิ, อิเธกจฺโจ ภิกฺขุ สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ: ‘อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนฯ สเจ มยํ อิมํ ภิกฺขุํ ปสยฺห ปสยฺห การณํ กริสฺสาม—มา ยมฺปิสฺส ตํ สทฺธามตฺตกํ เปมมตฺตกํ ตมฺหาปิ ปริหายี'ติฯ อยํ โข, ภทฺทาลิ, เหตุ อยํ ปจฺจโย เยน มิเธกจฺจํ ภิกฺขุํ ปสยฺห ปสยฺห การณํ กโรนฺติฯ อยํ ปน, ภทฺทาลิ, เหตุ อยํ ปจฺจโย, เยน มิเธกจฺจํ ภิกฺขุํ โน ตถา ปสยฺห ปสยฺห การณํ กโรนฺตี”ติฯ
Suppose there was a person with one eye. Their friends and colleagues, relatives and kin would protect that one eye: ‘Let them not lose the one eye that they have!’ In the same way, some monk gets by with mere faith and love. In such a case, the monks say: ‘Friends, this monk gets by with mere faith and love. If we punish him, repeatedly pressuring him—no, let him not lose what little faith and love he has!’ This is the cause, this is the reason why they punish some monk, repeatedly pressuring him. And this is the cause, this is the reason why they don’t similarly punish another monk, repeatedly pressuring him.”
“โก นุ โข, ภนฺเต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน ปุพฺเพ อปฺปตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ อเหสุํ พหุตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหึสุ? โก ปน, ภนฺเต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน เอตรหิ พหุตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ โหนฺติ อปฺปตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหนฺตี”ติ?
“What is the cause, sir, what is the reason why there used to be fewer training rules but more enlightened bhikkhus? And what is the cause, what is the reason why these days there are more training rules and fewer enlightened bhikkhus?”
“เอวเมตํ, ภทฺทาลิ, โหติ สตฺเตสุ หายมาเนสุ, สทฺธมฺเม อนฺตรธายมาเน, พหุตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ โหนฺติ อปฺปตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหนฺตีติฯ น ตาว, ภทฺทาลิ, สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปติ ยาว น อิเธกจฺเจ อาสวฏฺฐานียา ธมฺมา สงฺเฆ ปาตุภวนฺติฯ ยโต จ โข, ภทฺทาลิ, อิเธกจฺเจ อาสวฏฺฐานียา ธมฺมา สงฺเฆ ปาตุภวนฺติ, อถ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปติ เตสํเยว อาสวฏฺฐานียานํ ธมฺมานํ ปฏิฆาตายฯ
“That’s how it is, Bhaddāli. When sentient beings are in decline and the true teaching is disappearing there are more training rules and fewer enlightened bhikkhus. The Teacher doesn’t lay down training rules for disciples as long as certain defiling influences have not appeared in the Saṅgha. But when such defiling influences appear in the Saṅgha, the Teacher lays down training rules for disciples to protect against them.
น ตาว, ภทฺทาลิ, อิเธกจฺเจ อาสวฏฺฐานียา ธมฺมา สงฺเฆ ปาตุภวนฺติ ยาว น สงฺโฆ มหตฺตํ ปตฺโต โหติฯ ยโต จ โข, ภทฺทาลิ, สงฺโฆ มหตฺตํ ปตฺโต โหติ, อถ อิเธกจฺเจ อาสวฏฺฐานียา ธมฺมา สงฺเฆ ปาตุภวนฺติฯ อถ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปติ เตสํเยว อาสวฏฺฐานียานํ ธมฺมานํ ปฏิฆาตายฯ น ตาว, ภทฺทาลิ, อิเธกจฺเจ อาสวฏฺฐานียา ธมฺมา สงฺเฆ ปาตุภวนฺติ ยาว น สงฺโฆ ลาภคฺคํ ปตฺโต โหติ, ยสคฺคํ ปตฺโต โหติ, พาหุสจฺจํ ปตฺโต โหติ, รตฺตญฺญุตํ ปตฺโต โหติฯ ยโต จ โข, ภทฺทาลิ, สงฺโฆ รตฺตญฺญุตํ ปตฺโต โหติ, อถ อิเธกจฺเจ อาสวฏฺฐานียา ธมฺมา สงฺเฆ ปาตุภวนฺติ, อถ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปติ เตสํเยว อาสวฏฺฐานียานํ ธมฺมานํ ปฏิฆาตายฯ
And they don’t appear until the Saṅgha has attained a great size, an abundance of material support and fame, learning, and seniority. But when the Saṅgha has attained these things, then such defiling influences appear in the Saṅgha, and the Teacher lays down training rules for disciples to protect against them.
อปฺปกา โข ตุเมฺห, ภทฺทาลิ, เตน สมเยน อหุวตฺถ ยทา โว อหํ อาชานียสุสูปมํ ธมฺมปริยายํ เทเสสึฯ ตํ สรสิ ภทฺทาลี”ติ?
There were only a few of you there at the time when I taught the exposition of the teaching on the simile of the thoroughbred colt. Do you remember that, Bhaddāli?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“ตตฺร, ภทฺทาลิ, กํ เหตุํ ปจฺเจสี”ติ?
“What do you believe the reason for that is?”
“โส หิ นูนาหํ, ภนฺเต, ทีฆรตฺตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี อโหสินฺ”ติฯ
“Sir, it’s surely because for a long time now I haven’t fulfilled the training according to the Teacher’s instructions.”
“น โข, ภทฺทาลิ, เอเสว เหตุ, เอส ปจฺจโยฯ อปิ จ เม ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ทีฆรตฺตํ เจตสา เจโตปริจฺจ วิทิโต: ‘น จายํ โมฆปุริโส มยา ธมฺเม เทสิยมาเน อฏฺฐึ กตฺวา มนสิ กตฺวา สพฺพเจตโส สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณาตี'ติฯ อปิ จ เต อหํ, ภทฺทาลิ, อาชานียสุสูปมํ ธมฺมปริยายํ เทเสสฺสามิฯ ตํ สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ; ภาสิสฺสามี”ติฯ
“That’s not the only reason, Bhaddāli. Rather, for a long time I have comprehended your mind and known: ‘While I’m teaching, this silly man doesn’t pay attention, apply the mind, concentrate wholeheartedly, or actively listen.’ Still, Bhaddāli, I shall teach the exposition of the teaching on the simile of the thoroughbred colt. Listen and apply your mind well, I will speak.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ:
“Yes, sir,” Bhaddāli replied. The Buddha said this:
“เสยฺยถาปิ, ภทฺทาลิ, ทกฺโข อสฺสทมโก ภทฺรํ อสฺสาชานียํ ลภิตฺวา ปฐเมเนว มุขาธาเน การณํ กาเรติฯ ตสฺส มุขาธาเน การณํ การิยมานสฺส โหนฺติเยว วิสูกายิตานิ วิเสวิตานิ วิปฺผนฺทิตานิ กานิจิ กานิจิ, ยถา ตํ อการิตปุพฺพํ การณํ การิยมานสฺสฯ โส อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมึ ฐาเน ปรินิพฺพายติฯ
“Suppose a deft horse trainer were to obtain a fine thoroughbred. First of all he’d make it get used to wearing the bit. Because it has not done this before, it still resorts to some twists, ducks, and dodges. But with regular and gradual practice it quells that bad habit.
ยโต โข, ภทฺทาลิ, ภโทฺร อสฺสาชานีโย อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมึ ฐาเน ปรินิพฺพุโต โหติ, ตเมนํ อสฺสทมโก อุตฺตริ การณํ กาเรติ ยุคาธาเนฯ ตสฺส ยุคาธาเน การณํ การิยมานสฺส โหนฺติเยว วิสูกายิตานิ วิเสวิตานิ วิปฺผนฺทิตานิ กานิจิ กานิจิ, ยถา ตํ อการิตปุพฺพํ การณํ การิยมานสฺสฯ โส อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมึ ฐาเน ปรินิพฺพายติฯ
When it has done this, the horse trainer next makes it get used to wearing the harness. Because it has not done this before, it still resorts to some twists, ducks, and dodges. But with regular and gradual practice it quells that bad habit.
ยโต โข, ภทฺทาลิ, ภโทฺร อสฺสาชานีโย อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมึ ฐาเน ปรินิพฺพุโต โหติ, ตเมนํ อสฺสทมโก อุตฺตริ การณํ กาเรติ อนุกฺกเม มณฺฑเล ขุรกาเส ธาเว ทวตฺเต ราชคุเณ ราชวํเส อุตฺตเม ชเว อุตฺตเม หเย อุตฺตเม สาขเลฺยฯ ตสฺส อุตฺตเม ชเว อุตฺตเม หเย อุตฺตเม สาขเลฺย การณํ การิยมานสฺส โหนฺติเยว วิสูกายิตานิ วิเสวิตานิ วิปฺผนฺทิตานิ กานิจิ กานิจิ, ยถา ตํ อการิตปุพฺพํ การณํ การิยมานสฺสฯ โส อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมึ ฐาเน ปรินิพฺพายติฯ
When it has done this, the horse trainer next makes it get used to walking in procession, circling, prancing, galloping, charging, the protocols and traditions of court, and in the very best speed, fleetness, and friendliness. Because it has not done this before, it still resorts to some twists, ducks, and dodges. But with regular and gradual practice it quells that bad habit.
ยโต โข, ภทฺทาลิ, ภโทฺร อสฺสาชานีโย อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมึ ฐาเน ปรินิพฺพุโต โหติ, ตเมนํ อสฺสทมโก อุตฺตริ วณฺณิยญฺจ ปาณิยญฺจ อนุปฺปเวจฺฉติฯ อิเมหิ โข, ภทฺทาลิ, ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภโทฺร อสฺสาชานีโย ราชารโห โหติ ราชโภคฺโค รญฺโญ องฺคนฺเตว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ
When it has done this, the horse trainer next rewards it with a grooming and a rub down. A fine royal thoroughbred with these ten factors is worthy of a king, fit to serve a king, and reckoned as a factor of kingship.
เอวเมว โข, ภทฺทาลิ, ทสหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อาหุเนโยฺย โหติ ปาหุเนโยฺย ทกฺขิเณโยฺย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสฯ กตเมหิ ทสหิ? อิธ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุ อเสขาย สมฺมาทิฏฺฐิยา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาสงฺกปฺเปน สมนฺนาคโต โหติ, อเสขาย สมฺมาวาจาย สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมากมฺมนฺเตน สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาอาชีเวน สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาวายาเมน สมนฺนาคโต โหติ, อเสขาย สมฺมาสติยา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาสมาธินา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาญาเณน สมนฺนาคโต โหติ, อเสขาย สมฺมาวิมุตฺติยา สมนฺนาคโต โหติ—อิเมหิ โข, ภทฺทาลิ, ทสหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อาหุเนโยฺย โหติ ปาหุเนโยฺย ทกฺขิเณโยฺย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสา”ติฯ
In the same way, a bhikkhu with ten qualities is worthy of offerings dedicated to the gods, worthy of hospitality, worthy of a religious donation, worthy of veneration with joined palms, and is the supreme field of merit for the world. What ten? It’s when a bhikkhu has an adept’s right view, right thought, right speech, right action, right livelihood, right effort, right mindfulness, right immersion, right knowledge, and right freedom. A bhikkhu with these ten qualities is worthy of offerings dedicated to the gods, worthy of hospitality, worthy of a religious donation, worthy of veneration with joined palms, and is the supreme field of merit for the world.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, Venerable Bhaddāli was happy with what the Buddha said.
ภทฺทาลิสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปญฺจมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]