Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๕. ภทฺทาลิสุตฺตํ
5. Bhaddālisuttaṃ
๑๓๔. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ – ‘‘อหํ โข, ภิกฺขเว, เอกาสนโภชนํ ภุญฺชามิ; เอกาสนโภชนํ โข, อหํ, ภิกฺขเว, ภุญฺชมาโน อปฺปาพาธตญฺจ สญฺชานามิ อปฺปาตงฺกตญฺจ ลหุฎฺฐานญฺจ พลญฺจ ผาสุวิหารญฺจฯ เอถ, ตุเมฺหปิ, ภิกฺขเว, เอกาสนโภชนํ ภุญฺชถ; เอกาสนโภชนํ โข, ภิกฺขเว, ตุเมฺหปิ ภุญฺชมานา อปฺปาพาธตญฺจ สญฺชานิสฺสถ อปฺปาตงฺกตญฺจ ลหุฎฺฐานญฺจ พลญฺจ ผาสุวิหารญฺจา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อหํ โข, ภเนฺต, น อุสฺสหามิ เอกาสนโภชนํ ภุญฺชิตุํ; เอกาสนโภชนญฺหิ เม, ภเนฺต, ภุญฺชโต สิยา กุกฺกุจฺจํ, สิยา วิปฺปฎิสาโร’’ติฯ ‘‘เตน หิ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ยตฺถ นิมนฺติโต อสฺสสิ ตตฺถ เอกเทสํ ภุญฺชิตฺวา เอกเทสํ นีหริตฺวาปิ ภุเญฺชยฺยาสิฯ เอวมฺปิ โข ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ภุญฺชมาโน เอกาสโน ยาเปสฺสสี’’ติ 1ฯ ‘‘เอวมฺปิ โข อหํ, ภเนฺต, น อุสฺสหามิ ภุญฺชิตุํ; เอวมฺปิ หิ เม, ภเนฺต, ภุญฺชโต สิยา กุกฺกุจฺจํ, สิยา วิปฺปฎิสาโร’’ติฯ อถ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสเงฺฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิฯ อถ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ สพฺพํ ตํ เตมาสํ น ภควโต สมฺมุขีภาวํ อทาสิ, ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการีฯ
134. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca – ‘‘ahaṃ kho, bhikkhave, ekāsanabhojanaṃ bhuñjāmi; ekāsanabhojanaṃ kho, ahaṃ, bhikkhave, bhuñjamāno appābādhatañca sañjānāmi appātaṅkatañca lahuṭṭhānañca balañca phāsuvihārañca. Etha, tumhepi, bhikkhave, ekāsanabhojanaṃ bhuñjatha; ekāsanabhojanaṃ kho, bhikkhave, tumhepi bhuñjamānā appābādhatañca sañjānissatha appātaṅkatañca lahuṭṭhānañca balañca phāsuvihārañcā’’ti. Evaṃ vutte, āyasmā bhaddāli bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ahaṃ kho, bhante, na ussahāmi ekāsanabhojanaṃ bhuñjituṃ; ekāsanabhojanañhi me, bhante, bhuñjato siyā kukkuccaṃ, siyā vippaṭisāro’’ti. ‘‘Tena hi tvaṃ, bhaddāli, yattha nimantito assasi tattha ekadesaṃ bhuñjitvā ekadesaṃ nīharitvāpi bhuñjeyyāsi. Evampi kho tvaṃ, bhaddāli, bhuñjamāno ekāsano yāpessasī’’ti 2. ‘‘Evampi kho ahaṃ, bhante, na ussahāmi bhuñjituṃ; evampi hi me, bhante, bhuñjato siyā kukkuccaṃ, siyā vippaṭisāro’’ti. Atha kho āyasmā bhaddāli bhagavatā sikkhāpade paññāpiyamāne bhikkhusaṅghe sikkhaṃ samādiyamāne anussāhaṃ pavedesi. Atha kho āyasmā bhaddāli sabbaṃ taṃ temāsaṃ na bhagavato sammukhībhāvaṃ adāsi, yathā taṃ satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī.
๑๓๕. เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา ภิกฺขู ภควโต จีวรกมฺมํ กโรนฺติ – นิฎฺฐิตจีวโร ภควา เตมาสจฺจเยน จาริกํ ปกฺกมิสฺสตีติฯ อถ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ ภทฺทาลิํ เต ภิกฺขู เอตทโวจุํ – ‘‘อิทํ โข, อาวุโส ภทฺทาลิ, ภควโต จีวรกมฺมํ กรียติ 3ฯ นิฎฺฐิตจีวโร ภควา เตมาสจฺจเยน จาริกํ ปกฺกมิสฺสติฯ อิงฺฆาวุโส ภทฺทาลิ, เอตํ โทสกํ สาธุกํ มนสิ กโรหิ, มา เต ปจฺฉา ทุกฺกรตรํ อโหสี’’ติฯ ‘‘เอวมาวุโส’’ติ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ เตสํ ภิกฺขูนํ ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อจฺจโย มํ, ภเนฺต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โยหํ ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสเงฺฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิํฯ ตสฺส เม, ภเนฺต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฎิคฺคณฺหาตุ อายติํ สํวรายา’’ติฯ
135. Tena kho pana samayena sambahulā bhikkhū bhagavato cīvarakammaṃ karonti – niṭṭhitacīvaro bhagavā temāsaccayena cārikaṃ pakkamissatīti. Atha kho āyasmā bhaddāli yena te bhikkhū tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā tehi bhikkhūhi saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ bhaddāliṃ te bhikkhū etadavocuṃ – ‘‘idaṃ kho, āvuso bhaddāli, bhagavato cīvarakammaṃ karīyati 4. Niṭṭhitacīvaro bhagavā temāsaccayena cārikaṃ pakkamissati. Iṅghāvuso bhaddāli, etaṃ dosakaṃ sādhukaṃ manasi karohi, mā te pacchā dukkarataraṃ ahosī’’ti. ‘‘Evamāvuso’’ti kho āyasmā bhaddāli tesaṃ bhikkhūnaṃ paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā bhaddāli bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘accayo maṃ, bhante, accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yohaṃ bhagavatā sikkhāpade paññāpiyamāne bhikkhusaṅghe sikkhaṃ samādiyamāne anussāhaṃ pavedesiṃ. Tassa me, bhante, bhagavā accayaṃ accayato paṭiggaṇhātu āyatiṃ saṃvarāyā’’ti.
‘‘ตคฺฆ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยํ ตฺวํ มยา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสเงฺฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ – ‘ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ – ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ – ‘สมฺพหุลา โข ภิกฺขุ สาวตฺถิยํ วสฺสํ อุปคตา, เตปิ มํ ชานิสฺสนฺติ – ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ – ‘สมฺพหุลา โข ภิกฺขุนิโย สาวตฺถิยํ วสฺสํ อุปคตา, ตาปิ มํ ชานิสฺสนฺติ – ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ – ‘สมฺพหุลา โข อุปาสกา สาวตฺถิยํ ปฎิวสนฺติ, เตปิ มํ ชานิสฺสนฺติ – ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ – ‘สมฺพหุลา โข อุปาสิกา สาวตฺถิยํ ปฎิวสนฺติ, ตาปิ มํ ชานิสฺสนฺติ – ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ , สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ – ‘สมฺพหุลา โข นานาติตฺถิยา สมณพฺราหฺมณา สาวตฺถิยํ วสฺสํ อุปคตา, เตปิ มํ ชานิสฺสนฺติ – ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก เถรญฺญตโร ภิกฺขุ สาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติฯ
‘‘Taggha tvaṃ, bhaddāli, accayo accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yaṃ tvaṃ mayā sikkhāpade paññāpiyamāne bhikkhusaṅghe sikkhaṃ samādiyamāne anussāhaṃ pavedesi. Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi – ‘bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, bhagavāpi maṃ jānissati – bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosi. Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi – ‘sambahulā kho bhikkhu sāvatthiyaṃ vassaṃ upagatā, tepi maṃ jānissanti – bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosi. Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi – ‘sambahulā kho bhikkhuniyo sāvatthiyaṃ vassaṃ upagatā, tāpi maṃ jānissanti – bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosi. Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi – ‘sambahulā kho upāsakā sāvatthiyaṃ paṭivasanti, tepi maṃ jānissanti – bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosi. Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi – ‘sambahulā kho upāsikā sāvatthiyaṃ paṭivasanti, tāpi maṃ jānissanti – bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho te, bhaddāli , samayo appaṭividdho ahosi. Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi – ‘sambahulā kho nānātitthiyā samaṇabrāhmaṇā sāvatthiyaṃ vassaṃ upagatā, tepi maṃ jānissanti – bhaddāli nāma bhikkhu samaṇassa gotamassa sāvako theraññataro bhikkhu sāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosī’’ti.
‘‘อจฺจโย มํ, ภเนฺต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โยหํ ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสเงฺฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิํฯ ตสฺส เม, ภเนฺต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฎิคฺคณฺหาตุ อายติํ สํวรายา’’ติฯ ‘‘ตคฺฆ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยํ ตฺวํ มยา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสเงฺฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิ’’ฯ
‘‘Accayo maṃ, bhante, accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yohaṃ bhagavatā sikkhāpade paññāpiyamāne bhikkhusaṅghe sikkhaṃ samādiyamāne anussāhaṃ pavedesiṃ. Tassa me, bhante, bhagavā accayaṃ accayato paṭiggaṇhātu āyatiṃ saṃvarāyā’’ti. ‘‘Taggha tvaṃ, bhaddāli, accayo accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yaṃ tvaṃ mayā sikkhāpade paññāpiyamāne bhikkhusaṅghe sikkhaṃ samādiyamāne anussāhaṃ pavedesi’’.
๑๓๖. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ภทฺทาลิ, อิธสฺส ภิกฺขุ อุภโตภาควิมุโตฺต, ตมหํ เอวํ วเทยฺยํ – ‘เอหิ เม ตฺวํ, ภิกฺขุ, ปเงฺก สงฺกโม โหหี’ติ, อปิ นุ โข โส สงฺกเมยฺย วา อเญฺญน วา กายํ สนฺนาเมยฺย, ‘โน’ติ วา วเทยฺยา’’ติ?
136. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, bhaddāli, idhassa bhikkhu ubhatobhāgavimutto, tamahaṃ evaṃ vadeyyaṃ – ‘ehi me tvaṃ, bhikkhu, paṅke saṅkamo hohī’ti, api nu kho so saṅkameyya vā aññena vā kāyaṃ sannāmeyya, ‘no’ti vā vadeyyā’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ภทฺทาลิ, อิธสฺส ภิกฺขุ ปญฺญาวิมุโตฺต… กายสกฺขิ… ทิฎฺฐิปฺปโตฺต… สทฺธาวิมุโตฺต… ธมฺมานุสารี… สทฺธานุสารี, ตมหํ เอวํ วเทยฺยํ – ‘เอหิ เม ตฺวํ, ภิกฺขุ, ปเงฺก สงฺกโม โหหี’ติ, อปิ นุ โข โส สงฺกเมยฺย วา อเญฺญน วา กายํ สนฺนาเมยฺย, ‘โน’ติ วา วเทยฺยา’’ติ?
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, bhaddāli, idhassa bhikkhu paññāvimutto… kāyasakkhi… diṭṭhippatto… saddhāvimutto… dhammānusārī… saddhānusārī, tamahaṃ evaṃ vadeyyaṃ – ‘ehi me tvaṃ, bhikkhu, paṅke saṅkamo hohī’ti, api nu kho so saṅkameyya vā aññena vā kāyaṃ sannāmeyya, ‘no’ti vā vadeyyā’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ภทฺทาลิ, อปิ นุ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ตสฺมิํ สมเย อุภโตภาควิมุโตฺต วา โหสิ ปญฺญาวิมุโตฺต วา กายสกฺขิ วา ทิฎฺฐิปฺปโตฺต วา สทฺธาวิมุโตฺต วา ธมฺมานุสารี วา สทฺธานุสารี วา’’ติ?
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, bhaddāli, api nu tvaṃ, bhaddāli, tasmiṃ samaye ubhatobhāgavimutto vā hosi paññāvimutto vā kāyasakkhi vā diṭṭhippatto vā saddhāvimutto vā dhammānusārī vā saddhānusārī vā’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘นนุ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ตสฺมิํ สมเย ริโตฺต ตุโจฺฉ อปรโทฺธ’’ติ?
‘‘Nanu tvaṃ, bhaddāli, tasmiṃ samaye ritto tuccho aparaddho’’ti?
‘‘เอวํ , ภเนฺตฯ อจฺจโย มํ, ภเนฺต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โยหํ ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสเงฺฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิํฯ ตสฺส เม, ภเนฺต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฎิคฺคณฺหาตุ อายติํ สํวรายา’’ติฯ ‘‘ตคฺฆ ตฺวํ, ภทฺทาลิ, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยํ ตฺวํ มยา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสเงฺฆ สิกฺขํ สมาทิยมาเน อนุสฺสาหํ ปเวเทสิฯ ยโต จ โข ตฺวํ, ภทฺทาลิ, อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรสิ, ตํ เต มยํ ปฎิคฺคณฺหามฯ วุทฺธิเหสา, ภทฺทาลิ, อริยสฺส วินเย โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรติ, อายติํ สํวรํ อาปชฺชติ’’ฯ
‘‘Evaṃ , bhante. Accayo maṃ, bhante, accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yohaṃ bhagavatā sikkhāpade paññāpiyamāne bhikkhusaṅghe sikkhaṃ samādiyamāne anussāhaṃ pavedesiṃ. Tassa me, bhante, bhagavā accayaṃ accayato paṭiggaṇhātu āyatiṃ saṃvarāyā’’ti. ‘‘Taggha tvaṃ, bhaddāli, accayo accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yaṃ tvaṃ mayā sikkhāpade paññāpiyamāne bhikkhusaṅghe sikkhaṃ samādiyamāne anussāhaṃ pavedesi. Yato ca kho tvaṃ, bhaddāli, accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikarosi, taṃ te mayaṃ paṭiggaṇhāma. Vuddhihesā, bhaddāli, ariyassa vinaye yo accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaroti, āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjati’’.
๑๓๗. ‘‘อิธ, ภทฺทาลิ, เอกโจฺจ ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี โหติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภเชยฺยํ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ อเปฺปว นามาหํ อุตฺตริ 5 มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ สจฺฉิกเรยฺย’นฺติฯ โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ ตสฺส ตถาวูปกฎฺฐสฺส วิหรโต สตฺถาปิ อุปวทติ, อนุวิจฺจปิ วิญฺญู สพฺรหฺมจารี อุปวทนฺติ, เทวตาปิ อุปวทนฺติ, อตฺตาปิ อตฺตานํ อุปวทติฯ โส สตฺถาราปิ อุปวทิโต, อนุวิจฺจปิ วิญฺญูหิ สพฺรหฺมจารีหิ อุปวทิโต, เทวตาหิปิ อุปวทิโต, อตฺตนาปิ อตฺตานํ อุปวทิโต น อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ สจฺฉิกโรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการิสฺสฯ
137. ‘‘Idha, bhaddāli, ekacco bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī hoti. Tassa evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ vivittaṃ senāsanaṃ bhajeyyaṃ araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. Appeva nāmāhaṃ uttari 6 manussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ sacchikareyya’nti. So vivittaṃ senāsanaṃ bhajati araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. Tassa tathāvūpakaṭṭhassa viharato satthāpi upavadati, anuviccapi viññū sabrahmacārī upavadanti, devatāpi upavadanti, attāpi attānaṃ upavadati. So satthārāpi upavadito, anuviccapi viññūhi sabrahmacārīhi upavadito, devatāhipi upavadito, attanāpi attānaṃ upavadito na uttari manussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ sacchikaroti. Taṃ kissa hetu? Evañhi taṃ, bhaddāli, hoti yathā taṃ satthusāsane sikkhāya aparipūrakārissa.
๑๓๘. ‘‘อิธ ปน, ภทฺทาลิ, เอกโจฺจ ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการี โหติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภเชยฺยํ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ อเปฺปว นามาหํ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ สจฺฉิกเรยฺย’นฺติฯ โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ ตสฺส ตถาวูปกฎฺฐสฺส วิหรโต สตฺถาปิ น อุปวทติ, อนุวิจฺจปิ วิญฺญู สพฺรหฺมจารี น อุปวทนฺติ, เทวตาปิ น อุปวทนฺติ, อตฺตาปิ อตฺตานํ น อุปวทติฯ โส สตฺถาราปิ อนุปวทิโต , อนุวิจฺจปิ วิญฺญูหิ สพฺรหฺมจารีหิ อนุปวทิโต, เทวตาหิปิ อนุปวทิโต, อตฺตนาปิ อตฺตานํ อนุปวทิโต อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ สจฺฉิกโรติฯ โส วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
138. ‘‘Idha pana, bhaddāli, ekacco bhikkhu satthusāsane sikkhāya paripūrakārī hoti. Tassa evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ vivittaṃ senāsanaṃ bhajeyyaṃ araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. Appeva nāmāhaṃ uttari manussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ sacchikareyya’nti. So vivittaṃ senāsanaṃ bhajati araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. Tassa tathāvūpakaṭṭhassa viharato satthāpi na upavadati, anuviccapi viññū sabrahmacārī na upavadanti, devatāpi na upavadanti, attāpi attānaṃ na upavadati. So satthārāpi anupavadito , anuviccapi viññūhi sabrahmacārīhi anupavadito, devatāhipi anupavadito, attanāpi attānaṃ anupavadito uttari manussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ sacchikaroti. So vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Taṃ kissa hetu? Evañhi taṃ, bhaddāli, hoti yathā taṃ satthusāsane sikkhāya paripūrakārissa.
๑๓๙. ‘‘ปุน จปรํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
139. ‘‘Puna caparaṃ, bhaddāli, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Taṃ kissa hetu? Evañhi taṃ, bhaddāli, hoti yathā taṃ satthusāsane sikkhāya paripūrakārissa.
‘‘ปุน จปรํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ, สโต จ สมฺปชาโน สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhaddāli, bhikkhu pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati, sato ca sampajāno sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti, yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Taṃ kissa hetu? Evañhi taṃ, bhaddāli, hoti yathā taṃ satthusāsane sikkhāya paripūrakārissa.
‘‘ปุน จปรํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhaddāli, bhikkhu sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Taṃ kissa hetu? Evañhi taṃ, bhaddāli, hoti yathā taṃ satthusāsane sikkhāya paripūrakārissa.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Taṃ kissa hetu? Evañhi taṃ, bhaddāli, hoti yathā taṃ satthusāsane sikkhāya paripūrakārissa.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา…เป.… วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนา; อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา…เป.… สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติ อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน…เป.… ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānāti – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā…pe… vinipātaṃ nirayaṃ upapannā; ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā…pe… sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena…pe… yathākammūpage satte pajānāti. Taṃ kissa hetu? Evañhi taṃ, bhaddāli, hoti yathā taṃ satthusāsane sikkhāya paripūrakārissa.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ; ‘อิเม อาสวา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ ตํ, ภทฺทาลิ, โหติ ยถา ตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย ปริปูรการิสฺสา’’ติฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So ‘idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti; ‘ime āsavā’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Taṃ kissa hetu? Evañhi taṃ, bhaddāli, hoti yathā taṃ satthusāsane sikkhāya paripūrakārissā’’ti.
๑๔๐. เอวํ วุเตฺต, อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน มิเธกจฺจํ ภิกฺขุํ ปสยฺห ปสยฺห 7 การณํ กโรนฺติ? โก ปน, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน มิเธกจฺจํ ภิกฺขุํ โน ตถา ปสยฺห ปสยฺห การณํ กโรนฺตี’’ติ? ‘‘อิธ, ภทฺทาลิ, เอกโจฺจ ภิกฺขุ อภิณฺหาปตฺติโก โหติ อาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, น สมฺมา วตฺตติ, น โลมํ ปาเตติ, น เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สโงฺฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี’ติ นาหฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ – อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ อภิณฺหาปตฺติโก อาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, น สมฺมา วตฺตติ, น โลมํ ปาเตติ, น เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สโงฺฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี’ติ นาหฯ สาธุ วตายสฺมโนฺต อิมสฺส ภิกฺขุโน ตถา ตถา อุปปริกฺขถ ยถาสฺสิทํ 8 อธิกรณํ น ขิปฺปเมว วูปสเมยฺยาติฯ ตสฺส โข เอวํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุโน ภิกฺขู ตถา ตถา อุปปริกฺขนฺติ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ น ขิปฺปเมว วูปสมฺมติฯ
140. Evaṃ vutte, āyasmā bhaddāli bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ko nu kho, bhante, hetu, ko paccayo yena midhekaccaṃ bhikkhuṃ pasayha pasayha 9 kāraṇaṃ karonti? Ko pana, bhante, hetu, ko paccayo yena midhekaccaṃ bhikkhuṃ no tathā pasayha pasayha kāraṇaṃ karontī’’ti? ‘‘Idha, bhaddāli, ekacco bhikkhu abhiṇhāpattiko hoti āpattibahulo. So bhikkhūhi vuccamāno aññenaññaṃ paṭicarati, bahiddhā kathaṃ apanāmeti, kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti, na sammā vattati, na lomaṃ pāteti, na netthāraṃ vattati, ‘yena saṅgho attamano hoti taṃ karomī’ti nāha. Tatra, bhaddāli, bhikkhūnaṃ evaṃ hoti – ayaṃ kho, āvuso, bhikkhu abhiṇhāpattiko āpattibahulo. So bhikkhūhi vuccamāno aññenaññaṃ paṭicarati, bahiddhā kathaṃ apanāmeti, kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti, na sammā vattati, na lomaṃ pāteti, na netthāraṃ vattati, ‘yena saṅgho attamano hoti taṃ karomī’ti nāha. Sādhu vatāyasmanto imassa bhikkhuno tathā tathā upaparikkhatha yathāssidaṃ 10 adhikaraṇaṃ na khippameva vūpasameyyāti. Tassa kho evaṃ, bhaddāli, bhikkhuno bhikkhū tathā tathā upaparikkhanti yathāssidaṃ adhikaraṇaṃ na khippameva vūpasammati.
๑๔๑. ‘‘อิธ ปน, ภทฺทาลิ, เอกโจฺจ ภิกฺขุ อภิณฺหาปตฺติโก โหติ อาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน นาเญฺญนญฺญํ ปฎิจรติ, พหิทฺธา กถํ น อปนาเมติ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สโงฺฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี’ติ อาหฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ – อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ อภิณฺหาปตฺติโก อาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน นาเญฺญนญฺญํ ปฎิจรติ, พหิทฺธา กถํ น อปนาเมติ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สโงฺฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี’ติ อาหฯ สาธุ วตายสฺมโนฺต, อิมสฺส ภิกฺขุโน ตถา ตถา อุปปริกฺขถ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ ขิปฺปเมว วูปสเมยฺยาติฯ ตสฺส โข เอวํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุโน ภิกฺขู ตถา ตถา อุปปริกฺขนฺติ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ ขิปฺปเมว วูปสมฺมติฯ
141. ‘‘Idha pana, bhaddāli, ekacco bhikkhu abhiṇhāpattiko hoti āpattibahulo. So bhikkhūhi vuccamāno nāññenaññaṃ paṭicarati, bahiddhā kathaṃ na apanāmeti, na kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti, sammā vattati, lomaṃ pāteti, netthāraṃ vattati, ‘yena saṅgho attamano hoti taṃ karomī’ti āha. Tatra, bhaddāli, bhikkhūnaṃ evaṃ hoti – ayaṃ kho, āvuso, bhikkhu abhiṇhāpattiko āpattibahulo. So bhikkhūhi vuccamāno nāññenaññaṃ paṭicarati, bahiddhā kathaṃ na apanāmeti, na kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti, sammā vattati, lomaṃ pāteti, netthāraṃ vattati, ‘yena saṅgho attamano hoti taṃ karomī’ti āha. Sādhu vatāyasmanto, imassa bhikkhuno tathā tathā upaparikkhatha yathāssidaṃ adhikaraṇaṃ khippameva vūpasameyyāti. Tassa kho evaṃ, bhaddāli, bhikkhuno bhikkhū tathā tathā upaparikkhanti yathāssidaṃ adhikaraṇaṃ khippameva vūpasammati.
๑๔๒. ‘‘อิธ, ภทฺทาลิ, เอกโจฺจ ภิกฺขุ อธิจฺจาปตฺติโก โหติ อนาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, น สมฺมา วตฺตติ, น โลมํ ปาเตติ, น เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สโงฺฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี’ติ นาหฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ – อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ อธิจฺจาปตฺติโก อนาปตฺติพหุโล ฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, น สมฺมา วตฺตติ, น โลมํ ปาเตติ, น เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สโงฺฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี’ติ นาหฯ สาธุ วตายสฺมโนฺต, อิมสฺส ภิกฺขุโน ตถา ตถา อุปปริกฺขถ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ น ขิปฺปเมว วูปสเมยฺยาติฯ ตสฺส โข เอวํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุโน ภิกฺขู ตถา ตถา อุปปริกฺขนฺติ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ น ขิปฺปเมว วูปสมฺมติฯ
142. ‘‘Idha, bhaddāli, ekacco bhikkhu adhiccāpattiko hoti anāpattibahulo. So bhikkhūhi vuccamāno aññenaññaṃ paṭicarati, bahiddhā kathaṃ apanāmeti, kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti, na sammā vattati, na lomaṃ pāteti, na netthāraṃ vattati, ‘yena saṅgho attamano hoti taṃ karomī’ti nāha. Tatra, bhaddāli, bhikkhūnaṃ evaṃ hoti – ayaṃ kho, āvuso, bhikkhu adhiccāpattiko anāpattibahulo . So bhikkhūhi vuccamāno aññenaññaṃ paṭicarati, bahiddhā kathaṃ apanāmeti, kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti, na sammā vattati, na lomaṃ pāteti, na netthāraṃ vattati, ‘yena saṅgho attamano hoti taṃ karomī’ti nāha. Sādhu vatāyasmanto, imassa bhikkhuno tathā tathā upaparikkhatha yathāssidaṃ adhikaraṇaṃ na khippameva vūpasameyyāti. Tassa kho evaṃ, bhaddāli, bhikkhuno bhikkhū tathā tathā upaparikkhanti yathāssidaṃ adhikaraṇaṃ na khippameva vūpasammati.
๑๔๓. ‘‘อิธ ปน, ภทฺทาลิ, เอกโจฺจ ภิกฺขุ อธิจฺจาปตฺติโก โหติ อนาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน นาเญฺญนญฺญํ ปฎิจรติ, น พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สโงฺฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี’ติ อาหฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ – อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ อธิจฺจาปตฺติโก อนาปตฺติพหุโลฯ โส ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน นาเญฺญนญฺญํ ปฎิจรติ, น พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติ, สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, ‘เยน สโงฺฆ อตฺตมโน โหติ ตํ กโรมี’ติ อาหฯ สาธุ วตายสฺมโนฺต, อิมสฺส ภิกฺขุโน ตถา ตถา อุปปริกฺขถ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ ขิปฺปเมว วูปสเมยฺยาติฯ ตสฺส โข เอวํ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุโน ภิกฺขู ตถา ตถา อุปปริกฺขนฺติ ยถาสฺสิทํ อธิกรณํ ขิปฺปเมว วูปสมฺมติฯ
143. ‘‘Idha pana, bhaddāli, ekacco bhikkhu adhiccāpattiko hoti anāpattibahulo. So bhikkhūhi vuccamāno nāññenaññaṃ paṭicarati, na bahiddhā kathaṃ apanāmeti, na kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti, sammā vattati, lomaṃ pāteti, netthāraṃ vattati, ‘yena saṅgho attamano hoti taṃ karomī’ti āha. Tatra, bhaddāli, bhikkhūnaṃ evaṃ hoti – ayaṃ kho, āvuso, bhikkhu adhiccāpattiko anāpattibahulo. So bhikkhūhi vuccamāno nāññenaññaṃ paṭicarati, na bahiddhā kathaṃ apanāmeti, na kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti, sammā vattati, lomaṃ pāteti, netthāraṃ vattati, ‘yena saṅgho attamano hoti taṃ karomī’ti āha. Sādhu vatāyasmanto, imassa bhikkhuno tathā tathā upaparikkhatha yathāssidaṃ adhikaraṇaṃ khippameva vūpasameyyāti. Tassa kho evaṃ, bhaddāli, bhikkhuno bhikkhū tathā tathā upaparikkhanti yathāssidaṃ adhikaraṇaṃ khippameva vūpasammati.
๑๔๔. ‘‘อิธ , ภทฺทาลิ, เอกโจฺจ ภิกฺขุ สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ – ‘อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนฯ สเจ มยํ อิมํ ภิกฺขุํ ปสยฺห ปสยฺห การณํ กริสฺสาม – มา ยมฺปิสฺส ตํ สทฺธามตฺตกํ เปมมตฺตกํ ตมฺหาปิ ปริหายี’ติฯ เสยฺยถาปิ, ภทฺทาลิ, ปุริสสฺส เอกํ จกฺขุํ, ตสฺส มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ตํ เอกํ จกฺขุํ รเกฺขยฺยุํ – ‘มา ยมฺปิสฺส ตํ เอกํ จกฺขุํ ตมฺหาปิ ปริหายี’ติ; เอวเมว โข, ภทฺทาลิ, อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนฯ ตตฺร, ภทฺทาลิ, ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ – ‘อยํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนฯ สเจ มยํ อิมํ ภิกฺขุํ ปสยฺห ปสยฺห การณํ กริสฺสาม – มา ยมฺปิสฺส ตํ สทฺธามตฺตกํ เปมมตฺตกํ ตมฺหาปิ ปริหายี’ติฯ อยํ โข, ภทฺทาลิ, เหตุ อยํ ปจฺจโย เยน มิเธกจฺจํ ภิกฺขุํ ปสยฺห ปสยฺห การณํ กโรนฺติฯ อยํ ปน, ภทฺทาลิ, เหตุ อยํ ปจฺจโย, เยน มิเธกจฺจํ ภิกฺขุํ โน ตถา ปสยฺห ปสยฺห การณํ กโรนฺตี’’ติฯ
144. ‘‘Idha , bhaddāli, ekacco bhikkhu saddhāmattakena vahati pemamattakena. Tatra, bhaddāli, bhikkhūnaṃ evaṃ hoti – ‘ayaṃ kho, āvuso, bhikkhu saddhāmattakena vahati pemamattakena. Sace mayaṃ imaṃ bhikkhuṃ pasayha pasayha kāraṇaṃ karissāma – mā yampissa taṃ saddhāmattakaṃ pemamattakaṃ tamhāpi parihāyī’ti. Seyyathāpi, bhaddāli, purisassa ekaṃ cakkhuṃ, tassa mittāmaccā ñātisālohitā taṃ ekaṃ cakkhuṃ rakkheyyuṃ – ‘mā yampissa taṃ ekaṃ cakkhuṃ tamhāpi parihāyī’ti; evameva kho, bhaddāli, idhekacco bhikkhu saddhāmattakena vahati pemamattakena. Tatra, bhaddāli, bhikkhūnaṃ evaṃ hoti – ‘ayaṃ kho, āvuso, bhikkhu saddhāmattakena vahati pemamattakena. Sace mayaṃ imaṃ bhikkhuṃ pasayha pasayha kāraṇaṃ karissāma – mā yampissa taṃ saddhāmattakaṃ pemamattakaṃ tamhāpi parihāyī’ti. Ayaṃ kho, bhaddāli, hetu ayaṃ paccayo yena midhekaccaṃ bhikkhuṃ pasayha pasayha kāraṇaṃ karonti. Ayaṃ pana, bhaddāli, hetu ayaṃ paccayo, yena midhekaccaṃ bhikkhuṃ no tathā pasayha pasayha kāraṇaṃ karontī’’ti.
๑๔๕. ‘‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน ปุเพฺพ อปฺปตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ อเหสุํ พหุตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหิํสุ? โก ปน, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน เอตรหิ พหุตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ โหนฺติ อปฺปตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหนฺตี’ติ? ‘‘เอวเมตํ, ภทฺทาลิ, โหติ สเตฺตสุ หายมาเนสุ, สทฺธเมฺม อนฺตรธายมาเน, พหุตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ โหนฺติ อปฺปตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหนฺตีติฯ น ตาว, ภทฺทาลิ, สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปติ ยาว น อิเธกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา สเงฺฆ ปาตุภวนฺติฯ ยโต จ โข, ภทฺทาลิ, อิเธกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา สเงฺฆ ปาตุภวนฺติ, อถ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปติ เตสํเยว อาสวฎฺฐานียานํ ธมฺมานํ ปฎิฆาตายฯ น ตาว, ภทฺทาลิ, อิเธกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา สเงฺฆ ปาตุภวนฺติ ยาว น สโงฺฆ มหตฺตํ ปโตฺต โหติฯ ยโต จ โข, ภทฺทาลิ, สโงฺฆ มหตฺตํ ปโตฺต โหติ, อถ อิเธกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา สเงฺฆ ปาตุภวนฺติฯ อถ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปติ เตสํเยว อาสวฎฺฐานียานํ ธมฺมานํ ปฎิฆาตายฯ น ตาว, ภทฺทาลิ, อิเธกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา สเงฺฆ ปาตุภวนฺติ ยาว น สโงฺฆ ลาภคฺคํ ปโตฺต โหติ, ยสคฺคํ ปโตฺต โหติ, พาหุสจฺจํ ปโตฺต โหติ, รตฺตญฺญุตํ ปโตฺต โหติฯ ยโต จ โข, ภทฺทาลิ, สโงฺฆ รตฺตญฺญุตํ ปโตฺต โหติ, อถ อิเธกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา สเงฺฆ ปาตุภวนฺติ, อถ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปติ เตสํเยว อาสวฎฺฐานียานํ ธมฺมานํ ปฎิฆาตายฯ
145. ‘‘‘Ko nu kho, bhante, hetu, ko paccayo yena pubbe appatarāni ceva sikkhāpadāni ahesuṃ bahutarā ca bhikkhū aññāya saṇṭhahiṃsu? Ko pana, bhante, hetu, ko paccayo yena etarahi bahutarāni ceva sikkhāpadāni honti appatarā ca bhikkhū aññāya saṇṭhahantī’ti? ‘‘Evametaṃ, bhaddāli, hoti sattesu hāyamānesu, saddhamme antaradhāyamāne, bahutarāni ceva sikkhāpadāni honti appatarā ca bhikkhū aññāya saṇṭhahantīti. Na tāva, bhaddāli, satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññāpeti yāva na idhekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā saṅghe pātubhavanti. Yato ca kho, bhaddāli, idhekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā saṅghe pātubhavanti, atha satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññāpeti tesaṃyeva āsavaṭṭhānīyānaṃ dhammānaṃ paṭighātāya. Na tāva, bhaddāli, idhekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā saṅghe pātubhavanti yāva na saṅgho mahattaṃ patto hoti. Yato ca kho, bhaddāli, saṅgho mahattaṃ patto hoti, atha idhekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā saṅghe pātubhavanti. Atha satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññāpeti tesaṃyeva āsavaṭṭhānīyānaṃ dhammānaṃ paṭighātāya. Na tāva, bhaddāli, idhekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā saṅghe pātubhavanti yāva na saṅgho lābhaggaṃ patto hoti, yasaggaṃ patto hoti, bāhusaccaṃ patto hoti, rattaññutaṃ patto hoti. Yato ca kho, bhaddāli, saṅgho rattaññutaṃ patto hoti, atha idhekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā saṅghe pātubhavanti, atha satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññāpeti tesaṃyeva āsavaṭṭhānīyānaṃ dhammānaṃ paṭighātāya.
๑๔๖. ‘‘อปฺปกา โข ตุเมฺห, ภทฺทาลิ, เตน สมเยน อหุวตฺถ ยทา โว อหํ อาชานียสุสูปมํ ธมฺมปริยายํ เทเสสิํฯ ตํ สรสิ 11 ภทฺทาลี’’ติ ?
146. ‘‘Appakā kho tumhe, bhaddāli, tena samayena ahuvattha yadā vo ahaṃ ājānīyasusūpamaṃ dhammapariyāyaṃ desesiṃ. Taṃ sarasi 12 bhaddālī’’ti ?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘ตตฺร, ภทฺทาลิ, กํ เหตุํ ปเจฺจสี’’ติ?
‘‘Tatra, bhaddāli, kaṃ hetuṃ paccesī’’ti?
‘‘โส หิ นูนาหํ, ภเนฺต, ทีฆรตฺตํ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี อโหสิ’’นฺติฯ
‘‘So hi nūnāhaṃ, bhante, dīgharattaṃ satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī ahosi’’nti.
‘‘น โข, ภทฺทาลิ, เอเสว เหตุ, เอส ปจฺจโยฯ อปิ จ เม ตฺวํ, ภทฺทาลิ, ทีฆรตฺตํ เจตสา เจโตปริจฺจ วิทิโต – ‘น จายํ โมฆปุริโส มยา ธเมฺม เทสิยมาเน อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กตฺวา สพฺพเจตโส 13 สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณาตี’ติฯ อปิ จ เต อหํ, ภทฺทาลิ, อาชานียสุสูปมํ ธมฺมปริยายํ เทเสสฺสามิฯ ตํ สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ ; ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ –
‘‘Na kho, bhaddāli, eseva hetu, esa paccayo. Api ca me tvaṃ, bhaddāli, dīgharattaṃ cetasā cetoparicca vidito – ‘na cāyaṃ moghapuriso mayā dhamme desiyamāne aṭṭhiṃ katvā manasi katvā sabbacetaso 14 samannāharitvā ohitasoto dhammaṃ suṇātī’ti. Api ca te ahaṃ, bhaddāli, ājānīyasusūpamaṃ dhammapariyāyaṃ desessāmi. Taṃ suṇāhi, sādhukaṃ manasi karohi ; bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho āyasmā bhaddāli bhagavato paccassosi. Bhagavā etadavoca –
๑๔๗. ‘‘เสยฺยถาปิ, ภทฺทาลิ, ทโกฺข อสฺสทมโก ภทฺรํ อสฺสาชานียํ ลภิตฺวา ปฐเมเนว มุขาธาเน การณํ กาเรติฯ ตสฺส มุขาธาเน การณํ การิยมานสฺส โหนฺติเยว วิสูกายิตานิ วิเสวิตานิ วิปฺผนฺทิตานิ กานิจิ กานิจิ, ยถา ตํ อการิตปุพฺพํ การณํ การิยมานสฺสฯ โส อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมิํ ฐาเน ปรินิพฺพายติฯ ยโต โข, ภทฺทาลิ, ภโทฺร อสฺสาชานีโย อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมิํ ฐาเน ปรินิพฺพุโต โหติ, ตเมนํ อสฺสทมโก อุตฺตริ การณํ กาเรติ ยุคาธาเนฯ ตสฺส ยุคาธาเน การณํ การิยมานสฺส โหนฺติเยว วิสูกายิตานิ วิเสวิตานิ วิปฺผนฺทิตานิ กานิจิ กานิจิ, ยถา ตํ อการิตปุพฺพํ การณํ การิยมานสฺสฯ โส อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมิํ ฐาเน ปรินิพฺพายติ ฯ ยโต โข, ภทฺทาลิ, ภโทฺร อสฺสาชานีโย อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมิํ ฐาเน ปรินิพฺพุโต โหติ, ตเมนํ อสฺสทมโก อุตฺตริ การณํ กาเรติ อนุกฺกเม มณฺฑเล ขุรกาเส 15 ธาเว ทวเตฺต 16 ราชคุเณ ราชวํเส อุตฺตเม ชเว อุตฺตเม หเย อุตฺตเม สาขเลฺยฯ ตสฺส อุตฺตเม ชเว อุตฺตเม หเย อุตฺตเม สาขเลฺย การณํ การิยมานสฺส โหนฺติเยว วิสูกายิตานิ วิเสวิตานิ วิปฺผนฺทิตานิ กานิจิ กานิจิ, ยถา ตํ อการิตปุพฺพํ การณํ การิยมานสฺสฯ โส อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมิํ ฐาเน ปรินิพฺพายติฯ ยโต โข, ภทฺทาลิ, ภโทฺร อสฺสาชานีโย อภิณฺหการณา อนุปุพฺพการณา ตสฺมิํ ฐาเน ปรินิพฺพุโต โหติ, ตเมนํ อสฺสทมโก อุตฺตริ วณฺณิยญฺจ ปาณิยญฺจ 17 อนุปฺปเวจฺฉติฯ อิเมหิ โข, ภทฺทาลิ, ทสหเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภโทฺร อสฺสาชานีโย ราชารโห โหติ ราชโภโคฺค รโญฺญ องฺคเนฺตว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ
147. ‘‘Seyyathāpi, bhaddāli, dakkho assadamako bhadraṃ assājānīyaṃ labhitvā paṭhameneva mukhādhāne kāraṇaṃ kāreti. Tassa mukhādhāne kāraṇaṃ kāriyamānassa hontiyeva visūkāyitāni visevitāni vipphanditāni kānici kānici, yathā taṃ akāritapubbaṃ kāraṇaṃ kāriyamānassa. So abhiṇhakāraṇā anupubbakāraṇā tasmiṃ ṭhāne parinibbāyati. Yato kho, bhaddāli, bhadro assājānīyo abhiṇhakāraṇā anupubbakāraṇā tasmiṃ ṭhāne parinibbuto hoti, tamenaṃ assadamako uttari kāraṇaṃ kāreti yugādhāne. Tassa yugādhāne kāraṇaṃ kāriyamānassa hontiyeva visūkāyitāni visevitāni vipphanditāni kānici kānici, yathā taṃ akāritapubbaṃ kāraṇaṃ kāriyamānassa. So abhiṇhakāraṇā anupubbakāraṇā tasmiṃ ṭhāne parinibbāyati . Yato kho, bhaddāli, bhadro assājānīyo abhiṇhakāraṇā anupubbakāraṇā tasmiṃ ṭhāne parinibbuto hoti, tamenaṃ assadamako uttari kāraṇaṃ kāreti anukkame maṇḍale khurakāse 18 dhāve davatte 19 rājaguṇe rājavaṃse uttame jave uttame haye uttame sākhalye. Tassa uttame jave uttame haye uttame sākhalye kāraṇaṃ kāriyamānassa hontiyeva visūkāyitāni visevitāni vipphanditāni kānici kānici, yathā taṃ akāritapubbaṃ kāraṇaṃ kāriyamānassa. So abhiṇhakāraṇā anupubbakāraṇā tasmiṃ ṭhāne parinibbāyati. Yato kho, bhaddāli, bhadro assājānīyo abhiṇhakāraṇā anupubbakāraṇā tasmiṃ ṭhāne parinibbuto hoti, tamenaṃ assadamako uttari vaṇṇiyañca pāṇiyañca 20 anuppavecchati. Imehi kho, bhaddāli, dasahaṅgehi samannāgato bhadro assājānīyo rājāraho hoti rājabhoggo rañño aṅganteva saṅkhyaṃ gacchati.
‘‘เอวเมว โข, ภทฺทาลิ, ทสหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อาหุเนโยฺย โหติ ปาหุเนโยฺย ทกฺขิเณโยฺย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺสฯ กตเมหิ ทสหิ? อิธ, ภทฺทาลิ, ภิกฺขุ อเสขาย สมฺมาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาสงฺกเปฺปน สมนฺนาคโต โหติ, อเสขาย สมฺมาวาจาย สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมากมฺมเนฺตน สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาอาชีเวน สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาวายาเมน สมนฺนาคโต โหติ , อเสขาย สมฺมาสติยา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาสมาธินา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาญาเณน สมนฺนาคโต โหติ, อเสขาย สมฺมาวิมุตฺติยา สมนฺนาคโต โหติ – อิเมหิ โข, ภทฺทาลิ, ทสหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อาหุเนโยฺย โหติ ปาหุเนโยฺย ทกฺขิเณโยฺย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺสา’’ติฯ
‘‘Evameva kho, bhaddāli, dasahi dhammehi samannāgato bhikkhu āhuneyyo hoti pāhuneyyo dakkhiṇeyyo añjalikaraṇīyo anuttaraṃ puññakkhettaṃ lokassa. Katamehi dasahi? Idha, bhaddāli, bhikkhu asekhāya sammādiṭṭhiyā samannāgato hoti, asekhena sammāsaṅkappena samannāgato hoti, asekhāya sammāvācāya samannāgato hoti, asekhena sammākammantena samannāgato hoti, asekhena sammāājīvena samannāgato hoti, asekhena sammāvāyāmena samannāgato hoti , asekhāya sammāsatiyā samannāgato hoti, asekhena sammāsamādhinā samannāgato hoti, asekhena sammāñāṇena samannāgato hoti, asekhāya sammāvimuttiyā samannāgato hoti – imehi kho, bhaddāli, dasahi dhammehi samannāgato bhikkhu āhuneyyo hoti pāhuneyyo dakkhiṇeyyo añjalikaraṇīyo anuttaraṃ puññakkhettaṃ lokassā’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา ภทฺทาลิ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā bhaddāli bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.
ภทฺทาลิสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปญฺจมํฯ
Bhaddālisuttaṃ niṭṭhitaṃ pañcamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. ภทฺทาลิสุตฺตวณฺณนา • 5. Bhaddālisuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. ภทฺทาลิสุตฺตวณฺณนา • 5. Bhaddālisuttavaṇṇanā