Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๕. ภทฺทาลิสุตฺตวณฺณนา
5. Bhaddālisuttavaṇṇanā
๑๓๔. เอวํ เม สุตนฺติ ภทฺทาลิสุตฺตํฯ ตตฺถ เอกาสนโภชนนฺติ เอกสฺมิํ ปุเรภเตฺต อสนโภชนํ, ภุญฺชิตพฺพภตฺตนฺติ อโตฺถฯ อปฺปาพาธตนฺติอาทีนิ กกโจปเม วิตฺถาริตานิฯ น อุสฺสหามีติ น สโกฺกมิฯ สิยา กุกฺกุจฺจํ สิยา วิปฺปฎิสาโรติ เอวํ ภุญฺชโนฺต ยาวชีวํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํ สกฺขิสฺสามิ นุ โข, น นุ โขติ อิติ เม วิปฺปฎิสารกุกฺกุจฺจํ ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ เอกเทสํ ภุญฺชิตฺวาติ โปราณกเตฺถรา กิร ปเตฺต ภตฺตํ ปกฺขิปิตฺวา สปฺปิมฺหิ ทิเนฺน สปฺปินา อุณฺหเมว โถกํ ภุญฺชิตฺวา หเตฺถ โธวิตฺวา อวเสสํ พหิ นีหริตฺวา ฉายูทกผาสุเก ฐาเน นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺติฯ เอตํ สนฺธาย สตฺถา อาหฯ ภทฺทาลิ, ปน จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ สกิํ ปตฺตํ ปูเรตฺวา ทินฺนํ ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ปุน ปตฺตํ โธวิตฺวา โอทนสฺส ปูเรตฺวา ลทฺธํ พหิ นีหริตฺวา ฉายูทกผาสุเก ฐาเน ภุเญฺชยฺย, อิติ เอวํ วเฎฺฎยฺย, อิตรถา โก สโกฺกตี’’ติฯ ตสฺมา เอวมฺปิ โข อหํ, ภเนฺต, น อุสฺสหามีติ อาหฯ อยํ กิร อตีเต อนนฺตราย ชาติยา กากโยนิยํ นิพฺพตฺติฯ กากา จ นาม มหาฉาตกา โหนฺติฯ ตสฺมา ฉาตกเตฺถโร นาม อโหสิฯ ตสฺส ปน วิรวนฺตเสฺสว ภควา ตํ มทฺทิตฺวา อโชฺฌตฺถริตฺวา – ‘‘โย ปน ภิกฺขุ วิกาเล ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ขาเทยฺย วา ภุเญฺชยฺย วา ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๒๔๘) สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิฯ เตน วุตฺตํ อถ โข อายสฺมา, ภทฺทาลิ,…เป.… อนุสฺสาหํ ปเวเทสีติฯ
134.Evaṃme sutanti bhaddālisuttaṃ. Tattha ekāsanabhojananti ekasmiṃ purebhatte asanabhojanaṃ, bhuñjitabbabhattanti attho. Appābādhatantiādīni kakacopame vitthāritāni. Na ussahāmīti na sakkomi. Siyā kukkuccaṃ siyā vippaṭisāroti evaṃ bhuñjanto yāvajīvaṃ brahmacariyaṃ carituṃ sakkhissāmi nu kho, na nu khoti iti me vippaṭisārakukkuccaṃ bhaveyyāti attho. Ekadesaṃ bhuñjitvāti porāṇakattherā kira patte bhattaṃ pakkhipitvā sappimhi dinne sappinā uṇhameva thokaṃ bhuñjitvā hatthe dhovitvā avasesaṃ bahi nīharitvā chāyūdakaphāsuke ṭhāne nisīditvā bhuñjanti. Etaṃ sandhāya satthā āha. Bhaddāli, pana cintesi – ‘‘sace sakiṃ pattaṃ pūretvā dinnaṃ bhattaṃ bhuñjitvā puna pattaṃ dhovitvā odanassa pūretvā laddhaṃ bahi nīharitvā chāyūdakaphāsuke ṭhāne bhuñjeyya, iti evaṃ vaṭṭeyya, itarathā ko sakkotī’’ti. Tasmā evampi kho ahaṃ, bhante, na ussahāmīti āha. Ayaṃ kira atīte anantarāya jātiyā kākayoniyaṃ nibbatti. Kākā ca nāma mahāchātakā honti. Tasmā chātakatthero nāma ahosi. Tassa pana viravantasseva bhagavā taṃ madditvā ajjhottharitvā – ‘‘yo pana bhikkhu vikāle khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā khādeyya vā bhuñjeyya vā pācittiya’’nti (pāci. 248) sikkhāpadaṃ paññapesi. Tena vuttaṃ atha kho āyasmā, bhaddāli,…pe… anussāhaṃ pavedesīti.
ยถา ตนฺติ ยถา อโญฺญปิ สิกฺขาย น ปริปูรการี เอกวิหาเรปิ วสโนฺต สตฺถุ สมฺมุขีภาวํ น ทเทยฺย, ตเถว น อทาสีติ อโตฺถฯ เนว ภควโต อุปฎฺฐานํ อคมาสิ, น ธมฺมเทสนฎฺฐานํ น วิตกฺกมาฬกํ, น เอกํ ภิกฺขาจารมคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ยสฺมิํ กุเล ภควา นิสีทติ, ตสฺส ทฺวาเรปิ น อฎฺฐาสิฯ สจสฺส วสนฎฺฐานํ ภควา คจฺฉติ, โส ปุเรตรเมว ญตฺวา อญฺญตฺถ คจฺฉติฯ สทฺธาปพฺพชิโต กิเรส กุลปุโตฺต ปริสุทฺธสีโลฯ เตนสฺส น อโญฺญ วิตโกฺก อโหสิ, – ‘‘มยา นาม อุทรการณา ภควโต สิกฺขาปทปญฺญาปนํ ปฎิพาหิตํ, อนนุจฺฉวิกํ เม กต’’นฺติ อยเมว วิตโกฺก อโหสิฯ ตสฺมา เอกวิหาเร วสโนฺตปิ ลชฺชาย สตฺถุ สมฺมุขีภาวํ นาทาสิฯ
Yathātanti yathā aññopi sikkhāya na paripūrakārī ekavihārepi vasanto satthu sammukhībhāvaṃ na dadeyya, tatheva na adāsīti attho. Neva bhagavato upaṭṭhānaṃ agamāsi, na dhammadesanaṭṭhānaṃ na vitakkamāḷakaṃ, na ekaṃ bhikkhācāramaggaṃ paṭipajji. Yasmiṃ kule bhagavā nisīdati, tassa dvārepi na aṭṭhāsi. Sacassa vasanaṭṭhānaṃ bhagavā gacchati, so puretarameva ñatvā aññattha gacchati. Saddhāpabbajito kiresa kulaputto parisuddhasīlo. Tenassa na añño vitakko ahosi, – ‘‘mayā nāma udarakāraṇā bhagavato sikkhāpadapaññāpanaṃ paṭibāhitaṃ, ananucchavikaṃ me kata’’nti ayameva vitakko ahosi. Tasmā ekavihāre vasantopi lajjāya satthu sammukhībhāvaṃ nādāsi.
๑๓๕. จีวรกมฺมํ กโรนฺตีติ มนุสฺสา ภควโต จีวรสาฎกํ อทํสุ, ตํ คเหตฺวา จีวรํ กโรนฺติฯ เอตํ โทสกนฺติ เอตํ โอกาสเมตํ อปราธํ, สตฺถุ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปนฺตสฺส ปฎิพาหิตการณํ สาธุกํ มนสิ กโรหีติ อโตฺถฯ ทุกฺกรตรนฺติ วสฺสญฺหิ วสิตฺวา ทิสาปกฺกเนฺต ภิกฺขู กุหิํ วสิตฺถาติ ปุจฺฉนฺติ, เตหิ เชตวเน วสิมฺหาติ วุเตฺต, ‘‘อาวุโส, ภควา อิมสฺมิํ อโนฺตวเสฺส กตรํ ชาตกํ กเถสิ, กตรํ สุตฺตนฺตํ, กตรํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสี’’ติ ปุจฺฉิตาโร โหนฺติฯ ตโต ‘‘วิกาลโภชนสิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิ, ภทฺทาลิ, นาม นํ เอโก เถโร ปฎิพาหี’’ติ วกฺขนฺติฯ ตํ สุตฺวา ภิกฺขู – ‘‘ภควโตปิ นาม สิกฺขาปทํ ปญฺญเปนฺตสฺส ปฎิพาหิตํ อยุตฺตํ อการณ’’นฺติ วทนฺติฯ เอวํ เต อยํ โทโส มหาชนนฺตเร ปากโฎ หุตฺวา ทุปฺปฎิการตํ อาปชฺชิสฺสตีติ มญฺญมานา เอวมาหํสุฯ อปิจ อเญฺญปิ ภิกฺขู ปวาเรตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ อาคมิสฺสนฺติฯ อถ ตฺวํ ‘‘เอถาวุโส, มม สตฺถารํ ขมาเปนฺตสฺส สหายา โหถา’’ติ สงฺฆํ สนฺนิปาเตสฺสสิฯ ตตฺถ อาคนฺตุกา ปุจฺฉิสฺสนฺติ, ‘‘อาวุโส, กิํ อิมินาปิ ภิกฺขุนา กต’’นฺติฯ ตโต เอตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘ภาริยํ กตํ ภิกฺขุนา, ทสพลํ นาม ปฎิพาหิสฺสตีติ อยุตฺตเมต’’นฺติ วกฺขนฺติฯ เอวมฺปิ เต อยํ อปราโธ มหาชนนฺตเร ปากโฎ หุตฺวา ทุปฺปฎิการตํ อาปชฺชิสฺสตีติ มญฺญมานาปิ เอวมาหํสุฯ อถ วา ภควา ปวาเรตฺวา จาริกํ ปกฺกมิสฺสติ, อถ ตฺวํ คตคตฎฺฐาเน ภควโต ขมาปนตฺถาย สงฺฆํ สนฺนิปาเตสฺสสิฯ ตตฺร ทิสาวาสิโน ภิกฺขู ปุจฺฉิสฺสนฺติ, ‘‘อาวุโส, กิํ อิมินา ภิกฺขุนา กต’’นฺติ…เป.… ทุปฺปฎิการตํ อาปชฺชิสฺสตีติ มญฺญมานาปิ เอวมาหํสุฯ
135.Cīvarakammaṃ karontīti manussā bhagavato cīvarasāṭakaṃ adaṃsu, taṃ gahetvā cīvaraṃ karonti. Etaṃ dosakanti etaṃ okāsametaṃ aparādhaṃ, satthu sikkhāpadaṃ paññapentassa paṭibāhitakāraṇaṃ sādhukaṃ manasi karohīti attho. Dukkarataranti vassañhi vasitvā disāpakkante bhikkhū kuhiṃ vasitthāti pucchanti, tehi jetavane vasimhāti vutte, ‘‘āvuso, bhagavā imasmiṃ antovasse kataraṃ jātakaṃ kathesi, kataraṃ suttantaṃ, kataraṃ sikkhāpadaṃ paññapesī’’ti pucchitāro honti. Tato ‘‘vikālabhojanasikkhāpadaṃ paññapesi, bhaddāli, nāma naṃ eko thero paṭibāhī’’ti vakkhanti. Taṃ sutvā bhikkhū – ‘‘bhagavatopi nāma sikkhāpadaṃ paññapentassa paṭibāhitaṃ ayuttaṃ akāraṇa’’nti vadanti. Evaṃ te ayaṃ doso mahājanantare pākaṭo hutvā duppaṭikārataṃ āpajjissatīti maññamānā evamāhaṃsu. Apica aññepi bhikkhū pavāretvā satthu santikaṃ āgamissanti. Atha tvaṃ ‘‘ethāvuso, mama satthāraṃ khamāpentassa sahāyā hothā’’ti saṅghaṃ sannipātessasi. Tattha āgantukā pucchissanti, ‘‘āvuso, kiṃ imināpi bhikkhunā kata’’nti. Tato etamatthaṃ sutvā ‘‘bhāriyaṃ kataṃ bhikkhunā, dasabalaṃ nāma paṭibāhissatīti ayuttameta’’nti vakkhanti. Evampi te ayaṃ aparādho mahājanantare pākaṭo hutvā duppaṭikārataṃ āpajjissatīti maññamānāpi evamāhaṃsu. Atha vā bhagavā pavāretvā cārikaṃ pakkamissati, atha tvaṃ gatagataṭṭhāne bhagavato khamāpanatthāya saṅghaṃ sannipātessasi. Tatra disāvāsino bhikkhū pucchissanti, ‘‘āvuso, kiṃ iminā bhikkhunā kata’’nti…pe… duppaṭikārataṃ āpajjissatīti maññamānāpi evamāhaṃsu.
เอตทโวจาติ อปฺปติรูปํ มยา กตํ, ภควา ปน มหเนฺตปิ อคุเณ อลคฺคิตฺวา มยฺหํ อจฺจยํ ปฎิคฺคณฺหิสฺสตีติ มญฺญมาโน เอตํ ‘‘อจฺจโย มํ, ภเนฺต,’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ ตตฺถ อจฺจโยติ อปราโธฯ มํ อจฺจคมาติ มํ อติกฺกมฺม อภิภวิตฺวา ปวโตฺตฯ ปฎิคฺคณฺหาตูติ ขมตุฯ อายติํ สํวรายาติ อนาคเต สํวรณตฺถาย, ปุน เอวรูปสฺส อปราธสฺส โทสสฺส ขลิตสฺส อกรณตฺถายฯ ตคฺฆาติ เอกํเสนฯ สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลีติ, ภทฺทาลิ, ตยา ปฎิวิชฺฌิตพฺพยุตฺตกํ เอกํ การณํ อตฺถิ, ตมฺปิ เต น ปฎิวิทฺธํ น สลฺลกฺขิตนฺติ ทเสฺสติฯ
Etadavocāti appatirūpaṃ mayā kataṃ, bhagavā pana mahantepi aguṇe alaggitvā mayhaṃ accayaṃ paṭiggaṇhissatīti maññamāno etaṃ ‘‘accayo maṃ, bhante,’’tiādivacanaṃ avoca. Tattha accayoti aparādho. Maṃ accagamāti maṃ atikkamma abhibhavitvā pavatto. Paṭiggaṇhātūti khamatu. Āyatiṃ saṃvarāyāti anāgate saṃvaraṇatthāya, puna evarūpassa aparādhassa dosassa khalitassa akaraṇatthāya. Tagghāti ekaṃsena. Samayopi kho te, bhaddālīti, bhaddāli, tayā paṭivijjhitabbayuttakaṃ ekaṃ kāraṇaṃ atthi, tampi te na paṭividdhaṃ na sallakkhitanti dasseti.
๑๓๖. อุภโตภาควิมุโตฺตติอาทีสุ ธมฺมานุสารี, สทฺธานุสารีติ เทฺว เอกจิตฺตกฺขณิกา มคฺคสมงฺคิปุคฺคลาฯ เอเต ปน สตฺตปิ อริยปุคฺคเล ภควตาปิ เอวํ อาณาเปตุํ น ยุตฺตํ, ภควตา อาณเตฺต เตสมฺปิ เอวํ กาตุํ น ยุตฺตํฯ อฎฺฐานปริกปฺปวเสน ปน อริยปุคฺคลานํ สุวจภาวทสฺสนตฺถํ ภทฺทาลิเตฺถรสฺส จ ทุพฺพจภาวทสฺสนตฺถเมตํ วุตฺตํฯ
136.Ubhatobhāgavimuttotiādīsu dhammānusārī, saddhānusārīti dve ekacittakkhaṇikā maggasamaṅgipuggalā. Ete pana sattapi ariyapuggale bhagavatāpi evaṃ āṇāpetuṃ na yuttaṃ, bhagavatā āṇatte tesampi evaṃ kātuṃ na yuttaṃ. Aṭṭhānaparikappavasena pana ariyapuggalānaṃ suvacabhāvadassanatthaṃ bhaddālittherassa ca dubbacabhāvadassanatthametaṃ vuttaṃ.
อปิ นุ ตฺวํ ตสฺมิํ สมเย อุภโตภาควิมุโตฺตติ เทสนํ กสฺมา อารภิ? ภทฺทาลิสฺส นิคฺคหณตฺถํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – ภทฺทาลิ, อิเม สตฺต อริยปุคฺคลา โลเก ทกฺขิเณยฺยา มม สาสเน สามิโน, มยิ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปเนฺต ปฎิพาหิตพฺพยุเตฺต การเณ สติ เอเตสํ ปฎิพาหิตุํ ยุตฺตํฯ ตฺวํ ปน มม สาสนโต พาหิรโก, มยิ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปเนฺต ตุยฺหํ ปฎิพาหิตุํ น ยุตฺตนฺติฯ
Api nu tvaṃ tasmiṃ samaye ubhatobhāgavimuttoti desanaṃ kasmā ārabhi? Bhaddālissa niggahaṇatthaṃ. Ayañhettha adhippāyo – bhaddāli, ime satta ariyapuggalā loke dakkhiṇeyyā mama sāsane sāmino, mayi sikkhāpadaṃ paññapente paṭibāhitabbayutte kāraṇe sati etesaṃ paṭibāhituṃ yuttaṃ. Tvaṃ pana mama sāsanato bāhirako, mayi sikkhāpadaṃ paññapente tuyhaṃ paṭibāhituṃ na yuttanti.
ริโตฺต ตุโจฺฉติ อโนฺต อริยคุณานํ อภาเวน ริตฺตโก ตุจฺฉโก, อิสฺสรวจเน กิญฺจิ น โหติฯ ยถาธมฺมํ ปฎิกโรสีติ ยถา ธโมฺม ฐิโต, ตเถว กโรสิ, ขมาเปสีติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ เต มยํ ปฎิคฺคณฺหามาติ ตํ ตว อปราธํ มยํ ขมามฯ วุฑฺฒิ เหสา, ภทฺทาลิ, อริยสฺส วินเยติ เอสา, ภทฺทาลิ, อริยสฺส วินเย พุทฺธสฺส ภควโต สาสเน วุฑฺฒิ นามฯ กตมา? อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกริตฺวา อายติํ สํวราปชฺชนาฯ เทสนํ ปน ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ กโรโนฺต ‘‘โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรติ, อายติํ สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ อาหฯ
Ritto tucchoti anto ariyaguṇānaṃ abhāvena rittako tucchako, issaravacane kiñci na hoti. Yathādhammaṃ paṭikarosīti yathā dhammo ṭhito, tatheva karosi, khamāpesīti vuttaṃ hoti. Taṃ te mayaṃ paṭiggaṇhāmāti taṃ tava aparādhaṃ mayaṃ khamāma. Vuḍḍhi hesā, bhaddāli, ariyassa vinayeti esā, bhaddāli, ariyassa vinaye buddhassa bhagavato sāsane vuḍḍhi nāma. Katamā? Accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaritvā āyatiṃ saṃvarāpajjanā. Desanaṃ pana puggalādhiṭṭhānaṃ karonto ‘‘yo accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaroti, āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjatī’’ti āha.
๑๓๗. สตฺถาปิ อุปวทตีติ ‘‘อสุกวิหารวาสี อสุกสฺส เถรสฺส สทฺธิวิหาริโก อสุกสฺส อเนฺตวาสิโก อิตฺถนฺนาโม นาม ภิกฺขุ โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตตุํ อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ’’ติ สุตฺวา – ‘‘กิํ ตสฺส อรญฺญวาเสน, โย มยฺหํ ปน สาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’’ติ เอวํ อุปวทติ, เสสปเทสุปิ เอเสว นโย, อปิเจตฺถ เทวตา น เกวลํ อุปวทนฺติ, เภรวารมฺมณํ ทเสฺสตฺวา ปลายนาการมฺปิ กโรนฺติฯ อตฺตนาปิ อตฺตานนฺติ สีลํ อาวชฺชนฺตสฺส สํกิลิฎฺฐฎฺฐานํ ปากฎํ โหติ, จิตฺตํ วิธาวติ, น กมฺมฎฺฐานํ อลฺลียติฯ โส ‘‘กิํ มาทิสสฺส อรญฺญวาเสนา’’ติ วิปฺปฎิสารี อุฎฺฐาย ปกฺกมติฯ อตฺตาปิ อตฺตานํ อุปวทิโตติ อตฺตนาปิ อตฺตา อุปวทิโต, อยเมว วา ปาโฐฯ สุกฺกปโกฺข วุตฺตปจฺจนีกนเยน เวทิตโพฺพฯ โส วิวิเจฺจว กาเมหีติอาทิ เอวํ สจฺฉิกโรตีติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ
137.Satthāpiupavadatīti ‘‘asukavihāravāsī asukassa therassa saddhivihāriko asukassa antevāsiko itthannāmo nāma bhikkhu lokuttaradhammaṃ nibbattetuṃ araññaṃ paviṭṭho’’ti sutvā – ‘‘kiṃ tassa araññavāsena, yo mayhaṃ pana sāsane sikkhāya aparipūrakārī’’ti evaṃ upavadati, sesapadesupi eseva nayo, apicettha devatā na kevalaṃ upavadanti, bheravārammaṇaṃ dassetvā palāyanākārampi karonti. Attanāpi attānanti sīlaṃ āvajjantassa saṃkiliṭṭhaṭṭhānaṃ pākaṭaṃ hoti, cittaṃ vidhāvati, na kammaṭṭhānaṃ allīyati. So ‘‘kiṃ mādisassa araññavāsenā’’ti vippaṭisārī uṭṭhāya pakkamati. Attāpi attānaṃ upavaditoti attanāpi attā upavadito, ayameva vā pāṭho. Sukkapakkho vuttapaccanīkanayena veditabbo. Sovivicceva kāmehītiādi evaṃ sacchikarotīti dassanatthaṃ vuttaṃ.
๑๔๐. ปสยฺห ปสยฺห การณํ กโรนฺตีติ อปฺปมตฺตเกปิ โทเส นิคฺคเหตฺวา ปุนปฺปุนํ กาเรนฺติฯ โน ตถาติ มหเนฺตปิ อปราเธ ยถา อิตรํ, เอวํ ปสยฺห น กาเรนฺติฯ โส กิร, ‘‘อาวุโส, ภทฺทาลิ, มา จินฺตยิตฺถ, เอวรูปํ นาม โหติ, เอหิ สตฺถารํ ขมาเปหี’’ติ ภิกฺขุสงฺฆโตปิ, กญฺจิ ภิกฺขุํ เปเสตฺวา อตฺตโน สนฺติกํ ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘ภทฺทาลิ, มา จินฺตยิตฺถ, เอวรูปํ นาม โหตี’’ติ เอวํ สตฺถุสนฺติกาปิ อนุคฺคหํ ปจฺจาสีสติฯ ตโต ‘‘ภิกฺขุสเงฺฆนาปิ น สมสฺสาสิโต, สตฺถาราปี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอวมาหฯ
140.Pasayha pasayha kāraṇaṃ karontīti appamattakepi dose niggahetvā punappunaṃ kārenti. No tathāti mahantepi aparādhe yathā itaraṃ, evaṃ pasayha na kārenti. So kira, ‘‘āvuso, bhaddāli, mā cintayittha, evarūpaṃ nāma hoti, ehi satthāraṃ khamāpehī’’ti bhikkhusaṅghatopi, kañci bhikkhuṃ pesetvā attano santikaṃ pakkosāpetvā, ‘‘bhaddāli, mā cintayittha, evarūpaṃ nāma hotī’’ti evaṃ satthusantikāpi anuggahaṃ paccāsīsati. Tato ‘‘bhikkhusaṅghenāpi na samassāsito, satthārāpī’’ti cintetvā evamāha.
อถ ภควา ภิกฺขุสโงฺฆปิ สตฺถาปิ โอวทิตพฺพยุตฺตเมว โอวทติ, น อิตรนฺติ ทเสฺสตุํ อิธ, ภทฺทาลิ, เอกโจฺจติอาทิมาหฯ ตตฺถ อเญฺญนาญฺญนฺติอาทีนิ อนุมานสุเตฺต วิตฺถาริตานิฯ น สมฺมา วตฺตตีติ สมฺมา วตฺตมฺปิ น วตฺตติฯ น โลมํ ปาเตตีติ อนุโลมวเตฺต น วตฺตติ, วิโลมเมว คณฺหาติฯ น นิตฺถารํ วตฺตตีติ นิตฺถารณกวตฺตมฺหิ น วตฺตติ, อาปตฺติวุฎฺฐานตฺถํ ตุริตตุริโต ฉนฺทชาโต น โหติฯ ตตฺราติ ตสฺมิํ ตสฺส ทุพฺพจกรเณฯ อภิณฺหาปตฺติโกติ นิรนฺตราปตฺติโกฯ อาปตฺติพหุโลติ สาปตฺติกกาโลวสฺส พหุ, สุโทฺธ นิราปตฺติกกาโล อโปฺปติ อโตฺถฯ น ขิปฺปเมว วูปสมฺมตีติ ขิปฺปํ น วูปสมฺมติ, ทีฆสุตฺตํ โหติฯ วินยธรา ปาทโธวนกาเล อาคตํ ‘‘คจฺฉาวุโส, วตฺตเวลา’’ติ วทนฺติฯ ปุน กาลํ มญฺญิตฺวา อาคตํ ‘‘คจฺฉาวุโส, ตุยฺหํ วิหารเวลา, คจฺฉาวุโส, สามเณราทีนํ อุเทฺทสทานเวลา, อมฺหากํ นฺหานเวลา, เถรูปฎฺฐานเวลา, มุขโธวนเวลา’’ติอาทีนิ วตฺวา ทิวสภาเคปิ รตฺติภาเคปิ อาคตํ อุโยฺยเชนฺติเยวฯ ‘‘กาย เวลาย, ภเนฺต, โอกาโส ภวิสฺสตี’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘คจฺฉาวุโส, ตฺวํ อิมเมว ฐานํ ชานาสิ, อสุโก นาม วินยธรเตฺถโร สิเนหปานํ ปิวติ, อสุโก วิเรจนํ กาเรติ, กสฺมา ตุริโตสี’’ติอาทีนิ วตฺวา ทีฆสุตฺตเมว กโรนฺติฯ
Atha bhagavā bhikkhusaṅghopi satthāpi ovaditabbayuttameva ovadati, na itaranti dassetuṃ idha, bhaddāli, ekaccotiādimāha. Tattha aññenāññantiādīni anumānasutte vitthāritāni. Na sammā vattatīti sammā vattampi na vattati. Na lomaṃ pātetīti anulomavatte na vattati, vilomameva gaṇhāti. Na nitthāraṃ vattatīti nitthāraṇakavattamhi na vattati, āpattivuṭṭhānatthaṃ turitaturito chandajāto na hoti. Tatrāti tasmiṃ tassa dubbacakaraṇe. Abhiṇhāpattikoti nirantarāpattiko. Āpattibahuloti sāpattikakālovassa bahu, suddho nirāpattikakālo appoti attho. Na khippameva vūpasammatīti khippaṃ na vūpasammati, dīghasuttaṃ hoti. Vinayadharā pādadhovanakāle āgataṃ ‘‘gacchāvuso, vattavelā’’ti vadanti. Puna kālaṃ maññitvā āgataṃ ‘‘gacchāvuso, tuyhaṃ vihāravelā, gacchāvuso, sāmaṇerādīnaṃ uddesadānavelā, amhākaṃ nhānavelā, therūpaṭṭhānavelā, mukhadhovanavelā’’tiādīni vatvā divasabhāgepi rattibhāgepi āgataṃ uyyojentiyeva. ‘‘Kāya velāya, bhante, okāso bhavissatī’’ti vuttepi ‘‘gacchāvuso, tvaṃ imameva ṭhānaṃ jānāsi, asuko nāma vinayadharatthero sinehapānaṃ pivati, asuko virecanaṃ kāreti, kasmā turitosī’’tiādīni vatvā dīghasuttameva karonti.
๑๔๑. ขิปฺปเมว วูปสมฺมตีติ ลหุํ วูปสมฺมติ, น ทีฆสุตฺตํ โหติฯ อุสฺสุกฺกาปนฺนา ภิกฺขู – ‘‘อาวุโส, อยํ สุพฺพโจ ภิกฺขุ, ชนปทวาสิโน นาม คามนฺตเสนาสเน วสนฎฺฐานนิสชฺชนาทีนิ น ผาสุกานิ โหนฺติ, ภิกฺขาจาโรปิ ทุโกฺข โหติ, สีฆมสฺส อธิกรณํ วูปสเมมา’’ติ สนฺนิปติตฺวา อาปตฺติโต วุฎฺฐาเปตฺวา สุทฺธเนฺต ปติฎฺฐาเปนฺติฯ
141.Khippameva vūpasammatīti lahuṃ vūpasammati, na dīghasuttaṃ hoti. Ussukkāpannā bhikkhū – ‘‘āvuso, ayaṃ subbaco bhikkhu, janapadavāsino nāma gāmantasenāsane vasanaṭṭhānanisajjanādīni na phāsukāni honti, bhikkhācāropi dukkho hoti, sīghamassa adhikaraṇaṃ vūpasamemā’’ti sannipatitvā āpattito vuṭṭhāpetvā suddhante patiṭṭhāpenti.
๑๔๒. อธิจฺจาปตฺติโกติ กทาจิ กทาจิ อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ โส กิญฺจาปิ ลชฺชี โหติ ปกตโตฺต, ทุพฺพจตฺตา ปนสฺส ภิกฺขู ตเถว ปฎิปชฺชนฺติฯ
142.Adhiccāpattikoti kadāci kadāci āpattiṃ āpajjati. So kiñcāpi lajjī hoti pakatatto, dubbacattā panassa bhikkhū tatheva paṭipajjanti.
๑๔๔. สทฺธามตฺตเกน วหติ เปมมตฺตเกนาติ อาจริยุปชฺฌาเยสุ อปฺปมตฺติกาย เคหสฺสิตสทฺธาย อปฺปมตฺตเกน เคหสฺสิตเปเมน ยาเปติฯ ปฎิสนฺธิคฺคหณสทิสา หิ อยํ ปพฺพชฺชา นาม, นวปพฺพชิโต ปพฺพชฺชาย คุณํ อชานโนฺต อาจริยุปชฺฌาเยสุ เปมมเตฺตน ยาเปติ, ตสฺมา เอวรูปา สงฺคณฺหิตพฺพาฯ อปฺปมตฺตกมฺปิ หิ สงฺคหํ ลภิตฺวา ปพฺพชฺชาย ฐิตา อภิญฺญาปตฺตา มหาสมณา ภวิสฺสนฺติฯ เอตฺตเกน กถามเคฺคน ‘‘โอวทิตพฺพยุตฺตกํ โอวทนฺติ, น อิตร’’นฺติ อิมเมว ภควตา ทสฺสิตํฯ
144.Saddhāmattakena vahati pemamattakenāti ācariyupajjhāyesu appamattikāya gehassitasaddhāya appamattakena gehassitapemena yāpeti. Paṭisandhiggahaṇasadisā hi ayaṃ pabbajjā nāma, navapabbajito pabbajjāya guṇaṃ ajānanto ācariyupajjhāyesu pemamattena yāpeti, tasmā evarūpā saṅgaṇhitabbā. Appamattakampi hi saṅgahaṃ labhitvā pabbajjāya ṭhitā abhiññāpattā mahāsamaṇā bhavissanti. Ettakena kathāmaggena ‘‘ovaditabbayuttakaṃ ovadanti, na itara’’nti imameva bhagavatā dassitaṃ.
๑๔๕. อญฺญาย สณฺฐหิํสูติ อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ สเตฺตสุ หายมาเนสูติ ปฎิปตฺติยา หายมานาย สตฺตา หายนฺติ นามฯ สทฺธเมฺม อนฺตรธายมาเนติ ปฎิปตฺติสทฺธเมฺม อนฺตรธายมาเนฯ ปฎิปตฺติสทฺธโมฺมปิ หิ ปฎิปตฺติปูรเกสุ สเตฺตสุ อสติ อนฺตรธายติ นาม ฯ อาสวฎฺฐานียาติ อาสวา ติฎฺฐนฺติ เอเตสูติ อาสวฎฺฐานียาฯ เยสุ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกา ปรูปวาทวิปฺปฎิสารวธพนฺธนาทโย เจว อปายทุกฺขวิเสสภูตา จ อาสวา ติฎฺฐนฺติเยวฯ ยสฺมา เนสํ เต การณํ โหนฺตีติ อโตฺถฯ เต อาสวฎฺฐานียา วีติกฺกมธมฺมา ยาว น สเงฺฆ ปาตุภวนฺติ, น ตาว สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตีติ อยเมตฺถ โยชนาฯ
145.Aññāyasaṇṭhahiṃsūti arahatte patiṭṭhahiṃsu. Sattesu hāyamānesūti paṭipattiyā hāyamānāya sattā hāyanti nāma. Saddhamme antaradhāyamāneti paṭipattisaddhamme antaradhāyamāne. Paṭipattisaddhammopi hi paṭipattipūrakesu sattesu asati antaradhāyati nāma . Āsavaṭṭhānīyāti āsavā tiṭṭhanti etesūti āsavaṭṭhānīyā. Yesu diṭṭhadhammikasamparāyikā parūpavādavippaṭisāravadhabandhanādayo ceva apāyadukkhavisesabhūtā ca āsavā tiṭṭhantiyeva. Yasmā nesaṃ te kāraṇaṃ hontīti attho. Te āsavaṭṭhānīyā vītikkamadhammā yāva na saṅghe pātubhavanti, na tāva satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapetīti ayamettha yojanā.
เอวํ อกาลํ ทเสฺสตฺวา ปุน กาลํ ทเสฺสตุํ ยโต จ โข, ภทฺทาลีติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยโตติ ยทา, ยสฺมิํ กาเลติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตานุสาเรเนว เวทิตพฺพํฯ อยํ วา เอตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ยสฺมิํ กาเล อาสวฎฺฐานียา ธมฺมาติ สงฺขํ คตา วีติกฺกมโทสา สเงฺฆ ปาตุภวนฺติ, ตทา สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติฯ กสฺมา? เตสํเยว อาสวฎฺฐานียธมฺมสงฺขาตานํ วีติกฺกมโทสานํ ปฎิฆาตายฯ
Evaṃ akālaṃ dassetvā puna kālaṃ dassetuṃ yato ca kho, bhaddālītiādimāha. Tattha yatoti yadā, yasmiṃ kāleti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttānusāreneva veditabbaṃ. Ayaṃ vā ettha saṅkhepattho – yasmiṃ kāle āsavaṭṭhānīyā dhammāti saṅkhaṃ gatā vītikkamadosā saṅghe pātubhavanti, tadā satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeti. Kasmā? Tesaṃyeva āsavaṭṭhānīyadhammasaṅkhātānaṃ vītikkamadosānaṃ paṭighātāya.
เอวํ อาสวฎฺฐานียานํ ธมฺมานํ อนุปฺปตฺติํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อกาลํ, อุปฺปตฺติญฺจ กาลนฺติ วตฺวา อิทานิ เตสํ ธมฺมานํ อนุปฺปตฺติกาลญฺจ อุปฺปตฺติกาลญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘น ตาว, ภทฺทาลิ, อิเธกเจฺจ’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ มหตฺตนฺติ มหนฺตภาวํฯ สโงฺฆ หิ ยาว น เถรนวมชฺฌิมานํ วเสน มหตฺตํ ปโตฺต โหติ, ตาว เสนาสนานิ ปโหนฺติ, สาสเน เอกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺติฯ มหตฺตํ ปเตฺต ปน เต อุปฺปชฺชนฺติ, อถ สตฺถา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติฯ ตตฺถ มหตฺตํ ปเตฺต สเงฺฆ ปญฺญตฺตสิกฺขาปทานิ –
Evaṃ āsavaṭṭhānīyānaṃ dhammānaṃ anuppattiṃ sikkhāpadapaññattiyā akālaṃ, uppattiñca kālanti vatvā idāni tesaṃ dhammānaṃ anuppattikālañca uppattikālañca dassetuṃ ‘‘na tāva, bhaddāli, idhekacce’’tiādimāha. Tattha mahattanti mahantabhāvaṃ. Saṅgho hi yāva na theranavamajjhimānaṃ vasena mahattaṃ patto hoti, tāva senāsanāni pahonti, sāsane ekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā na uppajjanti. Mahattaṃ patte pana te uppajjanti, atha satthā sikkhāpadaṃ paññapeti. Tattha mahattaṃ patte saṅghe paññattasikkhāpadāni –
‘‘โย ปน ภิกฺขุ อนุปสมฺปเนฺนน อุตฺตริทฺวิรตฺตติรตฺตํ สหเสยฺยํ กเปฺปยฺย ปาจิตฺติยํ (ปาจิ. ๕๑)ฯ ยา ปน ภิกฺขุนี อนุวสฺสํ วุฎฺฐาเปยฺย ปาจิตฺติยํ (ปาจิ. ๑๑๗๑)ฯ ยา ปน ภิกฺขุนี เอกวสฺสํ เทฺว วุฎฺฐาเปยฺย ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๑๗๕)ฯ
‘‘Yo pana bhikkhu anupasampannena uttaridvirattatirattaṃ sahaseyyaṃ kappeyya pācittiyaṃ (pāci. 51). Yā pana bhikkhunī anuvassaṃ vuṭṭhāpeyya pācittiyaṃ (pāci. 1171). Yā pana bhikkhunī ekavassaṃ dve vuṭṭhāpeyya pācittiya’’nti (pāci. 1175).
อิมินา นเยน เวทิตพฺพานิฯ
Iminā nayena veditabbāni.
ลาภคฺคนฺติ ลาภสฺส อคฺคํฯ สโงฺฆ หิ ยาว น ลาภคฺคปโตฺต โหติ, น ตาว ลาภํ ปฎิจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติฯ ปเตฺต ปน อุปฺปชฺชนฺติ, อถ สตฺถา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติ –
Lābhagganti lābhassa aggaṃ. Saṅgho hi yāva na lābhaggapatto hoti, na tāva lābhaṃ paṭicca āsavaṭṭhānīyā dhammā uppajjanti. Patte pana uppajjanti, atha satthā sikkhāpadaṃ paññapeti –
‘‘โย ปน ภิกฺขุ อเจลกสฺส วา ปริพฺพาชกสฺส วา ปริพฺพาชิกาย วา สหตฺถา ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ทเทยฺย ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๒๗๐)ฯ
‘‘Yo pana bhikkhu acelakassa vā paribbājakassa vā paribbājikāya vā sahatthā khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā dadeyya pācittiya’’nti (pāci. 270).
อิทญฺหิ ลาภคฺคปเตฺต สเงฺฆ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํฯ
Idañhi lābhaggapatte saṅghe sikkhāpadaṃ paññattaṃ.
ยสคฺคนฺติ ยสสฺส อคฺคํฯ สโงฺฆ หิ ยาว น ยสคฺคปโตฺต โหติ, น ตาว ยสํ ปฎิจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติฯ ปเตฺต ปน อุปฺปชฺชนฺติ, อถ สตฺถา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติ ‘‘สุราเมรยปาเน ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๓๒๗)ฯ อิทญฺหิ ยสคฺคปเตฺต สเงฺฆ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํฯ
Yasagganti yasassa aggaṃ. Saṅgho hi yāva na yasaggapatto hoti, na tāva yasaṃ paṭicca āsavaṭṭhānīyā dhammā uppajjanti. Patte pana uppajjanti, atha satthā sikkhāpadaṃ paññapeti ‘‘surāmerayapāne pācittiya’’nti (pāci. 327). Idañhi yasaggapatte saṅghe sikkhāpadaṃ paññattaṃ.
พาหุสจฺจนฺติ พหุสฺสุตภาวํฯ สโงฺฆ หิ ยาว น พาหุสจฺจปโตฺต โหติ, น ตาว อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติฯ พาหุสจฺจปเตฺต ปน ยสฺมา เอกํ นิกายํ เทฺว นิกาเย ปญฺจปิ นิกาเย อุคฺคเหตฺวา อโยนิโส อุมฺมุชฺชมานา ปุคฺคลา รเสน รสํ สํสเนฺทตฺวา อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุ สาสนํ ทีเปนฺติ, อถ สตฺถา – ‘‘โย ปน ภิกฺขุ เอวํ วเทยฺย ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ (ปาจิ. ๔๑๘)…เป.… สมณุเทฺทโสปิ เจ เอวํ วเทยฺยา’’ติอาทินา (ปาจิ. ๔๒๙) นเยน สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติฯ
Bāhusaccanti bahussutabhāvaṃ. Saṅgho hi yāva na bāhusaccapatto hoti, na tāva āsavaṭṭhānīyā dhammā uppajjanti. Bāhusaccapatte pana yasmā ekaṃ nikāyaṃ dve nikāye pañcapi nikāye uggahetvā ayoniso ummujjamānā puggalā rasena rasaṃ saṃsandetvā uddhammaṃ ubbinayaṃ satthu sāsanaṃ dīpenti, atha satthā – ‘‘yo pana bhikkhu evaṃ vadeyya tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi (pāci. 418)…pe… samaṇuddesopi ce evaṃ vadeyyā’’tiādinā (pāci. 429) nayena sikkhāpadaṃ paññapeti.
รตฺตญฺญุตํ ปโตฺตติ เอตฺถ รตฺติโย ชานนฺตีติ รตฺตญฺญูฯ อตฺตโน ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย พหู รตฺติโย ชานนฺติ, จิรปพฺพชิตาติ วุตฺตํ โหติฯ รตฺตญฺญูนํ ภาวํ รตฺตญฺญุตํฯ ตตฺร รตฺตญฺญุตํ ปเตฺต สเงฺฆ อุปเสนํ วงฺคนฺตปุตฺตํ อารพฺภ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ โส หายสฺมา อูนทสวเสฺส ภิกฺขู อุปสมฺปาเทเนฺต ทิสฺวา เอกวโสฺส สทฺธิวิหาริกํ อุปสมฺปาเทสิฯ อถ ภควา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิ – ‘‘น, ภิกฺขเว, อูนทสวเสฺสน อุปสมฺปาเทตโพฺพ, โย อุปสมฺปาเทยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๗๕)ฯ เอวํ ปญฺญเตฺต สิกฺขาปเท ปุน ภิกฺขู ‘‘ทสวสฺสมฺหา ทสวสฺสมฺหา’’ติ พาลา อพฺยตฺตา อุปสมฺปาเทนฺติฯ อถ ภควา อปรมฺปิ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิ – ‘‘น, ภิกฺขเว, พาเลน อพฺยเตฺตน อุปสมฺปาเทตโพฺพ, โย อุปสมฺปาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน ทสวเสฺสน วา อติเรกทสวเสฺสน วา อุปสมฺปาเทตุ’’นฺติฯ อิติ รตฺตญฺญุตํ ปตฺตกาเล เทฺว สิกฺขาปทานิ ปญฺญตฺตานิฯ
Rattaññutaṃ pattoti ettha rattiyo jānantīti rattaññū. Attano pabbajitadivasato paṭṭhāya bahū rattiyo jānanti, cirapabbajitāti vuttaṃ hoti. Rattaññūnaṃ bhāvaṃ rattaññutaṃ. Tatra rattaññutaṃ patte saṅghe upasenaṃ vaṅgantaputtaṃ ārabbha sikkhāpadaṃ paññattanti veditabbaṃ. So hāyasmā ūnadasavasse bhikkhū upasampādente disvā ekavasso saddhivihārikaṃ upasampādesi. Atha bhagavā sikkhāpadaṃ paññapesi – ‘‘na, bhikkhave, ūnadasavassena upasampādetabbo, yo upasampādeyya āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 75). Evaṃ paññatte sikkhāpade puna bhikkhū ‘‘dasavassamhā dasavassamhā’’ti bālā abyattā upasampādenti. Atha bhagavā aparampi sikkhāpadaṃ paññapesi – ‘‘na, bhikkhave, bālena abyattena upasampādetabbo, yo upasampādeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, byattena bhikkhunā paṭibalena dasavassena vā atirekadasavassena vā upasampādetu’’nti. Iti rattaññutaṃ pattakāle dve sikkhāpadāni paññattāni.
๑๔๖. อาชานียสุสูปมํ ธมฺมปริยายํ เทเสสินฺติ ตรุณาชานียอุปมํ กตฺวา ธมฺมํ เทสยิํฯ ตตฺราติ ตสฺมิํ อสรเณฯ น โข, ภทฺทาลิ, เอเสว เหตูติ น เอส สิกฺขาย อปริปูรการีภาโวเยว เอโก เหตุฯ
146.Ājānīyasusūpamaṃdhammapariyāyaṃ desesinti taruṇājānīyaupamaṃ katvā dhammaṃ desayiṃ. Tatrāti tasmiṃ asaraṇe. Na kho, bhaddāli, eseva hetūti na esa sikkhāya aparipūrakārībhāvoyeva eko hetu.
๑๔๗. มุขาธาเน การณํ กาเรตีติ ขลีนพนฺธาทีหิ มุขฎฺฐปเน สาธุกํ คีวํ ปคฺคณฺหาเปตุํ การณํ กาเรติฯ วิสูกายิตานีติอาทีหิ วิเสวนาจารํ กเถสิฯ สพฺพาเนว เหตานิ อญฺญมญฺญเววจนานิฯ ตสฺมิํ ฐาเนติ ตสฺมิํ วิเสวนาจาเรฯ ปรินิพฺพายตีติ นิพฺพิเสวโน โหติ, ตํ วิเสวนํ ชหตีติ อโตฺถฯ ยุคาธาเนติ ยุคฎฺฐปเน ยุคสฺส สาธุกํ คหณตฺถํฯ
147.Mukhādhāne kāraṇaṃ kāretīti khalīnabandhādīhi mukhaṭṭhapane sādhukaṃ gīvaṃ paggaṇhāpetuṃ kāraṇaṃ kāreti. Visūkāyitānītiādīhi visevanācāraṃ kathesi. Sabbāneva hetāni aññamaññavevacanāni. Tasmiṃ ṭhāneti tasmiṃ visevanācāre. Parinibbāyatīti nibbisevano hoti, taṃ visevanaṃ jahatīti attho. Yugādhāneti yugaṭṭhapane yugassa sādhukaṃ gahaṇatthaṃ.
อนุกฺกเมติ จตฺตาโรปิ ปาเท เอกปฺปหาเรเนว อุกฺขิปเน จ นิกฺขิปเน จฯ ปรเสนาย หิ อาวาเฎ ฐตฺวา อสิํ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺตสฺส อสฺสสฺส ปาเท ฉินฺทนฺติฯ ตสฺมิํ สมเย เอส เอกปฺปหาเรเนว จตฺตาโรปิ ปาเท อุกฺขิปิสฺสตีติ รชฺชุพนฺธนวิธาเนน เอตํ การณํ กโรนฺติฯ มณฺฑเลติ ยถา อเสฺส นิสิโนฺนเยว ภูมิยํ ปติตํ อาวุธํ คเหตุํ สโกฺกติ, เอวํ กรณตฺถํ มณฺฑเล การณํ กาเรติฯ ขุรกาเสติ อคฺคคฺคขุเรหิ ปถวีกมเนฯ รตฺติํ โอกฺกนฺตกรณสฺมิญฺหิ ยถา ปทสโทฺท น สุยฺยติ, ตทตฺถํ เอกสฺมิํ ฐาเน สญฺญํ ทตฺวา อคฺคคฺคขุเรหิเยว คมนํ สิกฺขาเปนฺติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ชเวติ สีฆวาหเนฯ ‘‘ธาเว’’ติปิ ปาโฐฯ อตฺตโน ปราชเย สติ ปลายนตฺถํ, ปรํ ปลายนฺตํ อนุพนฺธิตฺวา คหณตฺถญฺจ เอตํ การณํ กาเรติฯ ทวเตฺตติ ทวตฺตาย, ยุทฺธกาลสฺมิญฺหิ หตฺถีสุ วา โกญฺจนาทํ กโรเนฺตสุ อเสฺสสุ วา หสเนฺตสุ รเถสุ วา นิโฆสเนฺตสุ โยเธสุ วา อุกฺกุฎฺฐิํ กโรเนฺตสุ ตสฺส รวสฺส อภายิตฺวา ปรเสนปเวสนตฺถํ อยํ การณา กรียติฯ
Anukkameti cattāropi pāde ekappahāreneva ukkhipane ca nikkhipane ca. Parasenāya hi āvāṭe ṭhatvā asiṃ gahetvā āgacchantassa assassa pāde chindanti. Tasmiṃ samaye esa ekappahāreneva cattāropi pāde ukkhipissatīti rajjubandhanavidhānena etaṃ kāraṇaṃ karonti. Maṇḍaleti yathā asse nisinnoyeva bhūmiyaṃ patitaṃ āvudhaṃ gahetuṃ sakkoti, evaṃ karaṇatthaṃ maṇḍale kāraṇaṃ kāreti. Khurakāseti aggaggakhurehi pathavīkamane. Rattiṃ okkantakaraṇasmiñhi yathā padasaddo na suyyati, tadatthaṃ ekasmiṃ ṭhāne saññaṃ datvā aggaggakhurehiyeva gamanaṃ sikkhāpenti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Javeti sīghavāhane. ‘‘Dhāve’’tipi pāṭho. Attano parājaye sati palāyanatthaṃ, paraṃ palāyantaṃ anubandhitvā gahaṇatthañca etaṃ kāraṇaṃ kāreti. Davatteti davattāya, yuddhakālasmiñhi hatthīsu vā koñcanādaṃ karontesu assesu vā hasantesu rathesu vā nighosantesu yodhesu vā ukkuṭṭhiṃ karontesu tassa ravassa abhāyitvā parasenapavesanatthaṃ ayaṃ kāraṇā karīyati.
ราชคุเณติ รญฺญา ชานิตพฺพคุเณฯ กูฎกณฺณรโญฺญ กิร คุฬวโณฺณ นาม อโสฺส อโหสิฯ ราชา ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา เจติยปพฺพตํ คมิสฺสามีติ กลมฺพนทีตีรํ สมฺปโตฺตฯ อโสฺส ตีเร ฐตฺวา อุทกํ โอตริตุํ น อิจฺฉติ, ราชา อสฺสาจริยํ อามเนฺตตฺวา – ‘‘อโห ตยา อโสฺส สิกฺขาปิโต อุทกํ โอตริตุํ น อิจฺฉตี’’ติ อาหฯ อาจริโย – ‘‘สุสิกฺขาปิโต เทว อโสฺส, เอวมสฺส หิ จิตฺตํ ‘สจาหํ อุทกํ โอตริสฺสามิ, วาลํ เตมิสฺสติ, วาเล ติเนฺต รโญฺญ อเงฺค อุทกํ ปาเตยฺยา’ติ เอวํ ตุมฺหากํ สรีเร อุทกปาตนภเยน น โอตรติ, วาลํ คณฺหาเปถา’’ติ อาหฯ ราชา ตถา กาเรสิฯ อโสฺส เวเคน โอตริตฺวา ปารํ คโตฯ เอตทตฺถํ อยํ การณา กรียติฯ ราชวํเสติ อสฺสราชวํเสฯ วํโส เจโส อสฺสราชานํ, ตถารูเปน ปหาเรน ฉินฺนภินฺนสรีราปิ อสฺสาโรหํ ปรเสนาย อปาเตตฺวา พหิ นีหรนฺติเยวฯ เอตทตฺถํ การณํ กาเรตีติ อโตฺถฯ
Rājaguṇeti raññā jānitabbaguṇe. Kūṭakaṇṇarañño kira guḷavaṇṇo nāma asso ahosi. Rājā pācīnadvārena nikkhamitvā cetiyapabbataṃ gamissāmīti kalambanadītīraṃ sampatto. Asso tīre ṭhatvā udakaṃ otarituṃ na icchati, rājā assācariyaṃ āmantetvā – ‘‘aho tayā asso sikkhāpito udakaṃ otarituṃ na icchatī’’ti āha. Ācariyo – ‘‘susikkhāpito deva asso, evamassa hi cittaṃ ‘sacāhaṃ udakaṃ otarissāmi, vālaṃ temissati, vāle tinte rañño aṅge udakaṃ pāteyyā’ti evaṃ tumhākaṃ sarīre udakapātanabhayena na otarati, vālaṃ gaṇhāpethā’’ti āha. Rājā tathā kāresi. Asso vegena otaritvā pāraṃ gato. Etadatthaṃ ayaṃ kāraṇā karīyati. Rājavaṃseti assarājavaṃse. Vaṃso ceso assarājānaṃ, tathārūpena pahārena chinnabhinnasarīrāpi assārohaṃ parasenāya apātetvā bahi nīharantiyeva. Etadatthaṃ kāraṇaṃ kāretīti attho.
อุตฺตเม ชเวติ ชวสมฺปตฺติยํ, ยถา อุตฺตมชโว โหติ, เอวํ การณํ กาเรตีติ อโตฺถฯ อุตฺตเม หเยติ อุตฺตมหยภาเว, ยถา อุตฺตมหโย โหติ, เอวํ การณํ กาเรตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ ปกติยา อุตฺตมหโยว อุตฺตมหยการณํ อรหติ, น อโญฺญฯ อุตฺตมหยการณาย เอว จ หโย อุตฺตมชวํ ปฎิปชฺชติ, น อโญฺญติฯ
Uttame javeti javasampattiyaṃ, yathā uttamajavo hoti, evaṃ kāraṇaṃ kāretīti attho. Uttame hayeti uttamahayabhāve, yathā uttamahayo hoti, evaṃ kāraṇaṃ kāretīti attho. Tattha pakatiyā uttamahayova uttamahayakāraṇaṃ arahati, na añño. Uttamahayakāraṇāya eva ca hayo uttamajavaṃ paṭipajjati, na aññoti.
ตตฺริทํ วตฺถุ – เอโก กิร ราชา เอกํ สินฺธวโปตกํ ลภิตฺวา สินฺธวภาวํ อชานิตฺวาว อิมํ สิกฺขาเปหีติ อาจริยสฺส อทาสิฯ อาจริโยปิ ตสฺส สินฺธวภาวํ อชานโนฺต ตํ มาสขาทกโฆฎกานํ การณาสุ อุปเนติฯ โส อตฺตโน อนนุจฺฉวิกตฺตา การณํ น ปฎิปชฺชติฯ โส ตํ ทเมตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘กูฎโสฺส อยํ มหาราชา’’ติ วิสฺสชฺชาเปสิฯ
Tatridaṃ vatthu – eko kira rājā ekaṃ sindhavapotakaṃ labhitvā sindhavabhāvaṃ ajānitvāva imaṃ sikkhāpehīti ācariyassa adāsi. Ācariyopi tassa sindhavabhāvaṃ ajānanto taṃ māsakhādakaghoṭakānaṃ kāraṇāsu upaneti. So attano ananucchavikattā kāraṇaṃ na paṭipajjati. So taṃ dametuṃ asakkonto ‘‘kūṭasso ayaṃ mahārājā’’ti vissajjāpesi.
อเถกทิวสํ เอโก อสฺสาจริยปุพฺพโก ทหโร อุปชฺฌายสฺส ภณฺฑกํ คเหตฺวา คจฺฉโนฺต ตํ ปริขาปิเฎฺฐ จรนฺตํ ทิสฺวา – ‘‘อนโคฺฆ, ภเนฺต, สินฺธวโปตโก’’ติ อุปชฺฌายสฺส กเถสิฯ สเจ ราชา ชาเนยฺย, มงฺคลสฺสํ นํ กเรยฺยาติฯ เถโร อาห – ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิโก, ตาต, ราชา อเปฺปว นาม พุทฺธสาสเน ปสีเทยฺย รโญฺญ กเถหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา, – ‘‘มหาราช, อนโคฺฆ สินฺธวโปตโก อตฺถี’’ติ กเถสิฯ ตยา ทิโฎฺฐ , ตาตาติ? อาม, มหาราชาติฯ กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตีติ? ตุมฺหากํ ภุญฺชนกสุวณฺณถาเล ตุมฺหากํ ภุญฺชนกภตฺตํ ตุมฺหากํ ปิวนกรโส ตุมฺหากํ คนฺธา ตุมฺหากํ มาลาติฯ ราชา สพฺพํ ทาเปสิฯ ทหโร คาหาเปตฺวา อคมาสิฯ
Athekadivasaṃ eko assācariyapubbako daharo upajjhāyassa bhaṇḍakaṃ gahetvā gacchanto taṃ parikhāpiṭṭhe carantaṃ disvā – ‘‘anaggho, bhante, sindhavapotako’’ti upajjhāyassa kathesi. Sace rājā jāneyya, maṅgalassaṃ naṃ kareyyāti. Thero āha – ‘‘micchādiṭṭhiko, tāta, rājā appeva nāma buddhasāsane pasīdeyya rañño kathehī’’ti. So gantvā, – ‘‘mahārāja, anaggho sindhavapotako atthī’’ti kathesi. Tayā diṭṭho , tātāti? Āma, mahārājāti. Kiṃ laddhuṃ vaṭṭatīti? Tumhākaṃ bhuñjanakasuvaṇṇathāle tumhākaṃ bhuñjanakabhattaṃ tumhākaṃ pivanakaraso tumhākaṃ gandhā tumhākaṃ mālāti. Rājā sabbaṃ dāpesi. Daharo gāhāpetvā agamāsi.
อโสฺส คนฺธํ ฆายิตฺวาว ‘‘มยฺหํ คุณชานนกอาจริโย อตฺถิ มเญฺญ’’ติ สีสํ อุกฺขิปิตฺวา โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ ทหโร คนฺตฺวา ‘‘ภตฺตํ ภุญฺชา’’ติ อจฺฉรํ ปหริฯ อโสฺส อาคนฺตฺวา สุวณฺณถาเล ภตฺตํ ภุญฺชิ, รสํ ปิวิฯ อถ นํ คเนฺธหิ วิลิมฺปิตฺวา ราชปิฬนฺธนํ ปิฬนฺธิตฺวา ‘‘ปุรโต ปุรโต คจฺฉา’’ติ อจฺฉรํ ปหริฯ โส ทหรสฺส ปุรโต ปุรโต คนฺตฺวา มงฺคลสฺสฎฺฐาเน อฎฺฐาสิฯ ทหโร – ‘‘อยํ เต, มหาราช, อนโคฺฆ สินฺธวโปตโก, อิมินาว นํ นิยาเมน กติปาหํ ปฎิชคฺคาเปหี’’ติ วตฺวา นิกฺขมิฯ
Asso gandhaṃ ghāyitvāva ‘‘mayhaṃ guṇajānanakaācariyo atthi maññe’’ti sīsaṃ ukkhipitvā olokento aṭṭhāsi. Daharo gantvā ‘‘bhattaṃ bhuñjā’’ti accharaṃ pahari. Asso āgantvā suvaṇṇathāle bhattaṃ bhuñji, rasaṃ pivi. Atha naṃ gandhehi vilimpitvā rājapiḷandhanaṃ piḷandhitvā ‘‘purato purato gacchā’’ti accharaṃ pahari. So daharassa purato purato gantvā maṅgalassaṭṭhāne aṭṭhāsi. Daharo – ‘‘ayaṃ te, mahārāja, anaggho sindhavapotako, imināva naṃ niyāmena katipāhaṃ paṭijaggāpehī’’ti vatvā nikkhami.
อถ กติปาหสฺส อจฺจเยน อาคนฺตฺวา อสฺสสฺส อานุภาวํ ปสฺสิสฺสสิ, มหาราชาติฯ สาธุ อาจริย กุหิํ ฐตฺวา ปสฺสามาติ? อุยฺยานํ คจฺฉ, มหาราชาติฯ ราชา อสฺสํ คาหาเปตฺวา อคมาสิฯ ทหโร อจฺฉรํ ปหริตฺวา ‘‘เอตํ รุกฺขํ อนุปริยาหี’’ติ อสฺสสฺส สญฺญํ อทาสิฯ อโสฺส ปกฺขนฺทิตฺวา รุกฺขํ อนุปริคนฺตฺวา อาคโตฯ ราชา เนว คจฺฉนฺตํ น อาคจฺฉนฺตํ อทฺทสฯ ทิโฎฺฐ เต, มหาราชาติ? น ทิโฎฺฐ, ตาตาติฯ วลญฺชกทณฺฑํ เอตํ รุกฺขํ นิสฺสาย ฐเปถาติ วตฺวา อจฺฉรํ ปหริ ‘‘วลญฺชกทณฺฑํ คเหตฺวา เอหี’’ติฯ อโสฺส ปกฺขนฺทิตฺวา มุเขน คเหตฺวา อาคโตฯ ทิฎฺฐํ, มหาราชาติฯ ทิฎฺฐํ, ตาตาติฯ
Atha katipāhassa accayena āgantvā assassa ānubhāvaṃ passissasi, mahārājāti. Sādhu ācariya kuhiṃ ṭhatvā passāmāti? Uyyānaṃ gaccha, mahārājāti. Rājā assaṃ gāhāpetvā agamāsi. Daharo accharaṃ paharitvā ‘‘etaṃ rukkhaṃ anupariyāhī’’ti assassa saññaṃ adāsi. Asso pakkhanditvā rukkhaṃ anuparigantvā āgato. Rājā neva gacchantaṃ na āgacchantaṃ addasa. Diṭṭho te, mahārājāti? Na diṭṭho, tātāti. Valañjakadaṇḍaṃ etaṃ rukkhaṃ nissāya ṭhapethāti vatvā accharaṃ pahari ‘‘valañjakadaṇḍaṃ gahetvā ehī’’ti. Asso pakkhanditvā mukhena gahetvā āgato. Diṭṭhaṃ, mahārājāti. Diṭṭhaṃ, tātāti.
ปุน อจฺฉรํ ปหริ ‘‘อุยฺยานสฺส ปาการมตฺถเกน จริตฺวา เอหี’’ติฯ อโสฺส ตถา อกาสิฯ ทิโฎฺฐ, มหาราชาติฯ น ทิโฎฺฐ, ตาตาติฯ รตฺตกมฺพลํ อาหราเปตฺวา อสฺสสฺส ปาเท พนฺธาเปตฺวา ตเถว สญฺญํ อทาสิฯ อโสฺส อุลฺลงฺฆิตฺวา ปาการมตฺถเกน อนุปริยายิฯ พลวตา ปุริเสน อาวิญฺฉนอลาตคฺคิสิขา วิย อุยฺยานปาการมตฺถเก ปญฺญายิตฺถฯ อโสฺส คนฺตฺวา สมีเป ฐิโตฯ ทิฎฺฐํ, มหาราชาติฯ ทิฎฺฐํ, ตาตาติฯ มงฺคลโปกฺขรณิปาการมตฺถเก อนุปริยาหีติ สญฺญํ อทาสิฯ
Puna accharaṃ pahari ‘‘uyyānassa pākāramatthakena caritvā ehī’’ti. Asso tathā akāsi. Diṭṭho, mahārājāti. Na diṭṭho, tātāti. Rattakambalaṃ āharāpetvā assassa pāde bandhāpetvā tatheva saññaṃ adāsi. Asso ullaṅghitvā pākāramatthakena anupariyāyi. Balavatā purisena āviñchanaalātaggisikhā viya uyyānapākāramatthake paññāyittha. Asso gantvā samīpe ṭhito. Diṭṭhaṃ, mahārājāti. Diṭṭhaṃ, tātāti. Maṅgalapokkharaṇipākāramatthake anupariyāhīti saññaṃ adāsi.
ปุน ‘‘โปกฺขรณิํ โอตริตฺวา ปทุมปเตฺตสุ จาริกํ จราหี’’ติ สญฺญํ อทาสิฯ โปกฺขรณิํ โอตริตฺวา สพฺพปทุมปเตฺต จริตฺวา อคมาสิ, เอกํ ปตฺตมฺปิ อนกฺกนฺตํ วา ผาลิตํ วา ฉินฺทิตํ วา ขณฺฑิตํ วา นาโหสิฯ ทิฎฺฐํ, มหาราชาติฯ ทิฎฺฐํ, ตาตาติฯ อจฺฉรํ ปหริตฺวา ตํ หตฺถตลํ อุปนาเมสิฯ ธาตูปตฺถโทฺธ ลงฺฆิตฺวา หตฺถตเล อฎฺฐาสิฯ ทิฎฺฐํ, มหาราชาติ? ทิฎฺฐํ, ตาตาติฯ เอวํ อุตฺตมหโย เอว อุตฺตมการณาย อุตฺตมชวํ ปฎิปชฺชติฯ
Puna ‘‘pokkharaṇiṃ otaritvā padumapattesu cārikaṃ carāhī’’ti saññaṃ adāsi. Pokkharaṇiṃ otaritvā sabbapadumapatte caritvā agamāsi, ekaṃ pattampi anakkantaṃ vā phālitaṃ vā chinditaṃ vā khaṇḍitaṃ vā nāhosi. Diṭṭhaṃ, mahārājāti. Diṭṭhaṃ, tātāti. Accharaṃ paharitvā taṃ hatthatalaṃ upanāmesi. Dhātūpatthaddho laṅghitvā hatthatale aṭṭhāsi. Diṭṭhaṃ, mahārājāti? Diṭṭhaṃ, tātāti. Evaṃ uttamahayo eva uttamakāraṇāya uttamajavaṃ paṭipajjati.
อุตฺตเม สาขเลฺยติ มุทุวาจายฯ มุทุวาจาย หิ, ‘‘ตาต, ตฺวํ มา จินฺตยิ, รโญฺญ มงฺคลโสฺส ภวิสฺสสิ, ราชโภชนาทีนิ ลภิสฺสสี’’ติ อุตฺตมหยการณํ กาเรตโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุตฺตเม สาขเลฺย’’ติฯ ราชโภโคฺคติ รโญฺญ อุปโภโคฯ รโญฺญ องฺคเนฺตว สงฺขํ คจฺฉตีติ ยตฺถ กตฺถจิ คจฺฉเนฺตน หตฺถํ วิย ปาทํ วิย อโนหาเยว คนฺตพฺพํ โหติฯ ตสฺมา องฺคนฺติ สงฺขํ คจฺฉติ, จตูสุ วา เสนเงฺคสุ เอกํ องฺคํ โหติฯ
Uttame sākhalyeti muduvācāya. Muduvācāya hi, ‘‘tāta, tvaṃ mā cintayi, rañño maṅgalasso bhavissasi, rājabhojanādīni labhissasī’’ti uttamahayakāraṇaṃ kāretabbo. Tena vuttaṃ ‘‘uttame sākhalye’’ti. Rājabhoggoti rañño upabhogo. Rañño aṅganteva saṅkhaṃ gacchatīti yattha katthaci gacchantena hatthaṃ viya pādaṃ viya anohāyeva gantabbaṃ hoti. Tasmā aṅganti saṅkhaṃ gacchati, catūsu vā senaṅgesu ekaṃ aṅgaṃ hoti.
อเสขาย สมฺมาทิฎฺฐิยาติ อรหตฺตผลสมฺมาทิฎฺฐิยาฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ ตํสมฺปยุตฺตาวฯ สมฺมาญาณํ ปุเพฺพ วุตฺตสมฺมาทิฎฺฐิเยวฯ ฐเปตฺวา ปน อฎฺฐ ผลงฺคานิ เสสา ธมฺมา วิมุตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวฯ อยํ ปน เทสนา อุคฺฆฎิตญฺญูปุคฺคลสฺส วเสน อรหตฺตนิกูฎํ คเหตฺวา นิฎฺฐาปิตาติฯ
Asekhāya sammādiṭṭhiyāti arahattaphalasammādiṭṭhiyā. Sammāsaṅkappādayopi taṃsampayuttāva. Sammāñāṇaṃ pubbe vuttasammādiṭṭhiyeva. Ṭhapetvā pana aṭṭha phalaṅgāni sesā dhammā vimuttīti veditabbā. Sesaṃ sabbattha uttānameva. Ayaṃ pana desanā ugghaṭitaññūpuggalassa vasena arahattanikūṭaṃ gahetvā niṭṭhāpitāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
ภทฺทาลิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhaddālisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. ภทฺทาลิสุตฺตํ • 5. Bhaddālisuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. ภทฺทาลิสุตฺตวณฺณนา • 5. Bhaddālisuttavaṇṇanā