Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๕. ภทฺทาลิสุตฺตวณฺณนา
5. Bhaddālisuttavaṇṇanā
๑๓๔. อสิยตีติ อสนํ, ภุญฺชนํ โภชนํ, อสนสฺส โภชนํ อสนโภชนํ, อาหารปริโภโค, เอกสฺมิํ กาเล อสนโภชนํ เอกาสนโภชนํฯ โส ปน กาโล สพฺพพุทฺธานํ สพฺพปเจฺจกพุทฺธานํ อาจิณฺณสมาจิณฺณวเสน ปุพฺพโณฺห เอว อิธาธิเปฺปโตติ อาห ‘‘เอกสฺมิํ ปุเรภเตฺต อสนโภชน’’นฺติฯ วิปฺปฎิสารกุกฺกุจฺจนฺติ ‘‘อยุตฺตํ วต มยา กตํ, โย อตฺตโน สรีรปกติํ อชานโนฺต เอกาสนโภชนํ ภุญฺชิ, เยน เม อิทํ สรีรํ กิสํ ชาตํ พฺรหฺมจริยานุคฺคโห นาโหสี’’ติ เอวํ วิปฺปฎิสารกุกฺกุจฺจํ ภเวยฺยฯ เอตํ สนฺธาย สตฺถา อาห, น ภทฺทาลิเมว ตาทิสํ กิริยํ อนุชานโนฺตฯ อิตรถาติ ยทิ เอกํเยว ภตฺตํ ทฺวิธา กตฺวา ตโต เอกสฺส ภาคสฺส ภุญฺชนํ เอกเทสภุญฺชนํ อธิเปฺปตํฯ โก สโกฺกตีติ โก เอวํ ยาเปตุํ สโกฺกติฯ อตีตชาติปริจโยปิ นาม อิเมสํ สตฺตานํเยว อนุพนฺธตีติ อาห ‘‘อตีเต’’ติอาทิฯ วิรวนฺตเสฺสวาติ อนาทเร สามิวจนํฯ ตํ มทฺทิตฺวาติ ‘‘อยํ สิกฺขา สเพฺพสมฺปิ พุทฺธานํ สาสเน อาจิณฺณํ, อยญฺจ ภิกฺขุ อิมํ สิกฺขเตวา’’ติ วตฺวา ตํ ภทฺทาลิํ ตสฺส วา อนุสฺสาหปเวทนํ อภิภวิตฺวาฯ ภิกฺขาจารคมนตฺถํ น วิตกฺกมาฬกํ อคมาสิ, วิหารจาริกํ จรโนฺต ตสฺส วสนฎฺฐานํ ภควา คจฺฉติฯ
134. Asiyatīti asanaṃ, bhuñjanaṃ bhojanaṃ, asanassa bhojanaṃ asanabhojanaṃ, āhāraparibhogo, ekasmiṃ kāle asanabhojanaṃ ekāsanabhojanaṃ. So pana kālo sabbabuddhānaṃ sabbapaccekabuddhānaṃ āciṇṇasamāciṇṇavasena pubbaṇho eva idhādhippetoti āha ‘‘ekasmiṃ purebhatte asanabhojana’’nti. Vippaṭisārakukkuccanti ‘‘ayuttaṃ vata mayā kataṃ, yo attano sarīrapakatiṃ ajānanto ekāsanabhojanaṃ bhuñji, yena me idaṃ sarīraṃ kisaṃ jātaṃ brahmacariyānuggaho nāhosī’’ti evaṃ vippaṭisārakukkuccaṃ bhaveyya. Etaṃ sandhāya satthā āha, na bhaddālimeva tādisaṃ kiriyaṃ anujānanto. Itarathāti yadi ekaṃyeva bhattaṃ dvidhā katvā tato ekassa bhāgassa bhuñjanaṃ ekadesabhuñjanaṃ adhippetaṃ. Ko sakkotīti ko evaṃ yāpetuṃ sakkoti. Atītajātiparicayopi nāma imesaṃ sattānaṃyeva anubandhatīti āha ‘‘atīte’’tiādi. Viravantassevāti anādare sāmivacanaṃ. Taṃ madditvāti ‘‘ayaṃ sikkhā sabbesampi buddhānaṃ sāsane āciṇṇaṃ, ayañca bhikkhu imaṃ sikkhatevā’’ti vatvā taṃ bhaddāliṃ tassa vā anussāhapavedanaṃ abhibhavitvā. Bhikkhācāragamanatthaṃ na vitakkamāḷakaṃ agamāsi, vihāracārikaṃ caranto tassa vasanaṭṭhānaṃ bhagavā gacchati.
๑๓๕. ทูสยนฺติ ครหนฺติ เอเตนาติ โทโส, อปราโธ, โส เอว กุจฺฉิตภาเวน โทสโกฯ ครหาย ปวตฺติฎฺฐานโต โอกาโสฯ เตนาห – ‘‘เอตํ โอกาสํ เอตํ อปราธ’’นฺติฯ ทุกฺกรตรนฺติ ปติการวเสน อติสเยน ทุกฺกรํฯ อปราโธ หิ น ขมาเปนฺตํ ยถาปจฺจยํ วิตฺถาริโต หุตฺวา ทุปฺปติกาโร โหติฯ เตนาห ‘‘วสฺสญฺหี’’ติอาทิฯ
135. Dūsayanti garahanti etenāti doso, aparādho, so eva kucchitabhāvena dosako. Garahāya pavattiṭṭhānato okāso. Tenāha – ‘‘etaṃ okāsaṃ etaṃ aparādha’’nti. Dukkarataranti patikāravasena atisayena dukkaraṃ. Aparādho hi na khamāpentaṃ yathāpaccayaṃ vitthārito hutvā duppatikāro hoti. Tenāha ‘‘vassañhī’’tiādi.
อลคฺคิตฺวาติ อิมมฺปิ นาม อปนีตํ อกาสีติ เอวํ อวิเนตฺวา, ตํ ตํ ตสฺส หิตปฎิปตฺติํ นิวารณํ กตฺวาติ อโตฺถฯ ญายปฎิปตฺติํ อติจฺจ เอติ ปวตฺตตีติ อจฺจโย, อปราโธ, ปุริเสน มทฺทิตฺวา ปวตฺติโต อปราโธ อตฺถโต ปุริสํ อติจฺจ อภิภวิตฺวา ปวโตฺต นาม โหติฯ เตนาห ‘‘อจฺจโย มํ, ภเนฺต, อจฺจคมา’’ติฯ อวเสสปจฺจยานํ สมาคเม เอติ ผลํ เอตสฺมา อุปฺปชฺชติ ปวตฺตติ จาติ สมโย, เหตุ ยถา ‘‘สมุทาโย’’ติ อาห ‘‘เอกํ การณ’’นฺติฯ ยํ ปเนตฺถ ภทฺทาลิเตฺถรสฺส อปริปูรการิตาย ภิกฺขุอาทีนํ ชานนํ, ตมฺปิ การณํ กตฺวา ‘‘อหํ โข, ภเนฺต, น อุสฺสหามี’’ติอาทินา วตฺตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ
Alaggitvāti imampi nāma apanītaṃ akāsīti evaṃ avinetvā, taṃ taṃ tassa hitapaṭipattiṃ nivāraṇaṃ katvāti attho. Ñāyapaṭipattiṃ aticca eti pavattatīti accayo, aparādho, purisena madditvā pavattito aparādho atthato purisaṃ aticca abhibhavitvā pavatto nāma hoti. Tenāha ‘‘accayo maṃ, bhante, accagamā’’ti. Avasesapaccayānaṃ samāgame eti phalaṃ etasmā uppajjati pavattati cāti samayo, hetu yathā ‘‘samudāyo’’ti āha ‘‘ekaṃ kāraṇa’’nti. Yaṃ panettha bhaddālittherassa aparipūrakāritāya bhikkhuādīnaṃ jānanaṃ, tampi kāraṇaṃ katvā ‘‘ahaṃ kho, bhante, na ussahāmī’’tiādinā vattabbanti dasseti.
๑๓๖. เอกจิตฺตกฺขณิกาติ ปฐมมคฺคจิตฺตกฺขเณน เอกจิตฺตกฺขณิกาฯ เอวํ อาณาเปตุํ น ยุตฺตนฺติ สงฺกมตฺถาย อาณาเปตุํ น ยุตฺตํ ปโยชนาภาวโตฯ อนาจิณฺณเญฺจตํ พุทฺธานํ, ยทิทํ ปทสา อกฺกมนํฯ ตถา หิ –
136.Ekacittakkhaṇikāti paṭhamamaggacittakkhaṇena ekacittakkhaṇikā. Evaṃ āṇāpetuṃ na yuttanti saṅkamatthāya āṇāpetuṃ na yuttaṃ payojanābhāvato. Anāciṇṇañcetaṃ buddhānaṃ, yadidaṃ padasā akkamanaṃ. Tathā hi –
‘‘อกฺกมิตฺวาน มํ พุโทฺธ, สห สิเสฺสหิ คจฺฉตุ;
‘‘Akkamitvāna maṃ buddho, saha sissehi gacchatu;
มา นํ กลลํ อกฺกมิตฺถ, หิตาย เม ภวิสฺสตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๓);
Mā naṃ kalalaṃ akkamittha, hitāya me bhavissatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.53);
สุเมธปณฺฑิเตน ปจฺจาสีสิตํ น กตํฯ ยถาห –
Sumedhapaṇḍitena paccāsīsitaṃ na kataṃ. Yathāha –
‘‘ทีปงฺกโร โลกวิทู, อาหุตีนํ ปฎิคฺคโห;
‘‘Dīpaṅkaro lokavidū, āhutīnaṃ paṭiggaho;
อุสฺสีสเก มํ ฐตฺวาน, อิทํ วจนมพฺรวี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๖๐);
Ussīsake maṃ ṭhatvāna, idaṃ vacanamabravī’’ti. (bu. vaṃ. 2.60);
ภควตา อาณเตฺต สติ เตสมฺปิ เอวํ กาตุํ น ยุตฺตนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ เอเตสํ ปฎิพาหิตุํ ยุตฺตนฺติ อิทํ อฎฺฐานปริกปฺปนวเสเนว วุตฺตํฯ น หิ พุทฺธานํ กาตุํ อารทฺธํ นาม กิจฺจํ เกหิจิ ปฎิพาหิตุํ ยุตฺตํ นาม อตฺถิ ปฎิพาหิตุํเยว อกรณโตฯ สมฺมตฺตนิยามสฺส อโนกฺกนฺตตฺตา วุตฺตํ ‘‘พาหิรโก’’ติฯ
Bhagavatā āṇatte sati tesampi evaṃ kātuṃ na yuttanti etthāpi eseva nayo. Etesaṃ paṭibāhituṃ yuttanti idaṃ aṭṭhānaparikappanavaseneva vuttaṃ. Na hi buddhānaṃ kātuṃ āraddhaṃ nāma kiccaṃ kehici paṭibāhituṃ yuttaṃ nāma atthi paṭibāhituṃyeva akaraṇato. Sammattaniyāmassa anokkantattā vuttaṃ ‘‘bāhirako’’ti.
๑๓๗. น กมฺมฎฺฐานํ อลฺลียตีติ จิตฺตํ กมฺมฎฺฐานํ น โอตรติฯ
137.Na kammaṭṭhānaṃ allīyatīti cittaṃ kammaṭṭhānaṃ na otarati.
๑๔๐. ปุนปฺปุนํ กาเรนฺตีติ ทณฺฑกมฺมปณามนาทิการณํ ปุนปฺปุนํ กาเรนฺติฯ สมฺมาวตฺตมฺหิ น วตฺตตีติ ตสฺสา ตสฺสา อาปตฺติยา วุฎฺฐานตฺถํ ภควตา ปญฺญตฺตสมฺมาวตฺตมฺหิ น วตฺตติฯ อนุโลมวเตฺต น วตฺตตีติ เยน เยน วเตฺตน สโงฺฆ อนุโลมิโก โหติ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ อนุโลมวเตฺต น วตฺตติ วิโลมเมว คณฺหาติ, ปฎิโลเมน โหติฯ นิตฺถารณกวตฺตมฺหีติ เยน วเตฺตน สโงฺฆ อนุโลมิโก โหติ, สาปตฺติกภาวโต นิตฺถิโณฺณ โหติ, ตมฺหิ นิตฺถารณวตฺตสฺมิํ น วตฺตติฯ เตนาห ‘‘อาปตฺตี’’ติอาทิฯ ทุพฺพจกรเณติ ทุพฺพจสฺส ภิกฺขุโน กรเณฯ
140.Punappunaṃ kārentīti daṇḍakammapaṇāmanādikāraṇaṃ punappunaṃ kārenti. Sammāvattamhi na vattatīti tassā tassā āpattiyā vuṭṭhānatthaṃ bhagavatā paññattasammāvattamhi na vattati. Anulomavatte na vattatīti yena yena vattena saṅgho anulomiko hoti, tasmiṃ tasmiṃ anulomavatte na vattati vilomameva gaṇhāti, paṭilomena hoti. Nitthāraṇakavattamhīti yena vattena saṅgho anulomiko hoti, sāpattikabhāvato nitthiṇṇo hoti, tamhi nitthāraṇavattasmiṃ na vattati. Tenāha ‘‘āpattī’’tiādi. Dubbacakaraṇeti dubbacassa bhikkhuno karaṇe.
๑๔๔. ยาเปตีติ วตฺตติ, สาสเน ติฎฺฐตีติ อโตฺถฯ อภิญฺญาปตฺตาติ ‘‘อสุโก อสุโก จ เถโร สีลวา กลฺยาณธโมฺม พหุสฺสุโต’’ติอาทินา อภิญฺญาตภาวํ ปตฺตา อธิคตอภิญฺญาตาฯ
144.Yāpetīti vattati, sāsane tiṭṭhatīti attho. Abhiññāpattāti ‘‘asuko asuko ca thero sīlavā kalyāṇadhammo bahussuto’’tiādinā abhiññātabhāvaṃ pattā adhigataabhiññātā.
๑๔๕. สเตฺตสุ หายมาเนสูติ กิเลสพหุลตาย ปฎิปชฺชนกสเตฺตสุ ปริหายเนฺตสุ ปฎิปเถสุ ชายมาเนสุฯ อนฺตรธายติ นาม ตทาธารตายฯ ทิฎฺฐธมฺมิกา ปรูปวาทาทโยฯ สมฺปรายิกา อปายทุกฺขวิเสสาฯ อาสวนฺติ เตน เตน ปจฺจเยน ปวตฺตนฺตีติ อาสวาฯ เนสนฺติ ปรูปวาทาทิอาสวานํฯ เตติ วีติกฺกมธมฺมาฯ
145.Sattesu hāyamānesūti kilesabahulatāya paṭipajjanakasattesu parihāyantesu paṭipathesu jāyamānesu. Antaradhāyati nāma tadādhāratāya. Diṭṭhadhammikā parūpavādādayo. Samparāyikā apāyadukkhavisesā. Āsavanti tena tena paccayena pavattantīti āsavā. Nesanti parūpavādādiāsavānaṃ. Teti vītikkamadhammā.
อกาลํ ทเสฺสตฺวาติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อกาลํ ทเสฺสตฺวาฯ อุปฺปตฺตินฺติ อาสวฎฺฐานิยานํ ธมฺมานมุปฺปตฺติํฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา กาลํ, ตาว เสนาสนานิ ปโหนฺติ, เตน อาวาสมจฺฉริยาทิเหตุนา สาสเน เอกเจฺจ อาสวฎฺฐานิยา ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺติฯ อิมินา นเยนาติ อิมินา ปน เหตุนา ปทโสธมฺมสิกฺขาปทานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ
Akālaṃ dassetvāti sikkhāpadapaññattiyā akālaṃ dassetvā. Uppattinti āsavaṭṭhāniyānaṃ dhammānamuppattiṃ. Sikkhāpadapaññattiyā kālaṃ, tāvasenāsanāni pahonti, tena āvāsamacchariyādihetunā sāsane ekacce āsavaṭṭhāniyā dhammā na uppajjanti. Iminā nayenāti iminā pana hetunā padasodhammasikkhāpadānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo.
ยสนฺติ กิตฺติสทฺทํ ปริวารญฺจฯ สาคตเตฺถรสฺส นาคทมนกิตฺติยสาทิวเสน สุราปานสงฺขาโต อาสวฎฺฐานิโย ธโมฺม อุปฺปชฺชิฯ
Yasanti kittisaddaṃ parivārañca. Sāgatattherassa nāgadamanakittiyasādivasena surāpānasaṅkhāto āsavaṭṭhāniyo dhammo uppajji.
รเสน รสํ สํสเนฺทตฺวาติ อุปาทินฺนกผสฺสรเสน อนุปาทินฺนกผสฺสรสํ สํสเนฺทตฺวาฯ
Rasena rasaṃ saṃsandetvāti upādinnakaphassarasena anupādinnakaphassarasaṃ saṃsandetvā.
๑๔๖. น โข, ภทฺทาลิ, เอเสว เหตุ, อถ โข อญฺญมฺปิ อตฺถีติ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ เตน ธมฺมสฺส สกฺกจฺจสวเน เถรํ นิโยเชติฯ
146. Na kho, bhaddāli, eseva hetu, atha kho aññampi atthīti dassento bhagavā ‘‘apicā’’tiādimāha. Tena dhammassa sakkaccasavane theraṃ niyojeti.
๑๔๗. วิเสวนาจารนฺติ อทนฺตกิริยํฯ ปรินิพฺพายตีติ วูปสมฺมติฯ ตตฺถ อทนฺตกิริยํ ปหาย ทโนฺต โหติฯ ยุคสฺสาติ รถธุรสฺสฯ
147.Visevanācāranti adantakiriyaṃ. Parinibbāyatīti vūpasammati. Tattha adantakiriyaṃ pahāya danto hoti. Yugassāti rathadhurassa.
อนุกฺกเมติ อนุรูปปริคเมฯ ตทวตฺถานุรูปํ ปาทานํ อุกฺขิปเน นิกฺขิปเน จฯ เตนาห ‘‘จตฺตาโร ปาเท’’ติอาทิฯ รชฺชุพนฺธนวิธาเนนาติ ปาทโต ภูมิยา โมจนวิธาเนนฯ เอวํ กรณตฺถนฺติ ยถา อเสฺส นิสินฺนเสฺสว ภูมิํ คเหตุํ สกฺกา, เอวํ จตฺตาโร ปาเท ตถา กตฺวา อตฺตโน นิจฺจลภาวกรณตฺถํฯ มณฺฑเลติ มณฺฑลธาวิกายํฯ ปถวีกมเนติ ปถวิํ ผุฎฺฐมเตฺตน คมเนฯ เตนาห ‘‘อคฺคคฺคขุเรหี’’ติฯ โอกฺกนฺตกรณสฺมินฺติ โอกฺกเนฺตตฺวา ปรเสนาสมฺมทฺทน โอกฺกนฺตกรเณฯ เอกสฺมิํ ฐาเนติ จตูสุ ปาเทสุ ยตฺถ กตฺถจิ เอกสฺมิํ ฐาเน คมนํ โจเทนฺตีติ อโตฺถ, โส ปเนตฺถ สีฆตโร อธิเปฺปโตฯ ทวเตฺตติ มริยาทาโกปเนหิ นานปฺปโยชเน, ปรเสนาย ปวตฺตมหานาทปหรเณหิ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ยุทฺธกาลสฺมิ’’นฺติอาทิฯ
Anukkameti anurūpaparigame. Tadavatthānurūpaṃ pādānaṃ ukkhipane nikkhipane ca. Tenāha ‘‘cattāro pāde’’tiādi. Rajjubandhanavidhānenāti pādato bhūmiyā mocanavidhānena. Evaṃ karaṇatthanti yathā asse nisinnasseva bhūmiṃ gahetuṃ sakkā, evaṃ cattāro pāde tathā katvā attano niccalabhāvakaraṇatthaṃ. Maṇḍaleti maṇḍaladhāvikāyaṃ. Pathavīkamaneti pathaviṃ phuṭṭhamattena gamane. Tenāha ‘‘aggaggakhurehī’’ti. Okkantakaraṇasminti okkantetvā parasenāsammaddana okkantakaraṇe. Ekasmiṃ ṭhāneti catūsu pādesu yattha katthaci ekasmiṃ ṭhāne gamanaṃ codentīti attho, so panettha sīghataro adhippeto. Davatteti mariyādākopanehi nānappayojane, parasenāya pavattamahānādapaharaṇehi attho. Tenāha ‘‘yuddhakālasmi’’ntiādi.
รญฺญา ชานิตพฺพคุเณติ ยถา ราชา อสฺสสฺส คุเณ ชานาติ, เอวํ เตน ชานิตพฺพคุณการณํ กาเรติฯ อสฺสราชวํเสติ ทุสฺสหํ ทุกฺขํ ปตฺวาปิ ยถา อยํ ราชวํสานุรูปกิริยํ น ชหิสฺสติ, เอวํ สิกฺขาปเนฯ สิกฺขาปนเมว หิ สนฺธาย สพฺพตฺถ ‘‘การณํ กาเรตี’’ติ วุตฺตํ ตสฺส กรณการาปนปริยายตฺตาฯ
Raññā jānitabbaguṇeti yathā rājā assassa guṇe jānāti, evaṃ tena jānitabbaguṇakāraṇaṃ kāreti. Assarājavaṃseti dussahaṃ dukkhaṃ patvāpi yathā ayaṃ rājavaṃsānurūpakiriyaṃ na jahissati, evaṃ sikkhāpane. Sikkhāpanameva hi sandhāya sabbattha ‘‘kāraṇaṃ kāretī’’ti vuttaṃ tassa karaṇakārāpanapariyāyattā.
ยถา อุตฺตมชโว โหตีติ ชวทสฺสนฎฺฐาเน ยถา หโย อุตฺตมชวํ น หาเปสิ, เอวํ สิกฺขาเปติฯ อุตฺตมหยภาเว, ยถา อุตฺตมหโย โหตีติ กมฺมกรณกาเล อตฺตโน อุตฺตมสภาวํ อนิคุหิตฺวา อวเชฺชตฺวา ยถา อตฺถสิทฺธิ โหติ, เอวํ ปรมชเวน สิกฺขาเปติฯ ยถา กิริยา วินา ทพฺพมฺปิ วินา กิริยํ น ภวติ, เอวํ ทฎฺฐพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ปกติยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Yathāuttamajavo hotīti javadassanaṭṭhāne yathā hayo uttamajavaṃ na hāpesi, evaṃ sikkhāpeti. Uttamahayabhāve, yathā uttamahayo hotīti kammakaraṇakāle attano uttamasabhāvaṃ aniguhitvā avajjetvā yathā atthasiddhi hoti, evaṃ paramajavena sikkhāpeti. Yathā kiriyā vinā dabbampi vinā kiriyaṃ na bhavati, evaṃ daṭṭhabbanti dassetuṃ ‘‘tattha pakatiyā’’tiādi vuttaṃ.
ตตฺราติ ตสฺมิํ ปกติยา อุตฺตมหยเสฺสว อุตฺตมหยการณารหตฺตา อุตฺตมชวปฎิปชฺชเนฯ มาสขาทกโฆฎกานนฺติ มาสํ ขาทิตฺวา ยถา ตถา วิคุณขลุงฺคกานํฯ วลญฺชกทณฺฑนฺติ รญฺญา คเหตพฺพสุวณฺณทณฺฑํฯ ธาตุปตฺถโทฺธติ อตฺตนาว สมุปฺปาทิตธาตุยา อุปตฺถมฺภิโต หุตฺวาฯ
Tatrāti tasmiṃ pakatiyā uttamahayasseva uttamahayakāraṇārahattā uttamajavapaṭipajjane. Māsakhādakaghoṭakānanti māsaṃ khāditvā yathā tathā viguṇakhaluṅgakānaṃ. Valañjakadaṇḍanti raññā gahetabbasuvaṇṇadaṇḍaṃ. Dhātupatthaddhoti attanāva samuppāditadhātuyā upatthambhito hutvā.
อุตฺตเม สาขเลฺยติ ปรมสขิลภาเว สขิลวาจาย เอว ทเมตพฺพตายฯ เตนาห ‘‘มุทุวาจาย หี’’ติอาทิฯ
Uttame sākhalyeti paramasakhilabhāve sakhilavācāya eva dametabbatāya. Tenāha ‘‘muduvācāya hī’’tiādi.
อรหตฺตผลสมฺมาทิฎฺฐิยาติ ผลสมาปตฺติกาเล ปวตฺตสมฺมาญาณํฯ สมฺมาญาณํ ปุเพฺพ วุตฺตสมฺมาทิฎฺฐิเยวาติ ปน อิทํ ผลสมฺมาทิฎฺฐิภาวสามเญฺญน วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘ปจฺจเวกฺขณญาณ’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น ยุชฺชติ ‘‘อเสเกฺขนา’’ติ วิเสสิตตฺตาฯ ตมฺปิ อเสกฺขญาณนฺติ เจ? เอวมฺปิ นิปฺปริยาย เสกฺขคฺคหเณ ปริยายเสกฺขคฺคหณํ น ยุตฺตเมว, กิจฺจเภเทน วา วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอกา เอว หิ สา ปญฺญา นิพฺพานสฺส ปจฺจกฺขกิริยาย สมฺมาทสฺสนกิจฺจํ อุปาทาย ‘‘สมฺมาทิฎฺฐี’’ติ วุตฺตา, สมฺมาชานนกิจฺจํ อุปาทาย ‘‘สมฺมาญาณ’’นฺติฯ อญฺญาตาวินฺทฺริยวเสน วา สมฺมาทิฎฺฐิ, ปญฺญินฺทฺริยวเสน สมฺมาญาณนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ มคฺคผลาวหาย เทสนาย สเงฺขปโตว อาคตตฺตา วุตฺตํ ‘‘อุคฺฆฎิตญฺญุปุคฺคลสฺส วเสนา’’ติฯ
Arahattaphalasammādiṭṭhiyāti phalasamāpattikāle pavattasammāñāṇaṃ. Sammāñāṇaṃ pubbe vuttasammādiṭṭhiyevāti pana idaṃ phalasammādiṭṭhibhāvasāmaññena vuttaṃ. Keci pana ‘‘paccavekkhaṇañāṇa’’nti vadanti, taṃ na yujjati ‘‘asekkhenā’’ti visesitattā. Tampi asekkhañāṇanti ce? Evampi nippariyāya sekkhaggahaṇe pariyāyasekkhaggahaṇaṃ na yuttameva, kiccabhedena vā vuttanti daṭṭhabbaṃ. Ekā eva hi sā paññā nibbānassa paccakkhakiriyāya sammādassanakiccaṃ upādāya ‘‘sammādiṭṭhī’’ti vuttā, sammājānanakiccaṃ upādāya ‘‘sammāñāṇa’’nti. Aññātāvindriyavasena vā sammādiṭṭhi, paññindriyavasena sammāñāṇanti evamettha attho daṭṭhabbo. Maggaphalāvahāya desanāya saṅkhepatova āgatattā vuttaṃ ‘‘ugghaṭitaññupuggalassa vasenā’’ti.
ภทฺทาลิสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Bhaddālisuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. ภทฺทาลิสุตฺตํ • 5. Bhaddālisuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. ภทฺทาลิสุตฺตวณฺณนา • 5. Bhaddālisuttavaṇṇanā