Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๖๕] ๒. ภทฺทสาลชาตกวณฺณนา

    [465] 2. Bhaddasālajātakavaṇṇanā

    กา ตฺวํ สุเทฺธหิ วเตฺถหีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ญาตตฺถจริยํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยญฺหิ อนาถปิณฺฑิกสฺส นิเวสเน ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ นิพทฺธโภชนํ ปวตฺตติ, ตถา วิสาขาย จ โกสลรโญฺญ จฯ ตตฺถ ปน กิญฺจาปิ นานคฺครสโภชนํ ทียติ, ภิกฺขูนํ ปเนตฺถ โกจิ วิสฺสาสิโก นตฺถิ, ตสฺมา ภิกฺขู ราชนิเวสเน น ภุญฺชนฺติ, ภตฺตํ คเหตฺวา อนาถปิณฺฑิกสฺส วา วิสาขาย วา อเญฺญสํ วา วิสฺสาสิกานํ ฆรํ คนฺตฺวา ภุญฺชนฺติฯ ราชา เอกทิวสํ ปณฺณาการํ อาหฎํ ‘‘ภิกฺขูนํ เทถา’’ติ ภตฺตคฺคํ เปเสตฺวา ‘‘ภตฺตเคฺค ภิกฺขู นตฺถี’’ติ วุเตฺต ‘‘กหํ คตา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อตฺตโน วิสฺสาสิกเคเหสุ นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺตี’’ติ สุตฺวา ภุตฺตปาตราโส สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, โภชนํ นาม กิํ ปรม’’นฺติ ปุจฺฉิฯ วิสฺสาสปรมํ มหาราช, กญฺชิกมตฺตกมฺปิ วิสฺสาสิเกน ทินฺนํ มธุรํ โหตีติฯ ภเนฺต, เกน ปน สทฺธิํ ภิกฺขูนํ วิสฺสาโส โหตีติ? ‘‘ญาตีหิ วา เสกฺขกุเลหิ วา, มหาราชา’’ติฯ ตโต ราชา จิเนฺตสิ ‘‘เอกํ สกฺยธีตรํ อาเนตฺวา อคฺคมเหสิํ กริสฺสามิ, เอวํ มยา สทฺธิํ ภิกฺขูนํ ญาตเก วิย วิสฺสาโส ภวิสฺสตี’’ติฯ โส อุฎฺฐายาสนา อตฺตโน นิเวสนํ คนฺตฺวา กปิลวตฺถุํ ทูตํ เปเสสิ ‘‘ธีตรํ เม เทถ, อหํ ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ญาติภาวํ อิจฺฉามี’’ติฯ

    Kā tvaṃ suddhehi vatthehīti idaṃ satthā jetavane viharanto ñātatthacariyaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyañhi anāthapiṇḍikassa nivesane pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ nibaddhabhojanaṃ pavattati, tathā visākhāya ca kosalarañño ca. Tattha pana kiñcāpi nānaggarasabhojanaṃ dīyati, bhikkhūnaṃ panettha koci vissāsiko natthi, tasmā bhikkhū rājanivesane na bhuñjanti, bhattaṃ gahetvā anāthapiṇḍikassa vā visākhāya vā aññesaṃ vā vissāsikānaṃ gharaṃ gantvā bhuñjanti. Rājā ekadivasaṃ paṇṇākāraṃ āhaṭaṃ ‘‘bhikkhūnaṃ dethā’’ti bhattaggaṃ pesetvā ‘‘bhattagge bhikkhū natthī’’ti vutte ‘‘kahaṃ gatā’’ti pucchitvā ‘‘attano vissāsikagehesu nisīditvā bhuñjantī’’ti sutvā bhuttapātarāso satthu santikaṃ gantvā ‘‘bhante, bhojanaṃ nāma kiṃ parama’’nti pucchi. Vissāsaparamaṃ mahārāja, kañjikamattakampi vissāsikena dinnaṃ madhuraṃ hotīti. Bhante, kena pana saddhiṃ bhikkhūnaṃ vissāso hotīti? ‘‘Ñātīhi vā sekkhakulehi vā, mahārājā’’ti. Tato rājā cintesi ‘‘ekaṃ sakyadhītaraṃ ānetvā aggamahesiṃ karissāmi, evaṃ mayā saddhiṃ bhikkhūnaṃ ñātake viya vissāso bhavissatī’’ti. So uṭṭhāyāsanā attano nivesanaṃ gantvā kapilavatthuṃ dūtaṃ pesesi ‘‘dhītaraṃ me detha, ahaṃ tumhehi saddhiṃ ñātibhāvaṃ icchāmī’’ti.

    สากิยา ทูตวจนํ สุตฺวา สนฺนิปติตฺวา มนฺตยิํสุ ‘‘มยํ โกสลรโญฺญ อาณาปวตฺติฎฺฐาเน วสาม, สเจ ทาริกํ น ทสฺสาม, มหนฺตํ เวรํ ภวิสฺสติ, สเจ ทสฺสาม, กุลวํโส โน ภิชฺชิสฺสติ, กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติฯ อถ เน มหานาโม อาห – ‘‘มา จินฺตยิตฺถ, มม ธีตา วาสภขตฺติยา นาม นาคมุณฺฑาย นาม ทาสิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติฯ สา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา อุตฺตมรูปธรา โสภคฺคปฺปตฺตา ปิตุ วํเสน ขตฺติยชาติกา, ตมสฺส ‘ขตฺติยกญฺญา’ติ เปเสสฺสามา’’ติฯ สากิยา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ทูเต ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สาธุ, ทาริกํ ทสฺสาม, อิทาเนว นํ คเหตฺวา คจฺฉถา’’ติ อาหํสุฯ ทูตา จิเนฺตสุํ ‘‘อิเม สากิยา นาม ชาติํ นิสฺสาย อติมานิโน, ‘สทิสี โน’ติ วตฺวา อสทิสิมฺปิ ทเทยฺยุํ, เอเตหิ สทฺธิํ เอกโต ภุญฺชมานเมว คณฺหิสฺสามา’’ติฯ เต เอวมาหํสุ ‘‘มยํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตา ยา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ เอกโต ภุญฺชติ, ตํ คเหตฺวา คมิสฺสามา’’ติฯ สากิยา เตสํ นิวาสฎฺฐานํ ทาเปตฺวา ‘‘กิํ กริสฺสามา’’ติ จินฺตยิํสุฯ มหานาโม อาห – ‘‘ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถ, อหํ อุปายํ กริสฺสามิ, ตุเมฺห มม โภชนกาเล วาสภขตฺติยํ อลงฺกริตฺวา อาเนตฺวา มยา เอกสฺมิํ กพเฬ คหิตมเตฺต ‘เทว, อสุกราชา ปณฺณํ ปหิณิ, อิมํ ตาว สาสนํ สุณาถา’ติ ปณฺณํ ทเสฺสยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตสฺมิํ ภุญฺชมาเน กุมาริกํ อลงฺกริํสุฯ

    Sākiyā dūtavacanaṃ sutvā sannipatitvā mantayiṃsu ‘‘mayaṃ kosalarañño āṇāpavattiṭṭhāne vasāma, sace dārikaṃ na dassāma, mahantaṃ veraṃ bhavissati, sace dassāma, kulavaṃso no bhijjissati, kiṃ nu kho kātabba’’nti. Atha ne mahānāmo āha – ‘‘mā cintayittha, mama dhītā vāsabhakhattiyā nāma nāgamuṇḍāya nāma dāsiyā kucchismiṃ nibbatti. Sā soḷasavassuddesikā uttamarūpadharā sobhaggappattā pitu vaṃsena khattiyajātikā, tamassa ‘khattiyakaññā’ti pesessāmā’’ti. Sākiyā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā dūte pakkosāpetvā ‘‘sādhu, dārikaṃ dassāma, idāneva naṃ gahetvā gacchathā’’ti āhaṃsu. Dūtā cintesuṃ ‘‘ime sākiyā nāma jātiṃ nissāya atimānino, ‘sadisī no’ti vatvā asadisimpi dadeyyuṃ, etehi saddhiṃ ekato bhuñjamānameva gaṇhissāmā’’ti. Te evamāhaṃsu ‘‘mayaṃ gahetvā gacchantā yā tumhehi saddhiṃ ekato bhuñjati, taṃ gahetvā gamissāmā’’ti. Sākiyā tesaṃ nivāsaṭṭhānaṃ dāpetvā ‘‘kiṃ karissāmā’’ti cintayiṃsu. Mahānāmo āha – ‘‘tumhe mā cintayittha, ahaṃ upāyaṃ karissāmi, tumhe mama bhojanakāle vāsabhakhattiyaṃ alaṅkaritvā ānetvā mayā ekasmiṃ kabaḷe gahitamatte ‘deva, asukarājā paṇṇaṃ pahiṇi, imaṃ tāva sāsanaṃ suṇāthā’ti paṇṇaṃ dasseyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tasmiṃ bhuñjamāne kumārikaṃ alaṅkariṃsu.

    มหานาโม ‘‘ธีตรํ เม อาเนถ, มยา สทฺธิํ ภุญฺชตู’’ติ อาหฯ อถ นํ อลงฺกริตฺวา ตาวเทว โถกํ ปปญฺจํ กตฺวา อานยิํสุฯ สา ‘‘ปิตรา สทฺธิํ ภุญฺชิสฺสามี’’ติ เอกปาติยํ หตฺถํ โอตาเรสิฯ มหานาโมปิ ตาย สทฺธิํ เอกปิณฺฑํ คเหตฺวา มุเข ฐเปสิฯ ทุติยปิณฺฑาย หเตฺถ ปสาริเต ‘‘เทว, อสุกรญฺญา ปณฺณํ ปหิตํ, อิมํ ตาว สาสนํ สุณาถา’’ติ ปณฺณํ อุปนาเมสุํฯ มหานาโม ‘‘อมฺม, ตฺวํ ภุญฺชาหี’’ติ ทกฺขิณหตฺถํ ปาติยาเยว กตฺวา วามหเตฺถน คเหตฺวา ปณฺณํ โอโลเกสิฯ ตสฺส ตํ สาสนํ อุปธาเรนฺตเสฺสว อิตรา ภุญฺชิฯ โส ตสฺสา ภุตฺตกาเล หตฺถํ โธวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลสิฯ ตํ ทิสฺวา ทูตา ‘‘นิจฺฉเยเนสา เอตสฺส ธีตา’’ติ นิฎฺฐมกํสุ, น ตํ อนฺตรํ ชานิตุํ สกฺขิํสุฯ มหานาโม มหเนฺตน ปริวาเรน ธีตรํ เปเสสิฯ ทูตาปิ นํ สาวตฺถิํ เนตฺวา ‘‘อยํ กุมาริกา ชาติสมฺปนฺนา มหานามสฺส ธีตา’’ติ วทิํสุฯ ราชา ตุสฺสิตฺวา สกลนครํ อลงฺการาเปตฺวา ตํ รตนราสิมฺหิ ฐเปตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน อภิสิญฺจาเปสิฯ สา รโญฺญ ปิยา อโหสิ มนาปาฯ

    Mahānāmo ‘‘dhītaraṃ me ānetha, mayā saddhiṃ bhuñjatū’’ti āha. Atha naṃ alaṅkaritvā tāvadeva thokaṃ papañcaṃ katvā ānayiṃsu. Sā ‘‘pitarā saddhiṃ bhuñjissāmī’’ti ekapātiyaṃ hatthaṃ otāresi. Mahānāmopi tāya saddhiṃ ekapiṇḍaṃ gahetvā mukhe ṭhapesi. Dutiyapiṇḍāya hatthe pasārite ‘‘deva, asukaraññā paṇṇaṃ pahitaṃ, imaṃ tāva sāsanaṃ suṇāthā’’ti paṇṇaṃ upanāmesuṃ. Mahānāmo ‘‘amma, tvaṃ bhuñjāhī’’ti dakkhiṇahatthaṃ pātiyāyeva katvā vāmahatthena gahetvā paṇṇaṃ olokesi. Tassa taṃ sāsanaṃ upadhārentasseva itarā bhuñji. So tassā bhuttakāle hatthaṃ dhovitvā mukhaṃ vikkhālesi. Taṃ disvā dūtā ‘‘nicchayenesā etassa dhītā’’ti niṭṭhamakaṃsu, na taṃ antaraṃ jānituṃ sakkhiṃsu. Mahānāmo mahantena parivārena dhītaraṃ pesesi. Dūtāpi naṃ sāvatthiṃ netvā ‘‘ayaṃ kumārikā jātisampannā mahānāmassa dhītā’’ti vadiṃsu. Rājā tussitvā sakalanagaraṃ alaṅkārāpetvā taṃ ratanarāsimhi ṭhapetvā aggamahesiṭṭhāne abhisiñcāpesi. Sā rañño piyā ahosi manāpā.

    อถสฺสา น จิรเสฺสว คโพฺภ ปติฎฺฐหิฯ ราชา คพฺภปริหารมทาสิฯ สา ทสมาสจฺจเยน สุวณฺณวณฺณํ ปุตฺตํ วิชายิฯ อถสฺส นามคฺคหณทิวเส ราชา อตฺตโน อยฺยกสฺส สนฺติกํ เปเสสิ ‘‘สกฺยราชธีตา วาสภขตฺติยา ปุตฺตํ วิชายิ, กิมสฺส นามํ กโรมา’’ติฯ ตํ ปน สาสนํ คเหตฺวา คโต อมโจฺจ โถกํ พธิรธาตุโก, โส คนฺตฺวา รโญฺญ อยฺยกสฺสาโรเจสิฯ โส ตํ สุตฺวา ‘‘วาสภขตฺติยา ปุตฺตํ อวิชายิตฺวาปิ สพฺพํ ชนํ อภิภวติ, อิทานิ ปน อติวิย รโญฺญ วลฺลภา ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ โส พธิรอมโจฺจ ‘‘วลฺลภา’’ติ วจนํ ทุสฺสุตํ สุตฺวา ‘‘วิฎฎูโภ’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ราชานํ อุปคนฺตฺวา ‘‘เทว, กุมารสฺส กิร ‘วิฎฎูโภ’ติ นามํ กโรถา’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘โปราณกํ โน กุลทตฺติกํ นามํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘วิฎฎูโภ’’ติ นามํ อกาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย กุมาโร กุมารปริหาเรน วฑฺฒโนฺต สตฺตวสฺสิกกาเล อเญฺญสํ กุมารานํ มาตามหกุลโต หตฺถิรูปกอสฺสรูปกาทีนิ อาหริยมานานิ ทิสฺวา มาตรํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, อเญฺญสํ มาตามหกุลโต ปณฺณากาโร อาหริยติ, มยฺหํ โกจิ กิญฺจิ น เปเสสิ, กิํ ตฺวํ นิมฺมาตา นิปฺปิตาสี’’ติ? อถ นํ สา ‘‘ตาต, สกฺยราชาโน มาตามหา ทูเร ปน วสนฺติ, เตน เต กิญฺจิ น เปเสนฺตี’’ติ วตฺวา วเญฺจสิฯ

    Athassā na cirasseva gabbho patiṭṭhahi. Rājā gabbhaparihāramadāsi. Sā dasamāsaccayena suvaṇṇavaṇṇaṃ puttaṃ vijāyi. Athassa nāmaggahaṇadivase rājā attano ayyakassa santikaṃ pesesi ‘‘sakyarājadhītā vāsabhakhattiyā puttaṃ vijāyi, kimassa nāmaṃ karomā’’ti. Taṃ pana sāsanaṃ gahetvā gato amacco thokaṃ badhiradhātuko, so gantvā rañño ayyakassārocesi. So taṃ sutvā ‘‘vāsabhakhattiyā puttaṃ avijāyitvāpi sabbaṃ janaṃ abhibhavati, idāni pana ativiya rañño vallabhā bhavissatī’’ti āha. So badhiraamacco ‘‘vallabhā’’ti vacanaṃ dussutaṃ sutvā ‘‘viṭaṭūbho’’ti sallakkhetvā rājānaṃ upagantvā ‘‘deva, kumārassa kira ‘viṭaṭūbho’ti nāmaṃ karothā’’ti āha. Rājā ‘‘porāṇakaṃ no kuladattikaṃ nāmaṃ bhavissatī’’ti cintetvā ‘‘viṭaṭūbho’’ti nāmaṃ akāsi. Tato paṭṭhāya kumāro kumāraparihārena vaḍḍhanto sattavassikakāle aññesaṃ kumārānaṃ mātāmahakulato hatthirūpakaassarūpakādīni āhariyamānāni disvā mātaraṃ pucchi ‘‘amma, aññesaṃ mātāmahakulato paṇṇākāro āhariyati, mayhaṃ koci kiñci na pesesi, kiṃ tvaṃ nimmātā nippitāsī’’ti? Atha naṃ sā ‘‘tāta, sakyarājāno mātāmahā dūre pana vasanti, tena te kiñci na pesentī’’ti vatvā vañcesi.

    ปุน โสฬสวสฺสิกกาเล ‘‘อมฺม, มาตามหกุลํ ปสฺสิตุกาโมมฺหี’’ติ วตฺวา ‘‘อลํ ตาต, กิํ ตตฺถ คนฺตฺวา กริสฺสสี’’ติ วาริยมาโนปิ ปุนปฺปุนํ ยาจิฯ อถสฺส มาตา ‘‘เตน หิ คจฺฉาหี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ โส ปิตุ อาโรเจตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน นิกฺขมิฯ วาสภขตฺติยา ปุเรตรํ ปณฺณํ เปเสสิ ‘‘อหํ อิธ สุขํ วสามิ, สามิโน กิญฺจิ อนฺตรํ มา ทสฺสยิํสู’’ติฯ สากิยา วิฎฎูภสฺส อาคมนํ ญตฺวา ‘‘วนฺทิตุํ น สกฺกา’’ติ ตสฺส ทหรทหเร กุมารเก ชนปทํ ปหิณิํสุฯ กุมาเร กปิลวตฺถุํ สมฺปเตฺต สากิยา สนฺถาคาเร สนฺนิปติํสุฯ กุมาโร สนฺถาคารํ คนฺตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ ‘‘อยํ เต, ตาต, มาตามโห, อยํ มาตุโล’’ติ วทิํสุ โส สเพฺพ วนฺทมาโน วิจริฯ โส ยาวปิฎฺฐิยา รุชนปฺปมาณา วนฺทิตฺวา เอกมฺปิ อตฺตานํ วนฺทมานํ อทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข มํ วนฺทนฺตา นตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ สากิยา ‘‘ตาต, ตว กนิฎฺฐกุมารา ชนปทํ คตา’’ติ วตฺวา ตสฺส มหนฺตํ สกฺการํ กริํสุฯ โส กติปาหํ วสิตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน นิกฺขมิฯ อเถกา ทาสี สนฺถาคาเร เตน นิสินฺนผลกํ ‘‘อิทํ วาสภขตฺติยาย ทาสิยา ปุตฺตสฺส นิสินฺนผลก’’นฺติ อโกฺกสิตฺวา ปริภาสิตฺวา ขีโรทเกน โธวิฯ เอโก ปุริโส อตฺตโน อาวุธํ ปมุสฺสิตฺวา นิวโตฺต ตํ คณฺหโนฺต วิฎฎูภกุมารสฺส อโกฺกสนสทฺทํ สุตฺวา ตํ อนฺตรํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘วาสภขตฺติยา ทาสิยา กุจฺฉิสฺมิํ มหานามสกฺกสฺส ชาตา’’ติ ญตฺวา คนฺตฺวา พลกายสฺส กเถสิฯ ‘‘วาสภขตฺติยา กิร ทาสิยา ธีตา’’ติ มหาโกลาหลํ อโหสิฯ

    Puna soḷasavassikakāle ‘‘amma, mātāmahakulaṃ passitukāmomhī’’ti vatvā ‘‘alaṃ tāta, kiṃ tattha gantvā karissasī’’ti vāriyamānopi punappunaṃ yāci. Athassa mātā ‘‘tena hi gacchāhī’’ti sampaṭicchi. So pitu ārocetvā mahantena parivārena nikkhami. Vāsabhakhattiyā puretaraṃ paṇṇaṃ pesesi ‘‘ahaṃ idha sukhaṃ vasāmi, sāmino kiñci antaraṃ mā dassayiṃsū’’ti. Sākiyā viṭaṭūbhassa āgamanaṃ ñatvā ‘‘vandituṃ na sakkā’’ti tassa daharadahare kumārake janapadaṃ pahiṇiṃsu. Kumāre kapilavatthuṃ sampatte sākiyā santhāgāre sannipatiṃsu. Kumāro santhāgāraṃ gantvā aṭṭhāsi. Atha naṃ ‘‘ayaṃ te, tāta, mātāmaho, ayaṃ mātulo’’ti vadiṃsu so sabbe vandamāno vicari. So yāvapiṭṭhiyā rujanappamāṇā vanditvā ekampi attānaṃ vandamānaṃ adisvā ‘‘kiṃ nu kho maṃ vandantā natthī’’ti pucchi. Sākiyā ‘‘tāta, tava kaniṭṭhakumārā janapadaṃ gatā’’ti vatvā tassa mahantaṃ sakkāraṃ kariṃsu. So katipāhaṃ vasitvā mahantena parivārena nikkhami. Athekā dāsī santhāgāre tena nisinnaphalakaṃ ‘‘idaṃ vāsabhakhattiyāya dāsiyā puttassa nisinnaphalaka’’nti akkositvā paribhāsitvā khīrodakena dhovi. Eko puriso attano āvudhaṃ pamussitvā nivatto taṃ gaṇhanto viṭaṭūbhakumārassa akkosanasaddaṃ sutvā taṃ antaraṃ pucchitvā ‘‘vāsabhakhattiyā dāsiyā kucchismiṃ mahānāmasakkassa jātā’’ti ñatvā gantvā balakāyassa kathesi. ‘‘Vāsabhakhattiyā kira dāsiyā dhītā’’ti mahākolāhalaṃ ahosi.

    กุมาโร ตํ สุตฺวา ‘‘เอเต ตาว มม นิสินฺนผลกํ ขีโรทเกน โธวนฺตุ, อหํ ปน รเชฺช ปติฎฺฐิตกาเล เอเตสํ คลโลหิตํ คเหตฺวา มม นิสินฺนผลกํ โธวิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ ปฎฺฐเปสิฯ ตสฺมิํ สาวตฺถิํ คเต อมจฺจา สพฺพํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘สเพฺพ มยฺหํ ทาสิธีตรํ อทํสู’’ติ สากิยานํ กุชฺฌิตฺวา วาสภขตฺติยาย จ ปุตฺตสฺส จ ทินฺนปริหารํ อจฺฉินฺทิตฺวา ทาสทาสีหิ ลทฺธพฺพปริหารมตฺตเมว ทาเปสิฯ ตโต กติปาหจฺจเยน สตฺถา ราชนิเวสนํ อาคนฺตฺวา นิสีทิฯ ราชา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ กิร ญาตเกหิ ทาสิธีตา มยฺหํ ทินฺนา, เตนสฺสา อหํ สปุตฺตาย ปริหารํ อจฺฉินฺทิตฺวา ทาสทาสีหิ ลทฺธพฺพปริหารมตฺตเมว ทาเปสิ’’นฺติ อาหฯ สตฺถา ‘‘อยุตฺตํ, มหาราช, สากิเยหิ กตํ, ททเนฺตหิ นาม สมานชาติกา ทาตพฺพา อสฺสฯ ตํ ปน มหาราช, วทามิ วาสภขตฺติยา ขตฺติยราชธีตา ขตฺติยสฺส รโญฺญ เคเห อภิเสกํ ลภิ, วิฎฎูโภปิ ขตฺติยราชานเมว ปฎิจฺจ ชาโต, มาตุโคตฺตํ นาม กิํ กริสฺสติ, ปิตุโคตฺตเมว ปมาณนฺติ โปราณกปณฺฑิตา ทลิทฺทิตฺถิยา กฎฺฐหาริกายปิ อคฺคมเหสิฎฺฐานํ อทํสุ, ตสฺสา จ กุจฺฉิมฺหิ ชาตกุมาโร ทฺวาทสโยชนิกาย พาราณสิยา รชฺชํ กตฺวา กฎฺฐวาหนราชา นาม ชาโต’’ติ กฎฺฐวาหนชาตกํ (ชา. ๑.๑.๗) กเถสิ ฯ ราชา สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา ‘‘ปิตุโคตฺตเมว กิร ปมาณ’’นฺติ สุตฺวา ตุสฺสิตฺวา มาตาปุตฺตานํ ปกติปริหารเมว ทาเปสิฯ

    Kumāro taṃ sutvā ‘‘ete tāva mama nisinnaphalakaṃ khīrodakena dhovantu, ahaṃ pana rajje patiṭṭhitakāle etesaṃ galalohitaṃ gahetvā mama nisinnaphalakaṃ dhovissāmī’’ti cittaṃ paṭṭhapesi. Tasmiṃ sāvatthiṃ gate amaccā sabbaṃ pavattiṃ rañño ārocesuṃ. Rājā ‘‘sabbe mayhaṃ dāsidhītaraṃ adaṃsū’’ti sākiyānaṃ kujjhitvā vāsabhakhattiyāya ca puttassa ca dinnaparihāraṃ acchinditvā dāsadāsīhi laddhabbaparihāramattameva dāpesi. Tato katipāhaccayena satthā rājanivesanaṃ āgantvā nisīdi. Rājā satthāraṃ vanditvā ‘‘bhante, tumhākaṃ kira ñātakehi dāsidhītā mayhaṃ dinnā, tenassā ahaṃ saputtāya parihāraṃ acchinditvā dāsadāsīhi laddhabbaparihāramattameva dāpesi’’nti āha. Satthā ‘‘ayuttaṃ, mahārāja, sākiyehi kataṃ, dadantehi nāma samānajātikā dātabbā assa. Taṃ pana mahārāja, vadāmi vāsabhakhattiyā khattiyarājadhītā khattiyassa rañño gehe abhisekaṃ labhi, viṭaṭūbhopi khattiyarājānameva paṭicca jāto, mātugottaṃ nāma kiṃ karissati, pitugottameva pamāṇanti porāṇakapaṇḍitā dalidditthiyā kaṭṭhahārikāyapi aggamahesiṭṭhānaṃ adaṃsu, tassā ca kucchimhi jātakumāro dvādasayojanikāya bārāṇasiyā rajjaṃ katvā kaṭṭhavāhanarājā nāma jāto’’ti kaṭṭhavāhanajātakaṃ (jā. 1.1.7) kathesi . Rājā satthu dhammakathaṃ sutvā ‘‘pitugottameva kira pamāṇa’’nti sutvā tussitvā mātāputtānaṃ pakatiparihārameva dāpesi.

    รโญฺญ ปน พนฺธุโล นาม เสนาปติ มลฺลิกํ นาม อตฺตโน ภริยํ วญฺฌํ ‘‘ตว กุลฆรเมว คจฺฉาหี’’ติ กุสินารเมว เปเสสิฯ สา ‘‘สตฺถารํ ทิสฺวาว คมิสฺสามี’’ติ เชตวนํ ปวิสิตฺวา ตถาคตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิตา ‘‘กหํ คจฺฉสี’’ติ จ ปุฎฺฐา ‘‘สามิโก เม, ภเนฺต, กุลฆรํ เปเสสี’’ติ วตฺวา ‘‘กสฺมา’’ติ วุตฺตา ‘‘วญฺฌา อปุตฺติกา, ภเนฺต’’ติ วตฺวา สตฺถารา ‘‘ยทิ เอวํ คมนกิจฺจํ นตฺถิ, นิวตฺตาหี’’ติ วุตฺตา ตุฎฺฐา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา นิเวสนเมว ปุน อคมาสิฯ ‘‘กสฺมา นิวตฺตสี’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘ทสพเลน นิวตฺติตามฺหี’’ติ อาหฯ เสนาปติ ‘‘ทิฎฺฐํ ภวิสฺสติ ตถาคเตน การณ’’นฺติ อาหฯ สา น จิรเสฺสว คพฺภํ ปฎิลภิตฺวา อุปฺปนฺนโทหฬา ‘‘โทหโฬ เม อุปฺปโนฺน’’ติ อาโรเจสิฯ ‘‘กิํ โทหโฬ’’ติ? ‘‘เวสาลิยา นคเร ลิจฺฉวิราชานํ อภิเสกมงฺคลโปกฺขรณิํ โอตริตฺวา นฺหตฺวา ปานียํ ปิวิตุกามามฺหิ, สามี’’ติฯ เสนาปติ ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา สหสฺสถามธนุํ คเหตฺวา ตํ รถํ อาโรเปตฺวา สาวตฺถิโต นิกฺขมิตฺวา รถํ ปาเชโนฺต เวสาลิํ ปาวิสิฯ

    Rañño pana bandhulo nāma senāpati mallikaṃ nāma attano bhariyaṃ vañjhaṃ ‘‘tava kulagharameva gacchāhī’’ti kusinārameva pesesi. Sā ‘‘satthāraṃ disvāva gamissāmī’’ti jetavanaṃ pavisitvā tathāgataṃ vanditvā ekamantaṃ ṭhitā ‘‘kahaṃ gacchasī’’ti ca puṭṭhā ‘‘sāmiko me, bhante, kulagharaṃ pesesī’’ti vatvā ‘‘kasmā’’ti vuttā ‘‘vañjhā aputtikā, bhante’’ti vatvā satthārā ‘‘yadi evaṃ gamanakiccaṃ natthi, nivattāhī’’ti vuttā tuṭṭhā satthāraṃ vanditvā nivesanameva puna agamāsi. ‘‘Kasmā nivattasī’’ti puṭṭhā ‘‘dasabalena nivattitāmhī’’ti āha. Senāpati ‘‘diṭṭhaṃ bhavissati tathāgatena kāraṇa’’nti āha. Sā na cirasseva gabbhaṃ paṭilabhitvā uppannadohaḷā ‘‘dohaḷo me uppanno’’ti ārocesi. ‘‘Kiṃ dohaḷo’’ti? ‘‘Vesāliyā nagare licchavirājānaṃ abhisekamaṅgalapokkharaṇiṃ otaritvā nhatvā pānīyaṃ pivitukāmāmhi, sāmī’’ti. Senāpati ‘‘sādhū’’ti vatvā sahassathāmadhanuṃ gahetvā taṃ rathaṃ āropetvā sāvatthito nikkhamitvā rathaṃ pājento vesāliṃ pāvisi.

    ตสฺมิญฺจ กาเล โกสลรโญฺญ พนฺธุลเสนาปตินา สทฺธิํ เอกาจริยกุเล อุคฺคหิตสิโปฺป มหาลิ นาม ลิจฺฉวี อโนฺธ ลิจฺฉวีนํ อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ อนุสาสโนฺต ทฺวารสมีเป วสติฯ โส รถสฺส อุมฺมาเร ปฎิฆฎฺฎนสทฺทํ สุตฺวา ‘‘พนฺธุลมลฺลสฺส รถปตนสโทฺท เอโส, อชฺช ลิจฺฉวีนํ ภยํ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ อาหฯ โปกฺขรณิยา อโนฺต จ พหิ จ อารกฺขา พลวา, อุปริ โลหชาลํ ปตฺถฎํ, สกุณานมฺปิ โอกาโส นตฺถิฯ เสนาปติ ปน รถา โอตริตฺวา อารกฺขเก ขเคฺคน ปหรโนฺต ปลาเปตฺวา โลหชาลํ ฉินฺทิตฺวา อโนฺตโปกฺขรณิยํ ภริยํ โอตาเรตฺวา นฺหาเปตฺวา ปาเยตฺวา สยมฺปิ นฺหตฺวา มลฺลิกํ รถํ อาโรเปตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา อาคตมเคฺคเนว ปายาสิฯ อารกฺขกา คนฺตฺวา ลิจฺฉวีนํ อาโรเจสุํฯ ลิจฺฉวิราชาโน กุชฺฌิตฺวา ปญฺจ รถสตานิ อารุยฺห ‘‘พนฺธุลมลฺลํ คณฺหิสฺสามา’’ติ นิกฺขมิํสุฯ ตํ ปวตฺติํ มหาลิสฺส อาโรเจสุํฯ มหาลิ ‘‘มา คมิตฺถ, โส หิ โว สเพฺพ ฆาตยิสฺสตี’’ติ อาหฯ เตปิ ‘‘มยํ คมิสฺสามเยวา’’ติ วทิํสุฯ เตน หิ จกฺกสฺส ยาว นาภิโต ปถวิํ ปวิฎฺฐฎฺฐานํ ทิสฺวา นิวเตฺตยฺยาถ, ตโต อนิวตฺตนฺตา ปุรโต อสนิสทฺทํ วิย สุณิสฺสถ, ตมฺหา ฐานา นิวเตฺตยฺยาถ, ตโต อนิวตฺตนฺตา ตุมฺหากํ รถธุเรสุ ฉิทฺทํ ปสฺสิสฺสถ, ตมฺหา ฐานา นิวเตฺตยฺยาถ, ปุรโต มาคมิตฺถาติฯ เต ตสฺส วจเนน อนิวตฺติตฺวา ตํ อนุพนฺธิํสุเยวฯ

    Tasmiñca kāle kosalarañño bandhulasenāpatinā saddhiṃ ekācariyakule uggahitasippo mahāli nāma licchavī andho licchavīnaṃ atthañca dhammañca anusāsanto dvārasamīpe vasati. So rathassa ummāre paṭighaṭṭanasaddaṃ sutvā ‘‘bandhulamallassa rathapatanasaddo eso, ajja licchavīnaṃ bhayaṃ uppajjissatī’’ti āha. Pokkharaṇiyā anto ca bahi ca ārakkhā balavā, upari lohajālaṃ patthaṭaṃ, sakuṇānampi okāso natthi. Senāpati pana rathā otaritvā ārakkhake khaggena paharanto palāpetvā lohajālaṃ chinditvā antopokkharaṇiyaṃ bhariyaṃ otāretvā nhāpetvā pāyetvā sayampi nhatvā mallikaṃ rathaṃ āropetvā nagarā nikkhamitvā āgatamaggeneva pāyāsi. Ārakkhakā gantvā licchavīnaṃ ārocesuṃ. Licchavirājāno kujjhitvā pañca rathasatāni āruyha ‘‘bandhulamallaṃ gaṇhissāmā’’ti nikkhamiṃsu. Taṃ pavattiṃ mahālissa ārocesuṃ. Mahāli ‘‘mā gamittha, so hi vo sabbe ghātayissatī’’ti āha. Tepi ‘‘mayaṃ gamissāmayevā’’ti vadiṃsu. Tena hi cakkassa yāva nābhito pathaviṃ paviṭṭhaṭṭhānaṃ disvā nivatteyyātha, tato anivattantā purato asanisaddaṃ viya suṇissatha, tamhā ṭhānā nivatteyyātha, tato anivattantā tumhākaṃ rathadhuresu chiddaṃ passissatha, tamhā ṭhānā nivatteyyātha, purato māgamitthāti. Te tassa vacanena anivattitvā taṃ anubandhiṃsuyeva.

    มลฺลิกา ทิสฺวา ‘‘รถา, สามิ, ปญฺญายนฺตี’’ติ อาหฯ เตน หิ เอกสฺส รถสฺส วิย ปญฺญายนกาเล มม อาโรเจยฺยาสีติฯ สา ยทา สเพฺพ เอโก วิย หุตฺวา ปญฺญายิํสุ, ตทา ‘‘เอกเมว สามิ รถสีสํ ปญฺญายตี’’ติ อาหฯ พนฺธุโล ‘‘เตน หิ อิมา รสฺมิโย คณฺหาหี’’ติ ตสฺสา รสฺมิโย ทตฺวา รเถ ฐิโตว ธนุํ อาโรเปติ, รถจกฺกํ ยาว นาภิโต ปถวิํ ปาวิสิ, ลิจฺฉวิโน ตํ ฐานํ ทิสฺวาปิ น นิวตฺติํสุฯ อิตโร โถกํ คนฺตฺวา ชิยํ โปเถสิ, อสนิสโทฺท วิย อโหสิฯ เต ตโตปิ น นิวตฺติํสุ, อนุพนฺธนฺตา คจฺฉเนฺตวฯ พนฺธุโล รเถ ฐิตโกว เอกํ สรํ ขิปิฯ โส ปญฺจนฺนํ รถสตานํ รถสีสํ ฉิทฺทํ กตฺวา ปญฺจ ราชสตานิ ปริกรพนฺธนฎฺฐาเน วิชฺฌิตฺวา ปถวิํ ปาวิสิฯ เต อตฺตโน วิทฺธภาวํ อชานิตฺวา ‘‘ติฎฺฐ เร, ติฎฺฐ เร’’ติ วทนฺตา อนุพนฺธิํสุเยวฯ พนฺธุโล รถํ ฐเปตฺวา ‘‘ตุเมฺห มตกา, มตเกหิ สทฺธิํ มยฺหํ ยุทฺธํ นาม นตฺถี’’ติ อาหฯ เต ‘‘มตกา นาม อมฺหาทิสา เนว โหนฺตี’’ติ วทิํสุฯ ‘‘เตน หิ สพฺพปจฺฉิมสฺส ปริกรํ โมเจถา’’ติฯ เต โมจยิํสุฯ โส มุตฺตมเตฺตเยว มริตฺวา ปติโตฯ อถ เน ‘‘สเพฺพปิ ตุเมฺห เอวรูปา, อตฺตโน ฆรานิ คนฺตฺวา สํวิธาตพฺพํ สํวิทหิตฺวา ปุตฺตทาเร อนุสาสิตฺวา สนฺนาหํ โมเจถา’’ติ อาหฯ เต ตถา กตฺวา สเพฺพ ชีวิตกฺขยํ ปตฺตาฯ

    Mallikā disvā ‘‘rathā, sāmi, paññāyantī’’ti āha. Tena hi ekassa rathassa viya paññāyanakāle mama āroceyyāsīti. Sā yadā sabbe eko viya hutvā paññāyiṃsu, tadā ‘‘ekameva sāmi rathasīsaṃ paññāyatī’’ti āha. Bandhulo ‘‘tena hi imā rasmiyo gaṇhāhī’’ti tassā rasmiyo datvā rathe ṭhitova dhanuṃ āropeti, rathacakkaṃ yāva nābhito pathaviṃ pāvisi, licchavino taṃ ṭhānaṃ disvāpi na nivattiṃsu. Itaro thokaṃ gantvā jiyaṃ pothesi, asanisaddo viya ahosi. Te tatopi na nivattiṃsu, anubandhantā gacchanteva. Bandhulo rathe ṭhitakova ekaṃ saraṃ khipi. So pañcannaṃ rathasatānaṃ rathasīsaṃ chiddaṃ katvā pañca rājasatāni parikarabandhanaṭṭhāne vijjhitvā pathaviṃ pāvisi. Te attano viddhabhāvaṃ ajānitvā ‘‘tiṭṭha re, tiṭṭha re’’ti vadantā anubandhiṃsuyeva. Bandhulo rathaṃ ṭhapetvā ‘‘tumhe matakā, matakehi saddhiṃ mayhaṃ yuddhaṃ nāma natthī’’ti āha. Te ‘‘matakā nāma amhādisā neva hontī’’ti vadiṃsu. ‘‘Tena hi sabbapacchimassa parikaraṃ mocethā’’ti. Te mocayiṃsu. So muttamatteyeva maritvā patito. Atha ne ‘‘sabbepi tumhe evarūpā, attano gharāni gantvā saṃvidhātabbaṃ saṃvidahitvā puttadāre anusāsitvā sannāhaṃ mocethā’’ti āha. Te tathā katvā sabbe jīvitakkhayaṃ pattā.

    พนฺธุโลปิ มลฺลิกํ สาวตฺถิํ อาเนสิฯ สา โสฬสกฺขตฺตุํ ยมเก ปุเตฺต วิชายิ, สเพฺพปิ สูรา ถามสมฺปนฺนา อเหสุํ, สพฺพสิเปฺป นิปฺผตฺติํ ปาปุณิํสุฯ เอเกกสฺสปิ ปุริสสหสฺสปริวาโร อโหสิ ฯ ปิตรา สทฺธิํ ราชนิเวสนํ คจฺฉเนฺตหิ เตเหว ราชงฺคณํ ปริปูริฯ อเถกทิวสํ วินิจฺฉเย กูฎฑฺฑปราชิตา มนุสฺสา พนฺธุลํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา มหารวํ วิรวนฺตา วินิจฺฉยอมจฺจานํ กูฎฑฺฑการณํ ตสฺส อาโรเจสุํฯ โสปิ วินิจฺฉยํ คนฺตฺวา ตํ อฑฺฑํ ตีเรตฺวา สามิกเมว สามิกํ, อสฺสามิกเมว อสฺสามิกํ อกาสิฯ มหาชโน มหาสเทฺทน สาธุการํ ปวเตฺตสิฯ ราชา ‘‘กิมิท’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ตุสฺสิตฺวา สเพฺพปิ เต อมเจฺจ หาเรตฺวา พนฺธุลเสฺสว วินิจฺฉยํ นิยฺยาเทสิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย สมฺมา วินิจฺฉินิฯ ตโต โปราณกวินิจฺฉยิกา ลญฺชํ อลภนฺตา อปฺปลาภา หุตฺวา ‘‘พนฺธุโล รชฺชํ ปเตฺถตี’’ติ ราชกุเล ปริภินฺทิํสุฯ ราชา ตํ กถํ คเหตฺวา จิตฺตํ นิคฺคเหตุํ นาสกฺขิ, ‘‘อิมสฺมิํ อิเธว ฆาติยมาเน ครหา เม อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ ปุน จิเนฺตตฺวา ‘‘ปยุตฺตปุริเสหิ ปจฺจนฺตํ ปหราเปตฺวา เต ปลาเปตฺวา นิวตฺตกาเล อนฺตรามเคฺค ปุเตฺตหิ สทฺธิํ มาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ พนฺธุลํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ปจฺจโนฺต กิร กุปิโต, ตว ปุเตฺตหิ สทฺธิํ คนฺตฺวา โจเร คณฺหาหี’’ติ ปหิณิตฺวา ‘‘เอเตฺถวสฺส ทฺวตฺติํสาย ปุเตฺตหิ สทฺธิํ สีสํ ฉินฺทิตฺวา อาหรถา’’ติ เตหิ สทฺธิํ อเญฺญปิ สมเตฺถ มหาโยเธ เปเสสิฯ ตสฺมิํ ปจฺจนฺตํ คจฺฉเนฺตเยว ‘‘เสนาปติ กิร อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวาว ปยุตฺตกโจรา ปลายิํสุฯ โส ตํ ปเทสํ อาวาสาเปตฺวา ชนปทํ สณฺฐเปตฺวา นิวตฺติฯ

    Bandhulopi mallikaṃ sāvatthiṃ ānesi. Sā soḷasakkhattuṃ yamake putte vijāyi, sabbepi sūrā thāmasampannā ahesuṃ, sabbasippe nipphattiṃ pāpuṇiṃsu. Ekekassapi purisasahassaparivāro ahosi . Pitarā saddhiṃ rājanivesanaṃ gacchantehi teheva rājaṅgaṇaṃ paripūri. Athekadivasaṃ vinicchaye kūṭaḍḍaparājitā manussā bandhulaṃ āgacchantaṃ disvā mahāravaṃ viravantā vinicchayaamaccānaṃ kūṭaḍḍakāraṇaṃ tassa ārocesuṃ. Sopi vinicchayaṃ gantvā taṃ aḍḍaṃ tīretvā sāmikameva sāmikaṃ, assāmikameva assāmikaṃ akāsi. Mahājano mahāsaddena sādhukāraṃ pavattesi. Rājā ‘‘kimida’’nti pucchitvā tamatthaṃ sutvā tussitvā sabbepi te amacce hāretvā bandhulasseva vinicchayaṃ niyyādesi. So tato paṭṭhāya sammā vinicchini. Tato porāṇakavinicchayikā lañjaṃ alabhantā appalābhā hutvā ‘‘bandhulo rajjaṃ patthetī’’ti rājakule paribhindiṃsu. Rājā taṃ kathaṃ gahetvā cittaṃ niggahetuṃ nāsakkhi, ‘‘imasmiṃ idheva ghātiyamāne garahā me uppajjissatī’’ti puna cintetvā ‘‘payuttapurisehi paccantaṃ paharāpetvā te palāpetvā nivattakāle antarāmagge puttehi saddhiṃ māretuṃ vaṭṭatī’’ti bandhulaṃ pakkosāpetvā ‘‘paccanto kira kupito, tava puttehi saddhiṃ gantvā core gaṇhāhī’’ti pahiṇitvā ‘‘etthevassa dvattiṃsāya puttehi saddhiṃ sīsaṃ chinditvā āharathā’’ti tehi saddhiṃ aññepi samatthe mahāyodhe pesesi. Tasmiṃ paccantaṃ gacchanteyeva ‘‘senāpati kira āgacchatī’’ti sutvāva payuttakacorā palāyiṃsu. So taṃ padesaṃ āvāsāpetvā janapadaṃ saṇṭhapetvā nivatti.

    อถสฺส นครโต อวิทูเร ฐาเน เต โยธา ปุเตฺตหิ สทฺธิํ สีสํ ฉินฺทิํสุฯ ตํ ทิวสํ มลฺลิกาย ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ เทฺว อคฺคสาวกา นิมนฺติตา โหนฺติฯ อถสฺสา ปุพฺพณฺหสมเย ‘‘สามิกสฺส เต สทฺธิํ ปุเตฺตหิ สีสํ ฉินฺทิํสู’’ติ ปณฺณํ อาหริตฺวา อทํสุฯ สา ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา กสฺสจิ กิญฺจิ อวตฺวา ปณฺณํ อุจฺฉเงฺค กตฺวา ภิกฺขุสงฺฆเมว ปริวิสิฯ อถสฺสา ปริจาริกา ภิกฺขูนํ ภตฺตํ ทตฺวา สปฺปิจาฎิํ อาหรนฺติโย เถรานํ ปุรโต จาฎิํ ภินฺทิํสุฯ ธมฺมเสนาปติ ‘‘อุปาสิเก, เภทนธมฺมํ ภินฺนํ, น จิเนฺตตพฺพ’’นฺติ อาหฯ สา อุจฺฉงฺคโต ปณฺณํ นีหริตฺวา ‘‘ทฺวตฺติํสปุเตฺตหิ สทฺธิํ ปิตุ สีสํ ฉินฺนนฺติ เม อิมํ ปณฺณํ อาหริํสุ, อหํ อิทํ สุตฺวาปิ น จิเนฺตมิ, สปฺปิจาฎิยา ภินฺนาย กิํ จิเนฺตมิ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ธมฺมเสนาปติ ‘‘อนิมิตฺตมนญฺญาต’’นฺติอาทีนิ (สุ. นิ. ๕๗๙) วตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา อุฎฺฐายาสนา วิหารํ อคมาสิฯ สาปิ ทฺวตฺติํส สุณิสาโย ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ สามิกา อตฺตโน ปุริมกมฺมผลํ ลภิํสุ, ตุเมฺห มา โสจิตฺถ มา ปริเทวิตฺถ, รโญฺญ อุปริ มโนปโทสํ มา กริตฺถา’’ติ โอวทิฯ

    Athassa nagarato avidūre ṭhāne te yodhā puttehi saddhiṃ sīsaṃ chindiṃsu. Taṃ divasaṃ mallikāya pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ dve aggasāvakā nimantitā honti. Athassā pubbaṇhasamaye ‘‘sāmikassa te saddhiṃ puttehi sīsaṃ chindiṃsū’’ti paṇṇaṃ āharitvā adaṃsu. Sā taṃ pavattiṃ ñatvā kassaci kiñci avatvā paṇṇaṃ ucchaṅge katvā bhikkhusaṅghameva parivisi. Athassā paricārikā bhikkhūnaṃ bhattaṃ datvā sappicāṭiṃ āharantiyo therānaṃ purato cāṭiṃ bhindiṃsu. Dhammasenāpati ‘‘upāsike, bhedanadhammaṃ bhinnaṃ, na cintetabba’’nti āha. Sā ucchaṅgato paṇṇaṃ nīharitvā ‘‘dvattiṃsaputtehi saddhiṃ pitu sīsaṃ chinnanti me imaṃ paṇṇaṃ āhariṃsu, ahaṃ idaṃ sutvāpi na cintemi, sappicāṭiyā bhinnāya kiṃ cintemi, bhante’’ti āha. Dhammasenāpati ‘‘animittamanaññāta’’ntiādīni (su. ni. 579) vatvā dhammaṃ desetvā uṭṭhāyāsanā vihāraṃ agamāsi. Sāpi dvattiṃsa suṇisāyo pakkosāpetvā ‘‘tumhākaṃ sāmikā attano purimakammaphalaṃ labhiṃsu, tumhe mā socittha mā paridevittha, rañño upari manopadosaṃ mā karitthā’’ti ovadi.

    รโญฺญ จรปุริสา ตํ กถํ สุตฺวา เตสํ นิโทฺทสภาวํ รโญฺญ กถยิํสุฯ ราชา สํเวคปฺปโตฺต ตสฺสา นิเวสนํ คนฺตฺวา มลฺลิกญฺจ สุณิสาโย จสฺสา ขมาเปตฺวา มลฺลิกาย วรํ อทาสิฯ สา ‘‘คหิโต เม โหตู’’ติ วตฺวา ตสฺมิํ คเต มตกภตฺตํ ทตฺวา นฺหตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘เทว, ตุเมฺหหิ เม วโร ทิโนฺน, มยฺหญฺจ อเญฺญน อโตฺถ นตฺถิ, ทฺวตฺติํสาย เม สุณิสานํ มม จ กุลฆรคมนํ อนุชานาถา’’ติ อาหฯ ราชา สมฺปฎิจฺฉิฯ สา ทฺวตฺติํสาย สุณิสานํ สกกุลํ เปเสตฺวา สยํ กุสินารนคเร อตฺตโน กุลฆรํ อคมาสิฯ ราชา พนฺธุลเสนาปติโน ภาคิเนยฺยสฺส ทีฆการายนสฺส นาม เสนาปติฎฺฐานํ อทาสิฯ โส ปน ‘‘มาตุโล เม อิมินา มาริโต’’ติ รโญฺญ โอตารํ คเวสโนฺต วิจรติฯ ราชาปิ นิปฺปราธสฺส พนฺธุลสฺส มาริตกาลโต ปฎฺฐาย วิปฺปฎิสารี จิตฺตสฺสาทํ น ลภติ, รชฺชสุขํ นานุโภติฯ

    Rañño carapurisā taṃ kathaṃ sutvā tesaṃ niddosabhāvaṃ rañño kathayiṃsu. Rājā saṃvegappatto tassā nivesanaṃ gantvā mallikañca suṇisāyo cassā khamāpetvā mallikāya varaṃ adāsi. Sā ‘‘gahito me hotū’’ti vatvā tasmiṃ gate matakabhattaṃ datvā nhatvā rājānaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘deva, tumhehi me varo dinno, mayhañca aññena attho natthi, dvattiṃsāya me suṇisānaṃ mama ca kulagharagamanaṃ anujānāthā’’ti āha. Rājā sampaṭicchi. Sā dvattiṃsāya suṇisānaṃ sakakulaṃ pesetvā sayaṃ kusināranagare attano kulagharaṃ agamāsi. Rājā bandhulasenāpatino bhāgineyyassa dīghakārāyanassa nāma senāpatiṭṭhānaṃ adāsi. So pana ‘‘mātulo me iminā mārito’’ti rañño otāraṃ gavesanto vicarati. Rājāpi nipparādhassa bandhulassa māritakālato paṭṭhāya vippaṭisārī cittassādaṃ na labhati, rajjasukhaṃ nānubhoti.

    ตทา สตฺถา สากิยานํ เวฬุํ นาม นิคมํ อุปนิสฺสาย วิหรติฯ ราชา ตตฺถ คนฺตฺวา อารามโต อวิทูเร ขนฺธาวารํ นิวาเสตฺวา ‘‘มหเนฺตน ปริวาเรน สตฺถารํ วนฺทิสฺสามา’’ติ วิหารํ คนฺตฺวา ปญฺจ ราชกกุธภณฺฑานิ ทีฆการายนสฺส ทตฺวา เอกโกว คนฺธกุฎิํ ปาวิสิฯ สพฺพํ ธมฺมเจติยสุตฺตนิยาเมเนว (ม. นิ. ๒.๓๖๔ อาทโย) เวทิตพฺพํฯ ตสฺมิํ คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐ ทีฆการายโน ตานิ ปญฺจ ราชกกุธภณฺฑานิ คเหตฺวา วิฎฎูภํ ราชานํ กตฺวา รโญฺญ เอกํ อสฺสํ เอกญฺจ อุปฎฺฐานการิกํ มาตุคามํ นิวเตฺตตฺวา สาวตฺถิํ อคมาสิฯ ราชา สตฺถารา สทฺธิํ ปิยกถํ กเถตฺวา นิกฺขโนฺต เสนํ อทิสฺวา ตํ มาตุคามํ ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘อหํ ภาคิเนยฺยํ อชาตสตฺตุํ อาทาย อาคนฺตฺวา วิฎฎูภํ คเหสฺสามี’’ติ ราชคหนครํ คจฺฉโนฺต วิกาเล ทฺวาเรสุ ปิหิเตสุ นครํ ปวิสิตุมสโกฺกโนฺต เอกิสฺสาย สาลาย นิปชฺชิตฺวา วาตาตเปน กิลโนฺต รตฺติภาเค ตเตฺถว กาลมกาสิฯ วิภาตาย รตฺติยา ‘‘เทว โกสลนรินฺท, อิทานิ อนาโถสิ ชาโต’’ติ วิลปนฺติยา ตสฺสา อิตฺถิยา สทฺทํ สุตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ โส มาตุลสฺส มหเนฺตน สกฺกาเรน สรีรกิจฺจํ กาเรสิฯ

    Tadā satthā sākiyānaṃ veḷuṃ nāma nigamaṃ upanissāya viharati. Rājā tattha gantvā ārāmato avidūre khandhāvāraṃ nivāsetvā ‘‘mahantena parivārena satthāraṃ vandissāmā’’ti vihāraṃ gantvā pañca rājakakudhabhaṇḍāni dīghakārāyanassa datvā ekakova gandhakuṭiṃ pāvisi. Sabbaṃ dhammacetiyasuttaniyāmeneva (ma. ni. 2.364 ādayo) veditabbaṃ. Tasmiṃ gandhakuṭiṃ paviṭṭhe dīghakārāyano tāni pañca rājakakudhabhaṇḍāni gahetvā viṭaṭūbhaṃ rājānaṃ katvā rañño ekaṃ assaṃ ekañca upaṭṭhānakārikaṃ mātugāmaṃ nivattetvā sāvatthiṃ agamāsi. Rājā satthārā saddhiṃ piyakathaṃ kathetvā nikkhanto senaṃ adisvā taṃ mātugāmaṃ pucchitvā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘ahaṃ bhāgineyyaṃ ajātasattuṃ ādāya āgantvā viṭaṭūbhaṃ gahessāmī’’ti rājagahanagaraṃ gacchanto vikāle dvāresu pihitesu nagaraṃ pavisitumasakkonto ekissāya sālāya nipajjitvā vātātapena kilanto rattibhāge tattheva kālamakāsi. Vibhātāya rattiyā ‘‘deva kosalanarinda, idāni anāthosi jāto’’ti vilapantiyā tassā itthiyā saddaṃ sutvā rañño ārocesuṃ. So mātulassa mahantena sakkārena sarīrakiccaṃ kāresi.

    วิฎฎูโภปิ รชฺชํ ลภิตฺวา ตํ เวรํ สริตฺวา ‘‘สเพฺพปิ สากิเย มาเรสฺสามี’’ติ มหติยา เสนาย นิกฺขมิฯ ตํ ทิวสํ สตฺถา ปจฺจูสสมเย โลกํ โวโลเกโนฺต ญาติสงฺฆสฺส วินาสํ ทิสฺวา ‘‘ญาติสงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุพฺพณฺหสมเย ปิณฺฑาย จริตฺวา ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต คนฺธกุฎิยํ สีหเสยฺยํ กเปฺปตฺวา สายนฺหสมเย อากาเสน คนฺตฺวา กปิลวตฺถุสามเนฺต เอกสฺมิํ กพรจฺฉาเย รุกฺขมูเล นิสีทิฯ ตโต อวิทูเร วิฎฎูภสฺส รชฺชสีมาย อโนฺต สนฺทจฺฉาโย นิโคฺรธรุโกฺข อตฺถิ, วิฎฎูโภ สตฺถารํ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, กิํการณา เอวรูปาย อุณฺหเวลาย อิมสฺมิํ กพรจฺฉาเย รุกฺขมูเล นิสีทถ, เอตสฺมิํ สนฺทจฺฉาเย นิโคฺรธรุกฺขมูเล นิสีทถ, ภเนฺต’’ติ วตฺวา ‘‘โหตุ, มหาราช, ญาตกานํ ฉายา นาม สีตลา’’ติ วุเตฺต ‘‘ญาตกานํ รกฺขณตฺถาย สตฺถา อาคโต ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา สาวตฺถิเมว ปจฺจาคมิฯ สตฺถาปิ อุปฺปติตฺวา เชตวนเมว คโตฯ

    Viṭaṭūbhopi rajjaṃ labhitvā taṃ veraṃ saritvā ‘‘sabbepi sākiye māressāmī’’ti mahatiyā senāya nikkhami. Taṃ divasaṃ satthā paccūsasamaye lokaṃ volokento ñātisaṅghassa vināsaṃ disvā ‘‘ñātisaṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā pubbaṇhasamaye piṇḍāya caritvā piṇḍapātapaṭikkanto gandhakuṭiyaṃ sīhaseyyaṃ kappetvā sāyanhasamaye ākāsena gantvā kapilavatthusāmante ekasmiṃ kabaracchāye rukkhamūle nisīdi. Tato avidūre viṭaṭūbhassa rajjasīmāya anto sandacchāyo nigrodharukkho atthi, viṭaṭūbho satthāraṃ disvā upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘bhante, kiṃkāraṇā evarūpāya uṇhavelāya imasmiṃ kabaracchāye rukkhamūle nisīdatha, etasmiṃ sandacchāye nigrodharukkhamūle nisīdatha, bhante’’ti vatvā ‘‘hotu, mahārāja, ñātakānaṃ chāyā nāma sītalā’’ti vutte ‘‘ñātakānaṃ rakkhaṇatthāya satthā āgato bhavissatī’’ti cintetvā satthāraṃ vanditvā sāvatthimeva paccāgami. Satthāpi uppatitvā jetavanameva gato.

    ราชา สากิยานํ โทสํ สริตฺวา ทุติยํ นิกฺขมิตฺวา ตเถว สตฺถารํ ปสฺสิตฺวา ปุน นิวตฺติตฺวา ตติยวาเร นิกฺขมิตฺวา ตเตฺถว สตฺถารํ ปสฺสิตฺวา นิวตฺติฯ จตุตฺถวาเร ปน ตสฺมิํ นิกฺขเนฺต สตฺถา สากิยานํ ปุพฺพกมฺมํ โอโลเกตฺวา เตสํ นทิยํ วิสปกฺขิปนปาปกมฺมสฺส อปฺปฎิพาหิรภาวํ ญตฺวา จตุตฺถวาเร น อคมาสิฯ วิฎฎูภราชา ขีรปายเก ทารเก อาทิํ กตฺวา สเพฺพ สากิเย ฆาเตตฺวา คลโลหิเตน นิสินฺนผลกํ โธวิตฺวา ปจฺจาคมิฯ สตฺถริ ตติยวาเร คมนโต ปจฺจาคนฺตฺวา ปุนทิวเส ปิณฺฑาย จริตฺวา นิฎฺฐาปิตภตฺตกิเจฺจ คนฺธกุฎิยํ ปวิสเนฺต ทิสาหิ สนฺนิปติตา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ นิสีทิตฺวา ‘‘อาวุโส, สตฺถา อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา ราชานํ นิวตฺตาเปตฺวา ญาตเก มรณภยา โมเจสิ, เอวํ ญาตกานํ อตฺถจโร สตฺถา’’ติ ภควโต คุณกถํ กถยิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว ตถาคโต ญาตกานํ อตฺถํ จรติ, ปุเพฺพปิ จริเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Rājā sākiyānaṃ dosaṃ saritvā dutiyaṃ nikkhamitvā tatheva satthāraṃ passitvā puna nivattitvā tatiyavāre nikkhamitvā tattheva satthāraṃ passitvā nivatti. Catutthavāre pana tasmiṃ nikkhante satthā sākiyānaṃ pubbakammaṃ oloketvā tesaṃ nadiyaṃ visapakkhipanapāpakammassa appaṭibāhirabhāvaṃ ñatvā catutthavāre na agamāsi. Viṭaṭūbharājā khīrapāyake dārake ādiṃ katvā sabbe sākiye ghātetvā galalohitena nisinnaphalakaṃ dhovitvā paccāgami. Satthari tatiyavāre gamanato paccāgantvā punadivase piṇḍāya caritvā niṭṭhāpitabhattakicce gandhakuṭiyaṃ pavisante disāhi sannipatitā bhikkhū dhammasabhāyaṃ nisīditvā ‘‘āvuso, satthā attānaṃ dassetvā rājānaṃ nivattāpetvā ñātake maraṇabhayā mocesi, evaṃ ñātakānaṃ atthacaro satthā’’ti bhagavato guṇakathaṃ kathayiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva tathāgato ñātakānaṃ atthaṃ carati, pubbepi cariyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต เอกทิวสํ จิเนฺตสิ ‘‘ชมฺพุทีปตเล ราชาโน พหุถเมฺภสุ ปาสาเทสุ วสนฺติ, ตสฺมา พหูหิ ถเมฺภหิ ปาสาทกรณํ นาม อนจฺฉริยํ, ยํนูนาหํ เอกถมฺภกํ ปาสาทํ กาเรยฺยํ, เอวํ สพฺพราชูนํ อคฺคราชา ภวิสฺสามี’’ติฯ โส วฑฺฒกี ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘มยฺหํ โสภคฺคปฺปตฺตํ เอกถมฺภกํ ปาสาทํ กโรถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อุชู มหเนฺต เอกถมฺภกปาสาทารเห พหู รุเกฺข ทิสฺวา ‘‘อิเม รุกฺขา สนฺติ, มโคฺค ปน วิสโม, น สกฺกา โอตาเรตุํ, รโญฺญ อาจิกฺขิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา ตถา อกํสุฯ ราชา ‘‘เกนจิ อุปาเยน สณิกํ โอตาเรถา’’ติ วตฺวา ‘‘เทว, เยน เกนจิ อุปาเยน น สกฺกา’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ มม อุยฺยาเน เอกํ รุกฺขํ อุปธาเรถา’’ติ อาหฯ วฑฺฒกี อุยฺยานํ คนฺตฺวา เอกํ สุชาตํ อุชุกํ คามนิคมปูชิตํ ราชกุลโตปิ ลทฺธพลิกมฺมํ มงฺคลสาลรุกฺขํ ทิสฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘อุยฺยาเน รุโกฺข นาม มม ปฎิพโทฺธ, คจฺฉถ โภ ตํ ฉินฺทถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา คนฺธมาลาทิหตฺถา อุยฺยานํ คนฺตฺวา รุเกฺข คนฺธปญฺจงฺคุลิกํ ทตฺวา สุเตฺตน ปริกฺขิปิตฺวา ปุปฺผกณฺณิกํ พนฺธิตฺวา ทีปํ ชาเลตฺวา พลิกมฺมํ กตฺวา ‘‘อิโต สตฺตเม ทิวเส อาคนฺตฺวา รุกฺขํ ฉินฺทิสฺสาม, ราชา ฉินฺทาเปติ, อิมสฺมิํ รุเกฺข นิพฺพตฺตเทวตา อญฺญตฺถ คจฺฉตุ, อมฺหากํ โทโส นตฺถี’’ติ สาเวสุํฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatto nāma rājā dasa rājadhamme akopetvā dhammena rajjaṃ kārento ekadivasaṃ cintesi ‘‘jambudīpatale rājāno bahuthambhesu pāsādesu vasanti, tasmā bahūhi thambhehi pāsādakaraṇaṃ nāma anacchariyaṃ, yaṃnūnāhaṃ ekathambhakaṃ pāsādaṃ kāreyyaṃ, evaṃ sabbarājūnaṃ aggarājā bhavissāmī’’ti. So vaḍḍhakī pakkosāpetvā ‘‘mayhaṃ sobhaggappattaṃ ekathambhakaṃ pāsādaṃ karothā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā araññaṃ pavisitvā ujū mahante ekathambhakapāsādārahe bahū rukkhe disvā ‘‘ime rukkhā santi, maggo pana visamo, na sakkā otāretuṃ, rañño ācikkhissāmā’’ti cintetvā tathā akaṃsu. Rājā ‘‘kenaci upāyena saṇikaṃ otārethā’’ti vatvā ‘‘deva, yena kenaci upāyena na sakkā’’ti vutte ‘‘tena hi mama uyyāne ekaṃ rukkhaṃ upadhārethā’’ti āha. Vaḍḍhakī uyyānaṃ gantvā ekaṃ sujātaṃ ujukaṃ gāmanigamapūjitaṃ rājakulatopi laddhabalikammaṃ maṅgalasālarukkhaṃ disvā rañño santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesuṃ. Rājā ‘‘uyyāne rukkho nāma mama paṭibaddho, gacchatha bho taṃ chindathā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā gandhamālādihatthā uyyānaṃ gantvā rukkhe gandhapañcaṅgulikaṃ datvā suttena parikkhipitvā pupphakaṇṇikaṃ bandhitvā dīpaṃ jāletvā balikammaṃ katvā ‘‘ito sattame divase āgantvā rukkhaṃ chindissāma, rājā chindāpeti, imasmiṃ rukkhe nibbattadevatā aññattha gacchatu, amhākaṃ doso natthī’’ti sāvesuṃ.

    อถ ตสฺมิํ นิพฺพโตฺต เทวปุโตฺต ตํ วจนํ สุตฺวา ‘‘นิสฺสํสยํ อิเม วฑฺฒกี อิมํ รุกฺขํ ฉินฺทิสฺสนฺติ, วิมานํ เม นสฺสิสฺสติ, วิมานปริยนฺติกเมว โข ปน มยฺหํ ชีวิตํ, อิมญฺจ รกฺขํ ปริวาเรตฺวา ฐิเตสุ ตรุณสาลรุเกฺขสุ นิพฺพตฺตานํ มม ญาติเทวตานมฺปิ พหูนิ วิมานานิ นสฺสิสฺสนฺติฯ วิมานปริยนฺติกเมว มม ญาตีนํ เทวตานมฺปิ ชีวิตํ, น โข ปน มํ ตถา อตฺตโน วินาโส พาธติ, ยถา ญาตีนํ, ตสฺมา เนสํ มยา ชีวิตํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อฑฺฒรตฺตสมเย ทิพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต รโญฺญ สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา สกลคพฺภํ เอโกภาสํ กตฺวา อุสฺสิสกปเสฺส โรทมาโน อฎฺฐาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ภีตตสิโต เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Atha tasmiṃ nibbatto devaputto taṃ vacanaṃ sutvā ‘‘nissaṃsayaṃ ime vaḍḍhakī imaṃ rukkhaṃ chindissanti, vimānaṃ me nassissati, vimānapariyantikameva kho pana mayhaṃ jīvitaṃ, imañca rakkhaṃ parivāretvā ṭhitesu taruṇasālarukkhesu nibbattānaṃ mama ñātidevatānampi bahūni vimānāni nassissanti. Vimānapariyantikameva mama ñātīnaṃ devatānampi jīvitaṃ, na kho pana maṃ tathā attano vināso bādhati, yathā ñātīnaṃ, tasmā nesaṃ mayā jīvitaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā aḍḍharattasamaye dibbālaṅkārapaṭimaṇḍito rañño sirigabbhaṃ pavisitvā sakalagabbhaṃ ekobhāsaṃ katvā ussisakapasse rodamāno aṭṭhāsi. Rājā taṃ disvā bhītatasito tena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๓.

    13.

    ‘‘กา ตฺวํ สุเทฺธหิ วเตฺถหิ, อเฆ เวหายสํ ฐิตา;

    ‘‘Kā tvaṃ suddhehi vatthehi, aghe vehāyasaṃ ṭhitā;

    เกน ตฺยาสฺสูนิ วตฺตนฺติ, กุโต ตํ ภยมาคต’’นฺติฯ

    Kena tyāssūni vattanti, kuto taṃ bhayamāgata’’nti.

    ตตฺถ กา ตฺวนฺติ นาคยกฺขสุปณฺณสกฺกาทีสุ กา นาม ตฺวนฺติ ปุจฺฉติฯ วเตฺถหีติ วจนมตฺตเมเวตํ, สเพฺพปิ ปน ทิพฺพาลงฺกาเร สนฺธาเยวมาหฯ อเฆติ อปฺปฎิเฆ อากาเสฯ เวหายสนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ เกน ตฺยาสฺสูนิ วตฺตนฺตีติ เกน การเณน ตว อสฺสูนิ วตฺตนฺติฯ กุโตติ ญาติวิโยคธนวินาสาทีนํ กิํ นิสฺสาย ตํ ภยมาคตนฺติ ปุจฺฉติฯ

    Tattha kā tvanti nāgayakkhasupaṇṇasakkādīsu kā nāma tvanti pucchati. Vatthehīti vacanamattamevetaṃ, sabbepi pana dibbālaṅkāre sandhāyevamāha. Agheti appaṭighe ākāse. Vehāyasanti tasseva vevacanaṃ. Kena tyāssūni vattantīti kena kāraṇena tava assūni vattanti. Kutoti ñātiviyogadhanavināsādīnaṃ kiṃ nissāya taṃ bhayamāgatanti pucchati.

    ตโต เทวราชา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato devarājā dve gāthā abhāsi –

    ๑๔.

    14.

    ‘‘ตเวว เทว วิชิเต, ภทฺทสาโลติ มํ วิทู;

    ‘‘Taveva deva vijite, bhaddasāloti maṃ vidū;

    สฎฺฐิ วสฺสสหสฺสานิ, ติฎฺฐโต ปูชิตสฺส เมฯ

    Saṭṭhi vassasahassāni, tiṭṭhato pūjitassa me.

    ๑๕.

    15.

    ‘‘การยนฺตา นครานิ, อคาเร จ ทิสมฺปติ;

    ‘‘Kārayantā nagarāni, agāre ca disampati;

    วิวิเธ จาปิ ปาสาเท, น มํ เต อจฺจมญฺญิสุํ;

    Vividhe cāpi pāsāde, na maṃ te accamaññisuṃ;

    ยเถว มํ เต ปูเชสุํ, ตเถว ตฺวมฺปิ ปูชยา’’ติฯ

    Yatheva maṃ te pūjesuṃ, tatheva tvampi pūjayā’’ti.

    ตตฺถ ติฎฺฐโตติ สกลพาราณสินคเรหิ เจว คามนิคเมหิ จ ตยา จ ปูชิตสฺส นิจฺจํ พลิกมฺมญฺจ สกฺการญฺจ ลภนฺตสฺส มยฺหํ อิมสฺมิํ อุยฺยาเน ติฎฺฐนฺตสฺส เอตฺตโก กาโล คโตติ ทเสฺสติฯ นครานีติ นครปฎิสงฺขรณกมฺมานิฯ อคาเรจาติ ภูมิเคหานิฯ ทิสมฺปตีติ ทิสานํ ปติ, มหาราชฯ น มํ เตติ เต นครปฎิสงฺขรณาทีนิ กโรนฺตา อิมสฺมิํ นคเร โปราณกราชาโน มํ นาติมญฺญิสุํ นาติกฺกมิํสุ น วิเหฐยิํสุ, มม นิวาสรุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา อตฺตโน กมฺมํ น กริํสุ, มยฺหํ ปน สกฺการเมว กริํสูติ อวจฯ ยเถวาติ ตสฺมา ยเถว เต โปราณกราชาโน มํ ปูชยิํสุ, เอโกปิ อิมํ รุกฺขํ น ฉินฺทาเปสิ, ตฺวญฺจาปิ มํ ตเถว ปูชย, มา เม รุกฺขํ เฉทยีติฯ

    Tattha tiṭṭhatoti sakalabārāṇasinagarehi ceva gāmanigamehi ca tayā ca pūjitassa niccaṃ balikammañca sakkārañca labhantassa mayhaṃ imasmiṃ uyyāne tiṭṭhantassa ettako kālo gatoti dasseti. Nagarānīti nagarapaṭisaṅkharaṇakammāni. Agārecāti bhūmigehāni. Disampatīti disānaṃ pati, mahārāja. Na maṃ teti te nagarapaṭisaṅkharaṇādīni karontā imasmiṃ nagare porāṇakarājāno maṃ nātimaññisuṃ nātikkamiṃsu na viheṭhayiṃsu, mama nivāsarukkhaṃ chinditvā attano kammaṃ na kariṃsu, mayhaṃ pana sakkārameva kariṃsūti avaca. Yathevāti tasmā yatheva te porāṇakarājāno maṃ pūjayiṃsu, ekopi imaṃ rukkhaṃ na chindāpesi, tvañcāpi maṃ tatheva pūjaya, mā me rukkhaṃ chedayīti.

    ตโต ราชา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato rājā dve gāthā abhāsi –

    ๑๖.

    16.

    ‘‘ตํ อิวาหํ น ปสฺสามิ, ถูลํ กาเยน เต ทุมํ;

    ‘‘Taṃ ivāhaṃ na passāmi, thūlaṃ kāyena te dumaṃ;

    อาโรหปริณาเหน, อภิรูโปสิ ชาติยาฯ

    Ārohapariṇāhena, abhirūposi jātiyā.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘ปาสาทํ การยิสฺสามิ, เอกตฺถมฺภํ มโนรมํ;

    ‘‘Pāsādaṃ kārayissāmi, ekatthambhaṃ manoramaṃ;

    ตตฺถ ตํ อุปเนสฺสามิ, จิรํ เต ยกฺข ชีวิต’’นฺติฯ

    Tattha taṃ upanessāmi, ciraṃ te yakkha jīvita’’nti.

    ตตฺถ กาเยนาติ ปมาเณนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตว ปมาเณน ตํ วิย ถูลํ มหนฺตํ อญฺญํ ทุมํ น ปสฺสามิ, ตฺวเญฺญว ปน อาโรหปริณาเหน สุชาตสงฺขาตาย สมสณฺฐานอุชุภาวปฺปการาย ชาติยา จ อภิรูโป โสภคฺคปฺปโตฺต เอกถมฺภปาสาทารโหติฯ ปาสาทนฺติ ตสฺมา ตํ เฉทาเปตฺวา อหํ ปาสาทํ การาเปสฺสาเมวฯ ตตฺถ ตนฺติ ตํ ปนาหํ สมฺม เทวราช, ตตฺถ ปาสาเท อุปเนสฺสามิ, โส ตฺวํ มยา สทฺธิํ เอกโต วสโนฺต อคฺคคนฺธมาลาทีนิ ลภโนฺต สกฺการปฺปโตฺต สุขํ ชีวิสฺสสิ, นิวาสฎฺฐานาภาเวน เม วินาโส ภวิสฺสตีติ มา จินฺตยิ, จิรํ เต ยกฺข ชีวิตํ ภวิสฺสตีติฯ

    Tattha kāyenāti pamāṇena. Idaṃ vuttaṃ hoti – tava pamāṇena taṃ viya thūlaṃ mahantaṃ aññaṃ dumaṃ na passāmi, tvaññeva pana ārohapariṇāhena sujātasaṅkhātāya samasaṇṭhānaujubhāvappakārāya jātiyā ca abhirūpo sobhaggappatto ekathambhapāsādārahoti. Pāsādanti tasmā taṃ chedāpetvā ahaṃ pāsādaṃ kārāpessāmeva. Tattha tanti taṃ panāhaṃ samma devarāja, tattha pāsāde upanessāmi, so tvaṃ mayā saddhiṃ ekato vasanto aggagandhamālādīni labhanto sakkārappatto sukhaṃ jīvissasi, nivāsaṭṭhānābhāvena me vināso bhavissatīti mā cintayi, ciraṃ te yakkha jīvitaṃ bhavissatīti.

    ตํ สุตฺวา เทวราชา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā devarājā dve gāthā abhāsi –

    ๑๘.

    18.

    ‘‘เอวํ จิตฺตํ อุทปาทิ, สรีเรน วินาภาโว;

    ‘‘Evaṃ cittaṃ udapādi, sarīrena vinābhāvo;

    ปุถุโส มํ วิกนฺติตฺวา, ขณฺฑโส อวกนฺตถฯ

    Puthuso maṃ vikantitvā, khaṇḍaso avakantatha.

    ๑๙.

    19.

    ‘‘อเคฺค จ เฉตฺวา มเชฺฌ จ, ปจฺฉา มูลมฺหิ ฉินฺทถ;

    ‘‘Agge ca chetvā majjhe ca, pacchā mūlamhi chindatha;

    เอวํ เม ฉิชฺชมานสฺส, น ทุกฺขํ มรณํ สิยา’’ติฯ

    Evaṃ me chijjamānassa, na dukkhaṃ maraṇaṃ siyā’’ti.

    ตตฺถ เอวํ จิตฺตํ อุทปาทีติ ยทิ เอวํ จิตฺตํ ตว อุปฺปนฺนํฯ สรีเรน วินาภาโวติ ยทิ เต มม สรีเรน ภทฺทสาลรุเกฺขน สทฺธิํ มม วินาภาโว ปตฺถิโตฯ ปุถุโสติ พหุธาฯ วิกนฺติตฺวาติ ฉินฺทิตฺวาฯ ขณฺฑโสติ ขณฺฑาขณฺฑํ กตฺวา อวกนฺตถฯ อเคฺค จาติ อวกนฺตนฺตา ปน ปฐมํ อเคฺค, ตโต มเชฺฌ เฉตฺวา สพฺพปจฺฉา มูเล ฉินฺทถฯ เอวญฺหิ เม ฉิชฺชมานสฺส น ทุกฺขํ มรณํ สิยา, สุขํ นุ ขณฺฑโส ภเวยฺยาติ ยาจติฯ

    Tattha evaṃ cittaṃ udapādīti yadi evaṃ cittaṃ tava uppannaṃ. Sarīrena vinābhāvoti yadi te mama sarīrena bhaddasālarukkhena saddhiṃ mama vinābhāvo patthito. Puthusoti bahudhā. Vikantitvāti chinditvā. Khaṇḍasoti khaṇḍākhaṇḍaṃ katvā avakantatha. Agge cāti avakantantā pana paṭhamaṃ agge, tato majjhe chetvā sabbapacchā mūle chindatha. Evañhi me chijjamānassa na dukkhaṃ maraṇaṃ siyā, sukhaṃ nu khaṇḍaso bhaveyyāti yācati.

    ตโต ราชา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato rājā dve gāthā abhāsi –

    ๒๐.

    20.

    ‘‘หตฺถปาทํ ยถา ฉิเนฺท, กณฺณนาสญฺจ ชีวโต;

    ‘‘Hatthapādaṃ yathā chinde, kaṇṇanāsañca jīvato;

    ตโต ปจฺฉา สิโร ฉิเนฺท, ตํ ทุกฺขํ มรณํ สิยาฯ

    Tato pacchā siro chinde, taṃ dukkhaṃ maraṇaṃ siyā.

    ๒๑.

    21.

    ‘‘สุขํ นุ ขณฺฑโส ฉินฺนํ, ภทฺทสาล วนปฺปติ;

    ‘‘Sukhaṃ nu khaṇḍaso chinnaṃ, bhaddasāla vanappati;

    กิํเหตุ กิํ อุปาทาย, ขณฺฑโส ฉินฺนมิจฺฉสี’’ติฯ

    Kiṃhetu kiṃ upādāya, khaṇḍaso chinnamicchasī’’ti.

    ตตฺถ หตฺถปาทนฺติ หเตฺถ จ ปาเท จฯ ตํ ทุกฺขนฺติ เอวํ ปฎิปาฎิยา ฉิชฺชนฺตสฺส โจรสฺส ตํ มรณํ ทุกฺขํ สิยาฯ สุขํ นูติ สมฺม ภทฺทสาล, วชฺฌปฺปตฺตา โจรา สุเขน มริตุกามา สีสเจฺฉทํ ยาจนฺติ, น ขณฺฑโส เฉทนํ, ตฺวํ ปน เอวํ ยาจสิ, เตน ตํ ปุจฺฉามิ ‘‘สุขํ นุ ขณฺฑโส ฉินฺน’’นฺติฯ กิํเหตูติ ขณฺฑโส ฉินฺนํ นาม น สุขํ, การเณน ปเนตฺถ ภวิตพฺพนฺติ ตํ ปุจฺฉโนฺต เอวมาหฯ

    Tattha hatthapādanti hatthe ca pāde ca. Taṃ dukkhanti evaṃ paṭipāṭiyā chijjantassa corassa taṃ maraṇaṃ dukkhaṃ siyā. Sukhaṃ nūti samma bhaddasāla, vajjhappattā corā sukhena maritukāmā sīsacchedaṃ yācanti, na khaṇḍaso chedanaṃ, tvaṃ pana evaṃ yācasi, tena taṃ pucchāmi ‘‘sukhaṃ nu khaṇḍaso chinna’’nti. Kiṃhetūti khaṇḍaso chinnaṃ nāma na sukhaṃ, kāraṇena panettha bhavitabbanti taṃ pucchanto evamāha.

    อถสฺส อาจิกฺขโนฺต ภทฺทสาโล เทฺว คาถา อภาสิ –

    Athassa ācikkhanto bhaddasālo dve gāthā abhāsi –

    ๒๒.

    22.

    ‘‘ยญฺจ เหตุมุปาทาย, เหตุํ ธมฺมูปสํหิตํ;

    ‘‘Yañca hetumupādāya, hetuṃ dhammūpasaṃhitaṃ;

    ขณฺฑโส ฉินฺนมิจฺฉามิ, มหาราช สุโณหิ เมฯ

    Khaṇḍaso chinnamicchāmi, mahārāja suṇohi me.

    ๒๓.

    23.

    ‘‘ญาตี เม สุขสํวทฺธา, มม ปเสฺส นิวาตชา;

    ‘‘Ñātī me sukhasaṃvaddhā, mama passe nivātajā;

    เตปิหํ อุปหิํเสยฺย, ปเรสํ อสุโขจิต’’นฺติฯ

    Tepihaṃ upahiṃseyya, paresaṃ asukhocita’’nti.

    ตตฺถ เหตุํ ธมฺมูปสํหิตนฺติ มหาราช, ยํ เหตุสภาวยุตฺตเมว, น เหตุปติรูปกํ, เหตุํ อุปาทาย อารพฺภ สนฺธายาหํ ขณฺฑโส ฉินฺนมิจฺฉามิ, ตํ โอหิตโสโต สุโณหีติ อโตฺถฯ ญาตี เมติ มม ภทฺทสาลรุกฺขสฺส ฉายาย สุขสํวทฺธา มม ปเสฺส ตรุณสาลรุเกฺขสุ นิพฺพตฺตา มยา กตวาตปริตฺตาณตฺตา นิวาตชา มม ญาตกา เทวสงฺฆา อตฺถิ, เต อหํ วิสาลสาขวิฎโป มูเล ฉินฺทิตฺวา ปตโนฺต อุปหิํเสยฺยํ, สํภคฺควิมาเน กโรโนฺต วินาเสยฺยนฺติ อโตฺถฯ ปเรสํ อสุโขจิตนฺติ เอวํ สเนฺต มยา เตสํ ปเรสํ ญาติเทวสงฺฆานํ อสุขํ ทุกฺขํ โอจิตํ วฑฺฒิตํ, น จาหํ เตสํ ทุกฺขกาโม, ตสฺมา ภทฺทสาลํ ขณฺฑโส ขณฺฑโส ฉินฺทาเปมีติ อยเมตฺถาธิปฺปาโยฯ

    Tattha hetuṃ dhammūpasaṃhitanti mahārāja, yaṃ hetusabhāvayuttameva, na hetupatirūpakaṃ, hetuṃ upādāya ārabbha sandhāyāhaṃ khaṇḍaso chinnamicchāmi, taṃ ohitasoto suṇohīti attho. Ñātīmeti mama bhaddasālarukkhassa chāyāya sukhasaṃvaddhā mama passe taruṇasālarukkhesu nibbattā mayā katavātaparittāṇattā nivātajā mama ñātakā devasaṅghā atthi, te ahaṃ visālasākhaviṭapo mūle chinditvā patanto upahiṃseyyaṃ, saṃbhaggavimāne karonto vināseyyanti attho. Paresaṃ asukhocitanti evaṃ sante mayā tesaṃ paresaṃ ñātidevasaṅghānaṃ asukhaṃ dukkhaṃ ocitaṃ vaḍḍhitaṃ, na cāhaṃ tesaṃ dukkhakāmo, tasmā bhaddasālaṃ khaṇḍaso khaṇḍaso chindāpemīti ayametthādhippāyo.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘ธมฺมิโก วตายํ, เทวปุโตฺต, อตฺตโน วิมานวินาสโตปิ ญาตีนํ วิมานวินาสํ น อิจฺฉติ, ญาตีนํ อตฺถจริยํ จรติ, อภยมสฺส ทสฺสามี’’ติ ตุสฺสิตฺวา โอสานคาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘dhammiko vatāyaṃ, devaputto, attano vimānavināsatopi ñātīnaṃ vimānavināsaṃ na icchati, ñātīnaṃ atthacariyaṃ carati, abhayamassa dassāmī’’ti tussitvā osānagāthamāha –

    ๒๔.

    24.

    ‘‘เจเตยฺยรูปํ เจเตสิ, ภทฺทสาล วนปฺปติ;

    ‘‘Ceteyyarūpaṃ cetesi, bhaddasāla vanappati;

    หิตกาโมสิ ญาตีนํ, อภยํ สมฺม ทมฺมิ เต’’ติฯ

    Hitakāmosi ñātīnaṃ, abhayaṃ samma dammi te’’ti.

    ตตฺถ เจเตยฺยรูปํ เจเตสีติ ญาตีสุ มุทุจิตฺตตาย จิเนฺตโนฺต จิเนฺตตพฺพยุตฺตกเมว จิเนฺตสิฯ เฉเทยฺยรูปํ เฉเทสีติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – ขณฺฑโส ฉินฺนมิจฺฉโนฺต เฉเทตพฺพยุตฺตกเมว เฉเทสีติฯ อภยนฺติ เอตสฺมิํ เต สมฺม, คุเณ ปสีทิตฺวา อภยํ ททามิ, น เม ปาสาเทนโตฺถ, นาหํ ตํ เฉทาเปสฺสามิ, คจฺฉ ญาติสงฺฆปริวุโต สกฺกตครุกโต สุขํ ชีวาติ อาหฯ

    Tattha ceteyyarūpaṃ cetesīti ñātīsu muducittatāya cintento cintetabbayuttakameva cintesi. Chedeyyarūpaṃ chedesītipi pāṭho. Tassattho – khaṇḍaso chinnamicchanto chedetabbayuttakameva chedesīti. Abhayanti etasmiṃ te samma, guṇe pasīditvā abhayaṃ dadāmi, na me pāsādenattho, nāhaṃ taṃ chedāpessāmi, gaccha ñātisaṅghaparivuto sakkatagarukato sukhaṃ jīvāti āha.

    เทวราชา รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา อคมาสิฯ ราชา ตโสฺสวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ

    Devarājā rañño dhammaṃ desetvā agamāsi. Rājā tassovāde ṭhatvā dānādīni puññāni katvā saggapuraṃ pūresi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต ญาตตฺถจริยํ อจริเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ตรุณสาเลสุ นิพฺพตฺตเทวตา พุทฺธปริสา, ภทฺทสาลเทวราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, pubbepi tathāgato ñātatthacariyaṃ acariyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, taruṇasālesu nibbattadevatā buddhaparisā, bhaddasāladevarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    ภทฺทสาลชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Bhaddasālajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๖๕. ภทฺทสาลชาตกํ • 465. Bhaddasālajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact