Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๑๐. ภทฺทิยสุตฺตวณฺณนา

    10. Bhaddiyasuttavaṇṇanā

    ๒๐. ทสเม อนุปิยายนฺติ เอวํ นามเก นคเรฯ อมฺพวเนติ ตสฺส นครสฺส อวิทูเร มลฺลราชูนํ เอกํ อมฺพวนํ อโหสิ, ตตฺถ มลฺลราชูหิ ภควโต วิหาโร การิโต, โส ‘‘อมฺพวน’’เนฺตฺวว วุจฺจติฯ อนุปิยํ โคจรคามํ กตฺวา ตตฺถ ภควา วิหรติ, เตน วุตฺตํ ‘‘อนุปิยายํ วิหรติ อมฺพวเน’’ติฯ ภทฺทิโยติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ กาฬีโคธาย ปุโตฺตติ กาฬีโคธา นาม สากิยานี สกฺยราชเทวี อริยสาวิกา อาคตผลา วิญฺญาตสาสนา, ตสฺสา อยํ ปุโตฺตฯ ตสฺส ปพฺพชฺชาวิธิ ขนฺธเก (จูฬว. ๓๓๐-๓๓๑) อาคโตวฯ โส ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา น จิรเสฺสว ฉฬภิโญฺญ อโหสิ, เตรสปิ ธุตงฺคานิ สมาทาย วตฺตติฯ ภควตา จ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ อุจฺจกุลิกานํ, ยทิทํ ภทฺทิโย กาฬีโคธาย ปุโตฺต’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๓) อุจฺจกุลิกภาเว เอตทเคฺค ฐปิโต อสีติยา สาวกานํ อพฺภนฺตโรฯ

    20. Dasame anupiyāyanti evaṃ nāmake nagare. Ambavaneti tassa nagarassa avidūre mallarājūnaṃ ekaṃ ambavanaṃ ahosi, tattha mallarājūhi bhagavato vihāro kārito, so ‘‘ambavana’’ntveva vuccati. Anupiyaṃ gocaragāmaṃ katvā tattha bhagavā viharati, tena vuttaṃ ‘‘anupiyāyaṃ viharati ambavane’’ti. Bhaddiyoti tassa therassa nāmaṃ. Kāḷīgodhāya puttoti kāḷīgodhā nāma sākiyānī sakyarājadevī ariyasāvikā āgataphalā viññātasāsanā, tassā ayaṃ putto. Tassa pabbajjāvidhi khandhake (cūḷava. 330-331) āgatova. So pabbajitvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā na cirasseva chaḷabhiñño ahosi, terasapi dhutaṅgāni samādāya vattati. Bhagavatā ca ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ uccakulikānaṃ, yadidaṃ bhaddiyo kāḷīgodhāya putto’’ti (a. ni. 1.193) uccakulikabhāve etadagge ṭhapito asītiyā sāvakānaṃ abbhantaro.

    สุญฺญาคารคโตติ ‘‘ฐเปตฺวา คามญฺจ คามูปจารญฺจ อวเสสํ อรญฺญ’’นฺติ วุตฺตํ อรญฺญํ รุกฺขมูลญฺจ ฐเปตฺวา อญฺญํ ปพฺพตกนฺทราทิ ปพฺพชิตสารุปฺปํ นิวาสฎฺฐานํ ชนสมฺพาธาภาวโต อิธ สุญฺญาคารนฺติ อธิเปฺปตํฯ อถ วา ฌานกณฺฎกานํ สทฺทานํ อภาวโต วิวิตฺตํ ยํ กิญฺจิ อคารมฺปิ สุญฺญาคารนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตํ สุญฺญาคารํ อุปคโตฯ อภิกฺขณนฺติ พหุลํฯ อุทานํ อุทาเนสีติ โส หิ อายสฺมา อรเญฺญ ทิวาวิหารํ อุปคโตปิ รตฺติวาสูปคโตปิ เยภุเยฺยน ผลสมาปตฺติสุเขน นิโรธสุเขน จ วีตินาเมติ, ตสฺมา ตํ สุขํ สนฺธาย ปุเพฺพ อตฺตนา อนุภูตํ สภยํ สปริฬาหํ รชฺชสุขํ ชิคุจฺฉิตฺวา ‘‘อโห สุขํ อโห สุข’’นฺติ โสมนสฺสสหิตํ ญาณสมุฎฺฐานํ ปีติสมุฎฺฐานํ สมุคฺคิรติฯ

    Suññāgāragatoti ‘‘ṭhapetvā gāmañca gāmūpacārañca avasesaṃ arañña’’nti vuttaṃ araññaṃ rukkhamūlañca ṭhapetvā aññaṃ pabbatakandarādi pabbajitasāruppaṃ nivāsaṭṭhānaṃ janasambādhābhāvato idha suññāgāranti adhippetaṃ. Atha vā jhānakaṇṭakānaṃ saddānaṃ abhāvato vivittaṃ yaṃ kiñci agārampi suññāgāranti veditabbaṃ. Taṃ suññāgāraṃ upagato. Abhikkhaṇanti bahulaṃ. Udānaṃ udānesīti so hi āyasmā araññe divāvihāraṃ upagatopi rattivāsūpagatopi yebhuyyena phalasamāpattisukhena nirodhasukhena ca vītināmeti, tasmā taṃ sukhaṃ sandhāya pubbe attanā anubhūtaṃ sabhayaṃ sapariḷāhaṃ rajjasukhaṃ jigucchitvā ‘‘aho sukhaṃ aho sukha’’nti somanassasahitaṃ ñāṇasamuṭṭhānaṃ pītisamuṭṭhānaṃ samuggirati.

    สุตฺวาน เนสํ เอตทโหสีติ เนสํ สมฺพหุลานํ ภิกฺขูนํ ตสฺส อายสฺมโต ‘‘อโห สุขํ, อโห สุข’’นฺติ อุทาเนนฺตสฺส อุทานํ สุตฺวา ‘‘นิสฺสํสยํ เอส อนภิรโต พฺรหฺมจริยํ จรตี’’ติ เอวํ ปริวิตกฺกิตํ อโหสิฯ เต ภิกฺขู ปุถุชฺชนา ตสฺส อายสฺมโต วิเวกสุขํ สนฺธาย อุทานํ อชานนฺตา เอวํ อมญฺญิํสุ, เตน วุตฺตํ ‘‘นิสฺสํสย’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ นิสฺสํสยนฺติ อสเนฺทเหน เอกเนฺตนาติ อโตฺถฯ ‘‘ยํ โส ปุเพฺพ อคาริยภูโต สมาโน’’ติ ปาฬิํ วตฺวา ‘‘อนุภวี’’ติ วจนเสเสน เกจิ อตฺถํ วเณฺณนฺติ, อปเร ‘‘ยํ สา’’ติ ปฐนฺติ, ‘‘ยํส ปุเพฺพ อคาริยภูตสฺสา’’ติ ปน ปาฬิฯ ตตฺถ ยํสาติ ยํ อสฺส, สนฺธิวเสน หิ อการสการโลโป ‘‘เอวํส เต (ม. นิ. ๑.๒๓; อ. นิ. ๖.๕๘), ปุปฺผํสา อุปฺปชฺชี’’ติอาทีสุ (ปารา. ๓๖) วิยฯ ตสฺสโตฺถ – อสฺส อายสฺมโต ภทฺทิยสฺส ปพฺพชิตโต ปุเพฺพ อคาริยภูตสฺส คหฎฺฐสฺส สโต ยํ รชฺชสุขํ อนุภูตํฯ สา ตมนุสฺสรมาโนติ โส ตํ สุขํ เอตรหิ อุกฺกณฺฐนวเสน อนุสฺสรโนฺตฯ

    Sutvāna nesaṃ etadahosīti nesaṃ sambahulānaṃ bhikkhūnaṃ tassa āyasmato ‘‘aho sukhaṃ, aho sukha’’nti udānentassa udānaṃ sutvā ‘‘nissaṃsayaṃ esa anabhirato brahmacariyaṃ caratī’’ti evaṃ parivitakkitaṃ ahosi. Te bhikkhū puthujjanā tassa āyasmato vivekasukhaṃ sandhāya udānaṃ ajānantā evaṃ amaññiṃsu, tena vuttaṃ ‘‘nissaṃsaya’’ntiādi. Tattha nissaṃsayanti asandehena ekantenāti attho. ‘‘Yaṃ so pubbe agāriyabhūto samāno’’ti pāḷiṃ vatvā ‘‘anubhavī’’ti vacanasesena keci atthaṃ vaṇṇenti, apare ‘‘yaṃ sā’’ti paṭhanti, ‘‘yaṃsa pubbe agāriyabhūtassā’’ti pana pāḷi. Tattha yaṃsāti yaṃ assa, sandhivasena hi akārasakāralopo ‘‘evaṃsa te (ma. ni. 1.23; a. ni. 6.58), pupphaṃsā uppajjī’’tiādīsu (pārā. 36) viya. Tassattho – assa āyasmato bhaddiyassa pabbajitato pubbe agāriyabhūtassa gahaṭṭhassa sato yaṃ rajjasukhaṃ anubhūtaṃ. Sā tamanussaramānoti so taṃ sukhaṃ etarahi ukkaṇṭhanavasena anussaranto.

    เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุนฺติ เต สมฺพหุลา ภิกฺขู อุลฺลปนสภาวสณฺฐิตา ตสฺส อนุคฺคหณาธิปฺปาเยน ภควนฺตํ เอตทโวจุํ, น อุชฺฌานวเสนฯ อญฺญตรนฺติ นามโคเตฺตน อปากฎํ เอกํ ภิกฺขุํฯ อามเนฺตสีติ อาณาเปสิ เต ภิกฺขู สญฺญาเปตุกาโมฯ เอวนฺติ วจนสมฺปฎิคฺคเห, สาธูติ อโตฺถฯ ปุน เอวนฺติ ปฎิญฺญายฯ อภิกฺขณํ ‘‘อโห สุขํ, อโห สุข’’นฺติ อิมํ อุทานํ อุทาเนสีติ ยถา เต ภิกฺขู วทนฺติ, ตํ เอวํ ตเถวาติ อตฺตโน อุทานํ ปฎิชานาติฯ กิํ ปน ตฺวํ ภทฺทิยาติ กสฺมา ภควา ปุจฺฉติ, กิํ ตสฺส จิตฺตํ น ชานาตีติ ? โน น ชานาติ, เตเนว ปน ตมตฺถํ วทาเปตฺวา เต ภิกฺขู สญฺญาเปตุํ ปุจฺฉติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ชานนฺตาปิ ตถาคตา ปุจฺฉนฺติ, ชานนฺตาปิ น ปุจฺฉนฺตี’’ติอาทิฯ อตฺถวสนฺติ การณํฯ

    Te bhikkhū bhagavantaṃ etadavocunti te sambahulā bhikkhū ullapanasabhāvasaṇṭhitā tassa anuggahaṇādhippāyena bhagavantaṃ etadavocuṃ, na ujjhānavasena. Aññataranti nāmagottena apākaṭaṃ ekaṃ bhikkhuṃ. Āmantesīti āṇāpesi te bhikkhū saññāpetukāmo. Evanti vacanasampaṭiggahe, sādhūti attho. Puna evanti paṭiññāya. Abhikkhaṇaṃ ‘‘aho sukhaṃ, aho sukha’’nti imaṃ udānaṃ udānesīti yathā te bhikkhū vadanti, taṃ evaṃ tathevāti attano udānaṃ paṭijānāti. Kiṃ pana tvaṃ bhaddiyāti kasmā bhagavā pucchati, kiṃ tassa cittaṃ na jānātīti ? No na jānāti, teneva pana tamatthaṃ vadāpetvā te bhikkhū saññāpetuṃ pucchati. Vuttañhetaṃ – ‘‘jānantāpi tathāgatā pucchanti, jānantāpi na pucchantī’’tiādi. Atthavasanti kāraṇaṃ.

    อเนฺตปุเรติ อิตฺถาคารสฺส สญฺจรณฎฺฐานภูเต ราชเคหสฺส อพฺภนฺตเร, ยตฺถ ราชา นฺหานโภชนสยนาทิํ กเปฺปติฯ รกฺขา สุสํวิหิตาติ อารกฺขาทิกตปุริเสหิ คุตฺติ สุฎฺฐุ สมนฺตโต วิหิตาฯ พหิปิ อเนฺตปุเรติ อฑฺฑกรณฎฺฐานาทิเก อเนฺตปุรโต พหิภูเต ราชเคเหฯ เอวํ รกฺขิโต โคปิโต สโนฺตติ เอวํ ราชเคหราชธานิรชฺชเทเสสุ อโนฺต จ พหิ จ อเนเกสุ ฐาเนสุ อเนกสเตหิ สุสํวิหิตรกฺขาวรณคุตฺติยา มเมว นิพฺภยตฺถํ ผาสุวิหารตฺถํ รกฺขิโต โคปิโต สมาโนฯ ภีโตติอาทีนิ ปทานิ อญฺญมญฺญเววจนานิฯ อถ วา ภีโตติ ปรราชูหิ ภายมาโนฯ อุพฺพิโคฺคติ สกรเชฺชปิ ปกติโต อุปฺปชฺชนกภยุเพฺพเคน อุพฺพิโคฺค จลิโตฯ อุสฺสงฺกีติ ‘‘รญฺญา นาม สพฺพกาลํ อวิสฺสเตฺถน ภวิตพฺพ’’นฺติ วจเนน สพฺพตฺถ อวิสฺสาสวเสน เตสํ เตสํ กิจฺจกรณียานํ ปจฺจยปริสงฺกาย จ อุทฺธมุขํ สงฺกมาโนฯ อุตฺราสีติ ‘‘สนฺติกาวจเรหิปิ อชานนฺตเสฺสว เม กทาจิ อนโตฺถ ภเวยฺยา’’ติ อุปฺปเนฺนน สรีรกมฺปํ อุปฺปาทนสมเตฺถน ตาเสน อุตฺราสีฯ ‘‘อุตฺรโสฺต’’ติปิ ปฐนฺติฯ วิหาสินฺติ เอวํภูโต หุตฺวา วิหริํฯ

    Antepureti itthāgārassa sañcaraṇaṭṭhānabhūte rājagehassa abbhantare, yattha rājā nhānabhojanasayanādiṃ kappeti. Rakkhā susaṃvihitāti ārakkhādikatapurisehi gutti suṭṭhu samantato vihitā. Bahipi antepureti aḍḍakaraṇaṭṭhānādike antepurato bahibhūte rājagehe. Evaṃ rakkhito gopito santoti evaṃ rājageharājadhānirajjadesesu anto ca bahi ca anekesu ṭhānesu anekasatehi susaṃvihitarakkhāvaraṇaguttiyā mameva nibbhayatthaṃ phāsuvihāratthaṃ rakkhito gopito samāno. Bhītotiādīni padāni aññamaññavevacanāni. Atha vā bhītoti pararājūhi bhāyamāno. Ubbiggoti sakarajjepi pakatito uppajjanakabhayubbegena ubbiggo calito. Ussaṅkīti ‘‘raññā nāma sabbakālaṃ avissatthena bhavitabba’’nti vacanena sabbattha avissāsavasena tesaṃ tesaṃ kiccakaraṇīyānaṃ paccayaparisaṅkāya ca uddhamukhaṃ saṅkamāno. Utrāsīti ‘‘santikāvacarehipi ajānantasseva me kadāci anattho bhaveyyā’’ti uppannena sarīrakampaṃ uppādanasamatthena tāsena utrāsī. ‘‘Utrasto’’tipi paṭhanti. Vihāsinti evaṃbhūto hutvā vihariṃ.

    เอตรหีติ อิทานิ ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐายฯ เอโกติ อสหาโย, เตน วูปกฎฺฐกายตํ ทเสฺสติฯ อภีโตติอาทีนํ ปทานํ วุตฺตวิปริยาเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ภยาทินิมิตฺตสฺส ปริคฺคหสฺส ตํ นิมิตฺตสฺส จ กิเลสสฺส อภาเวเนวสฺส อภีตาทิตาติฯ เอเตน จิตฺตวิเวกํ ทเสฺสติ ฯ อโปฺปสฺสุโกฺกติ สรีรคุตฺติยํ นิรุสฺสุโกฺกฯ ปนฺนโลโมติ โลมหํสุปฺปาทกสฺส ฉมฺภิตตฺตสฺส อภาเวน อนุคฺคตโลโมฯ ปททฺวเยนปิ เสริวิหารํ ทเสฺสติฯ ปรทตฺตวุโตฺตติ ปเรหิ ทิเนฺนน จีวราทินา วตฺตมาโน, เอเตน สพฺพโส สงฺคาภาวทีปนมุเขน อนวเสสภยเหตุวิรหํ ทเสฺสติฯ มิคภูเตน เจตสาติ วิสฺสตฺถวิหาริตาย มิคสฺส วิย ชาเตน จิเตฺตนฯ มิโค หิ อมนุสฺสปเถ อรเญฺญ วสมาโน วิสฺสโตฺถ ติฎฺฐติ, นิสีทติ, นิปชฺชติ, เยนกามญฺจ ปกฺกมติ อปฺปฎิหตจาโร, เอวํ อหมฺปิ วิหรามีติ ทเสฺสติฯ วุตฺตเญฺหตํ ปเจฺจกพุเทฺธน –

    Etarahīti idāni pabbajitakālato paṭṭhāya. Ekoti asahāyo, tena vūpakaṭṭhakāyataṃ dasseti. Abhītotiādīnaṃ padānaṃ vuttavipariyāyena attho veditabbo. Bhayādinimittassa pariggahassa taṃ nimittassa ca kilesassa abhāvenevassa abhītāditāti. Etena cittavivekaṃ dasseti . Appossukkoti sarīraguttiyaṃ nirussukko. Pannalomoti lomahaṃsuppādakassa chambhitattassa abhāvena anuggatalomo. Padadvayenapi serivihāraṃ dasseti. Paradattavuttoti parehi dinnena cīvarādinā vattamāno, etena sabbaso saṅgābhāvadīpanamukhena anavasesabhayahetuvirahaṃ dasseti. Migabhūtena cetasāti vissatthavihāritāya migassa viya jātena cittena. Migo hi amanussapathe araññe vasamāno vissattho tiṭṭhati, nisīdati, nipajjati, yenakāmañca pakkamati appaṭihatacāro, evaṃ ahampi viharāmīti dasseti. Vuttañhetaṃ paccekabuddhena –

    ‘‘มิโค อรญฺญมฺหิ ยถา อพโทฺธ,

    ‘‘Migo araññamhi yathā abaddho,

    เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โคจราย;

    Yenicchakaṃ gacchati gocarāya;

    วิญฺญู นโร เสริตํ เปกฺขมาโน,

    Viññū naro seritaṃ pekkhamāno,

    เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ (สุ. นิ. ๓๙; อป. เถร ๑.๑.๙๕);

    Eko care khaggavisāṇakappo’’ti. (su. ni. 39; apa. thera 1.1.95);

    อิมํ โข อหํ, ภเนฺต, อตฺถวสนฺติ, ภเนฺต, ภควา ยทิทํ มม เอตรหิ ปรมํ วิเวกสุขํ ผลสมาปตฺติสุขํ, อิทเมว การณํ สมฺปสฺสมาโน ‘‘อโห สุขํ, อโห สุข’’นฺติ อุทานํ อุทาเนสินฺติฯ

    Imaṃ kho ahaṃ, bhante, atthavasanti, bhante, bhagavā yadidaṃ mama etarahi paramaṃ vivekasukhaṃ phalasamāpattisukhaṃ, idameva kāraṇaṃ sampassamāno ‘‘aho sukhaṃ, aho sukha’’nti udānaṃ udānesinti.

    เอตมตฺถนฺติ เอตํ ภทฺทิยเตฺถรสฺส ปุถุชฺชนวิสยาตีตํ วิเวกสุขสงฺขาตมตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิทํ สเหตุกภยโสกวิคมานุภาวทีปกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthanti etaṃ bhaddiyattherassa puthujjanavisayātītaṃ vivekasukhasaṅkhātamatthaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti idaṃ sahetukabhayasokavigamānubhāvadīpakaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปาติ ยสฺส อริยปุคฺคลสฺส อนฺตรโต อพฺภนฺตเร อตฺตโน จิเตฺต จิตฺตกาลุสฺสิยกรณโต จิตฺตปฺปโกปา ราคาทโย อาฆาตวตฺถุอาทิการณเภทโต อเนกเภทา โทสโกปา เอว โกปา น สนฺติ มเคฺคน ปหีนตฺตา น วิชฺชนฺติฯ อยญฺหิ อนฺตรสโทฺท กิญฺจาปิ ‘‘มญฺจ ตฺวญฺจ กิมนฺตร’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๒๘) การเณ ทิสฺสติ, ‘‘อนฺตรฎฺฐเก หิมปาตสมเย’’ติอาทีสุ (มหาว. ๓๔๖) เวมเชฺฌ, ‘‘อนฺตรา จ เชตวนํ อนฺตรา จ สาวตฺถิ’’นฺติอาทีสุ (อุทา. ๑๓, ๔๔) วิวเร, ‘‘ภยมนฺตรโต ชาต’’นฺติอาทีสุ (อิติวุ. ๘๘; มหานิ. ๕) จิเตฺต, อิธาปิ จิเตฺต เอว ทฎฺฐโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อนฺตรโต อตฺตโน จิเตฺต’’ติฯ

    Tattha yassantarato na santi kopāti yassa ariyapuggalassa antarato abbhantare attano citte cittakālussiyakaraṇato cittappakopā rāgādayo āghātavatthuādikāraṇabhedato anekabhedā dosakopā eva kopā na santi maggena pahīnattā na vijjanti. Ayañhi antarasaddo kiñcāpi ‘‘mañca tvañca kimantara’’ntiādīsu (saṃ. ni. 1.228) kāraṇe dissati, ‘‘antaraṭṭhake himapātasamaye’’tiādīsu (mahāva. 346) vemajjhe, ‘‘antarā ca jetavanaṃ antarā ca sāvatthi’’ntiādīsu (udā. 13, 44) vivare, ‘‘bhayamantarato jāta’’ntiādīsu (itivu. 88; mahāni. 5) citte, idhāpi citte eva daṭṭhabbo. Tena vuttaṃ ‘‘antarato attano citte’’ti.

    อิติภวาภวตญฺจ วีติวโตฺตติ ยสฺมา ภโวติ สมฺปตฺติ, อภโวติ วิปตฺติฯ ตถา ภโวติ วุทฺธิ, อภโวติ หานิฯ ภโวติ วา สสฺสตํ, อภโวติ อุเจฺฉโทฯ ภโวติ วา ปุญฺญํ, อภโวติ ปาปํฯ ภโวติ วา สุคติ, อภโวติ ทุคฺคติฯ ภโวติ วา ขุทฺทโก, อภโวติ มหโนฺตฯ ตสฺมา ยา สา สมฺปตฺติวิปตฺติวุฑฺฒิหานิสสฺสตุเจฺฉทปุญฺญปาปสุคติทุคฺคติ- ขุทฺทกมหนฺตอุปปตฺติภวานํ วเสน อิติ อเนกปฺปการา ภวาภวตา วุจฺจติฯ จตูหิปิ อริยมเคฺคหิ ยถาสมฺภวํ เตน เตน นเยน ตํ อิติภวาภวตญฺจ วีติวโตฺต อติกฺกโนฺต โหติฯ อตฺถวเสน วิภตฺติ วิปริณาเมตพฺพาฯ ตํ วิคตภยนฺติ ตํ เอวรูปํ ยถาวุตฺตคุณสมนฺนาคตํ ขีณาสวํ จิตฺตโกปาภาวโต อิติภวาภวสมติกฺกมโต จ ภยเหตุวิคเมน วิคตภยํ, วิเวกสุเขน อคฺคผลสุเขน จ สุขิํ, วิคตภยตฺตา เอว อโสกํฯ เทวา นานุภวนฺติ ทสฺสนายาติ อธิคตมเคฺค ฐเปตฺวา สเพฺพปิ อุปปตฺติเทวา วายมนฺตาปิ จิตฺตจารทสฺสนวเสน ทสฺสนาย ทฎฺฐุํ นานุภวนฺติ น อภิสมฺภุณนฺติ น สโกฺกนฺติ, ปเคว มนุสฺสาฯ เสกฺขาปิ หิ ปุถุชฺชนา วิย อรหโต จิตฺตปฺปวตฺติํ น ชานนฺติฯ

    Itibhavābhavatañca vītivattoti yasmā bhavoti sampatti, abhavoti vipatti. Tathā bhavoti vuddhi, abhavoti hāni. Bhavoti vā sassataṃ, abhavoti ucchedo. Bhavoti vā puññaṃ, abhavoti pāpaṃ. Bhavoti vā sugati, abhavoti duggati. Bhavoti vā khuddako, abhavoti mahanto. Tasmā yā sā sampattivipattivuḍḍhihānisassatucchedapuññapāpasugatiduggati- khuddakamahantaupapattibhavānaṃ vasena iti anekappakārā bhavābhavatā vuccati. Catūhipi ariyamaggehi yathāsambhavaṃ tena tena nayena taṃ itibhavābhavatañca vītivatto atikkanto hoti. Atthavasena vibhatti vipariṇāmetabbā. Taṃ vigatabhayanti taṃ evarūpaṃ yathāvuttaguṇasamannāgataṃ khīṇāsavaṃ cittakopābhāvato itibhavābhavasamatikkamato ca bhayahetuvigamena vigatabhayaṃ, vivekasukhena aggaphalasukhena ca sukhiṃ, vigatabhayattā eva asokaṃ. Devā nānubhavanti dassanāyāti adhigatamagge ṭhapetvā sabbepi upapattidevā vāyamantāpi cittacāradassanavasena dassanāya daṭṭhuṃ nānubhavanti na abhisambhuṇanti na sakkonti, pageva manussā. Sekkhāpi hi puthujjanā viya arahato cittappavattiṃ na jānanti.

    ทสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิตา จ มุจลินฺทวคฺควณฺณนาฯ

    Niṭṭhitā ca mucalindavaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๑๐. ภทฺทิยสุตฺตํ • 10. Bhaddiyasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact