Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๑๑. ภทฺรกสุตฺตํ
11. Bhadrakasuttaṃ
๓๖๓. เอกํ สมยํ ภควา มเลฺลสุ วิหรติ อุรุเวลกปฺปํ นาม มลฺลานํ นิคโมฯ อถ โข ภทฺรโก คามณิ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ภทฺรโก คามณิ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา ทุกฺขสฺส สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ เทเสตู’’ติฯ ‘‘อหเญฺจ 1 เต, คามณิ, อตีตมทฺธานํ อารพฺภ ทุกฺขสฺส สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ เทเสยฺยํ – ‘เอวํ อโหสิ อตีตมทฺธาน’นฺติ, ตตฺร เต สิยา กงฺขา, สิยา วิมติฯ อหํ เจ 2 เต, คามณิ, อนาคตมทฺธานํ อารพฺภ ทุกฺขสฺส สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ เทเสยฺยํ – ‘เอวํ ภวิสฺสติ อนาคตมทฺธาน’นฺติ, ตตฺราปิ เต สิยา กงฺขา, สิยา วิมติฯ อปิ จาหํ, คามณิ, อิเธว นิสิโนฺน เอเตฺถว เต นิสินฺนสฺส ทุกฺขสฺส สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ เทเสสฺสามิฯ ตํ สุณาหิ , สาธุกํ มนสิ กโรหิ; ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข ภทฺรโก คามณิ ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ –
363. Ekaṃ samayaṃ bhagavā mallesu viharati uruvelakappaṃ nāma mallānaṃ nigamo. Atha kho bhadrako gāmaṇi yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho bhadrako gāmaṇi bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘sādhu me, bhante, bhagavā dukkhassa samudayañca atthaṅgamañca desetū’’ti. ‘‘Ahañce 3 te, gāmaṇi, atītamaddhānaṃ ārabbha dukkhassa samudayañca atthaṅgamañca deseyyaṃ – ‘evaṃ ahosi atītamaddhāna’nti, tatra te siyā kaṅkhā, siyā vimati. Ahaṃ ce 4 te, gāmaṇi, anāgatamaddhānaṃ ārabbha dukkhassa samudayañca atthaṅgamañca deseyyaṃ – ‘evaṃ bhavissati anāgatamaddhāna’nti, tatrāpi te siyā kaṅkhā, siyā vimati. Api cāhaṃ, gāmaṇi, idheva nisinno ettheva te nisinnassa dukkhassa samudayañca atthaṅgamañca desessāmi. Taṃ suṇāhi , sādhukaṃ manasi karohi; bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho bhadrako gāmaṇi bhagavato paccassosi. Bhagavā etadavoca –
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อตฺถิ เต อุรุเวลกเปฺป มนุสฺสา เยสํ เต วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติ? ‘‘อตฺถิ เม, ภเนฺต, อุรุเวลกเปฺป มนุสฺสา เยสํ เม วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน เต, คามณิ, อุรุเวลกเปฺป มนุสฺสา เยสํ เต วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา นุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติ? ‘‘อตฺถิ เม, ภเนฺต, อุรุเวลกเปฺป มนุสฺสา เยสํ เม วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา นุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติฯ ‘‘โก นุ โข, คามณิ, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน เต เอกจฺจานํ อุรุเวลกปฺปิยานํ มนุสฺสานํ วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติ? ‘‘เยสํ เม, ภเนฺต, อุรุเวลกปฺปิยานํ มนุสฺสานํ วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา, อตฺถิ เม เตสุ ฉนฺทราโค ฯ เยสํ ปน, ภเนฺต, อุรุเวลกปฺปิยานํ มนุสฺสานํ วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา นุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา, นตฺถิ เม เตสุ ฉนฺทราโค’’ติฯ ‘‘อิมินา ตฺวํ, คามณิ, ธเมฺมน ทิเฎฺฐน วิทิเตน อกาลิเกน ปเตฺตน ปริโยคาเฬฺหน อตีตานาคเต นยํ เนหิ – ‘ยํ โข กิญฺจิ อตีตมทฺธานํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปชฺชิ 5 สพฺพํ ตํ ฉนฺทมูลกํ ฉนฺทนิทานํฯ ฉโนฺท หิ มูลํ ทุกฺขสฺสฯ ยมฺปิ หิ กิญฺจิ อนาคตมทฺธานํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปชฺชิสฺสติ, สพฺพํ ตํ ฉนฺทมูลกํ ฉนฺทนิทานํฯ ฉโนฺท หิ มูลํ ทุกฺขสฺสา’’’ติ ฯ ‘‘อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺต! ยาว สุภาสิตํ จิทํ 6, ภเนฺต, ภควตา 7 – ‘ยํ กิญฺจิ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปชฺชติ, สพฺพํ ตํ ฉนฺทมูลกํ ฉนฺทนิทานํฯ ฉโนฺท หิ มูลํ ทุกฺขสฺสา’ติฯ 8 อตฺถิ เม, ภเนฺต, จิรวาสี นาม กุมาโร พหิ อาวสเถ 9 ปฎิวสติฯ โส ขฺวาหํ, ภเนฺต, กาลเสฺสว วุฎฺฐาย ปุริสํ อุโยฺยเชมิ 10 – ‘คจฺฉ, ภเณ, จิรวาสิํ กุมารํ ชานาหี’ติฯ ยาวกีวญฺจ, ภเนฺต, โส ปุริโส นาคจฺฉติ, ตสฺส เม โหเตว อญฺญถตฺตํ – ‘มา เหว จิรวาสิสฺส กุมารสฺส กิญฺจิ อาพาธยิตฺถา’’’ติ 11ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, atthi te uruvelakappe manussā yesaṃ te vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti? ‘‘Atthi me, bhante, uruvelakappe manussā yesaṃ me vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti. ‘‘Atthi pana te, gāmaṇi, uruvelakappe manussā yesaṃ te vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā nuppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti? ‘‘Atthi me, bhante, uruvelakappe manussā yesaṃ me vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā nuppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti. ‘‘Ko nu kho, gāmaṇi, hetu, ko paccayo yena te ekaccānaṃ uruvelakappiyānaṃ manussānaṃ vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti? ‘‘Yesaṃ me, bhante, uruvelakappiyānaṃ manussānaṃ vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā, atthi me tesu chandarāgo . Yesaṃ pana, bhante, uruvelakappiyānaṃ manussānaṃ vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā nuppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā, natthi me tesu chandarāgo’’ti. ‘‘Iminā tvaṃ, gāmaṇi, dhammena diṭṭhena viditena akālikena pattena pariyogāḷhena atītānāgate nayaṃ nehi – ‘yaṃ kho kiñci atītamaddhānaṃ dukkhaṃ uppajjamānaṃ uppajji 12 sabbaṃ taṃ chandamūlakaṃ chandanidānaṃ. Chando hi mūlaṃ dukkhassa. Yampi hi kiñci anāgatamaddhānaṃ dukkhaṃ uppajjamānaṃ uppajjissati, sabbaṃ taṃ chandamūlakaṃ chandanidānaṃ. Chando hi mūlaṃ dukkhassā’’’ti . ‘‘Acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhante! Yāva subhāsitaṃ cidaṃ 13, bhante, bhagavatā 14 – ‘yaṃ kiñci dukkhaṃ uppajjamānaṃ uppajjati, sabbaṃ taṃ chandamūlakaṃ chandanidānaṃ. Chando hi mūlaṃ dukkhassā’ti. 15 Atthi me, bhante, ciravāsī nāma kumāro bahi āvasathe 16 paṭivasati. So khvāhaṃ, bhante, kālasseva vuṭṭhāya purisaṃ uyyojemi 17 – ‘gaccha, bhaṇe, ciravāsiṃ kumāraṃ jānāhī’ti. Yāvakīvañca, bhante, so puriso nāgacchati, tassa me hoteva aññathattaṃ – ‘mā heva ciravāsissa kumārassa kiñci ābādhayitthā’’’ti 18.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, จิรวาสิสฺส กุมารสฺส วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติ ? ‘‘จิรวาสิสฺส เม, ภเนฺต, กุมารสฺส วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา ชีวิตสฺสปิ สิยา อญฺญถตฺตํ, กิํ ปน เม นุปฺปชฺชิสฺสนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติฯ ‘‘อิมินาปิ โข เอตํ, คามณิ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ – ‘ยํ กิญฺจิ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปชฺชติ, สพฺพํ ตํ ฉนฺทมูลกํ ฉนฺทนิทานํฯ ฉโนฺท หิ มูลํ ทุกฺขสฺสา’’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, ciravāsissa kumārassa vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti ? ‘‘Ciravāsissa me, bhante, kumārassa vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā jīvitassapi siyā aññathattaṃ, kiṃ pana me nuppajjissanti sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti. ‘‘Imināpi kho etaṃ, gāmaṇi, pariyāyena veditabbaṃ – ‘yaṃ kiñci dukkhaṃ uppajjamānaṃ uppajjati, sabbaṃ taṃ chandamūlakaṃ chandanidānaṃ. Chando hi mūlaṃ dukkhassā’’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, ยทา เต จิรวาสิมาตา 19 อทิฎฺฐา อโหสิ, อสฺสุตา อโหสิ, เต จิรวาสิมาตุยา ฉโนฺท วา ราโค วา เปมํ วา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ทสฺสนํ วา เต, คามณิ, อาคมฺม สวนํ วา เอวํ เต อโหสิ – ‘จิรวาสิมาตุยา ฉโนฺท วา ราโค วา เปมํ วา’’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, yadā te ciravāsimātā 20 adiṭṭhā ahosi, assutā ahosi, te ciravāsimātuyā chando vā rāgo vā pemaṃ vā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Dassanaṃ vā te, gāmaṇi, āgamma savanaṃ vā evaṃ te ahosi – ‘ciravāsimātuyā chando vā rāgo vā pemaṃ vā’’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, จิรวาสิมาตุยา เต วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติ? ‘‘จิรวาสิมาตุยา เม, ภเนฺต, วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา ชีวิตสฺสปิ สิยา อญฺญถตฺตํ, กิํ ปน เม นุปฺปชฺชิสฺสนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติ! ‘‘อิมินาปิ โข เอตํ, คามณิ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ – ‘ยํ กิญฺจิ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปชฺชติ, สพฺพํ ตํ ฉนฺทมูลกํ ฉนฺทนิทานํฯ ฉโนฺท หิ มูลํ ทุกฺขสฺสา’’’ติฯ เอกาทสมํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, ciravāsimātuyā te vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti? ‘‘Ciravāsimātuyā me, bhante, vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā jīvitassapi siyā aññathattaṃ, kiṃ pana me nuppajjissanti sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti! ‘‘Imināpi kho etaṃ, gāmaṇi, pariyāyena veditabbaṃ – ‘yaṃ kiñci dukkhaṃ uppajjamānaṃ uppajjati, sabbaṃ taṃ chandamūlakaṃ chandanidānaṃ. Chando hi mūlaṃ dukkhassā’’’ti. Ekādasamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๑. ภทฺรกสุตฺตวณฺณนา • 11. Bhadrakasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๑. ภทฺรกสุตฺตวณฺณนา • 11. Bhadrakasuttavaṇṇanā