Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā

    ภณฺฑาคารสมฺมุติอาทิกถา

    Bhaṇḍāgārasammutiādikathā

    ๓๔๓. วิหารํ วาติอาทีสุ โย อารามมเชฺฌ อารามิกสามเณราทีหิ อวิวิโตฺต สเพฺพสํ สโมสรณฎฺฐาเน วิหาโร วา อฑฺฒโยโค วา โหติ, โส สมฺมนฺนิตโพฺพฯ ปจฺจนฺตเสนาสนํ ปน น สมฺมนฺนิตพฺพํฯ อิทํ ปน ภณฺฑาคารํ ขณฺฑสีมํ คนฺตฺวา ขณฺฑสีมาย นิสิเนฺนหิ สมฺมนฺนิตุํ น วฎฺฎติ, วิหารมเชฺฌเยว สมฺมนฺนิตพฺพํฯ

    343.Vihāraṃtiādīsu yo ārāmamajjhe ārāmikasāmaṇerādīhi avivitto sabbesaṃ samosaraṇaṭṭhāne vihāro vā aḍḍhayogo vā hoti, so sammannitabbo. Paccantasenāsanaṃ pana na sammannitabbaṃ. Idaṃ pana bhaṇḍāgāraṃ khaṇḍasīmaṃ gantvā khaṇḍasīmāya nisinnehi sammannituṃ na vaṭṭati, vihāramajjheyeva sammannitabbaṃ.

    คุตฺตาคุตฺตญฺจ ชาเนยฺยาติ เอตฺถ ยสฺส ตาว ฉทนาทีสุ โกจิ โทโส นตฺถิ, ตํ คุตฺตํฯ ยสฺส ปน ฉทนติณํ วา ฉทนิฎฺฐกา วา ยตฺถ กตฺถจิ ปติตา, เยน โอวสฺสติ วา, มูสิกาทีนํ วา ปเวโส โหติ, ภิตฺติอาทีสุ วา กตฺถจิ ฉิทฺทํ โหติ, อุปจิกา วา อุฎฺฐหนฺติ, ตํ สพฺพํ อคุตฺตํ นามฯ ตํ สลฺลเกฺขตฺวา ปฎิสงฺขริตพฺพํฯ สีตสมเย ทฺวารญฺจ วาตปานญฺจ สุปิหิตํ กาตพฺพํ, สีเตน หิ จีวรานิ กณฺณกิตานิ โหนฺติฯ อุณฺหสมเย อนฺตรนฺตรา วาตปฺปเวสนตฺถํ วิวริตพฺพํฯ เอวํ กโรโนฺต หิ คุตฺตาคุตฺตํ ชานาติ นามฯ

    Guttāguttañca jāneyyāti ettha yassa tāva chadanādīsu koci doso natthi, taṃ guttaṃ. Yassa pana chadanatiṇaṃ vā chadaniṭṭhakā vā yattha katthaci patitā, yena ovassati vā, mūsikādīnaṃ vā paveso hoti, bhittiādīsu vā katthaci chiddaṃ hoti, upacikā vā uṭṭhahanti, taṃ sabbaṃ aguttaṃ nāma. Taṃ sallakkhetvā paṭisaṅkharitabbaṃ. Sītasamaye dvārañca vātapānañca supihitaṃ kātabbaṃ, sītena hi cīvarāni kaṇṇakitāni honti. Uṇhasamaye antarantarā vātappavesanatthaṃ vivaritabbaṃ. Evaṃ karonto hi guttāguttaṃ jānāti nāma.

    อิเมหิ ปน จีวรปฎิคฺคาหกาทีหิ ตีหิปิ อตฺตโน วตฺตํ ชานิตพฺพํฯ ตตฺถ จีวรปฎิคฺคาหเกน ตาว ยํ ยํ มนุสฺสา ‘‘กาลจีวร’’นฺติ วา ‘‘อกาลจีวร’’นฺติ วา ‘‘อเจฺจกจีวร’’นฺติ วา ‘‘วสฺสิกสาฎิก’’นฺติ วา ‘‘นิสีทน’’นฺติ วา ‘‘ปจฺจตฺถรณ’’นฺติ วา ‘‘มุขปุญฺฉนโจฬ’’นฺติ วา เทนฺติ, ตํ สพฺพํ เอกราสิํ กตฺวา มิเสฺสตฺวา น คณฺหิตพฺพํ, วิสุํ วิสุํ กตฺวาว คณฺหิตฺวา จีวรนิทหกสฺส ตเถว อาจิกฺขิตฺวา ทาตพฺพํฯ จีวรนิทหเกนาปิ ภณฺฑาคาริกสฺส ททมาเนน อิทํ กาลจีวรํ…เป.… อิทํ มุขปุญฺฉนโจฬนฺติ อาจิกฺขิตฺวาว ทาตพฺพํฯ ภณฺฑาคาริเกนาปิ ตเถว วิสุํ วิสุํ วิย สญฺญาณํ กตฺวา ฐเปตพฺพํฯ ตโต สเงฺฆน ‘‘กาลจีวรํ อาหรา’’ติ วุเตฺต กาลจีวรเมว ทาตพฺพํ…เป.… มุขปุญฺฉนโจฬกํ อาหราติ วุเตฺต ตเทว ทาตพฺพํฯ

    Imehi pana cīvarapaṭiggāhakādīhi tīhipi attano vattaṃ jānitabbaṃ. Tattha cīvarapaṭiggāhakena tāva yaṃ yaṃ manussā ‘‘kālacīvara’’nti vā ‘‘akālacīvara’’nti vā ‘‘accekacīvara’’nti vā ‘‘vassikasāṭika’’nti vā ‘‘nisīdana’’nti vā ‘‘paccattharaṇa’’nti vā ‘‘mukhapuñchanacoḷa’’nti vā denti, taṃ sabbaṃ ekarāsiṃ katvā missetvā na gaṇhitabbaṃ, visuṃ visuṃ katvāva gaṇhitvā cīvaranidahakassa tatheva ācikkhitvā dātabbaṃ. Cīvaranidahakenāpi bhaṇḍāgārikassa dadamānena idaṃ kālacīvaraṃ…pe… idaṃ mukhapuñchanacoḷanti ācikkhitvāva dātabbaṃ. Bhaṇḍāgārikenāpi tatheva visuṃ visuṃ viya saññāṇaṃ katvā ṭhapetabbaṃ. Tato saṅghena ‘‘kālacīvaraṃ āharā’’ti vutte kālacīvarameva dātabbaṃ…pe… mukhapuñchanacoḷakaṃ āharāti vutte tadeva dātabbaṃ.

    อิติ ภควตา จีวรปฎิคฺคาหโก อนุญฺญาโต, จีวรนิทหโก อนุญฺญาโต, ภณฺฑาคารํ อนุญฺญาตํ, ภณฺฑาคาริโก อนุญฺญาโต, น พาหุลิกตาย น อสนฺตุฎฺฐิยา; อปิจ โข สงฺฆสฺสานุคฺคหายฯ สเจ หิ อาหฎาหฎํ คเหตฺวา ภิกฺขู ภาเชยฺยุํ, เนว อาหฎํ น อนาหฎํ น ทินฺนํ นาทินฺนํ น ลทฺธํ นาลทฺธํ ชาเนยฺยุํ, อาหฎาหฎํ เถราสเน วา ทเทยฺยุํ, ขณฺฑาขณฺฑํ วา ฉินฺทิตฺวา คเณฺหยฺยุํ; เอวํ สติ อยุตฺตปริโภโค จ โหติ, น จ สเพฺพสํ สงฺคโห กโต โหติฯ ภณฺฑาคาเร ปน จีวรํ ฐเปตฺวา อุสฺสนฺนกาเล เอเกกสฺส ภิกฺขุโน ติจีวรํ วา เทฺว เทฺว วา เอเกกํ วา จีวรํ ทสฺสนฺติ, ลทฺธาลทฺธํ ชานิสฺสนฺติ, อลทฺธภาวํ ญตฺวา สงฺคหํ กาตุํ มญฺญิสฺสนฺตีติฯ

    Iti bhagavatā cīvarapaṭiggāhako anuññāto, cīvaranidahako anuññāto, bhaṇḍāgāraṃ anuññātaṃ, bhaṇḍāgāriko anuññāto, na bāhulikatāya na asantuṭṭhiyā; apica kho saṅghassānuggahāya. Sace hi āhaṭāhaṭaṃ gahetvā bhikkhū bhājeyyuṃ, neva āhaṭaṃ na anāhaṭaṃ na dinnaṃ nādinnaṃ na laddhaṃ nāladdhaṃ jāneyyuṃ, āhaṭāhaṭaṃ therāsane vā dadeyyuṃ, khaṇḍākhaṇḍaṃ vā chinditvā gaṇheyyuṃ; evaṃ sati ayuttaparibhogo ca hoti, na ca sabbesaṃ saṅgaho kato hoti. Bhaṇḍāgāre pana cīvaraṃ ṭhapetvā ussannakāle ekekassa bhikkhuno ticīvaraṃ vā dve dve vā ekekaṃ vā cīvaraṃ dassanti, laddhāladdhaṃ jānissanti, aladdhabhāvaṃ ñatvā saṅgahaṃ kātuṃ maññissantīti.

    น ภิกฺขเว ภณฺฑาคาริโก วุฎฺฐาเปตโพฺพติ เอตฺถ อเญฺญปิ อวุฎฺฐาปนียา ชานิตพฺพาฯ จตฺตาโร หิ น วุฎฺฐาเปตพฺพา – วุฑฺฒตโร , ภณฺฑาคาริโก, คิลาโน, สงฺฆโต ลทฺธเสนาสโนติฯ ตตฺถ วุฑฺฒตโร อตฺตโน วุฑฺฒตาย นวกตเรน น วุฎฺฐาเปตโพฺพ, ภณฺฑาคาริโก สเงฺฆน สมฺมนฺนิตฺวา ภณฺฑาคารสฺส ทินฺนตาย, คิลาโน อตฺตโน คิลานตาย, สโงฺฆ ปน พหุสฺสุตสฺส อุเทฺทสปริปุจฺฉาทีหิ พหุปการสฺส ภารนิตฺถารกสฺส ผาสุกํ อาวาสํ อนุฎฺฐาปนียํ กตฺวา เทติ, ตสฺมา โส อุปการตาย จ สงฺฆโต ลทฺธตาย จ น วุฎฺฐาเปตโพฺพติฯ

    Na bhikkhave bhaṇḍāgāriko vuṭṭhāpetabboti ettha aññepi avuṭṭhāpanīyā jānitabbā. Cattāro hi na vuṭṭhāpetabbā – vuḍḍhataro , bhaṇḍāgāriko, gilāno, saṅghato laddhasenāsanoti. Tattha vuḍḍhataro attano vuḍḍhatāya navakatarena na vuṭṭhāpetabbo, bhaṇḍāgāriko saṅghena sammannitvā bhaṇḍāgārassa dinnatāya, gilāno attano gilānatāya, saṅgho pana bahussutassa uddesaparipucchādīhi bahupakārassa bhāranitthārakassa phāsukaṃ āvāsaṃ anuṭṭhāpanīyaṃ katvā deti, tasmā so upakāratāya ca saṅghato laddhatāya ca na vuṭṭhāpetabboti.

    อุสฺสนฺนํ โหตีติ พหุ ราสิกตํ โหติ, ภณฺฑาคารํ น คณฺหาติฯ สมฺมุขีภูเตนาติ อโนฺตอุปจารสีมายํ ฐิเตนฯ ภาเชตุนฺติ กาลํ โฆเสตฺวา ปฎิปาฎิยา ภาเชตุํฯ โกลาหลํ อกาสีติ ‘‘อมฺหากํ อาจริยสฺส เทถ, อุปชฺฌายสฺส เทถา’’ติ เอวํ มหาสทฺทํ อกาสิฯ จีวรภาชนกเงฺคสุ สภาคานํ ภิกฺขูนํ อปาปุณนฺตมฺปิ มหคฺฆํ จีวรํ เทโนฺต ฉนฺทาคติํ คจฺฉติ นามฯ อเญฺญสํ วุฑฺฒตรานํ ปาปุณนฺตมฺปิ มหคฺฆํ จีวรํ อทตฺวา อปฺปคฺฆํ เทโนฺต โทสาคติํ คจฺฉติ นามฯ โมหมูโฬฺห จีวรทานวตฺตํ อชานโนฺต โมหาคติํ คจฺฉติ นามฯ มุขรานํ นวกานมฺปิ ภเยน อปาปุณนฺตเมว มหคฺฆํ จีวรํ เทโนฺต ภยาคติํ คจฺฉติ นามฯ โย เอวํ น คจฺฉติ, สเพฺพสํ ตุลาภูโต ปมาณภูโต มชฺฌโตฺต โหติ, โส สมฺมนฺนิตโพฺพฯ ภาชิตาภาชิตนฺติ ‘‘เอตฺตกานิ วตฺถานิ ภาชิตานิ, เอตฺตกานิ อภาชิตานี’’ติ ชานโนฺต ‘‘ภาชิตาภาชิตญฺจ ชาเนยฺยา’’ติ วุจฺจติฯ

    Ussannaṃhotīti bahu rāsikataṃ hoti, bhaṇḍāgāraṃ na gaṇhāti. Sammukhībhūtenāti antoupacārasīmāyaṃ ṭhitena. Bhājetunti kālaṃ ghosetvā paṭipāṭiyā bhājetuṃ. Kolāhalaṃ akāsīti ‘‘amhākaṃ ācariyassa detha, upajjhāyassa dethā’’ti evaṃ mahāsaddaṃ akāsi. Cīvarabhājanakaṅgesu sabhāgānaṃ bhikkhūnaṃ apāpuṇantampi mahagghaṃ cīvaraṃ dento chandāgatiṃ gacchati nāma. Aññesaṃ vuḍḍhatarānaṃ pāpuṇantampi mahagghaṃ cīvaraṃ adatvā appagghaṃ dento dosāgatiṃ gacchati nāma. Mohamūḷho cīvaradānavattaṃ ajānanto mohāgatiṃ gacchati nāma. Mukharānaṃ navakānampi bhayena apāpuṇantameva mahagghaṃ cīvaraṃ dento bhayāgatiṃ gacchati nāma. Yo evaṃ na gacchati, sabbesaṃ tulābhūto pamāṇabhūto majjhatto hoti, so sammannitabbo. Bhājitābhājitanti ‘‘ettakāni vatthāni bhājitāni, ettakāni abhājitānī’’ti jānanto ‘‘bhājitābhājitañca jāneyyā’’ti vuccati.

    อุจฺจินิตฺวาติ ‘‘อิทํ ถูลํ, อิทํ สณฺหํ, อิทํ ฆนํ, อิทํ ตนุกํ, อิทํ ปริภุตฺตํ, อิทํ อปริภุตฺตํ, อิทํ ทีฆโต เอตฺตกํ ปุถุลโต เอตฺตก’’นฺติ เอวํ วตฺถานิ วิจินิตฺวาฯ ตุลยิตฺวาติ ‘‘อิทํ เอตฺตกํ อคฺฆติ, อิทํ เอตฺตก’’นฺติ เอวํ อคฺฆปริเจฺฉทํ กตฺวาฯ วณฺณาวณฺณํ กตฺวาติ สเจ สเพฺพสํ เอเกกเมว ทสคฺฆนกํ ปาปุณาติ, อิเจฺจตํ กุสลํ; โน เจ ปาปุณาติ, ยํ นว วา อฎฺฐ วา อคฺฆติ, ตํ อเญฺญน เอกอคฺฆนเกน จ ทฺวิอคฺฆนเกน จ สทฺธิํ พนฺธิตฺวา เอเตน อุปาเยน สเม ปฎิวีเส ฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ ภิกฺขู คเณตฺวา วคฺคํ พนฺธิตฺวาติ สเจ เอเกกสฺส ทิยมาเน ทิวโส นปฺปโหติ, ทส ทส ภิกฺขู คเณตฺวา ทส ทส จีวรปฎิวีเส เอกวคฺคํ พนฺธิตฺวา เอกํ ภณฺฑิกํ กตฺวา เอวํ จีวรปฎิวีสํ ฐเปตุํ อนุชานามีติ อโตฺถฯ เอวํ ฐปิเตสุ จีวรปฎิวีเสสุ กุโส ปาเตตโพฺพฯ เตหิปิ ภิกฺขูหิ ปุน กุสปาตํ กตฺวา ภาเชตพฺพํฯ

    Uccinitvāti ‘‘idaṃ thūlaṃ, idaṃ saṇhaṃ, idaṃ ghanaṃ, idaṃ tanukaṃ, idaṃ paribhuttaṃ, idaṃ aparibhuttaṃ, idaṃ dīghato ettakaṃ puthulato ettaka’’nti evaṃ vatthāni vicinitvā. Tulayitvāti ‘‘idaṃ ettakaṃ agghati, idaṃ ettaka’’nti evaṃ agghaparicchedaṃ katvā. Vaṇṇāvaṇṇaṃ katvāti sace sabbesaṃ ekekameva dasagghanakaṃ pāpuṇāti, iccetaṃ kusalaṃ; no ce pāpuṇāti, yaṃ nava vā aṭṭha vā agghati, taṃ aññena ekaagghanakena ca dviagghanakena ca saddhiṃ bandhitvā etena upāyena same paṭivīse ṭhapetvāti attho. Bhikkhū gaṇetvā vaggaṃ bandhitvāti sace ekekassa diyamāne divaso nappahoti, dasa dasa bhikkhū gaṇetvā dasa dasa cīvarapaṭivīse ekavaggaṃ bandhitvā ekaṃ bhaṇḍikaṃ katvā evaṃ cīvarapaṭivīsaṃ ṭhapetuṃ anujānāmīti attho. Evaṃ ṭhapitesu cīvarapaṭivīsesu kuso pātetabbo. Tehipi bhikkhūhi puna kusapātaṃ katvā bhājetabbaṃ.

    สามเณรานํ อุปฑฺฒปฎิวีสนฺติ เอตฺถ เย สามเณรา อตฺติสฺสรา ภิกฺขุสงฺฆสฺส กตฺตพฺพกมฺมํ น กโรนฺติ, อุเทฺทสปริปุจฺฉาสุ ยุตฺตา อาจริยุปชฺฌายานํเยว วตฺตปฎิปตฺติํ กโรนฺติ, อเญฺญสํ น กโรนฺติ, เอเตสํเยว อุปฑฺฒภาโค ทาตโพฺพฯ เย ปน ปุเรภตฺตญฺจ ปจฺฉาภตฺตญฺจ ภิกฺขุสงฺฆเสฺสว กตฺตพฺพกิจฺจํ กโรนฺติ, เตสํ สมโก ทาตโพฺพฯ อิทญฺจ ปิฎฺฐิสมเย อุปฺปเนฺนน ภณฺฑาคาเร ฐปิเตน อกาลจีวเรเนว กถิตํฯ กาลจีวรํ ปน สมกเมว ทาตพฺพํฯ ตตฺรุปฺปาทวสฺสาวาสิกํ สมฺมุญฺชนีพนฺธนาทิ สงฺฆสฺส ผาติกมฺมํ กตฺวา คเหตพฺพํฯ เอตเญฺหตฺถ สเพฺพสํ วตฺตํฯ ภณฺฑาคาริกจีวเรปิ สเจ สามเณรา อาคนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต มยํ ยาคุํ ปจาม, ภตฺตํ ปจาม, ขชฺชกํ ปจาม, อปฺปหริตกํ กโรม, ทนฺตกฎฺฐํ อาหราม, รงฺคฉลฺลิํ กปฺปิยํ กตฺวา เทม, กิํ อเมฺหหิ น กตํ นามา’’ติ อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺติ, สมภาโคว ทาตโพฺพฯ เอตํ เย จ วิรชฺฌิตฺวา กโรนฺติ, เยสญฺจ กรณภาโว น ปญฺญายติ, เต สนฺธาย วุตฺตํฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘สเจ สามเณรา ‘กสฺมา มยํ ภเนฺต สงฺฆกมฺมํ น กโรม, กริสฺสามา’ติ ยาจนฺติ, สมปฎิวีโส ทาตโพฺพ’’ติ วุตฺตํฯ

    Sāmaṇerānaṃ upaḍḍhapaṭivīsanti ettha ye sāmaṇerā attissarā bhikkhusaṅghassa kattabbakammaṃ na karonti, uddesaparipucchāsu yuttā ācariyupajjhāyānaṃyeva vattapaṭipattiṃ karonti, aññesaṃ na karonti, etesaṃyeva upaḍḍhabhāgo dātabbo. Ye pana purebhattañca pacchābhattañca bhikkhusaṅghasseva kattabbakiccaṃ karonti, tesaṃ samako dātabbo. Idañca piṭṭhisamaye uppannena bhaṇḍāgāre ṭhapitena akālacīvareneva kathitaṃ. Kālacīvaraṃ pana samakameva dātabbaṃ. Tatruppādavassāvāsikaṃ sammuñjanībandhanādi saṅghassa phātikammaṃ katvā gahetabbaṃ. Etañhettha sabbesaṃ vattaṃ. Bhaṇḍāgārikacīvarepi sace sāmaṇerā āgantvā ‘‘bhante mayaṃ yāguṃ pacāma, bhattaṃ pacāma, khajjakaṃ pacāma, appaharitakaṃ karoma, dantakaṭṭhaṃ āharāma, raṅgachalliṃ kappiyaṃ katvā dema, kiṃ amhehi na kataṃ nāmā’’ti ukkuṭṭhiṃ karonti, samabhāgova dātabbo. Etaṃ ye ca virajjhitvā karonti, yesañca karaṇabhāvo na paññāyati, te sandhāya vuttaṃ. Kurundiyaṃ pana ‘‘sace sāmaṇerā ‘kasmā mayaṃ bhante saṅghakammaṃ na karoma, karissāmā’ti yācanti, samapaṭivīso dātabbo’’ti vuttaṃ.

    อุตฺตริตุกาโมติ นทิํ วา กนฺตารํ วา อุตฺตริตุกาโม; สตฺถํ ลภิตฺวา ทิสา ปกฺกมิตุกาโมติ อโตฺถฯ สกํ ภาคํ ทาตุนฺติ อิทํ ภณฺฑาคารโต จีวรานิ นีหริตฺวา ปุเญฺช กเต ฆณฺฎิยา ปหฎาย ภิกฺขุสเงฺฆ สนฺนิปติเต สตฺถํ ลภิตฺวา คนฺตุกาโม ‘‘สตฺถโต มา ปริหายี’’ติ เอตมตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตสฺมา อนีหเตสุ วา จีวเรสุ อปฺปหฎาย วา ฆณฺฎิยา อสนฺนิปติเต วา สเงฺฆ ทาตุํ น วฎฺฎติฯ จีวเรสุ ปน นีหเตสุ ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ภิกฺขุสเงฺฆ สนฺนิปติเต จีวรภาชเกน ‘‘อิมสฺส ภิกฺขุโน โกฎฺฐาเสน เอตฺตเกน ภวิตพฺพ’’นฺติ ตเกฺกตฺวา นยคฺคาเหน จีวรํ ทาตพฺพํฯ ตุลาย ตุลิตมิว หิ สมสมํ ทาตุํ น สกฺกา, ตสฺมา อูนํ วา โหตุ อธิกํ วา, เอวํ ตเกฺกน นเยน ทินฺนํ สุทินฺนํฯ เนว อูนกํ ปุน ทาตพฺพํ, นาติริตฺตํ ปฎิคฺคณฺหิตพฺพนฺติฯ

    Uttaritukāmoti nadiṃ vā kantāraṃ vā uttaritukāmo; satthaṃ labhitvā disā pakkamitukāmoti attho. Sakaṃ bhāgaṃ dātunti idaṃ bhaṇḍāgārato cīvarāni nīharitvā puñje kate ghaṇṭiyā pahaṭāya bhikkhusaṅghe sannipatite satthaṃ labhitvā gantukāmo ‘‘satthato mā parihāyī’’ti etamatthaṃ sandhāya vuttaṃ. Tasmā anīhatesu vā cīvaresu appahaṭāya vā ghaṇṭiyā asannipatite vā saṅghe dātuṃ na vaṭṭati. Cīvaresu pana nīhatesu ghaṇṭiṃ paharitvā bhikkhusaṅghe sannipatite cīvarabhājakena ‘‘imassa bhikkhuno koṭṭhāsena ettakena bhavitabba’’nti takketvā nayaggāhena cīvaraṃ dātabbaṃ. Tulāya tulitamiva hi samasamaṃ dātuṃ na sakkā, tasmā ūnaṃ vā hotu adhikaṃ vā, evaṃ takkena nayena dinnaṃ sudinnaṃ. Neva ūnakaṃ puna dātabbaṃ, nātirittaṃ paṭiggaṇhitabbanti.

    อติเรกภาเคนาติ ทส ภิกฺขู โหนฺติ, สาฎกาปิ ทเสว, เตสุ เอโก ทฺวาทส อคฺฆติ, เสสา ทสคฺฆนกาฯ สเพฺพสุ ทสคฺฆนกวเสน กุเส ปาติเต ยสฺส ภิกฺขุโน ทฺวาทสคฺฆนโก กุโส ปาติโต, โส ‘‘เอตฺตเกน มม จีวรํ ปโหตี’’ติ เตน อติเรกภาเคน คนฺตุกาโม โหติฯ ภิกฺขู ‘‘อติเรกํ อาวุโส สงฺฆสฺส สนฺตก’’นฺติ วทนฺติ, ตํ สุตฺวา ภควา ‘‘สงฺฆิเก จ คณสนฺตเก จ อปฺปกํ นาม นตฺถิ, สพฺพตฺถ สํยโม กาตโพฺพ, คณฺหเนฺตนาปิ กุกฺกุจฺจายิตพฺพ’’นฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว อนุเกฺขเป ทิเนฺน’’ติ อาหฯ ตตฺถ อนุเกฺขโป นาม ยํกิญฺจิ อนุกฺขิปิตพฺพํ อนุปฺปทาตพฺพํ กปฺปิยภณฺฑํ; ยตฺตกํ ตสฺส ปฎิวีเส อธิกํ, ตตฺตเก อคฺฆนเก ยสฺมิํ กิสฺมิญฺจิ กปฺปิยภเณฺฑ ทิเนฺนติ อโตฺถฯ

    Atirekabhāgenāti dasa bhikkhū honti, sāṭakāpi daseva, tesu eko dvādasa agghati, sesā dasagghanakā. Sabbesu dasagghanakavasena kuse pātite yassa bhikkhuno dvādasagghanako kuso pātito, so ‘‘ettakena mama cīvaraṃ pahotī’’ti tena atirekabhāgena gantukāmo hoti. Bhikkhū ‘‘atirekaṃ āvuso saṅghassa santaka’’nti vadanti, taṃ sutvā bhagavā ‘‘saṅghike ca gaṇasantake ca appakaṃ nāma natthi, sabbattha saṃyamo kātabbo, gaṇhantenāpi kukkuccāyitabba’’nti dassetuṃ ‘‘anujānāmi bhikkhave anukkhepe dinne’’ti āha. Tattha anukkhepo nāma yaṃkiñci anukkhipitabbaṃ anuppadātabbaṃ kappiyabhaṇḍaṃ; yattakaṃ tassa paṭivīse adhikaṃ, tattake agghanake yasmiṃ kismiñci kappiyabhaṇḍe dinneti attho.

    วิกลเก โตเสตฺวาติ เอตฺถ จีวรวิกลกํ ปุคฺคลวิกลกนฺติ เทฺว วิกลกาฯ จีวรวิกลกํ นาม สเพฺพสํ ปญฺจ ปญฺจ วตฺถานิ ปตฺตานิ, เสสานิปิ อตฺถิ, เอเกกํ ปน น ปาปุณาติ, ฉินฺทิตฺวา ทาตพฺพานิฯ ฉินฺทเนฺตหิ จ อฑฺฒมณฺฑลาทีนํ วา อุปาหนตฺถวิกาทีนํ วา ปโหนกานิ ขณฺฑานิ กตฺวา ทาตพฺพานิ, เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน จตุรงฺคุลวิตฺถารมฺปิ อนุวาตปฺปโหนกายามํ ขณฺฑํ กตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติ, อปริโภคํ ปน น กาตพฺพนฺติ เอวเมตฺถ จีวรสฺส อปฺปโหนกภาโว จีวรวิกลกํฯ ฉินฺทิตฺวา ทิเนฺน ปน ตํ โตสิตํ โหติ, อถ กุสปาโต กาตโพฺพฯ สเจปิ เอกสฺส ภิกฺขุโน โกฎฺฐาเส เอกํ วา เทฺว วา วตฺถานิ นปฺปโหนฺติ, ตตฺถ อญฺญํ สามณกํ ปริกฺขารํ ฐเปตฺวา โย เตน ตุสฺสติ, ตสฺส ตํ ภาคํ ทตฺวา ปจฺฉา กุสปาโต กาตโพฺพฯ อิทมฺปิ จีวรวิกลกนฺติ อนฺธกฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ

    Vikalake tosetvāti ettha cīvaravikalakaṃ puggalavikalakanti dve vikalakā. Cīvaravikalakaṃ nāma sabbesaṃ pañca pañca vatthāni pattāni, sesānipi atthi, ekekaṃ pana na pāpuṇāti, chinditvā dātabbāni. Chindantehi ca aḍḍhamaṇḍalādīnaṃ vā upāhanatthavikādīnaṃ vā pahonakāni khaṇḍāni katvā dātabbāni, heṭṭhimaparicchedena caturaṅgulavitthārampi anuvātappahonakāyāmaṃ khaṇḍaṃ katvā dātuṃ vaṭṭati, aparibhogaṃ pana na kātabbanti evamettha cīvarassa appahonakabhāvo cīvaravikalakaṃ. Chinditvā dinne pana taṃ tositaṃ hoti, atha kusapāto kātabbo. Sacepi ekassa bhikkhuno koṭṭhāse ekaṃ vā dve vā vatthāni nappahonti, tattha aññaṃ sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ ṭhapetvā yo tena tussati, tassa taṃ bhāgaṃ datvā pacchā kusapāto kātabbo. Idampi cīvaravikalakanti andhakaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.

    ปุคฺคลวิกลกํ นาม ทส ทส ภิกฺขู คเณตฺวา วคฺคํ กโรนฺตานํ เอโก วโคฺค น ปูรติ, อฎฺฐ วา นว วา โหนฺติ, เตสํ อฎฺฐ วา นว วา โกฎฺฐาสา ‘‘ตุเมฺห อิเม คเหตฺวา วิสุํ ภาเชถา’’ติ ทาตพฺพาฯ เอวมยํ ปุคฺคลานํ อปฺปโหนกภาโว ปุคฺคลวิกลกํฯ วิสุํ ทิเนฺน ปน ตํ โตสิตํ โหติ, เอวํ โตเสตฺวา กุสปาโต กาตโพฺพติฯ อถ วา วิกลเก โตเสตฺวาติ โย จีวรวิภาโค อูนโก, ตํ อเญฺญน ปริกฺขาเรน สมํ กตฺวา กุสปาโต กาตโพฺพฯ

    Puggalavikalakaṃ nāma dasa dasa bhikkhū gaṇetvā vaggaṃ karontānaṃ eko vaggo na pūrati, aṭṭha vā nava vā honti, tesaṃ aṭṭha vā nava vā koṭṭhāsā ‘‘tumhe ime gahetvā visuṃ bhājethā’’ti dātabbā. Evamayaṃ puggalānaṃ appahonakabhāvo puggalavikalakaṃ. Visuṃ dinne pana taṃ tositaṃ hoti, evaṃ tosetvā kusapāto kātabboti. Atha vā vikalake tosetvāti yo cīvaravibhāgo ūnako, taṃ aññena parikkhārena samaṃ katvā kusapāto kātabbo.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๒๑๔. ภณฺฑาคารสมฺมุติอาทิกถา • 214. Bhaṇḍāgārasammutiādikathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / จีวรปฎิคฺคาหกสมฺมุติอาทิกถาวณฺณนา • Cīvarapaṭiggāhakasammutiādikathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ภณฺฑาคารสมฺมุติอาทิกถาวณฺณนา • Bhaṇḍāgārasammutiādikathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ภณฺฑาคารสมฺมุติอาทิกถาวณฺณนา • Bhaṇḍāgārasammutiādikathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๒๑๔. ภณฺฑาคารสมฺมุติอาทิกถา • 214. Bhaṇḍāgārasammutiādikathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact