Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๔-๕. ภารทฺวาชสุตฺตาทิวณฺณนา
4-5. Bhāradvājasuttādivaṇṇanā
๑๒๗-๑๒๘. จตุเตฺถ ปิณฺฑํ อุลมาโน ปริเยสมาโน ปพฺพชิโตติ ปิโณฺฑโลฯ โส กิร ปริชิณฺณโภโค พฺราหฺมโณ อโหสิฯ อถ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ลาภสกฺการํ ทิสฺวา ปิณฺฑตฺถาย นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิโตฯ โส มหนฺตํ กปลฺลปตฺตํ คเหตฺวา จรติ, เตน กปลฺลปูรํ ยาคุํ ปิวติ, กปลฺลปูเร ปูเว ขาทติ, กปลฺลปูรํ ภตฺตํ ภุญฺชติฯ อถสฺส มหคฺฆสภาวํ สตฺถุ อาโรจยิํสุฯ สตฺถา ตสฺส ปตฺตตฺถวิกํ นานุชานิฯ เหฎฺฐามเญฺจ ปตฺตํ นิกฺกุชฺชิตฺวา ฐเปติฯ โส ฐเปโนฺตปิ ฆํสโนฺตว ปณาเมตฺวา ฐเปติ, คณฺหโนฺตปิ ฆํสโนฺตว อากฑฺฒิตฺวา คณฺหาติฯ ตํ คจฺฉเนฺต กาเล ธํสเนน ปริกฺขีณํ นาฬิโกทนมตฺตเมว คณฺหนกํ ชาตํฯ ตโต สตฺถุ อาโรเจสุํ, อถสฺส สตฺถา ปตฺตตฺถวิกํ อนุชานิฯ เถโร อปเรน สมเยน อินฺทฺริยภาวนํ ภาเวตฺวา อคฺคผเล อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ อิติ โส ปิณฺฑตฺถาย ปพฺพชิตตฺตา ปิโณฺฑโล, โคเตฺตน ปน ภารทฺวาโชติ อุภยํ เอกโต กตฺวา ปิโณฺฑลภารทฺวาโชติ วุจฺจติฯ
127-128. Catutthe piṇḍaṃ ulamāno pariyesamāno pabbajitoti piṇḍolo. So kira parijiṇṇabhogo brāhmaṇo ahosi. Atha bhikkhusaṅghassa lābhasakkāraṃ disvā piṇḍatthāya nikkhamitvā pabbajito. So mahantaṃ kapallapattaṃ gahetvā carati, tena kapallapūraṃ yāguṃ pivati, kapallapūre pūve khādati, kapallapūraṃ bhattaṃ bhuñjati. Athassa mahagghasabhāvaṃ satthu ārocayiṃsu. Satthā tassa pattatthavikaṃ nānujāni. Heṭṭhāmañce pattaṃ nikkujjitvā ṭhapeti. So ṭhapentopi ghaṃsantova paṇāmetvā ṭhapeti, gaṇhantopi ghaṃsantova ākaḍḍhitvā gaṇhāti. Taṃ gacchante kāle dhaṃsanena parikkhīṇaṃ nāḷikodanamattameva gaṇhanakaṃ jātaṃ. Tato satthu ārocesuṃ, athassa satthā pattatthavikaṃ anujāni. Thero aparena samayena indriyabhāvanaṃ bhāvetvā aggaphale arahatte patiṭṭhāsi. Iti so piṇḍatthāya pabbajitattā piṇḍolo, gottena pana bhāradvājoti ubhayaṃ ekato katvā piṇḍolabhāradvājoti vuccati.
อุปสงฺกมีติ อุคฺคตุคฺคเตหิ มหาอมเจฺจหิ ปริวุโต อุปสงฺกมิฯ เถโร กิร เอกทิวสํ สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ นิทาฆสมเย สีตฐาเน ทิวาวิหารํ นิสีทิสฺสามีติ อากาเสน คนฺตฺวา คงฺคาตีเร อุเทนสฺส รโญฺญ อุทปานํ นาม อุยฺยานํ อตฺถิ, ตตฺถ ปวิสิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิ สีเตน อุทกวาเตน พีชิยมาโนฯ
Upasaṅkamīti uggatuggatehi mahāamaccehi parivuto upasaṅkami. Thero kira ekadivasaṃ sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā katabhattakicco nidāghasamaye sītaṭhāne divāvihāraṃ nisīdissāmīti ākāsena gantvā gaṅgātīre udenassa rañño udapānaṃ nāma uyyānaṃ atthi, tattha pavisitvā aññatarasmiṃ rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdi sītena udakavātena bījiyamāno.
อุเทโนปิ โข นาม ราชา สตฺตาหํ มหาปานํ ปิวิตฺวา สตฺตเม ทิวเส อุยฺยานํ ปฎิชคฺคาเปตฺวา มหาชนปริวาโร อุยฺยานํ คนฺตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ อตฺถตาย เสยฺยาย นิปชฺชิฯ ตสฺส เอกา ปริจาริกา ปาเท สมฺพาหมานา นิสินฺนาฯ ราชา กเมน นิทฺทํ โอกฺกมิฯ ตสฺมิํ นิทฺทํ โอกฺกเนฺต นาฎกิตฺถิโย ‘‘ยสฺสตฺถาย มยํ คีตาทีนิ ปโยเชยฺยาม, โส นิทฺทํ อุปคโต, น จ นิทฺทากาเล มหาสทฺทํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อตฺตโน อตฺตโน ตูริยานิ ฐเปตฺวา อุยฺยานํ ปกฺกนฺตาฯ ตา ตตฺถ ตตฺถ ผลาผลานิ ขาทมานา ปุปฺผานิ ปิฬนฺธมานา วิจรนฺติโย เถรํ ทิสฺวา ‘‘มา สทฺทํ กริตฺถา’’ติ อญฺญมญฺญํ นิวารยมานา วนฺทิตฺวา นิสีทิํสุฯ เถโร ‘‘อิสฺสา ปหาตพฺพา, มเจฺฉรํ วิโนเทตพฺพ’’นฺติอาทินา นเยน ตาสํ อนุรูปํ ธมฺมกถํ กเถสิฯ
Udenopi kho nāma rājā sattāhaṃ mahāpānaṃ pivitvā sattame divase uyyānaṃ paṭijaggāpetvā mahājanaparivāro uyyānaṃ gantvā maṅgalasilāpaṭṭe atthatāya seyyāya nipajji. Tassa ekā paricārikā pāde sambāhamānā nisinnā. Rājā kamena niddaṃ okkami. Tasmiṃ niddaṃ okkante nāṭakitthiyo ‘‘yassatthāya mayaṃ gītādīni payojeyyāma, so niddaṃ upagato, na ca niddākāle mahāsaddaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti attano attano tūriyāni ṭhapetvā uyyānaṃ pakkantā. Tā tattha tattha phalāphalāni khādamānā pupphāni piḷandhamānā vicarantiyo theraṃ disvā ‘‘mā saddaṃ karitthā’’ti aññamaññaṃ nivārayamānā vanditvā nisīdiṃsu. Thero ‘‘issā pahātabbā, maccheraṃ vinodetabba’’ntiādinā nayena tāsaṃ anurūpaṃ dhammakathaṃ kathesi.
สาปิ โข รโญฺญ ปาเท สมฺพาหมานา นิสินฺนา อิตฺถี ปาเท จาเลตฺวา ราชานํ ปโพเธสิฯ โส ‘‘กหํ ตา คตา’’ติ ปุจฺฉิฯ กิํ ตาสํ ตุเมฺหหิ? ตา เอกํ สมณํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนาติฯ ราชา กุโทฺธ อุทฺธเน ปกฺขิตฺตโลณํ วิย ตฎตฎายมาโน อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘ตมฺพกิปิลฺลิกาหิ นํ ขาทาเปสฺสามี’’ติ คจฺฉโนฺต เอกสฺมิํ อโสกรุเกฺข ตมฺพกิปิลฺลิกานํ ปุฎํ ทิสฺวา หเตฺถนากฑฺฒิตฺวา สาขํ คณฺหิตุํ นาสกฺขิฯ กิปิลฺลิกปุโฎ ฉิชฺชิตฺวา รโญฺญ สีเส ปติ, สกลสรีรํ สาลิถุเสหิ ปริกิณฺณํ วิย ทณฺฑทีปิกาหิ ฑยฺหมานํ วิย จ อโหสิฯ เถโร รโญฺญ ปทุฎฺฐภาวํ ญตฺวา อิทฺธิยา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ ตาปิ อิตฺถิโย อุฎฺฐาย รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา สรีรํ ปุญฺฉนฺติโย วิย ภูมิยํ ปติตปติตา กิปิลฺลิกาโย คเหตฺวา สรีเร ขิปมานา สพฺพา มุขสตฺตีหิ วิชฺฌิํสุ – ‘‘กิํ นาเมตํ, อเญฺญ ราชาโน ปพฺพชิเต ทิสฺวา วนฺทนฺติ, ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, อยํ ปน ราชา กิปิลฺลิกปุฎํ สีเส ภินฺทิตุกาโม ชาโต’’ติฯ
Sāpi kho rañño pāde sambāhamānā nisinnā itthī pāde cāletvā rājānaṃ pabodhesi. So ‘‘kahaṃ tā gatā’’ti pucchi. Kiṃ tāsaṃ tumhehi? Tā ekaṃ samaṇaṃ parivāretvā nisinnāti. Rājā kuddho uddhane pakkhittaloṇaṃ viya taṭataṭāyamāno uṭṭhahitvā ‘‘tambakipillikāhi naṃ khādāpessāmī’’ti gacchanto ekasmiṃ asokarukkhe tambakipillikānaṃ puṭaṃ disvā hatthenākaḍḍhitvā sākhaṃ gaṇhituṃ nāsakkhi. Kipillikapuṭo chijjitvā rañño sīse pati, sakalasarīraṃ sālithusehi parikiṇṇaṃ viya daṇḍadīpikāhi ḍayhamānaṃ viya ca ahosi. Thero rañño paduṭṭhabhāvaṃ ñatvā iddhiyā ākāsaṃ pakkhandi. Tāpi itthiyo uṭṭhāya rañño santikaṃ gantvā sarīraṃ puñchantiyo viya bhūmiyaṃ patitapatitā kipillikāyo gahetvā sarīre khipamānā sabbā mukhasattīhi vijjhiṃsu – ‘‘kiṃ nāmetaṃ, aññe rājāno pabbajite disvā vandanti, pañhaṃ pucchanti, ayaṃ pana rājā kipillikapuṭaṃ sīse bhinditukāmo jāto’’ti.
ราชา อตฺตโน อปราธํ ทิสฺวา อุยฺยานปาลํ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ เอส ปพฺพชิโต? อเญฺญสุปิ ทิวเสสุ อิธ อาคจฺฉตี’’ติ? อาม, เทวาติฯ อิธ ตฺวํ อาคตทิวเส มยฺหํ อาโรเจยฺยาสีติฯ เถโรปิ กติปาเหเนว ปุน อาคนฺตฺวา รุกฺขมูเล นิสีทิฯ อุยฺยานปาโล ทิสฺวา – ‘‘มหโนฺต เม อยํ ปณฺณากาโร’’ติ เวเคน คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา อุฎฺฐหิตฺวา สงฺขปณวาทิสทฺทํ นิวาเรตฺวา อุคฺคตุคฺคเตหิ อมเจฺจหิ สทฺธิํ อุยฺยานํ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุปสงฺกมี’’ติฯ
Rājā attano aparādhaṃ disvā uyyānapālaṃ pakkosāpetvā pucchi – ‘‘kiṃ esa pabbajito? Aññesupi divasesu idha āgacchatī’’ti? Āma, devāti. Idha tvaṃ āgatadivase mayhaṃ āroceyyāsīti. Theropi katipāheneva puna āgantvā rukkhamūle nisīdi. Uyyānapālo disvā – ‘‘mahanto me ayaṃ paṇṇākāro’’ti vegena gantvā rañño ārocesi. Rājā uṭṭhahitvā saṅkhapaṇavādisaddaṃ nivāretvā uggatuggatehi amaccehi saddhiṃ uyyānaṃ agamāsi. Tena vuttaṃ ‘‘upasaṅkamī’’ti.
อนิกีฬิตาวิโน กาเมสูติ ยา กาเมสุ กามกีฬา, ตํ อกีฬิตปุพฺพา, อปริภุตฺตกามาติ อโตฺถฯ อทฺธานญฺจ อาปาเทนฺตีติ ปเวณิํ ปฎิปาเทนฺติ, ทีฆรตฺตํ อนุพนฺธาเปนฺติฯ มาตุมตฺตีสูติ มาตุปมาณาสุฯ โลกสฺมิญฺหิ มาตา ภคินี ธีตาติ อิทํ ติวิธํ ครุการมฺมณํ นาม , อิติ ครุการมฺมเณ อุปนิพนฺธํ จิตฺตํ วิโมเจตุํ น ลภตีติ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ อถสฺส เตน ปเญฺหน จิตฺตํ อโนตรนฺตํ ทิสฺวา ภควตา ปฎิกูลมนสิการวเสน จิตฺตูปนิพนฺธนตฺถํ วุตฺตํ ทฺวตฺติํสาการกมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ
Anikīḷitāvino kāmesūti yā kāmesu kāmakīḷā, taṃ akīḷitapubbā, aparibhuttakāmāti attho. Addhānañca āpādentīti paveṇiṃ paṭipādenti, dīgharattaṃ anubandhāpenti. Mātumattīsūti mātupamāṇāsu. Lokasmiñhi mātā bhaginī dhītāti idaṃ tividhaṃ garukārammaṇaṃ nāma , iti garukārammaṇe upanibandhaṃ cittaṃ vimocetuṃ na labhatīti dassento evamāha. Athassa tena pañhena cittaṃ anotarantaṃ disvā bhagavatā paṭikūlamanasikāravasena cittūpanibandhanatthaṃ vuttaṃ dvattiṃsākārakammaṭṭhānaṃ kathesi.
อภาวิตกายาติ อภาวิตปญฺจทฺวาริกกายาฯ เตสํ ตํ ทุกฺกรํ โหตีติ เตสํ ตํ อสุภกมฺมฎฺฐานํ ภาเวตุํ ทุกฺกรํ โหติฯ อิติสฺส อิมินาปิ จิตฺตํ อโนตรนฺตํ ทิสฺวา อินฺทฺริยสํวรสีลํ กเถสิ ฯ อินฺทฺริยสํวรสฺมิญฺหิ อุปนิพนฺธจิตฺตํ วิเหเฐตุํ น ลภติฯ ราชา ตํ สุตฺวา ตตฺถ โอติณฺณจิโตฺต อจฺฉริยํ, โภ ภารทฺวาชาติอาทิมาหฯ
Abhāvitakāyāti abhāvitapañcadvārikakāyā. Tesaṃ taṃ dukkaraṃ hotīti tesaṃ taṃ asubhakammaṭṭhānaṃ bhāvetuṃ dukkaraṃ hoti. Itissa imināpi cittaṃ anotarantaṃ disvā indriyasaṃvarasīlaṃ kathesi . Indriyasaṃvarasmiñhi upanibandhacittaṃ viheṭhetuṃ na labhati. Rājā taṃ sutvā tattha otiṇṇacitto acchariyaṃ, bho bhāradvājātiādimāha.
อรกฺขิเตเนว กาเยนาติอาทีสุ หตฺถปาเท กีฬาเปโนฺต คีวํ ปริวเตฺตโนฺต กายํ น รกฺขติ นาม, นานปฺปการํ ทุฎฺฐุลฺลํ กเถโนฺต วจนํ น รกฺขติ นาม, กามวิตกฺกาทโย วิตเกฺกโนฺต จิตฺตํ น รกฺขติ นามฯ รกฺขิเตเนว กาเยนาติอาทีสุ วุตฺตวิปริยาเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Arakkhiteneva kāyenātiādīsu hatthapāde kīḷāpento gīvaṃ parivattento kāyaṃ na rakkhati nāma, nānappakāraṃ duṭṭhullaṃ kathento vacanaṃ na rakkhati nāma, kāmavitakkādayo vitakkento cittaṃ na rakkhati nāma. Rakkhiteneva kāyenātiādīsu vuttavipariyāyena attho veditabbo.
อติวิย มํ ตสฺมิํ สมเย โลภธมฺมา ปริสหนฺตีติ มํ ตสฺมิํ สมเย อติกฺกมิตฺวา โลโภ อธิภวตีติ อโตฺถฯ อุปฎฺฐิตาย สติยาติ กายคตาย สติยา สุปฎฺฐิตายฯ น มํ ตถา ตสฺมิํ สมเยติ ตสฺมิํ สมเย มํ ยถา ปุเพฺพ, น ตถา โลโภ อติกฺกมิตฺวา อุปฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ ปริสหนฺตีติ ปทสฺส อุปฺปชฺชนฺตีติปิ อโตฺถเยวฯ อิติ อิมสฺมิํ สุเตฺต ตโย กายา กถิตาฯ กถํ ? ‘‘อิมเมว กาย’’นฺติ เอตฺถ หิ กรชกาโย กถิโต, ‘‘ภาวิตกาโย’’ติ เอตฺถ ปญฺจทฺวาริกกาโย, ‘‘รกฺขิเตเนว กาเยนา’’ติ เอตฺถ โจปนกาโย, กายวิญฺญตฺตีติ อโตฺถฯ ปญฺจมํ อุตฺตานเมวฯ
Ativiya maṃ tasmiṃ samaye lobhadhammā parisahantīti maṃ tasmiṃ samaye atikkamitvā lobho adhibhavatīti attho. Upaṭṭhitāya satiyāti kāyagatāya satiyā supaṭṭhitāya. Na maṃ tathā tasmiṃ samayeti tasmiṃ samaye maṃ yathā pubbe, na tathā lobho atikkamitvā uppajjatīti attho. Parisahantīti padassa uppajjantītipi atthoyeva. Iti imasmiṃ sutte tayo kāyā kathitā. Kathaṃ ? ‘‘Imameva kāya’’nti ettha hi karajakāyo kathito, ‘‘bhāvitakāyo’’ti ettha pañcadvārikakāyo, ‘‘rakkhiteneva kāyenā’’ti ettha copanakāyo, kāyaviññattīti attho. Pañcamaṃ uttānameva.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya
๔. ภารทฺวาชสุตฺตํ • 4. Bhāradvājasuttaṃ
๕. โสณสุตฺตํ • 5. Soṇasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๔-๕. ภารทฺวาชสุตฺตาทิวณฺณนา • 4-5. Bhāradvājasuttādivaṇṇanā