Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๑๓] ๓. ภรุชาตกวณฺณนา
[213] 3. Bharujātakavaṇṇanā
อิสีนมนฺตรํ กตฺวาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โกสลราชานํ อารพฺภ กเถสิฯ ภควโต หิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ลาภสกฺกาโร มหา อโหสิฯ ยถาห –
Isīnamantaraṃkatvāti idaṃ satthā jetavane viharanto kosalarājānaṃ ārabbha kathesi. Bhagavato hi bhikkhusaṅghassa ca lābhasakkāro mahā ahosi. Yathāha –
‘‘เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํฯ ภิกฺขุสโงฺฆปิ โข สกฺกโต โหติ…เป.… ปริกฺขารานํฯ อญฺญติตฺถิยา ปน ปริพฺพาชกา อสกฺกตา โหนฺติ…เป.… ปริกฺขาราน’’นฺติ (อุทา. ๑๔)ฯ
‘‘Tena kho pana samayena bhagavā sakkato hoti garukato mānito pūjito apacito lābhī cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārānaṃ. Bhikkhusaṅghopi kho sakkato hoti…pe… parikkhārānaṃ. Aññatitthiyā pana paribbājakā asakkatā honti…pe… parikkhārāna’’nti (udā. 14).
เต เอวํ ปริหีนลาภสกฺการา อโหรตฺตํ คุฬฺหสนฺนิปาตํ กตฺวา มนฺตยนฺติ ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส อุปฺปนฺนกาลโต ปฎฺฐาย มยํ หตลาภสกฺการา ชาตา , สมโณ โคตโม ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต ชาโต, เกน นุ โข การเณนสฺส เอสา สมฺปตฺตี’’ติฯ ตเตฺรเก เอวมาหํสุ – ‘‘สมโณ โคตโม สกลชมฺพุทีปสฺส อุตฺตมฎฺฐาเน ภูมิสีเส วสติฯ เตนสฺส ลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชตี’’ติ, เสสา ‘‘อเตฺถตํ การณํ, มยมฺปิ เชตวนปิเฎฺฐ ติตฺถิยารามํ กาเรมุ, เอวํ ลาภิโน ภวิสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ เต สเพฺพปิ ‘‘เอวเมต’’นฺติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา ‘‘สเจปิ มยํ รโญฺญ อนาโรเจตฺวา อารามํ กาเรสฺสาม, ภิกฺขู วาเรสฺสนฺติ, ลญฺชํ ลภิตฺวา อภิชฺชนโก นาม นตฺถิ, ตสฺมา รโญฺญ ลญฺชํ ทตฺวา อารามฎฺฐานํ คณฺหิสฺสามา’’ติ สมฺมเนฺตตฺวา อุปฎฺฐาเก ยาจิตฺวา รโญฺญ สตสหสฺสํ ทตฺวา ‘‘มหาราช, มยํ เชตวนปิฎฺฐิยํ ติตฺถิยารามํ กริสฺสาม, สเจ ภิกฺขู ‘กาตุํ น ทสฺสามา’ติ ตุมฺหากํ อาโรเจนฺติ, เนสํ ปฎิวจนํ น ทาตพฺพ’’นฺติ อาหํสุฯ ราชา ลญฺชโลเภน ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ
Te evaṃ parihīnalābhasakkārā ahorattaṃ guḷhasannipātaṃ katvā mantayanti ‘‘samaṇassa gotamassa uppannakālato paṭṭhāya mayaṃ hatalābhasakkārā jātā , samaṇo gotamo lābhaggayasaggappatto jāto, kena nu kho kāraṇenassa esā sampattī’’ti. Tatreke evamāhaṃsu – ‘‘samaṇo gotamo sakalajambudīpassa uttamaṭṭhāne bhūmisīse vasati. Tenassa lābhasakkāro uppajjatī’’ti, sesā ‘‘atthetaṃ kāraṇaṃ, mayampi jetavanapiṭṭhe titthiyārāmaṃ kāremu, evaṃ lābhino bhavissāmā’’ti āhaṃsu. Te sabbepi ‘‘evameta’’nti sanniṭṭhānaṃ katvā ‘‘sacepi mayaṃ rañño anārocetvā ārāmaṃ kāressāma, bhikkhū vāressanti, lañjaṃ labhitvā abhijjanako nāma natthi, tasmā rañño lañjaṃ datvā ārāmaṭṭhānaṃ gaṇhissāmā’’ti sammantetvā upaṭṭhāke yācitvā rañño satasahassaṃ datvā ‘‘mahārāja, mayaṃ jetavanapiṭṭhiyaṃ titthiyārāmaṃ karissāma, sace bhikkhū ‘kātuṃ na dassāmā’ti tumhākaṃ ārocenti, nesaṃ paṭivacanaṃ na dātabba’’nti āhaṃsu. Rājā lañjalobhena ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.
ติตฺถิยา ราชานํ สงฺคณฺหิตฺวา วฑฺฒกิํ ปโกฺกสาเปตฺวา กมฺมํ ปฎฺฐเปสุํ, มหาสโทฺท อโหสิฯ สตฺถา ‘‘เก ปเนเต, อานนฺท, อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อญฺญติตฺถิยา, ภเนฺต, เชตวนปิฎฺฐิยํ ติตฺถิยารามํ กาเรนฺติ, ตเตฺถโส สโทฺท’’ติฯ ‘‘อานนฺท, เนตํ ฐานํ ติตฺถิยารามสฺส อนุจฺฉวิกํ, ติตฺถิยา อุจฺจาสทฺทกามา, น สกฺกา เตหิ สทฺธิํ วสิตุ’’นฺติ วตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘คจฺฉถ, ภิกฺขเว, รโญฺญ อาจิกฺขิตฺวา ติตฺถิยารามกรณํ นิวาเรถา’’ติ อาหฯ ภิกฺขุสโงฺฆ คนฺตฺวา รโญฺญ นิเวสนทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ ราชา สงฺฆสฺส อาคตภาวํ สุตฺวาปิ ‘‘ติตฺถิยารามํ นิสฺสาย อาคตา ภวิสฺสนฺตี’’ติ ลญฺชสฺส คหิตตฺตา ‘‘ราชา เคเห นตฺถี’’ติ วทาเปสิฯ ภิกฺขู คนฺตฺวา สตฺถุ อาโรเจสุํฯ สตฺถา ‘‘ลญฺชํ นิสฺสาย เอวํ กโรตี’’ติ เทฺว อคฺคสาวเก เปเสสิฯ ราชา เตสมฺปิ อาคตภาวํ สุตฺวา ตเถว วทาเปสิฯ เตปิ อาคนฺตฺวา สตฺถุ อาราเจสุํฯ สตฺถา ‘‘น อิทานิ, สาริปุตฺต, ราชา เคเห นิสีทิตุํ ลภิสฺสติ, พหิ นิกฺขมิสฺสตี’’ติ ปุนทิวเส ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ รโญฺญ นิเวสนทฺวารํ อคมาสิฯ ราชา สุตฺวา ปาสาทา โอตริตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา สตฺถารํ ปเวเสตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ยาคุขชฺชกํ ทตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา รโญฺญ เอกํ ปริยายธมฺมเทสนํ อารภโนฺต ‘‘มหาราช, โปราณกราชาโน ลญฺชํ คเหตฺวา สีลวเนฺต อญฺญมญฺญํ กลหํ กาเรตฺวา อตฺตโน รฎฺฐสฺส อสฺสามิโน หุตฺวา มหาวินาสํ ปาปุณิํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Titthiyā rājānaṃ saṅgaṇhitvā vaḍḍhakiṃ pakkosāpetvā kammaṃ paṭṭhapesuṃ, mahāsaddo ahosi. Satthā ‘‘ke panete, ānanda, uccāsaddamahāsaddā’’ti pucchi. ‘‘Aññatitthiyā, bhante, jetavanapiṭṭhiyaṃ titthiyārāmaṃ kārenti, tattheso saddo’’ti. ‘‘Ānanda, netaṃ ṭhānaṃ titthiyārāmassa anucchavikaṃ, titthiyā uccāsaddakāmā, na sakkā tehi saddhiṃ vasitu’’nti vatvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātetvā ‘‘gacchatha, bhikkhave, rañño ācikkhitvā titthiyārāmakaraṇaṃ nivārethā’’ti āha. Bhikkhusaṅgho gantvā rañño nivesanadvāre aṭṭhāsi. Rājā saṅghassa āgatabhāvaṃ sutvāpi ‘‘titthiyārāmaṃ nissāya āgatā bhavissantī’’ti lañjassa gahitattā ‘‘rājā gehe natthī’’ti vadāpesi. Bhikkhū gantvā satthu ārocesuṃ. Satthā ‘‘lañjaṃ nissāya evaṃ karotī’’ti dve aggasāvake pesesi. Rājā tesampi āgatabhāvaṃ sutvā tatheva vadāpesi. Tepi āgantvā satthu ārācesuṃ. Satthā ‘‘na idāni, sāriputta, rājā gehe nisīdituṃ labhissati, bahi nikkhamissatī’’ti punadivase pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ rañño nivesanadvāraṃ agamāsi. Rājā sutvā pāsādā otaritvā pattaṃ gahetvā satthāraṃ pavesetvā buddhappamukhassa saṅghassa yāgukhajjakaṃ datvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Satthā rañño ekaṃ pariyāyadhammadesanaṃ ārabhanto ‘‘mahārāja, porāṇakarājāno lañjaṃ gahetvā sīlavante aññamaññaṃ kalahaṃ kāretvā attano raṭṭhassa assāmino hutvā mahāvināsaṃ pāpuṇiṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต ภรุรเฎฺฐ ภรุราชา นาม รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ปญฺจาภิโญฺญ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี คณสตฺถา ตาปโส หุตฺวา หิมวนฺตปเทเส จิรํ วสิตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ปญฺจสตตาปสปริวุโต หิมวนฺตา โอตริตฺวา อนุปุเพฺพน ภรุนครํ ปตฺวา ตตฺถ ปิณฺฑาย จริตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา อุตฺตรทฺวาเร สาขาวิฎปสมฺปนฺนสฺส วฎรุกฺขสฺส มูเล นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ตเตฺถว รุกฺขมูเล วาสํ กเปฺปสิฯ เอวํ ตสฺมิํ อิสิคเณ ตตฺถ วสเนฺต อฑฺฒมาสจฺจเยน อโญฺญ คณสตฺถา ปญฺจสตปริวาโร อาคนฺตฺวา นคเร ภิกฺขาย จริตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา ทกฺขิณทฺวาเร ตาทิสเสฺสว วฎรุกฺขสฺส มูเล นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ตตฺถ รุกฺขมูเล วาสํ กเปฺปสิฯ อิติ เต เทฺวปิ อิสิคณา ตตฺถ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา หิมวนฺตเมว อคมํสุฯ
Atīte bharuraṭṭhe bharurājā nāma rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto pañcābhiñño aṭṭhasamāpattilābhī gaṇasatthā tāpaso hutvā himavantapadese ciraṃ vasitvā loṇambilasevanatthāya pañcasatatāpasaparivuto himavantā otaritvā anupubbena bharunagaraṃ patvā tattha piṇḍāya caritvā nagarā nikkhamitvā uttaradvāre sākhāviṭapasampannassa vaṭarukkhassa mūle nisīditvā bhattakiccaṃ katvā tattheva rukkhamūle vāsaṃ kappesi. Evaṃ tasmiṃ isigaṇe tattha vasante aḍḍhamāsaccayena añño gaṇasatthā pañcasataparivāro āgantvā nagare bhikkhāya caritvā nagarā nikkhamitvā dakkhiṇadvāre tādisasseva vaṭarukkhassa mūle nisīditvā bhattakiccaṃ katvā tattha rukkhamūle vāsaṃ kappesi. Iti te dvepi isigaṇā tattha yathābhirantaṃ viharitvā himavantameva agamaṃsu.
เตสํ คตกาเล ทกฺขิณทฺวาเร วฎรุโกฺข สุโกฺขฯ ปุนวาเร เตสุ อาคจฺฉเนฺตสุ ทกฺขิณทฺวาเร วฎรุกฺขวาสิโน ปฐมตรํ อาคนฺตฺวา อตฺตโน วฎรุกฺขสฺส สุกฺขภาวํ ญตฺวา ภิกฺขาย จริตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา อุตฺตรทฺวาเร วฎรุกฺขมูลํ คนฺตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ตตฺถ วาสํ กเปฺปสุํฯ อิตเร ปน อิสโย ปจฺฉา อาคนฺตฺวา นคเร ภิกฺขาย จริตฺวา อตฺตโน รุกฺขมูลเมว คนฺตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา วาสํ กเปฺปสุํฯ เต ‘‘น โส ตุมฺหากํ รุโกฺข, อมฺหากํ รุโกฺข’’ติ รุกฺขํ นิสฺสาย อญฺญมญฺญํ กลหํ กริํสุ, กลโห มหา อโหสิฯ เอเก ‘‘อมฺหากํ ปฐมํ วสิตฎฺฐานํ ตุเมฺห น ลภิสฺสถา’’ติ วทนฺติฯ เอเก ‘‘มยํ อิมสฺมิํ วาเร ปฐมตรํ อิธาคตา, ตุเมฺห น ลภิสฺสถา’’ติ วทนฺติฯ อิติ เต ‘‘มยํ สามิโน, มยํ สามิโน’’ติ กลหํ กโรนฺตา รุกฺขมูลสฺสตฺถาย ราชกุลํ อคมํสุฯ ราชา ปฐมํ วุตฺถอิสิคณเญฺญว สามิกํ อกาสิ ฯ อิตเร ‘‘น ทานิ มยํ อิเมหิ ปราชิตาติ อตฺตานํ วทาเปสฺสามา’’ติ ทิพฺพจกฺขุนา โอโลเกตฺวา เอกํ จกฺกวตฺติปริโภคํ รถปญฺชรํ ทิสฺวา อาหริตฺวา รโญฺญ ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘มหาราช, อเมฺหปิ สามิเก กโรหี’’ติ อาหํสุฯ
Tesaṃ gatakāle dakkhiṇadvāre vaṭarukkho sukkho. Punavāre tesu āgacchantesu dakkhiṇadvāre vaṭarukkhavāsino paṭhamataraṃ āgantvā attano vaṭarukkhassa sukkhabhāvaṃ ñatvā bhikkhāya caritvā nagarā nikkhamitvā uttaradvāre vaṭarukkhamūlaṃ gantvā bhattakiccaṃ katvā tattha vāsaṃ kappesuṃ. Itare pana isayo pacchā āgantvā nagare bhikkhāya caritvā attano rukkhamūlameva gantvā bhattakiccaṃ katvā vāsaṃ kappesuṃ. Te ‘‘na so tumhākaṃ rukkho, amhākaṃ rukkho’’ti rukkhaṃ nissāya aññamaññaṃ kalahaṃ kariṃsu, kalaho mahā ahosi. Eke ‘‘amhākaṃ paṭhamaṃ vasitaṭṭhānaṃ tumhe na labhissathā’’ti vadanti. Eke ‘‘mayaṃ imasmiṃ vāre paṭhamataraṃ idhāgatā, tumhe na labhissathā’’ti vadanti. Iti te ‘‘mayaṃ sāmino, mayaṃ sāmino’’ti kalahaṃ karontā rukkhamūlassatthāya rājakulaṃ agamaṃsu. Rājā paṭhamaṃ vutthaisigaṇaññeva sāmikaṃ akāsi . Itare ‘‘na dāni mayaṃ imehi parājitāti attānaṃ vadāpessāmā’’ti dibbacakkhunā oloketvā ekaṃ cakkavattiparibhogaṃ rathapañjaraṃ disvā āharitvā rañño lañjaṃ datvā ‘‘mahārāja, amhepi sāmike karohī’’ti āhaṃsu.
ราชา ลญฺชํ คเหตฺวา ‘‘เทฺวปิ คณา วสนฺตู’’ติ เทฺวปิ สามิเก อกาสิฯ อิตเร อิสโย ตสฺส รถปญฺชรสฺส รถจกฺกานิ นีหริตฺวา ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘มหาราช, อเมฺหเยว สามิเก กโรหี’’ติ อาหํสุฯ ราชา ตถา อกาสิฯ อิสิคณา ‘‘อเมฺหหิ วตฺถุกาเม จ กิเลสกาเม จ ปหาย ปพฺพชิเตหิ รุกฺขมูลสฺส การณา กลหํ กโรเนฺตหิ ลญฺชํ ททเนฺตหิ อยุตฺตํ กต’’นฺติ วิปฺปฎิสาริโน หุตฺวา เวเคน ปลายิตฺวา หิมวนฺตเมว อคมํสุฯ สกลภรุรฎฺฐวาสิโน เทวตา เอกโต หุตฺวา ‘‘สีลวเนฺต กลหํ กโรเนฺตน รญฺญา อยุตฺตํ กต’’นฺติ ภรุรโญฺญ กุชฺฌิตฺวา ติโยชนสติกํ ภรุรฎฺฐํ สมุทฺทํ อุพฺพเตฺตตฺวา อรฎฺฐมกํสุฯ อิติ เอกํ ภรุราชานํ นิสฺสาย สกลรฎฺฐวาสิโนปิ วินาสํ ปตฺตาติฯ
Rājā lañjaṃ gahetvā ‘‘dvepi gaṇā vasantū’’ti dvepi sāmike akāsi. Itare isayo tassa rathapañjarassa rathacakkāni nīharitvā lañjaṃ datvā ‘‘mahārāja, amheyeva sāmike karohī’’ti āhaṃsu. Rājā tathā akāsi. Isigaṇā ‘‘amhehi vatthukāme ca kilesakāme ca pahāya pabbajitehi rukkhamūlassa kāraṇā kalahaṃ karontehi lañjaṃ dadantehi ayuttaṃ kata’’nti vippaṭisārino hutvā vegena palāyitvā himavantameva agamaṃsu. Sakalabharuraṭṭhavāsino devatā ekato hutvā ‘‘sīlavante kalahaṃ karontena raññā ayuttaṃ kata’’nti bharurañño kujjhitvā tiyojanasatikaṃ bharuraṭṭhaṃ samuddaṃ ubbattetvā araṭṭhamakaṃsu. Iti ekaṃ bharurājānaṃ nissāya sakalaraṭṭhavāsinopi vināsaṃ pattāti.
สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมา คาถา อโวจ –
Satthā imaṃ atītaṃ āharitvā abhisambuddho hutvā imā gāthā avoca –
๑๒๕.
125.
‘‘อิสีนมนฺตรํ กตฺวา, ภรุราชาติ เม สุตํ;
‘‘Isīnamantaraṃ katvā, bharurājāti me sutaṃ;
อุจฺฉิโนฺน สห รเฎฺฐหิ, ส ราชา วิภวงฺคโตฯ
Ucchinno saha raṭṭhehi, sa rājā vibhavaṅgato.
๑๒๖.
126.
‘‘ตสฺมา หิ ฉนฺทาคมนํ, นปฺปสํสนฺติ ปณฺฑิตา;
‘‘Tasmā hi chandāgamanaṃ, nappasaṃsanti paṇḍitā;
อทุฎฺฐจิโตฺต ภาเสยฺย, คิรํ สจฺจุปสํหิต’’นฺติฯ
Aduṭṭhacitto bhāseyya, giraṃ saccupasaṃhita’’nti.
ตตฺถ อนฺตรํ กตฺวาติ ฉนฺทาคติวเสน วิวรํ กตฺวาฯ ภรุราชาติ ภรุรเฎฺฐ ราชาฯ อิติ เม สุตนฺติ อิติ มยา ปุเพฺพ เอตํ สุตํฯ ตสฺมา หิ ฉนฺทาคมนนฺติ ยสฺมา หิ ฉนฺทาคมนํ คนฺตฺวา ภรุราชา สห รเฎฺฐน อุจฺฉิโนฺน, ตสฺมา ฉนฺทาคมนํ ปณฺฑิตา นปฺปสํสนฺติฯ อทุฎฺฐจิโตฺตติ กิเลเสหิ อทูสิตจิโตฺต หุตฺวาฯ ภาเสยฺย คิรํ สจฺจุปสํหิตนฺติ สภาวนิสฺสิตํ อตฺถนิสฺสิตํ การณนิสฺสิตเมว คิรํ ภาเสยฺยฯ เย หิ ตตฺถ ภรุรโญฺญ ลญฺชํ คณฺหนฺตสฺส อยุตฺตํ เอตนฺติ ปฎิโกฺกสนฺตา สจฺจุปสํหิตํ คิรํ ภาสิํสุ, เตสํ ฐิตฎฺฐานํ นาฬิเกรทีเป อชฺชาปิ ทีปกสหสฺสํ ปญฺญายตีติฯ
Tattha antaraṃ katvāti chandāgativasena vivaraṃ katvā. Bharurājāti bharuraṭṭhe rājā. Iti me sutanti iti mayā pubbe etaṃ sutaṃ. Tasmā hi chandāgamananti yasmā hi chandāgamanaṃ gantvā bharurājā saha raṭṭhena ucchinno, tasmā chandāgamanaṃ paṇḍitā nappasaṃsanti. Aduṭṭhacittoti kilesehi adūsitacitto hutvā. Bhāseyya giraṃ saccupasaṃhitanti sabhāvanissitaṃ atthanissitaṃ kāraṇanissitameva giraṃ bhāseyya. Ye hi tattha bharurañño lañjaṃ gaṇhantassa ayuttaṃ etanti paṭikkosantā saccupasaṃhitaṃ giraṃ bhāsiṃsu, tesaṃ ṭhitaṭṭhānaṃ nāḷikeradīpe ajjāpi dīpakasahassaṃ paññāyatīti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘มหาราช, ฉนฺทวสิเกน นาม น ภวิตพฺพํ, เทฺว ปพฺพชิตคเณ กลหํ กาเรตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘อหํ เตน สมเยน เชฎฺฐกอิสิ อโหสิ’’นฺติ, ราชา ตถาคตสฺส ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา คตกาเล มนุเสฺส เปเสตฺวา ติตฺถิยารามํ วิทฺธํสาเปสิ, ติตฺถิยา อปฺปติฎฺฐา อเหสุํฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘mahārāja, chandavasikena nāma na bhavitabbaṃ, dve pabbajitagaṇe kalahaṃ kāretuṃ na vaṭṭatī’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘ahaṃ tena samayena jeṭṭhakaisi ahosi’’nti, rājā tathāgatassa bhattakiccaṃ katvā gatakāle manusse pesetvā titthiyārāmaṃ viddhaṃsāpesi, titthiyā appatiṭṭhā ahesuṃ.
ภรุชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Bharujātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๑๓. ภรุชาตกํ • 213. Bharujātakaṃ