Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā

    ภาเวตพฺพนิเทฺทสวณฺณนา

    Bhāvetabbaniddesavaṇṇanā

    ๒๕. ภาเวตพฺพนิเทฺทเส กายคตาสตีติ กายคตาสติสุตฺตเนฺต (ม. นิ. ๓.๑๕๓ อาทโย) วุตฺตา อานาปานจตุอิริยาปถขุทฺทกอิริยาปถทฺวตฺติํสาการจตุธาตุนวสิวถิกาปฎิกูล- ววตฺถาปกมนสิการสมฺปยุตฺตา ยถานุรูปํ รูปชฺฌานสมฺปยุตฺตา จ สติฯ สา หิ เตสุ กาเยสุ คตา ปวตฺตาติ กายคตาติ วุจฺจติฯ สาตสหคตาติ มธุรสุขเวทยิตสงฺขาเตน สาเตน สห เอกุปฺปาทาทิภาวํ คตาฯ ตพฺภาเว โวกิเณฺณ อารมฺมเณ นิสฺสเย สํสเฎฺฐ ทิสฺสติ สหคตสโทฺท ปญฺจสุ อเตฺถสุ ชินวจเนฯ ‘‘ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา นนฺทิราคสหคตา’’ติ (วิภ. ๒๐๓) เอตฺถ ตพฺภาเว, นนฺทิราคภูตาติ อโตฺถฯ ‘‘ยา, ภิกฺขเว, วีมํสา โกสชฺชสหคตา โกสชฺชสมฺปยุตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๘๓๒) เอตฺถ โวกิเณฺณ, อนฺตรนฺตรา อุปฺปชฺชมาเนน โกสเชฺชน โวกิณฺณาติ อโตฺถฯ ‘‘ลาภี โหติ รูปสหคตานํ วา สมาปตฺตีนํ อรูปสหคตานํ วา สมาปตฺตีน’’นฺติ (ปุ. ป. ๓-๘) เอตฺถ อารมฺมเณ, รูปารูปารมฺมณานนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อฎฺฐิกสญฺญาสหคตํ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๘) เอตฺถ นิสฺสเย, อฎฺฐิกสญฺญานิสฺสยํ อฎฺฐิกสญฺญํ ภาเวตฺวา ปฎิลทฺธนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคตํ โหติ สหชาตํ สมฺปยุตฺต’’นฺติ (วิภ. ๕๗๘) เอตฺถ สํสเฎฺฐ, สมฺมิสฺสนฺติ อโตฺถฯ อิมสฺมิมฺปิ ปเท สํสโฎฺฐ อธิเปฺปโตฯ สาตสํสฎฺฐา หิ สาตสหคตาติ วุตฺตาฯ สา หิ ฐเปตฺวา จตุตฺถํ ฌานํ เสเสสุ สาตสหคตา โหติ, สติปิ จ อุเปกฺขาสหคตเตฺต เยภุยฺยวเสน สาตสหคตาติ วุตฺตา, ปุริมชฺฌานมูลกตฺตา วา จตุตฺถชฺฌานสฺส สาตสหคตาย อุเปกฺขาสหคตาปิ วุตฺตาว โหติ , อุเปกฺขาย ปน สเนฺต สุเข วุตฺตตฺตา ภควตา สาตสหคตาติ จตุตฺถชฺฌานสมฺปยุตฺตาปิ วุตฺตาว โหติฯ

    25. Bhāvetabbaniddese kāyagatāsatīti kāyagatāsatisuttante (ma. ni. 3.153 ādayo) vuttā ānāpānacatuiriyāpathakhuddakairiyāpathadvattiṃsākāracatudhātunavasivathikāpaṭikūla- vavatthāpakamanasikārasampayuttā yathānurūpaṃ rūpajjhānasampayuttā ca sati. Sā hi tesu kāyesu gatā pavattāti kāyagatāti vuccati. Sātasahagatāti madhurasukhavedayitasaṅkhātena sātena saha ekuppādādibhāvaṃ gatā. Tabbhāve vokiṇṇe ārammaṇe nissaye saṃsaṭṭhe dissati sahagatasaddo pañcasu atthesu jinavacane. ‘‘Yāyaṃ taṇhā ponobbhavikā nandirāgasahagatā’’ti (vibha. 203) ettha tabbhāve, nandirāgabhūtāti attho. ‘‘Yā, bhikkhave, vīmaṃsā kosajjasahagatā kosajjasampayuttā’’ti (saṃ. ni. 5.832) ettha vokiṇṇe, antarantarā uppajjamānena kosajjena vokiṇṇāti attho. ‘‘Lābhī hoti rūpasahagatānaṃ vā samāpattīnaṃ arūpasahagatānaṃ vā samāpattīna’’nti (pu. pa. 3-8) ettha ārammaṇe, rūpārūpārammaṇānanti attho. ‘‘Aṭṭhikasaññāsahagataṃ satisambojjhaṅgaṃ bhāvetī’’ti (saṃ. ni. 5.238) ettha nissaye, aṭṭhikasaññānissayaṃ aṭṭhikasaññaṃ bhāvetvā paṭiladdhanti attho. ‘‘Idaṃ sukhaṃ imāya pītiyā sahagataṃ hoti sahajātaṃ sampayutta’’nti (vibha. 578) ettha saṃsaṭṭhe, sammissanti attho. Imasmimpi pade saṃsaṭṭho adhippeto. Sātasaṃsaṭṭhā hi sātasahagatāti vuttā. Sā hi ṭhapetvā catutthaṃ jhānaṃ sesesu sātasahagatā hoti, satipi ca upekkhāsahagatatte yebhuyyavasena sātasahagatāti vuttā, purimajjhānamūlakattā vā catutthajjhānassa sātasahagatāya upekkhāsahagatāpi vuttāva hoti , upekkhāya pana sante sukhe vuttattā bhagavatā sātasahagatāti catutthajjhānasampayuttāpi vuttāva hoti.

    สมโถ จ วิปสฺสนา จาติ กามจฺฉนฺทาทโย ปจฺจนีกธเมฺม สเมติ วินาเสตีติ สมโถฯ สมาธิเสฺสตํ นามํฯ อนิจฺจตาทิวเสน วิวิเธหิ อากาเรหิ ธเมฺม ปสฺสตีติ วิปสฺสนาฯ ปญฺญาเยตํ นามํฯ อิเม ปน เทฺว ทสุตฺตรปริยาเย ปุพฺพภาคาติ วุตฺตา, สงฺคีติปริยาเย จ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกาติฯ ตโย สมาธีติ สวิตโกฺก สวิจาโร สมาธิ , อวิตโกฺก วิจารมโตฺต สมาธิ, อวิตโกฺก อวิจาโร สมาธิฯ สมฺปโยควเสน วตฺตมาเนน สห วิตเกฺกน สวิตโกฺก, สห วิจาเรน สวิจาโรฯ โส ขณิกสมาธิ, วิปสฺสนาสมาธิ, อุปจารสมาธิ, ปฐมชฺฌานสมาธิฯ นตฺถิ เอตสฺส วิตโกฺกติ อวิตโกฺกฯ วิตกฺกวิจาเรสุ วิจาโร มตฺตา ปรมา ปมาณํ เอตสฺสาติ วิจารมโตฺต, วิจารโต อุตฺตริ วิตเกฺกน สมฺปโยคํ น คจฺฉตีติ อโตฺถฯ โส ปญฺจกนเย ทุติยชฺฌานสมาธิ, ตทุภยวิรหิโต อวิตโกฺก อวิจาโร สมาธิฯ โส จตุกฺกนเย ทุติยชฺฌานาทิ, ปญฺจกนเย ตติยชฺฌานาทิ รูปาวจรสมาธิฯ อิเม ตโยปิ โลกิยา เอวฯ สงฺคีติปริยาเย อปเรปิ ตโย สมาธี วุตฺตา – ‘‘สุญฺญโต สมาธิ, อนิมิโตฺต สมาธิ, อปฺปณิหิโต สมาธี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๐๕)ฯ น เต อิธ อธิเปฺปตาฯ

    Samatho ca vipassanā cāti kāmacchandādayo paccanīkadhamme sameti vināsetīti samatho. Samādhissetaṃ nāmaṃ. Aniccatādivasena vividhehi ākārehi dhamme passatīti vipassanā. Paññāyetaṃ nāmaṃ. Ime pana dve dasuttarapariyāye pubbabhāgāti vuttā, saṅgītipariyāye ca lokiyalokuttaramissakāti. Tayo samādhīti savitakko savicāro samādhi , avitakko vicāramatto samādhi, avitakko avicāro samādhi. Sampayogavasena vattamānena saha vitakkena savitakko, saha vicārena savicāro. So khaṇikasamādhi, vipassanāsamādhi, upacārasamādhi, paṭhamajjhānasamādhi. Natthi etassa vitakkoti avitakko. Vitakkavicāresu vicāro mattā paramā pamāṇaṃ etassāti vicāramatto, vicārato uttari vitakkena sampayogaṃ na gacchatīti attho. So pañcakanaye dutiyajjhānasamādhi, tadubhayavirahito avitakko avicāro samādhi. So catukkanaye dutiyajjhānādi, pañcakanaye tatiyajjhānādi rūpāvacarasamādhi. Ime tayopi lokiyā eva. Saṅgītipariyāye aparepi tayo samādhī vuttā – ‘‘suññato samādhi, animitto samādhi, appaṇihito samādhī’’ti (dī. ni. 3.305). Na te idha adhippetā.

    จตฺตาโร สติปฎฺฐานาติ กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ, เวทนานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ, จิตฺตานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ, ธมฺมานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํฯ ปุพฺพภาเค จุทฺทสวิเธน กายํ ปริคฺคณฺหโต กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ, นววิเธน เวทนํ ปริคฺคณฺหโต เวทนานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ, โสฬสวิเธน จิตฺตํ ปริคฺคณฺหโต จิตฺตานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ, ปญฺจวิเธน ธเมฺม ปริคฺคณฺหโต ธมฺมานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ โลกุตฺตรํ ปน อิธ น อธิเปฺปตํฯ ปญฺจงฺคิโก สมาธีติ ปญฺจ องฺคานิ อสฺส สนฺตีติ ปญฺจงฺคิโก, จตุตฺถชฺฌานสมาธิฯ ปีติผรณตา, สุขผรณตา, เจโตผรณตา, อาโลกผรณตา, ปจฺจเวกฺขณนิมิตฺตนฺติ ปญฺจ องฺคานิฯ ปีติํ ผรมานา อุปฺปชฺชตีติ ทฺวีสุ ฌาเนสุ ปญฺญา ปีติผรณตา นามฯ สุขํ ผรมานา อุปฺปชฺชตีติ ตีสุ ฌาเนสุ ปญฺญา สุขผรณตา นามฯ ปเรสํ เจโต ผรมานา อุปฺปชฺชตีติ เจโตปริยปญฺญา เจโตผรณตา นามฯ อาโลกํ ผรมานา อุปฺปชฺชตีติ ทิพฺพจกฺขุปญฺญา อาโลกผรณตา นามฯ ปจฺจเวกฺขณญาณํ ปจฺจเวกฺขณนิมิตฺตํ นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Cattāro satipaṭṭhānāti kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ, vedanānupassanāsatipaṭṭhānaṃ, cittānupassanāsatipaṭṭhānaṃ, dhammānupassanāsatipaṭṭhānaṃ. Pubbabhāge cuddasavidhena kāyaṃ pariggaṇhato kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ, navavidhena vedanaṃ pariggaṇhato vedanānupassanāsatipaṭṭhānaṃ, soḷasavidhena cittaṃ pariggaṇhato cittānupassanāsatipaṭṭhānaṃ, pañcavidhena dhamme pariggaṇhato dhammānupassanāsatipaṭṭhānaṃ veditabbaṃ. Lokuttaraṃ pana idha na adhippetaṃ. Pañcaṅgiko samādhīti pañca aṅgāni assa santīti pañcaṅgiko, catutthajjhānasamādhi. Pītipharaṇatā, sukhapharaṇatā, cetopharaṇatā, ālokapharaṇatā, paccavekkhaṇanimittanti pañca aṅgāni. Pītiṃ pharamānā uppajjatīti dvīsu jhānesu paññā pītipharaṇatā nāma. Sukhaṃ pharamānā uppajjatīti tīsu jhānesu paññā sukhapharaṇatā nāma. Paresaṃ ceto pharamānā uppajjatīti cetopariyapaññā cetopharaṇatā nāma. Ālokaṃ pharamānā uppajjatīti dibbacakkhupaññā ālokapharaṇatā nāma. Paccavekkhaṇañāṇaṃ paccavekkhaṇanimittaṃ nāma. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ทฺวีสุ ฌาเนสุ ปญฺญา ปีติผรณตา, ตีสุ ฌาเนสุ ปญฺญา สุขผรณตา, ปรจิตฺตปญฺญา เจโตผรณตา, ทิพฺพจกฺขุปญฺญา อาโลกผรณตา, ตมฺหา ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฎฺฐิตสฺส ปจฺจเวกฺขณญาณํ ปจฺจเวกฺขณนิมิตฺต’’นฺติ (วิภ. ๘๐๔)ฯ

    ‘‘Dvīsu jhānesu paññā pītipharaṇatā, tīsu jhānesu paññā sukhapharaṇatā, paracittapaññā cetopharaṇatā, dibbacakkhupaññā ālokapharaṇatā, tamhā tamhā samādhimhā vuṭṭhitassa paccavekkhaṇañāṇaṃ paccavekkhaṇanimitta’’nti (vibha. 804).

    ตญฺหิ วุฎฺฐิตสมาธิสฺส ปวตฺตาการคหณโต นิมิตฺตนฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ จ ปีติผรณตา สุขผรณตา เทฺว ปาทา วิย, เจโตผรณตา อาโลกผรณตา เทฺว หตฺถา วิย, อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ มชฺฌิมกาโย วิย, ปจฺจเวกฺขณนิมิตฺตํ สีสํ วิยฯ อิติ อายสฺมา ธมฺมเสนาปติ สาริปุตฺตเตฺถโร ปญฺจงฺคิกํ สมฺมาสมาธิํ องฺคปจฺจงฺคสมฺปนฺนํ ปุริสํ วิย กตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Tañhi vuṭṭhitasamādhissa pavattākāragahaṇato nimittanti vuttaṃ. Tattha ca pītipharaṇatā sukhapharaṇatā dve pādā viya, cetopharaṇatā ālokapharaṇatā dve hatthā viya, abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ majjhimakāyo viya, paccavekkhaṇanimittaṃ sīsaṃ viya. Iti āyasmā dhammasenāpati sāriputtatthero pañcaṅgikaṃ sammāsamādhiṃ aṅgapaccaṅgasampannaṃ purisaṃ viya katvā dassesi.

    ฉ อนุสฺสติฎฺฐานานีติ ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชนโต สติโย เอว อนุสฺสติโย, ปวตฺติตพฺพฎฺฐานสฺมิํเยว ปวตฺตตฺตา สทฺธาปพฺพชิตสฺส กุลปุตฺตสฺส อนุรูปา สติโยติปิ อนุสฺสติโย, อนุสฺสติโย เอว ปีติอาทีนํ ฐานตฺตา อนุสฺสติฎฺฐานานิฯ กตมานิ ฉ? พุทฺธานุสฺสติ ธมฺมานุสฺสติ สงฺฆานุสฺสติ สีลานุสฺสติ จาคานุสฺสติ เทวตานุสฺสติ (ที. นิ. ๓.๓๒๗)ฯ โพชฺฌงฺคาติ โพธิยา, โพธิสฺส วา องฺคาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยา เอสา ธมฺมสามคฺคี ยาย โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ อุปฺปชฺชมานาย ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหนกามสุขตฺตกิลมถานุโยคอุเจฺฉทสสฺสตาภินิเวสาทีนํ อเนเกสํ อุปทฺทวานํ ปฎิปกฺขภูตาย สติธมฺมวิจยวีริยปีติปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสงฺขาตาย ธมฺมสามคฺคิยา อริยสาวโก พุชฺฌตีติ กตฺวา โพธีติ วุจฺจติฯ พุชฺฌตีติ กิเลสสนฺตานนิทฺทาย วุฎฺฐหติ, จตฺตาริ วา อริยสจฺจานิ ปฎิวิชฺฌติ, นิพฺพานเมว วา สจฺฉิกโรติ, ตสฺสา ธมฺมสามคฺคิสงฺขาตาย โพธิยา องฺคาติปิ โพชฺฌงฺคา ฌานงฺคมคฺคงฺคาทโย วิยฯ โย ปเนส ยถาวุตฺตปฺปการาย เอตาย ธมฺมสามคฺคิยา พุชฺฌตีติ กตฺวา อริยสาวโก โพธีติ วุจฺจติ, ตสฺส โพธิสฺส องฺคาติปิ โพชฺฌงฺคา เสนงฺครถงฺคาทโย วิยฯ เตนาหุ อฎฺฐกถาจริยา ‘‘พุชฺฌนกสฺส ปุคฺคลสฺส องฺคาติ วา โพชฺฌงฺคา’’ติฯ อปิจ ‘‘โพชฺฌงฺคาติ เกนเฎฺฐน โพชฺฌงฺคา, โพธาย สํวตฺตนฺตีติ โพชฺฌงฺคา’’ติอาทินา (ปฎิ. ม. ๒.๑๗) นเยน โพชฺฌงฺคโฎฺฐ เวทิตโพฺพฯ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺคติ ตํตํมคฺควชฺฌกิเลเสหิ อารกตฺตา อริยภาวกรตฺตา อริยผลปฎิลาภกรตฺตา จ อริโยฯ อฎฺฐ องฺคานิ อสฺสาติ อฎฺฐงฺคิโกฯ โสยํ จตุรงฺคิกา วิย เสนา, ปญฺจงฺคิกํ วิย จ ตูริยํ องฺคมตฺตเมว โหติ, องฺควินิมุโตฺต นตฺถิฯ โพชฺฌงฺคมคฺคงฺคา โลกุตฺตรา, ทสุตฺตรปริยาเยน ปุพฺพภาคาปิ ลพฺภนฺติฯ

    Cha anussatiṭṭhānānīti punappunaṃ uppajjanato satiyo eva anussatiyo, pavattitabbaṭṭhānasmiṃyeva pavattattā saddhāpabbajitassa kulaputtassa anurūpā satiyotipi anussatiyo, anussatiyo eva pītiādīnaṃ ṭhānattā anussatiṭṭhānāni. Katamāni cha? Buddhānussati dhammānussati saṅghānussati sīlānussati cāgānussati devatānussati (dī. ni. 3.327). Bojjhaṅgāti bodhiyā, bodhissa vā aṅgā. Idaṃ vuttaṃ hoti – yā esā dhammasāmaggī yāya lokuttaramaggakkhaṇe uppajjamānāya līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhanakāmasukhattakilamathānuyogaucchedasassatābhinivesādīnaṃ anekesaṃ upaddavānaṃ paṭipakkhabhūtāya satidhammavicayavīriyapītipassaddhisamādhiupekkhāsaṅkhātāya dhammasāmaggiyā ariyasāvako bujjhatīti katvā bodhīti vuccati. Bujjhatīti kilesasantānaniddāya vuṭṭhahati, cattāri vā ariyasaccāni paṭivijjhati, nibbānameva vā sacchikaroti, tassā dhammasāmaggisaṅkhātāya bodhiyā aṅgātipi bojjhaṅgā jhānaṅgamaggaṅgādayo viya. Yo panesa yathāvuttappakārāya etāya dhammasāmaggiyā bujjhatīti katvā ariyasāvako bodhīti vuccati, tassa bodhissa aṅgātipi bojjhaṅgā senaṅgarathaṅgādayo viya. Tenāhu aṭṭhakathācariyā ‘‘bujjhanakassa puggalassa aṅgāti vā bojjhaṅgā’’ti. Apica ‘‘bojjhaṅgāti kenaṭṭhena bojjhaṅgā, bodhāya saṃvattantīti bojjhaṅgā’’tiādinā (paṭi. ma. 2.17) nayena bojjhaṅgaṭṭho veditabbo. Ariyo aṭṭhaṅgiko maggoti taṃtaṃmaggavajjhakilesehi ārakattā ariyabhāvakarattā ariyaphalapaṭilābhakarattā ca ariyo. Aṭṭha aṅgāni assāti aṭṭhaṅgiko. Soyaṃ caturaṅgikā viya senā, pañcaṅgikaṃ viya ca tūriyaṃ aṅgamattameva hoti, aṅgavinimutto natthi. Bojjhaṅgamaggaṅgā lokuttarā, dasuttarapariyāyena pubbabhāgāpi labbhanti.

    นว ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคานีติ สีลวิสุทฺธิ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ, จิตฺตวิสุทฺธิ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ, ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ, กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ, มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ, ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ, ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ, ปญฺญา ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ, วิมุตฺติ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ (ที. นิ. ๓.๓๕๙)ฯ สีลวิสุทฺธีติ วิสุทฺธิํ ปาเปตุํ สมตฺถํ จตุปาริสุทฺธิสีลํฯ ตญฺหิ ทุสฺสีลฺยมลํ วิโสเธติฯ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคนฺติ ปริสุทฺธภาวสฺส ปธานํ อุตฺตมํ องฺคํฯ จิตฺตวิสุทฺธีติ วิปสฺสนาย ปทฎฺฐานภูตา ปคุณา อฎฺฐ สมาปตฺติโยฯ ตา หิ กามจฺฉนฺทาทิจิตฺตมลํ วิโสเธนฺติฯ ทิฎฺฐิวิสุทฺธีติ สปฺปจฺจยนามรูปทสฺสนํฯ ตญฺหิ สตฺตทิฎฺฐิมลํ วิโสเธติฯ กงฺขาวิตรณวิสุทฺธีติ ปจฺจยาการญาณํฯ เตน หิ ตีสุ อทฺธาสุ ปจฺจยวเสน ธมฺมา ปวตฺตนฺตีติ ปสฺสโนฺต ตีสุปิ อทฺธาสุ สตฺตกงฺขามลํ วิตรโนฺต วิสุชฺฌติฯ มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธีติ อุทยพฺพยานุปสฺสนกฺขเณ อุปฺปนฺนา โอภาสญาณปีติปสฺสทฺธิสุขอธิโมกฺขปคฺคหอุปฎฺฐานอุเปกฺขานิกนฺตีติ ทส วิปสฺสนุปกฺกิเลสา, น มโคฺค, วีถิปฎิปนฺนํ อุทยพฺพยญาณํ มโคฺคติ เอวํ มคฺคามเคฺค ญาณํ นามฯ เตน หิ อมคฺคมลํ วิโสเธติฯ ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธีติ วีถิปฎิปนฺนํ อุทยพฺพยานุปสฺสนาญาณํ ภงฺคานุปสฺสนาญาณํ ภยตุปฎฺฐานานุปสฺสนาญาณํ อาทีนวานุปสฺสนาญาณํ นิพฺพิทานุปสฺสนาญาณํ มุญฺจิตุกมฺยตาญาณํ ปฎิสงฺขานุปสฺสนาญาณํ สงฺขารุเปกฺขาญาณํ อนุโลมญาณนฺติ อิมานิ นว วิปสฺสนาญาณานิฯ ตานิ หิ นิจฺจสญฺญาทิมลํ วิโสเธนฺติฯ ญาณทสฺสนวิสุทฺธีติ จตุอริยมคฺคปญฺญาฯ สา หิ สมุเจฺฉทโต สกสกมคฺควชฺฌกิเลสมลํ วิโสเธติฯ ปญฺญาติ อรหตฺตผลปญฺญาฯ วิมุตฺตีติ อรหตฺตผลวิมุตฺติฯ

    Navapārisuddhipadhāniyaṅgānīti sīlavisuddhi pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ, cittavisuddhi pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ, diṭṭhivisuddhi pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ, kaṅkhāvitaraṇavisuddhi pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ, maggāmaggañāṇadassanavisuddhi pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ, paṭipadāñāṇadassanavisuddhi pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ, ñāṇadassanavisuddhi pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ, paññā pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ, vimutti pārisuddhipadhāniyaṅgaṃ (dī. ni. 3.359). Sīlavisuddhīti visuddhiṃ pāpetuṃ samatthaṃ catupārisuddhisīlaṃ. Tañhi dussīlyamalaṃ visodheti. Pārisuddhipadhāniyaṅganti parisuddhabhāvassa padhānaṃ uttamaṃ aṅgaṃ. Cittavisuddhīti vipassanāya padaṭṭhānabhūtā paguṇā aṭṭha samāpattiyo. Tā hi kāmacchandādicittamalaṃ visodhenti. Diṭṭhivisuddhīti sappaccayanāmarūpadassanaṃ. Tañhi sattadiṭṭhimalaṃ visodheti. Kaṅkhāvitaraṇavisuddhīti paccayākārañāṇaṃ. Tena hi tīsu addhāsu paccayavasena dhammā pavattantīti passanto tīsupi addhāsu sattakaṅkhāmalaṃ vitaranto visujjhati. Maggāmaggañāṇadassanavisuddhīti udayabbayānupassanakkhaṇe uppannā obhāsañāṇapītipassaddhisukhaadhimokkhapaggahaupaṭṭhānaupekkhānikantīti dasa vipassanupakkilesā, na maggo, vīthipaṭipannaṃ udayabbayañāṇaṃ maggoti evaṃ maggāmagge ñāṇaṃ nāma. Tena hi amaggamalaṃ visodheti. Paṭipadāñāṇadassanavisuddhīti vīthipaṭipannaṃ udayabbayānupassanāñāṇaṃ bhaṅgānupassanāñāṇaṃ bhayatupaṭṭhānānupassanāñāṇaṃ ādīnavānupassanāñāṇaṃ nibbidānupassanāñāṇaṃ muñcitukamyatāñāṇaṃ paṭisaṅkhānupassanāñāṇaṃ saṅkhārupekkhāñāṇaṃ anulomañāṇanti imāni nava vipassanāñāṇāni. Tāni hi niccasaññādimalaṃ visodhenti. Ñāṇadassanavisuddhīti catuariyamaggapaññā. Sā hi samucchedato sakasakamaggavajjhakilesamalaṃ visodheti. Paññāti arahattaphalapaññā. Vimuttīti arahattaphalavimutti.

    ทส กสิณายตนานีติ ‘‘ปถวีกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธํ อโธ ติริยํ อทฺวยํ อปฺปมาณํ, อาโปกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… เตโชกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… วาโยกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… นีลกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… ปีตกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… โลหิตกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… โอทาตกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… อากาสกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… วิญฺญาณกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธํ อโธ ติริยํ อทฺวยํ อปฺปมาณ’’นฺติ (อ. นิ. ๑๐.๒๕; ที. นิ. ๓.๓๖๐) เอวํ วุตฺตานิ ทสฯ เอตานิ หิ สกลผรณเฎฺฐน กสิณานิ, ตทารมฺมณานํ ธมฺมานํ เขตฺตเฎฺฐน อธิฎฺฐานเฎฺฐน วา อายตนานิฯ อุทฺธนฺติ อุปริคคนตลาภิมุขํฯ อโธติ เหฎฺฐาภูมิตลาภิมุขํฯ ติริยนฺติ เขตฺตมณฺฑลมิว สมนฺตา ปริจฺฉินฺนํฯ เอกโจฺจ หิ อุทฺธเมว กสิณํ วเฑฺฒติ เอกโจฺจ อโธ, เอกโจฺจ สมนฺตโตฯ เอโกปิ เตน เตน วา การเณน เอวํ ปสาเรติ อาโลกมิว รูปทสฺสนกาโมฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปถวีกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธํ อโธ ติริย’’นฺติ (อ. นิ. ๑๐.๒๕; ที. นิ. ๓.๓๖๐)ฯ อทฺวยนฺติ อิทํ ปน เอกสฺส อญฺญภาวานุปคมนตฺถํ วุตฺตํฯ ยถา หิ อุทกํ ปวิฎฺฐสฺส สพฺพทิสาสุ อุทกเมว โหติ น อญฺญํ, เอวเมว ปถวีกสิณํ ปถวีกสิณเมว โหติ, นตฺถิ ตสฺส อญฺญกสิณสเมฺภโทติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อปฺปมาณนฺติ อิทํ ตสฺส ตสฺส ผรณอปฺปมาณวเสน วุตฺตํฯ ตญฺหิ มนสา ผรโนฺต สกลเมว ผรติ, น ‘‘อยมสฺส อาทิ อิทํ มชฺฌ’’นฺติ ปมาณํ คณฺหาตีติฯ อากาสกสิณนฺติ กสิณุคฺฆาฎิมากาโส ปริเจฺฉทากาสกสิณญฺจฯ วิญฺญาณกสิณนฺติ กสิณุคฺฆาฎิมากาเส ปวตฺตวิญฺญาณํฯ ตตฺถ กสิณวเสน กสิณุคฺฆาฎิมากาเส, กสิณุคฺฆาฎิมากาสวเสน ตตฺถ ปวตฺตวิญฺญาเณ อุทฺธํอโธติริยตา เวทิตพฺพา, ปริเจฺฉทากาสกสิณสฺสปิ วฑฺฒนียตฺตา ตสฺส วเสนปีติฯ

    Dasa kasiṇāyatanānīti ‘‘pathavīkasiṇameko sañjānāti uddhaṃ adho tiriyaṃ advayaṃ appamāṇaṃ, āpokasiṇameko sañjānāti…pe… tejokasiṇameko sañjānāti…pe… vāyokasiṇameko sañjānāti…pe… nīlakasiṇameko sañjānāti…pe… pītakasiṇameko sañjānāti…pe… lohitakasiṇameko sañjānāti…pe… odātakasiṇameko sañjānāti…pe… ākāsakasiṇameko sañjānāti…pe… viññāṇakasiṇameko sañjānāti uddhaṃ adho tiriyaṃ advayaṃ appamāṇa’’nti (a. ni. 10.25; dī. ni. 3.360) evaṃ vuttāni dasa. Etāni hi sakalapharaṇaṭṭhena kasiṇāni, tadārammaṇānaṃ dhammānaṃ khettaṭṭhena adhiṭṭhānaṭṭhena vā āyatanāni. Uddhanti uparigaganatalābhimukhaṃ. Adhoti heṭṭhābhūmitalābhimukhaṃ. Tiriyanti khettamaṇḍalamiva samantā paricchinnaṃ. Ekacco hi uddhameva kasiṇaṃ vaḍḍheti ekacco adho, ekacco samantato. Ekopi tena tena vā kāraṇena evaṃ pasāreti ālokamiva rūpadassanakāmo. Tena vuttaṃ – ‘‘pathavīkasiṇameko sañjānāti uddhaṃ adho tiriya’’nti (a. ni. 10.25; dī. ni. 3.360). Advayanti idaṃ pana ekassa aññabhāvānupagamanatthaṃ vuttaṃ. Yathā hi udakaṃ paviṭṭhassa sabbadisāsu udakameva hoti na aññaṃ, evameva pathavīkasiṇaṃ pathavīkasiṇameva hoti, natthi tassa aññakasiṇasambhedoti. Esa nayo sabbattha. Appamāṇanti idaṃ tassa tassa pharaṇaappamāṇavasena vuttaṃ. Tañhi manasā pharanto sakalameva pharati, na ‘‘ayamassa ādi idaṃ majjha’’nti pamāṇaṃ gaṇhātīti. Ākāsakasiṇanti kasiṇugghāṭimākāso paricchedākāsakasiṇañca. Viññāṇakasiṇanti kasiṇugghāṭimākāse pavattaviññāṇaṃ. Tattha kasiṇavasena kasiṇugghāṭimākāse, kasiṇugghāṭimākāsavasena tattha pavattaviññāṇe uddhaṃadhotiriyatā veditabbā, paricchedākāsakasiṇassapi vaḍḍhanīyattā tassa vasenapīti.

    ๒๖. อิทานิ ภาวนาปเภทํ ทเสฺสโนฺต เทฺว ภาวนาติอาทิมาหฯ ตตฺถ โลกิยาติอาทีสุ โลโก วุจฺจติ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน วฎฺฎํ, ตสฺมิํ ปริยาปนฺนภาเวน โลเก นิยุตฺตาติ โลกิยา, โลกิยานํ ธมฺมานํ ภาวนา โลกิยาฯ กิญฺจาปิ ธมฺมานํ ภาวนาติ โวหารวเสน วุจฺจติ, เตหิ ปน วิสุํ ภาวนา นตฺถิฯ เต เอว หิ ธมฺมา ภาวิยมานา ภาวนาติ วุจฺจนฺติฯ อุตฺติณฺณาติ อุตฺตรา, โลเก อปริยาปนฺนภาเวน โลกโต อุตฺตราติ โลกุตฺตรา

    26. Idāni bhāvanāpabhedaṃ dassento dve bhāvanātiādimāha. Tattha lokiyātiādīsu loko vuccati lujjanapalujjanaṭṭhena vaṭṭaṃ, tasmiṃ pariyāpannabhāvena loke niyuttāti lokiyā, lokiyānaṃ dhammānaṃ bhāvanā lokiyā. Kiñcāpi dhammānaṃ bhāvanāti vohāravasena vuccati, tehi pana visuṃ bhāvanā natthi. Te eva hi dhammā bhāviyamānā bhāvanāti vuccanti. Uttiṇṇāti uttarā, loke apariyāpannabhāvena lokato uttarāti lokuttarā.

    รูปภวสงฺขาเต รูเป อวจรนฺตีติ รูปาวจราฯ กุสลสโทฺท ปเนตฺถ อาโรคฺยอนวชฺชเฉกสุขวิปาเกสุ ทิสฺสติฯ ‘‘กจฺจิ นุ โภโต กุสลํ? กจฺจิ โภโต อนามย’’นฺติอาทีสุ (ชา. ๑.๑๕.๑๔๖; ๒.๒๐.๑๒๙) อาโรเคฺยฯ ‘‘กตโม ปน, ภเนฺต, กายสมาจาโร กุสโล? โย โข, มหาราช, กายสมาจาโร อนวโชฺช’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๖๑) จ ‘‘ปุน จปรํ, ภเนฺต, เอตทานุตฺตริยํ, ยถา ภควา ธมฺมํ เทเสติ กุสเลสุ ธเมฺมสู’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๔๕) จ เอวมาทีสุ อนวเชฺชฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, กุสโล ตฺวํ รถสฺส องฺคปจฺจงฺคาน’’นฺติ? (ม. นิ. ๒.๘๗) ‘‘กุสลา นจฺจคีตสฺส สิกฺขิตา จาตุริตฺถิโย’’ติ (ชา. ๒.๒๒.๙๔) จ อาทีสุ เฉเกฯ ‘‘กุสลานํ ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๘๐) ‘‘กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา’’ติ (ธ. ส. ๔๓๑) จ อาทีสุ สุขวิปาเกฯ สฺวายมิธ อาโรเคฺยปิ อนวเชฺชปิ สุขวิปาเกปิ วฎฺฎติฯ วจนโตฺถ ปเนตฺถ กุจฺฉิเต ปาปเก ธเมฺม สลยนฺติ จลยนฺติ กเมฺปนฺติ วิทฺธํเสนฺตีติ กุสลา, กุจฺฉิเตน วา อากาเรน สยนฺติ ปวตฺตนฺตีติ กุสา, เต อกุสลสงฺขาเต กุเส ลุนนฺติ ฉินฺทนฺตีติ กุสลา, กุจฺฉิตานํ วา สานโต ตนุกรณโต กุสํ, ญาณํฯ เตน กุเสน ลาตพฺพา คเหตพฺพา ปวเตฺตตพฺพาติ กุสลา, ยถา วา กุสา อุภยภาคคตํ หตฺถปฺปเทสํ ลุนนฺติ, เอวมิเมปิ อุปฺปนฺนานุปฺปนฺนภาเวน อุภยภาคคตํ สํกิเลสปกฺขํ ลุนนฺติ, ตสฺมา กุสา วิย ลุนนฺตีติ กุสลาฯ เตสํ รูปาวจรกุสลานํ ภาวนาฯ อรูปภวสงฺขาเต อรูเป อวจรนฺตีติ อรูปาวจราฯ เตภูมกวเฎฺฎ ปริยาปนฺนา อโนฺตคธาติ ปริยาปนฺนา, ตสฺมิํ น ปริยาปนฺนาติ อปริยาปนฺนา, โลกุตฺตราฯ

    Rūpabhavasaṅkhāte rūpe avacarantīti rūpāvacarā. Kusalasaddo panettha ārogyaanavajjachekasukhavipākesu dissati. ‘‘Kacci nu bhoto kusalaṃ? Kacci bhoto anāmaya’’ntiādīsu (jā. 1.15.146; 2.20.129) ārogye. ‘‘Katamo pana, bhante, kāyasamācāro kusalo? Yo kho, mahārāja, kāyasamācāro anavajjo’’ti (ma. ni. 2.361) ca ‘‘puna caparaṃ, bhante, etadānuttariyaṃ, yathā bhagavā dhammaṃ deseti kusalesu dhammesū’’ti (dī. ni. 3.145) ca evamādīsu anavajje. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, kusalo tvaṃ rathassa aṅgapaccaṅgāna’’nti? (Ma. ni. 2.87) ‘‘kusalā naccagītassa sikkhitā cāturitthiyo’’ti (jā. 2.22.94) ca ādīsu cheke. ‘‘Kusalānaṃ dhammānaṃ samādānahetu evamidaṃ puññaṃ pavaḍḍhatī’’ti (dī. ni. 3.80) ‘‘kusalassa kammassa katattā upacitattā’’ti (dha. sa. 431) ca ādīsu sukhavipāke. Svāyamidha ārogyepi anavajjepi sukhavipākepi vaṭṭati. Vacanattho panettha kucchite pāpake dhamme salayanti calayanti kampenti viddhaṃsentīti kusalā, kucchitena vā ākārena sayanti pavattantīti kusā, te akusalasaṅkhāte kuse lunanti chindantīti kusalā, kucchitānaṃ vā sānato tanukaraṇato kusaṃ, ñāṇaṃ. Tena kusena lātabbā gahetabbā pavattetabbāti kusalā, yathā vā kusā ubhayabhāgagataṃ hatthappadesaṃ lunanti, evamimepi uppannānuppannabhāvena ubhayabhāgagataṃ saṃkilesapakkhaṃ lunanti, tasmā kusā viya lunantīti kusalā. Tesaṃ rūpāvacarakusalānaṃ bhāvanā. Arūpabhavasaṅkhāte arūpe avacarantīti arūpāvacarā. Tebhūmakavaṭṭe pariyāpannā antogadhāti pariyāpannā, tasmiṃ na pariyāpannāti apariyāpannā, lokuttarā.

    กามาวจรกุสลานํ ธมฺมานํ ภาวนา กสฺมา น วุตฺตาติ เจ? อปฺปนาปฺปตฺตาย เอว ภาวนาย อภิธเมฺม ภาวนาติ อธิเปฺปตตฺตาฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ –

    Kāmāvacarakusalānaṃ dhammānaṃ bhāvanā kasmā na vuttāti ce? Appanāppattāya eva bhāvanāya abhidhamme bhāvanāti adhippetattā. Vuttañhi tattha –

    ‘‘โยควิหิเตสุ วา กมฺมายตเนสุ โยควิหิเตสุ วา สิปฺปายตเนสุ โยควิหิเตสุ วา วิชฺชาฎฺฐาเนสุ กมฺมสฺสกตํ วา สจฺจานุโลมิกํ วา รูปํ อนิจฺจนฺติ วา, เวทนา อนิจฺจาติ วา, สญฺญา อนิจฺจาติ วา, สงฺขารา อนิจฺจาติ วา, วิญฺญาณํ อนิจฺจนฺติ วา ยํ เอวรูปํ อนุโลมิกํ ขนฺติํ ทิฎฺฐิํ รุจิํ มุทิํ เปกฺขํ ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติํ ปรโต อสุตฺวา ปฎิลภติ, อยํ วุจฺจติ จินฺตามยา ปญฺญาฯ โยควิหิเตสุ วา กมฺมายตเนสุ…เป.… ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติํ ปรโต สุตฺวา ปฎิลภติ, อยํ วุจฺจติ สุตมยา ปญฺญาฯ สพฺพาปิ สมาปนฺนสฺส ปญฺญา ภาวนามยา ปญฺญา’’ติ (วิภ. ๗๖๘)ฯ

    ‘‘Yogavihitesu vā kammāyatanesu yogavihitesu vā sippāyatanesu yogavihitesu vā vijjāṭṭhānesu kammassakataṃ vā saccānulomikaṃ vā rūpaṃ aniccanti vā, vedanā aniccāti vā, saññā aniccāti vā, saṅkhārā aniccāti vā, viññāṇaṃ aniccanti vā yaṃ evarūpaṃ anulomikaṃ khantiṃ diṭṭhiṃ ruciṃ mudiṃ pekkhaṃ dhammanijjhānakkhantiṃ parato asutvā paṭilabhati, ayaṃ vuccati cintāmayā paññā. Yogavihitesu vā kammāyatanesu…pe… dhammanijjhānakkhantiṃ parato sutvā paṭilabhati, ayaṃ vuccati sutamayā paññā. Sabbāpi samāpannassa paññā bhāvanāmayā paññā’’ti (vibha. 768).

    สา ปน กามาวจรภาวนา อาวชฺชนภวงฺคปาเตหิ อนฺตริตตฺตา ภาวนาติ น วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ สเพฺพสํ ปน ปุญฺญานํ ติวิธปุญฺญกิริยวตฺถูนํ อโนฺตคธตฺตา อุปจารสมาธิวิปสฺสนาสมาธีนํ ภาวนามยปุญฺญตา สิทฺธาฯ อิธ ปน โลกิยภาวนาย เอว สงฺคหิตาฯ รูปารูปาวจรานํ ติวิธภาเว หีนาติ ลามกาฯ หีนุตฺตมานํ มเชฺฌ ภวา มชฺฌา, มชฺฌิมาติปิ ปาโฐฯ ปธานภาวํ นีตาติ ปณีตา, อุตฺตมาติ อโตฺถฯ อายูหนวเสน อยํ หีนมชฺฌิมปณีตตา เวทิตพฺพาฯ ยสฺสา หิ อายูหนกฺขเณ ฉโนฺท วา หีโน โหติ วีริยํ วา จิตฺตํ วา วีมํสา วา, สา หีนา นามฯ ยสฺสา เต ธมฺมา มชฺฌิมา, สา มชฺฌิมา นามฯ ยสฺสา เต ธมฺมา ปณีตา, สา ปณีตา นามฯ มุทุเกหิ วา อินฺทฺริเยหิ สมฺปยุตฺตา หีนา นาม, มชฺฌิเมหิ อินฺทฺริเยหิ สมฺปยุตฺตา มชฺฌิมา, อธิมเตฺตหิ อินฺทฺริเยหิ สมฺปยุตฺตา ปณีตา นามฯ อปริยาปนฺนาย หีนมชฺฌิมตฺตาภาวา ปณีตตา เอว วุตฺตาฯ สา หิ อุตฺตมเฎฺฐน อตปฺปกเฎฺฐน จ ปณีตาฯ

    Sā pana kāmāvacarabhāvanā āvajjanabhavaṅgapātehi antaritattā bhāvanāti na vuttāti veditabbā. Sabbesaṃ pana puññānaṃ tividhapuññakiriyavatthūnaṃ antogadhattā upacārasamādhivipassanāsamādhīnaṃ bhāvanāmayapuññatā siddhā. Idha pana lokiyabhāvanāya eva saṅgahitā. Rūpārūpāvacarānaṃ tividhabhāve hīnāti lāmakā. Hīnuttamānaṃ majjhe bhavā majjhā, majjhimātipi pāṭho. Padhānabhāvaṃ nītāti paṇītā, uttamāti attho. Āyūhanavasena ayaṃ hīnamajjhimapaṇītatā veditabbā. Yassā hi āyūhanakkhaṇe chando vā hīno hoti vīriyaṃ vā cittaṃ vā vīmaṃsā vā, sā hīnā nāma. Yassā te dhammā majjhimā, sā majjhimā nāma. Yassā te dhammā paṇītā, sā paṇītā nāma. Mudukehi vā indriyehi sampayuttā hīnā nāma, majjhimehi indriyehi sampayuttā majjhimā, adhimattehi indriyehi sampayuttā paṇītā nāma. Apariyāpannāya hīnamajjhimattābhāvā paṇītatā eva vuttā. Sā hi uttamaṭṭhena atappakaṭṭhena ca paṇītā.

    ๒๗. ปฐมภาวนาจตุเกฺก ภาเวตีติ เอกสฺมิํเยว ขเณ ตถา ตถา ปฎิวิชฺฌโนฺต อริยมคฺคํ ภาเวติฯ ทุติยภาวนาจตุเกฺก เอสนาภาวนาติ อปฺปนาปุพฺพภาเค ภาวนาฯ สา หิ อปฺปนํ เอสนฺติ เอตายาติ เอสนาติ วุตฺตาฯ ปฎิลาภภาวนาติ อปฺปนาภาวนาฯ สา หิ ตาย เอสนาย ปฎิลพฺภตีติ ปฎิลาโภติ วุตฺตาฯ เอกรสาภาวนาติ ปฎิลาเภ วสีภาวํ ปตฺตุกามสฺส ปโยคกาเล ภาวนาฯ สา หิ เตน เตน ปหาเนน เตหิ เตหิ กิเลเสหิ วิมุตฺตตฺตา วิมุตฺติรเสน เอกรสาติ กตฺวา เอกรสาติ วุตฺตาฯ อาเสวนาภาวนาติ ปฎิลาเภ วสิปฺปตฺตสฺส ยถารุจิ ปริโภคกาเล ภาวนาฯ สา หิ ภุสํ เสวียตีติ อาเสวนาติ วุตฺตาฯ เกจิ ปน ‘‘อาเสวนาภาวนา วสีกมฺมํ, เอกรสาภาวนา สพฺพตฺถิกา’’ติ วณฺณยนฺติฯ จตุกฺกวิภาเค สมาธิํ สมาปชฺชนฺตานนฺติ วตฺตมานสมีเป วตฺตมานวจนํฯ ตตฺถ ชาตาติ ตสฺมิํ ปุพฺพภาเค ชาตาฯ เอกรสา โหนฺตีติ อปฺปนุปฺปาทเน สมานกิจฺจา โหนฺติฯ สมาธิํ สมาปนฺนานนฺติ อปฺปิตปฺปนานํฯ ตตฺถ ชาตาติ ตสฺสา อปฺปนาย ชาตาฯ อญฺญมญฺญํ นาติวตฺตนฺตีติ สมปฺปวตฺติยา อญฺญมญฺญํ นาติกฺกมนฺติฯ อธิโมกฺขเฎฺฐน สทฺธินฺทฺริยํ ภาวยโตติอาทีสุ เอกกฺขเณปิ เอเกกสฺส อินฺทฺริยสฺส สกสกกิจฺจกรเณ ตํตํนิสฺสยวเสน สกสกกิจฺจการกานิ เสสานิปิ อินฺทฺริยานิ วิมุตฺติรเสน เอกรสา โหนฺตีติ วิมุตฺติรเสเนว เอกรสเฎฺฐน ภาวนาฯ พลโพชฺฌงฺคมคฺคเงฺคสุปิ เอเสว นโยฯ เอกรสาติ จ ลิงฺควิปลฺลาโส กโตฯ

    27. Paṭhamabhāvanācatukke bhāvetīti ekasmiṃyeva khaṇe tathā tathā paṭivijjhanto ariyamaggaṃ bhāveti. Dutiyabhāvanācatukke esanābhāvanāti appanāpubbabhāge bhāvanā. Sā hi appanaṃ esanti etāyāti esanāti vuttā. Paṭilābhabhāvanāti appanābhāvanā. Sā hi tāya esanāya paṭilabbhatīti paṭilābhoti vuttā. Ekarasābhāvanāti paṭilābhe vasībhāvaṃ pattukāmassa payogakāle bhāvanā. Sā hi tena tena pahānena tehi tehi kilesehi vimuttattā vimuttirasena ekarasāti katvā ekarasāti vuttā. Āsevanābhāvanāti paṭilābhe vasippattassa yathāruci paribhogakāle bhāvanā. Sā hi bhusaṃ sevīyatīti āsevanāti vuttā. Keci pana ‘‘āsevanābhāvanā vasīkammaṃ, ekarasābhāvanā sabbatthikā’’ti vaṇṇayanti. Catukkavibhāge samādhiṃ samāpajjantānanti vattamānasamīpe vattamānavacanaṃ. Tattha jātāti tasmiṃ pubbabhāge jātā. Ekarasā hontīti appanuppādane samānakiccā honti. Samādhiṃ samāpannānanti appitappanānaṃ. Tattha jātāti tassā appanāya jātā. Aññamaññaṃ nātivattantīti samappavattiyā aññamaññaṃ nātikkamanti. Adhimokkhaṭṭhenasaddhindriyaṃbhāvayatotiādīsu ekakkhaṇepi ekekassa indriyassa sakasakakiccakaraṇe taṃtaṃnissayavasena sakasakakiccakārakāni sesānipi indriyāni vimuttirasena ekarasā hontīti vimuttiraseneva ekarasaṭṭhena bhāvanā. Balabojjhaṅgamaggaṅgesupi eseva nayo. Ekarasāti ca liṅgavipallāso kato.

    อิธ ภิกฺขูติ อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขุฯ สํสาเร ภยํ อิกฺขตีติ ภิกฺขุฯ ปุพฺพณฺหสมยนฺติอาทีสุ อจฺจนฺตสํโยคเตฺถ อุปโยควจนํ, อตฺถโต ปน ภุมฺมเมว , ทิวสสฺส ปุพฺพกาเลติ อโตฺถฯ อาเสวตีติ วสิปฺปตฺตํ สมาธิํ ภุสํ เสวติฯ มชฺฌนฺหิกสมยนฺติ ทิวสสฺส มชฺฌกาเลฯ สายนฺหสมยนฺติ ทิวสสฺส สายนฺหกาเลฯ ปุเรภตฺตนฺติ ทิวาภตฺตโต ปุเรกาเลฯ ปจฺฉาภตฺตนฺติ ทิวาภตฺตโต ปจฺฉากาเลฯ ปุริเมปิ ยาเมติ รตฺติยา ปฐเม โกฎฺฐาเสฯ กาเฬติ กาฬปเกฺขฯ ชุเณฺหติ สุกฺกปเกฺขฯ ปุริเมปิ วโยขเนฺธติ ปฐเม วโยโกฎฺฐาเส, ปฐมวเยติ อโตฺถฯ ตีสุ จ วเยสุ วสฺสสตายุกสฺส ปุริสสฺส เอเกกสฺมิํ วเย จตุมาสาธิกานิ เตตฺติํส วสฺสานิ โหนฺติฯ

    Idha bhikkhūti imasmiṃ sāsane bhikkhu. Saṃsāre bhayaṃ ikkhatīti bhikkhu. Pubbaṇhasamayantiādīsu accantasaṃyogatthe upayogavacanaṃ, atthato pana bhummameva , divasassa pubbakāleti attho. Āsevatīti vasippattaṃ samādhiṃ bhusaṃ sevati. Majjhanhikasamayanti divasassa majjhakāle. Sāyanhasamayanti divasassa sāyanhakāle. Purebhattanti divābhattato purekāle. Pacchābhattanti divābhattato pacchākāle. Purimepi yāmeti rattiyā paṭhame koṭṭhāse. Kāḷeti kāḷapakkhe. Juṇheti sukkapakkhe. Purimepi vayokhandheti paṭhame vayokoṭṭhāse, paṭhamavayeti attho. Tīsu ca vayesu vassasatāyukassa purisassa ekekasmiṃ vaye catumāsādhikāni tettiṃsa vassāni honti.

    ๒๘. ตติยภาวนาจตุเกฺก ตตฺถ ชาตานํ ธมฺมานํ อนติวตฺตนเฎฺฐนาติ ตตฺถ เนกฺขมฺมาทีสุ ภาวนาวิเสเสสุ ชาตานํ สมาธิปญฺญาสงฺขาตานํ ยุคนทฺธธมฺมานํ อญฺญมญฺญํ อนติกฺกมนภาเวนฯ อินฺทฺริยานํ เอกรสเฎฺฐนาติ ตเตฺถว สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ นานากิเลเสหิ วิมุตฺตตฺตา วิมุตฺติรเสน เอกรสภาเวนฯ ตทุปควีริยวาหนเฎฺฐนาติ เตสํ อนติวตฺตนเอกรสภาวานํ อนุจฺฉวิกสฺส วีริยสฺส วาหนภาเวนฯ อาเสวนเฎฺฐนาติ ยา ตสฺส ตสฺมิํ สมเย ปวตฺตา อาเสวนาฯ ตสฺสา อาเสวนาย อาเสวนภาเวนฯ

    28. Tatiyabhāvanācatukke tattha jātānaṃ dhammānaṃ anativattanaṭṭhenāti tattha nekkhammādīsu bhāvanāvisesesu jātānaṃ samādhipaññāsaṅkhātānaṃ yuganaddhadhammānaṃ aññamaññaṃ anatikkamanabhāvena. Indriyānaṃ ekarasaṭṭhenāti tattheva saddhādīnaṃ indriyānaṃ nānākilesehi vimuttattā vimuttirasena ekarasabhāvena. Tadupagavīriyavāhanaṭṭhenāti tesaṃ anativattanaekarasabhāvānaṃ anucchavikassa vīriyassa vāhanabhāvena. Āsevanaṭṭhenāti yā tassa tasmiṃ samaye pavattā āsevanā. Tassā āsevanāya āsevanabhāvena.

    รูปสญฺญนฺติ กุสลวิปากกิริยวเสน ปญฺจทสวิธํ รูปาวจรชฺฌานสงฺขาตํ รูปสญฺญํฯ รูปาวจรชฺฌานมฺปิ หิ รูปนฺติ วุจฺจติ ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๗๔; อ. นิ. ๘.๖๖; ธ. ส. ๒๔๘), ตสฺส ฌานสฺส อารมฺมณมฺปิ ‘‘พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๗๓; อ. นิ. ๘.๖๕-๖๖; ธ. ส. ๒๔๗, ๒๔๙)ฯ รูปาวจรชฺฌานญฺหิ สญฺญาสีเสน รูเป สญฺญาติ กตฺวา รูปสญฺญาติ วุจฺจติฯ ปฎิฆสญฺญนฺติ กุสลวิปากา ปญฺจ, อกุสลวิปากา ปญฺจาติ เอวํ ทสวิธํ ปฎิฆสญฺญํฯ ทฺวิปญฺจวิญฺญาณสมฺปยุตฺตา หิ สญฺญา จกฺขาทีนํ วตฺถูนํ รูปาทีนํ อารมฺมณานญฺจ ปฎิฆาเตน อุปฺปนฺนตฺตา ปฎิฆสญฺญาติ วุจฺจติฯ รูปสญฺญา สทฺทสญฺญา คนฺธสญฺญา รสสญฺญา โผฎฺฐพฺพสญฺญาติปิ เอติสฺสา เอว นามํฯ นานตฺตสญฺญนฺติ อฎฺฐ กามาวจรกุสลสญฺญา, ทฺวาทส อกุสลสญฺญา , เอกาทส กามาวจรกุสลวิปากสญฺญา, เทฺว อกุสลวิปากสญฺญา, เอกาทส กามาวจรกิริยสญฺญาติ เอวํ จตุจตฺตาลีสวิธํ นานตฺตสญฺญํฯ สา หิ นานเตฺต นานาสภาเว รูปสทฺทาทิเภเท โคจเร ปวตฺตา สญฺญาติ นานตฺตสญฺญา, จตุจตฺตาลีสเภทโต นานตฺตา นานาสภาวา อญฺญมญฺญํ อสทิสา สญฺญาติ วา นานตฺตสญฺญาติ วุจฺจติฯ สญฺญาพหุกเตฺตปิ ชาติคฺคหเณน เอกวจนํ กตํฯ

    Rūpasaññanti kusalavipākakiriyavasena pañcadasavidhaṃ rūpāvacarajjhānasaṅkhātaṃ rūpasaññaṃ. Rūpāvacarajjhānampi hi rūpanti vuccati ‘‘rūpī rūpāni passatī’’tiādīsu (dī. ni. 2.174; a. ni. 8.66; dha. sa. 248), tassa jhānassa ārammaṇampi ‘‘bahiddhā rūpāni passati suvaṇṇadubbaṇṇānī’’tiādīsu (dī. ni. 2.173; a. ni. 8.65-66; dha. sa. 247, 249). Rūpāvacarajjhānañhi saññāsīsena rūpe saññāti katvā rūpasaññāti vuccati. Paṭighasaññanti kusalavipākā pañca, akusalavipākā pañcāti evaṃ dasavidhaṃ paṭighasaññaṃ. Dvipañcaviññāṇasampayuttā hi saññā cakkhādīnaṃ vatthūnaṃ rūpādīnaṃ ārammaṇānañca paṭighātena uppannattā paṭighasaññāti vuccati. Rūpasaññā saddasaññā gandhasaññā rasasaññā phoṭṭhabbasaññātipi etissā eva nāmaṃ. Nānattasaññanti aṭṭha kāmāvacarakusalasaññā, dvādasa akusalasaññā , ekādasa kāmāvacarakusalavipākasaññā, dve akusalavipākasaññā, ekādasa kāmāvacarakiriyasaññāti evaṃ catucattālīsavidhaṃ nānattasaññaṃ. Sā hi nānatte nānāsabhāve rūpasaddādibhede gocare pavattā saññāti nānattasaññā, catucattālīsabhedato nānattā nānāsabhāvā aññamaññaṃ asadisā saññāti vā nānattasaññāti vuccati. Saññābahukattepi jātiggahaṇena ekavacanaṃ kataṃ.

    นิจฺจสญฺญนฺติ นิจฺจนฺติ สญฺญํ นิจฺจสญฺญํฯ เอวํ สุขสญฺญํ อตฺตสญฺญํฯ นนฺทินฺติ สปฺปีติกํ ตณฺหํฯ ราคนฺติ นิปฺปีติกํ ตณฺหํฯ สมุทยนฺติ ราคสฺส สมุทยํฯ อถ วา ภงฺคานุปสฺสนาย ภงฺคเสฺสว ทสฺสนโต สงฺขารานํ อุทยํฯ อาทานนฺติ นิพฺพตฺตนวเสน กิเลสานํ, อโทสทสฺสาวิตาย สงฺขตารมฺมณสฺส วา อาทานํฯ ฆนสญฺญนฺติ สนฺตติวเสน ฆนนฺติ สญฺญํฯ อายูหนนฺติ สงฺขารานํ อตฺถาย ปโยคกรณํฯ ธุวสญฺญนฺติ ถิรนฺติ สญฺญํฯ นิมิตฺตนฺติ นิจฺจนิมิตฺตํฯ ปณิธินฺติ สุขปตฺถนํฯ อภินิเวสนฺติ อตฺถิ อตฺตาติ อภินิเวสํฯ สาราทานาภินิเวสนฺติ นิจฺจสารตฺตสารคหณาภินิเวสํฯ สโมฺมหาภินิเวสนฺติ ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทิวเสน (สํ. นิ. ๒.๒๐) ‘‘อิสฺสรโต โลโก สโมฺภตี’’ติอาทิวเสน จ สโมฺมหาภินิเวสํฯ อาลยาภินิเวสนฺติ อาทีนวาทสฺสเนน อลฺลียิตพฺพมิทนฺติ อภินิเวสํฯ อปฺปฎิสงฺขนฺติ อนุปายคหณํฯ สโญฺญคาภินิเวสนฺติ กามโยคาทิกํ กิเลสปฺปวตฺติํฯ

    Niccasaññanti niccanti saññaṃ niccasaññaṃ. Evaṃ sukhasaññaṃ attasaññaṃ. Nandinti sappītikaṃ taṇhaṃ. Rāganti nippītikaṃ taṇhaṃ. Samudayanti rāgassa samudayaṃ. Atha vā bhaṅgānupassanāya bhaṅgasseva dassanato saṅkhārānaṃ udayaṃ. Ādānanti nibbattanavasena kilesānaṃ, adosadassāvitāya saṅkhatārammaṇassa vā ādānaṃ. Ghanasaññanti santativasena ghananti saññaṃ. Āyūhananti saṅkhārānaṃ atthāya payogakaraṇaṃ. Dhuvasaññanti thiranti saññaṃ. Nimittanti niccanimittaṃ. Paṇidhinti sukhapatthanaṃ. Abhinivesanti atthi attāti abhinivesaṃ. Sārādānābhinivesanti niccasārattasāragahaṇābhinivesaṃ. Sammohābhinivesanti ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādivasena (saṃ. ni. 2.20) ‘‘issarato loko sambhotī’’tiādivasena ca sammohābhinivesaṃ. Ālayābhinivesanti ādīnavādassanena allīyitabbamidanti abhinivesaṃ. Appaṭisaṅkhanti anupāyagahaṇaṃ. Saññogābhinivesanti kāmayogādikaṃ kilesappavattiṃ.

    ทิเฎฺฐกเฎฺฐติ ทิฎฺฐีหิ สห เอกสฺมิํ ฐิตาติ ทิเฎฺฐกฎฺฐาฯ เต ทิเฎฺฐกเฎฺฐฯ กิเลเสนฺติ อุปตาเปนฺติ, วิพาเธนฺติ วาติ กิเลสาฯ เต กิเลเสฯ ทุวิธญฺหิ เอกฎฺฐํ ปหาเนกฎฺฐํ สหเชกฎฺฐญฺจฯ ปหาเนกฎฺฐํ สกฺกายทิฎฺฐิปมุขาหิ เตสฎฺฐิยา ทิฎฺฐีหิ สห (ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๑๘) ยาว โสตาปตฺติมเคฺคน ปหานา, ตาว เอกสฺมิํ ปุคฺคเล ฐิตาติ อโตฺถฯ อิทมิธาธิเปฺปตํฯ ทสสุ หิ กิเลเสสุ อิธ ทิฎฺฐิกิเลโสเยว อาคโตฯ เสเสสุ ปน อปายคมนีโย โลโภ โทโส โมโห มาโน วิจิกิจฺฉา ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ นว กิเลสา ทิฎฺฐิยา สห ปหาเนกฎฺฐา หุตฺวา โสตาปตฺติมเคฺคน ปหียนฺติ, ราคโทสโมหปมุเขสุ วา ทิยเฑฺฒสุ กิเลสสหเสฺสสุ โสตาปตฺติมเคฺคน ทิฎฺฐิยา ปหียมานาย ทิฎฺฐิยา สห อปายคมนียา สพฺพกิเลสา ปหาเนกฎฺฐวเสน ปหียนฺติ, สหเชกเฎฺฐ ทิฎฺฐิยา สห เอกสฺมิํ จิเตฺต ฐิตาติ อโตฺถฯ โสตาปตฺติมเคฺคน หิ ทฺวีสุ ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตอสงฺขาริกจิเตฺตสุ ปหียมาเนสุ เตหิ สหชาโต โลโภ โมโห อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อิเม กิเลสา สหเชกฎฺฐวเสน ปหียนฺติ, ทฺวีสุ ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตสสงฺขาริกจิเตฺตสุ ปหียมาเนสุ เตหิ สหชาโต โลโภ โมโห ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อิเม กิเลสา สหเชกฎฺฐวเสน ปหียนฺติฯ โอฬาริเก กิเลเสติ โอฬาริกภูเต กามราคพฺยาปาเทฯ อนุสหคเต กิเลเสติ สุขุมภูเต กามราคพฺยาปาเทฯ สพฺพกิเลเสติ มคฺคตฺตเยน ปหีนาวเสเสฯ

    Diṭṭhekaṭṭheti diṭṭhīhi saha ekasmiṃ ṭhitāti diṭṭhekaṭṭhā. Te diṭṭhekaṭṭhe. Kilesenti upatāpenti, vibādhenti vāti kilesā. Te kilese. Duvidhañhi ekaṭṭhaṃ pahānekaṭṭhaṃ sahajekaṭṭhañca. Pahānekaṭṭhaṃ sakkāyadiṭṭhipamukhāhi tesaṭṭhiyā diṭṭhīhi saha (paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.118) yāva sotāpattimaggena pahānā, tāva ekasmiṃ puggale ṭhitāti attho. Idamidhādhippetaṃ. Dasasu hi kilesesu idha diṭṭhikilesoyeva āgato. Sesesu pana apāyagamanīyo lobho doso moho māno vicikicchā thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti nava kilesā diṭṭhiyā saha pahānekaṭṭhā hutvā sotāpattimaggena pahīyanti, rāgadosamohapamukhesu vā diyaḍḍhesu kilesasahassesu sotāpattimaggena diṭṭhiyā pahīyamānāya diṭṭhiyā saha apāyagamanīyā sabbakilesā pahānekaṭṭhavasena pahīyanti, sahajekaṭṭhe diṭṭhiyā saha ekasmiṃ citte ṭhitāti attho. Sotāpattimaggena hi dvīsu diṭṭhisampayuttaasaṅkhārikacittesu pahīyamānesu tehi sahajāto lobho moho uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ime kilesā sahajekaṭṭhavasena pahīyanti, dvīsu diṭṭhisampayuttasasaṅkhārikacittesu pahīyamānesu tehi sahajāto lobho moho thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ime kilesā sahajekaṭṭhavasena pahīyanti. Oḷārike kileseti oḷārikabhūte kāmarāgabyāpāde. Anusahagate kileseti sukhumabhūte kāmarāgabyāpāde. Sabbakileseti maggattayena pahīnāvasese.

    วีริยํ วาเหตีติ โยคาวจโร วีริยํ ปวเตฺตติฯ เหฎฺฐา เอสนาปฎิลาภเอกรสอาเสวนวจนานิ ภาวนานํ วิเสสทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิ ‘‘เอวํภูตา จ ภาวนา’’ติฯ อิธ ‘‘ตตฺถ ชาตานํ ธมฺมานํ อนติวตฺตนเฎฺฐน อินฺทฺริยานํ เอกรสเฎฺฐน ตทุปควีริยวาหนเฎฺฐน อาเสวนเฎฺฐนา’’ติ วจนานิ ภาวนาเหตุทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิ ‘‘อิมินา จ อิมินา จ เหตุนา ภาวนา’’ติฯ เหฎฺฐา อาเสวนาภาวนาติ นานากฺขณวเสน วุตฺตา, อิธ อาเสวนเฎฺฐน ภาวนาติ เอกกฺขณวเสนาติ วิเสโสฯ รูปํ ปสฺสโนฺต ภาเวตีติอาทีสุ รูปาทีนิ ปสฺสิตพฺพากาเรน ปสฺสโนฺต ภาเวตพฺพํ ภาวนํ ภาเวตีติ อโตฺถฯ เอกรสา โหนฺตีติ วิมุตฺติรเสน, กิจฺจรเสน วา เอกรสา โหนฺติฯ วิมุตฺติรโสติ สมฺปตฺติรโสฯ กิจฺจสมฺปตฺติอเตฺถน รโส นาม ปวุจฺจตีติ หิ วุตฺตนฺติฯ

    Vīriyaṃ vāhetīti yogāvacaro vīriyaṃ pavatteti. Heṭṭhā esanāpaṭilābhaekarasaāsevanavacanāni bhāvanānaṃ visesadassanatthaṃ vuttāni ‘‘evaṃbhūtā ca bhāvanā’’ti. Idha ‘‘tattha jātānaṃ dhammānaṃ anativattanaṭṭhena indriyānaṃ ekarasaṭṭhena tadupagavīriyavāhanaṭṭhena āsevanaṭṭhenā’’ti vacanāni bhāvanāhetudassanatthaṃ vuttāni ‘‘iminā ca iminā ca hetunā bhāvanā’’ti. Heṭṭhā āsevanābhāvanāti nānākkhaṇavasena vuttā, idha āsevanaṭṭhena bhāvanāti ekakkhaṇavasenāti viseso. Rūpaṃ passanto bhāvetītiādīsu rūpādīni passitabbākārena passanto bhāvetabbaṃ bhāvanaṃ bhāvetīti attho. Ekarasā hontīti vimuttirasena, kiccarasena vā ekarasā honti. Vimuttirasoti sampattiraso. Kiccasampattiatthena raso nāma pavuccatīti hi vuttanti.

    ภาเวตพฺพนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bhāvetabbaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๑. สุตมยญาณนิเทฺทโส • 1. Sutamayañāṇaniddeso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact