Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๔. ภยเภรวสุตฺตวณฺณนา
4. Bhayabheravasuttavaṇṇanā
๓๔. เอวํ เม สุตนฺติ ภยเภรวสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อปุพฺพปทวณฺณนา – อถาติ อวิเจฺฉทนเตฺถ นิปาโตฯ โขติ อวธารณเตฺถ, ภควโต สาวตฺถิยํ วิหาเร อวิจฺฉิเนฺนเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ ชาณุโสฺสณีติ เนตํ ตสฺส มาตาปิตูหิ กตนามํ, อปิจ โข ฐานนฺตรปฎิลาภลทฺธํฯ ชาณุโสฺสณิฎฺฐานํ กิร นาเมตํ ปุโรหิตฎฺฐานํ, ตํ ตสฺส รญฺญา ทินฺนํ, ตสฺมา ‘‘ชานุโสฺสณี’’ติ วุจฺจติฯ พฺรหฺมํ อณตีติ พฺราหฺมโณ, มเนฺต สชฺฌายตีติ อโตฺถฯ อิทเมว หิ ชาติพฺราหฺมณานํ นิรุตฺติวจนํฯ อริยา ปน พาหิตปาปตฺตา พฺราหฺมณาติ วุจฺจนฺติฯ
34.Evaṃme sutanti bhayabheravasuttaṃ. Tatrāyaṃ apubbapadavaṇṇanā – athāti avicchedanatthe nipāto. Khoti avadhāraṇatthe, bhagavato sāvatthiyaṃ vihāre avicchinneyevāti vuttaṃ hoti. Jāṇussoṇīti netaṃ tassa mātāpitūhi katanāmaṃ, apica kho ṭhānantarapaṭilābhaladdhaṃ. Jāṇussoṇiṭṭhānaṃ kira nāmetaṃ purohitaṭṭhānaṃ, taṃ tassa raññā dinnaṃ, tasmā ‘‘jānussoṇī’’ti vuccati. Brahmaṃ aṇatīti brāhmaṇo, mante sajjhāyatīti attho. Idameva hi jātibrāhmaṇānaṃ niruttivacanaṃ. Ariyā pana bāhitapāpattā brāhmaṇāti vuccanti.
เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ เยนาติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนํ, ตสฺมา ยตฺถ ภควา, ตตฺถ อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เยน วา การเณน ภควา เทวมนุเสฺสหิ อุปสงฺกมิตโพฺพ, เตน การเณน อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เกน จ การเณน ภควา อุปสงฺกมิตโพฺพ? นานปฺปการคุณวิเสสาธิคมาธิปฺปาเยน, สาทุผลูปโภคาธิปฺปาเยน ทิชคเณหิ นิจฺจผลิตมหารุโกฺข วิยฯ
Yenabhagavā tenupasaṅkamīti yenāti bhummatthe karaṇavacanaṃ, tasmā yattha bhagavā, tattha upasaṅkamīti evamettha attho daṭṭhabbo. Yena vā kāraṇena bhagavā devamanussehi upasaṅkamitabbo, tena kāraṇena upasaṅkamīti evamettha attho daṭṭhabbo. Kena ca kāraṇena bhagavā upasaṅkamitabbo? Nānappakāraguṇavisesādhigamādhippāyena, sāduphalūpabhogādhippāyena dijagaṇehi niccaphalitamahārukkho viya.
อุปสงฺกมีติ จ คโตติ วุตฺตํ โหติฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ อุปสงฺกมนปริโยสานทีปนํฯ อถ วา เอวํ คโต ตโต อาสนฺนตรํ ฐานํ ภควโต สมีปสงฺขาตํ คนฺตฺวาติปิ วุตฺตํ โหติฯ ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทีติ ยถา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺต ภควา เตน, เอวํ โสปิ ภควตา สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมโท อโหสิ, สีโตทกํ วิย อุโณฺหทเกน สโมฺมทิตํ เอกีภาวํ อคมาสิฯ ยาย จ ‘‘กจฺจิ เต, โภ โคตม, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ โภโต โคตมสฺส โคตมสาวกานญฺจ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหาโร’’ติอาทิกาย กถาย สโมฺมทิ, ตํ ปีติปาโมชฺชสงฺขาตสโมฺมทชนนโต สโมฺมทิตุํ ยุตฺตภาวโต จ สโมฺมทนียํ, อตฺถพฺยญฺชนมธุรตาย สุจิรมฺปิ กาลํ สาเรตุํ นิรนฺตรํ ปวเตฺตตุํ อรหรูปโต สริตพฺพภาวโต จ สาราณียํฯ สุยฺยมานสุขโต จ สโมฺมทนียํ, อนุสฺสริยมานสุขโต จ สารณียํฯ ตถา พฺยญฺชนปริสุทฺธตาย สโมฺมทนียํ, อตฺถปริสุทฺธตาย สารณียนฺติ เอวํ อเนเกหิ ปริยาเยหิ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา ปริโยสาเปตฺวา นิฎฺฐาเปตฺวา เยนเตฺถน อาคโต, ตํ ปุจฺฉิตุกาโม เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Upasaṅkamīti ca gatoti vuttaṃ hoti. Upasaṅkamitvāti upasaṅkamanapariyosānadīpanaṃ. Atha vā evaṃ gato tato āsannataraṃ ṭhānaṃ bhagavato samīpasaṅkhātaṃ gantvātipi vuttaṃ hoti. Bhagavatā saddhiṃ sammodīti yathā khamanīyādīni pucchanto bhagavā tena, evaṃ sopi bhagavatā saddhiṃ samappavattamodo ahosi, sītodakaṃ viya uṇhodakena sammoditaṃ ekībhāvaṃ agamāsi. Yāya ca ‘‘kacci te, bho gotama, khamanīyaṃ, kacci yāpanīyaṃ, kacci bhoto gotamassa gotamasāvakānañca appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāro’’tiādikāya kathāya sammodi, taṃ pītipāmojjasaṅkhātasammodajananato sammodituṃ yuttabhāvato ca sammodanīyaṃ, atthabyañjanamadhuratāya sucirampi kālaṃ sāretuṃ nirantaraṃ pavattetuṃ araharūpato saritabbabhāvato ca sārāṇīyaṃ. Suyyamānasukhato ca sammodanīyaṃ, anussariyamānasukhato ca sāraṇīyaṃ. Tathā byañjanaparisuddhatāya sammodanīyaṃ, atthaparisuddhatāya sāraṇīyanti evaṃ anekehi pariyāyehi sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā pariyosāpetvā niṭṭhāpetvā yenatthena āgato, taṃ pucchitukāmo ekamantaṃ nisīdi.
เอกมนฺตนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส, ‘‘วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๗๐) วิยฯ ตสฺมา ยถา นิสิโนฺน เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โหติ, ตถา นิสีทีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ภุมฺมเตฺถ วา เอตํ อุปโยควจนํฯ นิสีทีติ อุปาวิสิฯ ปณฺฑิตา หิ ปุริสา ครุฎฺฐานิยํ อุปสงฺกมิตฺวา อาสนกุสลตาย เอกมนฺตํ นิสีทนฺติ, อยญฺจ เนสํ อญฺญตโร, ตสฺมา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Ekamantanti bhāvanapuṃsakaniddeso, ‘‘visamaṃ candimasūriyā parivattantī’’tiādīsu (a. ni. 4.70) viya. Tasmā yathā nisinno ekamantaṃ nisinno hoti, tathā nisīdīti evamettha attho daṭṭhabbo. Bhummatthe vā etaṃ upayogavacanaṃ. Nisīdīti upāvisi. Paṇḍitā hi purisā garuṭṭhāniyaṃ upasaṅkamitvā āsanakusalatāya ekamantaṃ nisīdanti, ayañca nesaṃ aññataro, tasmā ekamantaṃ nisīdi.
กถํ นิสิโนฺน ปน เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โหตีติฯ ฉ นิสชฺชโทเส วเชฺชตฺวาฯ เสยฺยถิทํ, อติทูรํ อจฺจาสนฺนํ อุปริวาตํ อุนฺนตปเทสํ อติสมฺมุขํ อติปจฺฉาติฯ อติทูเร นิสิโนฺน หิ สเจ กเถตุกาโม โหติ, อุจฺจาสเทฺทน กเถตพฺพํ โหติฯ อจฺจาสเนฺน นิสิโนฺน สงฺฆฎฺฎนํ กโรติฯ อุปริวาเต นิสิโนฺน สรีรคเนฺธน พาธติฯ อุนฺนตปฺปเทเส นิสิโนฺน อคารวํ ปกาเสติฯ อติสมฺมุขา นิสิโนฺน สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, จกฺขุนา จกฺขุํ อาหจฺจ ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ อติปจฺฉา นิสิโนฺน สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, คีวํ ปสาเรตฺวา ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ ตสฺมา อยมฺปิ เอเต ฉ นิสชฺชโทเส วเชฺชตฺวา นิสีทิ, เตน วุตฺตํ ‘‘เอกมนฺตํ นิสีที’’ติฯ
Kathaṃ nisinno pana ekamantaṃ nisinno hotīti. Cha nisajjadose vajjetvā. Seyyathidaṃ, atidūraṃ accāsannaṃ uparivātaṃ unnatapadesaṃ atisammukhaṃ atipacchāti. Atidūre nisinno hi sace kathetukāmo hoti, uccāsaddena kathetabbaṃ hoti. Accāsanne nisinno saṅghaṭṭanaṃ karoti. Uparivāte nisinno sarīragandhena bādhati. Unnatappadese nisinno agāravaṃ pakāseti. Atisammukhā nisinno sace daṭṭhukāmo hoti, cakkhunā cakkhuṃ āhacca daṭṭhabbaṃ hoti. Atipacchā nisinno sace daṭṭhukāmo hoti, gīvaṃ pasāretvā daṭṭhabbaṃ hoti. Tasmā ayampi ete cha nisajjadose vajjetvā nisīdi, tena vuttaṃ ‘‘ekamantaṃ nisīdī’’ti.
เยเมติ เย อิเมฯ กุลปุตฺตาติ ทุวิธา กุลปุตฺตา ชาติกุลปุตฺตา อาจารกุลปุตฺตาฯ ตตฺถ ‘‘เตน โข ปน สมเยน รฎฺฐปาโล นาม กุลปุโตฺต ตสฺมิํเยว ถุลฺลโกฎฺฐิเก อคฺคกุลสฺส ปุโตฺต’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๙๔) เอวํ อาคตา อุจฺจากุลปฺปสุตา ชาติกุลปุตฺตา นามฯ ‘‘เย เต กุลปุตฺตา สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา’’ติ (ม. นิ. ๓.๗๘) เอวํ อาคตา ปน ยตฺถ กตฺถจิ กุเล ปสุตาปิ อาจารสมฺปนฺนา อาจารกุลปุตฺตา นามฯ อิธ ปน ทฺวีหิปิ การเณหิ กุลปุตฺตาเยวฯ
Yemeti ye ime. Kulaputtāti duvidhā kulaputtā jātikulaputtā ācārakulaputtā. Tattha ‘‘tena kho pana samayena raṭṭhapālo nāma kulaputto tasmiṃyeva thullakoṭṭhike aggakulassa putto’’ti (ma. ni. 2.294) evaṃ āgatā uccākulappasutā jātikulaputtā nāma. ‘‘Ye te kulaputtā saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā’’ti (ma. ni. 3.78) evaṃ āgatā pana yattha katthaci kule pasutāpi ācārasampannā ācārakulaputtā nāma. Idha pana dvīhipi kāraṇehi kulaputtāyeva.
สทฺธาติ สทฺธายฯ อคารสฺมาติ อคารโตฯ อนคาริยนฺติ ปพฺพชฺชํ ภิกฺขุภาวญฺจฯ ปพฺพชฺชาปิ หิ นเตฺถตฺถ อคาริยนฺติ อนคาริยา, อคารสฺส หิตํ กสิโครกฺขาทิกมฺมเมตฺถ นตฺถีติ อโตฺถฯ ภิกฺขุปิ นเตฺถตสฺส อคารนฺติ อนคาโร, อนคารสฺส ภาโว อนคาริยํฯ ปพฺพชิตาติ อุปคตา, เอวํ สพฺพถาปิ อนคาริยสงฺขาตํ ปพฺพชฺชํ ภิกฺขุภาวํ วา อุปคตาติ วุตฺตํ โหติฯ ปุพฺพงฺคโมติ ปุรโต คามี นายโกฯ พหุกาโรติ หิตกิริยาย พหูปกาโรฯ ภวํ เตสํ โคตโม สมาทเปตาติ เต กุลปุเตฺต ภวํ โคตโม อธิสีลาทีนิ คาเหตา สิกฺขาเปตาฯ สา ชนตาติ โส ชนสมูโหฯ ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชตีติ ทสฺสนานุคติํ ปฎิปชฺชติ, ยนฺทิฎฺฐิโก ภวํ โคตโม ยํขนฺติโก ยํรุจิโก, เตปิ ตนฺทิฎฺฐิกา โหนฺติ ตํขนฺติกา ตํรุจิกาติ อโตฺถฯ
Saddhāti saddhāya. Agārasmāti agārato. Anagāriyanti pabbajjaṃ bhikkhubhāvañca. Pabbajjāpi hi natthettha agāriyanti anagāriyā, agārassa hitaṃ kasigorakkhādikammamettha natthīti attho. Bhikkhupi natthetassa agāranti anagāro, anagārassa bhāvo anagāriyaṃ. Pabbajitāti upagatā, evaṃ sabbathāpi anagāriyasaṅkhātaṃ pabbajjaṃ bhikkhubhāvaṃ vā upagatāti vuttaṃ hoti. Pubbaṅgamoti purato gāmī nāyako. Bahukāroti hitakiriyāya bahūpakāro. Bhavaṃ tesaṃ gotamo samādapetāti te kulaputte bhavaṃ gotamo adhisīlādīni gāhetā sikkhāpetā. Sā janatāti so janasamūho. Diṭṭhānugatiṃ āpajjatīti dassanānugatiṃ paṭipajjati, yandiṭṭhiko bhavaṃ gotamo yaṃkhantiko yaṃruciko, tepi tandiṭṭhikā honti taṃkhantikā taṃrucikāti attho.
กสฺมา ปนายํ เอวมาหาติ? เอส กิร ปุเพฺพ อเนเก กุลปุเตฺต อคารมเชฺฌ วสเนฺต เทวปุเตฺต วิย ปญฺจหิ กามคุเณหิ ปริจาริยมาเน อโนฺต จ พหิ จ สุสํวิหิตารเกฺข ทิสฺวา, เต อปเรน สมเยน ภควโต มธุรรสํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สทฺธาย ฆรา นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุเฎฺฐ อารญฺญเกสุ เสนาสเนสุ เกนจิ อรกฺขิยมาเนปิ อนุสฺสงฺกิตาปริสงฺกิเต หฎฺฐปหเฎฺฐ อุทคฺคุทเคฺค อทฺทส, ทิสฺวา จ อิเมสํ กุลปุตฺตานํ ‘‘อยํ ผาสุวิหาโร กํ นิสฺสาย อุปฺปโนฺน’’ติ จิเนฺตโนฺต ‘‘สมณํ โคตม’’นฺติ ภควติ ปสาทํ อลตฺถฯ โส ตํ ปสาทํ นิเวเทตุํ ภควโต สนฺติกํ อาคโต, ตสฺมา เอวมาหฯ
Kasmā panāyaṃ evamāhāti? Esa kira pubbe aneke kulaputte agāramajjhe vasante devaputte viya pañcahi kāmaguṇehi paricāriyamāne anto ca bahi ca susaṃvihitārakkhe disvā, te aparena samayena bhagavato madhurarasaṃ dhammadesanaṃ sutvā saddhāya gharā nikkhamma pabbajitvā ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭhe āraññakesu senāsanesu kenaci arakkhiyamānepi anussaṅkitāparisaṅkite haṭṭhapahaṭṭhe udaggudagge addasa, disvā ca imesaṃ kulaputtānaṃ ‘‘ayaṃ phāsuvihāro kaṃ nissāya uppanno’’ti cintento ‘‘samaṇaṃ gotama’’nti bhagavati pasādaṃ alattha. So taṃ pasādaṃ nivedetuṃ bhagavato santikaṃ āgato, tasmā evamāha.
อถสฺส ภควา ตํ วจนํ สมฺปฎิจฺฉโนฺต อพฺภนุโมทโนฺต จ เอวเมตํ พฺราหฺมณาติอาทิมาหฯ วจนสมฺปฎิจฺฉนานุโมทนโตฺถเยว หิ เอตฺถ อยํ เอวนฺติ นิปาโตฯ มมํ อุทฺทิสฺสาติ มํ อุทฺทิสฺสฯ สทฺธาติ สทฺธาเยวฯ น อิณฎฺฐา น ภยฎฺฎาติอาทีนิ สนฺธายาหฯ อีทิสานํเยว หิ ภควา ปุพฺพงฺคโม, น อิตเรสํฯ ทุรภิสมฺภวานิ หีติ สมฺภวิตุํ ทุกฺขานิ ทุสฺสหานิ, น สกฺกา อเปฺปสเกฺขหิ อโชฺฌคาหิตุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อรญฺญวนปตฺถานีติ อรญฺญานิ จ วนปตฺถานิ จฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ อภิธเมฺม นิปฺปริยาเยน, ‘‘นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขิลา สพฺพเมตํ อรญฺญ’’นฺติ วุตฺตํ, ตถาปิ ยนฺตํ ‘‘ปญฺจธนุสติกํ ปจฺฉิม’’นฺติ อารญฺญิกงฺคนิปฺผาทกํ เสนาสนํ วุตฺตํ, ตเทว อธิเปฺปตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Athassa bhagavā taṃ vacanaṃ sampaṭicchanto abbhanumodanto ca evametaṃ brāhmaṇātiādimāha. Vacanasampaṭicchanānumodanatthoyeva hi ettha ayaṃ evanti nipāto. Mamaṃ uddissāti maṃ uddissa. Saddhāti saddhāyeva. Na iṇaṭṭhā na bhayaṭṭātiādīni sandhāyāha. Īdisānaṃyeva hi bhagavā pubbaṅgamo, na itaresaṃ. Durabhisambhavāni hīti sambhavituṃ dukkhāni dussahāni, na sakkā appesakkhehi ajjhogāhitunti vuttaṃ hoti. Araññavanapatthānīti araññāni ca vanapatthāni ca. Tattha kiñcāpi abhidhamme nippariyāyena, ‘‘nikkhamitvā bahi indakhilā sabbametaṃ arañña’’nti vuttaṃ, tathāpi yantaṃ ‘‘pañcadhanusatikaṃ pacchima’’nti āraññikaṅganipphādakaṃ senāsanaṃ vuttaṃ, tadeva adhippetanti veditabbaṃ.
วนปตฺถนฺติ คามนฺตํ อติกฺกมิตฺวา มนุสฺสานํ อนุปจารฎฺฐานํ, ยตฺถ น กสียติ น วปียติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘วนปตฺถนฺติ ทูรานเมตํ เสนาสนานํ อธิวจนํ, วนปตฺถนฺติ วนสณฺฑานเมตํ เสนาสนานํ, วนปตฺถนฺติ ภิํสนกานเมตํ, วนปตฺถนฺติ สโลมหํสานเมตํ, วนปตฺถนฺติ ปริยนฺตานเมตํ, วนปตฺถนฺติ น มนุสฺสูปจารานเมตํ เสนาสนานํ อธิวจน’’นฺติฯ เอตฺถ จ ปริยนฺตานนฺติ อิมเมกํ ปริยายํ ฐเปตฺวา เสสปริยาเยหิ วนปตฺถานิ เวทิตพฺพานีฯ ปนฺตานีติ ปริยนฺตานิ อติทูรานิฯ ทุกฺกรํ ปวิเวกนฺติ กายวิเวกํ ทุกฺกรํฯ ทุรภิรมนฺติ อภิรมิตุํ น สุขํฯ เอกเตฺตติ เอกีภาเวฯ กิํ ทเสฺสติ? กายวิเวเก กเตปิ ตตฺถ จิตฺตํ อภิรมาเปตุํ ทุกฺกรํฯ ทฺวยํทฺวยาราโม หิ อยํ โลโกติฯ หรนฺติ มเญฺญติ หรนฺติ วิย ฆสนฺติ วิยฯ มโนติ มนํฯ สมาธิํ อลภมานสฺสาติ อุปจารสมาธิํ วา อปฺปนาสมาธิํ วา อลภนฺตสฺสฯ กิํ ทเสฺสติ? อีทิสสฺส ภิกฺขุโน ติณปณฺณมิคาทิสเทฺทหิ วิวิเธหิ จ ภิํสนเกหิ วนานิ จิตฺตํ วิกฺขิปนฺติ มเญฺญติ, สพฺพํ พฺราหฺมโณ สทฺธาปพฺพชิตานํ กุลปุตฺตานํ อรญฺญวาเส (วิภ. ๕๒๙) วิมฺหิโต อาหฯ
Vanapatthanti gāmantaṃ atikkamitvā manussānaṃ anupacāraṭṭhānaṃ, yattha na kasīyati na vapīyati. Vuttampi cetaṃ ‘‘vanapatthanti dūrānametaṃ senāsanānaṃ adhivacanaṃ, vanapatthanti vanasaṇḍānametaṃ senāsanānaṃ, vanapatthanti bhiṃsanakānametaṃ, vanapatthanti salomahaṃsānametaṃ, vanapatthanti pariyantānametaṃ, vanapatthanti na manussūpacārānametaṃ senāsanānaṃ adhivacana’’nti. Ettha ca pariyantānanti imamekaṃ pariyāyaṃ ṭhapetvā sesapariyāyehi vanapatthāni veditabbānī. Pantānīti pariyantāni atidūrāni. Dukkaraṃ pavivekanti kāyavivekaṃ dukkaraṃ. Durabhiramanti abhiramituṃ na sukhaṃ. Ekatteti ekībhāve. Kiṃ dasseti? Kāyaviveke katepi tattha cittaṃ abhiramāpetuṃ dukkaraṃ. Dvayaṃdvayārāmo hi ayaṃ lokoti. Haranti maññeti haranti viya ghasanti viya. Manoti manaṃ. Samādhiṃ alabhamānassāti upacārasamādhiṃ vā appanāsamādhiṃ vā alabhantassa. Kiṃ dasseti? Īdisassa bhikkhuno tiṇapaṇṇamigādisaddehi vividhehi ca bhiṃsanakehi vanāni cittaṃ vikkhipanti maññeti, sabbaṃ brāhmaṇo saddhāpabbajitānaṃ kulaputtānaṃ araññavāse (vibha. 529) vimhito āha.
กายกมฺมนฺตวารกถา
Kāyakammantavārakathā
๓๕. อถสฺส ภควา ปุริมนเยเนว ‘‘เอวเมตํ พฺราหฺมณา’’ติอาทีหิ ตํ ตํ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อพฺภนุโมทิตฺวา จ ยสฺมา โสฬสสุ ฐาเนสุ อารมฺมณปริคฺคหรหิตานํเยว ตาทิสานิ เสนาสนานิ ทุรภิสมฺภวานิ, น เตสุ อารมฺมณปริคฺคาหยุตฺตานํ, อตฺตนา จ โพธิสโตฺต สมาโน ตาทิโส อโหสิ, ตสฺมา อตฺตโน ตาทิสานํ เสนาสนานํ ทุรภิสมฺภวตํ ทเสฺสตุํ, มยฺหมฺปิ โขติอาทิมาหฯ
35. Athassa bhagavā purimanayeneva ‘‘evametaṃ brāhmaṇā’’tiādīhi taṃ taṃ vacanaṃ sampaṭicchitvā abbhanumoditvā ca yasmā soḷasasu ṭhānesu ārammaṇapariggaharahitānaṃyeva tādisāni senāsanāni durabhisambhavāni, na tesu ārammaṇapariggāhayuttānaṃ, attanā ca bodhisatto samāno tādiso ahosi, tasmā attano tādisānaṃ senāsanānaṃ durabhisambhavataṃ dassetuṃ, mayhampi khotiādimāha.
ตตฺถ ปุเพฺพว สโมฺพธาติ สโมฺพธโต ปุเพฺพว, อริยมคฺคปฺปตฺติโต อปรภาเคเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ อนภิสมฺพุทฺธสฺสาติ อปฺปฎิวิทฺธจตุสจฺจสฺสฯ โพธิสตฺตเสฺสว สโตติ พุชฺฌนกสตฺตเสฺสว สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคนฺตุํ อรหสตฺตเสฺสว สโต, โพธิยา วา สตฺตเสฺสว ลคฺคเสฺสว สโตฯ ทีปงฺกรสฺส หิ ภควโต ปาทมูเล อฎฺฐธมฺมสโมธาเนน อภินีหารสมิทฺธิโต ปภุติ ตถาคโต โพธิยา สโตฺต ลโคฺค ‘‘ปตฺตพฺพา มยา เอสา’’ติ ตทธิคมาย ปรกฺกมํ อมุญฺจโนฺตเยว อาคโต, ตสฺมา โพธิสโตฺตติ วุจฺจติฯ ตสฺส มยฺหนฺติ ตสฺส เอวํ โพธิสตฺตเสฺสว สโต มยฺหํฯ เย โข เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วาติ เย เกจิ ปพฺพชฺชูปคตา วา โภวาทิโน วาฯ
Tattha pubbeva sambodhāti sambodhato pubbeva, ariyamaggappattito aparabhāgeyevāti vuttaṃ hoti. Anabhisambuddhassāti appaṭividdhacatusaccassa. Bodhisattasseva satoti bujjhanakasattasseva sammāsambodhiṃ adhigantuṃ arahasattasseva sato, bodhiyā vā sattasseva laggasseva sato. Dīpaṅkarassa hi bhagavato pādamūle aṭṭhadhammasamodhānena abhinīhārasamiddhito pabhuti tathāgato bodhiyā satto laggo ‘‘pattabbā mayā esā’’ti tadadhigamāya parakkamaṃ amuñcantoyeva āgato, tasmā bodhisattoti vuccati. Tassa mayhanti tassa evaṃ bodhisattasseva sato mayhaṃ. Ye kho keci samaṇā vā brāhmaṇā vāti ye keci pabbajjūpagatā vā bhovādino vā.
อปริสุทฺธกายกมฺมนฺตาติ อปริสุเทฺธน ปาณาติปาตาทินา กายกมฺมเนฺตน สมนฺนาคตาฯ อปริสุทฺธกายกมฺมนฺตสโนฺทสเหตูติ อปริสุทฺธสฺส กายกมฺมนฺตสงฺขาตสฺส อตฺตโน โทสสฺส เหตุ, อปริสุทฺธกายกมฺมนฺตการณาติ วุตฺตํ โหติฯ หเวติ เอกํสวจเน นิปาโตฯ อกุสลนฺติ สาวชฺชํ อเกฺขมญฺจฯ ภยเภรวนฺติ ภยญฺจ เภรวญฺจฯ จิตฺตุตฺราสสฺส จ ภยานการมฺมณสฺส เจตํ อธิวจนํฯ ตตฺร ภยํ สาวชฺชเฎฺฐน อกุสลํ, เภรวํ อเกฺขมเฎฺฐนาติ เวทิตพฺพํฯ อวฺหายนฺตีติ ปโกฺกสนฺติฯ กถํ? เต หิ ปาณาติปาตาทีนิ กตฺวา ‘‘มยํ อยุตฺตมกมฺหา, สเจ โน เต ชาเนยฺยุํ, เยสํ อปรชฺฌิมฺหา, อิทานิ อนุพนฺธิตฺวา อนยพฺยสนํ อาปาเทยฺยุ’’นฺติ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา คจฺฉนฺตเร วา คุมฺพนฺตเร วา นิสีทนฺติฯ เต ‘‘อปฺปมตฺตกมฺปิ ติณสทฺทํ วา ปณฺณสทฺทํ วา สุตฺวา, อิทานิมฺหา นฎฺฐา’’ติ ตสนฺติ วิตฺตสนฺติ, อาคนฺตฺวา ปเรหิ ปริวาริตา วิย พทฺธา วธิตา วิย จ โหนฺติฯ เอวํ ตํ ภยเภรวํ อตฺตนิ สมาโรปนเฎฺฐน อวฺหายนฺติ ปโกฺกสนฺติฯ
Aparisuddhakāyakammantāti aparisuddhena pāṇātipātādinā kāyakammantena samannāgatā. Aparisuddhakāyakammantasandosahetūti aparisuddhassa kāyakammantasaṅkhātassa attano dosassa hetu, aparisuddhakāyakammantakāraṇāti vuttaṃ hoti. Haveti ekaṃsavacane nipāto. Akusalanti sāvajjaṃ akkhemañca. Bhayabheravanti bhayañca bheravañca. Cittutrāsassa ca bhayānakārammaṇassa cetaṃ adhivacanaṃ. Tatra bhayaṃ sāvajjaṭṭhena akusalaṃ, bheravaṃ akkhemaṭṭhenāti veditabbaṃ. Avhāyantīti pakkosanti. Kathaṃ? Te hi pāṇātipātādīni katvā ‘‘mayaṃ ayuttamakamhā, sace no te jāneyyuṃ, yesaṃ aparajjhimhā, idāni anubandhitvā anayabyasanaṃ āpādeyyu’’nti araññaṃ pavisitvā gacchantare vā gumbantare vā nisīdanti. Te ‘‘appamattakampi tiṇasaddaṃ vā paṇṇasaddaṃ vā sutvā, idānimhā naṭṭhā’’ti tasanti vittasanti, āgantvā parehi parivāritā viya baddhā vadhitā viya ca honti. Evaṃ taṃ bhayabheravaṃ attani samāropanaṭṭhena avhāyanti pakkosanti.
น โข ปนาหํ…เป.… ปฎิเสวามีติ อหํ โข ปน อปริสุทฺธกายกมฺมโนฺต หุตฺวา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ น ปฎิเสวามิฯ เย หิ โวติ เอตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํฯ อริยา วุจฺจนฺติ พุทฺธา จ พุทฺธสาวกา จฯ ปริสุทฺธกายกมฺมนฺตาติ อีทิสา หุตฺวาฯ เตสมหํ อญฺญตโรติ เตสํ อหมฺปิ เอโก อญฺญตโรฯ โพธิสโตฺต หิ คหโฎฺฐปิ ปพฺพชิโตปิ ปริสุทฺธกายกมฺมโนฺตว โหติฯ ภิโยฺยติ อติเรกเตฺถ นิปาโตฯ ปโลฺลมนฺติ ปนฺนโลมตํ, เขมํ โสตฺถิภาวนฺติ อโตฺถฯ อาปาทินฺติ อาปชฺชิํ, อติเรกํ โสตฺถิภาวํ อติเรเกน วา โสตฺถิภาวมาปชฺชินฺติ วุตฺตํ โหติฯ อรเญฺญ วิหารายาติ อรเญฺญ วิหารตฺถายฯ
Nakho panāhaṃ…pe… paṭisevāmīti ahaṃ kho pana aparisuddhakāyakammanto hutvā araññavanapatthāni pantāni senāsanāni na paṭisevāmi. Ye hi voti ettha voti nipātamattaṃ. Ariyā vuccanti buddhā ca buddhasāvakā ca. Parisuddhakāyakammantāti īdisā hutvā. Tesamahaṃ aññataroti tesaṃ ahampi eko aññataro. Bodhisatto hi gahaṭṭhopi pabbajitopi parisuddhakāyakammantova hoti. Bhiyyoti atirekatthe nipāto. Pallomanti pannalomataṃ, khemaṃ sotthibhāvanti attho. Āpādinti āpajjiṃ, atirekaṃ sotthibhāvaṃ atirekena vā sotthibhāvamāpajjinti vuttaṃ hoti. Araññe vihārāyāti araññe vihāratthāya.
กายกมฺมนฺตวารกถา นิฎฺฐิตาฯ
Kāyakammantavārakathā niṭṭhitā.
วจีกมฺมนฺตวาราทิวณฺณนา
Vacīkammantavārādivaṇṇanā
๓๖. เอส นโย สพฺพตฺถฯ อยํ ปน วิเสโส, วจีกมฺมนฺตวาเร ตาว อปริสุทฺธวจีกมฺมนฺตาติ อปริสุเทฺธน มุสาวาทาทินา วจีกมฺมเนฺตน สมนฺนาคตาฯ เต กถํ ภยเภรวํ อวฺหายนฺติ? เต มุสาวาเทน ปรสฺส อตฺถํ ภญฺชิตฺวา, ปิสุณวาจาย มิตฺตเภทํ กตฺวา ผรุสวาจาย ปเรสํ ปริสมเชฺฌ มมฺมานิ ตุทิตฺวา นิรตฺถกวาจาย ปรสตฺตานํ กมฺมเนฺต นาเสตฺวา ‘‘มยํ อยุตฺตมกมฺหา, สเจ โน เต ชาเนยฺยุํ, เยสํ อปรชฺฌิมฺหา, อิทานิ อนุพนฺธิตฺวา อนยพฺยสนํ ปาเปยฺยุ’’นฺติ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา คจฺฉนฺตเร วา คุมฺพนฺตเร วา นิสีทนฺติฯ เต ‘‘อปฺปมตฺตกมฺปิ ติณสทฺทํ วา ปณฺณสทฺทํ วา สุตฺวา อิทานิมฺหา นฎฺฐา’’ติ ตสนฺติ วิตฺตสนฺติ อาคนฺตฺวา ปเรหิ ปริวาริตา วิย พทฺธา วธิตา วิย จ โหนฺติฯ เอวํ ตํ ภยเภรวํ อตฺตนิ สมาโรปนเฎฺฐน อวฺหายนฺติ, ปโกฺกสนฺติฯ
36. Esa nayo sabbattha. Ayaṃ pana viseso, vacīkammantavāre tāva aparisuddhavacīkammantāti aparisuddhena musāvādādinā vacīkammantena samannāgatā. Te kathaṃ bhayabheravaṃ avhāyanti? Te musāvādena parassa atthaṃ bhañjitvā, pisuṇavācāya mittabhedaṃ katvā pharusavācāya paresaṃ parisamajjhe mammāni tuditvā niratthakavācāya parasattānaṃ kammante nāsetvā ‘‘mayaṃ ayuttamakamhā, sace no te jāneyyuṃ, yesaṃ aparajjhimhā, idāni anubandhitvā anayabyasanaṃ pāpeyyu’’nti araññaṃ pavisitvā gacchantare vā gumbantare vā nisīdanti. Te ‘‘appamattakampi tiṇasaddaṃ vā paṇṇasaddaṃ vā sutvā idānimhā naṭṭhā’’ti tasanti vittasanti āgantvā parehi parivāritā viya baddhā vadhitā viya ca honti. Evaṃ taṃ bhayabheravaṃ attani samāropanaṭṭhena avhāyanti, pakkosanti.
มโนกมฺมนฺตวาเร อปริสุทฺธมโนกมฺมนฺตาติ อปริสุเทฺธน อภิชฺฌาทินา มโนกมฺมเนฺตน สมนฺนาคตาฯ เต กถํ ภยเภรวํ อวฺหายนฺติ? เต ปเรสํ รกฺขิตโคปิเตสุ ภเณฺฑสุ อภิชฺฌาวิสมโลภํ อุปฺปาเทตฺวา ปรสฺส กุชฺฌิตฺวา ปรสเตฺต มิจฺฉาทสฺสนํ คาหาเปตฺวา มยํ อยุตฺตมกมฺหา…เป.… อตฺตนิ สมาโรปนเฎฺฐน อวฺหายนฺติ ปโกฺกสนฺติฯ
Manokammantavāre aparisuddhamanokammantāti aparisuddhena abhijjhādinā manokammantena samannāgatā. Te kathaṃ bhayabheravaṃ avhāyanti? Te paresaṃ rakkhitagopitesu bhaṇḍesu abhijjhāvisamalobhaṃ uppādetvā parassa kujjhitvā parasatte micchādassanaṃ gāhāpetvā mayaṃ ayuttamakamhā…pe… attani samāropanaṭṭhena avhāyanti pakkosanti.
อาชีววาเร อปริสุทฺธาชีวาติ อปริสุเทฺธน เวชฺชกมฺมทูตกมฺมวฑฺฒิปโยคาทินา เอกวีสติอเนสนเภเทน อาชีเวน สมนฺนาคตาฯ เต กถํ ภยเภรวํ อวฺหายนฺติ? เต เอวํ ชีวิกํ กเปฺปตฺวา สุณนฺติ – ‘‘สาสนโสธกา กิร เตปิฎกา ภิกฺขู สาสนํ โสเธตุํ นิกฺขนฺตา, อชฺช วา เสฺว วา อิธาคมิสฺสนฺตี’’ติ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา คจฺฉนฺตเร วา…เป.… ตสนฺติ วิตฺตสนฺติฯ เต หิ อาคนฺตฺวา ปริวาเรตฺวา คหิตา วิย โอทาตวตฺถนิวาสิตา วิย จ โหนฺตีติฯ เสสํ ตาทิสเมวฯ
Ājīvavāre aparisuddhājīvāti aparisuddhena vejjakammadūtakammavaḍḍhipayogādinā ekavīsatianesanabhedena ājīvena samannāgatā. Te kathaṃ bhayabheravaṃ avhāyanti? Te evaṃ jīvikaṃ kappetvā suṇanti – ‘‘sāsanasodhakā kira tepiṭakā bhikkhū sāsanaṃ sodhetuṃ nikkhantā, ajja vā sve vā idhāgamissantī’’ti araññaṃ pavisitvā gacchantare vā…pe… tasanti vittasanti. Te hi āgantvā parivāretvā gahitā viya odātavatthanivāsitā viya ca hontīti. Sesaṃ tādisameva.
๓๗. อิโต ปรํ อภิชฺฌาลูติอาทีสุ กิญฺจาปิ อภิชฺฌาพฺยาปาทา มโนกมฺมเนฺตน สงฺคหิตา ตถาปิ นีวรณวเสน ปุน วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ อภิชฺฌาลูติ ปรภณฺฑาทิอภิชฺฌายนสีลาฯ กาเมสุ ติพฺพสาราคาติ วตฺถุกาเมสุ พหลกิเลสราคา, เต กถํ ภยเภรวํ อวฺหายนฺติ? เต อววตฺถิตารมฺมณา โหนฺติ, เตสํ อววตฺถิตารมฺมณานํ อรเญฺญ วิหรนฺตานํ ทิวา ทิฎฺฐํ รตฺติํ ภยเภรวํ หุตฺวา อุปฎฺฐาติ – ‘‘เต อากุลจิตฺตา อปฺปมตฺตเกนปิ ตสนฺติ วิตฺตสนฺติ, รชฺชุํ วา ลตํ วา ทิสฺวา สปฺปสญฺญิโน โหนฺติ, ขาณุํ ทิสฺวา ยกฺขสญฺญิโน, ถลํ วา ปพฺพตํ วา ทิสฺวา หตฺถิสญฺญิโน สปฺปาทีหิ อนยพฺยสนํ อาปาทิตา วิย โหนฺตี’’ติฯ เสสํ ตาทิสเมวฯ
37. Ito paraṃ abhijjhālūtiādīsu kiñcāpi abhijjhābyāpādā manokammantena saṅgahitā tathāpi nīvaraṇavasena puna vuttāti veditabbā. Tattha abhijjhālūti parabhaṇḍādiabhijjhāyanasīlā. Kāmesu tibbasārāgāti vatthukāmesu bahalakilesarāgā, te kathaṃ bhayabheravaṃ avhāyanti? Te avavatthitārammaṇā honti, tesaṃ avavatthitārammaṇānaṃ araññe viharantānaṃ divā diṭṭhaṃ rattiṃ bhayabheravaṃ hutvā upaṭṭhāti – ‘‘te ākulacittā appamattakenapi tasanti vittasanti, rajjuṃ vā lataṃ vā disvā sappasaññino honti, khāṇuṃ disvā yakkhasaññino, thalaṃ vā pabbataṃ vā disvā hatthisaññino sappādīhi anayabyasanaṃ āpāditā viya hontī’’ti. Sesaṃ tādisameva.
๓๘. พฺยาปนฺนจิตฺตาติ ปกติภาววิชหเนน วิปนฺนจิตฺตาฯ กิเลสานุคตญฺหิ จิตฺตํ ปกติภาวํ วิชหติ, ปุราณภตฺตพฺยญฺชนํ วิย ปูติกํ โหติฯ ปทุฎฺฐมนสงฺกปฺปาติ ปทุฎฺฐจิตฺตสงฺกปฺปา, อภทฺรเกน ปเรสํ อนตฺถชนเกน จิตฺตสงฺกเปฺปน สมนฺนาคตาติ วุตฺตํ โหติฯ เต กถํ ภยเภรวํ อวฺหายนฺติ? ภยเภรวาวฺหายนํ อิโต ปภุติ อภิชฺฌาลุวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ยตฺถ ปน วิเสโส ภวิสฺสติ, ตตฺถ วกฺขามฯ น โข ปนาหํ พฺยาปนฺนจิโตฺตติ เอตฺถ ปน เมตฺตจิโตฺต อหํ หิตจิโตฺตติ ทเสฺสติ, อีทิสา หิ โพธิสตฺตา โหนฺติฯ เอวํ สพฺพตฺถ วุตฺตโทสปฎิปกฺขวเสน โพธิสตฺตสฺส คุณา วเณฺณตพฺพาฯ
38.Byāpannacittāti pakatibhāvavijahanena vipannacittā. Kilesānugatañhi cittaṃ pakatibhāvaṃ vijahati, purāṇabhattabyañjanaṃ viya pūtikaṃ hoti. Paduṭṭhamanasaṅkappāti paduṭṭhacittasaṅkappā, abhadrakena paresaṃ anatthajanakena cittasaṅkappena samannāgatāti vuttaṃ hoti. Te kathaṃ bhayabheravaṃ avhāyanti? Bhayabheravāvhāyanaṃ ito pabhuti abhijjhāluvāre vuttanayeneva veditabbaṃ. Yattha pana viseso bhavissati, tattha vakkhāma. Na kho panāhaṃ byāpannacittoti ettha pana mettacitto ahaṃ hitacittoti dasseti, īdisā hi bodhisattā honti. Evaṃ sabbattha vuttadosapaṭipakkhavasena bodhisattassa guṇā vaṇṇetabbā.
๓๙. ถินมิทฺธปริยุฎฺฐิตาติ จิตฺตเคลญฺญภูเตน ถิเนน เสสนามกายเคลญฺญภูเตน มิเทฺธน จ ปริยุฎฺฐิตา, อภิภูตา คหิตาติ วุตฺตํ โหติฯ เต นิทฺทาพหุลา โหนฺติฯ
39.Thinamiddhapariyuṭṭhitāti cittagelaññabhūtena thinena sesanāmakāyagelaññabhūtena middhena ca pariyuṭṭhitā, abhibhūtā gahitāti vuttaṃ hoti. Te niddābahulā honti.
๔๐. อุทฺธตาติ อุทฺธจฺจปกติกา วิปฺผนฺทมานจิตฺตา, อุทฺธเจฺจน หิ เอการมฺมเณ จิตฺตํ วิปฺผนฺทติ ธชยฎฺฐิยํ วาเตน ปฎากา วิยฯ อวูปสนฺตจิตฺตาติ อนิพฺพุตจิตฺตา, อิธ กุกฺกุจฺจํ คเหตุํ วฎฺฎติฯ
40.Uddhatāti uddhaccapakatikā vipphandamānacittā, uddhaccena hi ekārammaṇe cittaṃ vipphandati dhajayaṭṭhiyaṃ vātena paṭākā viya. Avūpasantacittāti anibbutacittā, idha kukkuccaṃ gahetuṃ vaṭṭati.
๔๑. กงฺขี วิจิกิจฺฉีติ เอตฺถ เอกเมวิทํ ปญฺจมํ นีวรณํฯ กิํ นุ โข อิทนฺติ อารมฺมณํ กงฺขนโต กงฺขา, อิทเมวิทนฺติ นิเจฺฉตุํ อสมตฺถภาวโต วิจิกิจฺฉาติ วุจฺจติ, เตน สมนฺนาคตา สมณพฺราหฺมณา ‘‘กงฺขี วิจิกิจฺฉี’’ติ วุตฺตาฯ
41.Kaṅkhī vicikicchīti ettha ekamevidaṃ pañcamaṃ nīvaraṇaṃ. Kiṃ nu kho idanti ārammaṇaṃ kaṅkhanato kaṅkhā, idamevidanti nicchetuṃ asamatthabhāvato vicikicchāti vuccati, tena samannāgatā samaṇabrāhmaṇā ‘‘kaṅkhī vicikicchī’’ti vuttā.
๔๒. อตฺตุกฺกํสนกา ปรวมฺภีติ เย อตฺตานํ อุกฺกํเสนฺติ อุกฺขิปนฺติ, อุเจฺจ ฐาเน ฐเปนฺติ, ปรญฺจ วเมฺภนฺติ ครหนฺติ นินฺทนฺติ, นีเจ ฐาเน ฐเปนฺติ, เตสเมตํ อธิวจนํฯ เต กถํ ภยเภรวํ อวฺหายนฺติ? เต ปเรหิ ‘‘อสุโก จ กิร อสุโก จ อตฺตานํ อุกฺกํเสนฺติ, อเมฺห ครหนฺติ, ทาเส วิย กโรนฺติ, คณฺหถ เน’’ติ อนุพทฺธา ปลายิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา คจฺฉนฺตเร วา คุมฺพนฺตเร วาติ กายกมฺมนฺตสทิสํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ
42.Attukkaṃsanakā paravambhīti ye attānaṃ ukkaṃsenti ukkhipanti, ucce ṭhāne ṭhapenti, parañca vambhenti garahanti nindanti, nīce ṭhāne ṭhapenti, tesametaṃ adhivacanaṃ. Te kathaṃ bhayabheravaṃ avhāyanti? Te parehi ‘‘asuko ca kira asuko ca attānaṃ ukkaṃsenti, amhe garahanti, dāse viya karonti, gaṇhatha ne’’ti anubaddhā palāyitvā araññaṃ pavisitvā gacchantare vā gumbantare vāti kāyakammantasadisaṃ vitthāretabbaṃ.
๔๓. ฉมฺภีติ กายถมฺภนโลมหํสนกเรน ถเมฺภน สมนฺนาคตาฯ ภีรุกชาติกาติ ภีรุกปกติกา, คามทารกา วิย ภยพหุลา อสูรา กาตราติ วุตฺตํ โหติฯ
43.Chambhīti kāyathambhanalomahaṃsanakarena thambhena samannāgatā. Bhīrukajātikāti bhīrukapakatikā, gāmadārakā viya bhayabahulā asūrā kātarāti vuttaṃ hoti.
๔๔. ลาภสกฺการสิโลกนฺติ เอตฺถ ลพฺภตีติ ลาโภ, จตุนฺนํ ปจฺจยานเมตํ อธิวจนํฯ สกฺกาโรติ สุนฺทรกาโร, ปจฺจยา เอว หิ ปณีตปณีตา สุนฺทรสุนฺทรา จ อภิสงฺขริตฺวา กตา สกฺการาติ วุจฺจนฺติฯ ยา จ ปเรหิ อตฺตโน คารวกิริยา ปุปฺผาทีหิ วา ปูชาฯ สิโลโกติ วณฺณภณนํ เอตํ , ลาภญฺจ สกฺการญฺจ สิโลกญฺจ ลาภสกฺการสิโลกํฯ นิกามยมานาติ ปตฺถยมานาฯ ภยเภรวาวฺหายนํ อภิชฺฌาลุวารสทิสเมวฯ ตทตฺถทีปกํ ปเนตฺถ ปิยคามิกวตฺถุํ กเถนฺติ –
44.Lābhasakkārasilokanti ettha labbhatīti lābho, catunnaṃ paccayānametaṃ adhivacanaṃ. Sakkāroti sundarakāro, paccayā eva hi paṇītapaṇītā sundarasundarā ca abhisaṅkharitvā katā sakkārāti vuccanti. Yā ca parehi attano gāravakiriyā pupphādīhi vā pūjā. Silokoti vaṇṇabhaṇanaṃ etaṃ , lābhañca sakkārañca silokañca lābhasakkārasilokaṃ. Nikāmayamānāti patthayamānā. Bhayabheravāvhāyanaṃ abhijjhāluvārasadisameva. Tadatthadīpakaṃ panettha piyagāmikavatthuṃ kathenti –
เอโก กิร ปิยคามิโก นาม ภิกฺขุ สมาทินฺนธุตงฺคานํ ภิกฺขูนํ ลาภํ ทิสฺวา ‘‘อหมฺปิ ธุตงฺคํ สมาทิยิตฺวา ลาภํ อุปฺปาเทมี’’ติ จิเนฺตตฺวา โสสานิกงฺคํ สมาทาย สุสาเน วสติฯ อเถกทิวสํ เอโก กมฺมมุโตฺต ชรคฺคโว ทิวา โคจเร จริตฺวา รตฺติํ ตสฺมิํ สุสาเน ปุปฺผคุเมฺพ สีสํ กตฺวา โรมนฺถยมาโน อฎฺฐาสิฯ ปิยคามิโก รตฺติํ จงฺกมนา นิกฺขโนฺต ตสฺส หนุสทฺทํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อทฺธา มํ ลาภคิโทฺธ เอส สุสาเน วสตีติ ญตฺวา เทวราชา วิเหเฐตุํ อาคโต’’ติ, โส ชรคฺควสฺส ปุรโต อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘สปฺปุริส เทวราช อชฺช เม เอกรตฺติํ ขม, เสฺว ปฎฺฐาย น เอวํ กริสฺสามี’’ติ นมสฺสมาโน สพฺพรตฺติํ ยาจโนฺต อฎฺฐาสิฯ ตโต สูริเย อุฎฺฐิเต ตํ ทิสฺวา กตฺตรยฎฺฐิยา ปหริตฺวา ปลาเปสิ ‘‘สพฺพรตฺติํ มํ ภิํสาเปสี’’ติฯ
Eko kira piyagāmiko nāma bhikkhu samādinnadhutaṅgānaṃ bhikkhūnaṃ lābhaṃ disvā ‘‘ahampi dhutaṅgaṃ samādiyitvā lābhaṃ uppādemī’’ti cintetvā sosānikaṅgaṃ samādāya susāne vasati. Athekadivasaṃ eko kammamutto jaraggavo divā gocare caritvā rattiṃ tasmiṃ susāne pupphagumbe sīsaṃ katvā romanthayamāno aṭṭhāsi. Piyagāmiko rattiṃ caṅkamanā nikkhanto tassa hanusaddaṃ sutvā cintesi ‘‘addhā maṃ lābhagiddho esa susāne vasatīti ñatvā devarājā viheṭhetuṃ āgato’’ti, so jaraggavassa purato añjaliṃ paggahetvā ‘‘sappurisa devarāja ajja me ekarattiṃ khama, sve paṭṭhāya na evaṃ karissāmī’’ti namassamāno sabbarattiṃ yācanto aṭṭhāsi. Tato sūriye uṭṭhite taṃ disvā kattarayaṭṭhiyā paharitvā palāpesi ‘‘sabbarattiṃ maṃ bhiṃsāpesī’’ti.
๔๕. กุสีตาติ โกสชฺชานุคตาฯ หีนวีริยาติ หีนา วีริเยน วิรหิตา วิยุตฺตา, นิพฺพีริยาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ กุสีตา กายิกวีริยารมฺภวิรหิตา โหนฺติ, หีนวีริยา เจตสิกวีริยารมฺภวิรหิตาฯ เต อารมฺมณววตฺถานมตฺตมฺปิ กาตุํ น สโกฺกนฺติฯ เตสํ อววตฺถิตารมฺมณานนฺติ สพฺพํ ปุพฺพสทิสเมวฯ
45.Kusītāti kosajjānugatā. Hīnavīriyāti hīnā vīriyena virahitā viyuttā, nibbīriyāti vuttaṃ hoti. Tattha kusītā kāyikavīriyārambhavirahitā honti, hīnavīriyā cetasikavīriyārambhavirahitā. Te ārammaṇavavatthānamattampi kātuṃ na sakkonti. Tesaṃ avavatthitārammaṇānanti sabbaṃ pubbasadisameva.
๔๖. มุฎฺฐสฺสตีติ นฎฺฐสฺสตีฯ อสมฺปชานาติ ปญฺญารหิตา, อิมสฺส จ ปฎิปเกฺข ‘‘อุปฎฺฐิตสฺสตีหมสฺมี’’ติ วจนโต สติภาชนิยเมเวตํฯ ปญฺญา ปเนตฺถ สติทุพฺพลฺยทีปนตฺถํ วุตฺตาฯ ทุวิธา หิ สติ ปญฺญาสมฺปยุตฺตา ปญฺญาวิปฺปยุตฺตา จฯ ตตฺถ ปญฺญาสมฺปยุตฺตา พลวตี, วิปฺปยุตฺตา ทุพฺพลา, ตสฺมา ยทาปิ เตสํ สติ โหติ, ตทาปิ อสมฺปชานนฺตา มุฎฺฐสฺสตีเยว เต, ทุพฺพลาย สติยา สติกิจฺจาภาวโตติ เอตมตฺถํ ทีเปตุํ ‘‘อสมฺปชานา’’ติ วุตฺตํฯ เต เอวํ มุฎฺฐสฺสตี อสมฺปชานา อารมฺมณววตฺถานมตฺตมฺปิ กาตุํ น สโกฺกนฺตีติ สพฺพํ ปุพฺพสทิสเมวฯ
46.Muṭṭhassatīti naṭṭhassatī. Asampajānāti paññārahitā, imassa ca paṭipakkhe ‘‘upaṭṭhitassatīhamasmī’’ti vacanato satibhājaniyamevetaṃ. Paññā panettha satidubbalyadīpanatthaṃ vuttā. Duvidhā hi sati paññāsampayuttā paññāvippayuttā ca. Tattha paññāsampayuttā balavatī, vippayuttā dubbalā, tasmā yadāpi tesaṃ sati hoti, tadāpi asampajānantā muṭṭhassatīyeva te, dubbalāya satiyā satikiccābhāvatoti etamatthaṃ dīpetuṃ ‘‘asampajānā’’ti vuttaṃ. Te evaṃ muṭṭhassatī asampajānā ārammaṇavavatthānamattampi kātuṃ na sakkontīti sabbaṃ pubbasadisameva.
๔๗. อสมาหิตาติ อุปจารปฺปนาสมาธิวิรหิตาฯ วิพฺภนฺตจิตฺตาติ อุพฺภนฺตจิตฺตาฯ สมาธิวิรเหน ลโทฺธกาเสน อุทฺธเจฺจน เตสํ สมาธิวิรหานํ จิตฺตํ นานารมฺมเณสุ ปริพฺภมติ, วนมกฺกโฎ วิย วนสาขาสุ อุทฺธเจฺจน เอการมฺมเณ วิปฺผนฺทติฯ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนน เต เอวํ อสมาหิตา วิพฺภนฺตจิตฺตา อารมฺมณววตฺถานมตฺตมฺปิ กาตุํ น สโกฺกนฺตีติ สพฺพํ ปุพฺพสทิสเมวฯ
47.Asamāhitāti upacārappanāsamādhivirahitā. Vibbhantacittāti ubbhantacittā. Samādhivirahena laddhokāsena uddhaccena tesaṃ samādhivirahānaṃ cittaṃ nānārammaṇesu paribbhamati, vanamakkaṭo viya vanasākhāsu uddhaccena ekārammaṇe vipphandati. Pubbe vuttanayenena te evaṃ asamāhitā vibbhantacittā ārammaṇavavatthānamattampi kātuṃ na sakkontīti sabbaṃ pubbasadisameva.
๔๘. ทุปฺปญฺญาติ นิปฺปญฺญานเมตํ อธิวจนํฯ ปญฺญา ปน ทุฎฺฐา นาม นตฺถิฯ เอฬมูคาติ เอลมุขา, ข-การสฺส ค-กาโร กโตฯ ลาลมุขาติ วุตฺตํ โหติฯ ทุปฺปญฺญานญฺหิ กเถนฺตานํ ลาลา มุขโต คลติ, ลาลา จ เอลาติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘ปเสฺสลมูคํ อุรคํ ทุชฺชิวฺห’’นฺติฯ ตสฺมา เต ‘‘เอฬมูคา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ‘‘เอลมุขา’’ติปิ ปาโฐฯ ‘‘เอลมุคา’’ติ เกจิ ปฐนฺติ, อปเร ‘‘เอลมุกา’’ติปิ, สพฺพตฺถ ‘‘เอลมุขา’’ติ อโตฺถฯ เต กถํ ภยเภรวํ อวฺหายนฺติ? เต ทุปฺปญฺญา เอฬมูคา อารมฺมณววตฺถานมตฺตมฺปิ กาตุํ น สโกฺกนฺติฯ เตสํ อววตฺถิตารมฺมณานํ อรเญฺญ วิหรนฺตานํ ทิวา ทิฎฺฐํ รตฺติํ ภยเภรวํ หุตฺวา อุปฎฺฐาติ ‘‘เต อากุลจิตฺตา อปฺปมตฺตเกนปิ ตสนฺติ วิตฺตสนฺติ, รชฺชุํ วา ลตํ วา ทิสฺวา สปฺปสญฺญิโน โหนฺติ, ขาณุํ ทิสฺวา ยกฺขสญฺญิโน, ถลํ วา ปพฺพตํ วา ทิสฺวา หตฺถิสญฺญิโน สปฺปาทีหิ อนยวฺยสนํ อาปาทิตา วิย โหนฺตี’’ติฯ เอวํ ตํ ภยเภรวํ อตฺตนิ สมาโรปนเฎฺฐน อวฺหายนฺติ ปโกฺกสนฺติฯ ปญฺญาสมฺปโนฺนหมสฺมีติ เอตฺถ ปญฺญาสมฺปโนฺนติ ปญฺญาย สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต, โน จ โข วิปสฺสนาปญฺญาย, น มคฺคปญฺญาย, อปิจ โข ปน อิเมสุ โสฬสสุ ฐาเนสุ อารมฺมณววตฺถานปญฺญายาติ อโตฺถฯ เสสํ สพฺพตฺถ วุตฺตนยเมวาติฯ
48.Duppaññāti nippaññānametaṃ adhivacanaṃ. Paññā pana duṭṭhā nāma natthi. Eḷamūgāti elamukhā, kha-kārassa ga-kāro kato. Lālamukhāti vuttaṃ hoti. Duppaññānañhi kathentānaṃ lālā mukhato galati, lālā ca elāti vuccati. Yathāha ‘‘passelamūgaṃ uragaṃ dujjivha’’nti. Tasmā te ‘‘eḷamūgā’’ti vuccanti. ‘‘Elamukhā’’tipi pāṭho. ‘‘Elamugā’’ti keci paṭhanti, apare ‘‘elamukā’’tipi, sabbattha ‘‘elamukhā’’ti attho. Te kathaṃ bhayabheravaṃ avhāyanti? Te duppaññā eḷamūgā ārammaṇavavatthānamattampi kātuṃ na sakkonti. Tesaṃ avavatthitārammaṇānaṃ araññe viharantānaṃ divā diṭṭhaṃ rattiṃ bhayabheravaṃ hutvā upaṭṭhāti ‘‘te ākulacittā appamattakenapi tasanti vittasanti, rajjuṃ vā lataṃ vā disvā sappasaññino honti, khāṇuṃ disvā yakkhasaññino, thalaṃ vā pabbataṃ vā disvā hatthisaññino sappādīhi anayavyasanaṃ āpāditā viya hontī’’ti. Evaṃ taṃ bhayabheravaṃ attani samāropanaṭṭhena avhāyanti pakkosanti. Paññāsampannohamasmīti ettha paññāsampannoti paññāya sampanno samannāgato, no ca kho vipassanāpaññāya, na maggapaññāya, apica kho pana imesu soḷasasu ṭhānesu ārammaṇavavatthānapaññāyāti attho. Sesaṃ sabbattha vuttanayamevāti.
วจีกมฺมนฺตวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Vacīkammantavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
โสฬสฎฺฐานารมฺมณปริคฺคโห นิฎฺฐิโตฯ
Soḷasaṭṭhānārammaṇapariggaho niṭṭhito.
ภยเภรวเสนาสนาทิวณฺณนา
Bhayabheravasenāsanādivaṇṇanā
๔๙. ตสฺส มยฺหนฺติ โก อนุสนฺธิ? โพธิสโตฺต กิร อิมานิ โสฬสารมฺมณานิ ปริคฺคณฺหโนฺต จ ภยเภรวํ อทิสฺวา ภยเภรวํ นาม เอวรูปาสุ รตฺตีสุ เอวรูเป เสนาสเน จ ปญฺญายติ, หนฺท นํ ตตฺถาปิ คเวสิสฺสามีติ ภยเภรวคเวสนมกาสิ, เอตมตฺถํ ภควา อิทานิ พฺราหฺมณสฺส ทเสฺสโนฺต ตสฺส มยฺหนฺติอาทิมาหฯ
49.Tassamayhanti ko anusandhi? Bodhisatto kira imāni soḷasārammaṇāni pariggaṇhanto ca bhayabheravaṃ adisvā bhayabheravaṃ nāma evarūpāsu rattīsu evarūpe senāsane ca paññāyati, handa naṃ tatthāpi gavesissāmīti bhayabheravagavesanamakāsi, etamatthaṃ bhagavā idāni brāhmaṇassa dassento tassa mayhantiādimāha.
ตตฺถ ยา ตาติ อุภยเมตํ รตฺตีนํเยว อุเทฺทสนิเทฺทสวจนํฯ อภิญฺญาตาติ เอตฺถ อภีติ ลกฺขณเตฺถ อุปสโคฺคฯ ตสฺมา อภิญฺญาตาติ จนฺทปาริปูริยา จนฺทปริกฺขเยนาติ เอวมาทีหิ ลกฺขเณหิ ญาตาติ เวทิตพฺพาฯ อภิลกฺขิตาติ เอตฺถ อุปสคฺคมตฺตเมว, ตสฺมา อภิลกฺขิตาติ ลกฺขณียา อิเจฺจว อโตฺถ, อุโปสถสมาทานธมฺมสฺสวนปูชาสกฺการาทิกรณตฺถํ ลเกฺขตพฺพา สลฺลเกฺขตพฺพา อุปลเกฺขตพฺพาติ วุตฺตํ โหติฯ
Tattha yā tāti ubhayametaṃ rattīnaṃyeva uddesaniddesavacanaṃ. Abhiññātāti ettha abhīti lakkhaṇatthe upasaggo. Tasmā abhiññātāti candapāripūriyā candaparikkhayenāti evamādīhi lakkhaṇehi ñātāti veditabbā. Abhilakkhitāti ettha upasaggamattameva, tasmā abhilakkhitāti lakkhaṇīyā icceva attho, uposathasamādānadhammassavanapūjāsakkārādikaraṇatthaṃ lakkhetabbā sallakkhetabbā upalakkhetabbāti vuttaṃ hoti.
จาตุทฺทสีติ ปกฺขสฺส ปฐมทิวสโต ปภุติ จตุทฺทสนฺนํ ปูรณี เอกา รตฺติฯ เอวํ ปญฺจทสี อฎฺฐมี จฯ ปกฺขสฺสาติ สุกฺกปกฺขสฺส กณฺหปกฺขสฺส จฯ เอตา ติโสฺส ติโสฺส กตฺวา ฉ รตฺติโย, ตสฺมา สพฺพตฺถ ปกฺขวจนํ โยเชตพฺพํ ‘‘ปกฺขสฺส จาตุทฺทสี ปกฺขสฺส ปญฺจทสี ปกฺขสฺส อฎฺฐมี’’ติฯ อถ ปญฺจมี กสฺมา น คหิตาติ? อสพฺพกาลิกตฺตาฯ พุเทฺธ กิร ภควติ อนุปฺปเนฺนปิ อุปฺปชฺชิตฺวา อปรินิพฺพุเตปิ ปญฺจมี อนภิลกฺขิตาเยว, ปรินิพฺพุเต ปน ธมฺมสงฺคาหกเตฺถรา จิเนฺตสุํ ‘‘ธมฺมสฺสวนํ จิเรน โหตี’’ติฯ ตโต สมฺมนฺนิตฺวา ปญฺจมีติ ธมฺมสฺสวนทิวสํ ฐเปสุํ, ตโต ปภุติ สา อภิลกฺขิตา ชาตา, เอวํ อสพฺพกาลิกตฺตา เอตฺถ น คหิตาติฯ
Cātuddasīti pakkhassa paṭhamadivasato pabhuti catuddasannaṃ pūraṇī ekā ratti. Evaṃ pañcadasī aṭṭhamī ca. Pakkhassāti sukkapakkhassa kaṇhapakkhassa ca. Etā tisso tisso katvā cha rattiyo, tasmā sabbattha pakkhavacanaṃ yojetabbaṃ ‘‘pakkhassa cātuddasī pakkhassa pañcadasī pakkhassa aṭṭhamī’’ti. Atha pañcamī kasmā na gahitāti? Asabbakālikattā. Buddhe kira bhagavati anuppannepi uppajjitvā aparinibbutepi pañcamī anabhilakkhitāyeva, parinibbute pana dhammasaṅgāhakattherā cintesuṃ ‘‘dhammassavanaṃ cirena hotī’’ti. Tato sammannitvā pañcamīti dhammassavanadivasaṃ ṭhapesuṃ, tato pabhuti sā abhilakkhitā jātā, evaṃ asabbakālikattā ettha na gahitāti.
ตถารูปาสูติ ตถาวิธาสุฯ อารามเจติยานีติ ปุปฺผารามผลารามาทโย อารามา เอว อารามเจติยานิฯ จิตฺตีกตเฎฺฐน หิ เจติยานีติ วุจฺจนฺติ, ปูชนียเฎฺฐนาติ วุตฺตํ โหติฯ วนเจติยานีติ พลิหรณวนสณฺฑสุภควนเทวสาลวนาทีนิ วนานิเยว วนเจติยานิฯ รุกฺขเจติยานีติ คามนิคมาทิทฺวาเรสุ ปูชนียรุกฺขาเยว รุกฺขเจติยานิฯ โลกิยา หิ ทิพฺพาธิวตฺถาติ วา มญฺญมานา เตสุเยว วา ทิพฺพสญฺญิโน หุตฺวา อารามวนรุเกฺข จิตฺตีกโรนฺติ , ปูเชนฺติ, เตน เต สเพฺพปิ เจติยานีติ วุจฺจนฺติฯ ภิํสนกานีติ ภยชนกานิ, ปสฺสโตปิ สุณโตปิ ภยํ ชเนนฺติฯ สโลมหํสานีติ สเหว โลมหํเสน วตฺตนฺติ, ปวิสมานเสฺสว โลมหํสชนนโตฯ อเปฺปว นาม ปเสฺสยฺยนฺติ อปิ นาม ตํ ภยเภรวํ ปเสฺสยฺยเมวฯ อปเรน สมเยนาติ, ‘‘เอตทโหสิ ยํนูนาห’’นฺติ เอวํ จินฺติตกาลโต ปฎฺฐาย อเญฺญน กาเลนฯ
Tathārūpāsūti tathāvidhāsu. Ārāmacetiyānīti pupphārāmaphalārāmādayo ārāmā eva ārāmacetiyāni. Cittīkataṭṭhena hi cetiyānīti vuccanti, pūjanīyaṭṭhenāti vuttaṃ hoti. Vanacetiyānīti baliharaṇavanasaṇḍasubhagavanadevasālavanādīni vanāniyeva vanacetiyāni. Rukkhacetiyānīti gāmanigamādidvāresu pūjanīyarukkhāyeva rukkhacetiyāni. Lokiyā hi dibbādhivatthāti vā maññamānā tesuyeva vā dibbasaññino hutvā ārāmavanarukkhe cittīkaronti , pūjenti, tena te sabbepi cetiyānīti vuccanti. Bhiṃsanakānīti bhayajanakāni, passatopi suṇatopi bhayaṃ janenti. Salomahaṃsānīti saheva lomahaṃsena vattanti, pavisamānasseva lomahaṃsajananato. Appeva nāma passeyyanti api nāma taṃ bhayabheravaṃ passeyyameva. Aparena samayenāti, ‘‘etadahosi yaṃnūnāha’’nti evaṃ cintitakālato paṭṭhāya aññena kālena.
ตตฺถ จ เม พฺราหฺมณ วิหรโตติ ตถารูเปสุ เสนาสเนสุ ยํ ยํ มนุสฺสานํ อายาจนอุปหารกรณารหํ ยกฺขฎฺฐานํ ปุปฺผธูปมํสรุหิรวสาเมทปิหกปปฺผาสสุราเมรยาทีหิ โอกิณฺณกิลินฺนธรณิตลํ เอกนิปาตํ วิย ยกฺขรกฺขสปิสาจานํ, ยํ ทิวาปิ ปสฺสนฺตานํ หทยํ มเญฺญ ผลติ, ตํ ฐานํ สนฺธายาห ‘‘ตตฺถ จ เม, พฺราหฺมณ, วิหรโต’’ติฯ มโค วา อาคจฺฉตีติ สิงฺคานิ วา ขุรานิ วา โกเฎฺฎโนฺต โคกณฺณขคฺคทีปิวราหาทิเภโท มโค วา อาคจฺฉติ, สพฺพจตุปฺปทานญฺหิ อิธ มโคติ นามํฯ กตฺถจิ ปน กาฬสิงฺคาโลปิ วุจฺจติฯ ยถาห –
Tattha ca me brāhmaṇa viharatoti tathārūpesu senāsanesu yaṃ yaṃ manussānaṃ āyācanaupahārakaraṇārahaṃ yakkhaṭṭhānaṃ pupphadhūpamaṃsaruhiravasāmedapihakapapphāsasurāmerayādīhi okiṇṇakilinnadharaṇitalaṃ ekanipātaṃ viya yakkharakkhasapisācānaṃ, yaṃ divāpi passantānaṃ hadayaṃ maññe phalati, taṃ ṭhānaṃ sandhāyāha ‘‘tattha ca me, brāhmaṇa, viharato’’ti. Mago vā āgacchatīti siṅgāni vā khurāni vā koṭṭento gokaṇṇakhaggadīpivarāhādibhedo mago vā āgacchati, sabbacatuppadānañhi idha magoti nāmaṃ. Katthaci pana kāḷasiṅgālopi vuccati. Yathāha –
‘‘อุสภเสฺสว เต ขโนฺธ, สีหเสฺสว วิชมฺภิตํ;
‘‘Usabhasseva te khandho, sīhasseva vijambhitaṃ;
มคราช นโม ตฺยตฺถุ, อปิ กิญฺจิ ลภามเส’’ติฯ (ชา. ๑.๓.๑๓๓);
Magarāja namo tyatthu, api kiñci labhāmase’’ti. (jā. 1.3.133);
โมโร วา กฎฺฐํ ปาเตตีติ โมโร วา สุกฺขกฎฺฐํ รุกฺขโต จาเลตฺวา ปาเตติฯ โมรคฺคหเณน จ อิธ สพฺพปกฺขิคฺคหณํ อธิเปฺปตํ, เตน โย โกจิ ปกฺขีติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา โมโร วาติ วา สเทฺทน อโญฺญ วา โกจิ ปกฺขีติฯ เอส นโย ปุริเม มคคฺคหเณปิฯ วาโต วา ปณฺณกสฎํ เอเรตีติ วาโต วา ปณฺณกจวรํ ฆเฎฺฎติฯ เอตํ นูน ตํ ภยเภรวํ อาคจฺฉตีติ ยเมตํ อาคจฺฉติ, ตํ ภยเภรวํ นูนาติฯ อิโต ปภุติ จ อารมฺมณเมว ภยเภรวนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปริตฺตสฺส จ อธิมตฺตสฺส จ ภยสฺส อารมฺมณตฺตา สุขารมฺมณํ รูปํ สุขมิวฯ กิํ นุ โข อหํ อญฺญทตฺถุ ภยปฎิกงฺขี วิหรามีติ อหํ โข กิํ การณํ เอกํเสเนว ภยํ อากงฺขมาโน อิจฺฉมาโน หุตฺวา วิหรามิฯ
Moro vā kaṭṭhaṃ pātetīti moro vā sukkhakaṭṭhaṃ rukkhato cāletvā pāteti. Moraggahaṇena ca idha sabbapakkhiggahaṇaṃ adhippetaṃ, tena yo koci pakkhīti vuttaṃ hoti. Atha vā moro vāti vā saddena añño vā koci pakkhīti. Esa nayo purime magaggahaṇepi. Vāto vā paṇṇakasaṭaṃ eretīti vāto vā paṇṇakacavaraṃ ghaṭṭeti. Etaṃ nūna taṃ bhayabheravaṃ āgacchatīti yametaṃ āgacchati, taṃ bhayabheravaṃ nūnāti. Ito pabhuti ca ārammaṇameva bhayabheravanti veditabbaṃ. Parittassa ca adhimattassa ca bhayassa ārammaṇattā sukhārammaṇaṃ rūpaṃ sukhamiva. Kiṃ nu kho ahaṃ aññadatthu bhayapaṭikaṅkhī viharāmīti ahaṃ kho kiṃ kāraṇaṃ ekaṃseneva bhayaṃ ākaṅkhamāno icchamāno hutvā viharāmi.
ยถาภูตํ ยถาภูตสฺสาติ เยน เยน อิริยาปเถน ภูตสฺส ภวิตสฺส สโต วตฺตมานสฺส สมงฺคีภูตสฺส วาฯ เมติ มม สนฺติเกฯ ตถาภูตํ ตถาภูโต วาติ เตน เตเนว อิริยาปเถน ภูโต ภวิโต สโนฺต วตฺตมาโน สมงฺคีภูโต วาติ อโตฺถฯ โส โข อหํ…เป.… ปฎิวิเนมีติ โพธิสตฺตสฺส กิร จงฺกมนฺตสฺส ตสฺมิํ มคสิงฺคขุรสทฺทาทิเภเท ภยเภรวารมฺมเณ อาคเต เนว มหาสโตฺต ติฎฺฐติ, น นิสีทติ น สยติ, อถ โข จงฺกมโนฺตว ปริวีมํสโนฺต ปริวิจินโนฺต ภยเภรวํ น ปสฺสติ, มคสิงฺคขุรสทฺทาทิมตฺตเมว เจตํ โหติ, โส ตํ ญตฺวา อิทํ นาเมตํ, น ภยเภรวนฺติ ตโต ติฎฺฐติ วา นิสีทติ วา สยติ วาฯ เอตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โส โข อห’’นฺติอาทิมาหฯ เอส นโย สพฺพเปยฺยาเลสุฯ อิโต ปรญฺจ อิริยาปถปฎิปาฎิยา อวตฺวา อาสนฺนปฎิปาฎิยา อิริยาปถา วุตฺตาติ เวทิตพฺพา, จงฺกมนฺตสฺส หิ ภยเภรเว อาคเต น ฐิโต น นิสิโนฺน น นิปโนฺน ฐิตสฺสาปิ อาคเต น จงฺกมีติ เอวํ ตสฺส อาสนฺนปฎิปาฎิยา วุตฺตาติฯ
Yathābhūtaṃ yathābhūtassāti yena yena iriyāpathena bhūtassa bhavitassa sato vattamānassa samaṅgībhūtassa vā. Meti mama santike. Tathābhūtaṃ tathābhūto vāti tena teneva iriyāpathena bhūto bhavito santo vattamāno samaṅgībhūto vāti attho. So kho ahaṃ…pe… paṭivinemīti bodhisattassa kira caṅkamantassa tasmiṃ magasiṅgakhurasaddādibhede bhayabheravārammaṇe āgate neva mahāsatto tiṭṭhati, na nisīdati na sayati, atha kho caṅkamantova parivīmaṃsanto parivicinanto bhayabheravaṃ na passati, magasiṅgakhurasaddādimattameva cetaṃ hoti, so taṃ ñatvā idaṃ nāmetaṃ, na bhayabheravanti tato tiṭṭhati vā nisīdati vā sayati vā. Etamatthaṃ dassento ‘‘so kho aha’’ntiādimāha. Esa nayo sabbapeyyālesu. Ito parañca iriyāpathapaṭipāṭiyā avatvā āsannapaṭipāṭiyā iriyāpathā vuttāti veditabbā, caṅkamantassa hi bhayabherave āgate na ṭhito na nisinno na nipanno ṭhitassāpi āgate na caṅkamīti evaṃ tassa āsannapaṭipāṭiyā vuttāti.
ภยเภรวเสนาสนาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhayabheravasenāsanādivaṇṇanā niṭṭhitā.
อสโมฺมหวิหารวณฺณนา
Asammohavihāravaṇṇanā
๕๐. เอวํ ภิํสนเกสุปิ ฐาเนสุ อตฺตโน ภยเภรวาภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ฌายีนํ สโมฺมหฎฺฐาเนสุ อตฺตโน อสโมฺมหวิหารํ ทเสฺสตุํ สนฺติ โข ปน, พฺราหฺมณาติอาทิมาหฯ
50. Evaṃ bhiṃsanakesupi ṭhānesu attano bhayabheravābhāvaṃ dassetvā idāni jhāyīnaṃ sammohaṭṭhānesu attano asammohavihāraṃ dassetuṃ santi kho pana, brāhmaṇātiādimāha.
ตตฺถ สนฺตีติ อตฺถิ สํวิชฺชนฺติ อุปลพฺภนฺติฯ รตฺติํเยว สมานนฺติ รตฺติํเยว สนฺตํ, ทิวาติ สญฺชานนฺตีติ ‘‘ทิวโส อย’’นฺติ สญฺชานนฺติฯ ทิวาเยว สมานนฺติ ทิวสํเยว สนฺตํฯ รตฺตีติ สญฺชานนฺตีติ ‘‘รตฺติ อย’’นฺติ สญฺชานนฺติฯ กสฺมา ปเนเต เอวํสญฺญิโน โหนฺตีติฯ วุฎฺฐานโกสลฺลาภาวโต วา สกุณรุตโต วาฯ กถํ? อิเธกโจฺจ โอทาตกสิณลาภี ทิวา ปริกมฺมํ กตฺวา ทิวา สมาปโนฺน ทิวาเยว วุฎฺฐหามีติ มนสิการํ อุปฺปาเทติ, โน จ โข อทฺธานปริเจฺฉเท กุสโล โหติฯ โส ทิวสํ อติกฺกมิตฺวา รตฺติภาเค วุฎฺฐาติฯ โอทาตกสิณผรณวเสน จสฺส วิสทํ โหติ วิภูตํ สุวิภูตํฯ โส, ทิวา วุฎฺฐหามีติ อุปฺปาทิตมนสิการตาย โอทาตกสิณผรณวิสทวิภูตตาย จ รตฺติํเยว สมานํ ทิวาติ สญฺชานาติฯ อิธ ปเนกโจฺจ นีลกสิณลาภี รตฺติํ ปริกมฺมํ กตฺวา รตฺติํ สมาปโนฺน รตฺติํเยว วุฎฺฐหามีติ มนสิการํ อุปฺปาเทติ, โน จ โข อทฺธานปริเจฺฉเท กุสโล โหติฯ โส รตฺติํ อติกฺกมิตฺวา ทิวสภาเค วุฎฺฐาติฯ นีลกสิณผรณวเสน จสฺส อวิสทํ โหติ อวิภูตํฯ โส รตฺติํ วุฎฺฐหามีติ อุปฺปาทิตมนสิการตาย นีลกสิณผรณาวิสทาวิภูตตาย จ ทิวาเยว สมานํ รตฺตีติ สญฺชานาติฯ เอวํ ตาว วุฎฺฐานโกสลฺลาภาวโต เอวํสญฺญิโน โหนฺติฯ
Tattha santīti atthi saṃvijjanti upalabbhanti. Rattiṃyeva samānanti rattiṃyeva santaṃ, divāti sañjānantīti ‘‘divaso aya’’nti sañjānanti. Divāyeva samānanti divasaṃyeva santaṃ. Rattīti sañjānantīti ‘‘ratti aya’’nti sañjānanti. Kasmā panete evaṃsaññino hontīti. Vuṭṭhānakosallābhāvato vā sakuṇarutato vā. Kathaṃ? Idhekacco odātakasiṇalābhī divā parikammaṃ katvā divā samāpanno divāyeva vuṭṭhahāmīti manasikāraṃ uppādeti, no ca kho addhānaparicchede kusalo hoti. So divasaṃ atikkamitvā rattibhāge vuṭṭhāti. Odātakasiṇapharaṇavasena cassa visadaṃ hoti vibhūtaṃ suvibhūtaṃ. So, divā vuṭṭhahāmīti uppāditamanasikāratāya odātakasiṇapharaṇavisadavibhūtatāya ca rattiṃyeva samānaṃ divāti sañjānāti. Idha panekacco nīlakasiṇalābhī rattiṃ parikammaṃ katvā rattiṃ samāpanno rattiṃyeva vuṭṭhahāmīti manasikāraṃ uppādeti, no ca kho addhānaparicchede kusalo hoti. So rattiṃ atikkamitvā divasabhāge vuṭṭhāti. Nīlakasiṇapharaṇavasena cassa avisadaṃ hoti avibhūtaṃ. So rattiṃ vuṭṭhahāmīti uppāditamanasikāratāya nīlakasiṇapharaṇāvisadāvibhūtatāya ca divāyeva samānaṃ rattīti sañjānāti. Evaṃ tāva vuṭṭhānakosallābhāvato evaṃsaññino honti.
สกุณรุตโต ปน อิเธกโจฺจ อโนฺตเสนาสเน นิสิโนฺน โหติฯ อถ ทิวา รวนกสกุณา กากาทโย จนฺทาโลเกน ทิวาติ มญฺญมานา รตฺติํ รวนฺติ, อเญฺญหิ วา การเณหิฯ โส เตสํ สทฺทํ สุตฺวา รตฺติํเยว สมานํ ทิวาติ สญฺชานาติฯ อิธ ปเนกโจฺจ ปพฺพตนฺตเร คมฺภีราย ฆนวนปฺปฎิจฺฉนฺนาย คิริคุหาย สตฺตาหวทฺทลิกาย วตฺตมานาย อนฺตรหิตสูริยาโลเก กาเล นิสิโนฺน โหติฯ อถ รตฺติํ รวนกสกุณา อุลูกาทโย มชฺฌนฺหิกสมเยปิ ตตฺถ ตตฺถ สมนฺธกาเร นิลีนา รตฺติสญฺญาย วา อเญฺญหิ วา การเณหิ รวนฺติฯ โส เตสํ สทฺทํ สุตฺวา ทิวาเยว สมานํ รตฺตีติ สญฺชานาติฯ เอวํ สกุณรุตโต เอวํสญฺญิโน โหนฺตีติฯ อิทมหนฺติ อิทํ อหํ เอวํ สญฺชานนํ ฯ สโมฺมหวิหารสฺมิํ วทามีติ สโมฺมหวิหารปริยาปนฺนํ อโนฺตคธํ, สโมฺมหวิหารานํ อญฺญตรํ วทามีติ วุตฺตํ โหติฯ
Sakuṇarutato pana idhekacco antosenāsane nisinno hoti. Atha divā ravanakasakuṇā kākādayo candālokena divāti maññamānā rattiṃ ravanti, aññehi vā kāraṇehi. So tesaṃ saddaṃ sutvā rattiṃyeva samānaṃ divāti sañjānāti. Idha panekacco pabbatantare gambhīrāya ghanavanappaṭicchannāya giriguhāya sattāhavaddalikāya vattamānāya antarahitasūriyāloke kāle nisinno hoti. Atha rattiṃ ravanakasakuṇā ulūkādayo majjhanhikasamayepi tattha tattha samandhakāre nilīnā rattisaññāya vā aññehi vā kāraṇehi ravanti. So tesaṃ saddaṃ sutvā divāyeva samānaṃ rattīti sañjānāti. Evaṃ sakuṇarutato evaṃsaññino hontīti. Idamahanti idaṃ ahaṃ evaṃ sañjānanaṃ . Sammohavihārasmiṃ vadāmīti sammohavihārapariyāpannaṃ antogadhaṃ, sammohavihārānaṃ aññataraṃ vadāmīti vuttaṃ hoti.
อหํ โข ปน พฺราหฺมณ…เป.… สญฺชานามีติ ปากโฎ โพธิสตฺตสฺส รตฺตินฺทิวปริเจฺฉโท สตฺตาหวทฺทเลปิ จนฺทิมสูริเยสุ อทิสฺสมาเนสุปิ ชานาติเยว ‘‘เอตฺตกํ ปุเรภตฺตกาโล คโต, เอตฺตกํ ปจฺฉาภตฺตกาโล, เอตฺตกํ ปฐมยาโม, เอตฺตกํ มชฺฌิมยาโม, เอตฺตกํ ปจฺฉิมยาโม’’ติ, ตสฺมา เอวมาหฯ อนจฺฉริยเญฺจตํ ยํ ปูริตปารมี โพธิสโตฺต เอวํ ชานาติฯ ปเทสญาเณ ฐิตานํ สาวกานมฺปิ หิ รตฺตินฺทิวปริเจฺฉโท ปากโฎ โหติฯ
Ahaṃ kho pana brāhmaṇa…pe… sañjānāmīti pākaṭo bodhisattassa rattindivaparicchedo sattāhavaddalepi candimasūriyesu adissamānesupi jānātiyeva ‘‘ettakaṃ purebhattakālo gato, ettakaṃ pacchābhattakālo, ettakaṃ paṭhamayāmo, ettakaṃ majjhimayāmo, ettakaṃ pacchimayāmo’’ti, tasmā evamāha. Anacchariyañcetaṃ yaṃ pūritapāramī bodhisatto evaṃ jānāti. Padesañāṇe ṭhitānaṃ sāvakānampi hi rattindivaparicchedo pākaṭo hoti.
กลฺยาณิยมหาวิหาเร กิร โคทตฺตเตฺถโร ทฺวงฺคุลกาเล ภตฺตํ คเหตฺวา องฺคุลกาเล ภุญฺชติฯ สูริเย อทิสฺสมาเนปิ ปาโตเยว เสนาสนํ ปวิสิตฺวา ตาย เวลาย นิกฺขมติฯ เอกทิวสํ อารามิกา ‘‘เสฺว เถรสฺส นิกฺขมนกาเล ปสฺสามา’’ติ ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา กาลตฺถมฺภมูเล นิสีทิํสุฯ เถโร ทฺวงฺคุลกาเลเยว นิกฺขมติฯ ตโต ปภุติ กิร สูริเย อทิสฺสมาเนปิ เถรสฺส นิกฺขมนสญฺญาย เอว เภริํ อาโกเฎนฺติฯ
Kalyāṇiyamahāvihāre kira godattatthero dvaṅgulakāle bhattaṃ gahetvā aṅgulakāle bhuñjati. Sūriye adissamānepi pātoyeva senāsanaṃ pavisitvā tāya velāya nikkhamati. Ekadivasaṃ ārāmikā ‘‘sve therassa nikkhamanakāle passāmā’’ti bhattaṃ sampādetvā kālatthambhamūle nisīdiṃsu. Thero dvaṅgulakāleyeva nikkhamati. Tato pabhuti kira sūriye adissamānepi therassa nikkhamanasaññāya eva bheriṃ ākoṭenti.
อชครวิหาเรปิ กาฬเทวเตฺถโร อโนฺตวเสฺส ยามคณฺฑิกํ ปหรติ, อาจิณฺณเมตํ เถรสฺสฯ น จ ยามยนฺตนาฬิกํ ปโยเชติ, อเญฺญ ภิกฺขู ปโยเชนฺติฯ อถ นิกฺขเนฺต ปฐเม ยาเม เถเร มุคฺครํ คเหตฺวา ฐิตมเตฺตเยว เอกํ เทฺว วาเร ปหรเนฺตเยว วา ยามยนฺตํ ปตติ, เอวํ ตีสุ ยาเมสุ สมณธมฺมํ กตฺวา เถโร ปาโตเยว คามํ ปวิสิตฺวา ปิณฺฑปาตํ อาทาย วิหารํ อาคนฺตฺวา โภชนเวลาย ปตฺตํ คเหตฺวา ทิวา วิหารฎฺฐานํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ กโรติฯ ภิกฺขู กาลตฺถมฺภํ ทิสฺวา เถรสฺส อทิสฺวา อาคมนตฺถาย เปเสนฺติฯ โส ภิกฺขุ เถรํ ทิวา วิหารฎฺฐานา นิกฺขมนฺตเมว วา อนฺตรามเคฺค วา ปสฺสติฯ เอวํ ปเทสญาเณ ฐิตานํ สาวกานมฺปิ รตฺตินฺทิวปริเจฺฉโท ปากโฎ โหติ, กิมงฺคํ ปน โพธิสตฺตานนฺติฯ
Ajagaravihārepi kāḷadevatthero antovasse yāmagaṇḍikaṃ paharati, āciṇṇametaṃ therassa. Na ca yāmayantanāḷikaṃ payojeti, aññe bhikkhū payojenti. Atha nikkhante paṭhame yāme there muggaraṃ gahetvā ṭhitamatteyeva ekaṃ dve vāre paharanteyeva vā yāmayantaṃ patati, evaṃ tīsu yāmesu samaṇadhammaṃ katvā thero pātoyeva gāmaṃ pavisitvā piṇḍapātaṃ ādāya vihāraṃ āgantvā bhojanavelāya pattaṃ gahetvā divā vihāraṭṭhānaṃ gantvā samaṇadhammaṃ karoti. Bhikkhū kālatthambhaṃ disvā therassa adisvā āgamanatthāya pesenti. So bhikkhu theraṃ divā vihāraṭṭhānā nikkhamantameva vā antarāmagge vā passati. Evaṃ padesañāṇe ṭhitānaṃ sāvakānampi rattindivaparicchedo pākaṭo hoti, kimaṅgaṃ pana bodhisattānanti.
ยํ โข ตํ พฺราหฺมณ…เป.… วเทยฺยาติ เอตฺถ ปน ‘‘ยํ โข ตํ, พฺราหฺมณ, อสโมฺมหธโมฺม สโตฺต โลเก อุปฺปโนฺน…เป.… สุขาย เทวมนุสฺสาน’’นฺติ วจนํ วทมาโน โกจิ สมฺมา วเทยฺย, สมฺมา วทมาโน สิยา, น วิตถวาที อสฺสฯ มเมว ตํ วจนํ วทมาโน สมฺมา วเทยฺย, สมฺมา วทมาโน สิยา, น วิตถวาที อสฺสาติ เอวํ ปทสมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ
Yaṃ kho taṃ brāhmaṇa…pe… vadeyyāti ettha pana ‘‘yaṃ kho taṃ, brāhmaṇa, asammohadhammo satto loke uppanno…pe… sukhāya devamanussāna’’nti vacanaṃ vadamāno koci sammā vadeyya, sammā vadamāno siyā, na vitathavādī assa. Mameva taṃ vacanaṃ vadamāno sammā vadeyya, sammā vadamāno siyā, na vitathavādī assāti evaṃ padasambandho veditabbo.
ตตฺถ อสโมฺมหธโมฺมติ อสโมฺมหสภาโวฯ โลเกติ มนุสฺสโลเกฯ พหุชนหิตายาติ พหุชนสฺส หิตตฺถาย, ปญฺญาสมฺปตฺติยา ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกหิตูปเทสโกติฯ พหุชนสุขายาติ พหุชนสฺส สุขตฺถาย, จาคสมฺปตฺติยา อุปกรณสุขสฺส ทายโกติฯ โลกานุกมฺปายาติ โลกสฺส อนุกมฺปตฺถาย, เมตฺตากรุณาสมฺปตฺติยา มาตาปิตโร วิย โลกสฺส รกฺขิตา โคปยิตาติฯ อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺติ อิธ เทวมนุสฺสคฺคหเณน จ ภพฺพปุคฺคลเวเนยฺยสเตฺตเยว คเหตฺวา เตสํ นิพฺพานมคฺคผลาธิคมาย อตฺตโน อุปฺปตฺติํ ทเสฺสตีติ เวทิตโพฺพฯ อตฺถายาติ หิ วุเตฺต ปรมตฺถตฺถาย นิพฺพานายาติ วุตฺตํ โหติฯ หิตายาติ วุเตฺต ตํ สมฺปาปกมคฺคตฺถายาติ วุตฺตํ โหติ, นิพฺพานสมฺปาปกมคฺคโต หิ อุตฺตริ หิตํ นาม นตฺถิฯ สุขายาติ วุเตฺต ผลสมาปตฺติสุขตฺถายาติ วุตฺตํ โหติ, ตโต อุตฺตริ สุขาภาวโตฯ วุตฺตเญฺจตํ ‘‘อยํ สมาธิ ปจฺจุปฺปนฺนสุโข เจว อายติญฺจ สุขวิปาโก’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๕๕; อ. นิ. ๕.๒๗; วิภ. ๘๐๔)ฯ
Tattha asammohadhammoti asammohasabhāvo. Loketi manussaloke. Bahujanahitāyāti bahujanassa hitatthāya, paññāsampattiyā diṭṭhadhammikasamparāyikahitūpadesakoti. Bahujanasukhāyāti bahujanassa sukhatthāya, cāgasampattiyā upakaraṇasukhassa dāyakoti. Lokānukampāyāti lokassa anukampatthāya, mettākaruṇāsampattiyā mātāpitaro viya lokassa rakkhitā gopayitāti. Atthāya hitāya sukhāya devamanussānanti idha devamanussaggahaṇena ca bhabbapuggalaveneyyasatteyeva gahetvā tesaṃ nibbānamaggaphalādhigamāya attano uppattiṃ dassetīti veditabbo. Atthāyāti hi vutte paramatthatthāya nibbānāyāti vuttaṃ hoti. Hitāyāti vutte taṃ sampāpakamaggatthāyāti vuttaṃ hoti, nibbānasampāpakamaggato hi uttari hitaṃ nāma natthi. Sukhāyāti vutte phalasamāpattisukhatthāyāti vuttaṃ hoti, tato uttari sukhābhāvato. Vuttañcetaṃ ‘‘ayaṃ samādhi paccuppannasukho ceva āyatiñca sukhavipāko’’ti (dī. ni. 3.355; a. ni. 5.27; vibha. 804).
อสโมฺมหวิหารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Asammohavihāravaṇṇanā niṭṭhitā.
ปุพฺพภาคปฎิปทาทิวณฺณนา
Pubbabhāgapaṭipadādivaṇṇanā
๕๑. เอวํ ภควา พุทฺธคุณปฎิลาภาวสานํ อตฺตโน อสโมฺมหวิหารํ พฺราหฺมณสฺส ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยาย ปฎิปทาย ตํ โกฎิปฺปตฺตํ อสโมฺมหวิหารํ อธิคโต, ตํ ปุพฺพภาคโต ปภุติ ทเสฺสตุํ อารทฺธํ โข ปน เม พฺราหฺมณาติอาทิมาหฯ
51. Evaṃ bhagavā buddhaguṇapaṭilābhāvasānaṃ attano asammohavihāraṃ brāhmaṇassa dassetvā idāni yāya paṭipadāya taṃ koṭippattaṃ asammohavihāraṃ adhigato, taṃ pubbabhāgato pabhuti dassetuṃ āraddhaṃ kho pana me brāhmaṇātiādimāha.
เกจิ ปนาหุ ‘‘อิมํ อสโมฺมหวิหารํ สุตฺวา พฺราหฺมณสฺส จิตฺตเมวํ อุปฺปนฺนํ ‘กาย นุ โข ปฎิปทาย อิมํ ปโตฺต’ติ, ตสฺส จิตฺตมญฺญาย อิมายาหํ ปฎิปทาย อิมํ อุตฺตมํ อสโมฺมหวิหารํ ปโตฺตติ ทเสฺสโนฺต เอวมาหา’’ติฯ
Keci panāhu ‘‘imaṃ asammohavihāraṃ sutvā brāhmaṇassa cittamevaṃ uppannaṃ ‘kāya nu kho paṭipadāya imaṃ patto’ti, tassa cittamaññāya imāyāhaṃ paṭipadāya imaṃ uttamaṃ asammohavihāraṃ pattoti dassento evamāhā’’ti.
ตตฺถ อารทฺธํ โข ปน เม, พฺราหฺมณ, วีริยํ อโหสีติ, พฺราหฺมณ, น มยา อยํ อุตฺตโม อสโมฺมหวิหาโร กุสีเตน มุฎฺฐสฺสตินา สารทฺธกาเยน วิกฺขิตฺตจิเตฺตน วา อธิคโต, อปิจ โข ตทธิคมาย อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ อโหสิ, โพธิมเณฺฑ นิสิเนฺนน มยา จตุรงฺควีริยํ อารทฺธํ อโหสิ, ปคฺคหิตํ อสิถิลปฺปวตฺติตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อารทฺธตฺตาเยว จ เมตํ อสลฺลีนํ อโหสิฯ
Tattha āraddhaṃ kho pana me, brāhmaṇa, vīriyaṃ ahosīti, brāhmaṇa, na mayā ayaṃ uttamo asammohavihāro kusītena muṭṭhassatinā sāraddhakāyena vikkhittacittena vā adhigato, apica kho tadadhigamāya āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ ahosi, bodhimaṇḍe nisinnena mayā caturaṅgavīriyaṃ āraddhaṃ ahosi, paggahitaṃ asithilappavattitanti vuttaṃ hoti. Āraddhattāyeva ca metaṃ asallīnaṃ ahosi.
อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐาติ น เกวลญฺจ วีริยเมว, สติปิ เม อารมฺมณาภิมุขีภาเวน อุปฎฺฐิตา อโหสิฯ อุปฎฺฐิตตฺตาเยว จ อสมฺมุฎฺฐาฯ ปสฺสโทฺธ กาโยติ กายจิตฺตปฺปสฺสทฺธิสมฺภเวน กาโยปิ เม ปสฺสโทฺธ อโหสิฯ ตตฺถ ยสฺมา นามกาเย ปสฺสเทฺธ รูปกาโยปิ ปสฺสโทฺธเยว โหติ, ตสฺมา นามกาโย รูปกาโยติ อวิเสเสตฺวาว ปสฺสโทฺธ กาโยติ วุตฺตํฯ อสารโทฺธติ โส จ โข ปสฺสทฺธตฺตาเยว อสารโทฺธ, วิคตทรโถติ วุตฺตํ โหติฯ สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺคนฺติ จิตฺตมฺปิ เม สมฺมา อาหิตํ สุฎฺฐุ ฐปิตํ อปฺปิตํ วิย อโหสิฯ สมาหิตตฺตา เอว จ เอกคฺคํ อจลํ นิปฺผนฺทนนฺติ, เอตฺตาวตา ฌานสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทา กถิตา โหติฯ
Upaṭṭhitā sati asammuṭṭhāti na kevalañca vīriyameva, satipi me ārammaṇābhimukhībhāvena upaṭṭhitā ahosi. Upaṭṭhitattāyeva ca asammuṭṭhā. Passaddho kāyoti kāyacittappassaddhisambhavena kāyopi me passaddho ahosi. Tattha yasmā nāmakāye passaddhe rūpakāyopi passaddhoyeva hoti, tasmā nāmakāyo rūpakāyoti avisesetvāva passaddho kāyoti vuttaṃ. Asāraddhoti so ca kho passaddhattāyeva asāraddho, vigatadarathoti vuttaṃ hoti. Samāhitaṃ cittaṃ ekagganti cittampi me sammā āhitaṃ suṭṭhu ṭhapitaṃ appitaṃ viya ahosi. Samāhitattā eva ca ekaggaṃ acalaṃ nipphandananti, ettāvatā jhānassa pubbabhāgapaṭipadā kathitā hoti.
อิทานิ อิมาย ปฎิปทาย อธิคตํ ปฐมชฺฌานํ อาทิํ กตฺวา วิชฺชาตฺตยปริโยสานํ วิเสสํ ทเสฺสโนฺต โส โข อหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… จตุตฺถชฺฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสินฺติ เอตฺถ ตาว ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค ปถวีกสิณกถายํ วุตฺตํฯ เกวลญฺหิ ตตฺถ ‘‘อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติ อาคตํ, อิธ ‘‘วิหาสิ’’นฺติ, อยเมว วิเสโสฯ กิํ กตฺวา ปน ภควา อิมานิ ฌานานิ อุปสมฺปชฺช วิหาสีติ, กมฺมฎฺฐานํ ภาเวตฺวาฯ กตรํ? อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํฯ
Idāni imāya paṭipadāya adhigataṃ paṭhamajjhānaṃ ādiṃ katvā vijjāttayapariyosānaṃ visesaṃ dassento so kho ahantiādimāha. Tattha vivicceva kāmehi…pe… catutthajjhānaṃ upasampajjavihāsinti ettha tāva yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ sabbaṃ visuddhimagge pathavīkasiṇakathāyaṃ vuttaṃ. Kevalañhi tattha ‘‘upasampajja viharatī’’ti āgataṃ, idha ‘‘vihāsi’’nti, ayameva viseso. Kiṃ katvā pana bhagavā imāni jhānāni upasampajja vihāsīti, kammaṭṭhānaṃ bhāvetvā. Kataraṃ? Ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ.
อิมานิ จ ปน จตฺตาริ ฌานานิ เกสญฺจิ จิเตฺตกคฺคตตฺถานิ โหนฺติ, เกสญฺจิ วิปสฺสนาปาทกานิ, เกสญฺจิ อภิญฺญาปาทกานิ, เกสญฺจิ นิโรธปาทกานิ, เกสญฺจิ ภโวกฺกมนตฺถานิฯ ตตฺถ ขีณาสวานํ จิเตฺตกคฺคตตฺถานิ โหนฺติฯ เต หิ สมาปชฺชิตฺวา เอกคฺคจิตฺตา สุขํ ทิวสํ วิหริสฺสามาติ อิเจฺจวํ กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตนฺติฯ เสกฺขปุถุชฺชนานํ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย สมาหิเตน จิเตฺตน วิปสฺสิสฺสามาติ นิพฺพเตฺตนฺตานํ วิปสฺสนาปาทกานิ โหนฺติฯ เย ปน อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ‘‘เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๓๘; ปฎิ. ม. ๑.๑๐๒) วุตฺตนยา อภิญฺญาโย ปเตฺถนฺตา นิพฺพเตฺตนฺติ, เตสํ อภิญฺญาปาทกานิ โหนฺติฯ เย ปน อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา สตฺตาหํ อจิตฺตา หุตฺวา ทิเฎฺฐว ธเมฺม นิโรธํ นิพฺพานํ ปตฺวา สุขํ วิหริสฺสามาติ นิพฺพเตฺตนฺติ, เตสํ นิโรธปาทกานิ โหนฺติฯ เย ปน อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌานา พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชิสฺสามาติ นิพฺพเตฺตนฺติ, เตสํ ภโวกฺกมนตฺถานิ โหนฺติฯ
Imāni ca pana cattāri jhānāni kesañci cittekaggatatthāni honti, kesañci vipassanāpādakāni, kesañci abhiññāpādakāni, kesañci nirodhapādakāni, kesañci bhavokkamanatthāni. Tattha khīṇāsavānaṃ cittekaggatatthāni honti. Te hi samāpajjitvā ekaggacittā sukhaṃ divasaṃ viharissāmāti iccevaṃ kasiṇaparikammaṃ katvā aṭṭha samāpattiyo nibbattenti. Sekkhaputhujjanānaṃ samāpattito vuṭṭhāya samāhitena cittena vipassissāmāti nibbattentānaṃ vipassanāpādakāni honti. Ye pana aṭṭha samāpattiyo nibbattetvā abhiññāpādakajjhānaṃ samāpajjitvā samāpattito vuṭṭhāya ‘‘ekopi hutvā bahudhā hotī’’ti (dī. ni. 1.238; paṭi. ma. 1.102) vuttanayā abhiññāyo patthentā nibbattenti, tesaṃ abhiññāpādakāni honti. Ye pana aṭṭha samāpattiyo nibbattetvā nirodhasamāpattiṃ samāpajjitvā sattāhaṃ acittā hutvā diṭṭheva dhamme nirodhaṃ nibbānaṃ patvā sukhaṃ viharissāmāti nibbattenti, tesaṃ nirodhapādakāni honti. Ye pana aṭṭha samāpattiyo nibbattetvā aparihīnajjhānā brahmaloke uppajjissāmāti nibbattenti, tesaṃ bhavokkamanatthāni honti.
ภควตา ปนิทํ จตุตฺถชฺฌานํ โพธิรุกฺขมูเล นิพฺพตฺติตํ, ตํ ตสฺส วิปสฺสนาปาทกเญฺจว อโหสิ อภิญฺญาปาทกญฺจ สพฺพกิจฺจสาธกญฺจ, สพฺพโลกิยโลกุตฺตรคุณทายกนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Bhagavatā panidaṃ catutthajjhānaṃ bodhirukkhamūle nibbattitaṃ, taṃ tassa vipassanāpādakañceva ahosi abhiññāpādakañca sabbakiccasādhakañca, sabbalokiyalokuttaraguṇadāyakanti veditabbaṃ.
ปุพฺพภาคปฎิปทาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pubbabhāgapaṭipadādivaṇṇanā niṭṭhitā.
ปุเพฺพนิวาสกถาวณฺณนา
Pubbenivāsakathāvaṇṇanā
๕๒. เยสญฺจ คุณานํ ทายกํ อโหสิ, เตสํ เอกเทสํ ทเสฺสโนฺต โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทฺวินฺนํ วิชฺชานํ อนุปทวณฺณนา เจว ภาวนานโย จ วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริโตฯ เกวลญฺหิ ตตฺถ ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อภินินฺนาเมตี’’ติ วุตฺตํ, อิธ ‘‘อภินินฺนาเมสิ’’นฺติฯ อยํ โข เม พฺราหฺมณาติ อยญฺจ อปฺปนาวาโร ตตฺถ อนาคโตติ อยเมว วิเสโสฯ ตตฺถ โสติ โส อหํฯ อภินินฺนาเมสินฺติ อภินีหริํฯ อภินินฺนาเมสินฺติ จ วจนโต โสติ เอตฺถ โส อหนฺติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
52. Yesañca guṇānaṃ dāyakaṃ ahosi, tesaṃ ekadesaṃ dassento so evaṃ samāhite cittetiādimāha. Tattha dvinnaṃ vijjānaṃ anupadavaṇṇanā ceva bhāvanānayo ca visuddhimagge vitthārito. Kevalañhi tattha ‘‘so evaṃ samāhite citte…pe… abhininnāmetī’’ti vuttaṃ, idha ‘‘abhininnāmesi’’nti. Ayaṃ kho me brāhmaṇāti ayañca appanāvāro tattha anāgatoti ayameva viseso. Tattha soti so ahaṃ. Abhininnāmesinti abhinīhariṃ. Abhininnāmesinti ca vacanato soti ettha so ahanti evamattho veditabbo.
ยสฺมา จิทํ ภควโต วเสน ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ อาคตํ, ตสฺมา ‘‘โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’’ติ เอตฺถ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ เอตฺถ หิ โส ตโต จุโตติ ปฎินิวตฺตนฺตสฺส ปจฺจเวกฺขณํฯ ตสฺมา อิธูปปโนฺนติ อิมิสฺสา อิธูปปตฺติยา อนนฺตรํฯ อมุตฺร อุทปาทินฺติ ตุสิตภวนํ สนฺธายาหาติ เวทิตโพฺพฯ ตตฺราปาสิํ เอวํนาโมติ ตตฺราปิ ตุสิตภวเน เสตเกตุ นาม เทวปุโตฺต อโหสิํฯ เอวํโคโตฺตติ ตาหิ เทวตาหิ สทฺธิํ เอกโคโตฺตฯ เอวํวโณฺณติ สุวณฺณวโณฺณฯ เอวมาหาโรติ ทิพฺพสุธาหาโรฯ เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวทีติ เอวํ ทิพฺพสุขปฎิสํเวทีฯ ทุกฺขํ ปน สงฺขารทุกฺขมตฺตเมว ฯ เอวมายุปริยโนฺตติ เอวํ สตฺตปญฺญาสวสฺสโกฎิสฎฺฐิวสฺสสตสหสฺสายุปริยโนฺตฯ โส ตโต จุโตติ โส อหํ ตโต ตุสิตภวนโต จุโตฯ อิธูปปโนฺนติ อิธ มหามายาย เทวิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺตฯ
Yasmā cidaṃ bhagavato vasena pubbenivāsānussatiñāṇaṃ āgataṃ, tasmā ‘‘so tato cuto idhūpapanno’’ti ettha evaṃ yojanā veditabbā. Ettha hi so tato cutoti paṭinivattantassa paccavekkhaṇaṃ. Tasmā idhūpapannoti imissā idhūpapattiyā anantaraṃ. Amutra udapādinti tusitabhavanaṃ sandhāyāhāti veditabbo. Tatrāpāsiṃ evaṃnāmoti tatrāpi tusitabhavane setaketu nāma devaputto ahosiṃ. Evaṃgottoti tāhi devatāhi saddhiṃ ekagotto. Evaṃvaṇṇoti suvaṇṇavaṇṇo. Evamāhāroti dibbasudhāhāro. Evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedīti evaṃ dibbasukhapaṭisaṃvedī. Dukkhaṃ pana saṅkhāradukkhamattameva . Evamāyupariyantoti evaṃ sattapaññāsavassakoṭisaṭṭhivassasatasahassāyupariyanto. Sotato cutoti so ahaṃ tato tusitabhavanato cuto. Idhūpapannoti idha mahāmāyāya deviyā kucchimhi nibbatto.
อยํ โข เม พฺราหฺมณาติอาทีสุ เมติ มยาฯ วิชฺชาติ วิทิตกรณเฎฺฐน วิชฺชาฯ กิํ วิทิตํ กโรติ? ปุเพฺพนิวาสํฯ อวิชฺชาติ ตเสฺสว ปุเพฺพนิวาสสฺส อวิทิตกรณเฎฺฐน ตปฺปฎิจฺฉาทโก โมโห วุจฺจติฯ ตโมติ เสฺวว โมโห ปฎิจฺฉาทกเฎฺฐน ‘‘ตโม’’ติ วุจฺจติฯ อาโลโกติ สาเยว วิชฺชา โอภาสกรณเฎฺฐน ‘‘อาโลโก’’ติ วุจฺจติฯ เอตฺถ จ วิชฺชา อธิคตาติ อยํ อโตฺถ, เสสํ ปสํสาวจนํฯ โยชนา ปเนตฺถ อยํ โข เม วิชฺชา อธิคตา, ตสฺส เม อธิคตวิชฺชสฺส อวิชฺชา วิหตา, วินฎฺฐาติ อโตฺถฯ กสฺมา? ยสฺมา วิชฺชา อุปฺปนฺนาฯ เอส นโย อิตรสฺมิมฺปิ ปททฺวเยฯ
Ayaṃ kho me brāhmaṇātiādīsu meti mayā. Vijjāti viditakaraṇaṭṭhena vijjā. Kiṃ viditaṃ karoti? Pubbenivāsaṃ. Avijjāti tasseva pubbenivāsassa aviditakaraṇaṭṭhena tappaṭicchādako moho vuccati. Tamoti sveva moho paṭicchādakaṭṭhena ‘‘tamo’’ti vuccati. Ālokoti sāyeva vijjā obhāsakaraṇaṭṭhena ‘‘āloko’’ti vuccati. Ettha ca vijjā adhigatāti ayaṃ attho, sesaṃ pasaṃsāvacanaṃ. Yojanā panettha ayaṃ kho me vijjā adhigatā, tassa me adhigatavijjassa avijjā vihatā, vinaṭṭhāti attho. Kasmā? Yasmā vijjā uppannā. Esa nayo itarasmimpi padadvaye.
ยถา ตนฺติ เอตฺถ ยถาติ โอปเมฺมฯ ตนฺติ นิปาโตฯ สติยา อวิปฺปวาเสน อปฺปมตฺตสฺสฯ วีริยาตาเปน อาตาปิโนฯ กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขตาย ปหิตตฺตสฺส, เปสิตตฺตสฺสาติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘ยถา อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโต อวิชฺชา วิหเญฺญยฺย, วิชฺชา อุปฺปเชฺชยฺยฯ ตโม วิหเญฺญยฺย, อาโลโก อุปฺปเชฺชยฺยฯ เอวเมว มม อวิชฺชา วิหตา, วิชฺชา อุปฺปนฺนาฯ ตโม วิหโต, อาโลโก อุปฺปโนฺนฯ เอตสฺส เม ปธานานุโยคสฺส อนุรูปเมว ผลํ ลทฺธ’’นฺติฯ
Yathātanti ettha yathāti opamme. Tanti nipāto. Satiyā avippavāsena appamattassa. Vīriyātāpena ātāpino. Kāye ca jīvite ca anapekkhatāya pahitattassa, pesitattassāti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘yathā appamattassa ātāpino pahitattassa viharato avijjā vihaññeyya, vijjā uppajjeyya. Tamo vihaññeyya, āloko uppajjeyya. Evameva mama avijjā vihatā, vijjā uppannā. Tamo vihato, āloko uppanno. Etassa me padhānānuyogassa anurūpameva phalaṃ laddha’’nti.
ปุเพฺพนิวาสกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pubbenivāsakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา
Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā
๕๓. จุตูปปาตกถายํ ยสฺมา อิธ ภควโต วเสน ปาฬิ อาคตา, ตสฺมา ‘‘ปสฺสามิ ปชานามี’’ติ วุตฺตํ, อยํ วิเสโสฯ เสสํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตสทิสเมวฯ
53. Cutūpapātakathāyaṃ yasmā idha bhagavato vasena pāḷi āgatā, tasmā ‘‘passāmi pajānāmī’’ti vuttaṃ, ayaṃ viseso. Sesaṃ visuddhimagge vuttasadisameva.
เอตฺถ ปน วิชฺชาติ ทิพฺพจกฺขุญาณวิชฺชาฯ อวิชฺชาติ สตฺตานํ จุติปฎิสนฺธิปฎิจฺฉาทิกา อวิชฺชาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ ยสฺมา จ ปูริตปารมีนํ มหาสตฺตานํ ปริกมฺมกิจฺจํ นาม นตฺถิฯ เต หิ จิเตฺต อภินินฺนามิตมเตฺตเยว อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺติ, ทิเพฺพน จกฺขุนา สเตฺต ปสฺสนฺติฯ ตสฺมา โย ตตฺถ ปริกมฺมํ อาทิํ กตฺวา ภาวนานโย วุโตฺต, น เตน อิธ อโตฺถติฯ
Ettha pana vijjāti dibbacakkhuñāṇavijjā. Avijjāti sattānaṃ cutipaṭisandhipaṭicchādikā avijjā. Sesaṃ vuttanayamevāti. Yasmā ca pūritapāramīnaṃ mahāsattānaṃ parikammakiccaṃ nāma natthi. Te hi citte abhininnāmitamatteyeva anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussaranti, dibbena cakkhunā satte passanti. Tasmā yo tattha parikammaṃ ādiṃ katvā bhāvanānayo vutto, na tena idha atthoti.
ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อาสวกฺขยญาณกถาวณฺณนา
Āsavakkhayañāṇakathāvaṇṇanā
๕๔. ตติยวิชฺชาย โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺตติ วิปสฺสนาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานจิตฺตํ เวทิตพฺพํฯ อาสวานํ ขยญาณายาติ อรหตฺตมคฺคญาณตฺถายฯ อรหตฺตมโคฺค หิ อาสววินาสนโต อาสวานํ ขโยติ วุจฺจติ, ตตฺร เจตํ ญาณํ, ตปฺปริยาปนฺนตฺตาติฯ จิตฺตํ อภินินฺนาเมสินฺติ วิปสฺสนาจิตฺตํ อภินีหริํฯ โส อิทํ ทุกฺขนฺติ เอวมาทีสุ ‘‘เอตฺตกํ ทุกฺขํ, น อิโต ภิโยฺย’’ติ สพฺพมฺปิ ทุกฺขสจฺจํ สรสลกฺขณปฎิเวเธน ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิํ ชานิํ ปฎิวิชฺฌิํฯ ตสฺส จ ทุกฺขสฺส นิพฺพตฺติกํ ตณฺหํ อยํ ทุกฺขสมุทโยติฯ ตทุภยมฺปิ ยํ ฐานํ ปตฺวา นิรุชฺฌติ, ตํ เตสํ อปฺปวตฺติํ นิพฺพานํ อยํ ทุกฺขนิโรโธติฯ ตสฺส สมฺปาปกํ อริยมคฺคํ อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ สรสลกฺขณปฎิเวเธน ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิํ ชานิํ ปฎิวิชฺฌินฺติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
54. Tatiyavijjāya so evaṃ samāhite citteti vipassanāpādakaṃ catutthajjhānacittaṃ veditabbaṃ. Āsavānaṃ khayañāṇāyāti arahattamaggañāṇatthāya. Arahattamaggo hi āsavavināsanato āsavānaṃ khayoti vuccati, tatra cetaṃ ñāṇaṃ, tappariyāpannattāti. Cittaṃ abhininnāmesinti vipassanācittaṃ abhinīhariṃ. So idaṃ dukkhanti evamādīsu ‘‘ettakaṃ dukkhaṃ, na ito bhiyyo’’ti sabbampi dukkhasaccaṃ sarasalakkhaṇapaṭivedhena yathābhūtaṃ abbhaññāsiṃ jāniṃ paṭivijjhiṃ. Tassa ca dukkhassa nibbattikaṃ taṇhaṃ ayaṃ dukkhasamudayoti. Tadubhayampi yaṃ ṭhānaṃ patvā nirujjhati, taṃ tesaṃ appavattiṃ nibbānaṃ ayaṃ dukkhanirodhoti. Tassa sampāpakaṃ ariyamaggaṃ ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadāti sarasalakkhaṇapaṭivedhena yathābhūtaṃ abbhaññāsiṃ jāniṃ paṭivijjhinti evamattho veditabbo.
เอวํ สรูปโต สจฺจานิ ทเสฺสตฺวา อิทานิ กิเลสวเสน ปริยายโต ทเสฺสโนฺต อิเม อาสวาติอาทิมาหฯ ตสฺส เม เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโตติ ตสฺส มยฺหํ เอวํ ชานนฺตสฺส เอวํ ปสฺสนฺตสฺสฯ สห วิปสฺสนาย โกฎิปฺปตฺตํ มคฺคํ กเถติฯ กามาสวาติ กามาสวโตฯ วิมุจฺจิตฺถาติ อิมินา ผลกฺขณํ ทเสฺสติ, มคฺคกฺขเณ หิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ผลกฺขเณ วิมุตฺตํ โหติฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณนฺติ อิมินา ปจฺจเวกฺขณญาณํ ทเสฺสติฯ ขีณา ชาตีติอาทีหิ ตสฺส ภูมิํ, เตน หิ ญาเณน ภควา ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘ขีณา ชาตี’’ติอาทีนิ อพฺภญฺญาสิฯ กตมา ปน ภควโต ชาติ ขีณา, กถญฺจ นํ อพฺภญฺญาสีติ? น ตาวสฺส อตีตา ชาติ ขีณา, ปุเพฺพว ขีณตฺตา, น อนาคตา, อนาคเต วายามาภาวโต, น ปจฺจุปฺปนฺนา, วิชฺชมานตฺตาฯ ยา ปน มคฺคสฺส อภาวิตตฺตา อุปฺปเชฺชยฺย เอกจตุปญฺจโวการภเวสุ เอกจตุปญฺจกฺขนฺธเภทา ชาติ, สา มคฺคสฺส ภาวิตตฺตา อนุปฺปาทธมฺมตํ อาปชฺชเนน ขีณา, ตํ โส มคฺคภาวนาย ปหีนกิเลเส ปจฺจเวกฺขิตฺวา ‘‘กิเลสาภาเว วิชฺชมานมฺปิ กมฺมํ อายติํ อปฺปฎิสนฺธิกํ โหตี’’ติ ชานโนฺต อพฺภญฺญาสิฯ
Evaṃ sarūpato saccāni dassetvā idāni kilesavasena pariyāyato dassento ime āsavātiādimāha. Tassa me evaṃ jānato evaṃ passatoti tassa mayhaṃ evaṃ jānantassa evaṃ passantassa. Saha vipassanāya koṭippattaṃ maggaṃ katheti. Kāmāsavāti kāmāsavato. Vimuccitthāti iminā phalakkhaṇaṃ dasseti, maggakkhaṇe hi cittaṃ vimuccati, phalakkhaṇe vimuttaṃ hoti. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇanti iminā paccavekkhaṇañāṇaṃ dasseti. Khīṇā jātītiādīhi tassa bhūmiṃ, tena hi ñāṇena bhagavā paccavekkhanto ‘‘khīṇā jātī’’tiādīni abbhaññāsi. Katamā pana bhagavato jāti khīṇā, kathañca naṃ abbhaññāsīti? Na tāvassa atītā jāti khīṇā, pubbeva khīṇattā, na anāgatā, anāgate vāyāmābhāvato, na paccuppannā, vijjamānattā. Yā pana maggassa abhāvitattā uppajjeyya ekacatupañcavokārabhavesu ekacatupañcakkhandhabhedā jāti, sā maggassa bhāvitattā anuppādadhammataṃ āpajjanena khīṇā, taṃ so maggabhāvanāya pahīnakilese paccavekkhitvā ‘‘kilesābhāve vijjamānampi kammaṃ āyatiṃ appaṭisandhikaṃ hotī’’ti jānanto abbhaññāsi.
วุสิตนฺติ วุตฺถํ ปริวุตฺถํ, กตํ จริตํ นิฎฺฐิตนฺติ อโตฺถฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํ, ปุถุชฺชนกลฺยาณเกน หิ สทฺธิํ สตฺตเสกฺขา พฺรหฺมจริยวาสํ วสนฺติ นาม, ขีณาสโว วุตฺถวาโสฯ ตสฺมา ภควา อตฺตโน พฺรหฺมจริยวาสํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘วุสิตํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ อพฺภญฺญาสิฯ กตํ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาวเสน โสฬสวิธมฺปิ กิจฺจํ นิฎฺฐาปิตนฺติ อโตฺถฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณกาทโย หิ ตํ กิจฺจํ กโรนฺติ, ขีณาสโว กตกรณีโยฯ ตสฺมา ภควา อตฺตโน กรณียํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘กตํ กรณีย’’นฺติ อพฺภญฺญาสิฯ
Vusitanti vutthaṃ parivutthaṃ, kataṃ caritaṃ niṭṭhitanti attho. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ, puthujjanakalyāṇakena hi saddhiṃ sattasekkhā brahmacariyavāsaṃ vasanti nāma, khīṇāsavo vutthavāso. Tasmā bhagavā attano brahmacariyavāsaṃ paccavekkhanto ‘‘vusitaṃ brahmacariya’’nti abbhaññāsi. Kataṃ karaṇīyanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyābhāvanāvasena soḷasavidhampi kiccaṃ niṭṭhāpitanti attho. Puthujjanakalyāṇakādayo hi taṃ kiccaṃ karonti, khīṇāsavo katakaraṇīyo. Tasmā bhagavā attano karaṇīyaṃ paccavekkhanto ‘‘kataṃ karaṇīya’’nti abbhaññāsi.
นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อิทานิ ปุน อิตฺถภาวาย เอวํโสฬสกิจฺจภาวาย, กิเลสกฺขยาย วา มคฺคภาวนากิจฺจํ เม นตฺถีติ อพฺภญฺญาสิฯ อถ วา อิตฺถตฺตายาติ อิตฺถภาวโต อิมสฺมา เอวํปการา อิทานิ วตฺตมานกฺขนฺธสนฺตานา อปรํ ขนฺธสนฺตานํ มยฺหํ นตฺถิฯ อิเม ปน ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา ติฎฺฐนฺติ ฉินฺนมูลกา รุกฺขา วิยฯ เต จริมกวิญฺญาณนิโรเธน อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท นิพฺพายิสฺสนฺตีติ อพฺภญฺญาสิฯ
Nāparaṃitthattāyāti idāni puna itthabhāvāya evaṃsoḷasakiccabhāvāya, kilesakkhayāya vā maggabhāvanākiccaṃ me natthīti abbhaññāsi. Atha vā itthattāyāti itthabhāvato imasmā evaṃpakārā idāni vattamānakkhandhasantānā aparaṃ khandhasantānaṃ mayhaṃ natthi. Ime pana pañcakkhandhā pariññātā tiṭṭhanti chinnamūlakā rukkhā viya. Te carimakaviññāṇanirodhena anupādāno viya jātavedo nibbāyissantīti abbhaññāsi.
อิทานิ เอวํ ปจฺจเวกฺขณญาณปริคฺคหิตํ อาสวานํ ขยญาณาธิคมํ พฺราหฺมณสฺส ทเสฺสโนฺต, อยํ โข เม พฺราหฺมณาติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิชฺชาติ อรหตฺตมคฺคญาณวิชฺชาฯ อวิชฺชาติ จตุสจฺจปฎิจฺฉาทิกา อวิชฺชาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ เอตฺตาวตา จ ปุเพฺพนิวาสญาเณน อตีตํสญาณํ, ทิพฺพจกฺขุนา ปจฺจุปฺปนฺนานาคตํสญาณํ, อาสวกฺขเยน สกลโลกิยโลกุตฺตรคุณนฺติ เอวํ ตีหิ วิชฺชาหิ สเพฺพปิ สพฺพญฺญุคุเณ สงฺคเหตฺวา ปกาเสโนฺต อตฺตโน อสโมฺมหวิหารํ พฺราหฺมณสฺส ทเสฺสสิฯ
Idāni evaṃ paccavekkhaṇañāṇapariggahitaṃ āsavānaṃ khayañāṇādhigamaṃ brāhmaṇassa dassento, ayaṃ kho me brāhmaṇātiādimāha. Tattha vijjāti arahattamaggañāṇavijjā. Avijjāti catusaccapaṭicchādikā avijjā. Sesaṃ vuttanayameva. Ettāvatā ca pubbenivāsañāṇena atītaṃsañāṇaṃ, dibbacakkhunā paccuppannānāgataṃsañāṇaṃ, āsavakkhayena sakalalokiyalokuttaraguṇanti evaṃ tīhi vijjāhi sabbepi sabbaññuguṇe saṅgahetvā pakāsento attano asammohavihāraṃ brāhmaṇassa dassesi.
อาสวกฺขยญาณกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Āsavakkhayañāṇakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อรญฺญวาสการณวณฺณนา
Araññavāsakāraṇavaṇṇanā
๕๕. เอวํ วุเตฺต กิร พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘สมโณ โคตโม สพฺพญฺญุตํ ปฎิชานาติ, อชฺชาปิ จ อรญฺญวาสํ น วิชหติ, อตฺถิ นุ ขฺวสฺส อญฺญมฺปิ กิญฺจิ กรณีย’’นฺติฯ อถสฺส ภควา อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา อิมินา อชฺฌาสยานุสนฺธินา, สิยา โข ปน เตติอาทิมาหฯ ตตฺถ สิยา โข ปน เต, พฺราหฺมณ, เอวมสฺสาติ, พฺราหฺมณ, กทาจิ ตุยฺหํ เอวํ ภเวยฺยฯ น โข ปเนตํ พฺราหฺมณ เอวํ ทฎฺฐพฺพนฺติ เอตํ โข ปน, พฺราหฺมณ, ตยา มยฺหํ ปนฺตเสนาสนปฎิเสวนํ อวีตราคาทิตายาติ เอวํ น ทฎฺฐพฺพํฯ เอวํ ปนฺตเสนาสนปฎิเสวเน อการณํ ปฎิกฺขิปิตฺวา การณํ ทเสฺสโนฺต เทฺว โข อหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อโตฺถเยว อตฺถวโสฯ ตสฺมา เทฺว โข อหํ, พฺราหฺมณ, อตฺถวเสติ อหํ โข, พฺราหฺมณ, เทฺว อเตฺถ เทฺว การณานิ สมฺปสฺสมาโนติ วุตฺตํ โหติฯ อตฺตโน จ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารนฺติ เอตฺถ ทิฎฺฐธโมฺม นาม อยํ ปจฺจโกฺข อตฺตภาโวฯ สุขวิหาโร นาม จตุนฺนมฺปิ อิริยาปถวิหารานํ ผาสุตา, เอกกสฺส หิ อรเญฺญ อนฺตมโส อุจฺจารปสฺสาวกิจฺจํ อุปาทาย สเพฺพว อิริยาปถา ผาสุกา โหนฺติ, ตสฺมา ทิฎฺฐธมฺมสฺส สุขวิหารนฺติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปจฺฉิมญฺจ ชนตํ อนุกมฺปมาโนติ กถํ อรญฺญวาเสน ปจฺฉิมา ชนตา อนุกมฺปิตา โหติ? สทฺธาปพฺพชิตา หิ กุลปุตฺตา ภควโต อรญฺญวาสํ ทิสฺวา ภควาปิ นาม อรญฺญเสนาสนานิ น มุญฺจติ, ยสฺส เนวตฺถิ ปริญฺญาตพฺพํ น ปหาตพฺพํ น ภาเวตพฺพํ น สจฺฉิกาตพฺพํ, กิมงฺคํ ปน มยนฺติ จิเนฺตตฺวา ตตฺถ วสิตพฺพเมว มญฺญิสฺสนฺติฯ เอวํ ขิปฺปเมว ทุกฺขสฺสนฺตกรา ภวิสฺสนฺติฯ เอวํ ปจฺฉิมา ชนตา อนุกมฺปิตา โหติฯ เอตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ปจฺฉิมญฺจ ชนตํ อนุกมฺปมาโน’’ติฯ
55. Evaṃ vutte kira brāhmaṇo cintesi – ‘‘samaṇo gotamo sabbaññutaṃ paṭijānāti, ajjāpi ca araññavāsaṃ na vijahati, atthi nu khvassa aññampi kiñci karaṇīya’’nti. Athassa bhagavā ajjhāsayaṃ viditvā iminā ajjhāsayānusandhinā, siyā kho pana tetiādimāha. Tattha siyā kho pana te, brāhmaṇa, evamassāti, brāhmaṇa, kadāci tuyhaṃ evaṃ bhaveyya. Na kho panetaṃ brāhmaṇa evaṃ daṭṭhabbanti etaṃ kho pana, brāhmaṇa, tayā mayhaṃ pantasenāsanapaṭisevanaṃ avītarāgāditāyāti evaṃ na daṭṭhabbaṃ. Evaṃ pantasenāsanapaṭisevane akāraṇaṃ paṭikkhipitvā kāraṇaṃ dassento dve kho ahantiādimāha. Tattha atthoyeva atthavaso. Tasmā dve kho ahaṃ, brāhmaṇa, atthavaseti ahaṃ kho, brāhmaṇa, dve atthe dve kāraṇāni sampassamānoti vuttaṃ hoti. Attano ca diṭṭhadhammasukhavihāranti ettha diṭṭhadhammo nāma ayaṃ paccakkho attabhāvo. Sukhavihāro nāma catunnampi iriyāpathavihārānaṃ phāsutā, ekakassa hi araññe antamaso uccārapassāvakiccaṃ upādāya sabbeva iriyāpathā phāsukā honti, tasmā diṭṭhadhammassa sukhavihāranti ayamattho veditabbo. Pacchimañca janataṃ anukampamānoti kathaṃ araññavāsena pacchimā janatā anukampitā hoti? Saddhāpabbajitā hi kulaputtā bhagavato araññavāsaṃ disvā bhagavāpi nāma araññasenāsanāni na muñcati, yassa nevatthi pariññātabbaṃ na pahātabbaṃ na bhāvetabbaṃ na sacchikātabbaṃ, kimaṅgaṃ pana mayanti cintetvā tattha vasitabbameva maññissanti. Evaṃ khippameva dukkhassantakarā bhavissanti. Evaṃ pacchimā janatā anukampitā hoti. Etamatthaṃ dassento āha ‘‘pacchimañca janataṃ anukampamāno’’ti.
อรญฺญวาสการณวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Araññavāsakāraṇavaṇṇanā niṭṭhitā.
เทสนานุโมทนาวณฺณนา
Desanānumodanāvaṇṇanā
๕๖. ตํ สุตฺวา อตฺตมโน พฺราหฺมโณ อนุกมฺปิตรูปาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนุกมฺปิตรูปาติ อนุกมฺปิตชาติกา อนุกมฺปิตสภาวาฯ ชนตาติ ชนสมูโหฯ ยถา ตํ อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธนาติ ยถา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อนุกเมฺปยฺย, ตเถว อนุกมฺปิตรูปาติฯ
56. Taṃ sutvā attamano brāhmaṇo anukampitarūpātiādimāha. Tattha anukampitarūpāti anukampitajātikā anukampitasabhāvā. Janatāti janasamūho. Yathā taṃ arahatā sammāsambuddhenāti yathā arahaṃ sammāsambuddho anukampeyya, tatheva anukampitarūpāti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุน ตํ ภควโต ธมฺมเทสนํ อพฺภนุโมทมาโน ภควนฺตํ เอตทโวจ อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมาติฯ ตตฺถายํ อภิกฺกนฺตสโทฺท ขยสุนฺทราภิรูปอพฺภนุโมทเนสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อภิกฺกนฺตา, ภเนฺต, รตฺติ, นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม, จิรนิสิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๓๘๓; อ. นิ. ๘.๒๐) หิ ขเย ทิสฺสติฯ ‘‘อยํ อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๐๐) สุนฺทเรฯ
Evañca pana vatvā puna taṃ bhagavato dhammadesanaṃ abbhanumodamāno bhagavantaṃ etadavoca abhikkantaṃ, bho gotama, abhikkantaṃ, bho gotamāti. Tatthāyaṃ abhikkantasaddo khayasundarābhirūpaabbhanumodanesu dissati. ‘‘Abhikkantā, bhante, ratti, nikkhanto paṭhamo yāmo, ciranisinno bhikkhusaṅgho’’tiādīsu (cūḷava. 383; a. ni. 8.20) hi khaye dissati. ‘‘Ayaṃ imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’tiādīsu (a. ni. 4.100) sundare.
‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;
‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;
อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ –
Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti. –
อาทีสุ (วิ. ว. ๘๕๗) อภิรูเปฯ ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๕๐; ปารา. ๑๕) อพฺภนุโมทเน ฯ อิธาปิ อพฺภนุโมทเนเยวฯ ยสฺมา จ อพฺภนุโมทเน, ตสฺมา สาธุ สาธุ โภ, โคตมาติ วุตฺตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ
Ādīsu (vi. va. 857) abhirūpe. ‘‘Abhikkantaṃ, bhante’’tiādīsu (dī. ni. 1.250; pārā. 15) abbhanumodane . Idhāpi abbhanumodaneyeva. Yasmā ca abbhanumodane, tasmā sādhu sādhu bho, gotamāti vuttaṃ hotīti veditabbaṃ.
‘‘ภเย โกเธ ปสํสายํ, ตุริเต โกตูหลจฺฉเร;
‘‘Bhaye kodhe pasaṃsāyaṃ, turite kotūhalacchare;
หาเส โสเก ปสาเท จ, กเร อาเมฑิตํ พุโธ’’ติฯ –
Hāse soke pasāde ca, kare āmeḍitaṃ budho’’ti. –
อิมินา จ ลกฺขเณน อิธ ปสาทวเสน ปสํสาวเสน จายํ ทฺวิกฺขตฺตุํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ อถ วา อภิกฺกนฺตนฺติ อภิกนฺตํฯ อติอิฎฺฐํ อติมนาปํ, อติสุนฺทรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Iminā ca lakkhaṇena idha pasādavasena pasaṃsāvasena cāyaṃ dvikkhattuṃ vuttoti veditabbo. Atha vā abhikkantanti abhikantaṃ. Atiiṭṭhaṃ atimanāpaṃ, atisundaranti vuttaṃ hoti.
ตตฺถ เอเกน อภิกฺกนฺตสเทฺทน เทสนํ โถเมติ, เอเกน อตฺตโน ปสาทํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, ยทิทํ โภโต โคตมสฺส ธมฺมเทสนา, อภิกฺกนฺตํ ยทิทํ โภโต โคตมสฺส ธมฺมเทสนํ อาคมฺม มม ปสาโทติฯ ภควโตเยว วา วจนํ เทฺว เทฺว อเตฺถ สนฺธาย โถเมติ – โภโต โคตมสฺส วจนํ อภิกฺกนฺตํ โทสนาสนโต, อภิกฺกนฺตํ คุณาธิคมนโต, ตถา สทฺธาชนนโต, ปญฺญาชนนโต, สาตฺถโต, สพฺยญฺชนโต, อุตฺตานปทโต, คมฺภีรตฺถโต, กณฺณสุขโต, หทยงฺคมโต, อนตฺตุกฺกํสนโต, อปรวมฺภนโต, กรุณาสีตลโต, ปญฺญาวทาตโต, อาปาถรมณียโต, วิมทฺทกฺขมโต, สุยฺยมานสุขโต, วีมํสียมานหิตโตติ เอวมาทีหิ โยเชตพฺพํฯ
Tattha ekena abhikkantasaddena desanaṃ thometi, ekena attano pasādaṃ. Ayañhettha adhippāyo – abhikkantaṃ, bho gotama, yadidaṃ bhoto gotamassa dhammadesanā, abhikkantaṃ yadidaṃ bhoto gotamassa dhammadesanaṃ āgamma mama pasādoti. Bhagavatoyeva vā vacanaṃ dve dve atthe sandhāya thometi – bhoto gotamassa vacanaṃ abhikkantaṃ dosanāsanato, abhikkantaṃ guṇādhigamanato, tathā saddhājananato, paññājananato, sātthato, sabyañjanato, uttānapadato, gambhīratthato, kaṇṇasukhato, hadayaṅgamato, anattukkaṃsanato, aparavambhanato, karuṇāsītalato, paññāvadātato, āpātharamaṇīyato, vimaddakkhamato, suyyamānasukhato, vīmaṃsīyamānahitatoti evamādīhi yojetabbaṃ.
ตโต ปรมฺปิ จตูหิ อุปมาหิ เทสนํเยว โถเมติฯ ตตฺถ นิกฺกุชฺชิตนฺติ อโธมุขฐปิตํ, เหฎฺฐามุขชาตํ วาฯ อุกฺกุเชฺชยฺยาติ อุปริ มุขํ กเรยฺยฯ ปฎิจฺฉนฺนนฺติ ติณปณฺณาทิจฺฉาทิตํฯ วิวเรยฺยาติ อุคฺฆาเฎยฺยฯ มูฬฺหสฺสาติ ทิสามูฬฺหสฺสฯ มคฺคํ อาจิเกฺขยฺยาติ หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘เอส มโคฺค’’ติ วเทยฺยฯ อนฺธกาเรติ กาฬปกฺขจาตุทฺทสีอฑฺฒรตฺตฆนวนสณฺฑเมฆปฎเลหิ จตุรเงฺค ตเม, อยํ ตาว อนุตฺตานปทโตฺถฯ
Tato parampi catūhi upamāhi desanaṃyeva thometi. Tattha nikkujjitanti adhomukhaṭhapitaṃ, heṭṭhāmukhajātaṃ vā. Ukkujjeyyāti upari mukhaṃ kareyya. Paṭicchannanti tiṇapaṇṇādicchāditaṃ. Vivareyyāti ugghāṭeyya. Mūḷhassāti disāmūḷhassa. Maggaṃ ācikkheyyāti hatthe gahetvā ‘‘esa maggo’’ti vadeyya. Andhakāreti kāḷapakkhacātuddasīaḍḍharattaghanavanasaṇḍameghapaṭalehi caturaṅge tame, ayaṃ tāva anuttānapadattho.
อยํ ปน อธิปฺปายโยชนา – ยถา โกจิ นิกฺกุชฺชิตํ อุกฺกุเชฺชยฺย, เอวํ สทฺธมฺมวิมุขํ อสทฺธเมฺม ปติตํ มํ อสทฺธมฺมา วุฎฺฐาเปเนฺตน, ยถา ปฎิจฺฉนฺนํ วิวเรยฺย ฯ เอวํ กสฺสปสฺส ภควโต สาสนนฺตรธานโต ปภุติ มิจฺฉาทิฎฺฐิคหนปฎิจฺฉนฺนํ สาสนํ วิวรเนฺตน, ยถา มูฬฺหสฺส มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, เอวํ กุมฺมคฺคมิจฺฉามคฺคปฺปฎิปนฺนสฺส เม สคฺคโมกฺขมคฺคํ อาจิกฺขเนฺตน, ยถา อนฺธกาเร เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย, เอวํ โมหนฺธกาเร นิมุคฺคสฺส เม พุทฺธาทิรตนรูปานิ อปสฺสโต ตปฺปฎิจฺฉาทกโมหนฺธการวิทฺธํสกเทสนาปโชฺชตธารเณน มยฺหํ โภตา โคตเมน เอเตหิ ปริยาเยหิ ปกาสิตตฺตา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตติฯ
Ayaṃ pana adhippāyayojanā – yathā koci nikkujjitaṃ ukkujjeyya, evaṃ saddhammavimukhaṃ asaddhamme patitaṃ maṃ asaddhammā vuṭṭhāpentena, yathā paṭicchannaṃ vivareyya . Evaṃ kassapassa bhagavato sāsanantaradhānato pabhuti micchādiṭṭhigahanapaṭicchannaṃ sāsanaṃ vivarantena, yathā mūḷhassa maggaṃ ācikkheyya, evaṃ kummaggamicchāmaggappaṭipannassa me saggamokkhamaggaṃ ācikkhantena, yathā andhakāre telapajjotaṃ dhāreyya, evaṃ mohandhakāre nimuggassa me buddhādiratanarūpāni apassato tappaṭicchādakamohandhakāraviddhaṃsakadesanāpajjotadhāraṇena mayhaṃ bhotā gotamena etehi pariyāyehi pakāsitattā anekapariyāyena dhammo pakāsitoti.
เทสนานุโมทนาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Desanānumodanāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ปสนฺนาการวณฺณนา
Pasannākāravaṇṇanā
เอวํ เทสนํ โถเมตฺวา อิมาย เทสนาย รตนตฺตยปสนฺนจิโตฺต ปสนฺนาการํ กโรโนฺต เอสาหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอสาหนฺติ เอโส อหํฯ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามีติ ภวํ เม โคตโม สรณํ ปรายณํ, อฆสฺส ตาตา , หิตสฺส จ วิธาตาติ อิมินา อธิปฺปาเยน ภวนฺตํ โคตมํ คจฺฉามิ, ภชามิ, เสวามิ, ปยิรุปาสามิ, เอวํ วา ชานามิ, พุชฺฌามีติฯ เยสญฺหิ ธาตูนํ คติอโตฺถ, พุทฺธิปิ เตสํ อโตฺถฯ ตสฺมา คจฺฉามีติ อิมสฺส ชานามิ, พุชฺฌามีติ อยมโตฺถ วุโตฺตฯ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจาติ เอตฺถ ปน อธิคตมเคฺค สจฺฉิกตนิโรเธ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน จ อปาเยสุ อปตมาเน ธาเรตีติ ธโมฺม, โส อตฺถโต อริยมโคฺค เจว นิพฺพานญฺจฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔) วิตฺถาโรฯ น เกวลญฺจ อริยมโคฺค เจว นิพฺพานญฺจ, อปิจ โข อริยผเลหิ สทฺธิํ ปริยตฺติธโมฺมปิฯ วุตฺตเญฺหตํ ฉตฺตมาณวกวิมาเน –
Evaṃ desanaṃ thometvā imāya desanāya ratanattayapasannacitto pasannākāraṃ karonto esāhantiādimāha. Tattha esāhanti eso ahaṃ. Bhavantaṃ gotamaṃ saraṇaṃ gacchāmīti bhavaṃ me gotamo saraṇaṃ parāyaṇaṃ, aghassa tātā , hitassa ca vidhātāti iminā adhippāyena bhavantaṃ gotamaṃ gacchāmi, bhajāmi, sevāmi, payirupāsāmi, evaṃ vā jānāmi, bujjhāmīti. Yesañhi dhātūnaṃ gatiattho, buddhipi tesaṃ attho. Tasmā gacchāmīti imassa jānāmi, bujjhāmīti ayamattho vutto. Dhammañca bhikkhusaṅghañcāti ettha pana adhigatamagge sacchikatanirodhe yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne ca apāyesu apatamāne dhāretīti dhammo, so atthato ariyamaggo ceva nibbānañca. Vuttañhetaṃ – ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti (a. ni. 4.34) vitthāro. Na kevalañca ariyamaggo ceva nibbānañca, apica kho ariyaphalehi saddhiṃ pariyattidhammopi. Vuttañhetaṃ chattamāṇavakavimāne –
‘‘ราควิราคมเนชมโสกํ, ธมฺมมสงฺขตมปฺปฎิกูลํ;
‘‘Rāgavirāgamanejamasokaṃ, dhammamasaṅkhatamappaṭikūlaṃ;
มธุรมิมํ ปคุณํ สุวิภตฺตํ, ธมฺมมิมํ สรณตฺถมุเปหี’’ติฯ (วิ. ว. ๘๘๗);
Madhuramimaṃ paguṇaṃ suvibhattaṃ, dhammamimaṃ saraṇatthamupehī’’ti. (vi. va. 887);
เอตฺถ ราควิราโคติ มโคฺค กถิโตฯ อเนชมโสกนฺติ ผลํฯ ธมฺมมสงฺขตนฺติ นิพฺพานํฯ อปฺปฎิกูลํ มธุรมิมํ ปคุณํ สุวิภตฺตนฺติ ปิฎกตฺตเยน วิภตฺตา สพฺพธมฺมกฺขนฺธาติฯ ทิฎฺฐิสีลสงฺฆาเตน สํหโตติ สโงฺฆ, โส อตฺถโต อฎฺฐ อริยปุคฺคลสมูโหฯ วุตฺตเญฺหตํ ตสฺมิํเยว วิมาเนฯ
Ettha rāgavirāgoti maggo kathito. Anejamasokanti phalaṃ. Dhammamasaṅkhatanti nibbānaṃ. Appaṭikūlaṃ madhuramimaṃ paguṇaṃ suvibhattanti piṭakattayena vibhattā sabbadhammakkhandhāti. Diṭṭhisīlasaṅghātena saṃhatoti saṅgho, so atthato aṭṭha ariyapuggalasamūho. Vuttañhetaṃ tasmiṃyeva vimāne.
‘‘ยตฺถ จ ทินฺนมหปฺผลมาหุ, จตูสุ สุจีสุ ปุริสยุเคสุ;
‘‘Yattha ca dinnamahapphalamāhu, catūsu sucīsu purisayugesu;
อฎฺฐ จ ปุคฺคล ธมฺมทสา เต, สงฺฆมิมํ สรณตฺถมุเปหี’’ติฯ (วิ. ว. ๘๘๘);
Aṭṭha ca puggala dhammadasā te, saṅghamimaṃ saraṇatthamupehī’’ti. (vi. va. 888);
ภิกฺขูนํ สโงฺฆ ภิกฺขุสโงฺฆฯ เอตฺตาวตา พฺราหฺมโณ ตีณิ สรณคมนานิ ปฎิเวเทสิฯ
Bhikkhūnaṃ saṅgho bhikkhusaṅgho. Ettāvatā brāhmaṇo tīṇi saraṇagamanāni paṭivedesi.
ปสนฺนาการวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pasannākāravaṇṇanā niṭṭhitā.
สรณคมนกถาวณฺณนา
Saraṇagamanakathāvaṇṇanā
อิทานิ เตสุ สรณคมเนสุ โกสลฺลตฺถํ สรณํ, สรณคมนํฯ โย จ สรณํ คจฺฉติ, สรณคมนปฺปเภโท , สรณคมนสฺส ผลํ, สํกิเลโส, เภโทติ อยํ วิธิ เวทิตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ – ปทตฺถโต ตาว หิํสตีติ สรณํ, สรณคตานํ เตเนว สรณคมเนน ภยํ สนฺตาสํ ทุกฺขํ ทุคฺคติปริกิเลสํ หนติ วินาเสตีติ อโตฺถ, รตนตฺตยเสฺสเวตํ อธิวจนํฯ
Idāni tesu saraṇagamanesu kosallatthaṃ saraṇaṃ, saraṇagamanaṃ. Yo ca saraṇaṃ gacchati, saraṇagamanappabhedo , saraṇagamanassa phalaṃ, saṃkileso, bhedoti ayaṃ vidhi veditabbo. Seyyathidaṃ – padatthato tāva hiṃsatīti saraṇaṃ, saraṇagatānaṃ teneva saraṇagamanena bhayaṃ santāsaṃ dukkhaṃ duggatiparikilesaṃ hanati vināsetīti attho, ratanattayassevetaṃ adhivacanaṃ.
อถ วา หิเต ปวตฺตเนน อหิตา จ นิวตฺตเนน สตฺตานํ ภยํ หิํสติ พุโทฺธฯ ภวกนฺตารา อุตฺตารเณน อสฺสาสทาเนน จ ธโมฺมฯ อปฺปกานมฺปิ การานํ วิปุลผลปฎิลาภกรเณน สโงฺฆฯ ตสฺมา อิมินาปิ ปริยาเยน รตนตฺตยํ สรณํฯ ตปฺปสาทตคฺครุตาหิ วิหตกิเลโส ตปฺปรายณตาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท สรณคมนํฯ ตํสมงฺคิสโตฺต สรณํ คจฺฉติ, วุตฺตปฺปกาเรน จิตฺตุปฺปาเทน เอตานิ เม ตีณิ สรณานิ สรณํ, เอตานิ ปรายณนฺติ เอวํ อุเปตีติ อโตฺถฯ เอวํ ตาว สรณํ สรณคมนํ โย จ สรณํ คจฺฉตีติ อิทํ ตยํ เวทิตพฺพํฯ
Atha vā hite pavattanena ahitā ca nivattanena sattānaṃ bhayaṃ hiṃsati buddho. Bhavakantārā uttāraṇena assāsadānena ca dhammo. Appakānampi kārānaṃ vipulaphalapaṭilābhakaraṇena saṅgho. Tasmā imināpi pariyāyena ratanattayaṃ saraṇaṃ. Tappasādataggarutāhi vihatakileso tapparāyaṇatākārappavatto cittuppādo saraṇagamanaṃ. Taṃsamaṅgisatto saraṇaṃ gacchati, vuttappakārena cittuppādena etāni me tīṇi saraṇāni saraṇaṃ, etāni parāyaṇanti evaṃ upetīti attho. Evaṃ tāva saraṇaṃ saraṇagamanaṃ yo ca saraṇaṃ gacchatīti idaṃ tayaṃ veditabbaṃ.
สรณคมนปฺปเภเท ปน ทุวิธํ สรณคมนํ โลกุตฺตรํ โลกิยญฺจฯ ตตฺถ โลกุตฺตรํ ทิฎฺฐสจฺจานํ มคฺคกฺขเณ สรณคมนุปกฺกิเลสสมุเจฺฉเทน อารมฺมณโต นิพฺพานารมฺมณํ หุตฺวา กิจฺจโต สกเลปิ รตนตฺตเย อิชฺฌติฯ โลกิยํ ปุถุชฺชนานํ สรณคมนุปกฺกิเลสวิกฺขมฺภเนน อารมฺมณโต พุทฺธาทิคุณารมฺมณํ หุตฺวา อิชฺฌติ, ตํ อตฺถโต พุทฺธาทีสุ วตฺถูสุ สทฺธาปฎิลาโภ, สทฺธามูลิกา จ สมฺมาทิฎฺฐิ ทสสุ ปุญฺญกิริยวตฺถูสุ ทิฎฺฐิชุกมฺมนฺติ วุจฺจติฯ
Saraṇagamanappabhede pana duvidhaṃ saraṇagamanaṃ lokuttaraṃ lokiyañca. Tattha lokuttaraṃ diṭṭhasaccānaṃ maggakkhaṇe saraṇagamanupakkilesasamucchedena ārammaṇato nibbānārammaṇaṃ hutvā kiccato sakalepi ratanattaye ijjhati. Lokiyaṃ puthujjanānaṃ saraṇagamanupakkilesavikkhambhanena ārammaṇato buddhādiguṇārammaṇaṃ hutvā ijjhati, taṃ atthato buddhādīsu vatthūsu saddhāpaṭilābho, saddhāmūlikā ca sammādiṭṭhi dasasu puññakiriyavatthūsu diṭṭhijukammanti vuccati.
ตยิทํ จตุธา ปวตฺตติ อตฺตสนฺนิยฺยาตเนน ตปฺปรายณตาย สิสฺสภาวูปคมเนน ปณิปาเตนาติฯ ตตฺถ อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ นาม ‘‘อชฺช อาทิํ กตฺวา อหํ อตฺตานํ พุทฺธสฺส นิยฺยาเตมิ, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺสา’’ติ เอวํ พุทฺธาทีนํ อตฺตปริจฺจชนํฯ ตปฺปรายณตา นาม ‘‘อชฺช อาทิํ กตฺวา อหํ พุทฺธปรายโณ, ธมฺมปรายโณ, สงฺฆปรายโณ อิติ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ ตปฺปรายณภาโวฯ สิสฺสภาวูปคมนํ นาม ‘‘อชฺช อาทิํ กตฺวา อหํ พุทฺธสฺส อเนฺตวาสิโก, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺสาติ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ สิสฺสภาวูปคโมฯ ปณิปาโต นาม ‘‘อชฺช อาทิํ กตฺวา อหํ อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานอญฺชลิกมฺมสามีจิกมฺมํ พุทฺธาทีนํเยว ติณฺณํ วตฺถูนํ กโรมิ, อิติ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ พุทฺธาทีสุ ปรมนิปจฺจกาโรฯ อิเมสญฺหิ จตุนฺนํ อาการานํ อญฺญตรมฺปิ กโรเนฺตน คหิตํเยว โหติ สรณคมนํฯ
Tayidaṃ catudhā pavattati attasanniyyātanena tapparāyaṇatāya sissabhāvūpagamanena paṇipātenāti. Tattha attasanniyyātanaṃ nāma ‘‘ajja ādiṃ katvā ahaṃ attānaṃ buddhassa niyyātemi, dhammassa, saṅghassā’’ti evaṃ buddhādīnaṃ attapariccajanaṃ. Tapparāyaṇatā nāma ‘‘ajja ādiṃ katvā ahaṃ buddhaparāyaṇo, dhammaparāyaṇo, saṅghaparāyaṇo iti maṃ dhārethā’’ti evaṃ tapparāyaṇabhāvo. Sissabhāvūpagamanaṃ nāma ‘‘ajja ādiṃ katvā ahaṃ buddhassa antevāsiko, dhammassa, saṅghassāti maṃ dhārethā’’ti evaṃ sissabhāvūpagamo. Paṇipāto nāma ‘‘ajja ādiṃ katvā ahaṃ abhivādanapaccuṭṭhānaañjalikammasāmīcikammaṃ buddhādīnaṃyeva tiṇṇaṃ vatthūnaṃ karomi, iti maṃ dhārethā’’ti evaṃ buddhādīsu paramanipaccakāro. Imesañhi catunnaṃ ākārānaṃ aññatarampi karontena gahitaṃyeva hoti saraṇagamanaṃ.
อปิจ ภควโต อตฺตานํ ปริจฺจชามิ, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺส อตฺตานํ ปริจฺจชามิฯ ชีวิตํ ปริจฺจชามิ, ปริจฺจโตฺตเยว เม อตฺตา, ปริจฺจตฺตํเยว เม ชีวิตํ, ชีวิตปริยนฺติกํ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, พุโทฺธ เม สรณํ เลณํ ตาณนฺติ เอวมฺปิ อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘สตฺถารญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยํ, สุคตญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยํ, สมฺมาสมฺพุทฺธญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) เอวมฺปิ มหากสฺสปสฺส สรณคมนํ วิย สิสฺสภาวูปคมนํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Apica bhagavato attānaṃ pariccajāmi, dhammassa, saṅghassa attānaṃ pariccajāmi. Jīvitaṃ pariccajāmi, pariccattoyeva me attā, pariccattaṃyeva me jīvitaṃ, jīvitapariyantikaṃ buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmi, buddho me saraṇaṃ leṇaṃ tāṇanti evampi attasanniyyātanaṃ veditabbaṃ. ‘‘Satthārañca vatāhaṃ passeyyaṃ bhagavantameva passeyyaṃ, sugatañca vatāhaṃ passeyyaṃ bhagavantameva passeyyaṃ, sammāsambuddhañca vatāhaṃ passeyyaṃ bhagavantameva passeyya’’nti (saṃ. ni. 2.154) evampi mahākassapassa saraṇagamanaṃ viya sissabhāvūpagamanaṃ daṭṭhabbaṃ.
‘‘โส อหํ วิจริสฺสามิ, คามา คามํ ปุรา ปุรํ;
‘‘So ahaṃ vicarissāmi, gāmā gāmaṃ purā puraṃ;
นมสฺสมาโน สมฺพุทฺธํ, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมต’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๙๔; สํ. นิ. ๑.๒๔๖) –
Namassamāno sambuddhaṃ, dhammassa ca sudhammata’’nti. (su. ni. 194; saṃ. ni. 1.246) –
เอวมฺปิ อาฬวกาทีนํ สรณคมนํ วิย ตปฺปรายณตา เวทิตพฺพาฯ ‘‘อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ภควโต ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา ภควโต ปาทานิ มุเขน จ ปริจุมฺพติ, ปาณีหิ จ ปริสมฺพาหติ, นามญฺจ สาเวติ พฺรหฺมายุ อหํ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ, พฺรหฺมายุ อหํ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๙๔) เอวมฺปิ ปณิปาโต ทฎฺฐโพฺพฯ
Evampi āḷavakādīnaṃ saraṇagamanaṃ viya tapparāyaṇatā veditabbā. ‘‘Atha kho brahmāyu brāhmaṇo uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā bhagavato pādesu sirasā nipatitvā bhagavato pādāni mukhena ca paricumbati, pāṇīhi ca parisambāhati, nāmañca sāveti brahmāyu ahaṃ, bho gotama, brāhmaṇo, brahmāyu ahaṃ, bho gotama, brāhmaṇo’’ti (ma. ni. 2.394) evampi paṇipāto daṭṭhabbo.
โส ปเนส ญาติภยาจริยทกฺขิเณยฺยวเสน จตุพฺพิโธ โหติฯ ตตฺถ ทกฺขิเณยฺยปณิปาเตน สรณคมนํ โหติ, น อิตเรหิฯ เสฎฺฐวเสเนว หิ สรณํ คยฺหติ, เสฎฺฐวเสน ภิชฺชติ, ตสฺมา โย สากิโย วา โกลิโย วา ‘‘พุโทฺธ อมฺหากํ ญาตโก’’ติ วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย วา ‘‘สมโณ โคตโม ราชปูชิโต มหานุภาโว, อวนฺทิยมาโน อนตฺถมฺปิ กเรยฺยา’’ติ ภเยน วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย วา โพธิสตฺตกาเล ภควโต สนฺติเก กิญฺจิ อุคฺคหิตํ สรมาโน พุทฺธกาเล วา –
So panesa ñātibhayācariyadakkhiṇeyyavasena catubbidho hoti. Tattha dakkhiṇeyyapaṇipātena saraṇagamanaṃ hoti, na itarehi. Seṭṭhavaseneva hi saraṇaṃ gayhati, seṭṭhavasena bhijjati, tasmā yo sākiyo vā koliyo vā ‘‘buddho amhākaṃ ñātako’’ti vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo vā ‘‘samaṇo gotamo rājapūjito mahānubhāvo, avandiyamāno anatthampi kareyyā’’ti bhayena vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo vā bodhisattakāle bhagavato santike kiñci uggahitaṃ saramāno buddhakāle vā –
‘‘เอเกน โภเค ภุเญฺชยฺย, ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย;
‘‘Ekena bhoge bhuñjeyya, dvīhi kammaṃ payojaye;
จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย, อาปทาสุ ภวิสฺสตี’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๖๕) –
Catutthañca nidhāpeyya, āpadāsu bhavissatī’’ti. (dī. ni. 3.265) –
เอวรูปํ อนุสาสนิํ อุคฺคเหตฺวา ‘‘อาจริโย เม’’ติ วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย ปน ‘‘อยํ โลเก อคฺคทกฺขิเณโยฺย’’ติ วนฺทติ, เตเนว คหิตํ โหติ สรณํฯ
Evarūpaṃ anusāsaniṃ uggahetvā ‘‘ācariyo me’’ti vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo pana ‘‘ayaṃ loke aggadakkhiṇeyyo’’ti vandati, teneva gahitaṃ hoti saraṇaṃ.
เอวํ คหิตสรณสฺส จ อุปาสกสฺส วา อุปาสิกาย วา อญฺญติตฺถิเยสุ ปพฺพชิตมฺปิ ญาติํ ‘‘ญาตโก เม อย’’นฺติ วนฺทโต สรณคมนํ น ภิชฺชติ, ปเคว อปพฺพชิตํฯ ตถา ราชานํ ภยวเสน วนฺทโต, โส หิ รฎฺฐปูชิตตฺตา อวนฺทิยมาโน อนตฺถมฺปิ กเรยฺยาติฯ ตถา ยํกิญฺจิ สิปฺปํ สิกฺขาปกํ ติตฺถิยํ ‘‘อาจริโย เม อย’’นฺติ วนฺทโตปิ น ภิชฺชตีติ เอวํ สรณคมนปฺปเภโท เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ gahitasaraṇassa ca upāsakassa vā upāsikāya vā aññatitthiyesu pabbajitampi ñātiṃ ‘‘ñātako me aya’’nti vandato saraṇagamanaṃ na bhijjati, pageva apabbajitaṃ. Tathā rājānaṃ bhayavasena vandato, so hi raṭṭhapūjitattā avandiyamāno anatthampi kareyyāti. Tathā yaṃkiñci sippaṃ sikkhāpakaṃ titthiyaṃ ‘‘ācariyo me aya’’nti vandatopi na bhijjatīti evaṃ saraṇagamanappabhedo veditabbo.
เอตฺถ จ โลกุตฺตรสฺส สรณคมนสฺส จตฺตาริ สามญฺญผลานิ วิปากผลํ, สพฺพทุกฺขกฺขโย อานิสํสผลํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Ettha ca lokuttarassa saraṇagamanassa cattāri sāmaññaphalāni vipākaphalaṃ, sabbadukkhakkhayo ānisaṃsaphalaṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ, สงฺฆญฺจ สรณํ คโต;
‘‘Yo ca buddhañca dhammañca, saṅghañca saraṇaṃ gato;
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติฯ
Cattāri ariyasaccāni, sammappaññāya passati.
ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ, ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ;
Dukkhaṃ dukkhasamuppādaṃ, dukkhassa ca atikkamaṃ;
อริยญฺจฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ, ทุกฺขูปสมคามินํฯ
Ariyañcaṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ, dukkhūpasamagāminaṃ.
เอตํ โข สรณํ เขมํ, เอตํ สรณมุตฺตมํ;
Etaṃ kho saraṇaṃ khemaṃ, etaṃ saraṇamuttamaṃ;
เอตํ สรณมาคมฺม, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๙๐-๑๙๒);
Etaṃ saraṇamāgamma, sabbadukkhā pamuccatī’’ti. (dha. pa. 190-192);
อปิจ นิจฺจโต อนุปคมนาทิวเสน เปตสฺส อานิสํสผลํ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ, ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล กญฺจิ สงฺขารํ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺย, สุขโต อุปคเจฺฉยฺย, กญฺจิ ธมฺมํ อตฺตโต อุปคเจฺฉยฺย, มาตรํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, ปิตรํ อรหนฺตํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, ทุฎฺฐจิโตฺต ตถาคตสฺส โลหิตํ อุปฺปาเทยฺย, สงฺฆํ ภิเนฺทยฺย, อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิเสยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๒๘; อ. นิ. ๑.๒๖๘-๒๗๖)ฯ
Apica niccato anupagamanādivasena petassa ānisaṃsaphalaṃ veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ, ‘‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo kañci saṅkhāraṃ niccato upagaccheyya, sukhato upagaccheyya, kañci dhammaṃ attato upagaccheyya, mātaraṃ jīvitā voropeyya, pitaraṃ arahantaṃ jīvitā voropeyya, duṭṭhacitto tathāgatassa lohitaṃ uppādeyya, saṅghaṃ bhindeyya, aññaṃ satthāraṃ uddiseyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (ma. ni. 3.128; a. ni. 1.268-276).
โลกิยสฺส ปน สรณคมนสฺส ภวสมฺปทาปิ โภคสมฺปทาปิ ผลเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Lokiyassa pana saraṇagamanassa bhavasampadāpi bhogasampadāpi phalameva. Vuttañhetaṃ –
‘‘เยเกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส,
‘‘Yekeci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse,
น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;
Na te gamissanti apāyabhūmiṃ;
ปหาย มานุสํ เทหํ,
Pahāya mānusaṃ dehaṃ,
เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๓๗);
Devakāyaṃ paripūressantī’’ti. (saṃ. ni. 1.37);
อปรมฺปิ วุตฺตํ ‘‘อถ โข สโกฺก เทวานมิโนฺท อสีติยา เทวตาสหเสฺสหิ สทฺธิํ เยนายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน, เตนุปสงฺกมิ…เป.… เอกมนฺตํ ฐิตํ โข สกฺกํ เทวานมินฺทํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เอตทโวจ ‘สาธุ โข เทวานมินฺท พุทฺธํ สรณคมนํ โหติ, พุทฺธํ สรณคมนเหตุ โข เทวานมินฺท เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’ติฯ เต อเญฺญ เทเว ทสหิ ฐาเนหิ อธิคณฺหนฺติ ทิเพฺพน อายุนา ทิเพฺพน วเณฺณน สุเขน ยเสน อาธิปเตเยฺยน ทิเพฺพหิ รูเปหิ สเทฺทหิ คเนฺธหิ รเสหิ โผฎฺฐเพฺพหี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๑)ฯ เอส นโย ธเมฺม สเงฺฆ จฯ อปิจ เวลามสุตฺตาทิวเสนาปิ (อ. นิ. ๙.๒๐) สรณคมนสฺส ผลวิเสโส เวทิตโพฺพฯ เอวํ สรณคมนผลํ เวทิตพฺพํฯ
Aparampi vuttaṃ ‘‘atha kho sakko devānamindo asītiyā devatāsahassehi saddhiṃ yenāyasmā mahāmoggallāno, tenupasaṅkami…pe… ekamantaṃ ṭhitaṃ kho sakkaṃ devānamindaṃ āyasmā mahāmoggallāno etadavoca ‘sādhu kho devānaminda buddhaṃ saraṇagamanaṃ hoti, buddhaṃ saraṇagamanahetu kho devānaminda evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjantī’ti. Te aññe deve dasahi ṭhānehi adhigaṇhanti dibbena āyunā dibbena vaṇṇena sukhena yasena ādhipateyyena dibbehi rūpehi saddehi gandhehi rasehi phoṭṭhabbehī’’ti (saṃ. ni. 4.341). Esa nayo dhamme saṅghe ca. Apica velāmasuttādivasenāpi (a. ni. 9.20) saraṇagamanassa phalaviseso veditabbo. Evaṃ saraṇagamanaphalaṃ veditabbaṃ.
ตตฺถ โลกิยสรณคมนํ ตีสุ วตฺถูสุ อญฺญาณสํสยมิจฺฉาญาณาทีหิ สํกิลิสฺสติ, น มหาชุติกํ โหติ, น มหาวิปฺผารํฯ โลกุตฺตรสฺส นตฺถิ สํกิเลโสฯ โลกิยสฺส จ สรณคมนสฺส ทุวิโธ เภโท สาวโชฺช อนวโชฺช จฯ ตตฺถ สาวโชฺช อญฺญสตฺถาราทีสุ อตฺตสนฺนิยฺยาตนาทีหิ โหติ, โส อนิฎฺฐผโลฯ อนวโชฺช กาลํ กิริยาย, โส อวิปากตฺตา อผโลฯ โลกุตฺตรสฺส ปน เนวตฺถิ เภโทฯ ภวนฺตเรปิ หิ อริยสาวโก อญฺญสตฺถารํ น อุทฺทิสตีติ เอวํ สรณคมนสฺส สํกิเลโส จ เภโท จ เวทิตโพฺพติฯ อุปาสกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตูติ มํ ภวํ โคตโม ‘‘อุปาสโก อย’’นฺติ เอวํ ธาเรตุ, ชานาตูติ อโตฺถฯ
Tattha lokiyasaraṇagamanaṃ tīsu vatthūsu aññāṇasaṃsayamicchāñāṇādīhi saṃkilissati, na mahājutikaṃ hoti, na mahāvipphāraṃ. Lokuttarassa natthi saṃkileso. Lokiyassa ca saraṇagamanassa duvidho bhedo sāvajjo anavajjo ca. Tattha sāvajjo aññasatthārādīsu attasanniyyātanādīhi hoti, so aniṭṭhaphalo. Anavajjo kālaṃ kiriyāya, so avipākattā aphalo. Lokuttarassa pana nevatthi bhedo. Bhavantarepi hi ariyasāvako aññasatthāraṃ na uddisatīti evaṃ saraṇagamanassa saṃkileso ca bhedo ca veditabboti. Upāsakaṃ maṃ bhavaṃ gotamo dhāretūti maṃ bhavaṃ gotamo ‘‘upāsako aya’’nti evaṃ dhāretu, jānātūti attho.
สรณคมนกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saraṇagamanakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อุปาสกวิธิกถาวณฺณนา
Upāsakavidhikathāvaṇṇanā
อุปาสกวิธิโกสลฺลตฺถํ ปเนตฺถ โก อุปาสโก, กสฺมา อุปาสโกติ วุจฺจติ, กิมสฺส สีลํ, โก อาชีโว, กา วิปตฺติ, กา สมฺปตฺตีติ อิทํ ปกิณฺณกํ เวทิตพฺพํฯ
Upāsakavidhikosallatthaṃ panettha ko upāsako, kasmā upāsakoti vuccati, kimassa sīlaṃ, ko ājīvo, kā vipatti, kā sampattīti idaṃ pakiṇṇakaṃ veditabbaṃ.
ตตฺถ โก อุปาสโกติ โย โกจิ ติสรณคโต คหโฎฺฐฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ยโต โข มหานาม อุปาสโก พุทฺธํ สรณํ คโต โหติ, ธมฺมํ สรณํ คโต โหติ, สงฺฆํ สรณํ คโต โหติฯ เอตฺตาวตา โข มหานาม อุปาสโก โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๓๓)ฯ
Tattha ko upāsakoti yo koci tisaraṇagato gahaṭṭho. Vuttañhetaṃ – ‘‘yato kho mahānāma upāsako buddhaṃ saraṇaṃ gato hoti, dhammaṃ saraṇaṃ gato hoti, saṅghaṃ saraṇaṃ gato hoti. Ettāvatā kho mahānāma upāsako hotī’’ti (saṃ. ni. 5.1033).
กสฺมา อุปาสโกติ รตนตฺตยสฺส อุปาสนโตฯ โส หิ พุทฺธํ อุปาสตีติ อุปาสโกฯ ธมฺมํ, สงฺฆํ อุปาสตีติ อุปาสโกฯ
Kasmā upāsakoti ratanattayassa upāsanato. So hi buddhaṃ upāsatīti upāsako. Dhammaṃ, saṅghaṃ upāsatīti upāsako.
กิมสฺส สีลนฺติ ปญฺจ เวรมณิโยฯ ยถาห ‘‘ยโต โข มหานาม อุปาสโก ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ อทินฺนาทานา , กาเมสุ มิจฺฉาจารา, มุสาวาทา, สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา ปฎิวิรโต โหติฯ เอตฺตาวตา โข มหานาม อุปาสโก สีลวา โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๓๓)ฯ
Kimassasīlanti pañca veramaṇiyo. Yathāha ‘‘yato kho mahānāma upāsako pāṇātipātā paṭivirato hoti adinnādānā , kāmesu micchācārā, musāvādā, surāmerayamajjapamādaṭṭhānā paṭivirato hoti. Ettāvatā kho mahānāma upāsako sīlavā hotī’’ti (saṃ. ni. 5.1033).
โก อาชีโวติ ปญฺจ มิจฺฉาวณิชฺชา ปหาย ธเมฺมน สเมน ชีวิตกปฺปนํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ปญฺจิมา, ภิกฺขเว, วณิชฺชา อุปาสเกน อกรณียาฯ กตมา ปญฺจ? สตฺถวณิชฺชา, สตฺตวณิชฺชา, มํสวณิชฺชา, มชฺชวณิชฺชา, วิสวณิชฺชาฯ อิมา โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ วณิชฺชา อุปาสเกน อกรณียา’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๗)ฯ
Ko ājīvoti pañca micchāvaṇijjā pahāya dhammena samena jīvitakappanaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘pañcimā, bhikkhave, vaṇijjā upāsakena akaraṇīyā. Katamā pañca? Satthavaṇijjā, sattavaṇijjā, maṃsavaṇijjā, majjavaṇijjā, visavaṇijjā. Imā kho, bhikkhave, pañca vaṇijjā upāsakena akaraṇīyā’’ti (a. ni. 5.177).
กา วิปตฺตีติ ยา ตเสฺสว สีลสฺส จ อาชีวสฺส จ วิปตฺติ, อยมสฺส วิปตฺติฯ อปิจ ยาย เอส จณฺฑาโล เจว โหติ มลญฺจ ปติกุโฎฺฐ จฯ สาปิสฺส วิปตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ เต จ อตฺถโต อสฺสทฺธิยาทโย ปญฺจ ธมฺมา โหนฺติฯ ยถาห ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต อุปาสโก อุปาสกจณฺฑาโล จ โหติ อุปาสกมลญฺจ อุปาสกปติกุโฎฺฐ จฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? อสฺสโทฺธ โหติ, ทุสฺสีโล โหติ, โกตูหลมงฺคลิโก โหติ, มงฺคลํ ปเจฺจติ โน กมฺมํ, อิโต จ พหิทฺธา ทกฺขิเณยฺยํ ปริเยสติ ตตฺถ จ ปุพฺพการํ กโรตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๕)ฯ
Kā vipattīti yā tasseva sīlassa ca ājīvassa ca vipatti, ayamassa vipatti. Apica yāya esa caṇḍālo ceva hoti malañca patikuṭṭho ca. Sāpissa vipattīti veditabbā. Te ca atthato assaddhiyādayo pañca dhammā honti. Yathāha ‘‘pañcahi, bhikkhave, dhammehi samannāgato upāsako upāsakacaṇḍālo ca hoti upāsakamalañca upāsakapatikuṭṭho ca. Katamehi pañcahi? Assaddho hoti, dussīlo hoti, kotūhalamaṅgaliko hoti, maṅgalaṃ pacceti no kammaṃ, ito ca bahiddhā dakkhiṇeyyaṃ pariyesati tattha ca pubbakāraṃ karotī’’ti (a. ni. 5.175).
กา สมฺปตฺตีติ ยา จสฺส สีลสมฺปทา จ อาชีวสมฺปทา จ, สา สมฺปตฺติฯ เย จสฺส รตนภาวาทิกรา สทฺธาทโย ปญฺจ ธมฺมาฯ ยถาห ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต อุปาสโก อุปาสกรตนญฺจ โหติ อุปาสกปทุมญฺจ อุปาสกปุณฺฑรีกญฺจฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? สโทฺธ โหติ, สีลวา โหติ, น โกตูหลมงฺคลิโก โหติ, กมฺมํ ปเจฺจติ โน มงฺคลํ, น อิโต พหิทฺธา ทกฺขิเณยฺยํ คเวสติ, อิธ จ ปุพฺพการํ กโรตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๕)ฯ
Kāsampattīti yā cassa sīlasampadā ca ājīvasampadā ca, sā sampatti. Ye cassa ratanabhāvādikarā saddhādayo pañca dhammā. Yathāha ‘‘pañcahi, bhikkhave, dhammehi samannāgato upāsako upāsakaratanañca hoti upāsakapadumañca upāsakapuṇḍarīkañca. Katamehi pañcahi? Saddho hoti, sīlavā hoti, na kotūhalamaṅgaliko hoti, kammaṃ pacceti no maṅgalaṃ, na ito bahiddhā dakkhiṇeyyaṃ gavesati, idha ca pubbakāraṃ karotī’’ti (a. ni. 5.175).
อชฺชตเคฺคติ เอตฺถ อยํ อคฺคสโทฺท อาทิโกฎิโกฎฺฐาสเสเฎฺฐสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อชฺชตเคฺค, สมฺม โทวาริก, อาวรามิ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๐) หิ อาทิมฺหิ ทิสฺสติฯ ‘‘เตเนว องฺคุลเคฺคน ตํ องฺคุลคฺคํ ปรามเสยฺย, (กถา. ๔๔๑) อุจฺฉคฺคํ เวฬคฺค’’นฺติอาทีสุ โกฎิยํฯ ‘‘อมฺพิลคฺคํ วา มธุรคฺคํ วา ติตฺตกคฺคํ วา (สํ. นิ. ๕.๓๗๔), อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วิหารเคฺคน วา ปริเวณเคฺคน วา ภาเชตุ’’นฺติอาทีสุ (จูฬว. ๓๑๘) โกฎฺฐาเสฯ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา…เป.… ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๓๔) เสเฎฺฐฯ อิธ ปนายํ อาทิมฺหิ ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา อชฺชตเคฺคติ อชฺชตํ อาทิํ กตฺวา, เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อชฺชตนฺติ อชฺชภาวํฯ อชฺชทเคฺคติ วา ปาโฐ, ท-กาโร ปทสนฺธิกโร, อชฺช อคฺคํ กตฺวาติ อโตฺถฯ
Ajjataggeti ettha ayaṃ aggasaddo ādikoṭikoṭṭhāsaseṭṭhesu dissati. ‘‘Ajjatagge, samma dovārika, āvarāmi dvāraṃ nigaṇṭhānaṃ nigaṇṭhīna’’ntiādīsu (ma. ni. 2.70) hi ādimhi dissati. ‘‘Teneva aṅgulaggena taṃ aṅgulaggaṃ parāmaseyya, (kathā. 441) ucchaggaṃ veḷagga’’ntiādīsu koṭiyaṃ. ‘‘Ambilaggaṃ vā madhuraggaṃ vā tittakaggaṃ vā (saṃ. ni. 5.374), anujānāmi, bhikkhave, vihāraggena vā pariveṇaggena vā bhājetu’’ntiādīsu (cūḷava. 318) koṭṭhāse. ‘‘Yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā…pe… tathāgato tesaṃ aggamakkhāyatī’’tiādīsu (a. ni. 4.34) seṭṭhe. Idha panāyaṃ ādimhi daṭṭhabbo. Tasmā ajjataggeti ajjataṃ ādiṃ katvā, evamettha attho veditabbo. Ajjatanti ajjabhāvaṃ. Ajjadaggeti vā pāṭho, da-kāro padasandhikaro, ajja aggaṃ katvāti attho.
ปาณุเปตนฺติ ปาเณหิ อุเปตํ, ยาว เม ชีวิตํ ปวตฺตติ, ตาว อุเปตํฯ อนญฺญสตฺถุกํ ตีหิ สรณคมเนหิ สรณํ คตํ อุปาสกํ กปฺปิยการกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ ชานาตุฯ อหญฺหิ สเจปิ เม ติขิเณน อสินา สีสํ ฉิเนฺทยฺย, เนว พุทฺธํ ‘‘น พุโทฺธ’’ติ วา ธมฺมํ ‘‘น ธโมฺม’’ติ วา, สงฺฆํ ‘‘น สโงฺฆ’’ติ วา วเทยฺยนฺติฯ เอวํ อตฺตสนฺนิยฺยาตเนน สรณํ คนฺตฺวา จตูหิ จ ปจฺจเยหิ ปวาเรตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามีติฯ
Pāṇupetanti pāṇehi upetaṃ, yāva me jīvitaṃ pavattati, tāva upetaṃ. Anaññasatthukaṃ tīhi saraṇagamanehi saraṇaṃ gataṃ upāsakaṃ kappiyakārakaṃ maṃ bhavaṃ gotamo dhāretu jānātu. Ahañhi sacepi me tikhiṇena asinā sīsaṃ chindeyya, neva buddhaṃ ‘‘na buddho’’ti vā dhammaṃ ‘‘na dhammo’’ti vā, saṅghaṃ ‘‘na saṅgho’’ti vā vadeyyanti. Evaṃ attasanniyyātanena saraṇaṃ gantvā catūhi ca paccayehi pavāretvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā pakkāmīti.
อุปาสกวิธิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Upāsakavidhikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
ภยเภรวสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhayabheravasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. ภยเภรวสุตฺตํ • 4. Bhayabheravasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๔. ภยเภรวสุตฺตวณฺณนา • 4. Bhayabheravasuttavaṇṇanā