Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๔. ภยเภรวสุตฺตวณฺณนา

    4. Bhayabheravasuttavaṇṇanā

    ๓๔. เอวํ เม สุตนฺติ ภยเภรวสุตฺตํฯ โก นิเกฺขโป? เกจิ ตาว เอวมาหุ ‘‘ปุจฺฉาวสิโก นิเกฺขโป’’ติฯ ทุวิธา หิ ปุจฺฉา ปากฎาปากฎเภทโตฯ ตตฺถ ยสฺสา เทสนาย นิมิตฺตภูโต ญาตุํ อิจฺฉิโต อโตฺถ กิํ-สทฺทปุพฺพเกน ปกาสียติ, สา ปากฎา ปุจฺฉา ยถา ‘‘กิํสูธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฎฺฐ’’นฺติ เอวมาทิ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๓)ฯ ยสฺสา ปน เทสนาย นิมิตฺตภูโต ญาตุํ อิจฺฉิโต อโตฺถ กิํ-สทฺทรหิเตน เกวเลเนว สทฺทปโยเคน ปกาสียติ, สา อปากฎา ปุจฺฉาฯ ญาตุํ อิจฺฉิโต หิ อโตฺถ ‘‘ปญฺหา, ปุจฺฉา’’ติ วุจฺจติ, ตสฺมาเยว อิธ ‘‘เย เม โภ โคตมา’’ติอาทิกา อปากฎาติ ‘‘ปุจฺฉาวสิโก นิเกฺขโป’’ติฯ ตยิทํ อการณํ, ยสฺมา โส พฺราหฺมโณ ‘‘เยเม โภ โคตมา’’ติอาทีนิ วทโนฺต น ตตฺถ กงฺขี วิจิกิจฺฉี สํสยมาปโนฺน อโวจ, อถ โข อตฺตนา ยถานิจฺฉิตมตฺถํ ภควติ ปสาทภาวพหุมานํ ปเวเทโนฺต กเถสิฯ เตนาห ‘‘ภควติ ปสาทํ อลตฺถา’’ติอาทิ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๔)ฯ วิหาเรติ วิหารเก นิวาเสฯ อวิจฺฉิเนฺนเยวาติ ปวตฺตมาเนเยวฯ ปททฺวยสฺสปิ วสเนฺต เอวาติ อโตฺถฯ เอตํ ปุโรหิตฎฺฐานํ อุณฺหีสาทิกกุธภเณฺฑหิ สทฺธิํ ลทฺธํ, ตถา จ ‘‘อสฺส รญฺญา ทินฺน’’นฺติ วทนฺติฯ เตนาห ‘‘ตํ ตสฺส รญฺญา ทินฺน’’นฺติฯ พฺรหฺมนฺติ เวทํฯ โส ปน มนฺตพฺรหฺมกปฺปวเสน ติวิโธฯ ตตฺถ มนฺตา ปธานํ มูลภาวโต, เย อฎฺฐกาทีหิ ปวุตฺตา, อิตเร ตนฺนิสฺสเยน ชาตา, เตน เตสํเยว คหณํ ‘‘มเนฺต สชฺฌายตี’’ติ ฯ เต หิ คุตฺตภาสิตพฺพตาย ‘‘มนฺตา’’ติ วุจฺจนฺติฯ อิทเมว หีติ อวธารเณน ‘‘พฺรหฺมโต ชาตา’’ติอาทิกํ นิรุตฺติํ ปฎิกฺขิปติฯ

    34.Evaṃme sutanti bhayabheravasuttaṃ. Ko nikkhepo? Keci tāva evamāhu ‘‘pucchāvasiko nikkhepo’’ti. Duvidhā hi pucchā pākaṭāpākaṭabhedato. Tattha yassā desanāya nimittabhūto ñātuṃ icchito attho kiṃ-saddapubbakena pakāsīyati, sā pākaṭā pucchā yathā ‘‘kiṃsūdha vittaṃ purisassa seṭṭha’’nti evamādi (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 183). Yassā pana desanāya nimittabhūto ñātuṃ icchito attho kiṃ-saddarahitena kevaleneva saddapayogena pakāsīyati, sā apākaṭā pucchā. Ñātuṃ icchito hi attho ‘‘pañhā, pucchā’’ti vuccati, tasmāyeva idha ‘‘ye me bho gotamā’’tiādikā apākaṭāti ‘‘pucchāvasiko nikkhepo’’ti. Tayidaṃ akāraṇaṃ, yasmā so brāhmaṇo ‘‘yeme bho gotamā’’tiādīni vadanto na tattha kaṅkhī vicikicchī saṃsayamāpanno avoca, atha kho attanā yathānicchitamatthaṃ bhagavati pasādabhāvabahumānaṃ pavedento kathesi. Tenāha ‘‘bhagavati pasādaṃ alatthā’’tiādi (ma. ni. aṭṭha. 1.34). Vihāreti vihārake nivāse. Avicchinneyevāti pavattamāneyeva. Padadvayassapi vasante evāti attho. Etaṃ purohitaṭṭhānaṃ uṇhīsādikakudhabhaṇḍehi saddhiṃ laddhaṃ, tathā ca ‘‘assa raññā dinna’’nti vadanti. Tenāha ‘‘taṃ tassa raññā dinna’’nti. Brahmanti vedaṃ. So pana mantabrahmakappavasena tividho. Tattha mantā padhānaṃ mūlabhāvato, ye aṭṭhakādīhi pavuttā, itare tannissayena jātā, tena tesaṃyeva gahaṇaṃ ‘‘mante sajjhāyatī’’ti . Te hi guttabhāsitabbatāya ‘‘mantā’’ti vuccanti. Idameva hīti avadhāraṇena ‘‘brahmato jātā’’tiādikaṃ niruttiṃ paṭikkhipati.

    เยน วา การเณนาติ (สารตฺถ. ฎี. เวรญฺชกณฺฑวณฺณนายํ ๒; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑; อ. นิ. ฎี. ๒.๒.๑๖) เหตุมฺหิ อิทํ กรณวจนํฯ เหตุอโตฺถ หิ กิริยาการณํ, น กรณํ วิย กิริยโตฺถ, ตสฺมา นานปฺปการคุณวิเสสาธิคมตฺถา อิธ อุปสงฺกมนกิริยาติ ‘‘อเนฺนน วสตี’’ติอาทีสุ วิย เหตุอตฺถเมเวตํ กรณวจนํ ยุตฺตํ, น กรณตฺถํ ตสฺส อยุชฺชมานตฺตาติ วุตฺตํ ‘‘เยน วา การเณนา’’ติอาทิฯ ภควโต สตตปฺปวตฺตนิรติสยสาทุวิปุลามตรสสทฺธมฺมผลตาย สาทุผลนิจฺจผลิตมหารุเกฺขน ภควา อุปมิโต, สาทุผลูปโภคาธิปฺปายคฺคหเณเนว หิ มหารุกฺขสฺส สาทุผลตา คหิตาติฯ

    Yena vā kāraṇenāti (sārattha. ṭī. verañjakaṇḍavaṇṇanāyaṃ 2; saṃ. ni. ṭī. 1.1.1; a. ni. ṭī. 2.2.16) hetumhi idaṃ karaṇavacanaṃ. Hetuattho hi kiriyākāraṇaṃ, na karaṇaṃ viya kiriyattho, tasmā nānappakāraguṇavisesādhigamatthā idha upasaṅkamanakiriyāti ‘‘annena vasatī’’tiādīsu viya hetuatthamevetaṃ karaṇavacanaṃ yuttaṃ, na karaṇatthaṃ tassa ayujjamānattāti vuttaṃ ‘‘yena vā kāraṇenā’’tiādi. Bhagavato satatappavattaniratisayasāduvipulāmatarasasaddhammaphalatāya sāduphalaniccaphalitamahārukkhena bhagavā upamito, sāduphalūpabhogādhippāyaggahaṇeneva hi mahārukkhassa sāduphalatā gahitāti.

    อุปสงฺกมีติ อุปสงฺกโนฺตฯ สมฺปตฺตุกามตาย หิ กิญฺจิ ฐานํ คจฺฉโนฺต ตํตํปเทสาติกฺกมเนน อุปสงฺกมิ, อุปสงฺกโนฺตติ วา วตฺตพฺพตํ ลภติฯ เตนาห ‘‘คโตติ วุตฺตํ โหตี’’ติ, อุปคโตติ อโตฺถฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยานิเทฺทโสติ อาห ‘‘อุปสงฺกมนปริโยสานทีปน’’นฺติฯ ตโตติ ยํ ฐานํ ปโตฺต ‘‘อุปสงฺกมี’’ติ วุโตฺต, ตโต อุปคตฎฺฐานโตฯ ยถา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺตติ (สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑๑๒) ยถา ภควา ‘‘กจฺจิ เต พฺราหฺมณ ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนีย’’นฺติอาทินา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺต เตน พฺราหฺมเณน สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมโท อโหสิ ปุพฺพภาสิตาย, ตทนุกรเณน เอวํ โสปิ พฺราหฺมโณ ภควตา สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมโท อโหสีติ โยชนาฯ ตํ ปน สมปฺปวตฺตโมทตํ อุปมาย ทเสฺสตุํ ‘‘สีโตทกํ วิยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สโมฺมทิตนฺติ สํสนฺทิตํฯ เอกีภาวนฺติ สโมฺมทนกิริยาย สมานตํ เอกรูปตํฯ ขมนียนฺติ ‘‘อิทํ จตุจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ ขณภงฺคุรตาย สภาวโต ทุสฺสหํ, กจฺจิ ขมิตุํ สกฺกุเณยฺย’’นฺติ ปุจฺฉติฯ ยาปนียนฺติ ปจฺจยายตฺตวุตฺติกํ จิรปฺปพนฺธสงฺขาตาย ยาปนาย กจฺจิ ยาเปตุํ สกฺกุเณยฺยํฯ สีสโรคาทิอาพาธาภาเวน กจฺจิ อปฺปาพาธํฯ ทุกฺขชีวิกาภาเวน กจฺจิ อปฺปาตงฺกํฯ ตํตํกิจฺจกรเณ อุฎฺฐานสุขตาย กจฺจิ ลหุฎฺฐานํฯ ตทนรูปพลโยคโต กจฺจิ พลํฯ สุขวิหารสพฺภาเวน กจฺจิ ผาสุวิหาโร อตฺถีติ ตตฺถ ตตฺถ กจฺจิ-สทฺทํ โยเชตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Upasaṅkamīti upasaṅkanto. Sampattukāmatāya hi kiñci ṭhānaṃ gacchanto taṃtaṃpadesātikkamanena upasaṅkami, upasaṅkantoti vā vattabbataṃ labhati. Tenāha ‘‘gatoti vuttaṃ hotī’’ti, upagatoti attho. Upasaṅkamitvāti pubbakālakiriyāniddesoti āha ‘‘upasaṅkamanapariyosānadīpana’’nti. Tatoti yaṃ ṭhānaṃ patto ‘‘upasaṅkamī’’ti vutto, tato upagataṭṭhānato. Yathā khamanīyādīni pucchantoti (saṃ. ni. ṭī. 1.1.112) yathā bhagavā ‘‘kacci te brāhmaṇa khamanīyaṃ, kacci yāpanīya’’ntiādinā khamanīyādīni pucchanto tena brāhmaṇena saddhiṃ samappavattamodo ahosi pubbabhāsitāya, tadanukaraṇena evaṃ sopi brāhmaṇo bhagavatā saddhiṃ samappavattamodo ahosīti yojanā. Taṃ pana samappavattamodataṃ upamāya dassetuṃ ‘‘sītodakaṃ viyā’’tiādi vuttaṃ. Tattha sammoditanti saṃsanditaṃ. Ekībhāvanti sammodanakiriyāya samānataṃ ekarūpataṃ. Khamanīyanti ‘‘idaṃ catucakkaṃ navadvāraṃ sarīrayantaṃ khaṇabhaṅguratāya sabhāvato dussahaṃ, kacci khamituṃ sakkuṇeyya’’nti pucchati. Yāpanīyanti paccayāyattavuttikaṃ cirappabandhasaṅkhātāya yāpanāya kacci yāpetuṃ sakkuṇeyyaṃ. Sīsarogādiābādhābhāvena kacci appābādhaṃ. Dukkhajīvikābhāvena kacci appātaṅkaṃ. Taṃtaṃkiccakaraṇe uṭṭhānasukhatāya kacci lahuṭṭhānaṃ. Tadanarūpabalayogato kacci balaṃ. Sukhavihārasabbhāvena kacci phāsuvihāro atthīti tattha tattha kacci-saddaṃ yojetvā attho veditabbo.

    พลวปฺปตฺตา ปีติ ปีติเยวฯ ตรุณปีติ ปาโมชฺชํฯ สโมฺมทนํ ชเนติ กโรตีติ สโมฺมทนิกํ, ตเทว สโมฺมทนียนฺติ อาห ‘‘สโมฺมทชนนโต’’ติฯ สโมฺมทิตพฺพโต สโมฺมทนียนฺติ อิมํ ปน อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สโมฺมทิตุํ ยุตฺตภาวโต’’ติ อาหฯ สริตพฺพภาวโตติ อนุสฺสริตพฺพภาวโตฯ ‘‘สรณีย’’นฺติ วตฺตเพฺพ ทีฆํ กตฺวา ‘‘สารณีย’’นฺติ วุตฺตํฯ สุยฺยมานสุขโตติ อาปาถมธุรตํ อาห, อนุสฺสริยมานสุขโตติ วิมทฺทรมณียตํฯ พฺยญฺชนปริสุทฺธตายาติ สภาวนิรุตฺติภาเวน ตสฺสา กถาย วจนจาตุริยมาห, อตฺถปริสุทฺธตายาติ อตฺถสฺส นิรุปกฺกิเลสตํฯ อเนเกหิ ปริยาเยหีติ อเนเกหิ การเณหิฯ

    Balavappattā pīti pītiyeva. Taruṇapīti pāmojjaṃ. Sammodanaṃ janeti karotīti sammodanikaṃ, tadeva sammodanīyanti āha ‘‘sammodajananato’’ti. Sammoditabbato sammodanīyanti imaṃ pana atthaṃ dassento ‘‘sammodituṃ yuttabhāvato’’ti āha. Saritabbabhāvatoti anussaritabbabhāvato. ‘‘Saraṇīya’’nti vattabbe dīghaṃ katvā ‘‘sāraṇīya’’nti vuttaṃ. Suyyamānasukhatoti āpāthamadhurataṃ āha, anussariyamānasukhatoti vimaddaramaṇīyataṃ. Byañjanaparisuddhatāyāti sabhāvaniruttibhāvena tassā kathāya vacanacāturiyamāha, atthaparisuddhatāyāti atthassa nirupakkilesataṃ. Anekehi pariyāyehīti anekehi kāraṇehi.

    อภิทูรอจฺจาสนฺนปฎิเกฺขเปน นาติทูรนาจฺจาสนฺนํ นาม คหิตํ, ตํ ปน อวกํสโต อุภินฺนํ ปสาริตหตฺถสงฺฆฎฺฎเนน ทฎฺฐพฺพํฯ คีวํ ปสาเรตฺวาติ คีวํ ปริวตฺตนวเสน ปสาเรตฺวาฯ

    Abhidūraaccāsannapaṭikkhepena nātidūranāccāsannaṃ nāma gahitaṃ, taṃ pana avakaṃsato ubhinnaṃ pasāritahatthasaṅghaṭṭanena daṭṭhabbaṃ. Gīvaṃ pasāretvāti gīvaṃ parivattanavasena pasāretvā.

    เยเมติ เอตฺถ สนฺธิวเสน อิการโลโปติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เย อิเม’’ติอาทิมาหฯ อุจฺจากุลีนตาย ชาติวเสน อภิชาตา ชาติกุลปุตฺตาฯ เตนาห ‘‘อุจฺจากุลปฺปสุตา’’ติฯ อาจารสมฺปตฺติยา อภิชาตา อาจารกุลปุตฺตาฯ เตนาห ‘‘อาจารสมฺปนฺนา’’ติฯ ยตฺถ กตฺถจิ อปากเฎปิ กุเลฯ เตน พฺราหฺมเณน อธิเปฺปตา ภิกฺขูสุ ทุวิธาปิ สํวิชฺชนฺตีติ อาห ‘‘อิธ ปน ทฺวีหิปิ การเณหิ กุลปุตฺตาเยวา’’ติฯ

    Yemeti ettha sandhivasena ikāralopoti dassento ‘‘ye ime’’tiādimāha. Uccākulīnatāya jātivasena abhijātā jātikulaputtā. Tenāha ‘‘uccākulappasutā’’ti. Ācārasampattiyā abhijātā ācārakulaputtā. Tenāha ‘‘ācārasampannā’’ti. Yattha katthaci apākaṭepi kule. Tena brāhmaṇena adhippetā bhikkhūsu duvidhāpi saṃvijjantīti āha ‘‘idha pana dvīhipi kāraṇehi kulaputtāyevā’’ti.

    สทฺธาติ อิทํ กรณเตฺถ ปจฺจตฺตวจนนฺติ อาห ‘‘สทฺธายา’’ติ, สทฺธาติ วา สทฺทหิตฺวาติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข ปาฬิยํ ย-การโลเปน นิเทฺทโสติ ทฎฺฐพฺพํฯ อคารโตติ อคารวาสโต, อุตฺตรปทโลเปน, นิสฺสยูปจาเรน วา อยํ นิเทฺทโสติฯ ภิกฺขนสีลตาทิลกฺขโณ ภิกฺขุภาโว ปพฺพชฺชาสหจริตาย สทฺธิํ ภิกฺขุภาวํ อนฺวาจินโนฺตติ อาห ‘‘ปพฺพชฺชํ ภิกฺขุภาวญฺจา’’ติฯ กมฺมวาจาลกฺขเณ ปน ภิกฺขุภาเว อธิเปฺปเต สมุจฺจยโตฺถ -สโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ อนคารสฺส ภาโวติ เอเตน ปพฺพชฺชานิสฺสิโต สุวิสุโทฺธ สีลาจารคุณวิเสโส คหิโต, กสิโครกฺขาทิกมฺมปฎิเกฺขโป อิธ อนุปฺปาทาทีหิ เวทิตโพฺพฯ เสสคฺคหเณ ปน สรณคมนาทิวเสน ปพฺพชฺชาย, สรณคมนาทิวเสน อุปสมฺปทาย จ อเนกเภทตฺตา อาห ‘‘สพฺพถาปี’’ติ, เตน เตน ปกาเรนาติ อโตฺถฯ ปุรโตคามิตา ปฎิปตฺติคมเนน, น กายคมเนนาติ อาห ‘‘นายโก’’ติ , สมฺมาปฎิปตฺติยา นิพฺพานสมฺปาปโกติ อโตฺถฯ หิตกิริยายาติ ทิฎฺฐธมฺมิกาทิหิตจริยายฯ คาหณํ อธิสีลาทีสุ อจฺจนฺตาย นิโยชนํ, น กถนมตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘คาเหตา’’ติ วตฺวา ‘‘สิกฺขาเปตา’’ติ อาหฯ ทิฎฺฐานุคตินฺติ ทิฎฺฐิยา อนุคมนนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทสฺสนานุคติ’’นฺติ วตฺวา สิกฺขาตฺตยสงฺคหํ ภควโต สาสนํ เตน ทิฎฺฐตฺตา ทิฎฺฐิ, ตสฺส ตเสฺสว ขมนวเสน ขนฺติ, รุจฺจนวเสน รุจิ, ตํทิฎฺฐิขนฺติรุจิกาว ภควโต สาวกาติ อาห ‘‘ยํทิฎฺฐิโก’’ติอาทิฯ

    Saddhāti idaṃ karaṇatthe paccattavacananti āha ‘‘saddhāyā’’ti, saddhāti vā saddahitvāti attho. Imasmiṃ pakkhe pāḷiyaṃ ya-kāralopena niddesoti daṭṭhabbaṃ. Agāratoti agāravāsato, uttarapadalopena, nissayūpacārena vā ayaṃ niddesoti. Bhikkhanasīlatādilakkhaṇo bhikkhubhāvo pabbajjāsahacaritāya saddhiṃ bhikkhubhāvaṃ anvācinantoti āha ‘‘pabbajjaṃ bhikkhubhāvañcā’’ti. Kammavācālakkhaṇe pana bhikkhubhāve adhippete samuccayattho ca-saddo daṭṭhabbo. Anagārassa bhāvoti etena pabbajjānissito suvisuddho sīlācāraguṇaviseso gahito, kasigorakkhādikammapaṭikkhepo idha anuppādādīhi veditabbo. Sesaggahaṇe pana saraṇagamanādivasena pabbajjāya, saraṇagamanādivasena upasampadāya ca anekabhedattā āha ‘‘sabbathāpī’’ti, tena tena pakārenāti attho. Puratogāmitā paṭipattigamanena, na kāyagamanenāti āha ‘‘nāyako’’ti , sammāpaṭipattiyā nibbānasampāpakoti attho. Hitakiriyāyāti diṭṭhadhammikādihitacariyāya. Gāhaṇaṃ adhisīlādīsu accantāya niyojanaṃ, na kathanamattanti dassento ‘‘gāhetā’’ti vatvā ‘‘sikkhāpetā’’ti āha. Diṭṭhānugatinti diṭṭhiyā anugamananti dassento ‘‘dassanānugati’’nti vatvā sikkhāttayasaṅgahaṃ bhagavato sāsanaṃ tena diṭṭhattā diṭṭhi, tassa tasseva khamanavasena khanti, ruccanavasena ruci, taṃdiṭṭhikhantirucikāva bhagavato sāvakāti āha ‘‘yaṃdiṭṭhiko’’tiādi.

    เอส กิร อลตฺถาติ สมฺพโนฺธฯ เทวปุเตฺต วิยาติอาทิ กสฺสจิ ปาริชุญฺญสฺส อภาวทีปนโต ‘‘สทฺธายา’’ติอาทินา วุตฺตสฺส ปพฺพชิตภาวสฺส ปากฎีกรณํฯ สทฺธาย ฆรา นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวาติ อิทํ หฎฺฐปหฎฺฐาทิภาวสฺส การณวจนํฯ ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุเฎฺฐติ อิทํ อนุสฺสงฺกิตาปริสงฺกิตตาย การณวจนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Esa kira alatthāti sambandho. Devaputte viyātiādi kassaci pārijuññassa abhāvadīpanato ‘‘saddhāyā’’tiādinā vuttassa pabbajitabhāvassa pākaṭīkaraṇaṃ. Saddhāya gharā nikkhamma pabbajitvāti idaṃ haṭṭhapahaṭṭhādibhāvassa kāraṇavacanaṃ. Ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭheti idaṃ anussaṅkitāparisaṅkitatāya kāraṇavacananti daṭṭhabbaṃ.

    เอวเมตนฺติอาทินา อาเมฑิตวจนํ สมฺปหํสนวเสน, ปสาทวเสน วา กตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา หิ เอวํ-สโทฺท สมฺปฎิจฺฉนโตฺถ อพฺภนุโมทนโตฺถ จ วุโตฺตฯ มมนฺติ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ, นิปาตปทํ วา เอตํ ‘‘ม’’นฺติ อิมินา สมานตฺถนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อาทีนีติ อาทิ-สเทฺทน นชีวิกาปกตาทิํ สงฺคณฺหาติ อีทิสานํเยวาติ สทฺธาปพฺพชฺชาย วิภาวิตอนภิชฺฌาลุอาทิสภาวานํเยว, น อิตเรสํ อภิชฺฌาลุสภาวานํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Evametantiādinā āmeḍitavacanaṃ sampahaṃsanavasena, pasādavasena vā katanti daṭṭhabbaṃ. Tathā hi evaṃ-saddo sampaṭicchanattho abbhanumodanattho ca vutto. Mamanti upayogatthe sāmivacanaṃ, nipātapadaṃ vā etaṃ ‘‘ma’’nti iminā samānatthanti daṭṭhabbaṃ. Ādīnīti ādi-saddena najīvikāpakatādiṃ saṅgaṇhāti īdisānaṃyevāti saddhāpabbajjāya vibhāvitaanabhijjhāluādisabhāvānaṃyeva, na itaresaṃ abhijjhālusabhāvānaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘สงฺฆาฎิกเณฺณ เจปิ เม, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ คเหตฺวา ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพโนฺธ อสฺส ปเท ปทํ นิกฺขิปโนฺต, โส จ โหติ อภิชฺฌาลุ กาเมสุ ติพฺพสาราโค พฺยาปนฺนจิโตฺต ปทุฎฺฐมนสงฺกโปฺป มุฎฺฐสฺสติ อสมฺปชาโน อสมาหิโต วิพฺภนฺตจิโตฺต ปากฎินฺทฺริโย, อถ โข อารกาว มม อหญฺจ ตสฺสา’’ติ (อิติวุ. ๙๒)ฯ

    ‘‘Saṅghāṭikaṇṇe cepi me, bhikkhave, bhikkhu gahetvā piṭṭhito piṭṭhito anubandho assa pade padaṃ nikkhipanto, so ca hoti abhijjhālu kāmesu tibbasārāgo byāpannacitto paduṭṭhamanasaṅkappo muṭṭhassati asampajāno asamāhito vibbhantacitto pākaṭindriyo, atha kho ārakāva mama ahañca tassā’’ti (itivu. 92).

    อโชฺฌคาเหตฺวา อธิเปฺปตตฺถํ สมฺภวิตุํ สาเธตุํ ทุกฺขานีติ ทุรภิสมฺภวานิฯ อฎฺฐกถายํ ปน ตตฺถ นิวาโสเยว ทุโกฺขติ ทเสฺสตุํ ‘‘สมฺภวิตุํ ทุกฺขานิ ทุสฺสหานี’’ติ วุตฺตํฯ อรญฺญวนปตฺถานีติ อรญฺญลกฺขณปฺปตฺตานิ วนสณฺฑานิฯ วนปตฺถ-สโทฺท หิ สณฺฑภูเต รุกฺขสมูเหปิ วตฺตตีติ อรญฺญคฺคหณํฯ กิญฺจาปีติ อนุชานนสมฺภาวนเตฺถ นิปาโตฯ กิํ อนุชานาติ? นิปฺปริยายโต อรญฺญาภาวํ ‘‘คามโต พหิ อรญฺญ’’นฺติฯ เตนาห ‘‘นิปฺปริยาเยนา’’ติอาทิฯ กิํ สมฺภาเวติ? อารญฺญกงฺคนิปฺผาทกตฺตํฯ ยญฺหิ อารญฺญกงฺคนิปฺผาทกํ, ตํ วิเสสโต ‘‘อรญฺญ’’นฺติ วุตฺตนฺติฯ เตเนวาห ‘‘ยํ ตํ ปญฺจธนุสติก’’นฺติอาทิฯ นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขีลาติ อินฺทขีลโต พหิ นิกฺขมิตฺวา, ตโต พหิ ปฎฺฐายาติ อโตฺถฯ พหิ อินฺทขีลาติ ยตฺถ เทฺว ตีณิ อินฺทขีลานิ, ตตฺถ พหิทฺธา อินฺทขีลโต ปฎฺฐาย, ยตฺถ ตํ นตฺถิ, ตตฺถ ตทรหฎฺฐานโต ปฎฺฐายาติ วทนฺติฯ ยสฺมา พหิ อินฺทขีลโต ปฎฺฐาย มนุสฺสูปจาเร ภยเภรวํ นตฺถิ, ตสฺมา อิธ นาธิเปฺปตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Ajjhogāhetvā adhippetatthaṃ sambhavituṃ sādhetuṃ dukkhānīti durabhisambhavāni. Aṭṭhakathāyaṃ pana tattha nivāsoyeva dukkhoti dassetuṃ ‘‘sambhavituṃ dukkhāni dussahānī’’ti vuttaṃ. Araññavanapatthānīti araññalakkhaṇappattāni vanasaṇḍāni. Vanapattha-saddo hi saṇḍabhūte rukkhasamūhepi vattatīti araññaggahaṇaṃ. Kiñcāpīti anujānanasambhāvanatthe nipāto. Kiṃ anujānāti? Nippariyāyato araññābhāvaṃ ‘‘gāmato bahi arañña’’nti. Tenāha ‘‘nippariyāyenā’’tiādi. Kiṃ sambhāveti? Āraññakaṅganipphādakattaṃ. Yañhi āraññakaṅganipphādakaṃ, taṃ visesato ‘‘arañña’’nti vuttanti. Tenevāha ‘‘yaṃ taṃ pañcadhanusatika’’ntiādi. Nikkhamitvā bahiindakhīlāti indakhīlato bahi nikkhamitvā, tato bahi paṭṭhāyāti attho. Bahi indakhīlāti yattha dve tīṇi indakhīlāni, tattha bahiddhā indakhīlato paṭṭhāya, yattha taṃ natthi, tattha tadarahaṭṭhānato paṭṭhāyāti vadanti. Yasmā bahi indakhīlato paṭṭhāya manussūpacāre bhayabheravaṃ natthi, tasmā idha nādhippetanti daṭṭhabbaṃ.

    คามนฺตนฺติ คามสมีปํฯ อนุปจารฎฺฐานนฺติ นิจฺจกิจฺจวเสน นุปจริตพฺพฎฺฐานํฯ เตนาห ‘‘ยตฺถ น กสียติ น วปียตี’’ติฯ ปนฺตานีติ อิมินา ‘‘ปริยนฺตาน’’นฺติ อิมสฺส ปริยายสฺส อิธ ปาฬิยํ คหิตตฺตา วุตฺตํ ‘‘ปริยนฺตานนฺติ อิมเมกํ ปริยายํ ฐเปตฺวา’’ติฯ ทูรานนฺติ ปน อยํ ปริยาโย ฐเปตโพฺพ สิยา ตสฺสาปิ ‘‘ปนฺตานี’’ติ อิมินาว อตฺถโต คหิตตฺตา, ตถา สติ ‘‘น มนุสฺสูปจาราน’’นฺติ เอทิสานมฺปิ ฐเปตพฺพตา อาปชฺชติ, ตสฺมา สทฺทโต เอว ฐปนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ปวิเวกนฺติ ปการโต, ปกาเรหิ วา วิเวจนํ, รูปาทิปุถุตฺตารมฺมเณ ปการโต คมนาทิอิริยาปถปฺปกาเรหิ อตฺตโน กายสฺส วิเวจนํ คจฺฉโตปิ ติฎฺฐโตปิ นิสชฺชโตปิ เอกเสฺสว ปวตฺตติฯ เตเนว หิ วิเวเจตพฺพานํ วิเวจนาการสฺส จ เภทโต พหุวิธตฺตา เต เอกเตฺตน คเหตฺวา ‘‘ปวิเวก’’นฺติ เอกวจเนน วุตฺตํฯ ทุกฺกรํ ปวิเวกนฺติ วา ปวิเวกํ กตฺตุํ น สุขนฺติ อโตฺถฯ เอกีภาเวติ เอกิกภาเวฯ ทฺวยํทฺวยาราโมติ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ ภาวาภิรโตฯ หรนฺติ วิยาติ สํหรนฺติ วิย วิฆาตุปฺปาทเนนฯ เตนาห ‘‘ฆสนฺติ วิยา’’ติ, ภยสนฺตาสุปฺปาทเนน ขาทิตุํ อาคตา ยกฺขรกฺขสปิสาจาทโย วิยาติ อธิปฺปาโยฯ อีทิสสฺสาติ อลทฺธสมาธิโนฯ ติณปณฺณมิคาทิสเทฺทหีติ วาเตริตานํ ติณปณฺณาทีนํ มิคปกฺขิอาทีนญฺจ ภิํสนเกหิ เภรเวหิ สเทฺทหิ วิวิเธหิ จ อเญฺญหิ ขาณุอาทีหิ ยกฺขาทิอากาเรหิ อุปฎฺฐิเตหิ ภิํสนเกหิฯ เอวํ ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวํ นาม กโรโนฺต อโห อจฺฉริยา เอเตติ วิมฺหิโต

    Gāmantanti gāmasamīpaṃ. Anupacāraṭṭhānanti niccakiccavasena nupacaritabbaṭṭhānaṃ. Tenāha ‘‘yattha na kasīyati na vapīyatī’’ti. Pantānīti iminā ‘‘pariyantāna’’nti imassa pariyāyassa idha pāḷiyaṃ gahitattā vuttaṃ ‘‘pariyantānanti imamekaṃ pariyāyaṃ ṭhapetvā’’ti. Dūrānanti pana ayaṃ pariyāyo ṭhapetabbo siyā tassāpi ‘‘pantānī’’ti imināva atthato gahitattā, tathā sati ‘‘na manussūpacārāna’’nti edisānampi ṭhapetabbatā āpajjati, tasmā saddato eva ṭhapanaṃ daṭṭhabbaṃ. Pavivekanti pakārato, pakārehi vā vivecanaṃ, rūpādiputhuttārammaṇe pakārato gamanādiiriyāpathappakārehi attano kāyassa vivecanaṃ gacchatopi tiṭṭhatopi nisajjatopi ekasseva pavattati. Teneva hi vivecetabbānaṃ vivecanākārassa ca bhedato bahuvidhattā te ekattena gahetvā ‘‘paviveka’’nti ekavacanena vuttaṃ. Dukkaraṃ pavivekanti vā pavivekaṃ kattuṃ na sukhanti attho. Ekībhāveti ekikabhāve. Dvayaṃdvayārāmoti dvinnaṃ dvinnaṃ bhāvābhirato. Haranti viyāti saṃharanti viya vighātuppādanena. Tenāha ‘‘ghasanti viyā’’ti, bhayasantāsuppādanena khādituṃ āgatā yakkharakkhasapisācādayo viyāti adhippāyo. Īdisassāti aladdhasamādhino. Tiṇapaṇṇamigādisaddehīti vāteritānaṃ tiṇapaṇṇādīnaṃ migapakkhiādīnañca bhiṃsanakehi bheravehi saddehi vividhehi ca aññehi khāṇuādīhi yakkhādiākārehi upaṭṭhitehi bhiṃsanakehi. Evaṃ dukkaraṃ durabhisambhavaṃ nāma karonto aho acchariyā eteti vimhito.

    กายกมฺมนฺตวารกถาวณฺณนา

    Kāyakammantavārakathāvaṇṇanā

    ๓๕. โสฬสสุ ฐาเนสูติ ‘‘เย โข เกจี’’ติอาทินา ปาฬิยํ วกฺขมาเนสุ โสฬสสุ การเณสุฯ อปริสุทฺธกายกมฺมนฺตตาทโย อรเญฺญ วิหรนฺตานํ จิตฺตุตฺราสนิมิตฺตตาย วิเสสโต วิเกฺขปาวหา, ปริสุทฺธกายกมฺมนฺตตาทโย ปน ตทภาวโต เตสํ อวิเกฺขปาวหาฯ เตนาห ‘‘อปริสุทฺธกายกมฺมนฺตสโนฺทสเหตู’’ติอาทิฯ โสฬสสูติ จ โวทานปกฺขํเยว คเหตฺวา วุตฺตํฯ สํกิเลสคฺคหณมฺปิ ยาวเทว โวทานทสฺสนตฺถนฺติฯ อารมฺมณปริคฺคหรหิตานนฺติ อปริสุทฺธกายกมฺมนฺตาทิกสฺส อรเญฺญ ทิฎฺฐสฺส ตสฺส อารมฺมณสฺส ‘‘เย โข เกจี’’ติอาทินา ปาฬิยํ อาคตนเยน ปริคฺคณฺหนญาณรหิตานํฯ อารมฺมณปริคฺคหยุตฺตานนฺติ เอตฺถ วุตฺตวิปริยาเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อตฺตนาติ ภควนฺตํ สนฺธาย วทติ, สยนฺติ อโตฺถฯ ตาทิโสติ อารมฺมณปริคฺคหยุโตฺตฯ

    35.Soḷasasuṭhānesūti ‘‘ye kho kecī’’tiādinā pāḷiyaṃ vakkhamānesu soḷasasu kāraṇesu. Aparisuddhakāyakammantatādayo araññe viharantānaṃ cittutrāsanimittatāya visesato vikkhepāvahā, parisuddhakāyakammantatādayo pana tadabhāvato tesaṃ avikkhepāvahā. Tenāha ‘‘aparisuddhakāyakammantasandosahetū’’tiādi. Soḷasasūti ca vodānapakkhaṃyeva gahetvā vuttaṃ. Saṃkilesaggahaṇampi yāvadeva vodānadassanatthanti. Ārammaṇapariggaharahitānanti aparisuddhakāyakammantādikassa araññe diṭṭhassa tassa ārammaṇassa ‘‘ye kho kecī’’tiādinā pāḷiyaṃ āgatanayena pariggaṇhanañāṇarahitānaṃ. Ārammaṇapariggahayuttānanti ettha vuttavipariyāyena attho veditabbo. Attanāti bhagavantaṃ sandhāya vadati, sayanti attho. Tādisoti ārammaṇapariggahayutto.

    สมฺพุชฺฌติ เอเตนาติ สโมฺพโธ, อริยมโคฺคติ อาห ‘‘อริยมคฺคปฺปตฺติโต’’ติฯ อคฺคมคฺคาธิคมาธีโน พุทฺธานํ สพฺพญฺญุตญฺญาณาธิคโมติ อาห ‘‘อนภิสมฺพุทฺธสฺสาติ อปฺปฎิวิทฺธจตุสจฺจสฺสา’’ติฯ อนวเสสโต เญยฺยํ, พุชฺฌิตุํ อรหตีติ โพธิ, มหาวีริยตาทินา ตตฺถ วิเสสโยคโต สโตฺตติ อาห ‘‘พุชฺฌนกสตฺตสฺสา’’ติฯ เตนาห ‘‘สมฺมาสโมฺพธิ’’นฺติอาทิฯ นิยตภาวปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย มหาสตฺตา ยถา มหาโพธิยานปฎิปทา หานภาคิยา, ฐิติภาคิยา วา น โหติ, อถ โข วิเสสภาคิยา นิเพฺพธภาคิยา จ โหติ, ตถา ปฎิปชฺชนโต โพธิยํ นินฺนโคณปพฺภารา เอวาติ อาห ‘‘โพธิยา วา สตฺตเสฺสว ลคฺคเสฺสวา’’ติฯ เตนาห ‘‘ทีปงฺกรสฺส หี’’ติอาทิฯ อฎฺฐธมฺมสโมธาเนนาติ –

    Sambujjhati etenāti sambodho, ariyamaggoti āha ‘‘ariyamaggappattito’’ti. Aggamaggādhigamādhīno buddhānaṃ sabbaññutaññāṇādhigamoti āha ‘‘anabhisambuddhassāti appaṭividdhacatusaccassā’’ti. Anavasesato ñeyyaṃ, bujjhituṃ arahatīti bodhi, mahāvīriyatādinā tattha visesayogato sattoti āha ‘‘bujjhanakasattassā’’ti. Tenāha ‘‘sammāsambodhi’’ntiādi. Niyatabhāvappattito paṭṭhāya mahāsattā yathā mahābodhiyānapaṭipadā hānabhāgiyā, ṭhitibhāgiyā vā na hoti, atha kho visesabhāgiyā nibbedhabhāgiyā ca hoti, tathā paṭipajjanato bodhiyaṃ ninnagoṇapabbhārā evāti āha ‘‘bodhiyā vā sattasseva laggassevā’’ti. Tenāha ‘‘dīpaṅkarassa hī’’tiādi. Aṭṭhadhammasamodhānenāti –

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙) –

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā’’ti. (bu. vaṃ. 2.59) –

    อิเมสํ อภินีหารสฺส องฺคภูตานํ อฎฺฐนฺนํ ธมฺมานํ สโมธาเนน สมวธาเนนฯ

    Imesaṃ abhinīhārassa aṅgabhūtānaṃ aṭṭhannaṃ dhammānaṃ samodhānena samavadhānena.

    ปพฺพชฺชูปคตาติ ปพฺพชฺชํ อุปคตาฯ เตน ปพฺพชฺชามเตฺตน สมณา, น สมิตปาปตายาติ ทเสฺสติฯ ชาติมเตฺตน อิธ พฺราหฺมณาติ อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘โภวาทิโน วา’’ติฯ เต หิ ‘‘โภ โภ’’ติ วทนสีลา, เตนาห ‘‘โภวาที นาม โส โหติ, สเจ โหติ สกิญฺจโน’’ติ (ธ. ป. ๓๙๖; สุ. นิ. ๖๒๕)ฯ ปาณาติปาตาทินาติ อาทิ-สเทฺทน อทินฺนาทานํ อพฺรหฺมจริยญฺจ สงฺคณฺหาติฯ อปริสุเทฺธนาติ จ วิเสสนํ กายกมฺมนฺตาเปกฺขาย, น ปาณาติปาตาทิอเปกฺขายฯ น หิ ปาณาติปาตาทิโก ตสฺส ปุพฺพภาคปโยโค จ โกจิ ปริสุโทฺธ นาม อตฺถิฯ ภายนเฎฺฐน ภยํ, ภีรุตาวหเฎฺฐน เภรวํสโนฺทสเหตูติ สโทสเหตุฯ ส-สโทฺท หิ อิธ สานุสาโร วุโตฺตฯ เตนาห ‘‘อตฺตโน โทสสฺส เหตู’’ติฯ เอกเนฺตน จิตฺตุตฺราสลกฺขณสฺส ภยสฺส วเสน ‘‘สาวชฺช’’นฺติ วุตฺตํฯ จิตฺตุตฺราโส หิ เอกนฺตสาวโชฺช ภายนเฎฺฐน ภยญฺจาติฯ อเกฺขมนฺติ อิทํ อุภยวเสนฯ จิตฺตุตฺราโสปิ หิ สรีรจิตฺตานํ อนตฺถาวหโต อเกฺขม, ตถา ภยานการมฺมณมฺปีติฯ อฎฺฐกถายํ ปน อตฺถทฺวยํ ยถาสงฺขฺยํ โยชิตํฯ สยํ ปริกปฺปิตภยานการมฺมณนิมิตฺตํ จิตฺตุตฺราสสมุปฺปาทนวเสน อาเนนฺตา ภยเภรวํ อวฺหายนฺติ วิย โหนฺตีติ วุตฺตํ ‘‘อวฺหายนฺตีติ ปโกฺกสนฺตี’’ติฯ เตติ มาริตมนุสฺสานํ ญาติมิตฺตาทโยฯ คจฺฉํ คหนภูตํ มหนฺตํ กณฺฎกสณฺฑํ, คุมฺพํ นาติมหนฺตนฺติ วทนฺติฯ คจฺฉนฺติ ปน ติณวนํ เวทิตพฺพํ, ‘‘คเจฺฉ รุฬฺหติเณ’’ติ วุตฺตํ, คุมฺพํ กณฺฎกลตาทิภริตาวิรุฬฺหํฯ พทฺธา วธิตา วิยาติ พทฺธา หุตฺวา ตาฬิยมานา วิยฯ

    Pabbajjūpagatāti pabbajjaṃ upagatā. Tena pabbajjāmattena samaṇā, na samitapāpatāyāti dasseti. Jātimattena idha brāhmaṇāti adhippetāti āha ‘‘bhovādino vā’’ti. Te hi ‘‘bho bho’’ti vadanasīlā, tenāha ‘‘bhovādī nāma so hoti, sace hoti sakiñcano’’ti (dha. pa. 396; su. ni. 625). Pāṇātipātādināti ādi-saddena adinnādānaṃ abrahmacariyañca saṅgaṇhāti. Aparisuddhenāti ca visesanaṃ kāyakammantāpekkhāya, na pāṇātipātādiapekkhāya. Na hi pāṇātipātādiko tassa pubbabhāgapayogo ca koci parisuddho nāma atthi. Bhāyanaṭṭhena bhayaṃ, bhīrutāvahaṭṭhena bheravaṃ. Sandosahetūti sadosahetu. Sa-saddo hi idha sānusāro vutto. Tenāha ‘‘attano dosassa hetū’’ti. Ekantena cittutrāsalakkhaṇassa bhayassa vasena ‘‘sāvajja’’nti vuttaṃ. Cittutrāso hi ekantasāvajjo bhāyanaṭṭhena bhayañcāti. Akkhemanti idaṃ ubhayavasena. Cittutrāsopi hi sarīracittānaṃ anatthāvahato akkhema, tathā bhayānakārammaṇampīti. Aṭṭhakathāyaṃ pana atthadvayaṃ yathāsaṅkhyaṃ yojitaṃ. Sayaṃ parikappitabhayānakārammaṇanimittaṃ cittutrāsasamuppādanavasena ānentā bhayabheravaṃ avhāyanti viya hontīti vuttaṃ ‘‘avhāyantīti pakkosantī’’ti. Teti māritamanussānaṃ ñātimittādayo. Gacchaṃ gahanabhūtaṃ mahantaṃ kaṇṭakasaṇḍaṃ, gumbaṃ nātimahantanti vadanti. Gacchanti pana tiṇavanaṃ veditabbaṃ, ‘‘gacche ruḷhatiṇe’’ti vuttaṃ, gumbaṃ kaṇṭakalatādibharitāviruḷhaṃ. Baddhā vadhitā viyāti baddhā hutvā tāḷiyamānā viya.

    ‘‘น โข ปนาติ เอตฺถ โขติ อวธารณเตฺถ นิปาโต, ปนา’’ติ วิเสสเตฺถฯ เตเนตํ ทเสฺสติ ‘‘อเญฺญ สมณพฺราหฺมณา วิย อหํ อปริสุทฺธกายกมฺมโนฺต หุตฺวา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ น โข ปน ปฎิเสวามิ, ปริสุทฺธกายกมฺมโนฺตเยว ปน หุตฺวา ตานิ ปฎิเสวามี’’ติฯ เอวํ วา เอตฺถ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ ‘‘ปริสุทฺธกายกมฺมโนฺตหมสฺมี’’ติ หิ เตน อวธารเณน วิภาวิตตฺถทสฺสนํฯ เตสมหํ อญฺญตโรติ ตาย ปริสุทฺธกายกมฺมตาย เตสํ อริยานํ อหํ อญฺญตโรติ กายกมฺมปาริสุทฺธิยา มหาสโตฺต อตฺตานํ อริเยสุ ปกฺขิปติฯ ปรมสเลฺลขภาวปฺปตฺตา หิ ตทา โพธิสตฺตสฺส กายกมฺมปาริสุทฺธิ , ตถา วจีกมฺมาทิปาริสุทฺธิ, ยโต มาโร รนฺธคเวสี หุตฺวา ฉพฺพสฺสานิ นิรนฺตรํ อนุพโนฺธ อนฺตรํ น ลภติฯ เตนาห –

    ‘‘Na kho panāti ettha khoti avadhāraṇatthe nipāto, panā’’ti visesatthe. Tenetaṃ dasseti ‘‘aññe samaṇabrāhmaṇā viya ahaṃ aparisuddhakāyakammanto hutvā araññavanapatthāni pantāni senāsanāni na kho pana paṭisevāmi, parisuddhakāyakammantoyeva pana hutvā tāni paṭisevāmī’’ti. Evaṃ vā ettha atthayojanā veditabbā. ‘‘Parisuddhakāyakammantohamasmī’’ti hi tena avadhāraṇena vibhāvitatthadassanaṃ. Tesamahaṃ aññataroti tāya parisuddhakāyakammatāya tesaṃ ariyānaṃ ahaṃ aññataroti kāyakammapārisuddhiyā mahāsatto attānaṃ ariyesu pakkhipati. Paramasallekhabhāvappattā hi tadā bodhisattassa kāyakammapārisuddhi , tathā vacīkammādipārisuddhi, yato māro randhagavesī hutvā chabbassāni nirantaraṃ anubandho antaraṃ na labhati. Tenāha –

    ‘‘สตฺต วสฺสานิ ภควนฺตํ, อนุพนฺธิํ ปทาปทํ;

    ‘‘Satta vassāni bhagavantaṃ, anubandhiṃ padāpadaṃ;

    โอตารํ นาธิคจฺฉิสฺสํ, สมฺพุทฺธสฺส สตีมโต’’ติฯ (สุ. นิ. ๔๔๘);

    Otāraṃ nādhigacchissaṃ, sambuddhassa satīmato’’ti. (su. ni. 448);

    ภิโยฺยติ อธิกํ สวิเสสํ, อุปรูปริ วาฯ ภีตตสิตา ภยูปทฺทเวน ฉมฺภิตสรีรา หฎฺฐโลมา โหนฺติ, อภีตาตสิตา ปน ภยูปทฺทวาภาวโต อหฎฺฐโลมา เขเมน โสตฺถินา ติฎฺฐนฺตีติ เตสํ เขมปฺปตฺติ โสตฺถิภาโว วา ปนฺนโลมตาย ปากโฎ โหตีติ ปาฬิยํ ‘‘ปโลฺลม’’นฺติ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘ปนฺนโลมต’’นฺติอาทิฯ เอตฺถ จ ภิโยฺย ปโลฺลมมาปาทิํ อรเญฺญ วิหารายาติ ปฎิญฺญานิเทฺทโสฯ ปริสุทฺธกายกมฺมโนฺตหมสฺมีติ เหตุทสฺสนํฯ ‘‘เย หิ โว อริยา’’ติ สทิสูทาหรณทสฺสนํฯ เย โข เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วาติ วิสทิสูทาหรณทสฺสนํฯ เสสานิ อนฺวยพฺยติเรกวิภาวนานีติ ทฎฺฐพฺพนฺติ อยเมตฺถ ยุตฺติวิภาวนาฯ อิมินา นเยน เสสวาเรสุปิ ยุตฺติวิภาวนา เวทิตพฺพาฯ

    Bhiyyoti adhikaṃ savisesaṃ, uparūpari vā. Bhītatasitā bhayūpaddavena chambhitasarīrā haṭṭhalomā honti, abhītātasitā pana bhayūpaddavābhāvato ahaṭṭhalomā khemena sotthinā tiṭṭhantīti tesaṃ khemappatti sotthibhāvo vā pannalomatāya pākaṭo hotīti pāḷiyaṃ ‘‘palloma’’nti vuttaṃ. Tenāha ‘‘pannalomata’’ntiādi. Ettha ca bhiyyo pallomamāpādiṃ araññe vihārāyāti paṭiññāniddeso. Parisuddhakāyakammantohamasmīti hetudassanaṃ. ‘‘Ye hi vo ariyā’’ti sadisūdāharaṇadassanaṃ. Ye kho keci samaṇā vā brāhmaṇā vāti visadisūdāharaṇadassanaṃ. Sesāni anvayabyatirekavibhāvanānīti daṭṭhabbanti ayamettha yuttivibhāvanā. Iminā nayena sesavāresupi yuttivibhāvanā veditabbā.

    กายกมฺมนฺตวารกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kāyakammantavārakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    วจีกมฺมนฺตวาราทิกถาวณฺณนา

    Vacīkammantavārādikathāvaṇṇanā

    ๓๖. อปริสุเทฺธน มุสาวาทาทินาติ เอตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ อาทิ-สเทฺทน ปน สงฺคหิตํ เตสญฺจ มุสาวาทาทีนํ ปวตฺติเภทํ ภยเภรวาวฺหานมุเขน ทเสฺสตุํ ‘‘กถ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ

    36.Aparisuddhena musāvādādināti ettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttanayameva. Ādi-saddena pana saṅgahitaṃ tesañca musāvādādīnaṃ pavattibhedaṃ bhayabheravāvhānamukhena dassetuṃ ‘‘katha’’ntiādi vuttaṃ. Tattha yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva.

    ภเณฺฑสูติ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณเกสุ ภเณฺฑสุฯ อุปฺปาเทตฺวาติ อตฺตโน ปริณามวเสน อภิชฺฌาสงฺขาตํ วิสมโลภํ อุปฺปาเทตฺวาฯ กุชฺฌิตฺวาติ วินาสจินฺตาวเสน ปรสฺส กุชฺฌิตฺวาฯ เอวญฺหิ เนสํ ‘‘เยสํ อปรชฺฌิมฺหา, เต อิทานิ อนุพนฺธิตฺวา’’ติอาทินา ปจฺฉา อาสงฺกุปฺปตฺติ สิยาฯ ‘‘เอเต อมฺหากํ ปริคฺคหวตฺถุํ คเหตุกามา มเญฺญ, วินาสํ กาตุกามา มเญฺญ’’ติ ยถา ปเร ปรโต เตสํ อภิชฺฌาพฺยาปาทปฺปวตฺติํ ปริคฺคณฺหนฺติ, ตาทิสํ มโนกมฺมนฺตํ สนฺธาย ‘‘เต ปเรส’’นฺติอาทิ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กามํ อกุสลกายกมฺมวจีกมฺมปวตฺติกาเลปิ อภิชฺฌาทโย ปวตฺตนฺติเยว, ตทา ปน เต เจตนาปกฺขิกา วา อโพฺพหาริกา วาติ มโนกมฺมนฺตวาเร เอว อภิชฺฌาทิวเสน โยชนา กตาฯ อถ วา ทฺวารนฺตเร ปวตฺตานมฺปิ ปาณาติปาตาทีนํ วจีกมฺมาทิภาวาภาโว วิย ทฺวารนฺตเร ปวตฺตานมฺปิ อภิชฺฌาทีนํ กายกมฺมาทิภาวาภาโว, มโนกมฺมภาโว เอว ปน สิโทฺธติ กตฺวา มโนกมฺมนฺตวาเร เอว อภิชฺฌาทโย อุทฺธฎาฯ ตถา หิ วุตฺตํ –

    Bhaṇḍesūti saviññāṇakāviññāṇakesu bhaṇḍesu. Uppādetvāti attano pariṇāmavasena abhijjhāsaṅkhātaṃ visamalobhaṃ uppādetvā. Kujjhitvāti vināsacintāvasena parassa kujjhitvā. Evañhi nesaṃ ‘‘yesaṃ aparajjhimhā, te idāni anubandhitvā’’tiādinā pacchā āsaṅkuppatti siyā. ‘‘Ete amhākaṃ pariggahavatthuṃ gahetukāmā maññe, vināsaṃ kātukāmā maññe’’ti yathā pare parato tesaṃ abhijjhābyāpādappavattiṃ pariggaṇhanti, tādisaṃ manokammantaṃ sandhāya ‘‘te paresa’’ntiādi vuttanti daṭṭhabbaṃ. Kāmaṃ akusalakāyakammavacīkammapavattikālepi abhijjhādayo pavattantiyeva, tadā pana te cetanāpakkhikā vā abbohārikā vāti manokammantavāre eva abhijjhādivasena yojanā katā. Atha vā dvārantare pavattānampi pāṇātipātādīnaṃ vacīkammādibhāvābhāvo viya dvārantare pavattānampi abhijjhādīnaṃ kāyakammādibhāvābhāvo, manokammabhāvo eva pana siddhoti katvā manokammantavāre eva abhijjhādayo uddhaṭā. Tathā hi vuttaṃ –

    ‘‘ทฺวาเร จรนฺติ กมฺมานิ, น ทฺวารา ทฺวารจาริโน;

    ‘‘Dvāre caranti kammāni, na dvārā dvāracārino;

    ตสฺมา ทฺวาเรหิ กมฺมานิ, อญฺญมญฺญํ ววตฺถิตา’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑.กายกมฺมทฺวาร);

    Tasmā dvārehi kammāni, aññamaññaṃ vavatthitā’’ti. (dha. sa. aṭṭha. 1.kāyakammadvāra);

    กิญฺจาปิ อฎฺฐกถายํ สาสเน ปพฺพชิตวเสน อาชีววาเร ภยเภรวาวฺหานํ โยชิตํ, ‘‘เย โข เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา’’ติ ปน วจนโต พาหิรกวเสน คหฎฺฐวเสน จ โยชนา เวทิตพฺพาฯ คหฎฺฐานมฺปิ หิ ชาติธมฺมกุลธมฺมเทสธมฺมวิโลมนวเสน อญฺญถาปิ มิจฺฉาชีโว ลพฺภเตว, ตาย เอว จ อาชีววิปตฺติยา อญฺญถา วา เนสํ อรญฺญวาโส สมฺภเวยฺยาติฯ

    Kiñcāpi aṭṭhakathāyaṃ sāsane pabbajitavasena ājīvavāre bhayabheravāvhānaṃ yojitaṃ, ‘‘ye kho keci samaṇā vā brāhmaṇā vā’’ti pana vacanato bāhirakavasena gahaṭṭhavasena ca yojanā veditabbā. Gahaṭṭhānampi hi jātidhammakuladhammadesadhammavilomanavasena aññathāpi micchājīvo labbhateva, tāya eva ca ājīvavipattiyā aññathā vā nesaṃ araññavāso sambhaveyyāti.

    ๓๗. เอวํ อาชีวฎฺฐมกสีลวเสน ภยเภรวํ ทเสฺสตฺวา ตโต ปรํ นีวรณปฺปหานาทิวเสน ตํ ทเสฺสตุํ เทสนา วฑฺฒิตาติ ตทตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘อิโต ปร’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ นีวรณวเสน ปุน วุตฺตาติ อยมธิปฺปาโย – เอวํ สีลวิสุทฺธิมตฺตมฺปิ อรเญฺญ วิหรโต ภยเภรวาภาวํ อาวหติ, กิมงฺคํ ปน นีวรณานิ ปหาย อปฺปนาสมาธิํ, อุปจารสมาธิเมว วา สมฺปาทยโตติ สมาธิสมฺปทาย ภยเภรวาภาวเหตุกํ ทเสฺสตุํ อุปริ เทสนา วฑฺฒิตาติ อกุสลมโนกมฺมนฺตภาเวน คหิตาปิ อภิชฺฌาพฺยาปาทา นีวรณวเสน ปุน วุตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อภิ-ปุโพฺพ ฌา-สโทฺท อภิชฺฌายนโตฺถติ อาห ‘‘ปรภณฺฑาทิอภิชฺฌายนสีลา’’ติฯ วตฺถุกาเมสูติ รูปาทีสุ กิเลสกามสฺส วตฺถุภูเตสุ กาเมสุฯ พหลกิเลสราคาติ ถิรมูลทุโมฺมจนียตาหิ อโชฺฌสาเน ปภูตกิเลสกามาฯ อภิชฺฌา เจตฺถ อปฺปตฺตวิสยปตฺถนา, ติพฺพสาราโค สมฺปตฺติวิสยาภินิเวโสฯ เต หิ โลภาภิภูตา ปุคฺคลา อตฺตนิ ติพฺพสาเปกฺขตาย เอว โลภาภิภูตตาย อววตฺถิตารมฺมณา อวินิจฺฉิตวิสยา อรเญฺญ ตํ ตํ วิสยํ อนุปธาริตฺวา วิหรนฺติ, รชฺชุอาทีนิ ยาถาวโต น สลฺลเกฺขนฺติฯ เตนาห ‘‘เตส’’นฺติอาทิฯ อุปฎฺฐาติ สนฺตจิตฺตตายฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘อากุลจิตฺตา’’ติฯ ‘‘อิทานิมฺห นฎฺฐา’’ติ ตสนฺติ วิตสนฺติ, อาคนฺตฺวา พาธิยมานา วิย โหนฺติ, เอวํ ตํ ภยเภรวํ อตฺตนิ สมาโรปนเฎฺฐน อวฺหายนฺติ ปโกฺกสนฺตีติ โยชนํ สนฺธายาห ‘‘เสสํ ตาทิสเมวา’’ติฯ ‘‘อนภิชฺฌาลุหมสฺมี’’ติ ปาฬิปเท จิรปริจิตอโลภชฺฌาสยตาย กมลทเล ชลพินฺทุ วิย อลคฺคมานสตฺตา สพฺพตฺถ อนเปโกฺขหมสฺมีติ อโตฺถฯ

    37. Evaṃ ājīvaṭṭhamakasīlavasena bhayabheravaṃ dassetvā tato paraṃ nīvaraṇappahānādivasena taṃ dassetuṃ desanā vaḍḍhitāti tadatthaṃ vivaranto ‘‘ito para’’ntiādimāha. Tattha nīvaraṇavasena puna vuttāti ayamadhippāyo – evaṃ sīlavisuddhimattampi araññe viharato bhayabheravābhāvaṃ āvahati, kimaṅgaṃ pana nīvaraṇāni pahāya appanāsamādhiṃ, upacārasamādhimeva vā sampādayatoti samādhisampadāya bhayabheravābhāvahetukaṃ dassetuṃ upari desanā vaḍḍhitāti akusalamanokammantabhāvena gahitāpi abhijjhābyāpādā nīvaraṇavasena puna vuttāti adhippāyo. Abhi-pubbo jhā-saddo abhijjhāyanatthoti āha ‘‘parabhaṇḍādiabhijjhāyanasīlā’’ti. Vatthukāmesūti rūpādīsu kilesakāmassa vatthubhūtesu kāmesu. Bahalakilesarāgāti thiramūladummocanīyatāhi ajjhosāne pabhūtakilesakāmā. Abhijjhā cettha appattavisayapatthanā, tibbasārāgo sampattivisayābhiniveso. Te hi lobhābhibhūtā puggalā attani tibbasāpekkhatāya eva lobhābhibhūtatāya avavatthitārammaṇā avinicchitavisayā araññe taṃ taṃ visayaṃ anupadhāritvā viharanti, rajjuādīni yāthāvato na sallakkhenti. Tenāha ‘‘tesa’’ntiādi. Upaṭṭhāti santacittatāya. Tathā hi vuttaṃ ‘‘ākulacittā’’ti. ‘‘Idānimha naṭṭhā’’ti tasanti vitasanti, āgantvā bādhiyamānā viya honti, evaṃ taṃ bhayabheravaṃ attani samāropanaṭṭhena avhāyanti pakkosantīti yojanaṃ sandhāyāha ‘‘sesaṃ tādisamevā’’ti. ‘‘Anabhijjhāluhamasmī’’ti pāḷipade ciraparicitaalobhajjhāsayatāya kamaladale jalabindu viya alaggamānasattā sabbattha anapekkhohamasmīti attho.

    ๓๘. ปกติภาววิชหเนนาติ ปริสุทฺธภาวสงฺขาตสฺส จ ปกติภาวสฺส วิชหเนนฯ สาวชฺชธมฺมสมุปฺปตฺติยา หิ จิตฺตสฺส อนวชฺชภาโว ชหิโต โหตีติฯ วิปนฺนจิตฺตาติ กิเลสาสุจิทูสิตตาย กุถิตจิตฺตาฯ เตนาห ‘‘กิเลสานุคตํ…เป.… ปูติกํ โหตี’’ติฯ ปทุฎฺฐมนสงฺกปฺปาติ วิสสํสฎฺฐมุตฺตํ วิย โทเสน ปทูสิตจิตฺตสงฺกปฺปาฯ วุตฺตนเยเนวาติ ‘‘เต อววตฺถิตารมฺมณา โหนฺตี’’ติอาทินา อภิชฺฌาลุวาเร วุตฺตนเยเนวฯ ยถา หิ โลภวเสน, เอวํ โทสาทิวเสนปิ อววตฺถิตารมฺมณา โหนฺตีติฯ สพฺพตฺถาติ เหฎฺฐา อุปริ จาติ สพฺพตฺถ ฐาเนสุ วเณฺณตพฺพาฯ

    38.Pakatibhāvavijahanenāti parisuddhabhāvasaṅkhātassa ca pakatibhāvassa vijahanena. Sāvajjadhammasamuppattiyā hi cittassa anavajjabhāvo jahito hotīti. Vipannacittāti kilesāsucidūsitatāya kuthitacittā. Tenāha ‘‘kilesānugataṃ…pe… pūtikaṃ hotī’’ti. Paduṭṭhamanasaṅkappāti visasaṃsaṭṭhamuttaṃ viya dosena padūsitacittasaṅkappā. Vuttanayenevāti ‘‘te avavatthitārammaṇā hontī’’tiādinā abhijjhāluvāre vuttanayeneva. Yathā hi lobhavasena, evaṃ dosādivasenapi avavatthitārammaṇā hontīti. Sabbatthāti heṭṭhā upari cāti sabbattha ṭhānesu vaṇṇetabbā.

    ๓๙. ‘‘ยา จิตฺตสฺส อกลฺลตา อกมฺมญฺญตา’’ติ วจนโต ถินํ จิตฺตสฺส เคลญฺญภาเวน คหณํ คจฺฉตีติ อาห ‘‘จิตฺตเคลญฺญภูเตน ถิเนนา’’ติฯ ตถา ‘‘ยา กายสฺส อกลฺลตา อกมฺมญฺญตา’’ติ (ธ. ส. ๑๑๖๓) วจนโต มิทฺธํ วิเสสโต นามกายสฺส เคลญฺญภาเวน คหณํ คจฺฉตีติ อาห ‘‘เสสนามกายเคลญฺญภูเตน มิเทฺธนา’’ติฯ เสสคฺคหณเญฺจตฺถ จิตฺตนิวตฺตนตฺถํฯ อิทญฺจ มิทฺธํ รูปกายสฺสปิ เคลญฺญาวหนฺติ ทฎฺฐพฺพํ นิทฺทาย เหตุภาวโตฯ ตถา หิ ตํ ‘‘นิทฺทา จปลายิกา’’ติ นิทฺทิฎฺฐํฯ เตนาห ‘‘เต นิทฺทาพหุลา โหนฺตี’’ติฯ

    39. ‘‘Yā cittassa akallatā akammaññatā’’ti vacanato thinaṃ cittassa gelaññabhāvena gahaṇaṃ gacchatīti āha ‘‘cittagelaññabhūtena thinenā’’ti. Tathā ‘‘yā kāyassa akallatā akammaññatā’’ti (dha. sa. 1163) vacanato middhaṃ visesato nāmakāyassa gelaññabhāvena gahaṇaṃ gacchatīti āha ‘‘sesanāmakāyagelaññabhūtena middhenā’’ti. Sesaggahaṇañcettha cittanivattanatthaṃ. Idañca middhaṃ rūpakāyassapi gelaññāvahanti daṭṭhabbaṃ niddāya hetubhāvato. Tathā hi taṃ ‘‘niddā capalāyikā’’ti niddiṭṭhaṃ. Tenāha ‘‘te niddābahulā hontī’’ti.

    ๔๐. อุทฺธจฺจปกติกาติ อุทฺธจฺจสีลา อนวฎฺฐิตสภาวาฯ อนวฎฺฐานรสญฺหิ อุทฺธจฺจํฯ เตนาห ‘‘วิปฺผนฺทมานจิตฺตา’’ติอาทิฯ อิธาติ ‘‘อวูปสนฺตจิตฺตา’’ติ อิมสฺมิํ ปเทฯ กุกฺกุจฺจํ คเหตุํ วฎฺฎติ สํวณฺณนาวเสน ปจฺฉานุตาปสฺสปิ จิตฺตสฺส อวูปสมกรตฺตาฯ อุทฺธจฺจํ ปน สรูเปเนว คหิตนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    40.Uddhaccapakatikāti uddhaccasīlā anavaṭṭhitasabhāvā. Anavaṭṭhānarasañhi uddhaccaṃ. Tenāha ‘‘vipphandamānacittā’’tiādi. Idhāti ‘‘avūpasantacittā’’ti imasmiṃ pade. Kukkuccaṃ gahetuṃ vaṭṭati saṃvaṇṇanāvasena pacchānutāpassapi cittassa avūpasamakarattā. Uddhaccaṃ pana sarūpeneva gahitanti adhippāyo.

    ๔๑. เอกเมวิทํ ปญฺจมํ นีวรณํ ยทิทํ กงฺขา วิจิกิจฺฉาติ จฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ทฺวิธา กตฺวา วุตฺตนฺติ อาห ‘‘กิํ นุ โข’’ติอาทิฯ กงฺขนโตติ สํสยนโตฯ วิจิกิจฺฉาติ วุจฺจติ ‘‘ธมฺมสภาวํ วิจินโนฺต เอตาย กิจฺฉติ, วิคตา ติกิจฺฉา วา’’ติ กตฺวาฯ

    41.Ekamevidaṃ pañcamaṃ nīvaraṇaṃ yadidaṃ kaṅkhā vicikicchāti ca. Yadi evaṃ kasmā dvidhā katvā vuttanti āha ‘‘kiṃ nu kho’’tiādi. Kaṅkhanatoti saṃsayanato. Vicikicchāti vuccati ‘‘dhammasabhāvaṃ vicinanto etāya kicchati, vigatā tikicchā vā’’ti katvā.

    ๔๒. เอวํ นีวรณาภาวกิตฺตนมุเขน สมาธิสมฺปทาย ภยเภรวาภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อตฺตุกฺกํสนาทิอภาวกิตฺตนมุเขน ปญฺญาสมฺปทาย ภยเภรวาภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘เย โข เกจี’’ติอาทินา อุปริ เทสนา วฑฺฒิตา, ตทตฺถํ วิวริตุํ ‘‘อตฺตุกฺกํสนกา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อุกฺกํเสนฺติ มานวเสน ปคฺคณฺหเนนฯ เตนาห ‘‘อุเจฺจ ฐาเน ฐเปนฺตี’’ติฯ ถินมิทฺธอุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจวิจิกิจฺฉาวาเรสุ คยฺหมานํ อภิชฺฌาลุวารสทิสนฺติ ตตฺถ ตํ อนามสิตฺวา อตฺตุกฺกํสกวาเร กิญฺจิ วิสทิสํ อตฺถีติ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เต กถ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    42. Evaṃ nīvaraṇābhāvakittanamukhena samādhisampadāya bhayabheravābhāvaṃ dassetvā idāni attukkaṃsanādiabhāvakittanamukhena paññāsampadāya bhayabheravābhāvaṃ dassetuṃ ‘‘ye kho kecī’’tiādinā upari desanā vaḍḍhitā, tadatthaṃ vivarituṃ ‘‘attukkaṃsanakā’’tiādi vuttaṃ. Ukkaṃsenti mānavasena paggaṇhanena. Tenāha ‘‘ucce ṭhāne ṭhapentī’’ti. Thinamiddhauddhaccakukkuccavicikicchāvāresu gayhamānaṃ abhijjhāluvārasadisanti tattha taṃ anāmasitvā attukkaṃsakavāre kiñci visadisaṃ atthīti taṃ dassetuṃ ‘‘te katha’’ntiādi vuttaṃ.

    ๔๓. ฉมฺภนํ ฉโมฺภ, กายสฺส ฉมฺภิตตฺตเหตุภูโต พลวจิตฺตุตฺราโสฯ โส เอเตสํ อตฺถีติ ฉมฺภีฯ เตนาห ‘‘กายถมฺภนา’’ติอาทิฯ ภีรุกชาติกาติ ภายนกสีลาฯ เอกเมว เจตํ สาวชฺชภยํ กาเย ฉมฺภิตตฺตสฺส, จิเตฺต จ กาเย จ ถทฺธภาวสฺส อุปฺปาทนวเสน ‘‘ฉโมฺภ ภีรุตา’’ติ จ วุจฺจตีติ ตํสมงฺคิโน สมณพฺราหฺมณา ‘‘ฉมฺภี ภีรุกชาติกา’’ติ วุตฺตา, อิธ ภยเภรวํ สรูเปเนว คหิตํฯ

    43. Chambhanaṃ chambho, kāyassa chambhitattahetubhūto balavacittutrāso. So etesaṃ atthīti chambhī. Tenāha ‘‘kāyathambhanā’’tiādi. Bhīrukajātikāti bhāyanakasīlā. Ekameva cetaṃ sāvajjabhayaṃ kāye chambhitattassa, citte ca kāye ca thaddhabhāvassa uppādanavasena ‘‘chambho bhīrutā’’ti ca vuccatīti taṃsamaṅgino samaṇabrāhmaṇā ‘‘chambhī bhīrukajātikā’’ti vuttā, idha bhayabheravaṃ sarūpeneva gahitaṃ.

    ๔๔. ลพฺภติ ปาปุณียตีติ ลาภสทฺทสฺส กมฺมสาธนตฺตมาหฯ สกฺกจฺจํ กาตโพฺพ ทาตโพฺพติ สกฺกาโรฯ ตทตฺถทีปกนฺติ ลาภาทิํ ปหาย อรเญฺญ วสโต ภยเภรวาวฺหายนํ นตฺถีติ ทีปกํฯ โส กิร ลาภครุตาเยว ปิโย คาโม เอตสฺสาติ ‘‘ปิยคามิโก’’ติ นามํ ลภติฯ กมฺมมุโตฺตติ ชราชิณฺณตฺตา กมฺมํ กาตุํ น สโกฺกตีติ สามิเกหิ วิสฺสโฎฺฐฯ

    44.Labbhati pāpuṇīyatīti lābhasaddassa kammasādhanattamāha. Sakkaccaṃ kātabbo dātabboti sakkāro. Tadatthadīpakanti lābhādiṃ pahāya araññe vasato bhayabheravāvhāyanaṃ natthīti dīpakaṃ. So kira lābhagarutāyeva piyo gāmo etassāti ‘‘piyagāmiko’’ti nāmaṃ labhati. Kammamuttoti jarājiṇṇattā kammaṃ kātuṃ na sakkotīti sāmikehi vissaṭṭho.

    ๔๕. อลสภาเวน สมฺมาวายามสฺส อกรณโต กุจฺฉิตํ สีทนฺตีติ กุสีตาฯ วีรสฺส ภาโว, กมฺมํ วา วีริยํ, วิธินา วา อีเรตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ วีริยํ, สมฺมาวายาโมฯ เตน หีนา หีนวีริยาฯ กายวิญฺญตฺติยา สมุฎฺฐานวเสน ปวตฺตวีริยํ กายิกวีริยํ, วตฺตกรณจงฺกมนาทีสุ ทฎฺฐพฺพํฯ นิสชฺช สยิตฺวา จ กมฺมฎฺฐานมนสิการวเสน ปวตฺตวีริยํ เจตสิกวีริยํฯ ตตฺถ ปุริมํ วิเสสโต โกสชฺชปฎิปกฺขตาวเสน, ทุติยํ วีริยารมฺภตาวเสน ปากฎํ โหตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘กุสีตา’’ติอาทิมาหฯ เต หิ หีนวีริยา อลสตาเยว อารมฺมณววตฺถานมตฺตมฺปิ กาตุํ น สโกฺกนฺติฯ

    45. Alasabhāvena sammāvāyāmassa akaraṇato kucchitaṃ sīdantīti kusītā. Vīrassa bhāvo, kammaṃ vā vīriyaṃ, vidhinā vā īretabbaṃ pavattetabbanti vīriyaṃ, sammāvāyāmo. Tena hīnā hīnavīriyā. Kāyaviññattiyā samuṭṭhānavasena pavattavīriyaṃ kāyikavīriyaṃ, vattakaraṇacaṅkamanādīsu daṭṭhabbaṃ. Nisajja sayitvā ca kammaṭṭhānamanasikāravasena pavattavīriyaṃ cetasikavīriyaṃ. Tattha purimaṃ visesato kosajjapaṭipakkhatāvasena, dutiyaṃ vīriyārambhatāvasena pākaṭaṃ hotīti dassento ‘‘kusītā’’tiādimāha. Te hi hīnavīriyā alasatāyeva ārammaṇavavatthānamattampi kātuṃ na sakkonti.

    ๔๖. นฎฺฐสฺสตีติ อลพฺภมานสฺสติ, ปจฺจยเวกเลฺลน วิชฺชมานายปิ สติยา สติกิจฺจํ กาตุํ อสมตฺถตาย เอวํ วุตฺตํฯ น สมฺปชานาติ อสมฺปชานาฯ ตํโยคนิวตฺติยญฺจายํ -กาโร ‘‘อเหตุกา ธมฺมา (ธ. ส. ๒.ทุกมาติกา), อภิกฺขุโก อาวาโส’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๗๖) วิยาติ อาห ‘‘ปญฺญารหิตา’’ติฯ นนุ โสฬสโม ปญฺญาวาโร, อยํ สติวาโร, ตตฺถ กสฺมา สํกิเลสปเกฺข ปญฺญา คหิตาติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘อิมสฺส จา’’ติอาทิฯ สติภาชนียเมเวตํ, ยทิทํ จุทฺทสโม วาโร, ปญฺญา ปเนตฺถ จุทฺทสเม วาเร เกวลา สติ ทุพฺพลาติ สติทุพฺพลฺยทีปนตฺถํ ‘‘อสมฺปชานา’’ติ ปฎิเกฺขปมุเขน วุตฺตาฯ อิทานิ วุตฺตเมวตฺถํ ปากฎตรํ กาตุํ ‘‘ทุวิธา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    46.Naṭṭhassatīti alabbhamānassati, paccayavekallena vijjamānāyapi satiyā satikiccaṃ kātuṃ asamatthatāya evaṃ vuttaṃ. Na sampajānāti asampajānā. Taṃyoganivattiyañcāyaṃ a-kāro ‘‘ahetukā dhammā (dha. sa. 2.dukamātikā), abhikkhuko āvāso’’tiādīsu (cūḷava. 76) viyāti āha ‘‘paññārahitā’’ti. Nanu soḷasamo paññāvāro, ayaṃ sativāro, tattha kasmā saṃkilesapakkhe paññā gahitāti codanaṃ sandhāyāha ‘‘imassa cā’’tiādi. Satibhājanīyamevetaṃ, yadidaṃ cuddasamo vāro, paññā panettha cuddasame vāre kevalā sati dubbalāti satidubbalyadīpanatthaṃ ‘‘asampajānā’’ti paṭikkhepamukhena vuttā. Idāni vuttamevatthaṃ pākaṭataraṃ kātuṃ ‘‘duvidhā hī’’tiādi vuttaṃ.

    ๔๗. อปฺปนาสมาธินา, อุปจารสมาธินา วา จิตฺตํ อารมฺมเณ สมํ, สมฺมา วา อาหิตํ นาม โหติ, นาญฺญถาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อสมาหิตาติ อุปจารปฺปนาสมาธิวิรหิตา’’ติ อาห ฯ วิพฺภนฺตจิตฺตาติ อนวฎฺฐิตจิตฺตาฯ ปุเพฺพ นีวรณภาวสามเญฺญน อุทฺธจฺจํ คหิตํ ‘‘อุทฺธตา อวูปสนฺตจิตฺตา’’ติ, อิธ สมาธานาภาเวน อุทฺธจฺจเหตุโก จิตฺตวิพฺภโม วุโตฺต ‘‘อสมาหิตา วิพฺภนฺตจิตฺตา’’ติ, อยเมเตสํ วิเสโสฯ ปุเพฺพ วุตฺตนเยนาติ ปุเพฺพ ‘‘อุทฺธเจฺจน หิ เอการมฺมเณ จิตฺตํ วิปฺผนฺทติ ธชยฎฺฐิยํ วาเตน ปฎากา วิยา’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๔๐) วุตฺตนเยนฯ สพฺพํ ปุพฺพสทิสเมวาติ ภยเภรวาวฺหายนสฺส อภิชฺฌาลุวาเร วุตฺตสทิสตํ สนฺธาย วทติฯ

    47. Appanāsamādhinā, upacārasamādhinā vā cittaṃ ārammaṇe samaṃ, sammā vā āhitaṃ nāma hoti, nāññathāti dassento ‘‘asamāhitāti upacārappanāsamādhivirahitā’’ti āha . Vibbhantacittāti anavaṭṭhitacittā. Pubbe nīvaraṇabhāvasāmaññena uddhaccaṃ gahitaṃ ‘‘uddhatā avūpasantacittā’’ti, idha samādhānābhāvena uddhaccahetuko cittavibbhamo vutto ‘‘asamāhitā vibbhantacittā’’ti, ayametesaṃ viseso. Pubbe vuttanayenāti pubbe ‘‘uddhaccena hi ekārammaṇe cittaṃ vipphandati dhajayaṭṭhiyaṃ vātena paṭākā viyā’’ti (ma. ni. aṭṭha. 1.40) vuttanayena. Sabbaṃ pubbasadisamevāti bhayabheravāvhāyanassa abhijjhāluvāre vuttasadisataṃ sandhāya vadati.

    ๔๘. ทุปฺปญฺญาติ เอตฺถ ทุ-สโทฺท ‘‘ทุสฺสีโล’’ติอาทีสุ วิย อภาวโตฺถ, น ‘‘ทุคฺคติ, ทุปฺปฎิปโนฺน’’ติอาทีสุ วิย ครหโตฺถติ ทเสฺสตุํ ‘‘นิปฺปญฺญานเมตํ อธิวจน’’นฺติ วตฺวา ‘‘ปญฺญา ปน ทุฎฺฐา นาม นตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ เตติ ทุปฺปญฺญาฯ สพฺพตฺถาติ จตูสุปิ ปาฐวิกเปฺปสุฯ เอลนฺติ วา โทโส วุจฺจติฯ เตนาห ‘‘ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา’’ติฯ ตถา หิ สีลํ ‘‘เนลงฺค’’นฺติ วุตฺตํฯ ทุปฺปญฺญา จ กเถนฺตา สโทสเมว กถํ กเถนฺติ อปณฺฑิตภาวโตฯ เตเนวาห ‘‘ทุพฺภาสิตภาสี’’ติฯ ตสฺมา เอลสพฺภาวโต เอลํ มุขํ เอเตสนฺติ เอลมูคาติ วุตฺตาติ เอวมฺปิ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ยาย ปญฺญาย วเสน ‘‘ปญฺญาสมฺปโนฺน’’ติ วุตฺตํ, ตํ พฺยติเรกมุเขน ทเสฺสตุํ ‘‘โน จ โข’’ติอาทิ วุตฺตํฯ นนุ จ โพธิสตฺตา พหุลวิปสฺสนาปญฺญาย สมนฺนาคตา โหนฺตีติ? โหนฺติ, ตทา ปน โพธิสเตฺตน น วิปสฺสนารโมฺภ กโต, โน จ วิปสฺสนาปญฺญา อธิเปฺปตาติ วุตฺตํ ‘‘โน จ โข วิปสฺสนาปญฺญายา’’ติฯ

    48.Duppaññāti ettha du-saddo ‘‘dussīlo’’tiādīsu viya abhāvattho, na ‘‘duggati, duppaṭipanno’’tiādīsu viya garahatthoti dassetuṃ ‘‘nippaññānametaṃ adhivacana’’nti vatvā ‘‘paññā pana duṭṭhā nāma natthī’’ti vuttaṃ. Teti duppaññā. Sabbatthāti catūsupi pāṭhavikappesu. Elanti vā doso vuccati. Tenāha ‘‘yā sā vācā nelā kaṇṇasukhā’’ti. Tathā hi sīlaṃ ‘‘nelaṅga’’nti vuttaṃ. Duppaññā ca kathentā sadosameva kathaṃ kathenti apaṇḍitabhāvato. Tenevāha ‘‘dubbhāsitabhāsī’’ti. Tasmā elasabbhāvato elaṃ mukhaṃ etesanti elamūgāti vuttāti evampi vā ettha attho daṭṭhabbo. Yāya paññāya vasena ‘‘paññāsampanno’’ti vuttaṃ, taṃ byatirekamukhena dassetuṃ ‘‘no ca kho’’tiādi vuttaṃ. Nanu ca bodhisattā bahulavipassanāpaññāya samannāgatā hontīti? Honti, tadā pana bodhisattena na vipassanārambho kato, no ca vipassanāpaññā adhippetāti vuttaṃ ‘‘no ca kho vipassanāpaññāyā’’ti.

    เกจิ ปเนตฺถ ‘‘สทฺธาวิรหิตา อปริสุทฺธกายกมฺมนฺตาทโย วิย ภยเภรวาวฺหายนสฺส วิเสสการณํ, นาปิ สทฺธาลุตา ปโลฺลมตายาติ สทฺธาวาโร อนุทฺธโฎ’’ติ วทนฺติ, ตํ อการณํฯ กมฺมผเล หิ สทฺทหโนฺต กมฺมปฎิสรณตํเยว นิสฺสาย ภยเภรวํ ติณายปิ อมญฺญมาโน ปโลฺลมตมาปเชฺชยฺยฯ ยสฺมา ปน วีริยาทโย สทฺธาย วินา นปฺปวตฺตนฺตีติ เตสํ อุปนิสฺสยภูตา สหชาตา จ สา ตคฺคหเณเนว คหิตา โหตีติ วิสุํ น อุทฺธฎาฯ ตถา หิ สา ฌานสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทายมฺปิ น อุทฺธฎา, กิํ วา เอตาย สทฺธาย, อทฺธา สา อิมสฺมิํ อารมฺมณปริคฺคหฎฺฐาเน น คเหตพฺพาว, ตโต ธมฺมสฺสามินา อิธ น อุทฺธฎา, เอวํ อเญฺญสุปิ เอทิเสสุ ฐาเนสุ นิจฺฉโย กาตโพฺพฯ ยถานุโลมเทสนา หิ สุตฺตนฺตกถาติฯ

    Keci panettha ‘‘saddhāvirahitā aparisuddhakāyakammantādayo viya bhayabheravāvhāyanassa visesakāraṇaṃ, nāpi saddhālutā pallomatāyāti saddhāvāro anuddhaṭo’’ti vadanti, taṃ akāraṇaṃ. Kammaphale hi saddahanto kammapaṭisaraṇataṃyeva nissāya bhayabheravaṃ tiṇāyapi amaññamāno pallomatamāpajjeyya. Yasmā pana vīriyādayo saddhāya vinā nappavattantīti tesaṃ upanissayabhūtā sahajātā ca sā taggahaṇeneva gahitā hotīti visuṃ na uddhaṭā. Tathā hi sā jhānassa pubbabhāgapaṭipadāyampi na uddhaṭā, kiṃ vā etāya saddhāya, addhā sā imasmiṃ ārammaṇapariggahaṭṭhāne na gahetabbāva, tato dhammassāminā idha na uddhaṭā, evaṃ aññesupi edisesu ṭhānesu nicchayo kātabbo. Yathānulomadesanā hi suttantakathāti.

    วจีกมฺมนฺตวาราทิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vacīkammantavārādikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    โสฬสฎฺฐานารมฺมณปริคฺคโห นิฎฺฐิโตฯ

    Soḷasaṭṭhānārammaṇapariggaho niṭṭhito.

    ภยเภรวเสนาสนาทิวณฺณนา

    Bhayabheravasenāsanādivaṇṇanā

    ๔๙. โสฬสารมฺมณานีติ โสฬสฎฺฐานานิ อารมฺมณานิฯ เอวรูปาสุ รตฺตีสูติ จาตุทฺทสีอาทิกา อุปริ วกฺขมานา รตฺติโย สนฺธาย วทติ ฯ เอวรูเป เสนาสเนติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ยาติ อนิยมโต อุทฺทิฎฺฐานํ ปุน ‘‘ตา’’ติ วจนํ นิเทฺทโส วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ยา ตาติ อุภยเมตํ รตฺตีนํเยว อุเทฺทสนิเทฺทสวจน’’นฺติฯ อภีติ ลกฺขณเตฺถ ‘‘อเญฺญ จ อภิญฺญาตา พฺราหฺมณมหาสาลา’’ติอาทีสุ วิยฯ กถํ ปเนตฺถ ลกฺขณตฺถตา เวทิตพฺพา? ลกฺขียติ เอเตนาติ ลกฺขณนฺติ อาห ‘‘จนฺทปาริปูริยา’’ติอาทิฯ ปุณฺณมาสิยํ จนฺทปาริปูริยา อมาวาสิยํ จนฺทปริกฺขเยนอาทิ-สเทฺทน จนฺทสฺส อุปฑฺฒมณฺฑลตาราหุคฺคหตาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ อุปสคฺคมตฺตเมว อภิ-สโทฺท ลกฺขิตสเทฺทเนว ลกฺขณตฺถสฺส วิญฺญายมานตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ

    49.Soḷasārammaṇānīti soḷasaṭṭhānāni ārammaṇāni. Evarūpāsu rattīsūti cātuddasīādikā upari vakkhamānā rattiyo sandhāya vadati . Evarūpe senāsaneti etthāpi eseva nayo. ti aniyamato uddiṭṭhānaṃ puna ‘‘tā’’ti vacanaṃ niddeso viya hotīti vuttaṃ ‘‘yā tāti ubhayametaṃ rattīnaṃyeva uddesaniddesavacana’’nti. Abhīti lakkhaṇatthe ‘‘aññe ca abhiññātā brāhmaṇamahāsālā’’tiādīsu viya. Kathaṃ panettha lakkhaṇatthatā veditabbā? Lakkhīyati etenāti lakkhaṇanti āha ‘‘candapāripūriyā’’tiādi. Puṇṇamāsiyaṃ candapāripūriyā amāvāsiyaṃ candaparikkhayena. Ādi-saddena candassa upaḍḍhamaṇḍalatārāhuggahatādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Upasaggamattameva abhi-saddo lakkhitasaddeneva lakkhaṇatthassa viññāyamānattāti adhippāyo.

    ปฐมทิวสโต ปภุตีติ ปฐมปาฎิปททิวสโต ปฎฺฐายฯ ยสฺมา โจทโก ภควโต กาเล อนภิลกฺขิตาปิ อปรภาเค อภิลกฺขิตา ชาตา, ตสฺมา ตํ อภิลกฺขณียตํ อุปาทาย ‘‘สพฺพทสฺสินา ภควตา ปญฺจมี กสฺมา น คหิตา’’ติ โจเทติ, อิตโร สพฺพกาลิกาสุ จาตุทฺทสีอาทีสุ คยฺหมานาสุ อสพฺพกาลิกาย กถํ คหณนฺติ อธิปฺปาเยน ‘‘อสพฺพกาลิกตฺตา’’ติ ปริหรติฯ

    Paṭhamadivasato pabhutīti paṭhamapāṭipadadivasato paṭṭhāya. Yasmā codako bhagavato kāle anabhilakkhitāpi aparabhāge abhilakkhitā jātā, tasmā taṃ abhilakkhaṇīyataṃ upādāya ‘‘sabbadassinā bhagavatā pañcamī kasmā na gahitā’’ti codeti, itaro sabbakālikāsu cātuddasīādīsu gayhamānāsu asabbakālikāya kathaṃ gahaṇanti adhippāyena ‘‘asabbakālikattā’’ti pariharati.

    ตถาวิธาสูติ ‘‘อภิญฺญาตา’’ติอาทินา ยถา วุตฺตา, ตถาวิธาสุฯ เทวตาธิฎฺฐิตภาเวน อารามาทีนํ โลกสฺส เจติยภาโวติ อาห ‘‘ปูชนียเฎฺฐนา’’ติฯ มนุสฺสา เยภุเยฺยน คามาทีนํ ทฺวาเรสุ ตถารูเป รุเกฺข เจติยฎฺฐานิเย กตฺวา โวหรนฺตีติ อาห ‘‘คามนิคมาทิทฺวาเรสู’’ติอาทิฯ ทสฺสนมเตฺตนปิ สวนมเตฺตนปิ ภยุปฺปาทเนน ปากติกสเตฺต ภิํเสนฺตีติ ภิํสนกานิฯ เตนาห ‘‘ภยชนกานี’’ติอาทิฯ ภายติ เอตสฺมาติ ภยํ, อติวิย สปฺปฎิภยํ เภรวํ

    Tathāvidhāsūti ‘‘abhiññātā’’tiādinā yathā vuttā, tathāvidhāsu. Devatādhiṭṭhitabhāvena ārāmādīnaṃ lokassa cetiyabhāvoti āha ‘‘pūjanīyaṭṭhenā’’ti. Manussā yebhuyyena gāmādīnaṃ dvāresu tathārūpe rukkhe cetiyaṭṭhāniye katvā voharantīti āha ‘‘gāmanigamādidvāresū’’tiādi. Dassanamattenapi savanamattenapi bhayuppādanena pākatikasatte bhiṃsentīti bhiṃsanakāni. Tenāha ‘‘bhayajanakānī’’tiādi. Bhāyati etasmāti bhayaṃ, ativiya sappaṭibhayaṃ bheravaṃ.

    อายาจนอุปหารกรณารหนฺติ ตํตํพลิกมฺมปณิธิกมฺมกรณโยคฺคํฯ ปุปฺผธูป…เป.… ธรณิตลนฺติ อิทํ ยถาปฎิสูเตน สุปฺปาทินา อุปหารกรณทสฺสนํฯ โกเฎฺฎโนฺตติ ปหรโนฺต, สิงฺคปฺปหารขุรปฺปหาเรหิ สทฺทํ กโรโนฺตติ อธิปฺปาโยฯ สพฺพจตุปฺปทานํ อิธ มโคติ นามํ, น ‘‘อจฺฉจมฺมํ มิคจมฺมํ เอฬกจมฺม’’นฺติอาทีสุ (มหาว. ๒๕๙) วิย, โรหิโตติอาทิ มิควิเสสานนฺติ อธิปฺปาโยฯ จาเลตฺวาติ อคฺคมทฺทเนน จาเลตฺวาฯ โมรคฺคหณเญฺจตฺถ อุปลกฺขณนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อิธ สพฺพปกฺขิคหณํ อธิเปฺปต’’นฺติฯ เอส นโยติ อิทํ ยถา ‘‘โมโร วา’’ติ เอตฺถ วา-สโทฺท อวุตฺตวิกปฺปนโตฺถ, เอวํ ‘‘มิโค วา’’ติ เอตฺถาปีติ มิคสทฺทสฺส วิเสสตฺถวุตฺติตํ สนฺธายาหฯ อิโต ปภูตีติ ‘‘ยํนูนาหํ ยา ตา รตฺติโย’’ติอาทินา ภยเภรวสฺส คเวสนจินฺตนโต ปภุติ, น คเวสนารมฺภโต ปภุติฯ ‘‘อเปฺปว นามาหํ ภยเภรวํ ปเสฺสยฺย’’นฺติ เอตฺถาปิ หิ อารมฺมณเมว ภยเภรวํสุขารมฺมณํ รูปํ สุขมิว ‘‘รูปํ สุขํ สุขานุปติตํ สุขาวกฺกนฺต’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๖๐)ฯ กถํ ภยคฺคหเณน จ รูปารมฺมณคฺคหณนฺติ อาห ‘‘ปริตฺตสฺส จา’’ติอาทิฯ ‘‘อาคจฺฉตี’’ติ วจนโต คเวสนารมฺภโต ปภุติ ‘‘เอตํ ภย’’นฺติ อารมฺมณํ อธิเปฺปตนฺติ เกจิ ‘‘ตํ น ปเสฺสยฺย’’นฺติ จกฺขุนา ทสฺสนสฺส อธิเปฺปตตฺตา, ตสฺมา วุตฺตนเยเนว อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ภยํ อากงฺขมาโนติ อุปปริกฺขนวเสน อหํ ภยวตฺถุํ อากงฺขโนฺต วิหรามิ, ตํ กิมตฺถิยํ, เอตฺตโกปิ ภยสมนฺนาหาโร มยฺหํ อยุโตฺตติ อธิปฺปาโยฯ

    Āyācanaupahārakaraṇārahanti taṃtaṃbalikammapaṇidhikammakaraṇayoggaṃ. Pupphadhūpa…pe… dharaṇitalanti idaṃ yathāpaṭisūtena suppādinā upahārakaraṇadassanaṃ. Koṭṭentoti paharanto, siṅgappahārakhurappahārehi saddaṃ karontoti adhippāyo. Sabbacatuppadānaṃ idha magoti nāmaṃ, na ‘‘acchacammaṃ migacammaṃ eḷakacamma’’ntiādīsu (mahāva. 259) viya, rohitotiādi migavisesānanti adhippāyo. Cāletvāti aggamaddanena cāletvā. Moraggahaṇañcettha upalakkhaṇanti dassento āha ‘‘idha sabbapakkhigahaṇaṃ adhippeta’’nti. Esa nayoti idaṃ yathā ‘‘moro vā’’ti ettha vā-saddo avuttavikappanattho, evaṃ ‘‘migo vā’’ti etthāpīti migasaddassa visesatthavuttitaṃ sandhāyāha. Ito pabhūtīti ‘‘yaṃnūnāhaṃ yā tā rattiyo’’tiādinā bhayabheravassa gavesanacintanato pabhuti, na gavesanārambhato pabhuti. ‘‘Appeva nāmāhaṃ bhayabheravaṃ passeyya’’nti etthāpi hi ārammaṇameva bhayabheravaṃ. Sukhārammaṇaṃ rūpaṃ sukhamiva ‘‘rūpaṃ sukhaṃ sukhānupatitaṃ sukhāvakkanta’’ntiādīsu (saṃ. ni. 3.60). Kathaṃ bhayaggahaṇena ca rūpārammaṇaggahaṇanti āha ‘‘parittassa cā’’tiādi. ‘‘Āgacchatī’’ti vacanato gavesanārambhato pabhuti ‘‘etaṃ bhaya’’nti ārammaṇaṃ adhippetanti keci ‘‘taṃ na passeyya’’nti cakkhunā dassanassa adhippetattā, tasmā vuttanayeneva attho gahetabbo. Bhayaṃ ākaṅkhamānoti upaparikkhanavasena ahaṃ bhayavatthuṃ ākaṅkhanto viharāmi, taṃ kimatthiyaṃ, ettakopi bhayasamannāhāro mayhaṃ ayuttoti adhippāyo.

    ยํ ปการํ ภูโต ยถาภูโต, โส ปเนตฺถ ปกาโร อิริยาปถวเสน ยุโตฺต ปาฬิยํ ตถา อาคตตฺตาติ อาห ‘‘เยน เยน อิริยาปเถน ภูตสฺสา’’ติฯ ภวิตสฺสาติ อิทํ ‘‘ภูตสฺสา’’ติ อิมินา สมานตฺถํ ปทนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘สมงฺคีภูตสฺสา’’ติ ปทํ ปุริมปทโลเปน ภูตสฺสาติ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สมงฺคีภูตสฺส วา’’ติ อาหฯ ภยเภรวารมฺมเณติ ภยเภรวาภิมเต อารมฺมเณฯ เนว มหาสโตฺต ติฎฺฐตีติอาทิ ‘‘ตถาภูโต จ ตํ ปฎิวิเนยฺย’’นฺติ ยถา จินฺติตํ, ตถา ปฎิปนฺนภาวทสฺสนํฯ อิริยาปถปฎิปาฎิ นาม ฐานคมนนิสชฺชานิปชฺชาติ วทนฺติ, อุปฺปฎิปาฎิ ปน ปฐมํ นิปชฺชา, ปุน นิสชฺชา, ปุน ฐานํ, ปจฺฉา คมนนฺติ เอวํ เวทิตพฺพาฯ อาสนฺนปฎิปาฎิยาติ คมนสฺส ตาว ฐานํ อาสนฺนํ, ฐานสฺส นิสชฺชา คมนญฺจ, นิสชฺชาย นิปชฺชา ฐานญฺจ, นิปชฺชาย นิสชฺชา อาสนฺนาฯ อิธ ปน คมนสฺส ฐานํ, ฐานสฺส จ คมนํ, นิสชฺชาย จ นิปชฺชา, นิปชฺชาย จ นิสชฺชา อาสนฺนภาเวน คหิตา, อิตเร ปรมฺปราวเสนาติ เวทิตพฺพาฯ ภิกฺขุสฺส ปน อิริยาปถา สมฺปตฺตปฎิปาฎิยา วิย อปราปรุปฺปตฺติวเสน วุจฺจนฺติฯ

    Yaṃ pakāraṃ bhūto yathābhūto, so panettha pakāro iriyāpathavasena yutto pāḷiyaṃ tathā āgatattāti āha ‘‘yena yena iriyāpathena bhūtassā’’ti. Bhavitassāti idaṃ ‘‘bhūtassā’’ti iminā samānatthaṃ padanti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Samaṅgībhūtassā’’ti padaṃ purimapadalopena bhūtassāti vuttanti dassento ‘‘samaṅgībhūtassa vā’’ti āha. Bhayabheravārammaṇeti bhayabheravābhimate ārammaṇe. Neva mahāsatto tiṭṭhatītiādi ‘‘tathābhūto ca taṃ paṭivineyya’’nti yathā cintitaṃ, tathā paṭipannabhāvadassanaṃ. Iriyāpathapaṭipāṭi nāma ṭhānagamananisajjānipajjāti vadanti, uppaṭipāṭi pana paṭhamaṃ nipajjā, puna nisajjā, puna ṭhānaṃ, pacchā gamananti evaṃ veditabbā. Āsannapaṭipāṭiyāti gamanassa tāva ṭhānaṃ āsannaṃ, ṭhānassa nisajjā gamanañca, nisajjāya nipajjā ṭhānañca, nipajjāya nisajjā āsannā. Idha pana gamanassa ṭhānaṃ, ṭhānassa ca gamanaṃ, nisajjāya ca nipajjā, nipajjāya ca nisajjā āsannabhāvena gahitā, itare paramparāvasenāti veditabbā. Bhikkhussa pana iriyāpathā sampattapaṭipāṭiyā viya aparāparuppattivasena vuccanti.

    ภยเภรวเสนาสนาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bhayabheravasenāsanādivaṇṇanā niṭṭhitā.

    อสโมฺมหวิหารวณฺณนา

    Asammohavihāravaṇṇanā

    ๕๐. อยญฺจ เม สพฺพโส ภยเภรวาภาโว วิเสสโต อสโมฺมหธมฺมตฺตาติ ทเสฺสตุํ ‘‘สนฺติ โข ปนา’’ติอาทินา อุปริ เทสนา วฑฺฒิตาติ อยํ วา เอตฺถ อนุสนฺธิฯ ฌายีนํ สโมฺมหฎฺฐาเนสูติ อิมินา อชฺฌายีนํ สโมฺมหฎฺฐาเนสุ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ทเสฺสติฯ อตฺถีติ อิทํ นิปาตปทํ ปุถุวจนมฺปิ โหติ ‘‘อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย เกสา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๗๓-๓๗๔; ม. นิ. ๑.๑๑๐; ๓.๑๕๔; สํ. นิ. ๔.๑๒๗; ขุ. ปา. ๓.ทฺวติํสาการ) วิยาติ ‘‘สนฺตี’’ติ ปทสฺส อตฺถทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ กิํ ขณตฺตยสมงฺคิตาย เต อตฺถิ, โนติ อาห ‘‘สํวิชฺชนฺติ อุปลพฺภนฺตี’’ติ, มหติ โลกสนฺนิวาเส เอทิสาปิ สํวิชฺชนฺติ ญาเณน คเหตพฺพตาย อุปลพฺภนฺตีติฯ โอทาตกสิณลาภีติ อปฺปมาณโอทาตกสิณลาภีฯ เอวํ หิสฺส สมนฺตโต อาโลโก วิย อุปฎฺฐาติฯ ปริกมฺมนฺติ สมาปตฺติปุพฺพภาคมาหฯ เอตฺตกํ สูริเย คเต วุฎฺฐหามีติ, โน จ โข อทฺธานปริเจฺฉเท กุสโล โหติ, เกวลํ ‘‘ทิวา เอว วุฎฺฐหามี’’ติ มนสิการํ อุปฺปาเทสิฯ วิสทํ โหติ สพฺพํ อารมฺมณชาตํ, ทิพฺพจกฺขุนา ปสฺสนฺตสฺส วิย วิภูตํฯ อวิสทนฺติ เอตฺถ วุตฺตวิปริยาเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวํสญฺญิโนติ รตฺติํ ‘‘ทิวา’’ติ, ทิวา จ ‘‘รตฺตี’’ติ เอวํสญฺญิโนฯ

    50. Ayañca me sabbaso bhayabheravābhāvo visesato asammohadhammattāti dassetuṃ ‘‘santikho panā’’tiādinā upari desanā vaḍḍhitāti ayaṃ vā ettha anusandhi. Jhāyīnaṃ sammohaṭṭhānesūti iminā ajjhāyīnaṃ sammohaṭṭhānesu vattabbameva natthīti dasseti. Atthīti idaṃ nipātapadaṃ puthuvacanampi hoti ‘‘atthi imasmiṃ kāye kesā’’tiādīsu (dī. ni. 2.373-374; ma. ni. 1.110; 3.154; saṃ. ni. 4.127; khu. pā. 3.dvatiṃsākāra) viyāti ‘‘santī’’ti padassa atthadassanavasena vuttaṃ. Kiṃ khaṇattayasamaṅgitāya te atthi, noti āha ‘‘saṃvijjanti upalabbhantī’’ti, mahati lokasannivāse edisāpi saṃvijjanti ñāṇena gahetabbatāya upalabbhantīti. Odātakasiṇalābhīti appamāṇaodātakasiṇalābhī. Evaṃ hissa samantato āloko viya upaṭṭhāti. Parikammanti samāpattipubbabhāgamāha. Ettakaṃ sūriye gate vuṭṭhahāmīti,no ca kho addhānaparicchede kusalo hoti, kevalaṃ ‘‘divā eva vuṭṭhahāmī’’ti manasikāraṃ uppādesi. Visadaṃ hoti sabbaṃ ārammaṇajātaṃ, dibbacakkhunā passantassa viya vibhūtaṃ. Avisadanti ettha vuttavipariyāyena attho veditabbo. Evaṃsaññinoti rattiṃ ‘‘divā’’ti, divā ca ‘‘rattī’’ti evaṃsaññino.

    อโนฺตเสนาสเน รตฺติํ นิสิโนฺน โหตีติ รตฺติ-สโทฺท อชฺฌาหริตโพฺพฯ ปริตฺตาสนาทีหิ, อเญฺญหิ วา การเณหิคมฺภีราย ภูมิคพฺภสทิสาย ฆนวนปฎิจฺฉนฺนาย พหลตรชาลวนปฎลปฎิจฺฉนฺนายฯ อนฺตรหิตสูริยาโลเก กาเลติ เอเตเนว ทิวาติ อวุตฺตสิโทฺธฯ สโมฺมหวิหาโร นาม พหุวิโธติ อาห ‘‘สโมฺมหวิหารานํ อญฺญตร’’นฺติฯ

    Antosenāsane rattiṃ nisinno hotīti ratti-saddo ajjhāharitabbo. Parittāsanādīhi, aññehi vā kāraṇehi. Gambhīrāya bhūmigabbhasadisāya ghanavanapaṭicchannāya bahalatarajālavanapaṭalapaṭicchannāya. Antarahitasūriyāloke kāleti eteneva divāti avuttasiddho. Sammohavihāro nāma bahuvidhoti āha ‘‘sammohavihārānaṃ aññatara’’nti.

    ปากโฎ โพธิสตฺตสฺส รตฺตินฺทิวปริเจฺฉโท อนฺตมโส ลวตุฎิขณสฺสปิ อุปาทาย สุววตฺถิตตฺตา, ตถา รตฺติทิวสโกฎฺฐาสปริเจฺฉโท อตฺตนา กาตพฺพกิจฺจวเสน กาลญาณวเสน จฯ

    Pākaṭo bodhisattassa rattindivaparicchedo antamaso lavatuṭikhaṇassapi upādāya suvavatthitattā, tathā rattidivasakoṭṭhāsaparicchedo attanā kātabbakiccavasena kālañāṇavasena ca.

    กาลถเมฺภ ลทฺธพฺพฉายาวเสน ทฺวงฺคุลกาเลยามฆณฺฎิกํ ปหรติ สงฺฆสฺส ตํตํวตฺตกรณตฺถํฯ มุคฺครนฺติ ฆณฺฎิกปฺปหรณมุคฺครํฯ ยามยนฺตํ ปตติ อเญฺญหิ ภิกฺขูหิ โยชิตนฺติ อธิปฺปาโยฯ ยาว อเญฺญ ภิกฺขู โภชนสาลํ อุปคจฺฉนฺติ, ตาว ทิวาวิหารฎฺฐานํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ กโรติฯ

    Kālathambhe laddhabbachāyāvasena dvaṅgulakāle. Yāmaghaṇṭikaṃ paharati saṅghassa taṃtaṃvattakaraṇatthaṃ. Muggaranti ghaṇṭikappaharaṇamuggaraṃ. Yāmayantaṃ patati aññehi bhikkhūhi yojitanti adhippāyo. Yāva aññe bhikkhū bhojanasālaṃ upagacchanti, tāva divāvihāraṭṭhānaṃ gantvā samaṇadhammaṃ karoti.

    ยํ โข ตนฺติ เอตฺถ นฺติ อนิยมุเทฺทโส, โขติ อวธารเณ, ยเมว ปุคฺคลนฺติ อโตฺถฯ นฺติ วุจฺจมานาการวจนํฯ มเมวาติ มํ เอวฯ อสโมฺมหสภาโวติ สภาวภูตอสโมฺมโหฯ ‘‘อุปฺปโนฺน’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘มนุสฺสโลเก’’ติ วุตฺตํฯ ปญฺญาสมฺปตฺติยาติ ยาถาวโต หิตสฺส ชานนสมเตฺถน อตฺตโน ปญฺญาคุเณน, น เกวลํ อชฺฌาสเยเนว หิเตสิตา, อถ โข ปโยเคนาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘หิตูปเทสโก’’ติ อาหฯ อชฺฌาสเยน ปน หิเตสิตา ‘‘โลกานุกมฺปายา’’ติ อิมินา ทสฺสิตาฯ อุปกรเณหิ วินา น กทาจิ โภคสุขํ อุปกรณทานญฺจ จาคสมฺปตฺติเหตุกนฺติ อาห ‘‘จาคสมฺปตฺติยา…เป.… ทายโก’’ติฯ เมตฺตาสมฺปตฺติยา หิตูปสํหาเรน รกฺขิตาฯ กรุณาสมฺปตฺติยา ทุกฺขาปนยเนน โคปายิตาฯ นนุ จ ปุเพฺพปิ วุตฺตํ ‘‘หิตาย สุขายา’’ติ, อถ กสฺมา ปุน ตํ คหิตนฺติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘อิธ เทวมนุสฺสคฺคหเณนา’’ติอาทิฯ เตน ปุเพฺพ อวิเสสโต หิตาทีนิ ทสฺสิตานิ, อิทานิ วิเสสโต สห ปโยชเนน ตานิ ทสฺสิตานีติ ทีเปติฯ นิพฺพานโต ปโร ปรโม อโตฺถ นาม นตฺถีติ อาห ‘‘ปรมตฺถตฺตายา’’ติฯ หิโนติ นิพฺพานํ คจฺฉตีติ หิตํ, มโคฺคฯ อุกฺกํสโต สุขตฺถํ อริยผลนฺติ อาห ‘‘ตโต อุตฺตริ สุขาภาวโต’’ติฯ

    Yaṃ kho tanti ettha yanti aniyamuddeso, khoti avadhāraṇe, yameva puggalanti attho. Tanti vuccamānākāravacanaṃ. Mamevāti maṃ eva. Asammohasabhāvoti sabhāvabhūtaasammoho. ‘‘Uppanno’’ti vuttattā ‘‘manussaloke’’ti vuttaṃ. Paññāsampattiyāti yāthāvato hitassa jānanasamatthena attano paññāguṇena, na kevalaṃ ajjhāsayeneva hitesitā, atha kho payogenāti dassento ‘‘hitūpadesako’’ti āha. Ajjhāsayena pana hitesitā ‘‘lokānukampāyā’’ti iminā dassitā. Upakaraṇehi vinā na kadāci bhogasukhaṃ upakaraṇadānañca cāgasampattihetukanti āha ‘‘cāgasampattiyā…pe… dāyako’’ti. Mettāsampattiyā hitūpasaṃhārena rakkhitā. Karuṇāsampattiyā dukkhāpanayanena gopāyitā. Nanu ca pubbepi vuttaṃ ‘‘hitāya sukhāyā’’ti, atha kasmā puna taṃ gahitanti codanaṃ sandhāyāha ‘‘idha devamanussaggahaṇenā’’tiādi. Tena pubbe avisesato hitādīni dassitāni, idāni visesato saha payojanena tāni dassitānīti dīpeti. Nibbānato paro paramo attho nāma natthīti āha ‘‘paramatthattāyā’’ti. Hinoti nibbānaṃ gacchatīti hitaṃ, maggo. Ukkaṃsato sukhatthaṃ ariyaphalanti āha ‘‘tato uttari sukhābhāvato’’ti.

    อสโมฺมหวิหารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Asammohavihāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปุพฺพภาคปฎิปทาทิวณฺณนา

    Pubbabhāgapaṭipadādivaṇṇanā

    ๕๑. อสโมฺมหวิหารนฺติ อสโมฺมหวุตฺติํ, อสโมฺมหสโมฺพธินฺติ วา อโตฺถฯ นฺติ สมถวิปสฺสนาภาวนาสงฺขาตํ ปฎิปทํฯ ปุพฺพภาคโต ปภุตีติ ภาวนาย ปุพฺพภาควีริยารมฺภาทิโต ปฎฺฐายฯ เกจีติ อุตฺตรวิหารวาสิโนฯ

    51.Asammohavihāranti asammohavuttiṃ, asammohasambodhinti vā attho. Tanti samathavipassanābhāvanāsaṅkhātaṃ paṭipadaṃ. Pubbabhāgato pabhutīti bhāvanāya pubbabhāgavīriyārambhādito paṭṭhāya. Kecīti uttaravihāravāsino.

    โพธิมเณฺฑติ (สารตฺถ. ฎี. ๑.๑๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา; อ. นิ. ฎี. ๓.๘.๑๑) โพธิสงฺขาตสฺส ญาณสฺส มณฺฑภาวปฺปเตฺต ฐาเนฯ จตุรงฺคนฺติ ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ, อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตู’’ติอาทินา (ม. นิ. ๒.๑๘๔; สํ. นิ. ๒.๒๓๗; อ. นิ. ๒.๕; ๘.๑๓; มหานิ. ๑๗, ๑๙๖) วุตฺตจตุรงฺคสมนฺนาคตํฯ ปคฺคหิตนฺติ อารมฺภํ สิถิลํ อกตฺวา ทฬฺหปรกฺกมสงฺขาตุสฺสหนภาเวน คหิตํฯ เตนาห ‘‘อสิถิลปฺปวตฺติตนฺติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ อสลฺลีนนฺติ อสงฺกุจิตํ โกสชฺชวเสน สโงฺกจํ อนาปนฺนํฯ

    Bodhimaṇḍeti (sārattha. ṭī. 1.11.verañjakaṇḍavaṇṇanā; a. ni. ṭī. 3.8.11) bodhisaṅkhātassa ñāṇassa maṇḍabhāvappatte ṭhāne. Caturaṅganti ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru ca, aṭṭhi ca avasissatū’’tiādinā (ma. ni. 2.184; saṃ. ni. 2.237; a. ni. 2.5; 8.13; mahāni. 17, 196) vuttacaturaṅgasamannāgataṃ. Paggahitanti ārambhaṃ sithilaṃ akatvā daḷhaparakkamasaṅkhātussahanabhāvena gahitaṃ. Tenāha ‘‘asithilappavattitanti vuttaṃ hotī’’ti. Asallīnanti asaṅkucitaṃ kosajjavasena saṅkocaṃ anāpannaṃ.

    อุปฎฺฐิตาติ โอคาหนสงฺขาเตน อปิลาปนภาเวน อารมฺมณํ อุปคนฺตฺวา ฐิตาฯ เตนาห ‘‘อารมฺมณาภิมุขีภาเวนา’’ติฯ สโมฺมสสฺส วิทฺธํสนวเสน ปวตฺติยา น สมฺมุฎฺฐาติ อสมฺมุฎฺฐาฯ กิญฺจาปิ จิตฺตมิว จิตฺตปสฺสทฺธิวเสน กายปสฺสทฺธิวเสเนว กาโย ปสฺสโทฺธ โหติ, ตถาปิ ยสฺมา กายปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชมานา จิตฺตปสฺสทฺธิยา สเหว อุปฺปชฺชติ, น วินา, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘กายจิตฺตปสฺสทฺธิสมฺภเวนา’’ติ ฯ รูปกาโยปิ ปสฺสโทฺธเยว โหติ กายปสฺสทฺธิยา อุภเยสมฺปิ กายานํ ปสฺสมฺภนาวหตฺตาฯ โส จ โข กาโยฯ วิคตทรโถติ วิคตกิเลสทรโถฯ นามกาเย หิ วิคตทรเถ รูปกาโยปิ วูปสนฺตทรถปริฬาโห โหติฯ สมฺมา อาหิตนฺติ นานารมฺมเณสุ วิธาวนสงฺขาตวิเกฺขปํ วิจฺฉินฺทิตฺวา เอกสฺมิํเยว อารมฺมเณ อวิกฺขิตฺตภาวาปาทาเนน สมฺมเทว อาหิตํฯ เตนาห ‘‘สุฎฺฐุ ฐปิต’’นฺติอาทิฯ จิตฺตสฺส อเนกคฺคภาโว วิเกฺขปวเสน จญฺจลตา, สา สติ เอกคฺคตาย น โหตีติ อาห ‘‘เอกคฺคํ อจลํ นิปฺผนฺทน’’นฺติฯ เอตฺตาวตาติ ‘‘อารทฺธํ โข ปนา’’ติอาทินา วีริยสติปสฺสทฺธิสมาธีนํ กิจฺจสิทฺธิทสฺสเนนฯ นนุ จ สทฺธาปญฺญานมฺปิ กิจฺจสิทฺธิ ฌานสฺส ปุพฺพปฎิปทาย อิจฺฉิตพฺพาติ? สจฺจํ อิจฺฉิตพฺพา, สา ปน นานนฺตริยภาเวน อวุตฺตสิทฺธาติ น คหิตาฯ อสติ หิ สทฺธาย วีริยารมฺภาทีนํ อสมฺภโวเยว, ปญฺญาปริคฺคเห จ เนสํ อสติ ปญฺญายารมฺภาทิภาโว น สิยาฯ ตถา อสลฺลีนาสโมฺมสตาทโย วีริยาทีนนฺติ อสลฺลีนตาทิคฺคหเณเนเวตฺถ ปญฺญากิจฺจสิทฺธิ คหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ฌานภาวนายํ วา สมาธิกิจฺจํ อธิกํ อิจฺฉิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ สมาธิปริโยสานาว ฌานสฺส ปุพฺพปฎิปทา กถิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Upaṭṭhitāti ogāhanasaṅkhātena apilāpanabhāvena ārammaṇaṃ upagantvā ṭhitā. Tenāha ‘‘ārammaṇābhimukhībhāvenā’’ti. Sammosassa viddhaṃsanavasena pavattiyā na sammuṭṭhāti asammuṭṭhā. Kiñcāpi cittamiva cittapassaddhivasena kāyapassaddhivaseneva kāyo passaddho hoti, tathāpi yasmā kāyapassaddhi uppajjamānā cittapassaddhiyā saheva uppajjati, na vinā, tasmā vuttaṃ ‘‘kāyacittapassaddhisambhavenā’’ti . Rūpakāyopi passaddhoyeva hoti kāyapassaddhiyā ubhayesampi kāyānaṃ passambhanāvahattā. So ca kho kāyo. Vigatadarathoti vigatakilesadaratho. Nāmakāye hi vigatadarathe rūpakāyopi vūpasantadarathapariḷāho hoti. Sammā āhitanti nānārammaṇesu vidhāvanasaṅkhātavikkhepaṃ vicchinditvā ekasmiṃyeva ārammaṇe avikkhittabhāvāpādānena sammadeva āhitaṃ. Tenāha ‘‘suṭṭhu ṭhapita’’ntiādi. Cittassa anekaggabhāvo vikkhepavasena cañcalatā, sā sati ekaggatāya na hotīti āha ‘‘ekaggaṃ acalaṃ nipphandana’’nti. Ettāvatāti ‘‘āraddhaṃ kho panā’’tiādinā vīriyasatipassaddhisamādhīnaṃ kiccasiddhidassanena. Nanu ca saddhāpaññānampi kiccasiddhi jhānassa pubbapaṭipadāya icchitabbāti? Saccaṃ icchitabbā, sā pana nānantariyabhāvena avuttasiddhāti na gahitā. Asati hi saddhāya vīriyārambhādīnaṃ asambhavoyeva, paññāpariggahe ca nesaṃ asati paññāyārambhādibhāvo na siyā. Tathā asallīnāsammosatādayo vīriyādīnanti asallīnatādiggahaṇenevettha paññākiccasiddhi gahitāti daṭṭhabbaṃ. Jhānabhāvanāyaṃ vā samādhikiccaṃ adhikaṃ icchitabbanti dassetuṃ samādhipariyosānāva jhānassa pubbapaṭipadā kathitāti daṭṭhabbaṃ.

    วุตฺตํ, ตสฺมา อิธ น วตฺตพฺพํฯ วิสุทฺธิมโคฺค หิ อิมิสฺสา สํวณฺณนาย เอกเทสภูโตติ วุโตฺตวายมโตฺถติฯ วิหรตีติ อาคตํ ปรุเทฺทสิกตฺตา วิหารสฺสฯ อิธ วิหาสินฺติ อาคตํ อตฺถุเทฺทสิกตฺตาฯ อิทํ กิร สพฺพพุทฺธานํ อวิชหิตนฺติ อาห ‘‘อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐาน’’นฺติฯ รูปวิราคภาวนาวเสน (สารตฺถ. ฎี. ๑.๑๒.เนรญฺชกณฺฑวณฺณนา) ปวโตฺต จตุพฺพิโธปิ อรูปชฺฌานวิเสโส จตุตฺถชฺฌานสงฺคโห เอวาติ อาห ‘‘จตฺตาริ ฌานานี’’ติฯ ยุตฺตํ ตาว จิเตฺตกคฺคตา ภโวกฺกมนตฺถตา วิย วิปสฺสนาปาทกตาปิ จตุนฺนํ ฌานานํ สาธารณาติ เตสํ วเสน ‘‘จตฺตาริ ฌานานี’’ติ วจนํ, อภิญฺญาปาทกตา ปน นิโรธปาทกตา จ จตุตฺถเสฺสว ฌานสฺส อาเวณิกา, สา กถํ จตุนฺนํ ฌานานํ สาธารณา วุตฺตาติ? ปรมฺปราธิฎฺฐานภาวโตฯ ปทฎฺฐานปทฎฺฐานมฺปิ หิ ปทฎฺฐานเนฺตว วุจฺจติ, การณการณมฺปิ การณนฺติ ยถา ‘‘ติเณหิ สตฺตํ สิทฺธ’’นฺติ, เอวญฺจ กตฺวา ปโยชนนิเทฺทเส อฎฺฐสมาปตฺติคฺคหณํ สมตฺถิตํ โหติฯ จิเตฺตกคฺคตตฺถานีติ จิตฺตสมาธานตฺถานิ, ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถานีติ อโตฺถฯ จิเตฺตกคฺคตาสีเสน หิ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหาโร วุโตฺต, สุกฺขวิปสฺสกขีณาสววเสน เจตํ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘เอกคฺคจิตฺตา สุขํ ทิวสํ วิหริสฺสามา’’ติฯ ภโวกฺกมนตฺถานีติ ภเวสุ นิพฺพตฺติอตฺถานิฯ

    Vuttaṃ, tasmā idha na vattabbaṃ. Visuddhimaggo hi imissā saṃvaṇṇanāya ekadesabhūtoti vuttovāyamatthoti. Viharatīti āgataṃ paruddesikattā vihārassa. Idha vihāsinti āgataṃ atthuddesikattā. Idaṃ kira sabbabuddhānaṃ avijahitanti āha ‘‘ānāpānassatikammaṭṭhāna’’nti. Rūpavirāgabhāvanāvasena (sārattha. ṭī. 1.12.nerañjakaṇḍavaṇṇanā) pavatto catubbidhopi arūpajjhānaviseso catutthajjhānasaṅgaho evāti āha ‘‘cattāri jhānānī’’ti. Yuttaṃ tāva cittekaggatā bhavokkamanatthatā viya vipassanāpādakatāpi catunnaṃ jhānānaṃ sādhāraṇāti tesaṃ vasena ‘‘cattāri jhānānī’’ti vacanaṃ, abhiññāpādakatā pana nirodhapādakatā ca catutthasseva jhānassa āveṇikā, sā kathaṃ catunnaṃ jhānānaṃ sādhāraṇā vuttāti? Paramparādhiṭṭhānabhāvato. Padaṭṭhānapadaṭṭhānampi hi padaṭṭhānanteva vuccati, kāraṇakāraṇampi kāraṇanti yathā ‘‘tiṇehi sattaṃ siddha’’nti, evañca katvā payojananiddese aṭṭhasamāpattiggahaṇaṃ samatthitaṃ hoti. Cittekaggatatthānīti cittasamādhānatthāni, diṭṭhadhammasukhavihāratthānīti attho. Cittekaggatāsīsena hi diṭṭhadhammasukhavihāro vutto, sukkhavipassakakhīṇāsavavasena cetaṃ vuttaṃ. Tenāha ‘‘ekaggacittā sukhaṃ divasaṃ viharissāmā’’ti. Bhavokkamanatthānīti bhavesu nibbattiatthāni.

    ยสฺมา (สารตฺถ. ฎี. ๑.๑๒.เนรญฺชกณฺฑวณฺณนา) โพธิสเตฺตน โพธิมณฺฑูปสงฺกมนโต ปุเพฺพปิ จริมภเว จตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพตฺติตปุพฺพํ, ตทา ปน ตํ นิพฺพตฺติตมตฺตเมว อโหสิ, น วิปสฺสนาทิปาทกํ , ตสฺมา ‘‘โพธิรุกฺขมูเล นิพฺพตฺติต’’นฺติ ตโต วิเสเสตฺวา วุตฺตํฯ วิปสฺสนาปาทกนฺติ วิปสฺสนารเมฺภ วิปสฺสนาย ปาทกํฯ อภิญฺญาปาทกนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ พุทฺธานญฺหิ ปฐมารเมฺภ เอว ปาทกชฺฌาเนน ปโยชนํ อโหสิ, น ตโต ปรํ อุปริมคฺคาธิคมผลสมาปตฺติอภิญฺญาวฬญฺชนาทิอตฺถํฯ อภิสโมฺพธิสมธิคมโต ปฎฺฐาย หิ สพฺพํ ญาณสมาธิกิจฺจํ อากงฺขมตฺตปฎิพทฺธเมวาติฯ สพฺพกิจฺจสาธกนฺติ อนุปุพฺพวิหาราทิสพฺพกิจฺจสาธกํฯ สพฺพโลกิยโลกุตฺตรคุณทายกนฺติ เอตฺถ วิปสฺสนาภิญฺญาปาทกตฺตา เอว จตุตฺถสฺส ฌานสฺส ภควโต สพฺพโลกิยโลกุตฺตรคุณทายกตา เวทิตพฺพาฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานญฺหิ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อภิสโมฺพธิ, ตทธิคมสมกาลเมว ภควโต สเพฺพ พุทฺธคุณา หตฺถคตา อเหสุํ, จตุตฺถชฺฌานสนฺนิสฺสโย จ มคฺคาธิคโมติฯ

    Yasmā (sārattha. ṭī. 1.12.nerañjakaṇḍavaṇṇanā) bodhisattena bodhimaṇḍūpasaṅkamanato pubbepi carimabhave catutthajjhānaṃ nibbattitapubbaṃ, tadā pana taṃ nibbattitamattameva ahosi, na vipassanādipādakaṃ , tasmā ‘‘bodhirukkhamūle nibbattita’’nti tato visesetvā vuttaṃ. Vipassanāpādakanti vipassanārambhe vipassanāya pādakaṃ. Abhiññāpādakanti etthāpi eseva nayo. Buddhānañhi paṭhamārambhe eva pādakajjhānena payojanaṃ ahosi, na tato paraṃ uparimaggādhigamaphalasamāpattiabhiññāvaḷañjanādiatthaṃ. Abhisambodhisamadhigamato paṭṭhāya hi sabbaṃ ñāṇasamādhikiccaṃ ākaṅkhamattapaṭibaddhamevāti. Sabbakiccasādhakanti anupubbavihārādisabbakiccasādhakaṃ. Sabbalokiyalokuttaraguṇadāyakanti ettha vipassanābhiññāpādakattā eva catutthassa jhānassa bhagavato sabbalokiyalokuttaraguṇadāyakatā veditabbā. Sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānañhi maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca sabbaññutaññāṇaṃ abhisambodhi, tadadhigamasamakālameva bhagavato sabbe buddhaguṇā hatthagatā ahesuṃ, catutthajjhānasannissayo ca maggādhigamoti.

    ปุพฺพภาคปฎิปทาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pubbabhāgapaṭipadādivaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปุเพฺพนิวาสกถาวณฺณนา

    Pubbenivāsakathāvaṇṇanā

    ๕๒. ทฺวินฺนํ วิชฺชานนฺติ ปุเพฺพนิวาสญาณทิพฺพจกฺขุญาณสงฺขาตานํ ทฺวินฺนํ วิชฺชานํฯ อนุปทวณฺณนาติ ตาสํ วิชฺชานํ นิเทฺทสปาฬิยา อนุปทวณฺณนาฯ ภาวนานโยติ อุปฺปาทนวิธิฯ ‘‘โส’’ติ ปจฺจตฺตวจนสฺส อหํ-สเทฺทน สมฺพนฺธเน การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘อภินินฺนาเมสิ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ปาฬิยํ วา ‘‘อภินินฺนาเมสิ’’นฺติ อุตฺตมปุริสสฺส โยโคติ อหํ-สเทฺทน อาเนตฺวา วุจฺจมาเน ตทโตฺถ ปากโฎ โหตีติ ‘‘โส อห’’นฺติ วุตฺตํฯ อภินีหรินฺติ จิตฺตํ ฌานารมฺมณโต อปเนตฺวา ปุเพฺพนิวาสาภิมุขํ เปเสสิํ, ปุเพฺพนิวาสนินฺนํ ปุเพฺพนิวาสโปณํ ปุเพฺพนิวาสปพฺภารํ อกาสินฺติ อโตฺถฯ

    52.Dvinnaṃvijjānanti pubbenivāsañāṇadibbacakkhuñāṇasaṅkhātānaṃ dvinnaṃ vijjānaṃ. Anupadavaṇṇanāti tāsaṃ vijjānaṃ niddesapāḷiyā anupadavaṇṇanā. Bhāvanānayoti uppādanavidhi. ‘‘So’’ti paccattavacanassa ahaṃ-saddena sambandhane kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘abhininnāmesi’’ntiādi vuttaṃ. Pāḷiyaṃ vā ‘‘abhininnāmesi’’nti uttamapurisassa yogoti ahaṃ-saddena ānetvā vuccamāne tadattho pākaṭo hotīti ‘‘so aha’’nti vuttaṃ. Abhinīharinti cittaṃ jhānārammaṇato apanetvā pubbenivāsābhimukhaṃ pesesiṃ, pubbenivāsaninnaṃ pubbenivāsapoṇaṃ pubbenivāsapabbhāraṃ akāsinti attho.

    ปุเพฺพอตีตชาตีสุ นิวุตฺถกฺขนฺธา ปุเพฺพนิวาโสฯ นิวุตฺถาติ จ อชฺฌาวุตฺถา อนุภูตา อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธา, โคจรนิวาเสน นิวุตฺถธมฺมา วา อตฺตโน วิญฺญาเณนวิญฺญาตา, ปรวิญฺญาณวิญฺญาตาปิ วา ฉินฺนวฎุมกานุสฺสรณาทีสุ, ตํ ปุเพฺพนิวาสํ ยาย สติยา อนุสฺสรติ, ตาย สมฺปยุตฺตํ ญาณํ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญฺญาณํปฎินิวตฺตนฺตสฺสาติ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรณวเสน ยาวทิจฺฉกํ คนฺตฺวา ปจฺจาคจฺฉนฺตสฺสฯ ตสฺมาติ วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส การณภาเวน ปจฺจามสนํ, ปฎินิวตฺตนฺตสฺส ปจฺจเวกฺขณภาวโตติ วุตฺตํ โหติฯ อิธูปปตฺติยาติ อิธ จริมภเว อุปปตฺติยาฯ อนนฺตรนฺติ อตีตานนฺตรมาหฯ อมุตฺราติ อมุกสฺมิํ ภเวติ อโตฺถฯ อุทปาทินฺติ อุปฺปชฺชิํฯ ตาหิ เทวตาหีติ ตุสิตาเทวตาหิฯ เอกโคโตฺตติ ตุสิตโคเตฺตน เอกโคโตฺตฯ มหาโพธิสตฺตานํ สนฺตานสฺส ปริโยสานาวตฺถาย เทวโลกูปปตฺติชนกํ นาม อกุสเลน กมฺมุนา อนุปทฺทุตเมว โหตีติ อธิปฺปาเยน ‘‘ทุกฺขํ ปน สงฺขารทุกฺขเมวา’’ติ วุตฺตํฯ มหาปุญฺญานมฺปิ ปน เทวปุตฺตานํ ปุพฺพนิมิตฺตุปฺปตฺติกาลาทีสุ อนิฎฺฐารมฺมณสมาโยโค โหติเยวาติ ‘‘กทาจิ ทุกฺขทุกฺขสฺสปิ สมฺภโว นตฺถี’’ติ น สกฺกา วตฺตุํฯ สตฺตปญฺญาส…เป.… ปริยโนฺตติ อิทํ มนุสฺสานํ วสฺสคณนาวเสน วุตฺตํฯ ตตฺถ เทวานํ วสฺสคณนาย ปน จตุสหสฺสเมวฯ

    Pubbeatītajātīsu nivutthakkhandhā pubbenivāso. Nivutthāti ca ajjhāvutthā anubhūtā attano santāne uppajjitvā niruddhā, gocaranivāsena nivutthadhammā vā attano viññāṇenaviññātā, paraviññāṇaviññātāpi vā chinnavaṭumakānussaraṇādīsu, taṃ pubbenivāsaṃ yāya satiyā anussarati, tāya sampayuttaṃ ñāṇaṃ pubbenivāsānussatiññāṇaṃ. Paṭinivattantassāti pubbenivāsaṃ anussaraṇavasena yāvadicchakaṃ gantvā paccāgacchantassa. Tasmāti vuttassevatthassa kāraṇabhāvena paccāmasanaṃ, paṭinivattantassa paccavekkhaṇabhāvatoti vuttaṃ hoti. Idhūpapattiyāti idha carimabhave upapattiyā. Anantaranti atītānantaramāha. Amutrāti amukasmiṃ bhaveti attho. Udapādinti uppajjiṃ. Tāhi devatāhīti tusitādevatāhi. Ekagottoti tusitagottena ekagotto. Mahābodhisattānaṃ santānassa pariyosānāvatthāya devalokūpapattijanakaṃ nāma akusalena kammunā anupaddutameva hotīti adhippāyena ‘‘dukkhaṃ pana saṅkhāradukkhamevā’’ti vuttaṃ. Mahāpuññānampi pana devaputtānaṃ pubbanimittuppattikālādīsu aniṭṭhārammaṇasamāyogo hotiyevāti ‘‘kadāci dukkhadukkhassapi sambhavo natthī’’ti na sakkā vattuṃ. Sattapaññāsa…pe… pariyantoti idaṃ manussānaṃ vassagaṇanāvasena vuttaṃ. Tattha devānaṃ vassagaṇanāya pana catusahassameva.

    อตีตภเว (สารตฺถ. ฎี. ๑.๑๒.ปุเพฺพนิวาสกถายํ) ขนฺธา ตปฺปฎิพทฺธนามโคตฺตานิ จ สพฺพํ ปุเพฺพนิวาสเนฺตว สงฺคหิตนฺติ อาห ‘‘กิํ วิทิตํ กโรติ? ปุเพฺพนิวาส’’นฺติฯ โมโห ปฎิจฺฉาทกเฎฺฐน ‘‘ตโม’’ติ วุจฺจติ ‘‘ตโม วิยา’’ติ กตฺวาฯ โอภาสกรณเฎฺฐนาติ กาตพฺพโต กรณํ, โอภาโสว กรณํ, อตฺตโน ปจฺจเยน โอภาสภาเวน นิพฺพเตฺตตพฺพเฎฺฐนาติ อโตฺถฯ เสสํ ปสํสาวจนนฺติ ปฎิปกฺขวิธมนปวตฺติวิเสสานํ โพธนโต วุตฺตํฯ อวิชฺชา วิหตาติ เอเตน วิชฺชนเฎฺฐน วิชฺชาติ อยมฺปิ อโตฺถ ทีปิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยสฺมา วิชฺชา อุปฺปนฺนาติ เอเตน วิชฺชาปฎิปกฺขา อวิชฺชา, ปฎิปกฺขตา จสฺสา ปหาตพฺพภาเวน วิชฺชาย จ ปหายกภาเวนาติ ทเสฺสติฯ เอส นโย อิตรสฺมิมฺปิ ปททฺวเยติ อิมินา ตโม วิหโต วินโฎฺฐฯ กสฺมา? ยสฺมา อาโลโก อุปฺปโนฺนติ อิมมตฺถํ อติทิสติฯ เปสิตตฺตสฺสาติ ยถาธิเปฺปตตฺถสิทฺธิํ ปติ วิสฺสฎฺฐจิตฺตสฺสฯ ยถา อปฺปมตฺตสฺสาติ อญฺญสฺสปิ กสฺสจิ มาทิสสฺสาติ อธิปฺปาโยฯ

    Atītabhave (sārattha. ṭī. 1.12.pubbenivāsakathāyaṃ) khandhā tappaṭibaddhanāmagottāni ca sabbaṃ pubbenivāsanteva saṅgahitanti āha ‘‘kiṃ viditaṃ karoti? Pubbenivāsa’’nti. Moho paṭicchādakaṭṭhena‘‘tamo’’ti vuccati ‘‘tamo viyā’’ti katvā. Obhāsakaraṇaṭṭhenāti kātabbato karaṇaṃ, obhāsova karaṇaṃ, attano paccayena obhāsabhāvena nibbattetabbaṭṭhenāti attho. Sesaṃ pasaṃsāvacananti paṭipakkhavidhamanapavattivisesānaṃ bodhanato vuttaṃ. Avijjā vihatāti etena vijjanaṭṭhena vijjāti ayampi attho dīpitoti daṭṭhabbaṃ. Yasmā vijjā uppannāti etena vijjāpaṭipakkhā avijjā, paṭipakkhatā cassā pahātabbabhāvena vijjāya ca pahāyakabhāvenāti dasseti. Esa nayo itarasmimpi padadvayeti iminā tamo vihato vinaṭṭho. Kasmā? Yasmā āloko uppannoti imamatthaṃ atidisati. Pesitattassāti yathādhippetatthasiddhiṃ pati vissaṭṭhacittassa. Yathā appamattassāti aññassapi kassaci mādisassāti adhippāyo.

    ปุเพฺพนิวาสกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pubbenivāsakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา

    Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā

    ๕๓. อิธาติ ภยเภรวสุเตฺต วุตฺตํฯ อิธ อยํ วิเสโสติ โยชนาฯ วุตฺตสทิสเมว ‘‘เมติ มยา’’ติอาทินาฯ ปริกมฺมกิจฺจนฺติ ‘‘อภิญฺญาปาทกจตุตฺถชฺฌานโต วุฎฺฐาย สพฺพปจฺฉิมา นิสชฺชา อาวชฺชิตพฺพา’’ติอาทินา, กสิณารมฺมณํ อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สพฺพากาเรน อภินีหารกฺขมํ กตฺวา’’ติอาทินา จ วุเตฺตน ปริกเมฺมน กิจฺจํ ปโยชนํ นตฺถิฯ เตน อิธ อโตฺถติ เตน ภาวนานเยน อิธ ปาฬิยา อตฺถวณฺณนายํ อโตฺถ นตฺถิ ตถาภาวนาย อิธ อนธิเปฺปตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ

    53.Idhāti bhayabheravasutte vuttaṃ. Idha ayaṃ visesoti yojanā. Vuttasadisameva ‘‘meti mayā’’tiādinā. Parikammakiccanti ‘‘abhiññāpādakacatutthajjhānato vuṭṭhāya sabbapacchimā nisajjā āvajjitabbā’’tiādinā, kasiṇārammaṇaṃ abhiññāpādakajjhānaṃ sabbākārena abhinīhārakkhamaṃ katvā’’tiādinā ca vuttena parikammena kiccaṃ payojanaṃ natthi. Natena idha atthoti tena bhāvanānayena idha pāḷiyā atthavaṇṇanāyaṃ attho natthi tathābhāvanāya idha anadhippetattāti adhippāyo.

    ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    อาสวกฺขยญาณกถาวณฺณนา

    Āsavakkhayañāṇakathāvaṇṇanā

    ๕๔. วิปสฺสนาปาทกนฺติ (สารตฺถ. ฎี. ๑.๑๔.อาสวกฺขยญาณกถายํ; ที. นิ. ฎี. ๑.๒๔๘; อ. นิ. ฎี. ๒.๓.๕๙) วิปสฺสนาย ปทฎฺฐานภูตํฯ วิปสฺสนา จ ติวิธา วิปสฺสนกปุคฺคลเภเทนฯ มหาโพธิสตฺตานญฺหิ ปเจฺจกโพธิสตฺตานญฺจ วิปสฺสนา จินฺตามยญาณสํวทฺธิตตฺตา สยมฺภุญาณภูตา, อิตเรสํ สุตมยญาณสํวทฺธิตตฺตา ปโรปเทสสมฺภูตา, สา ‘‘ฐเปตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อวเสสรูปารูปชฺฌานานํ อญฺญตรโต วุฎฺฐายา’’ติอาทินา อเนกธา อรูปมุขวเสน จตุธาตุววตฺถาเน วุตฺตานํ เตสํ เตสํ ธาตุปริคฺคหมุขานํ อญฺญตรมุขวเสน อเนกธาว วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๓๐๖) นานานยโต วิภาวิตาฯ มหาโพธิสตฺตานํ ปน จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสมุเขน ปเภทคมนโต นานานยํ สพฺพญฺญุตญฺญาณสนฺนิสฺสยสฺส อริยมคฺคญาณสฺส อธิฎฺฐานภูตํ ปุพฺพภาคญาณคพฺภํ คณฺหาเปนฺตํ ปริปากํ คจฺฉนฺตํ ปรมคมฺภีรสณฺหสุขุมตรํ อนญฺญสาธารณํ วิปสฺสนาญาณํ โหติ, ยํ อฎฺฐกถาสุ มหาวชิรญาณนฺติ วุจฺจติฯ ยสฺส จ ปวตฺติวิภาเคน จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสปฺปเภทสฺส ปาทกภาเวน สมาปชฺชิยมานา จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขา เทวสิกํ สตฺถุ วฬญฺชนกสมาปตฺติโย วุจฺจนฺติ, สฺวายํ พุทฺธานํ วิปสฺสนาจาโร ปรมตฺถมญฺชูสาย วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนาย (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๑๔๔) อุเทฺทสโต ทสฺสิโต, อตฺถิเกหิ ตโต คเหตโพฺพติฯ

    54.Vipassanāpādakanti (sārattha. ṭī. 1.14.āsavakkhayañāṇakathāyaṃ; dī. ni. ṭī. 1.248; a. ni. ṭī. 2.3.59) vipassanāya padaṭṭhānabhūtaṃ. Vipassanā ca tividhā vipassanakapuggalabhedena. Mahābodhisattānañhi paccekabodhisattānañca vipassanā cintāmayañāṇasaṃvaddhitattā sayambhuñāṇabhūtā, itaresaṃ sutamayañāṇasaṃvaddhitattā paropadesasambhūtā, sā ‘‘ṭhapetvā nevasaññānāsaññāyatanaṃ avasesarūpārūpajjhānānaṃ aññatarato vuṭṭhāyā’’tiādinā anekadhā arūpamukhavasena catudhātuvavatthāne vuttānaṃ tesaṃ tesaṃ dhātupariggahamukhānaṃ aññataramukhavasena anekadhāva visuddhimagge (visuddhi. 1.306) nānānayato vibhāvitā. Mahābodhisattānaṃ pana catuvīsatikoṭisatasahassamukhena pabhedagamanato nānānayaṃ sabbaññutaññāṇasannissayassa ariyamaggañāṇassa adhiṭṭhānabhūtaṃ pubbabhāgañāṇagabbhaṃ gaṇhāpentaṃ paripākaṃ gacchantaṃ paramagambhīrasaṇhasukhumataraṃ anaññasādhāraṇaṃ vipassanāñāṇaṃ hoti, yaṃ aṭṭhakathāsu mahāvajirañāṇanti vuccati. Yassa ca pavattivibhāgena catuvīsatikoṭisatasahassappabhedassa pādakabhāvena samāpajjiyamānā catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhā devasikaṃ satthu vaḷañjanakasamāpattiyo vuccanti, svāyaṃ buddhānaṃ vipassanācāro paramatthamañjūsāya visuddhimaggasaṃvaṇṇanāya (visuddhi. mahāṭī. 1.144) uddesato dassito, atthikehi tato gahetabboti.

    อาสวานํ เขปนโต สมุจฺฉินฺทนโต อาสวกฺขโย, อริยมโคฺค, อุกฺกฎฺฐนิเทฺทสวเสน อรหตฺตมคฺคคฺคหณํฯ อาสวานํ ขเย ญาณํ อาสวกฺขยญาณนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺร เจตํ ญาณ’’นฺติ วตฺวา ขเยติ จ อาธาเร ภุมฺมํ, น วิสเยติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตปฺปริยา ปนฺนตฺตา’’ติ อาหฯ อิทํ ทุกฺขนฺติ ทุกฺขสฺส อริยสจฺจสฺส ตทา ปจฺจกฺขโต คหิตภาวทสฺสนํฯ เอตฺตกํ ทุกฺขนฺติ ทุกฺขสฺส อริยสจฺจสฺส ตทา ปจฺจกฺขโต คหิตภาวทสฺสนํฯ เอตฺตกํ ทุกฺขนฺติ ตสฺส ปริจฺฉิชฺช คหิตภาวทสฺสนํฯ น อิโต ภิโยฺยติ อนวเสเสตฺวา คหิตภาวทสฺสนํฯ เตนาห ‘‘สพฺพมฺปิ ทุกฺขสจฺจ’’นฺติอาทิฯ สรสลกฺขณปฎิเวเธนาติ สภาวสงฺขาตสฺส ลกฺขณสฺส อสโมฺมหโต ปฎิวิชฺฌเนนฯ อสโมฺมหปฎิเวโธติ จ ยถา ตสฺมิํ ญาเณ ปวเตฺต ปจฺฉา ทุกฺขสฺส สรูปาทิปริเจฺฉเท สโมฺมโห น โหติ, ตถา ปวตฺติฯ เตนาห ‘‘ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิ’’นฺติฯ ยํ ฐานํ ปตฺวาติ ยํ นิพฺพานํ มคฺคสฺส อารมฺมณปจฺจยเฎฺฐน การณภูตํ อาคมฺมฯ ตทุภยวโต หิ ปุคฺคลสฺส ปตฺติ ตทุภยสฺส ปตฺตีติ วุตฺตํฯ ปตฺวาติ วา ปาปุณนเหตุฯ อปฺปวตฺตินฺติ อปฺปวตฺตินิมิตฺตํฯ เต วา นปฺปวตฺตนฺติ เอตฺถาติ อปฺปวตฺติ, นิพฺพานํฯ ตสฺสาติ ทุกฺขนิโรธสฺสฯ สมฺปาปกนฺติ สจฺฉิกิริยาวเสน สมฺมเทว ปาปกํฯ

    Āsavānaṃ khepanato samucchindanato āsavakkhayo, ariyamaggo, ukkaṭṭhaniddesavasena arahattamaggaggahaṇaṃ. Āsavānaṃ khaye ñāṇaṃ āsavakkhayañāṇanti dassento ‘‘tatra cetaṃ ñāṇa’’nti vatvā khayeti ca ādhāre bhummaṃ, na visayeti dassento ‘‘tappariyā pannattā’’ti āha. Idaṃ dukkhanti dukkhassa ariyasaccassa tadā paccakkhato gahitabhāvadassanaṃ. Ettakaṃ dukkhanti dukkhassa ariyasaccassa tadā paccakkhato gahitabhāvadassanaṃ. Ettakaṃ dukkhanti tassa paricchijja gahitabhāvadassanaṃ. Na ito bhiyyoti anavasesetvā gahitabhāvadassanaṃ. Tenāha ‘‘sabbampidukkhasacca’’ntiādi. Sarasalakkhaṇapaṭivedhenāti sabhāvasaṅkhātassa lakkhaṇassa asammohato paṭivijjhanena. Asammohapaṭivedhoti ca yathā tasmiṃ ñāṇe pavatte pacchā dukkhassa sarūpādiparicchede sammoho na hoti, tathā pavatti. Tenāha ‘‘yathābhūtaṃ abbhaññāsi’’nti. Yaṃ ṭhānaṃ patvāti yaṃ nibbānaṃ maggassa ārammaṇapaccayaṭṭhena kāraṇabhūtaṃ āgamma. Tadubhayavato hi puggalassa patti tadubhayassa pattīti vuttaṃ. Patvāti vā pāpuṇanahetu. Appavattinti appavattinimittaṃ. Te vā nappavattanti etthāti appavatti, nibbānaṃ. Tassāti dukkhanirodhassa. Sampāpakanti sacchikiriyāvasena sammadeva pāpakaṃ.

    กิเลสวเสนาติ อาสวสงฺขาตกิเลสวเสนฯ ยสฺมา อาสวานํ ทุกฺขสจฺจปริยาโย ตปฺปริยาปนฺนตฺตา, เสสสจฺจานญฺจ ตํสมุทยาทิปริยาโย อตฺถิ, ตสฺมา วุตฺตํฯ ‘‘ปริยายโต’’ติฯ ทเสฺสโนฺต สจฺจานีติ โยชนาฯ อาสวานํเยว เจตฺถ คหณํ ‘‘อาสวานํ ขยญาณายา’’ติ อารทฺธตฺตาฯ ตถา หิ อาสววิมุตฺติ สีเสเนว สพฺพสํกิเลสวิมุตฺติ วุตฺตาฯ ‘‘อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิ’’นฺติอาทินา มิสฺสกมโคฺค อิธ กถิโตติ ‘‘สห วิปสฺสนาย โกฎิปฺปตฺตํ มคฺคํ กเถตี’’ติ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ สจฺจปฎิเวธสฺส ตทา อตีตกาลิกตฺตา ‘‘ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิ’’นฺติ วตฺวาปิ อภิสมยกาเล ตสฺส ปจฺจุปฺปนฺนตํ อุปาทาย ‘‘เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต’’ติ วตฺตมานกาเลน นิเทฺทโส กโตฯ โส จ กามํ มคฺคกฺขณโต ปรํ ยาวชฺชตนา อตีตกาลิโก เอว, สพฺพปฐมํ ปนสฺส อตีตกาลิกตฺตํ ผลกฺขเณน เวทิตพฺพนฺติ อาห ‘‘วิมุจฺจิตฺถาติ อิมินา ผลกฺขณํ ทเสฺสตี’’ติฯ ชานโต ปสฺสโตติ วา เหตุนิเทฺทโสยํฯ ชานนเหตุ ทสฺสนเหตุ กามาสวา จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถาติ โยชนาฯ ภวาสวคฺคหเณเนว เจตฺถ ภวราคสฺส วิย ภวทิฎฺฐิยาปิ สมวโรโธติ ทิฎฺฐาสวสฺสปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Kilesavasenāti āsavasaṅkhātakilesavasena. Yasmā āsavānaṃ dukkhasaccapariyāyo tappariyāpannattā, sesasaccānañca taṃsamudayādipariyāyo atthi, tasmā vuttaṃ. ‘‘Pariyāyato’’ti. Dassento saccānīti yojanā. Āsavānaṃyeva cettha gahaṇaṃ ‘‘āsavānaṃ khayañāṇāyā’’ti āraddhattā. Tathā hi āsavavimutti sīseneva sabbasaṃkilesavimutti vuttā. ‘‘Idaṃ dukkhanti yathābhūtaṃ abbhaññāsi’’ntiādinā missakamaggo idha kathitoti ‘‘saha vipassanāya koṭippattaṃ maggaṃ kathetī’’ti vuttaṃ. Ettha ca saccapaṭivedhassa tadā atītakālikattā ‘‘yathābhūtaṃ abbhaññāsi’’nti vatvāpi abhisamayakāle tassa paccuppannataṃ upādāya ‘‘evaṃ jānato evaṃ passato’’ti vattamānakālena niddeso kato. So ca kāmaṃ maggakkhaṇato paraṃ yāvajjatanā atītakāliko eva, sabbapaṭhamaṃ panassa atītakālikattaṃ phalakkhaṇena veditabbanti āha ‘‘vimuccitthāti iminā phalakkhaṇaṃ dassetī’’ti. Jānato passatoti vā hetuniddesoyaṃ. Jānanahetu dassanahetu kāmāsavā cittaṃ vimuccitthāti yojanā. Bhavāsavaggahaṇeneva cettha bhavarāgassa viya bhavadiṭṭhiyāpi samavarodhoti diṭṭhāsavassapi saṅgaho daṭṭhabbo.

    ขีณาชาตีติอาทีหิ ปเทหิฯ ตสฺสาติ ปจฺจเวกฺขณญาณสฺสฯ ภูมีนฺติ ปวตฺติฎฺฐานํฯ น ตาวสฺส อตีตา ชาติ ขีณา มคฺคภาวนายาติ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘ปุเพฺพว ขีณตฺตา’’ติฯ น อนาคตา อสฺสชาติ ขีณาติ โยชนาฯ น อนาคตาติ จ อนาคตตฺตสามญฺญํ คเหตฺวา เลเสน โจเทติฯ เตนาห ‘‘อนาคเต วายามาภาวโต’’ติ, อนาคตวิเสโส ปเนตฺถ อธิเปฺปโต, ตสฺส จ เขปเน วายาโมปิ ลพฺภเตวฯ เตนาห ‘‘ยา ปน มคฺคสฺสา’’ติอาทิฯ เอกจตุปญฺจโวการภเวสูติ ภวตฺตยคฺคหณํ วุตฺตนเยน อนวเสสโต ชาติยา ขีณภาวทสฺสนตฺถํฯ นฺติ ยถาวุตฺตํ ชาติํฯ โสติ ภควาฯ

    Khīṇājātītiādīhi padehi. Tassāti paccavekkhaṇañāṇassa. Bhūmīnti pavattiṭṭhānaṃ. Na tāvassa atītā jāti khīṇā maggabhāvanāyāti adhippāyo. Tattha kāraṇamāha ‘‘pubbeva khīṇattā’’ti. Na anāgatā assajāti khīṇāti yojanā. Na anāgatāti ca anāgatattasāmaññaṃ gahetvā lesena codeti. Tenāha ‘‘anāgate vāyāmābhāvato’’ti, anāgataviseso panettha adhippeto, tassa ca khepane vāyāmopi labbhateva. Tenāha ‘‘yā pana maggassā’’tiādi. Ekacatupañcavokārabhavesūti bhavattayaggahaṇaṃ vuttanayena anavasesato jātiyā khīṇabhāvadassanatthaṃ. Tanti yathāvuttaṃ jātiṃ. Soti bhagavā.

    พฺรหฺมจริยวาโส นาม อิธ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส นิพฺพตฺตนเมวาติ อาห ‘‘นิฎฺฐิต’’นฺติฯ สมฺมาทิฎฺฐิยา จตูสุ สเจฺจสุ ปริญฺญาทิกิจฺจสาธนวเสน ปวตฺตมานาย สมฺมา สงฺกปฺปาทีนมฺปิ ทุกฺขสเจฺจ ปริญฺญาภิสมยานุคุณา ปวตฺติ, อิตรสเจฺจสุ จ เนสํ ปหานาภิสมยาทิวเสน ปวตฺติ ปากฎา เอวฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาวเสนา’’ติฯ อิตฺถตฺตายาติ อิเม ปการา อิตฺถํ, ตพฺภาโว อิตฺถตฺตํ, ตทตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เต ปน ปการา อริยมคฺคพฺยาปารภูตา ปริญฺญาทโย อิธาธิเปฺปตาติ อาห ‘‘เอวํโสฬสกิจฺจภาวายา’’ติฯ เต หิ มคฺคํ ปจฺจเวกฺขโต มคฺคานุภาเวน ปากฎา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, ปริญฺญาทีสุ จ ปหานเมว ปธานํ ตทตฺถตฺตา อิตเรสนฺติ อาห ‘‘กิเลสกฺขยายวา’’ติฯ ปหีนกิเลสปจฺจเวกฺขณวเสน วา เอตํ วุตฺตํฯ อิตฺถตฺตายาติ นิสฺสเกฺก สมฺปทานวจนนฺติ อาห ‘‘อิตฺถภาวโต’’ติฯ อปรํ อนาคตํฯ อิเม ปน จริมตฺตภาวสงฺขาตา ปญฺจกฺขนฺธาปริญฺญาตา ติฎฺฐนฺตีติ เอเตน เตสํ อปฺปติฎฺฐตํ ทเสฺสติฯ อปริญฺญามูลกา หิ ปติฎฺฐาฯ ยถาห ‘‘กพฬีกาเร เจ, ภิกฺขเว, อาหาเร อตฺถิ ราโค อตฺถิ นนฺที อตฺถิ ตณฺหา, ปติฎฺฐิตํ ตตฺถ วิญฺญาณํ วิรูฬฺห’’นฺติอาทิ (สํ. นิ. ๒.๖๔; มหานิ. ๗; กถา. ๒๙๖)ฯ เตเนวาห ‘‘ฉินฺนมูลกา รุกฺขา วิยา’’ติอาทิฯ

    Brahmacariyavāso nāma idha maggabrahmacariyassa nibbattanamevāti āha ‘‘niṭṭhita’’nti. Sammādiṭṭhiyā catūsu saccesu pariññādikiccasādhanavasena pavattamānāya sammā saṅkappādīnampi dukkhasacce pariññābhisamayānuguṇā pavatti, itarasaccesu ca nesaṃ pahānābhisamayādivasena pavatti pākaṭā eva. Tena vuttaṃ ‘‘catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyābhāvanāvasenā’’ti. Itthattāyāti ime pakārā itthaṃ, tabbhāvo itthattaṃ, tadatthanti vuttaṃ hoti. Te pana pakārā ariyamaggabyāpārabhūtā pariññādayo idhādhippetāti āha ‘‘evaṃsoḷasakiccabhāvāyā’’ti. Te hi maggaṃ paccavekkhato maggānubhāvena pākaṭā hutvā upaṭṭhahanti, pariññādīsu ca pahānameva padhānaṃ tadatthattā itaresanti āha ‘‘kilesakkhayāyavā’’ti. Pahīnakilesapaccavekkhaṇavasena vā etaṃ vuttaṃ. Itthattāyāti nissakke sampadānavacananti āha ‘‘itthabhāvato’’ti. Aparaṃ anāgataṃ. Ime pana carimattabhāvasaṅkhātā pañcakkhandhā. Pariññātā tiṭṭhantīti etena tesaṃ appatiṭṭhataṃ dasseti. Apariññāmūlakā hi patiṭṭhā. Yathāha ‘‘kabaḷīkāre ce, bhikkhave, āhāre atthi rāgo atthi nandī atthi taṇhā, patiṭṭhitaṃ tattha viññāṇaṃ virūḷha’’ntiādi (saṃ. ni. 2.64; mahāni. 7; kathā. 296). Tenevāha ‘‘chinnamūlakā rukkhā viyā’’tiādi.

    ปจฺจเวกฺขณญาณปริคฺคหิตํ, น ปฐมทุติยญาณทฺวยาธิคมํ วิย เกวลนฺติ อธิปฺปาโยฯ ทเสฺสโนฺต นิคมนวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ สรูปโต หิ ตํ ปุเพฺพ ทสฺสิตเมวาติฯ ปุเพฺพนิวาสญาเณน อตีตารมฺมณสภาคตาย ตพฺภาวีภาวโต จ อตีตํสญาณํ สงฺคเหตฺวาติ โยชนาฯ ตตฺถ อตีตํสญาณนฺติ อตีตขนฺธายตนธาตุสงฺขาเต อตีตโกฎฺฐาเส อปฺปฎิหตํ ญาณํฯ ทิพฺพจกฺขุนาติ สปริภเณฺฑน ทิพฺพจกฺขุญาเณนฯ ปจฺจุปฺปนฺนํโส จ อนาคตํโส จ ปจฺจุปฺปนฺนานาคตํสํ, ตตฺถ ญาณํ ปจฺจุปฺปนฺนานาคตํสญาณํฯ สกลโลกิยโลกุตฺตรคุณนฺติ เอเตน สพฺพํ โลกํ อุตฺตริตฺวา อภิภุยฺย ฐิตตฺตา สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส วิย เสสาสาธารณญาณสฺส พลญาณอาเวณิกพุทฺธธมฺมาทีนมฺปิ อนญฺญสาธารณานํ พุทฺธคุณานํ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ เตนาห ‘‘สเพฺพปิ สพฺพญฺญุคุเณ สงฺคเหตฺวา’’ติฯ

    Paccavekkhaṇañāṇapariggahitaṃ, na paṭhamadutiyañāṇadvayādhigamaṃ viya kevalanti adhippāyo. Dassento nigamanavasenāti adhippāyo. Sarūpato hi taṃ pubbe dassitamevāti. Pubbenivāsañāṇena atītārammaṇasabhāgatāya tabbhāvībhāvato ca atītaṃsañāṇaṃ saṅgahetvāti yojanā. Tattha atītaṃsañāṇanti atītakhandhāyatanadhātusaṅkhāte atītakoṭṭhāse appaṭihataṃ ñāṇaṃ. Dibbacakkhunāti saparibhaṇḍena dibbacakkhuñāṇena. Paccuppannaṃso ca anāgataṃso ca paccuppannānāgataṃsaṃ, tattha ñāṇaṃ paccuppannānāgataṃsañāṇaṃ. Sakalalokiyalokuttaraguṇanti etena sabbaṃ lokaṃ uttaritvā abhibhuyya ṭhitattā sabbaññutaññāṇassa viya sesāsādhāraṇañāṇassa balañāṇaāveṇikabuddhadhammādīnampi anaññasādhāraṇānaṃ buddhaguṇānaṃ saṅgaho veditabbo. Tenāha ‘‘sabbepi sabbaññuguṇe saṅgahetvā’’ti.

    อาสวกฺขยญาณกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āsavakkhayañāṇakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    อรญฺญวาสการณวณฺณนา

    Araññavāsakāraṇavaṇṇanā

    ๕๕. สิยา โข ปน เต พฺราหฺมณาติ เอตฺถ สิยาติ ‘‘อเปฺปวา’’ติ อิมินา สมานโตฺถ นิปาโต , ตสฺมา ‘พฺราหฺมณ, อเปฺปว โข ปน เต เอวมสฺสา’ติ อโตฺถฯ ยํ ปน อฎฺฐกถายํ ‘‘กทาจี’’ติ วุตฺตํ, ตมฺปิ อิมเมวตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํ อการณํ พฺราหฺมเณน ปริกปฺปิตมตฺถํ ปฎิปกฺขิปิตฺวา อตฺตโน อธิเปฺปตํ การณํ ทเสฺสโนฺตฯ อโตฺถว ผลํ ตทธีนวุตฺติตาย วโส เอตสฺสาติ อตฺถวโส, เหตูติ เอวํ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อตฺตโน จ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารนฺติ เอเตน สตฺถา อตฺตโน วิเวกาภิรติํ ปกาเสตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทิฎฺฐธโมฺม นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิริยาปถวิหารานนฺติ อิริยาปถปวตฺตีนํฯ ตปฺปวตฺติโย หิ เอกสฺมิํ อิริยาปเถ อุปฺปนฺนทุกฺขํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา หรณโต วิหาราติ วุจฺจนฺติฯ ปจฺฉิมญฺจ ชนตํ อนุกมฺปมาโนติ เอเตน โย อาทิโต พฺราหฺมเณน ‘‘ภวํ เตสํ โคตโม ปุพฺพงฺคโม…เป.… ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชตี’’ติ วุโตฺต, โย จ ตถา ‘‘เอวเมตํ พฺราหฺมณา’’ติอาทินา อตฺตนา สมฺปฎิจฺฉิโต, ตเมว อตฺถํ นิคมนวเสน ทเสฺสโนฺต ยถานุสนฺธินาว สตฺถา เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    55.Siyā kho pana te brāhmaṇāti ettha siyāti ‘‘appevā’’ti iminā samānattho nipāto , tasmā ‘brāhmaṇa, appeva kho pana te evamassā’ti attho. Yaṃ pana aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kadācī’’ti vuttaṃ, tampi imamevatthaṃ sandhāya vuttaṃ akāraṇaṃ brāhmaṇena parikappitamatthaṃ paṭipakkhipitvā attano adhippetaṃ kāraṇaṃ dassento. Atthova phalaṃ tadadhīnavuttitāya vaso etassāti atthavaso, hetūti evaṃ vā ettha attho daṭṭhabbo. Attano ca diṭṭhadhammasukhavihāranti etena satthā attano vivekābhiratiṃ pakāsetīti dassento ‘‘diṭṭhadhammo nāmā’’tiādimāha. Tattha iriyāpathavihārānanti iriyāpathapavattīnaṃ. Tappavattiyo hi ekasmiṃ iriyāpathe uppannadukkhaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā haraṇato vihārāti vuccanti. Pacchimañca janataṃ anukampamānoti etena yo ādito brāhmaṇena ‘‘bhavaṃ tesaṃ gotamo pubbaṅgamo…pe… diṭṭhānugatiṃ āpajjatī’’ti vutto, yo ca tathā ‘‘evametaṃ brāhmaṇā’’tiādinā attanā sampaṭicchito, tameva atthaṃ nigamanavasena dassento yathānusandhināva satthā desanaṃ niṭṭhāpesi.

    อรญฺญวาสการณวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Araññavāsakāraṇavaṇṇanā niṭṭhitā.

    เทสนานุโมทนาวณฺณนา

    Desanānumodanāvaṇṇanā

    ๕๖. เอวํ นิฎฺฐาปิตาย เทสนาย พฺราหฺมโณ ตตฺถ ภควติ ปสาทํ ปเวเทโนฺต ‘‘อภิกฺกนฺต’’นฺติอาทิมาหฯ อภิกฺกนฺตาติ (สารตฺถ. ฎี. ๑.๑๕.เทสนานุโมทนกถา; ที. นิ. ฎี. ๑.๒๕๐; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑; อ. นิ. ฎี. ๒.๒.๑๖) อติกฺกนฺตา, วิคตาติ อโตฺถติ อาห ‘‘ขเย ทิสฺสตี’’ติฯ เตเนว หิ ‘‘นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม’’ติ วุตฺตํฯ อภิกฺกนฺตตโรติ อติวิย กนฺตตโร มโนรโมฯ ตาทิโส จ สุนฺทโร ภทฺทโก นาม โหตีติ อาห ‘‘สุนฺทเร ทิสฺสตี’’ติฯ

    56. Evaṃ niṭṭhāpitāya desanāya brāhmaṇo tattha bhagavati pasādaṃ pavedento ‘‘abhikkanta’’ntiādimāha. Abhikkantāti (sārattha. ṭī. 1.15.desanānumodanakathā; dī. ni. ṭī. 1.250; saṃ. ni. ṭī. 1.1.1; a. ni. ṭī. 2.2.16) atikkantā, vigatāti atthoti āha ‘‘khaye dissatī’’ti. Teneva hi ‘‘nikkhanto paṭhamo yāmo’’ti vuttaṃ. Abhikkantataroti ativiya kantataro manoramo. Tādiso ca sundaro bhaddako nāma hotīti āha ‘‘sundare dissatī’’ti.

    โกติ เทวนาคยกฺขคนฺธพฺพาทีสุ โก กตโมฯ เมติ มมฯ ปาทานีติ ปาเทฯ อิทฺธิยาติ อิมาย เอวรูปาย เทวิทฺธิยาฯ ยสสาติ อิมินา เอทิเสน ปริวาเรน ปริชเนนฯ ชลนฺติ วิโชฺชตมาโนฯ อภิกฺกเนฺตนาติ อติวิย กเนฺตน กมนีเยน อภิรูเปนฯ วเณฺณนาติ ฉวิวเณฺณน สรีรวณฺณนิภายฯ สพฺพา โอภาสยํ ทิสาติ ทสปิ ทิสา โอภาเสโนฺต ปภาเสโนฺต, จโนฺท วิย สูริโย วิย จ เอโกภาสํ เอกาโลกํ กโรโนฺตติ คาถาย อโตฺถฯ อภิรูเปติ อุฬารรูเป สมฺปนฺนรูเปฯ

    Koti devanāgayakkhagandhabbādīsu ko katamo. Meti mama. Pādānīti pāde. Iddhiyāti imāya evarūpāya deviddhiyā. Yasasāti iminā edisena parivārena parijanena. Jalanti vijjotamāno. Abhikkantenāti ativiya kantena kamanīyena abhirūpena. Vaṇṇenāti chavivaṇṇena sarīravaṇṇanibhāya. Sabbā obhāsayaṃ disāti dasapi disā obhāsento pabhāsento, cando viya sūriyo viya ca ekobhāsaṃ ekālokaṃ karontoti gāthāya attho. Abhirūpeti uḷārarūpe sampannarūpe.

    ‘‘โจโร โจโร, สโปฺป สโปฺป’’ติอาทีสุ ภเย อาเมฑิตํฯ ‘‘วิชฺฌ วิชฺฌ, ปหร ปหรา’’ติอาทีสุ โกเธ, ‘‘สาธุ สาธูติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๒๗; สํ. นิ. ๒.๑๒๗; ๓.๓๕; ๕.๑๐๘๕) ปสํสายํ, ‘‘คจฺฉ คจฺฉ, ลุนาหิ ลุนาหี’’ติอาทีสุ ตุริเต, ‘‘อาคจฺฉ อาคจฺฉา’’ติอาทีสุ โกตูหเล, ‘‘พุโทฺธ พุโทฺธติ จิเนฺตโนฺต’’ติอาทีสุ (พุ. วํ. ๒.๔๔) อจฺฉเร, ‘‘อภิกฺกมถายสฺมโนฺต, อภิกฺกมถายสฺมโนฺต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๒๐; อ. นิ. ๙.๑๑) หาเส, ‘‘กหํ เอกปุตฺตก, กหํ เอกปุตฺตกา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๓๕๓; สํ. นิ. ๒.๖๓) โสเก, ‘‘อโห สุขํ อโห สุข’’นฺติอาทีสุ (อุทา. ๒๐; ที. นิ. ๓.๓๐๕; จูฬว. ๓๓๒) ปสาเท-สโทฺท อวุตฺตสมุจฺจยโตฺถฯ เตน ครหาอสมฺมานาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺถ ‘‘ปาโป ปาโป’’ติอาทีสุ ครหายํฯ ‘‘อภิรูปก อภิรูปกา’’ติอาทีสุ อสมฺมาเน ทฎฺฐพฺพํฯ

    ‘‘Coro coro, sappo sappo’’tiādīsu bhaye āmeḍitaṃ. ‘‘Vijjha vijjha, pahara paharā’’tiādīsu kodhe, ‘‘sādhu sādhūtiādīsu (ma. ni. 1.327; saṃ. ni. 2.127; 3.35; 5.1085) pasaṃsāyaṃ, ‘‘gaccha gaccha, lunāhi lunāhī’’tiādīsu turite, ‘‘āgaccha āgacchā’’tiādīsu kotūhale, ‘‘buddho buddhoti cintento’’tiādīsu (bu. vaṃ. 2.44) acchare, ‘‘abhikkamathāyasmanto, abhikkamathāyasmanto’’tiādīsu (dī. ni. 3.20; a. ni. 9.11) hāse, ‘‘kahaṃ ekaputtaka, kahaṃ ekaputtakā’’tiādīsu (ma. ni. 2.353; saṃ. ni. 2.63) soke, ‘‘aho sukhaṃ aho sukha’’ntiādīsu (udā. 20; dī. ni. 3.305; cūḷava. 332) pasāde. Ca-saddo avuttasamuccayattho. Tena garahāasammānādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tattha ‘‘pāpo pāpo’’tiādīsu garahāyaṃ. ‘‘Abhirūpaka abhirūpakā’’tiādīsu asammāne daṭṭhabbaṃ.

    นยิทํ อาเมฑิตวเสน ทฺวิกฺขตฺตุํ วุตฺตํ, อถ โข อตฺถทฺวยวเสนาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ อภิกฺกนฺตนฺติ วจนํ อเปกฺขิตฺวา นปุํสกลิงฺควเสน วุตฺตํ, ตํ ปน ภควโต วจนํ ธมฺมสฺส เทสนาติ กตฺวา ตถา วุตฺตํฯ อตฺถมตฺตทสฺสนํ วา เอตํ, ตสฺมา อตฺถวเสน ลิงฺควิภตฺติวิปริณาโม เวทิตโพฺพฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ โทสนาสนโตติ ราคาทิกิเลสโทสวิธมนโต, คุณาธิคมนโตติ สีลาทิคุณานํ สมฺปาปนโตฯ เย คุเณ เทสนา อธิคเมติ, เตสุ ปธานภูตา ทเสฺสตพฺพาติ เต ปธานภูเต ตาว ทเสฺสตุํ ‘‘สทฺธาชนนโต ปญฺญาชนนโต’’ติ วุตฺตํฯ สทฺธาปมุขา หิ โลกิยา คุณา, ปญฺญาปมุขา โลกุตฺตราฯ สีลาทิอตฺถสมฺปตฺติยา สาตฺถโต, สภาวนิรุตฺติสมฺปตฺติยา สพฺยญฺชนโตฯ สุวิเญฺญยฺยสทฺทปโยคตาย อุตฺตานปทโต, สณฺหสุขุมภาเวน ทุพฺพิเญฺญยฺยตฺถตาย คมฺภีรตฺถโตฯ สินิทฺธมุทุมธุรสทฺทปโยคตาย กณฺณสุขโต, วิปุลวิสุทฺธเปมนียตฺถตาย หทยงฺคมโตฯ มานาติมานวิธมเนน อนตฺตุกฺกํสนโต, ถมฺภสารมฺภมทฺทเนน อปรวมฺภนโตฯ หิตาธิปฺปายปวตฺติยา ปเรสํ ราคปริฬาหาทิวูปสมเนน จ กรุณาสีตลโต, กิเลสนฺธการวิธมเนน ปญฺญาวทาตโตฯ กรวีกรุตมญฺชุตาย อาปาถรมณียโต, ปุพฺพาปราวิรุทฺธสุวิสุทฺธตฺถตาย วิมทฺทกฺขมโตฯ อาปาถรมณียตาย เอว สุยฺยมานสุขโต, วิมทฺทกฺขมตาย หิตชฺฌาสยปฺปวตฺติตตาย จ วีมํสิยมานหิตโตฯ เอวมาทีหีติ อาทิสเทฺทน สํสารจกฺกนิวตฺตนโต, สทฺธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนโต, มิจฺฉาวาทวิธมนโต, สมฺมาวาทปติฎฺฐาปนโต, อกุสลมูลสมุทฺธรณโต, กุสลมูลสํโรปนโต, อปายทฺวารปิธานโต, สคฺคมคฺคทฺวารวิวรณโต, ปริยุฎฺฐานวูปสมนโต, อนุสยสมุคฺฆาตนโตติ เอวมาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Nayidaṃ āmeḍitavasena dvikkhattuṃ vuttaṃ, atha kho atthadvayavasenāti dassento ‘‘atha vā’’tiādimāha. Abhikkantanti vacanaṃ apekkhitvā napuṃsakaliṅgavasena vuttaṃ, taṃ pana bhagavato vacanaṃ dhammassa desanāti katvā tathā vuttaṃ. Atthamattadassanaṃ vā etaṃ, tasmā atthavasena liṅgavibhattivipariṇāmo veditabbo. Dutiyapadepi eseva nayo. Dosanāsanatoti rāgādikilesadosavidhamanato, guṇādhigamanatoti sīlādiguṇānaṃ sampāpanato. Ye guṇe desanā adhigameti, tesu padhānabhūtā dassetabbāti te padhānabhūte tāva dassetuṃ ‘‘saddhājananato paññājananato’’ti vuttaṃ. Saddhāpamukhā hi lokiyā guṇā, paññāpamukhā lokuttarā. Sīlādiatthasampattiyā sātthato, sabhāvaniruttisampattiyā sabyañjanato. Suviññeyyasaddapayogatāya uttānapadato, saṇhasukhumabhāvena dubbiññeyyatthatāya gambhīratthato. Siniddhamudumadhurasaddapayogatāya kaṇṇasukhato, vipulavisuddhapemanīyatthatāya hadayaṅgamato. Mānātimānavidhamanena anattukkaṃsanato, thambhasārambhamaddanena aparavambhanato. Hitādhippāyapavattiyā paresaṃ rāgapariḷāhādivūpasamanena ca karuṇāsītalato, kilesandhakāravidhamanena paññāvadātato. Karavīkarutamañjutāya āpātharamaṇīyato, pubbāparāviruddhasuvisuddhatthatāya vimaddakkhamato. Āpātharamaṇīyatāya eva suyyamānasukhato, vimaddakkhamatāya hitajjhāsayappavattitatāya ca vīmaṃsiyamānahitato. Evamādīhīti ādisaddena saṃsāracakkanivattanato, saddhammacakkappavattanato, micchāvādavidhamanato, sammāvādapatiṭṭhāpanato, akusalamūlasamuddharaṇato, kusalamūlasaṃropanato, apāyadvārapidhānato, saggamaggadvāravivaraṇato, pariyuṭṭhānavūpasamanato, anusayasamugghātanatoti evamādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo.

    อโธมุขฎฺฐปิตนฺติ เกนจิ อโธมุขํ ฐปิตํฯ เหฎฺฐามุขชาตนฺติ สภาเวเนว เหฎฺฐามุขชาตํฯ อุคฺฆาเฎยฺยาติ วิวฎํ กเรยฺยฯ หเตฺถ คเหตฺวาติ ‘‘ปุรตฺถาภิมุโข, อุตฺตราภิมุโข วา คจฺฉา’’ติอาทีนิ อวตฺวา หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘นิสฺสเนฺทหํ เอส มโคฺค, เอวํ คจฺฉา’’ติ วเทยฺยฯ กาฬปกฺขจาตุทฺทสีติ กาฬปเกฺข จาตุทฺทสีฯ

    Adhomukhaṭṭhapitanti kenaci adhomukhaṃ ṭhapitaṃ. Heṭṭhāmukhajātanti sabhāveneva heṭṭhāmukhajātaṃ. Ugghāṭeyyāti vivaṭaṃ kareyya. Hatthe gahetvāti ‘‘puratthābhimukho, uttarābhimukho vā gacchā’’tiādīni avatvā hatthe gahetvā ‘‘nissandehaṃ esa maggo, evaṃ gacchā’’ti vadeyya. Kāḷapakkhacātuddasīti kāḷapakkhe cātuddasī.

    นิกุชฺชิตํ อาเธยฺยสฺส อนาธารภูตํ ภาชนํ อาธารภาวาปาทนวเสน อุกฺกุเชฺชยฺยฯ เหฎฺฐามุขชาตตาย สทฺธมฺมวิมุขํ, อโธมุขฎฺฐปิตตาย อสทฺธเมฺม ปติตนฺติ เอวํ ปททฺวยํ ยถารหํ โยเชตพฺพํ, น ยถาสงฺขฺยํฯ กามํ กามจฺฉนฺทาทโยปิ ปฎิจฺฉาทกา, มิจฺฉาทิฎฺฐิ ปน สวิเสสํ ปฎิจฺฉาทิกาติ อาห ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิคหนปฎิจฺฉนฺน’’นฺติฯ เตนาห ภควา ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมาหํ, ภิกฺขเว, วชฺชํ วทามี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๐)ฯ สโพฺพ อปายคามิมโคฺค กุมฺมโคฺค ‘‘กุจฺฉิโต มโคฺค’’ติ กตฺวาฯ สมฺมาทิฎฺฐิอาทีนํ อุชุปฎิปกฺขตาย มิจฺฉาทิฎฺฐิอาทโย อฎฺฐ มิจฺฉตฺตธมฺมา มิจฺฉามโคฺคฯ เตเนว หิ ตทุภยปฎิปกฺขตํ สนฺธาย ‘‘สคฺคโมกฺขมคฺคํ อาจิกฺขเนฺตนา’’ติ วุตฺตํฯ สปฺปิอาทิสนฺนิสฺสโย ปทีโป น ตถา อุชฺชโล, ยถา เตลสนฺนิสฺสโยติ เตลปโชฺชตคฺคหณํเอเตหิ ปริยาเยหีติ เอเตหิ นิกุชฺชิตุกฺกุชฺชนปฎิจฺฉนฺนวิวรณาทิอุปโมปมิตพฺพปกาเรหิ, เอเตหิ วา ยถาวุเตฺตหิ โสฬสารมฺมณปริคฺคหอสโมฺมหวิหารทิพฺพวิหารวิภาวนปริยาเยหิ วิชฺชาตฺตยวิภาวนาปเทเสน อตฺตโน สพฺพญฺญุคุณวิภาวนปริยาเยหิ จฯ เตนาห ‘‘อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโต’’ติฯ

    Nikujjitaṃ ādheyyassa anādhārabhūtaṃ bhājanaṃ ādhārabhāvāpādanavasena ukkujjeyya. Heṭṭhāmukhajātatāya saddhammavimukhaṃ, adhomukhaṭṭhapitatāya asaddhamme patitanti evaṃ padadvayaṃ yathārahaṃ yojetabbaṃ, na yathāsaṅkhyaṃ. Kāmaṃ kāmacchandādayopi paṭicchādakā, micchādiṭṭhi pana savisesaṃ paṭicchādikāti āha ‘‘micchādiṭṭhigahanapaṭicchanna’’nti. Tenāha bhagavā ‘‘micchādiṭṭhiparamāhaṃ, bhikkhave, vajjaṃ vadāmī’’ti (a. ni. 1.310). Sabbo apāyagāmimaggo kummaggo ‘‘kucchito maggo’’ti katvā. Sammādiṭṭhiādīnaṃ ujupaṭipakkhatāya micchādiṭṭhiādayo aṭṭha micchattadhammā micchāmaggo. Teneva hi tadubhayapaṭipakkhataṃ sandhāya ‘‘saggamokkhamaggaṃ ācikkhantenā’’ti vuttaṃ. Sappiādisannissayo padīpo na tathā ujjalo, yathā telasannissayoti telapajjotaggahaṇaṃ. Etehi pariyāyehīti etehi nikujjitukkujjanapaṭicchannavivaraṇādiupamopamitabbapakārehi, etehi vā yathāvuttehi soḷasārammaṇapariggahaasammohavihāradibbavihāravibhāvanapariyāyehi vijjāttayavibhāvanāpadesena attano sabbaññuguṇavibhāvanapariyāyehi ca. Tenāha ‘‘anekapariyāyena dhammo pakāsito’’ti.

    เทสนานุโมทนาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Desanānumodanāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปสนฺนการวณฺณนา

    Pasannakāravaṇṇanā

    ปสนฺนการนฺติ ปสเนฺนหิ กาตพฺพํ สกฺการํฯ สรณนฺติ ปฎิสรณํฯ เตนาห ‘‘ปรายณ’’นฺติฯ ปรายณภาโว จ อนตฺถนิเสธเนน อตฺถสมฺปฎิปาทเนน จ โหตีติ อาห ‘‘อฆสฺส ตาตา หิตสฺส จ วิธาตา’’ติฯ อฆสฺสาติ ทุกฺขโตติ วทนฺติ, ปาปโตติ ปน ยุตฺตํฯ นิสฺสเกฺก เจตํ สามิวจนํฯ เอตฺถ จ นายํ คมิ-สโทฺท นี-สทฺทาทโย วิย ทฺวิกมฺมโก, ตสฺมา ยถา ‘‘อชํ คามํ เนตี’’ติ วุจฺจติ, เอวํ ‘‘โคตมํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ วตฺตุํ น สกฺกา, ‘‘สรณนฺติ คจฺฉามี’’ติ ปน วตฺตพฺพํฯ อิติ-สโทฺท เจตฺถ ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐ, ตสฺส จายมโตฺถ – คมนญฺจ ตทธิปฺปาเยน ภชนํ, ตถา ชานนํ วาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิติ อิมินา อธิปฺปาเยนา’’ติอาทิมาห ฯ ตตฺถ ภชามีติอาทีสุ ปุริมสฺส ปุริมสฺส ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ อตฺถวจนํฯ ภชนํ วา สรณาธิปฺปาเยน อุปสงฺกมนํ, เสวนํ สนฺติกาวจรตา, ปยิรุปาสนํ วตฺตปฎิวตฺตกรเณน อุปฎฺฐานนฺติ เอวํ สพฺพถาปิ อนญฺญสรณตํเยว ทีเปติฯ ‘‘คจฺฉามี’’ติ ปทสฺส กถํ ‘‘พุชฺฌามี’’ติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘เยสญฺหี’’ติอาทิฯ

    Pasannakāranti pasannehi kātabbaṃ sakkāraṃ. Saraṇanti paṭisaraṇaṃ. Tenāha ‘‘parāyaṇa’’nti. Parāyaṇabhāvo ca anatthanisedhanena atthasampaṭipādanena ca hotīti āha ‘‘aghassa tātā hitassa ca vidhātā’’ti. Aghassāti dukkhatoti vadanti, pāpatoti pana yuttaṃ. Nissakke cetaṃ sāmivacanaṃ. Ettha ca nāyaṃ gami-saddo nī-saddādayo viya dvikammako, tasmā yathā ‘‘ajaṃ gāmaṃ netī’’ti vuccati, evaṃ ‘‘gotamaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti vattuṃ na sakkā, ‘‘saraṇanti gacchāmī’’ti pana vattabbaṃ. Iti-saddo cettha luttaniddiṭṭho, tassa cāyamattho – gamanañca tadadhippāyena bhajanaṃ, tathā jānanaṃ vāti dassento ‘‘iti iminā adhippāyenā’’tiādimāha . Tattha bhajāmītiādīsu purimassa purimassa pacchimaṃ pacchimaṃ atthavacanaṃ. Bhajanaṃ vā saraṇādhippāyena upasaṅkamanaṃ, sevanaṃ santikāvacaratā, payirupāsanaṃ vattapaṭivattakaraṇena upaṭṭhānanti evaṃ sabbathāpi anaññasaraṇataṃyeva dīpeti. ‘‘Gacchāmī’’ti padassa kathaṃ ‘‘bujjhāmī’’ti ayamattho labbhatīti āha ‘‘yesañhī’’tiādi.

    อธิคตมเคฺค, สจฺฉิกตนิโรเธติ ปททฺวเยนปิ ผลฎฺฐา เอว ทสฺสิตา, น มคฺคฎฺฐาติ เต ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน จา’’ติ อาหฯ นนุ จ กลฺยาณปุถุชฺชโนปิ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชตีติ วุจฺจตีติ? กิญฺจาปิ วุจฺจติ, นิปฺปริยาเยน ปน มคฺคฎฺฐา เอว ตถา วตฺตพฺพา, น อิตเร นิยาโมกฺกมนาภาวโตฯ ตถา หิ เต เอว ‘‘อปาเยสุ อปตมาเน ธาเรตี’’ติ วุตฺตาฯ สมฺมตฺตนิยาโมกฺกมเนน หิ อปายวินิมุตฺติสมฺภโวฯ อกฺขายตีติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถ, ปการโตฺถ วาฯ เตน ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา วา อสงฺขตา วา, วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ สุตฺตปทํ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) สงฺคณฺหาติ, วิตฺถาโรติ วา อิมินาฯ เอตฺถ จ อริยมโคฺค นิยฺยานิกตาย, นิพฺพานํ ตสฺส ตทตฺถสิทฺธิเหตุตายาติ อุภยเมเวตฺถ นิปฺปริยาเยน ธโมฺมติ วุโตฺตฯ นิพฺพานญฺหิ อารมฺมณปจฺจยภูตํ ลภิตฺวา อริยมคฺคสฺส ตทตฺถสิทฺธิ, อริยผลานํ ‘‘ยสฺมา ตาย สทฺธาย อวูปสนฺตายา’’ติอาทิวจนโต มเคฺคน สมุจฺฉินฺนานํ กิเลสานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปหานกิจฺจตาย นิยฺยานานุคุณตาย นิยฺยานปริโยสานตาย จฯ ปริยตฺติธมฺมสฺส ปน นิยฺยานธมฺมสมธิคมเหตุตายาติ อิมินา ปริยาเยน ธมฺมภาโว ลพฺภติ เอว, สฺวายมโตฺถ ปาฐารุโฬฺห เอวาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น เกวล’’นฺติอาทิมาหฯ

    Adhigatamagge,sacchikatanirodheti padadvayenapi phalaṭṭhā eva dassitā, na maggaṭṭhāti te dassento ‘‘yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne cā’’ti āha. Nanu ca kalyāṇaputhujjanopi yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjatīti vuccatīti? Kiñcāpi vuccati, nippariyāyena pana maggaṭṭhā eva tathā vattabbā, na itare niyāmokkamanābhāvato. Tathā hi te eva ‘‘apāyesu apatamāne dhāretī’’ti vuttā. Sammattaniyāmokkamanena hi apāyavinimuttisambhavo. Akkhāyatīti ettha iti-saddo ādiattho, pakārattho vā. Tena ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā vā asaṅkhatā vā, virāgo tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti suttapadaṃ (a. ni. 4.34; itivu. 90) saṅgaṇhāti, vitthāroti vā iminā. Ettha ca ariyamaggo niyyānikatāya, nibbānaṃ tassa tadatthasiddhihetutāyāti ubhayamevettha nippariyāyena dhammoti vutto. Nibbānañhi ārammaṇapaccayabhūtaṃ labhitvā ariyamaggassa tadatthasiddhi, ariyaphalānaṃ ‘‘yasmā tāya saddhāya avūpasantāyā’’tiādivacanato maggena samucchinnānaṃ kilesānaṃ paṭippassaddhipahānakiccatāya niyyānānuguṇatāya niyyānapariyosānatāya ca. Pariyattidhammassa pana niyyānadhammasamadhigamahetutāyāti iminā pariyāyena dhammabhāvo labbhati eva, svāyamattho pāṭhāruḷho evāti dassento ‘‘na kevala’’ntiādimāha.

    กามราโค ภวราโคติ เอวมาทิเภโท สโพฺพปิ ราโค วิรชฺชติ ปหียติ เอเตนาติ ราควิราโคติ มโคฺค กถิโตฯ เอชาสงฺขาตาย ตณฺหาย อโนฺตนิชฺฌานลกฺขณสฺส โสกสฺส จ ตทุปฺปตฺติยํ สพฺพโส ปริกฺขีณตฺตา อเนชมโสกนฺติ ผลํ กถิตํฯ อปฺปฎิกูลนฺติ อวิโรธทีปนโต เกนจิ อวิรุทฺธํ, อิฎฺฐํ ปณีตนฺติ วา อโตฺถฯ ปคุณรูเปน ปวตฺติตตฺตา, ปกฎฺฐคุณวิภาวนโต วา ปคุณํฯ ยถาห ‘‘วิหิํสสญฺญี ปคุณํ น ภาสิํ, ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม’’ติฯ สพฺพธมฺมกฺขนฺธา กถิตาติ โยชนาฯ

    Kāmarāgo bhavarāgoti evamādibhedo sabbopi rāgo virajjati pahīyati etenāti rāgavirāgoti maggo kathito. Ejāsaṅkhātāya taṇhāya antonijjhānalakkhaṇassa sokassa ca taduppattiyaṃ sabbaso parikkhīṇattā anejamasokanti phalaṃ kathitaṃ. Appaṭikūlanti avirodhadīpanato kenaci aviruddhaṃ, iṭṭhaṃ paṇītanti vā attho. Paguṇarūpena pavattitattā, pakaṭṭhaguṇavibhāvanato vā paguṇaṃ. Yathāha ‘‘vihiṃsasaññī paguṇaṃ na bhāsiṃ, dhammaṃ paṇītaṃ manujesu brahme’’ti. Sabbadhammakkhandhā kathitāti yojanā.

    ทิฎฺฐิสีลสงฺฆาเตนาติ ‘‘ยายํ ทิฎฺฐิ อริยา นิยฺยานิกา นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย, ตถารูปาย ทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๔, ๓๕๖; ม. นิ. ๑.๔๙๒; ๓.๕๔) เอวํ วุตฺตาย ทิฎฺฐิยา, ‘‘ยานิ ตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ อจฺฉิทฺทานิ อสพลานิ อกมฺมาสานิ ภุชิสฺสานิ วิญฺญุปฺปสตฺถานิ อปรามฎฺฐานิ สมาธิสํวตฺตนิกานิ , ตถารูเปหิ สีเลหิ สีลสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๔; ม. นิ. ๑.๔๙๒; ๓.๕๔; อ. นิ. ๖.๑๒; ปริ. ๒๗๔) เอวํ วุตฺตานํ สีลานญฺจ สํหตภาเวน, ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญนาติ อโตฺถฯ สํหโตติ ฆฎิโตฯ อริยปุคฺคลา หิ ยตฺถ กตฺถจิ ทูเร ฐิตาปิ อตฺตโน คุณสามคฺคิยา สํหตา เอวฯ อฎฺฐ จ ปุคฺคล ธมฺมทสา เตติ เต ปุริสยุควเสน จตฺตาโรปิ ปุคฺคลวเสน อเฎฺฐว อริยธมฺมสฺส ปจฺจกฺขทสฺสาวิตาย ธมฺมทสาฯ ตีณิ วตฺถูนิ สรณนฺติ คมเนน ติกฺขตฺตุํ คมเนน จ ตีณิ สรณคมนานิปฎิเวเทสีติ อตฺตโน หทยคตํ วาจาย ปเวเทสิฯ

    Diṭṭhisīlasaṅghātenāti ‘‘yāyaṃ diṭṭhi ariyā niyyānikā niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāya, tathārūpāya diṭṭhiyā diṭṭhisāmaññagato viharatī’’ti (dī. ni. 3.324, 356; ma. ni. 1.492; 3.54) evaṃ vuttāya diṭṭhiyā, ‘‘yāni tāni sīlāni akhaṇḍāni acchiddāni asabalāni akammāsāni bhujissāni viññuppasatthāni aparāmaṭṭhāni samādhisaṃvattanikāni , tathārūpehi sīlehi sīlasāmaññagato viharatī’’ti (dī. ni. 3.324; ma. ni. 1.492; 3.54; a. ni. 6.12; pari. 274) evaṃ vuttānaṃ sīlānañca saṃhatabhāvena, diṭṭhisīlasāmaññenāti attho. Saṃhatoti ghaṭito. Ariyapuggalā hi yattha katthaci dūre ṭhitāpi attano guṇasāmaggiyā saṃhatā eva. Aṭṭha ca puggala dhammadasā teti te purisayugavasena cattāropi puggalavasena aṭṭheva ariyadhammassa paccakkhadassāvitāya dhammadasā. Tīṇi vatthūni saraṇanti gamanena tikkhattuṃ gamanena ca tīṇi saraṇagamanāni. Paṭivedesīti attano hadayagataṃ vācāya pavedesi.

    ปสนฺนการวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pasannakāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    สรณคมนกถาวณฺณนา

    Saraṇagamanakathāvaṇṇanā

    สรณคมนสฺส วิสยปเภทผลสํกิเลสเภทานํ วิย กตฺตุ จ วิภาวนา ตตฺถ โกสลฺลาย โหตีติ ‘‘สรณคมเนสุ โกสลฺลตฺถํ สรณํ…เป.… เวทิตโพฺพ’’ติ วุตฺตํ เตน วินา สรณคมนเสฺสว อสมฺภวโตฯ กสฺมา ปเนตฺถ โวทานํ น คหิตํ, นนุ โวทานวิภาวนาปิ ตตฺถ โกสลฺลาวหาติ? สจฺจเมตํ, ตํ ปน สํกิเลสคฺคหเณเนว อตฺถโต ทีปิตํ โหตีติ น คหิตํฯ ยานิ หิ เตสํ สํกิเลสการณานิ อญฺญาณาทีนิ, เตสํ สเพฺพน สพฺพํ อนุปฺปนฺนานํ อนุปฺปาทเนน, อุปฺปนฺนานญฺจ ปหาเนน โวทานํ โหตีติฯ หิํสตฺถสฺส สร-สทฺทสฺส วเสเนตํ ปทํ ทฎฺฐพฺพนฺติ ‘‘หิํสตีติ สรณ’’นฺติ วตฺวา ตํ ปน หิํสนํ เกสํ, กถํ, กสฺส วาติ โจทนํ โสเธโนฺต ‘‘สรณคตาน’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ภยนฺติ วฎฺฎภยํฯ สนฺตาสนฺติ จิตฺตุตฺราสํฯ เตเนว เจตสิกทุกฺขสฺส คหิตตฺตา ทุกฺขนฺติ อิธ กายิกํ ทุกฺขํฯ ทุคฺคติปริกิเลสนฺติ ทุคฺคติปริยาปนฺนํ สพฺพํ ทุกฺขํฯ ตยิทํ สพฺพํ ปรโต ผลกถายํ อาวิ ภวิสฺสติฯ เอตนฺติ ‘‘สรณ’’นฺติ ปทํฯ

    Saraṇagamanassa visayapabhedaphalasaṃkilesabhedānaṃ viya kattu ca vibhāvanā tattha kosallāya hotīti ‘‘saraṇagamanesu kosallatthaṃsaraṇaṃ…pe… veditabbo’’ti vuttaṃ tena vinā saraṇagamanasseva asambhavato. Kasmā panettha vodānaṃ na gahitaṃ, nanu vodānavibhāvanāpi tattha kosallāvahāti? Saccametaṃ, taṃ pana saṃkilesaggahaṇeneva atthato dīpitaṃ hotīti na gahitaṃ. Yāni hi tesaṃ saṃkilesakāraṇāni aññāṇādīni, tesaṃ sabbena sabbaṃ anuppannānaṃ anuppādanena, uppannānañca pahānena vodānaṃ hotīti. Hiṃsatthassa sara-saddassa vasenetaṃ padaṃ daṭṭhabbanti ‘‘hiṃsatīti saraṇa’’nti vatvā taṃ pana hiṃsanaṃ kesaṃ, kathaṃ, kassa vāti codanaṃ sodhento ‘‘saraṇagatāna’’ntiādimāha. Tattha bhayanti vaṭṭabhayaṃ. Santāsanti cittutrāsaṃ. Teneva cetasikadukkhassa gahitattā dukkhanti idha kāyikaṃ dukkhaṃ. Duggatiparikilesanti duggatipariyāpannaṃ sabbaṃ dukkhaṃ. Tayidaṃ sabbaṃ parato phalakathāyaṃ āvi bhavissati. Etanti ‘‘saraṇa’’nti padaṃ.

    เอวํ อวิเสสโต สรณสทฺทสฺส อตฺถํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิเสสโต ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ หิเต ปวตฺตมาเนนาติ ‘‘สมฺปนฺนสีลา, ภิกฺขเว, วิหรถา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๖๔, ๖๙) อเตฺถ นิโยชเนนฯ อหิตา จ นิวตฺตเนนาติ ‘‘ปาณาติปาตสฺส โข ปาปโก วิปาโก ปาปกํ อภิสมฺปราย’’นฺติอาทินา อาทีนวทสฺสนาทิมุเขน อนตฺถโต วินิวตฺตเนนฯ ภยํ หิํสตีติ หิตาหิเตสุ อปฺปวตฺติปวตฺติเหตุกํ พฺยสนํ อปฺปวตฺติกรเณน วินาเสติ ฯ ภวกนฺตารา อุตฺตารเณน มคฺคสงฺขาโต ธโมฺม, อิตโร อสฺสาสทาเนน สตฺตานํ ภยํ หิํสตีติ โยชนาฯ การานนฺติ ทานวเสน ปูชาวเสน จ อุปนีตานํ สกฺการานํฯ วิปุลผลปฎิลาภกรเณน สตฺตานํ ภยํ หิํสติ อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ อิมินาปิ ปริยาเยนาติ อิมินาปิ วิภชิตฺวา วุเตฺตน การเณนฯ

    Evaṃ avisesato saraṇasaddassa atthaṃ dassetvā idāni visesato dassetuṃ ‘‘atha vā’’tiādi vuttaṃ. Hite pavattamānenāti ‘‘sampannasīlā, bhikkhave, viharathā’’tiādinā (ma. ni. 1.64, 69) atthe niyojanena. Ahitā ca nivattanenāti ‘‘pāṇātipātassa kho pāpako vipāko pāpakaṃ abhisamparāya’’ntiādinā ādīnavadassanādimukhena anatthato vinivattanena. Bhayaṃ hiṃsatīti hitāhitesu appavattipavattihetukaṃ byasanaṃ appavattikaraṇena vināseti . Bhavakantārā uttāraṇena maggasaṅkhāto dhammo, itaro assāsadānena sattānaṃ bhayaṃ hiṃsatīti yojanā. Kārānanti dānavasena pūjāvasena ca upanītānaṃ sakkārānaṃ. Vipulaphalapaṭilābhakaraṇena sattānaṃ bhayaṃ hiṃsati anuttaradakkhiṇeyyabhāvatoti adhippāyo. Imināpi pariyāyenāti imināpi vibhajitvā vuttena kāraṇena.

    ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควา, สฺวากฺขาโต ธโมฺม, สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆ’’ติ เอวํ ปวโตฺต ตตฺถ รตนตฺตเย ปสาโท ตปฺปสาโท, ตเทว รตนตฺตยํ ครุ เอตสฺสาติ ตคฺครุ, ตสฺส ภาโว ตคฺครุตา, ตปฺปสาโท จ ตคฺครุตา จ ตปฺปสาทตคฺครุตา, ตาหิฯ วิธุตทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสโมฺมหอสฺสทฺธิยาทิตาย วิหตกิเลโสฯ ‘‘ตเทว รตนตฺตยํ ปรายณํ คติ ตาณํ เลณ’’นฺติ เอวํ อากาเรน ปวตฺติยา ตปฺปรายณตาการปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท สรณคมนํ ‘‘สรณนฺติ คจฺฉติ เอเตนา’’ติฯ ตํสมงฺคีติ เตน ยถาวุตฺตจิตฺตุปฺปาเทน สมนฺนาคโตฯ เอวํ อุเปตีติ เอวํ ภชติ เสวติ ปยิรุปาสติ, เอวํ วา ชานาติ พุชฺฌตีติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอตฺถ จ ปสาทคฺคหเณน โลกิยสรณคมนมาหฯ ตญฺหิ ปสาทปฺปธานํ, น ญาณปฺปธานํฯ ครุตาคหเณน โลกุตฺตรํฯ อริยา หิ รตนตฺตยํ คุณาภิญฺญาตาย ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุํ กตฺวา ปสฺสนฺติ, ตสฺมา ตปฺปสาเทน วิกฺขมฺภนวเสน วิหตกิเลโส ตคฺครุตาย สมุเจฺฉทวเสนาติ โยเชตพฺพํฯ ตปฺปรายณตา ปเนตฺถ ตคฺคติกตาติ ตาย จตุพฺพิธมฺปิ วกฺขมานํ สรณคมนํ คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อวิเสเสน วา ปสาทครุตา โชติตาติ ปสาทคฺคหเณน อเวจฺจปฺปสาทสฺส อิตรสฺส จ คหณํ, ตถา ครุตาคหเณนาติ อุภเยนปิ อุภยํ สรณคมนํ โยเชตพฺพํฯ

    ‘‘Sammāsambuddho bhagavā, svākkhāto dhammo, suppaṭipanno saṅgho’’ti evaṃ pavatto tattha ratanattaye pasādo tappasādo, tadeva ratanattayaṃ garu etassāti taggaru, tassa bhāvo taggarutā, tappasādo ca taggarutā ca tappasādataggarutā, tāhi. Vidhutadiṭṭhivicikicchāsammohaassaddhiyāditāya vihatakileso. ‘‘Tadeva ratanattayaṃ parāyaṇaṃ gati tāṇaṃ leṇa’’nti evaṃ ākārena pavattiyā tapparāyaṇatākārapavatto cittuppādo saraṇagamanaṃ ‘‘saraṇanti gacchati etenā’’ti. Taṃsamaṅgīti tena yathāvuttacittuppādena samannāgato. Evaṃ upetīti evaṃ bhajati sevati payirupāsati, evaṃ vā jānāti bujjhatīti evamattho veditabbo. Ettha ca pasādaggahaṇena lokiyasaraṇagamanamāha. Tañhi pasādappadhānaṃ, na ñāṇappadhānaṃ. Garutāgahaṇena lokuttaraṃ. Ariyā hi ratanattayaṃ guṇābhiññātāya pāsāṇacchattaṃ viya garuṃ katvā passanti, tasmā tappasādena vikkhambhanavasena vihatakileso taggarutāya samucchedavasenāti yojetabbaṃ. Tapparāyaṇatā panettha taggatikatāti tāya catubbidhampi vakkhamānaṃ saraṇagamanaṃ gahitanti daṭṭhabbaṃ. Avisesena vā pasādagarutā jotitāti pasādaggahaṇena aveccappasādassa itarassa ca gahaṇaṃ, tathā garutāgahaṇenāti ubhayenapi ubhayaṃ saraṇagamanaṃ yojetabbaṃ.

    มคฺคกฺขเณ อิชฺฌตีติ โยชนาฯ นิพฺพานารมฺมณํ หุตฺวาติ เอเตน อตฺถโต จตุสจฺจาธิคโมเยว โลกุตฺตรํ สรณคมนนฺติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ หิ นิพฺพานธโมฺม สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน, มคฺคธโมฺม ภาวนาภิสมยวเสน ปฎิวิชฺฌิยมาโนเยว สรณคมนตฺตํ สาเธติ, พุทฺธคุณา ปน สาวกโคจรภูตา ปริญฺญาภิสมยวเสน, ตถา อริยสงฺฆคุณาฯ เตนาห ‘‘กิจฺจโต สกเลปิ รตนตฺตเย อิชฺฌตี’’ติ, อิชฺฌนฺตญฺจ สเหว อิชฺฌติ, น โลกิยํ วิย ปฎิปาฎิยา อสโมฺมหปฎิเวเธน ปฎิวิทฺธตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ เย ปน วทนฺติ ‘‘น สรณคมนํ นิพฺพานารมฺมณํ หุตฺวา ปวตฺตติ, มคฺคสฺส อธิคตตฺตา ปน อธิคตเมว โหติ เอกจฺจานํ เตวิชฺชาทีนํ โลกิยวิชฺชาทโย วิยา’’ติ, เตสํ โลกิยเมว สรณคมนํ สิยา, น โลกุตฺตรํ, ตญฺจ อยุตฺตํ ทุวิธสฺสปิ อิจฺฉิตพฺพตฺตาฯ นฺติ โลกิยสรณคมนํฯ สทฺธาปฎิลาโภ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควา’’ติอาทินาฯ สทฺธามูลิกาติ ยถาวุตฺตสทฺธาปุพฺพงฺคมา สมฺมาทิฎฺฐิ พุทฺธสุพุทฺธตํ ธมฺมสุธมฺมตํ สงฺฆสุปฺปฎิปติญฺจ โลกิยาวโพธวเสเนว สมฺมา ญาเยน ทสฺสนโตฯ ‘‘สทฺธามูลิกา สมฺมาทิฎฺฐี’’ติ เอเตน สทฺธูปนิสฺสยา ยถาวุตฺตลกฺขณา ปญฺญา โลกิยสรณคมนนฺติ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘ทิฎฺฐิชุกมฺมนฺติ วุจฺจตี’’ติ ‘‘ทิฎฺฐิ เอว อตฺตโน ปจฺจเยหิ อุชุํ กรียตี’’ติ กตฺวาฯ ทิฎฺฐิ วา อุชุํ กรียติ เอเตนาติ ทิฎฺฐิชุกมฺมํ, ตถา ปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท ฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘ตปฺปรายณตาการปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท’’ติ อิทญฺจ วจนํ สมตฺถิตํ โหติฯ สทฺธาปุพฺพงฺคมสมฺมาทิฎฺฐิคฺคหณํ ปน จิตฺตุปฺปาทสฺส ตปฺปธานตายาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘สทฺธาปฎิลาโภ’’ติ อิมินา มาตาทีหิ อุสฺสาหิตทารกาทีนํ วิย ญาณวิปฺปยุตฺตสรณคมนํ ทเสฺสติ, ‘‘สมฺมาทิฎฺฐี’’ติ อิมินา ญาณสมฺปยุตฺตสรณคมนํฯ

    Maggakkhaṇe ijjhatīti yojanā. Nibbānārammaṇaṃ hutvāti etena atthato catusaccādhigamoyeva lokuttaraṃ saraṇagamananti dasseti. Tattha hi nibbānadhammo sacchikiriyābhisamayavasena, maggadhammo bhāvanābhisamayavasena paṭivijjhiyamānoyeva saraṇagamanattaṃ sādheti, buddhaguṇā pana sāvakagocarabhūtā pariññābhisamayavasena, tathā ariyasaṅghaguṇā. Tenāha ‘‘kiccato sakalepi ratanattaye ijjhatī’’ti, ijjhantañca saheva ijjhati, na lokiyaṃ viya paṭipāṭiyā asammohapaṭivedhena paṭividdhattāti adhippāyo. Ye pana vadanti ‘‘na saraṇagamanaṃ nibbānārammaṇaṃ hutvā pavattati, maggassa adhigatattā pana adhigatameva hoti ekaccānaṃ tevijjādīnaṃ lokiyavijjādayo viyā’’ti, tesaṃ lokiyameva saraṇagamanaṃ siyā, na lokuttaraṃ, tañca ayuttaṃ duvidhassapi icchitabbattā. Tanti lokiyasaraṇagamanaṃ. Saddhāpaṭilābho ‘‘sammāsambuddho bhagavā’’tiādinā. Saddhāmūlikāti yathāvuttasaddhāpubbaṅgamā sammādiṭṭhi buddhasubuddhataṃ dhammasudhammataṃ saṅghasuppaṭipatiñca lokiyāvabodhavaseneva sammā ñāyena dassanato. ‘‘Saddhāmūlikā sammādiṭṭhī’’ti etena saddhūpanissayā yathāvuttalakkhaṇā paññā lokiyasaraṇagamananti dasseti. Tenāha ‘‘diṭṭhijukammanti vuccatī’’ti ‘‘diṭṭhi eva attano paccayehi ujuṃ karīyatī’’ti katvā. Diṭṭhi vā ujuṃ karīyati etenāti diṭṭhijukammaṃ, tathā pavatto cittuppādo . Evañca katvā ‘‘tapparāyaṇatākārapavatto cittuppādo’’ti idañca vacanaṃ samatthitaṃ hoti. Saddhāpubbaṅgamasammādiṭṭhiggahaṇaṃ pana cittuppādassa tappadhānatāyāti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Saddhāpaṭilābho’’ti iminā mātādīhi ussāhitadārakādīnaṃ viya ñāṇavippayuttasaraṇagamanaṃ dasseti, ‘‘sammādiṭṭhī’’ti iminā ñāṇasampayuttasaraṇagamanaṃ.

    ตยิทํ โลกิยํ สรณคมนํฯ อตฺตา สนฺนิยฺยาตียติ อปฺปียติ ปริจฺจชียติ เอเตนาติ อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ, ยถาวุตฺตํ ทิฎฺฐิชุกมฺมํฯ ตํ รตนตฺตยํ ปรายณํ ปฎิสรณํ เอตสฺสาติ ตปฺปรายโณ, ปุคฺคโล, จิตฺตุปฺปาโท วา, ตสฺส ภาโว ตปฺปรายณตา, ยถาวุตฺตทิฎฺฐิชุกมฺมเมวฯ สรณนฺติ อธิปฺปาเยน สิสฺสภาวํ อเนฺตวาสิกภาวํ อุปคจฺฉติ เอเตนาติ สิสฺสภาวูปคมนํฯ สรณคมนาธิปฺปาเยเนว ปณิปตติ เอเตนาติ ปณิปาโตฯ สพฺพตฺถ ยถาวุตฺตทิฎฺฐิชุกมฺมวเสเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อตฺตปริจฺจชนนฺติ สํสารทุกฺขนิตฺถรณตฺถํ อตฺตโน อตฺตภาวสฺส ปริจฺจชนํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ พุทฺธาทีนํเยวาติ อวธารณํ อิตเรสุปิ สรณคมนวิเสเสสุ ยถารหํ วตฺตพฺพํฯ เอวญฺหิ ตทญฺญนิวตฺตนํ กตํ โหติฯ

    Tayidaṃ lokiyaṃ saraṇagamanaṃ. Attā sanniyyātīyati appīyati pariccajīyati etenāti attasanniyyātanaṃ, yathāvuttaṃ diṭṭhijukammaṃ. Taṃ ratanattayaṃ parāyaṇaṃ paṭisaraṇaṃ etassāti tapparāyaṇo, puggalo, cittuppādo vā, tassa bhāvo tapparāyaṇatā, yathāvuttadiṭṭhijukammameva. Saraṇanti adhippāyena sissabhāvaṃ antevāsikabhāvaṃ upagacchati etenāti sissabhāvūpagamanaṃ. Saraṇagamanādhippāyeneva paṇipatati etenāti paṇipāto. Sabbattha yathāvuttadiṭṭhijukammavaseneva attho veditabbo. Attapariccajananti saṃsāradukkhanittharaṇatthaṃ attano attabhāvassa pariccajanaṃ. Esa nayo sesesupi. Buddhādīnaṃyevāti avadhāraṇaṃ itaresupi saraṇagamanavisesesu yathārahaṃ vattabbaṃ. Evañhi tadaññanivattanaṃ kataṃ hoti.

    เอวํ อตฺตสนฺนิยาตนาทีนิ เอเกน ปกาเรน ทเสฺสตฺวา อิทานิ อปเรหิปิ ปกาเรหิ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ เตน ปริยายนฺตเรหิปิ อตฺตสนฺนิยฺยาตนาทิ กตเมว โหติ อตฺถสฺส อภินฺนตฺตาติ ทเสฺสติฯ อาฬวกาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน สาตาคิริเหมวตาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ นนุ เจเต อาฬวกาทโย มเคฺคเนว อาคตสรณคมนา, กถํ เตสํ ตปฺปรายณตาสรณคมนํ วุตฺตนฺติ? มเคฺคนาคตสรณคมเนหิปิ ‘‘โส อหํ วิจริสฺสามิ คามา คาม’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๑.๒๔๖) เตหิ ตปฺปรายณตาการสฺส ปเวทิตตฺตา ตถา วุตฺตํฯ

    Evaṃ attasanniyātanādīni ekena pakārena dassetvā idāni aparehipi pakārehi dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi āraddhaṃ. Tena pariyāyantarehipi attasanniyyātanādi katameva hoti atthassa abhinnattāti dasseti. Āḷavakādīnanti ādi-saddena sātāgirihemavatādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Nanu cete āḷavakādayo maggeneva āgatasaraṇagamanā, kathaṃ tesaṃ tapparāyaṇatāsaraṇagamanaṃ vuttanti? Maggenāgatasaraṇagamanehipi ‘‘so ahaṃ vicarissāmi gāmā gāma’’ntiādinā (saṃ. ni. 1.246) tehi tapparāyaṇatākārassa paveditattā tathā vuttaṃ.

    ญาติ…เป.… วเสนาติ เอตฺถ ญาติวเสน ภยวเสน อาจริยวเสน ทกฺขิเณยฺยวเสนาติ ปเจฺจกํ ‘‘วเสนา’’ติ ปทํ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ ญาติวเสนาติ ญาติภาววเสนฯ เอวํ เสเสสุปิฯ ทกฺขิเณยฺยปณิปาเตนาติ ทกฺขิเณยฺยตาเหตุเกน ปณิปาเตนฯ อิตเรหีติ ญาติภาวาทิวสปฺปวเตฺตหิ ตีหิ ปณิปาเตหิฯ อิตเรหีติอาทินา สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ วนฺทตีติ ปณิปาตสฺส ลกฺขณวจนํฯ เอวรูปนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกํ สนฺธาย วทติฯ สมฺปรายิกญฺหิ นิยฺยานิกํ วา อนุสาสนํ ปจฺจาสีสโนฺต ทกฺขิเณยฺยปณิปาตเมว กโรตีติ อธิปฺปาโยฯ สรณคมนปฺปเภโทติ สรณคมนวิภาโคฯ

    Ñāti…pe… vasenāti ettha ñātivasena bhayavasena ācariyavasena dakkhiṇeyyavasenāti paccekaṃ ‘‘vasenā’’ti padaṃ yojetabbaṃ. Tattha ñātivasenāti ñātibhāvavasena. Evaṃ sesesupi. Dakkhiṇeyyapaṇipātenāti dakkhiṇeyyatāhetukena paṇipātena. Itarehīti ñātibhāvādivasappavattehi tīhi paṇipātehi. Itarehītiādinā saṅkhepato vuttamatthaṃ vitthārato dassetuṃ ‘‘tasmā’’tiādi vuttaṃ. Vandatīti paṇipātassa lakkhaṇavacanaṃ. Evarūpanti diṭṭhadhammikaṃ sandhāya vadati. Samparāyikañhi niyyānikaṃ vā anusāsanaṃ paccāsīsanto dakkhiṇeyyapaṇipātameva karotīti adhippāyo. Saraṇagamanappabhedoti saraṇagamanavibhāgo.

    อริยมโคฺคเยว โลกุตฺตรสรณคมนนฺติ อาห ‘‘จตฺตาริ สามญฺญผลานิ วิปากผล’’นฺติฯ สพฺพทุกฺขกฺขโยติ สกลสฺส วฎฺฎทุกฺขสฺส อนุปฺปาทนิโรโธฯ เอตนฺติ ‘‘จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสตี’’ติ (ธ. ป. ๑๙๐) เอวํ วุตฺตํ อริยสจฺจทสฺสนํฯ

    Ariyamaggoyeva lokuttarasaraṇagamananti āha ‘‘cattāri sāmaññaphalāni vipākaphala’’nti. Sabbadukkhakkhayoti sakalassa vaṭṭadukkhassa anuppādanirodho. Etanti ‘‘cattāri ariyasaccāni, sammappaññāya passatī’’ti (dha. pa. 190) evaṃ vuttaṃ ariyasaccadassanaṃ.

    นิจฺจโต อนุปคมนาทิวเสนาติ นิจฺจนฺติ อคฺคหณาทิวเสนฯ อฎฺฐานนฺติ เหตุปฎิเกฺขโปฯ อนวกาโสติ ปจฺจยปฎิเกฺขโปฯ อุภเยนปิ การณเมว ปฎิกฺขิปติฯ นฺติ เยน การเณนฯ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺนติ มคฺคทิฎฺฐิยา สมฺปโนฺน โสตาปโนฺนฯ กญฺจิ สงฺขารนฺติ จตุภูมเกสุ สงฺขตสงฺขาเรสุ เอกสงฺขารมฺปิฯ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺยาติ ‘‘นิโจฺจ’’ติ คเณฺหยฺยฯ สุขโต อุปคเจฺฉยฺยาติ ‘‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา’’ติ (ที. นิ. ๑.๗๖) เอวํ อตฺตทิฎฺฐิวเสน สุขโต คาหํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตจิเตฺตน ปน อริยสาวโก ปริฬาหวูปสมนตฺถํ มตฺตหตฺถิปริตฺตาสิโต วิย โจกฺขพฺราหฺมโณ อุกฺการภูมิํ กญฺจิ สงฺขารํ สุขโต อุปคจฺฉติฯ อตฺตวาเร กสิณาทิปญฺญตฺติสงฺคหณตฺถํ ‘‘สงฺขาร’’นฺติ อวตฺวา ‘‘กญฺจิ ธมฺม’’นฺติ วุตฺตํฯ อิเมสุปิ วาเรสุ จตุภูมกวเสเนว ปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพ เตภูมกวเสเนว วาฯ ยํ ยญฺหิ ปุถุชฺชโน คาหวเสน คณฺหาติ, ตโต ตโต อริยสาวโก คาหํ วินิเวเฐติฯ มาตรนฺติอาทีสุ ชนิกา มาตา, ชนโก ปิตา, มนุสฺสภูโต ขีณาสโว อรหาติ อธิเปฺปโตฯ กิํ ปน อริยสาวโก อญฺญํ ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ? เอตมฺปิ อฎฺฐานํ, ปุถุชฺชนภาวสฺส ปน มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถํ อริยสาวกสฺส ผลทีปนตฺถเญฺจวํ วุตฺตํฯ ทุฎฺฐจิโตฺต วธกจิเตฺตน ปทุฎฺฐจิโตฺตฯ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยาติ ชีวมานกสรีเร ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยฯ สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ สมานสํวาสกํ สมานสีมายํ ฐิตํ สงฺฆํ ‘กเมฺมน อุเทฺทเสน โวหรโนฺต อนุสฺสาวเนน สลากคฺคาเหนา’’ติ (ปริ. ๔๕๘) เอวํ วุเตฺตหิ ปญฺจหิ การเณหิ ภิเนฺทยฺย ฯ อญฺญํ สตฺถารนฺติ อญฺญํ ติตฺถกรํ ‘‘อยํ เม สตฺถา’’ติ เอวํ คเณฺหยฺยาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ อโตฺถฯ

    Niccato anupagamanādivasenāti niccanti aggahaṇādivasena. Aṭṭhānanti hetupaṭikkhepo. Anavakāsoti paccayapaṭikkhepo. Ubhayenapi kāraṇameva paṭikkhipati. Yanti yena kāraṇena. Diṭṭhisampannoti maggadiṭṭhiyā sampanno sotāpanno. Kañci saṅkhāranti catubhūmakesu saṅkhatasaṅkhāresu ekasaṅkhārampi. Niccato upagaccheyyāti ‘‘nicco’’ti gaṇheyya. Sukhato upagaccheyyāti ‘‘ekantasukhī attā hoti arogo paraṃ maraṇā’’ti (dī. ni. 1.76) evaṃ attadiṭṭhivasena sukhato gāhaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Diṭṭhivippayuttacittena pana ariyasāvako pariḷāhavūpasamanatthaṃ mattahatthiparittāsito viya cokkhabrāhmaṇo ukkārabhūmiṃ kañci saṅkhāraṃ sukhato upagacchati. Attavāre kasiṇādipaññattisaṅgahaṇatthaṃ ‘‘saṅkhāra’’nti avatvā ‘‘kañci dhamma’’nti vuttaṃ. Imesupi vāresu catubhūmakavaseneva paricchedo veditabbo tebhūmakavaseneva vā. Yaṃ yañhi puthujjano gāhavasena gaṇhāti, tato tato ariyasāvako gāhaṃ viniveṭheti. Mātarantiādīsu janikā mātā, janako pitā, manussabhūto khīṇāsavo arahāti adhippeto. Kiṃ pana ariyasāvako aññaṃ jīvitā voropeyyāti? Etampi aṭṭhānaṃ, puthujjanabhāvassa pana mahāsāvajjabhāvadassanatthaṃ ariyasāvakassa phaladīpanatthañcevaṃ vuttaṃ. Duṭṭhacitto vadhakacittena paduṭṭhacitto. Lohitaṃ uppādeyyāti jīvamānakasarīre khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ uppādeyya. Saṅghaṃ bhindeyyāti samānasaṃvāsakaṃ samānasīmāyaṃ ṭhitaṃ saṅghaṃ ‘kammena uddesena voharanto anussāvanena salākaggāhenā’’ti (pari. 458) evaṃ vuttehi pañcahi kāraṇehi bhindeyya . Aññaṃ satthāranti aññaṃ titthakaraṃ ‘‘ayaṃ me satthā’’ti evaṃ gaṇheyyāti netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti attho.

    น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมินฺติ เต พุทฺธํ สรณํ คตา ตนฺนิมิตฺตํ อปายภูมิํ น คมิสฺสนฺติ, เทวกายํ ปน ปริปูเรสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ

    Na te gamissanti apāyabhūminti te buddhaṃ saraṇaṃ gatā tannimittaṃ apāyabhūmiṃ na gamissanti, devakāyaṃ pana paripūressantīti attho.

    ทสหิ ฐาเนหีติ ทสหิ การเณหิฯ อธิคฺคณฺหนฺตีติ อธิภวนฺติฯ เวลามสุตฺตาทิวเสนาปีติ เอตฺถ ‘‘จตุราสีติสหสฺสสงฺขานํ สุวณฺณปาติรูปิยปาติกํสปาตีนํ ยถากฺกมํ รูปิยสุวณฺณหิรญฺญปูรานํ กรีสสฺส จตุตฺถภาวปฺปมาณานํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตานํ จตุราสีติยา หตฺถิสหสฺสานํ จตุราสีติยา อสฺสสหสฺสานํ จตุราสีติยา รถสหสฺสานํ จตุราสีติยา เธนุสหสฺสานํ จตุราสีติยา กญฺญาสหสฺสานํ จตุราสีติยา ปลฺลงฺกสหสฺสานํ จตุราสีติยา วตฺถโกฎิสหสฺสานํ อปริมาณสฺส จ ขชฺชโภชฺชาทิเภทสฺส อาหารสฺส ปริจฺจชนวเสน สตฺตมาสาธิกานิ สตฺต สํวจฺฉรานิ นิรนฺตรํ ปวตฺตเวลามมหาทานโต เอกสฺส โสตาปนฺนสฺส ทินฺนทานํ มหปฺผลตรํ, ตโต สตํ โสตาปนฺนานํ ทินฺนทานโต เอกสฺส สกทาคามิสฺส, ตโต เอกสฺส อนาคามิสฺส, ตโต เอกสฺส อรหโต, ตโต เอกสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส, ตโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, ตโต พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ทินฺนทานํ มหปฺผลตรํ, ตโต จาตุทฺทิสํ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส วิหารกรณํ, ตโต สรณคมนํ มหปฺผลตร’’นฺติ อิมมตฺถํ ทีเปนฺตสฺส เวลามสุตฺตสฺส (อ. นิ. ๙.๒๐) วเสนฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยํ คหปติ, เวลาโม พฺราหฺมโณ ทานํ อทาสิ มหาทานํ, โย เอกํ ทิฎฺฐิสมฺปนฺนํ โภเชยฺย, อิทํ ตโต มหปฺผลตร’’นฺติอาทิ (อ. นิ. ๙.๒๐)ฯ เวลามสุตฺตาทีติ อาทิ-สเทฺทน อคฺคปฺปสาทสุตฺตาทีนํ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Dasahiṭhānehīti dasahi kāraṇehi. Adhiggaṇhantīti adhibhavanti. Velāmasuttādivasenāpīti ettha ‘‘caturāsītisahassasaṅkhānaṃ suvaṇṇapātirūpiyapātikaṃsapātīnaṃ yathākkamaṃ rūpiyasuvaṇṇahiraññapūrānaṃ karīsassa catutthabhāvappamāṇānaṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitānaṃ caturāsītiyā hatthisahassānaṃ caturāsītiyā assasahassānaṃ caturāsītiyā rathasahassānaṃ caturāsītiyā dhenusahassānaṃ caturāsītiyā kaññāsahassānaṃ caturāsītiyā pallaṅkasahassānaṃ caturāsītiyā vatthakoṭisahassānaṃ aparimāṇassa ca khajjabhojjādibhedassa āhārassa pariccajanavasena sattamāsādhikāni satta saṃvaccharāni nirantaraṃ pavattavelāmamahādānato ekassa sotāpannassa dinnadānaṃ mahapphalataraṃ, tato sataṃ sotāpannānaṃ dinnadānato ekassa sakadāgāmissa, tato ekassa anāgāmissa, tato ekassa arahato, tato ekassa paccekabuddhassa, tato sammāsambuddhassa, tato buddhappamukhassa saṅghassa dinnadānaṃ mahapphalataraṃ, tato cātuddisaṃ saṅghaṃ uddissa vihārakaraṇaṃ, tato saraṇagamanaṃ mahapphalatara’’nti imamatthaṃ dīpentassa velāmasuttassa (a. ni. 9.20) vasena. Vuttañhetaṃ ‘‘yaṃ gahapati, velāmo brāhmaṇo dānaṃ adāsi mahādānaṃ, yo ekaṃ diṭṭhisampannaṃ bhojeyya, idaṃ tato mahapphalatara’’ntiādi (a. ni. 9.20). Velāmasuttādīti ādi-saddena aggappasādasuttādīnaṃ (a. ni. 4.34; itivu. 90) saṅgaho daṭṭhabbo.

    อญฺญาณํ วตฺถุตฺตยสฺส คุณานํ อชานนํ ตตฺถ สโมฺมโห, ‘‘พุโทฺธ นุ โข, น นุ โข พุโทฺธ’’ติอาทินา วิจิกิจฺฉา สํสโย, มิจฺฉาญาณํ ตสฺส คุณานํ อคุณภาวปริกปฺปเนน วิปรีตคฺคาโหฯ อาทิ-สเทฺทน อนาทราคารวาทีนํ สงฺคโหฯ น มหาชุติกนฺติ น อุชฺชลํ, อปริสุทฺธํ อปริโยทาตนฺติ อโตฺถฯ น มหาวิปฺผารนฺติ อนุฬารํฯ สาวโชฺชติ ทิฎฺฐิตณฺหาทิวเสน สโทโสฯ โลกิยํ สรณคมนํ สิกฺขาสมาทานํ วิย อคฺคหิตกาลปริเจฺฉทํ ชีวิตปริยนฺตเมว โหติ, ตสฺมา ตสฺส ขนฺธเภเทน เภโทติ อาห ‘‘อนวโชฺช กาลกิริยายา’’ติฯ โสติ อนวโชฺช สรณคมนเภโทฯ สติปิ อนวชฺชเตฺต อิฎฺฐผโลปิ น โหตีติ อาห ‘‘อผโล’’ติฯ

    Aññāṇaṃ vatthuttayassa guṇānaṃ ajānanaṃ tattha sammoho, ‘‘buddho nu kho, na nu kho buddho’’tiādinā vicikicchā saṃsayo,micchāñāṇaṃ tassa guṇānaṃ aguṇabhāvaparikappanena viparītaggāho. Ādi-saddena anādarāgāravādīnaṃ saṅgaho. Na mahājutikanti na ujjalaṃ, aparisuddhaṃ apariyodātanti attho. Na mahāvipphāranti anuḷāraṃ. Sāvajjoti diṭṭhitaṇhādivasena sadoso. Lokiyaṃ saraṇagamanaṃ sikkhāsamādānaṃ viya aggahitakālaparicchedaṃ jīvitapariyantameva hoti, tasmā tassa khandhabhedena bhedoti āha ‘‘anavajjo kālakiriyāyā’’ti. Soti anavajjo saraṇagamanabhedo. Satipi anavajjatte iṭṭhaphalopi na hotīti āha ‘‘aphalo’’ti.

    สรณคมนกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saraṇagamanakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    อุปาสกวิธิกถาวณฺณนา

    Upāsakavidhikathāvaṇṇanā

    โก อุปาสโกติ สรูปปุจฺฉา, ตสฺมา กิํลกฺขโณ อุปาสโกติ วุตฺตํ โหติฯ กสฺมาติ เหตุปุจฺฉาฯ เตน เกน ปวตฺตินิมิเตฺตน อุปาสกสโทฺท ตสฺมิํ ปุคฺคเล นิรุโฬฺหติ ทเสฺสติฯ กิมสฺส สีลนฺติ กีทิสํ อสฺส อุปาสกสฺส สีลํ, กิตฺตเกน สีเลนายํ สีลสมฺปโนฺน นาม โหตีติ อโตฺถฯ โก อาชีโวติ โก อสฺส สมฺมาอาชีโว, โส ปน มิจฺฉาชีวสฺส ปริวชฺชเนน โหตีติ โสปิ วิภชียตีติฯ กา วิปตฺตีติ กา อสฺส สีลสฺส, อาชีวสฺส วา วิปตฺติฯ อนนฺตรสฺส หิ วิธิ วา ปฎิเสโธ วาฯ กา สมฺปตฺตีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ

    Koupāsakoti sarūpapucchā, tasmā kiṃlakkhaṇo upāsakoti vuttaṃ hoti. Kasmāti hetupucchā. Tena kena pavattinimittena upāsakasaddo tasmiṃ puggale niruḷhoti dasseti. Kimassa sīlanti kīdisaṃ assa upāsakassa sīlaṃ, kittakena sīlenāyaṃ sīlasampanno nāma hotīti attho. Ko ājīvoti ko assa sammāājīvo, so pana micchājīvassa parivajjanena hotīti sopi vibhajīyatīti. Kā vipattīti kā assa sīlassa, ājīvassa vā vipatti. Anantarassa hi vidhi vā paṭisedho vā. Kā sampattīti etthāpi eseva nayo.

    โย โกจีติ ขตฺติยาทีสุ โย โกจิฯ เตน สรณคมนเมเวตฺถ การณํ, น ชาติอาทิวิเสโสติ ทเสฺสติฯ อุปาสนโตติ เตเนว สรณคมเนน ตตฺถ จ สกฺกจฺจการิตาย อาทรคารวพหุมานาทิโยเคน ปยิรุปาสนโตฯ เวรมณิโยติ เวรํ วุจฺจติ ปาณาติปาตาทิทุสฺสีลฺยํ, ตสฺส มณนโต หนนโต วินาสนโต เวรมณิโย, ปญฺจ วิรติโย วิรติปฺปธานตฺตา ตสฺส สีลสฺสฯ เตเนวาห ตตฺถ ตตฺถ ‘‘ปฎิวิรโต โหตี’’ติฯ

    Yo kocīti khattiyādīsu yo koci. Tena saraṇagamanamevettha kāraṇaṃ, na jātiādivisesoti dasseti. Upāsanatoti teneva saraṇagamanena tattha ca sakkaccakāritāya ādaragāravabahumānādiyogena payirupāsanato. Veramaṇiyoti veraṃ vuccati pāṇātipātādidussīlyaṃ, tassa maṇanato hananato vināsanato veramaṇiyo, pañca viratiyo viratippadhānattā tassa sīlassa. Tenevāha tattha tattha ‘‘paṭivirato hotī’’ti.

    มิจฺฉาวณิชฺชาติ น สมฺมาวณิชฺชา อยุตฺตวณิชฺชา อสารุปฺปวณิชฺชาฯ ปหายาติ อกรเณเนว ปชหิตฺวาฯ ธเมฺมนาติ ธมฺมโต อนเปเตนฯ เตน อญฺญมฺปิ อธมฺมิกํ ชีวิกํ ปฎิกฺขิปติฯ สเมนาติ อวิสเมนฯ เตน กายวิสมาทิทุจฺจริตํ วเชฺชตฺวา กายสมาทินา สุจริเตน ชีวนํ ทเสฺสติฯ สตฺถวณิชฺชาติ อาวุธภณฺฑํ กตฺวา วา กาเรตฺวา วา ยถากตํ วา ปฎิลภิตฺวา ตสฺส วิกฺกโยฯ สตฺถวณิชฺชาติ มนุสฺสวิกฺกโย ฯ มํสวณิชฺชาติ สูนการาทโย วิย มิคสูกราทิเก โปเสตฺวา มํสํ สมฺปาเทตฺวา วิกฺกโยฯ มชฺชวณิชฺชาติ ยํ กิญฺจิ มชฺชํ โยเชตฺวา ตสฺส วิกฺกโยฯ วิสวณิชฺชาติ วิสํ โยเชตฺวา, วิสํ คเหตฺวา วา ตสฺส วิกฺกโยฯ ตตฺถ สตฺถวณิชฺชา ปโรปโรธนิมิตฺตตาย อกรณียา วุตฺตา, สตฺตวณิชฺชา อภุชิสฺสภาวกรณโต, มํสวิสวณิชฺชา วธเหตุโต, มชฺชวณิชฺชา ปมาทฎฺฐานโตฯ

    Micchāvaṇijjāti na sammāvaṇijjā ayuttavaṇijjā asāruppavaṇijjā. Pahāyāti akaraṇeneva pajahitvā. Dhammenāti dhammato anapetena. Tena aññampi adhammikaṃ jīvikaṃ paṭikkhipati. Samenāti avisamena. Tena kāyavisamādiduccaritaṃ vajjetvā kāyasamādinā sucaritena jīvanaṃ dasseti. Satthavaṇijjāti āvudhabhaṇḍaṃ katvā vā kāretvā vā yathākataṃ vā paṭilabhitvā tassa vikkayo. Satthavaṇijjāti manussavikkayo . Maṃsavaṇijjāti sūnakārādayo viya migasūkarādike posetvā maṃsaṃ sampādetvā vikkayo. Majjavaṇijjāti yaṃ kiñci majjaṃ yojetvā tassa vikkayo. Visavaṇijjāti visaṃ yojetvā, visaṃ gahetvā vā tassa vikkayo. Tattha satthavaṇijjā paroparodhanimittatāya akaraṇīyā vuttā, sattavaṇijjā abhujissabhāvakaraṇato, maṃsavisavaṇijjā vadhahetuto, majjavaṇijjā pamādaṭṭhānato.

    ตเสฺสวาติ ปญฺจเวรมณิลกฺขณสฺส สีลสฺส เจว ปญฺจมิจฺฉาวณิชฺชาลกฺขณสฺส อาชีวสฺส จฯ วิปตฺตีติ เภโท ปโกโป จฯ ยายาติ ยาย ปฎิปตฺติยาฯ จณฺฑาโลติ อุปาสกจณฺฑาโลฯ มลนฺติ อุปาสกมลํฯ ปติกิโฎฺฐติ อุปาสกนิหีโนฯ พุทฺธาทีสุ กมฺมกมฺมผเลสุ จ สทฺธาวิปริยาโย อสฺสทฺธิยํ มิจฺฉาธิโมโกฺขฯ ยถาวุเตฺตน อสฺสทฺธิเยน สมนฺนาคโต อสฺสโทฺธฯ ยถาวุตฺต สีลวิปตฺติ อาชีววิปตฺติวเสน ทุสฺสีโลฯ ‘‘อิมินา ทิฎฺฐาทินา อิทํ นาม มงฺคลํ ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ พาลชนปริกปฺปิตโกตูหลสงฺขาเตน ทิฎฺฐสุตมุตมงฺคเลน สมนฺนาคโต โกตูหลมงฺคลิโกมงฺคลํ ปเจฺจตีติ ทิฎฺฐมงฺคลาทิเภทํ มงฺคลเมว ปตฺติยายติฯ โน กมฺมนฺติ กมฺมสฺสกตํ โน ปตฺติยายติฯ อิโต พหิทฺธาติ อิโต สพฺพญฺญุพุทฺธสาสนโต พหิทฺธา พาหิรกสมเยฯ ทกฺขิเณยฺยํ ปริเยสตีติ ทุปฺปฎิปนฺนํ ทกฺขิณารหสญฺญี คเวสติฯ ปุพฺพการํ กโรตีติ ทานมานนาทิกํ กุสลกิริยํ ปฐมํ กโรติฯ เอตฺถ จ ทกฺขิเณยฺยปริเยสนปุพฺพกาเร เอกํ กตฺวา ปญฺจ ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ

    Tassevāti pañcaveramaṇilakkhaṇassa sīlassa ceva pañcamicchāvaṇijjālakkhaṇassa ājīvassa ca. Vipattīti bhedo pakopo ca. Yāyāti yāya paṭipattiyā. Caṇḍāloti upāsakacaṇḍālo. Malanti upāsakamalaṃ. Patikiṭṭhoti upāsakanihīno. Buddhādīsu kammakammaphalesu ca saddhāvipariyāyo assaddhiyaṃ micchādhimokkho. Yathāvuttena assaddhiyena samannāgato assaddho. Yathāvutta sīlavipatti ājīvavipattivasena dussīlo. ‘‘Iminā diṭṭhādinā idaṃ nāma maṅgalaṃ bhavissatī’’ti evaṃ bālajanaparikappitakotūhalasaṅkhātena diṭṭhasutamutamaṅgalena samannāgato kotūhalamaṅgaliko. Maṅgalaṃ paccetīti diṭṭhamaṅgalādibhedaṃ maṅgalameva pattiyāyati. No kammanti kammassakataṃ no pattiyāyati. Ito bahiddhāti ito sabbaññubuddhasāsanato bahiddhā bāhirakasamaye. Dakkhiṇeyyaṃ pariyesatīti duppaṭipannaṃ dakkhiṇārahasaññī gavesati. Pubbakāraṃ karotīti dānamānanādikaṃ kusalakiriyaṃ paṭhamaṃ karoti. Ettha ca dakkhiṇeyyapariyesanapubbakāre ekaṃ katvā pañca dhammā veditabbā.

    วิปตฺติยํ วุตฺตวิปริยาเยน สมฺปตฺติ ญาตพฺพาฯ อยํ ปน วิเสโส – จตุนฺนมฺปิ ปริสานํ รติชนนเฎฺฐน อุปาสโกว รตนํ อุปาสกรตนํฯ คุณโสภากิตฺติสทฺทสุคนฺธตาหิ อุปาสโกว ปทุมํ อุปาสกปทุมํฯ ตถา อุปาสกปุณฺฑรีโก

    Vipattiyaṃ vuttavipariyāyena sampatti ñātabbā. Ayaṃ pana viseso – catunnampi parisānaṃ ratijananaṭṭhena upāsakova ratanaṃ upāsakaratanaṃ. Guṇasobhākittisaddasugandhatāhi upāsakova padumaṃ upāsakapadumaṃ. Tathā upāsakapuṇḍarīko.

    อาทิมฺหีติ อาทิอเตฺถฯ โกฎิยนฺติ ปริยนฺตโกฎิยํฯ วิหารเคฺคนาติ โอวรกโกฎฺฐาเสน, ‘‘อิมสฺมิํ คเพฺภ วสนฺตานํ อิทํ นาม ปนสผลํ ปาปุณาตี’’ติอาทินา ตํตํวสนฎฺฐานโกฎฺฐาเสนาติ อโตฺถฯ อชฺชตนฺติ อชฺชอิเจฺจว อโตฺถฯ

    Ādimhīti ādiatthe. Koṭiyanti pariyantakoṭiyaṃ. Vihāraggenāti ovarakakoṭṭhāsena, ‘‘imasmiṃ gabbhe vasantānaṃ idaṃ nāma panasaphalaṃ pāpuṇātī’’tiādinā taṃtaṃvasanaṭṭhānakoṭṭhāsenāti attho. Ajjatanti ajjaicceva attho.

    ปาเณหิ อุเปตนฺติ อิมินา ตสฺส สรณคมนสฺส อาปาณโกฎิกตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยาว เม ชีวิตํ ปวตฺตตี’’ติอาทินา วตฺวา ปุน ชีวิเตน ตํ วตฺถุตฺตยํ ปฎิปูเชโนฺต ‘‘สรณคมนํ รกฺขามี’’ติ อุปฺปนฺนํ ตสฺส พฺราหฺมณสฺส อธิปฺปายํ วิภาเวโนฺต ‘‘อหญฺหี’’ติอาทิมาหฯ ปาเณหิ อุเปตนฺติ หิ ยาว เม ปาณา ธรนฺติ, ตาว สรณํ อุเปตํ, อุเปโนฺต จ น วาจามเตฺตน, น เอกวารํ จิตฺตุปฺปาทนมเตฺตน, อถ โข ปาเณ ปริจฺจชิตฺวาปิ ยาวชีวํ อุเปตนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพติฯ

    Pāṇehiupetanti iminā tassa saraṇagamanassa āpāṇakoṭikataṃ dassento ‘‘yāva me jīvitaṃ pavattatī’’tiādinā vatvā puna jīvitena taṃ vatthuttayaṃ paṭipūjento ‘‘saraṇagamanaṃ rakkhāmī’’ti uppannaṃ tassa brāhmaṇassa adhippāyaṃ vibhāvento ‘‘ahañhī’’tiādimāha. Pāṇehi upetanti hi yāva me pāṇā dharanti, tāva saraṇaṃ upetaṃ, upento ca na vācāmattena, na ekavāraṃ cittuppādanamattena, atha kho pāṇe pariccajitvāpi yāvajīvaṃ upetanti evamettha attho veditabboti.

    อุปาสกวิธิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Upāsakavidhikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ภยเภรวสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Bhayabheravasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. ภยเภรวสุตฺตํ • 4. Bhayabheravasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๔. ภยเภรวสุตฺตวณฺณนา • 4. Bhayabheravasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact