Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๓. เภสชฺชาทิกรณวินิจฺฉยกถา
3. Bhesajjādikaraṇavinicchayakathā
๑๕. เภสชฺชกรณปริตฺตปฎิสนฺถาเรสุ ปน เภสชฺชกรเณ ตาว อยํ วินิจฺฉโย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๘๕-๗) – อาคตาคตสฺส ปรชนสฺส เภสชฺชํ น กาตพฺพํ, กโรโนฺต ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ ปญฺจนฺนํ ปน สหธมฺมิกานํ กาตพฺพํ ภิกฺขุสฺส ภิกฺขุนิยา สิกฺขมานาย สามเณรสฺส สามเณริยาติฯ สมสีลสทฺธาปญฺญานญฺหิ เอเตสํ ตีสุ สิกฺขาสุ ยุตฺตานํ เภสชฺชํ อกาตุํ น ลพฺภติฯ กโรเนฺตน จ สเจ เตสํ อตฺถิ, เตสํ สนฺตกํ คเหตฺวา โยเชตฺวา ทาตพฺพํ, สเจ นตฺถิ, อตฺตโน สนฺตกํ กาตพฺพํฯ สเจ อตฺตโนปิ นตฺถิ, ภิกฺขาจารวเตฺตน วา ญาตกปวาริตฎฺฐานโต วา ปริเยสิตพฺพํ, อลภเนฺตน คิลานสฺส อตฺถาย อกตวิญฺญตฺติยาปิ อาหริตฺวา กาตพฺพํฯ
15.Bhesajjakaraṇaparittapaṭisanthāresu pana bhesajjakaraṇe tāva ayaṃ vinicchayo (pārā. aṭṭha. 2.185-7) – āgatāgatassa parajanassa bhesajjaṃ na kātabbaṃ, karonto dukkaṭaṃ āpajjati. Pañcannaṃ pana sahadhammikānaṃ kātabbaṃ bhikkhussa bhikkhuniyā sikkhamānāya sāmaṇerassa sāmaṇeriyāti. Samasīlasaddhāpaññānañhi etesaṃ tīsu sikkhāsu yuttānaṃ bhesajjaṃ akātuṃ na labbhati. Karontena ca sace tesaṃ atthi, tesaṃ santakaṃ gahetvā yojetvā dātabbaṃ, sace natthi, attano santakaṃ kātabbaṃ. Sace attanopi natthi, bhikkhācāravattena vā ñātakapavāritaṭṭhānato vā pariyesitabbaṃ, alabhantena gilānassa atthāya akataviññattiyāpi āharitvā kātabbaṃ.
๑๖. อปเรสมฺปิ ปญฺจนฺนํ กาตุํ วฎฺฎติ มาตุ ปิตุ ตทุปฎฺฐากานํ อตฺตโน เวยฺยาวจฺจกรสฺส ปณฺฑุปลาสสฺส จาติฯ ปณฺฑุปลาโส นาม โย ปพฺพชฺชาเปโกฺข ยาว ปตฺตจีวรํ ปฎิยาทิยติ, ตาว วิหาเร วสติฯ เตสุ สเจ มาตาปิตโร อิสฺสรา โหนฺติ น ปจฺจาสีสนฺติ, อกาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน รเชฺชปิ ฐิตา ปจฺจาสีสนฺติ, อกาตุํ น วฎฺฎติฯ เภสชฺชํ ปจฺจาสีสนฺตานํ เภสชฺชํ ทาตพฺพํ, โยเชตุํ อชานนฺตานํ โยเชตฺวา ทาตพฺพํฯ สเพฺพสํ อตฺถาย สหธมฺมิเกสุ วุตฺตนเยเนว ปริเยสิตพฺพํฯ สเจ ปน มาตรํ วิหารํ อาเนตฺวา ชคฺคติ, สพฺพํ ปริกมฺมํ อนามสเนฺตน กาตพฺพํ, ขาทนียโภชนียํ สหตฺถา ทาตพฺพํฯ ปิตา ปน ยถา สามเณโร, เอวํ สหเตฺถน นฺหาปนสมฺพาหนาทีนิ กตฺวา อุปฎฺฐาตโพฺพฯ เย จ มาตาปิตโร อุปฎฺฐหนฺติ ปฎิชคฺคนฺติ, เตสมฺปิ เอวเมว กาตพฺพํฯ เวยฺยาวจฺจกโร นาม โย เวตนํ คเหตฺวา อรเญฺญ ทารูนิ วา ฉินฺทติ, อญฺญํ วา กิญฺจิ กมฺมํ กโรติ, ตสฺส โรเค อุปฺปเนฺน ยาว ญาตกา น ปสฺสนฺติ, ตาว เภสชฺชํ กาตพฺพํฯ โย ปน ภิกฺขุนิสฺสิตโกว หุตฺวา สพฺพกมฺมานิ กโรติ, ตสฺส เภสชฺชํ กาตพฺพเมวฯ ปณฺฑุปลาเสปิ สามเณเร วิย ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ
16. Aparesampi pañcannaṃ kātuṃ vaṭṭati mātu pitu tadupaṭṭhākānaṃ attano veyyāvaccakarassa paṇḍupalāsassa cāti. Paṇḍupalāso nāma yo pabbajjāpekkho yāva pattacīvaraṃ paṭiyādiyati, tāva vihāre vasati. Tesu sace mātāpitaro issarā honti na paccāsīsanti, akātuṃ vaṭṭati. Sace pana rajjepi ṭhitā paccāsīsanti, akātuṃ na vaṭṭati. Bhesajjaṃ paccāsīsantānaṃ bhesajjaṃ dātabbaṃ, yojetuṃ ajānantānaṃ yojetvā dātabbaṃ. Sabbesaṃ atthāya sahadhammikesu vuttanayeneva pariyesitabbaṃ. Sace pana mātaraṃ vihāraṃ ānetvā jaggati, sabbaṃ parikammaṃ anāmasantena kātabbaṃ, khādanīyabhojanīyaṃ sahatthā dātabbaṃ. Pitā pana yathā sāmaṇero, evaṃ sahatthena nhāpanasambāhanādīni katvā upaṭṭhātabbo. Ye ca mātāpitaro upaṭṭhahanti paṭijagganti, tesampi evameva kātabbaṃ. Veyyāvaccakaro nāma yo vetanaṃ gahetvā araññe dārūni vā chindati, aññaṃ vā kiñci kammaṃ karoti, tassa roge uppanne yāva ñātakā na passanti, tāva bhesajjaṃ kātabbaṃ. Yo pana bhikkhunissitakova hutvā sabbakammāni karoti, tassa bhesajjaṃ kātabbameva. Paṇḍupalāsepi sāmaṇere viya paṭipajjitabbaṃ.
๑๗. อปเรสมฺปิ ทสนฺนํ กาตุํ วฎฺฎติ เชฎฺฐภาตุ กนิฎฺฐภาตุ เชฎฺฐภคินิยา กนิฎฺฐภคินิยา จูฬมาตุยา มหามาตุยา จูฬปิตุโน มหาปิตุโน ปิตุจฺฉาย มาตุลสฺสาติฯ เตสํ ปน สเพฺพสมฺปิ กโรเนฺตน เตสํเยว สนฺตกํ เภสชฺชํ คเหตฺวา เกวลํ โยเชตฺวา ทาตพฺพํฯ สเจ ปน นปฺปโหนฺติ ยาจนฺติ จ ‘‘เทถ โน, ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปฎิทสฺสามา’’ติ, ตาวกาลิกํ ทาตพฺพํฯ สเจปิ น ยาจนฺติ, ‘‘อมฺหากํ เภสชฺชํ อตฺถิ, ตาวกาลิกํ คณฺหถา’’ติ วตฺวา วา ‘‘ยทา เตสํ ภวิสฺสติ, ตทา ทสฺสนฺตี’’ติ อาโภคํ วา กตฺวา ทาตพฺพํฯ สเจ ปฎิเทนฺติ, คเหตพฺพํฯ โน เจ เทนฺติ, น โจเทตพฺพาฯ เอเต ทส ญาตเก ฐเปตฺวา อเญฺญสํ น กาตพฺพํฯ
17. Aparesampi dasannaṃ kātuṃ vaṭṭati jeṭṭhabhātu kaniṭṭhabhātu jeṭṭhabhaginiyā kaniṭṭhabhaginiyā cūḷamātuyā mahāmātuyā cūḷapituno mahāpituno pitucchāya mātulassāti. Tesaṃ pana sabbesampi karontena tesaṃyeva santakaṃ bhesajjaṃ gahetvā kevalaṃ yojetvā dātabbaṃ. Sace pana nappahonti yācanti ca ‘‘detha no, bhante, tumhākaṃ paṭidassāmā’’ti, tāvakālikaṃ dātabbaṃ. Sacepi na yācanti, ‘‘amhākaṃ bhesajjaṃ atthi, tāvakālikaṃ gaṇhathā’’ti vatvā vā ‘‘yadā tesaṃ bhavissati, tadā dassantī’’ti ābhogaṃ vā katvā dātabbaṃ. Sace paṭidenti, gahetabbaṃ. No ce denti, na codetabbā. Ete dasa ñātake ṭhapetvā aññesaṃ na kātabbaṃ.
เอเตสํ ปุตฺตปรมฺปราย ปน ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา, ตาว จตฺตาโร ปจฺจเย อาหราเปนฺตสฺส อกตวิญฺญตฺติ วา เภสชฺชํ กโรนฺตสฺส เวชฺชกมฺมํ วา กุลทูสกาปตฺติ วา น โหติฯ สเจ ภาตุ ชายา, ภคินิยา สามิโก วา คิลาโน โหติ, ญาตกา เจ, เตสมฺปิ วฎฺฎติฯ อญฺญาตกา เจ, ภาตุ จ ภคินิยา จ กตฺวา ทาตพฺพํ ‘‘ตุมฺหากํ ชคฺคนฎฺฐาเน เทถา’’ติฯ อถ วา เตสํ ปุตฺตานํ กตฺวา ทาตพฺพํ ‘‘ตุมฺหากํ มาตาปิตูนํ เทถา’’ติฯ เอเตนุปาเยน สพฺพปเทสุ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Etesaṃ puttaparamparāya pana yāva sattamā kulaparivaṭṭā, tāva cattāro paccaye āharāpentassa akataviññatti vā bhesajjaṃ karontassa vejjakammaṃ vā kuladūsakāpatti vā na hoti. Sace bhātu jāyā, bhaginiyā sāmiko vā gilāno hoti, ñātakā ce, tesampi vaṭṭati. Aññātakā ce, bhātu ca bhaginiyā ca katvā dātabbaṃ ‘‘tumhākaṃ jagganaṭṭhāne dethā’’ti. Atha vā tesaṃ puttānaṃ katvā dātabbaṃ ‘‘tumhākaṃ mātāpitūnaṃ dethā’’ti. Etenupāyena sabbapadesu vinicchayo veditabbo.
เตสํ อตฺถาย จ สามเณเรหิ อรญฺญโต เภสชฺชํ อาหราเปเนฺตน ญาติสามเณเรหิ วา อาหราเปตพฺพํ, อญฺญาตเกหิ อตฺตโน อตฺถาย วา อาหราเปตฺวา ทาตพฺพํฯ เตหิปิ ‘‘อุปชฺฌายสฺส อาหรามา’’ติ วตฺตสีเสน อาหริตพฺพํฯ อุปชฺฌายสฺส มาตาปิตโร คิลานา วิหารํ อาคจฺฉนฺติ, อุปชฺฌาโย จ ทิสาปกฺกโนฺต โหติ, สทฺธิวิหาริเกน อุปชฺฌายสฺส สนฺตกํ เภสชฺชํ ทาตพฺพํฯ โน เจ อตฺถิ, อตฺตโน เภสชฺชํ อุปชฺฌายสฺส ปริจฺจชิตฺวา ทาตพฺพํฯ อตฺตโนปิ อสเนฺต วุตฺตนเยเนว ปริเยสิตฺวา อุปชฺฌายสฺส สนฺตกํ กตฺวา ทาตพฺพํฯ อุปชฺฌาเยนปิ สทฺธิวิหาริกสฺส มาตาปิตูสุ เอวเมว ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ เอเสว นโย อาจริยเนฺตวาสิเกสุปิฯ อโญฺญปิ โย อาคนฺตุโก วา โจโร วา ยุทฺธปราชิโต อิสฺสโร วา ญาตเกหิ ปริจฺจโตฺต กปโณ วา คมิยมนุโสฺส วา คิลาโน หุตฺวา วิหารํ ปวิสติ, สเพฺพสํ อปจฺจาสีสเนฺตน เภสชฺชํ กาตพฺพํฯ
Tesaṃ atthāya ca sāmaṇerehi araññato bhesajjaṃ āharāpentena ñātisāmaṇerehi vā āharāpetabbaṃ, aññātakehi attano atthāya vā āharāpetvā dātabbaṃ. Tehipi ‘‘upajjhāyassa āharāmā’’ti vattasīsena āharitabbaṃ. Upajjhāyassa mātāpitaro gilānā vihāraṃ āgacchanti, upajjhāyo ca disāpakkanto hoti, saddhivihārikena upajjhāyassa santakaṃ bhesajjaṃ dātabbaṃ. No ce atthi, attano bhesajjaṃ upajjhāyassa pariccajitvā dātabbaṃ. Attanopi asante vuttanayeneva pariyesitvā upajjhāyassa santakaṃ katvā dātabbaṃ. Upajjhāyenapi saddhivihārikassa mātāpitūsu evameva paṭipajjitabbaṃ. Eseva nayo ācariyantevāsikesupi. Aññopi yo āgantuko vā coro vā yuddhaparājito issaro vā ñātakehi pariccatto kapaṇo vā gamiyamanusso vā gilāno hutvā vihāraṃ pavisati, sabbesaṃ apaccāsīsantena bhesajjaṃ kātabbaṃ.
๑๘. สทฺธํ กุลํ โหติ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐายกํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส มาตาปิตุฎฺฐานิยํ, ตตฺร เจ โกจิ คิลาโน โหติ, ตสฺสตฺถาย วิสฺสาเสน ‘‘เภสชฺชํ กตฺวา ภเนฺต เทถา’’ติ วทนฺติ, เนว ทาตพฺพํ น กาตพฺพํฯ อถ ปน กปฺปิยํ ญตฺวา เอวํ ปุจฺฉนฺติ ‘‘ภเนฺต, อสุกสฺส นาม โรคสฺส กิํ เภสชฺชํ กโรนฺตี’’ติ, ‘‘อิทญฺจิทญฺจ คเหตฺวา กโรนฺตี’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ มาตา คิลานา, เภสชฺชํ ตาว อาจิกฺขถา’’ติ เอวํ ปุจฺฉิเต ปน น อาจิกฺขิตพฺพํ, อญฺญมญฺญํ ปน กถา กาตพฺพา ‘‘อาวุโส, อสุกสฺส นาม ภิกฺขุโน อิมสฺมิํ โรเค กิํ เภสชฺชํ กริํสู’’ติฯ อิทญฺจิทญฺจ เภสชฺชํ ภเนฺตติฯ ตํ สุตฺวา อิตโร มาตุ เภสชฺชํ กโรติ, วฎฺฎติฯ มหาปทุมเตฺถโร กิร วสภรโญฺญปิ เทวิยา โรเค อุปฺปเนฺน เอกาย อิตฺถิยา อาคนฺตฺวา ปุจฺฉิโต ‘‘น ชานามี’’ติ อวตฺวา เอวเมว ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สมุลฺลเปสิฯ ตํ สุตฺวา ตสฺสา เภสชฺชมกํสุฯ วูปสเนฺต จ โรเค ติจีวเรน ตีหิ จ กหาปณสเตหิ สทฺธิํ เภสชฺชจโงฺกฎกํ ปูเรตฺวา อาหริตฺวา เถรสฺส ปาทมูเล ฐเปตฺวา ‘‘ภเนฺต, ปุปฺผปูชํ กโรถา’’ติ อาหํสุฯ เถโร ‘‘อาจริยภาโค นาม อย’’นฺติ กปฺปิยวเสน คาหาเปตฺวา ปุปฺผปูชมกาสิฯ เอวํ ตาว เภสเชฺช ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ
18. Saddhaṃ kulaṃ hoti catūhi paccayehi upaṭṭhāyakaṃ bhikkhusaṅghassa mātāpituṭṭhāniyaṃ, tatra ce koci gilāno hoti, tassatthāya vissāsena ‘‘bhesajjaṃ katvā bhante dethā’’ti vadanti, neva dātabbaṃ na kātabbaṃ. Atha pana kappiyaṃ ñatvā evaṃ pucchanti ‘‘bhante, asukassa nāma rogassa kiṃ bhesajjaṃ karontī’’ti, ‘‘idañcidañca gahetvā karontī’’ti vattuṃ vaṭṭati. ‘‘Bhante, mayhaṃ mātā gilānā, bhesajjaṃ tāva ācikkhathā’’ti evaṃ pucchite pana na ācikkhitabbaṃ, aññamaññaṃ pana kathā kātabbā ‘‘āvuso, asukassa nāma bhikkhuno imasmiṃ roge kiṃ bhesajjaṃ kariṃsū’’ti. Idañcidañca bhesajjaṃ bhanteti. Taṃ sutvā itaro mātu bhesajjaṃ karoti, vaṭṭati. Mahāpadumatthero kira vasabharaññopi deviyā roge uppanne ekāya itthiyā āgantvā pucchito ‘‘na jānāmī’’ti avatvā evameva bhikkhūhi saddhiṃ samullapesi. Taṃ sutvā tassā bhesajjamakaṃsu. Vūpasante ca roge ticīvarena tīhi ca kahāpaṇasatehi saddhiṃ bhesajjacaṅkoṭakaṃ pūretvā āharitvā therassa pādamūle ṭhapetvā ‘‘bhante, pupphapūjaṃ karothā’’ti āhaṃsu. Thero ‘‘ācariyabhāgo nāma aya’’nti kappiyavasena gāhāpetvā pupphapūjamakāsi. Evaṃ tāva bhesajje paṭipajjitabbaṃ.
๑๙. ปริเตฺต ปน ‘‘คิลานสฺส ปริตฺตํ กโรถ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต น กาตพฺพํ, ‘‘ปริตฺตํ ภณถา’’ติ วุเตฺต ปน ภณิตพฺพํฯ สเจปิสฺส เอวํ โหติ ‘‘มนุสฺสา นาม น ชานนฺติ, อกริยมาเน วิปฺปฎิสาริโน ภวิสฺสนฺตี’’ติ, กาตพฺพํฯ ‘‘ปริโตฺตทกํ ปริตฺตสุตฺตํ กตฺวา เทถา’’ติ วุเตฺต ปน เตสํเยว อุทกํ หเตฺถน จาเลตฺวา สุตฺตํ ปริมชฺชิตฺวา ทาตพฺพํฯ สเจ วิหารโต อุทกํ อตฺตโน สนฺตกํ วา สุตฺตํ เทติ, ทุกฺกฎํฯ มนุสฺสา อุทกญฺจ สุตฺตญฺจ คเหตฺวา นิสีทิตฺวา ‘‘ปริตฺตํ ภณถา’’ติ วทนฺติ, กาตพฺพํฯ โน เจ ชานนฺติ, อาจิกฺขิตพฺพํฯ ภิกฺขูนํ นิสินฺนานํ ปาเทสุ อุทกํ อากิริตฺวา สุตฺตญฺจ ฐเปตฺวา คจฺฉนฺติ ‘‘ปริตฺตํ กโรถ, ปริตฺตํ ภณถา’’ติ, น ปาทา อปเนตพฺพาฯ มนุสฺสา หิ วิปฺปฎิสาริโน โหนฺติฯ อโนฺตคาเมปิ คิลานสฺส อตฺถาย วิหารํ เปเสนฺติ ‘‘ปริตฺตํ ภณนฺตู’’ติ, ภณิตพฺพํฯ อโนฺตคาเม ราชเคหาทีสุ โรเค วา อุปทฺทเว วา อุปฺปเนฺน ปโกฺกสาเปตฺวา ภณาเปนฺติ, อาฎานาฎิยสุตฺตาทีนิ ภณิตพฺพานิฯ ‘‘อาคนฺตฺวา คิลานสฺส สิกฺขาปทานิ เทนฺตุ, ธมฺมํ กเถนฺตุ, ราชเนฺตปุเร วา อมจฺจเคเห วา อาคนฺตฺวา สิกฺขาปทานิ เทนฺตุ, ธมฺมํ กเถนฺตู’’ติ เปสิเตปิ คนฺตฺวา สิกฺขาปทานิ ทาตพฺพานิ, ธโมฺม กเถตโพฺพฯ ‘‘มตานํ ปริวารตฺถํ อาคจฺฉนฺตู’’ติ ปโกฺกสนฺติ, น คนฺตพฺพํฯ ‘‘สีวถิกทสฺสเน อสุภทสฺสเน จ มรณสฺสติํ ปฎิลภิสฺสามา’’ติ กมฺมฎฺฐานสีเสน คนฺตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ปหาเรทิเนฺน มเตปิ อมรณาธิปฺปายสฺส อนาปตฺติ วุตฺตา’’ติ น เอตฺตเกเนว อมนุสฺสคหิตสฺส ปหาโร ทาตโพฺพ , ตาลปณฺณํ ปน ปริตฺตสุตฺตํ วา หเตฺถ วา ปาเท วา พนฺธิตพฺพํ, รตนสุตฺตาทีนิ ปริตฺตานิ ภณิตพฺพานิ, ‘‘มา สีลวนฺตํ ภิกฺขุํ วิเหเฐหี’’ติ ธมฺมกถา กาตพฺพา, อาฎานาฎิยปริตฺตํ วา ภณิตพฺพํฯ
19.Paritte pana ‘‘gilānassa parittaṃ karotha, bhante’’ti vutte na kātabbaṃ, ‘‘parittaṃ bhaṇathā’’ti vutte pana bhaṇitabbaṃ. Sacepissa evaṃ hoti ‘‘manussā nāma na jānanti, akariyamāne vippaṭisārino bhavissantī’’ti, kātabbaṃ. ‘‘Parittodakaṃ parittasuttaṃ katvā dethā’’ti vutte pana tesaṃyeva udakaṃ hatthena cāletvā suttaṃ parimajjitvā dātabbaṃ. Sace vihārato udakaṃ attano santakaṃ vā suttaṃ deti, dukkaṭaṃ. Manussā udakañca suttañca gahetvā nisīditvā ‘‘parittaṃ bhaṇathā’’ti vadanti, kātabbaṃ. No ce jānanti, ācikkhitabbaṃ. Bhikkhūnaṃ nisinnānaṃ pādesu udakaṃ ākiritvā suttañca ṭhapetvā gacchanti ‘‘parittaṃ karotha, parittaṃ bhaṇathā’’ti, na pādā apanetabbā. Manussā hi vippaṭisārino honti. Antogāmepi gilānassa atthāya vihāraṃ pesenti ‘‘parittaṃ bhaṇantū’’ti, bhaṇitabbaṃ. Antogāme rājagehādīsu roge vā upaddave vā uppanne pakkosāpetvā bhaṇāpenti, āṭānāṭiyasuttādīni bhaṇitabbāni. ‘‘Āgantvā gilānassa sikkhāpadāni dentu, dhammaṃ kathentu, rājantepure vā amaccagehe vā āgantvā sikkhāpadāni dentu, dhammaṃ kathentū’’ti pesitepi gantvā sikkhāpadāni dātabbāni, dhammo kathetabbo. ‘‘Matānaṃ parivāratthaṃ āgacchantū’’ti pakkosanti, na gantabbaṃ. ‘‘Sīvathikadassane asubhadassane ca maraṇassatiṃ paṭilabhissāmā’’ti kammaṭṭhānasīsena gantuṃ vaṭṭati. ‘‘Pahāredinne matepi amaraṇādhippāyassa anāpatti vuttā’’ti na ettakeneva amanussagahitassa pahāro dātabbo , tālapaṇṇaṃ pana parittasuttaṃ vā hatthe vā pāde vā bandhitabbaṃ, ratanasuttādīni parittāni bhaṇitabbāni, ‘‘mā sīlavantaṃ bhikkhuṃ viheṭhehī’’ti dhammakathā kātabbā, āṭānāṭiyaparittaṃ vā bhaṇitabbaṃ.
อิธ ปน อาฎานาฎิยปริตฺตสฺส ปริกมฺมํ เวทิตพฺพํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๒๘๒)ฯ ปฐมเมว หิ อาฎานาฎิยสุตฺตํ น ภณิตพฺพํ, เมตฺตสุตฺตํ (ขุ. ปา. ๙.๑ อาทโย; สุ. นิ. ๑๔๓ อาทโย) ธชคฺคสุตฺตํ (สํ. นิ. ๑.๒๔๙) รตนสุตฺตนฺติ (ขุ. ปา. ๖.๑ อาทโย; สุ. นิ. ๒๒๔ อาทโย) อิมานิ สตฺตาหํ ภณิตพฺพานิฯ สเจ มุญฺจติ, สุนฺทรํฯ โน เจ มุญฺจติ, อาฎานาฎิยสุตฺตํ ภณิตพฺพํฯ ตํ ภณเนฺตน จ ภิกฺขุนา ปิฎฺฐํ วา มํสํ วา น ขาทิตพฺพํ, สุสาเน น วสิตพฺพํฯ กสฺมา? อมนุสฺสา โอตารํ ลภนฺติฯ ปริตฺตกรณฎฺฐานํ หริตูปลิตฺตํ กาเรตฺวา ตตฺถ ปริสุทฺธํ อาสนํ ปญฺญเปตฺวา นิสีทิตพฺพํฯ ปริตฺตการโก ภิกฺขุ วิหารโต ฆรํ เนเนฺตหิ ผลกาวุเธหิ ปริวาเรตฺวา เนตโพฺพฯ อโพฺภกาเส นิสีทิตฺวา น วตฺตพฺพํ, ทฺวารวาตปานานิ ปิทหิตฺวา นิสิเนฺนน อาวุธหเตฺถหิ สมฺปริวาริเตน เมตฺตจิตฺตํ ปุเรจาริกํ กตฺวา วตฺตพฺพํ, ปฐมํ สิกฺขาปทานิ คาหาเปตฺวา สีเล ปติฎฺฐิตสฺส ปริตฺตํ กาตพฺพํฯ เอวมฺปิ โมเจตุํ อสโกฺกเนฺตน วิหารํ เนตฺวา เจติยงฺคเณ นิปชฺชาเปตฺวา อาสนปูชํ กาเรตฺวา ทีเป ชาลาเปตฺวา เจติยงฺคณํ สมฺมชฺชิตฺวา มงฺคลกถา วตฺตพฺพา, สพฺพสนฺนิปาโต โฆเสตโพฺพ, วิหารสฺส อุปวเน เชฎฺฐกรุโกฺข นาม โหติ, ตตฺถ ‘‘ภิกฺขุสโงฺฆ ตุมฺหากํ อาคมนํ ปติมาเนตี’’ติ ปหิณิตพฺพํฯ สพฺพสนฺนิปาตฎฺฐาเน อนาคนฺตุํ นาม น ลภติ, ตโต อมนุสฺสคหิตโก ‘‘ตฺวํ โกนาโมสี’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพ, นาเม กถิเต นาเมเนว อาลปิตโพฺพ, ‘‘อิตฺถนฺนาม ตุยฺหํ มาลาคนฺธาทีสุ ปตฺติ, อาสนปูชายํ ปตฺติ, ปิณฺฑปาเต ปตฺติ, ภิกฺขุสเงฺฆน ตุยฺหํ ปณฺณาการตฺถาย มหามงฺคลกถา วุตฺตา, ภิกฺขุสเงฺฆ คารเวน เอตํ มุญฺจาหี’’ติ โมเจตโพฺพฯ สเจ น มุญฺจติ, เทวตานํ อาโรเจตพฺพํ ‘‘ตุเมฺห ชานาถ, อยํ อมนุโสฺส อมฺหากํ วจนํ น กโรติ, มยํ พุทฺธอาณํ กริสฺสามา’’ติ ปริตฺตํ กาตพฺพํฯ เอตํ ตาว คิหีนํ ปริกมฺมํฯ สเจ ปน ภิกฺขุ อมนุเสฺสน คหิโต โหติ, อาสนานิ โธวิตฺวา สพฺพสนฺนิปาตํ โฆสาเปตฺวา คนฺธมาลาทีสุ ปตฺติํ ทตฺวา ปริตฺตํ ภณิตพฺพํ, อิทํ ภิกฺขูนํ ปริกมฺมํฯ เอวํ ปริเตฺต ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ
Idha pana āṭānāṭiyaparittassa parikammaṃ veditabbaṃ (dī. ni. aṭṭha. 3.282). Paṭhamameva hi āṭānāṭiyasuttaṃ na bhaṇitabbaṃ, mettasuttaṃ (khu. pā. 9.1 ādayo; su. ni. 143 ādayo) dhajaggasuttaṃ (saṃ. ni. 1.249) ratanasuttanti (khu. pā. 6.1 ādayo; su. ni. 224 ādayo) imāni sattāhaṃ bhaṇitabbāni. Sace muñcati, sundaraṃ. No ce muñcati, āṭānāṭiyasuttaṃ bhaṇitabbaṃ. Taṃ bhaṇantena ca bhikkhunā piṭṭhaṃ vā maṃsaṃ vā na khāditabbaṃ, susāne na vasitabbaṃ. Kasmā? Amanussā otāraṃ labhanti. Parittakaraṇaṭṭhānaṃ haritūpalittaṃ kāretvā tattha parisuddhaṃ āsanaṃ paññapetvā nisīditabbaṃ. Parittakārako bhikkhu vihārato gharaṃ nentehi phalakāvudhehi parivāretvā netabbo. Abbhokāse nisīditvā na vattabbaṃ, dvāravātapānāni pidahitvā nisinnena āvudhahatthehi samparivāritena mettacittaṃ purecārikaṃ katvā vattabbaṃ, paṭhamaṃ sikkhāpadāni gāhāpetvā sīle patiṭṭhitassa parittaṃ kātabbaṃ. Evampi mocetuṃ asakkontena vihāraṃ netvā cetiyaṅgaṇe nipajjāpetvā āsanapūjaṃ kāretvā dīpe jālāpetvā cetiyaṅgaṇaṃ sammajjitvā maṅgalakathā vattabbā, sabbasannipāto ghosetabbo, vihārassa upavane jeṭṭhakarukkho nāma hoti, tattha ‘‘bhikkhusaṅgho tumhākaṃ āgamanaṃ patimānetī’’ti pahiṇitabbaṃ. Sabbasannipātaṭṭhāne anāgantuṃ nāma na labhati, tato amanussagahitako ‘‘tvaṃ konāmosī’’ti pucchitabbo, nāme kathite nāmeneva ālapitabbo, ‘‘itthannāma tuyhaṃ mālāgandhādīsu patti, āsanapūjāyaṃ patti, piṇḍapāte patti, bhikkhusaṅghena tuyhaṃ paṇṇākāratthāya mahāmaṅgalakathā vuttā, bhikkhusaṅghe gāravena etaṃ muñcāhī’’ti mocetabbo. Sace na muñcati, devatānaṃ ārocetabbaṃ ‘‘tumhe jānātha, ayaṃ amanusso amhākaṃ vacanaṃ na karoti, mayaṃ buddhaāṇaṃ karissāmā’’ti parittaṃ kātabbaṃ. Etaṃ tāva gihīnaṃ parikammaṃ. Sace pana bhikkhu amanussena gahito hoti, āsanāni dhovitvā sabbasannipātaṃ ghosāpetvā gandhamālādīsu pattiṃ datvā parittaṃ bhaṇitabbaṃ, idaṃ bhikkhūnaṃ parikammaṃ. Evaṃ paritte paṭipajjitabbaṃ.
๒๐. ปฎิสนฺถาเร ปน อยํ วินิจฺฉโย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๘๕-๗) – อนามฎฺฐปิณฺฑปาโต กสฺส ทาตโพฺพ, กสฺส น ทาตโพฺพ? มาตาปิตูนํ ตาว ทาตโพฺพฯ สเจปิ กหาปณคฺฆนโก โหติ, สทฺธาเทยฺยวินิปาตนํ นตฺถิฯ มาตาปิตุอุปฎฺฐากานํ เวยฺยาวจฺจกรสฺส ปณฺฑุปลาสสฺส จาติ เอเตสมฺปิ ทาตโพฺพฯ ตตฺถ ปณฺฑุปลาสสฺส ถาลเก ปกฺขิปิตฺวาปิ ทาตุํ วฎฺฎติ, ตํ ฐเปตฺวา อเญฺญสํ อคาริกานํ มาตาปิตูนมฺปิ น วฎฺฎติฯ ปพฺพชิตปริโภโค หิ อคาริกานํ เจติยฎฺฐานิโยฯ อปิจ อนามฎฺฐปิณฺฑปาโถ นาเมส สมฺปตฺตสฺส ทามริกโจรสฺสปิ อิสฺสริยสฺสปิ ทาตโพฺพฯ กสฺมา? เต หิ อทียมาเนปิ ‘‘น เทนฺตี’’ติ อามสิตฺวา ทียมาเนปิ ‘‘อุจฺฉิฎฺฐกํ เทนฺตี’’ติ กุชฺฌนฺติ, กุทฺธา ชีวิตาปิ โวโรเปนฺติ, สาสนสฺสปิ อนฺตรายํ กโรนฺติฯ รชฺชํ ปตฺถยมานสฺส วิจรโต โจรนาคสฺส วตฺถุ เจตฺถ กเถตพฺพํฯ เอวํ อนามฎฺฐปิณฺฑปาเต ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ
20.Paṭisanthāre pana ayaṃ vinicchayo (pārā. aṭṭha. 2.185-7) – anāmaṭṭhapiṇḍapāto kassa dātabbo, kassa na dātabbo? Mātāpitūnaṃ tāva dātabbo. Sacepi kahāpaṇagghanako hoti, saddhādeyyavinipātanaṃ natthi. Mātāpituupaṭṭhākānaṃ veyyāvaccakarassa paṇḍupalāsassa cāti etesampi dātabbo. Tattha paṇḍupalāsassa thālake pakkhipitvāpi dātuṃ vaṭṭati, taṃ ṭhapetvā aññesaṃ agārikānaṃ mātāpitūnampi na vaṭṭati. Pabbajitaparibhogo hi agārikānaṃ cetiyaṭṭhāniyo. Apica anāmaṭṭhapiṇḍapātho nāmesa sampattassa dāmarikacorassapi issariyassapi dātabbo. Kasmā? Te hi adīyamānepi ‘‘na dentī’’ti āmasitvā dīyamānepi ‘‘ucchiṭṭhakaṃ dentī’’ti kujjhanti, kuddhā jīvitāpi voropenti, sāsanassapi antarāyaṃ karonti. Rajjaṃ patthayamānassa vicarato coranāgassa vatthu cettha kathetabbaṃ. Evaṃ anāmaṭṭhapiṇḍapāte paṭipajjitabbaṃ.
ปฎิสนฺถาโร จ นามายํ กสฺส กาตโพฺพ, กสฺส น กาตโพฺพ? ปฎิสนฺถาโร นาม วิหารํ สมฺปตฺตสฺส ยสฺส กสฺสจิ อาคนฺตุกสฺส วา ทลิทฺทสฺส วา โจรสฺส วา อิสฺสรสฺส วา กาตโพฺพเยวฯ กถํ? อาคนฺตุกํ ตาว ขีณปริพฺพยํ วิหารํ สมฺปตฺตํ ทิสฺวา ‘‘ปานียํ ปิวา’’ติ ทาตพฺพํ, ปาทมกฺขนเตลํ ทาตพฺพํ, กาเล อาคตสฺส ยาคุภตฺตํ, วิกาเล อาคตสฺส สเจ ตณฺฑุลา อตฺถิ, ตณฺฑุลา ทาตพฺพาฯ อเวลาย สมฺปโตฺตปิ ‘‘คจฺฉาหี’’ติ น วตฺตโพฺพ, สยนฎฺฐานํ ทาตพฺพํฯ สพฺพํ อปจฺจาสียเนฺตเนว กาตพฺพํฯ ‘‘มนุสฺสา นาม จตุปจฺจยทายกา, เอวํ สงฺคเห กริยมาเน ปุนปฺปุนํ ปสีทิตฺวา อุปการํ กริสฺสนฺตี’’ติ จิตฺตํ น อุปฺปาเทตพฺพํฯ โจรานํ ปน สงฺฆิกมฺปิ ทาตพฺพํฯ ปฎิสนฺถารานิสํสทีปนตฺถญฺจ โจรนาควตฺถุ, ภาตรา สทฺธิํ ชมฺพุทีปคตสฺส มหานาครโญฺญ วตฺถุ, ปิตุราชสฺส รเชฺช จตุนฺนํ อมจฺจานํ วตฺถุ, อภยโจรวตฺถูติ เอวมาทีนิ พหูนิ วตฺถูนิ มหาอฎฺฐกถายํ วิตฺถารโต วุตฺตานิฯ
Paṭisanthāro ca nāmāyaṃ kassa kātabbo, kassa na kātabbo? Paṭisanthāro nāma vihāraṃ sampattassa yassa kassaci āgantukassa vā daliddassa vā corassa vā issarassa vā kātabboyeva. Kathaṃ? Āgantukaṃ tāva khīṇaparibbayaṃ vihāraṃ sampattaṃ disvā ‘‘pānīyaṃ pivā’’ti dātabbaṃ, pādamakkhanatelaṃ dātabbaṃ, kāle āgatassa yāgubhattaṃ, vikāle āgatassa sace taṇḍulā atthi, taṇḍulā dātabbā. Avelāya sampattopi ‘‘gacchāhī’’ti na vattabbo, sayanaṭṭhānaṃ dātabbaṃ. Sabbaṃ apaccāsīyanteneva kātabbaṃ. ‘‘Manussā nāma catupaccayadāyakā, evaṃ saṅgahe kariyamāne punappunaṃ pasīditvā upakāraṃ karissantī’’ti cittaṃ na uppādetabbaṃ. Corānaṃ pana saṅghikampi dātabbaṃ. Paṭisanthārānisaṃsadīpanatthañca coranāgavatthu, bhātarā saddhiṃ jambudīpagatassa mahānāgarañño vatthu, piturājassa rajje catunnaṃ amaccānaṃ vatthu, abhayacoravatthūti evamādīni bahūni vatthūni mahāaṭṭhakathāyaṃ vitthārato vuttāni.
ตตฺรายํ เอกวตฺถุทีปนา – สีหฬทีเป กิร อภโย นาม โจโร ปญฺจสตปริวาโร เอกสฺมิํ ฐาเน ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา สมนฺตา ติโยชนํ อุพฺพาเสตฺวา วสติฯ อนุราธปุรวาสิโน กทมฺพนทิํ น อุตฺตรนฺติ, เจติยคิริมเคฺค ชนสญฺจาโร อุปจฺฉิโนฺนฯ อเถกทิวสํ โจโร ‘‘เจติยคิริํ วิลุมฺปิสฺสามี’’ติ อคมาสิฯ อารามิกา ทิสฺวา ทีฆภาณกอภยเตฺถรสฺส อาโรเจสุํฯ เถโร ‘‘สปฺปิผาณิตาทีนิ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘โจรานํ เทถ’’ฯ ‘‘ตณฺฑุลา อตฺถี’’ติฯ ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต, สงฺฆสฺสตฺถาย อาหฎา ตณฺฑุลา จ ปกฺกสากญฺจ โครโส จา’’ติฯ ‘‘ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา โจรานํ เทถา’’ติฯ อารามิกา ตถา กริํสุฯ โจรา ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ‘‘เกนายํ ปฎิสนฺถาโร กโต’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘อมฺหากํ อเยฺยน อภยเตฺถเรนา’’ติฯ โจรา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อาหํสุ ‘‘มยํ ‘สงฺฆสฺส จ เจติยสฺส จ สนฺตกํ อจฺฉินฺทิตฺวา คเหสฺสามา’ติ อาคตา, ตุมฺหากํ ปน อิมินา ปฎิสนฺถาเรน มยํ ปสนฺนา, อชฺช ปฎฺฐาย วิหาเร ธมฺมิการกฺขา อมฺหากํ อายตฺตา โหตุ, นาครา อาคนฺตฺวา ทานํ เทนฺตุ, เจติยํ วนฺทนฺตู’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย จ นาคเร ทานํ ทาตุํ อาคจฺฉเนฺต นทีตีเรเยว ปจฺจุคฺคนฺตฺวา รกฺขนฺตา วิหารํ เนนฺติ, วิหาเรปิ ทานํ เทนฺตานํ รกฺขํ กตฺวา ติฎฺฐนฺติฯ เตปิ ภิกฺขูนํ ภุตฺตาวเสสํ โจรานํ เทนฺติฯ คมนกาเลปิ เต โจรา นทีตีรํ ปาเปตฺวา นิวตฺตนฺติฯ
Tatrāyaṃ ekavatthudīpanā – sīhaḷadīpe kira abhayo nāma coro pañcasataparivāro ekasmiṃ ṭhāne khandhāvāraṃ bandhitvā samantā tiyojanaṃ ubbāsetvā vasati. Anurādhapuravāsino kadambanadiṃ na uttaranti, cetiyagirimagge janasañcāro upacchinno. Athekadivasaṃ coro ‘‘cetiyagiriṃ vilumpissāmī’’ti agamāsi. Ārāmikā disvā dīghabhāṇakaabhayattherassa ārocesuṃ. Thero ‘‘sappiphāṇitādīni atthī’’ti pucchi. ‘‘Atthi, bhante’’ti. ‘‘Corānaṃ detha’’. ‘‘Taṇḍulā atthī’’ti. ‘‘Atthi, bhante, saṅghassatthāya āhaṭā taṇḍulā ca pakkasākañca goraso cā’’ti. ‘‘Bhattaṃ sampādetvā corānaṃ dethā’’ti. Ārāmikā tathā kariṃsu. Corā bhattaṃ bhuñjitvā ‘‘kenāyaṃ paṭisanthāro kato’’ti pucchiṃsu. ‘‘Amhākaṃ ayyena abhayattherenā’’ti. Corā therassa santikaṃ gantvā vanditvā āhaṃsu ‘‘mayaṃ ‘saṅghassa ca cetiyassa ca santakaṃ acchinditvā gahessāmā’ti āgatā, tumhākaṃ pana iminā paṭisanthārena mayaṃ pasannā, ajja paṭṭhāya vihāre dhammikārakkhā amhākaṃ āyattā hotu, nāgarā āgantvā dānaṃ dentu, cetiyaṃ vandantū’’ti. Tato paṭṭhāya ca nāgare dānaṃ dātuṃ āgacchante nadītīreyeva paccuggantvā rakkhantā vihāraṃ nenti, vihārepi dānaṃ dentānaṃ rakkhaṃ katvā tiṭṭhanti. Tepi bhikkhūnaṃ bhuttāvasesaṃ corānaṃ denti. Gamanakālepi te corā nadītīraṃ pāpetvā nivattanti.
อเถกทิวสํ ภิกฺขุสเงฺฆ ขียนกกถา อุปฺปนฺนา ‘‘เถโร อิสฺสรวตาย สงฺฆสนฺตกํ โจรานํ อทาสี’’ติฯ เถโร สนฺนิปาตํ การาเปตฺวา อาห ‘‘โจรา ‘สงฺฆสฺส ปกติวฎฺฎญฺจ เจติยสนฺตกญฺจ อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหิสฺสามา’ติ อาคมิํสุ, อถ เตสํ มยา ‘เอตํ น หริสฺสนฺตี’ติ เอตฺตโก นาม ปฎิสนฺถาโร กโต, ตํ สพฺพมฺปิ เอกโต สมฺปิเณฺฑตฺวา อคฺฆาเปถ, เตน การเณน อวิลุตฺตํ ภณฺฑํ เอกโต สมฺปิเณฺฑตฺวา อคฺฆาเปถา’’ติฯ ตโต สพฺพมฺปิ เถเรน ทินฺนกํ เจติยฆเร เอกํ วรโปตฺถกจิตฺตตฺถรณํ น อคฺฆติฯ ตโต อาหํสุ ‘‘เถเรน กโต ปฎิสนฺถาโร สุกโต, โจเทตุํ วา สาเรตุํ วา น ลพฺภติ, คีวา วา อวหาโร วา นตฺถี’’ติฯ เอวํ มหานิสํโส ปฎิสนฺถาโรติ สลฺลเกฺขตฺวา กตฺตโพฺพ ปณฺฑิเตน ภิกฺขุนาติฯ
Athekadivasaṃ bhikkhusaṅghe khīyanakakathā uppannā ‘‘thero issaravatāya saṅghasantakaṃ corānaṃ adāsī’’ti. Thero sannipātaṃ kārāpetvā āha ‘‘corā ‘saṅghassa pakativaṭṭañca cetiyasantakañca acchinditvā gaṇhissāmā’ti āgamiṃsu, atha tesaṃ mayā ‘etaṃ na harissantī’ti ettako nāma paṭisanthāro kato, taṃ sabbampi ekato sampiṇḍetvā agghāpetha, tena kāraṇena aviluttaṃ bhaṇḍaṃ ekato sampiṇḍetvā agghāpethā’’ti. Tato sabbampi therena dinnakaṃ cetiyaghare ekaṃ varapotthakacittattharaṇaṃ na agghati. Tato āhaṃsu ‘‘therena kato paṭisanthāro sukato, codetuṃ vā sāretuṃ vā na labbhati, gīvā vā avahāro vā natthī’’ti. Evaṃ mahānisaṃso paṭisanthāroti sallakkhetvā kattabbo paṇḍitena bhikkhunāti.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
เภสชฺชาทิกรณวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Bhesajjādikaraṇavinicchayakathā samattā.