Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā

    ๓. เภสชฺชสิกฺขาปทวณฺณนา

    3. Bhesajjasikkhāpadavaṇṇanā

    ๖๒๐. ‘‘สา อโหสิ สุวณฺณมาลา’’ติ วจนโต ฐเปตฺวา สหธมฺมิเก อเญฺญสํ ยถาสุขํ รูปิยํ ทาตุํ วฎฺฎติ อุคฺคณฺหาเปตุํ, สโพฺยหาราเปภุญฺจาติ อาจริโย, วีมํสิตพฺพํ อิทฺธิมสฺส อิทฺธิวิสยตฺตาฯ

    620. ‘‘Sā ahosi suvaṇṇamālā’’ti vacanato ṭhapetvā sahadhammike aññesaṃ yathāsukhaṃ rūpiyaṃ dātuṃ vaṭṭati uggaṇhāpetuṃ, sabyohārāpebhuñcāti ācariyo, vīmaṃsitabbaṃ iddhimassa iddhivisayattā.

    ๖๒๒. ‘‘เยสํ มํสํ กปฺปตี’’ติ วจเนน เยสํ มํสํ น กปฺปติ, เตสํ สปฺปิอาทิ กิญฺจาปิ น กปฺปติ, น ปน นิสฺสคฺคิยวตฺถูติ เวทิตพฺพํฯ ตถา น ปณีตโภชนวตฺถูติฯ อุคฺคหิตกํ กตฺวา นิกฺขิตฺตนฺติ อโชฺฌหรณตฺถํ นิกฺขิตฺตํฯ อิตรญฺหิ ปฎิคฺคเหตฺวา อโชฺฌหริตุํ วฎฺฎติฯ อุภเยสมฺปีติ ปจฺฉาภตฺตํ ปฎิคฺคหิเตหิ, ปุเรภตฺตํ ปฎิคฺคหิเตหิ จ กตานํฯ ‘‘มํสสฺส อกปฺปิยตฺตา’’ติ การณปติรูปกํ วตฺวาฯ ขาทิํสูติ ‘‘วิกาเล เกวลํ นวนีตเมว ขาทิตุกาเมน ทธิตกฺกคตานิ อปเนตพฺพานิ, ปจิตุกามสฺส สามํปากํ น โหตีติ เถรสฺส อธิปฺปาโย’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ขยํ คมิสฺสตี’’ติ วจนโต ขีรํ ปกฺขิปิตฺวา ปกฺกสปฺปิ วิกาเล กปฺปตีติ สิทฺธํฯ เภสเชฺชหีติ ยาวชีวิกเภสเชฺชหิฯ กตเตลํ ปุเรภตฺตนฺติ อปจิตฺวา กตํ เอวฯ อุโณฺหทเกนาติ ตาปนภาวํ ทีเปตีติ เกจิ, ตํ น สุนฺทรํฯ นิพฺพฎฺฎิตตฺตาติ ปิญฺญากาทิโตฯ ‘‘เตลตฺถาย ปฎิคฺคหิต…เป.… ทุกฺกฎเมวา’’ติ วจนโต อเตลตฺถาย ปฎิคฺคหิเตหิ, สตฺตาหาติกฺกเนฺตหิปิ กตเตลํ กตทิวสโต ปฎฺฐาย สตฺตาหํ วฎฺฎตีติ ฉายา ทิสฺสติ, กรมนฺทํ รุกฺขสาโรติ เกจิฯ

    622. ‘‘Yesaṃ maṃsaṃ kappatī’’ti vacanena yesaṃ maṃsaṃ na kappati, tesaṃ sappiādi kiñcāpi na kappati, na pana nissaggiyavatthūti veditabbaṃ. Tathā na paṇītabhojanavatthūti. Uggahitakaṃ katvā nikkhittanti ajjhoharaṇatthaṃ nikkhittaṃ. Itarañhi paṭiggahetvā ajjhoharituṃ vaṭṭati. Ubhayesampīti pacchābhattaṃ paṭiggahitehi, purebhattaṃ paṭiggahitehi ca katānaṃ. ‘‘Maṃsassa akappiyattā’’ti kāraṇapatirūpakaṃ vatvā. Khādiṃsūti ‘‘vikāle kevalaṃ navanītameva khāditukāmena dadhitakkagatāni apanetabbāni, pacitukāmassa sāmaṃpākaṃ na hotīti therassa adhippāyo’’ti vuttaṃ. ‘‘Khayaṃ gamissatī’’ti vacanato khīraṃ pakkhipitvā pakkasappi vikāle kappatīti siddhaṃ. Bhesajjehīti yāvajīvikabhesajjehi. Katatelaṃ purebhattanti apacitvā kataṃ eva. Uṇhodakenāti tāpanabhāvaṃ dīpetīti keci, taṃ na sundaraṃ. Nibbaṭṭitattāti piññākādito. ‘‘Telatthāya paṭiggahita…pe… dukkaṭamevā’’ti vacanato atelatthāya paṭiggahitehi, sattāhātikkantehipi katatelaṃ katadivasato paṭṭhāya sattāhaṃ vaṭṭatīti chāyā dissati, karamandaṃ rukkhasāroti keci.

    ๖๒๓. อวสกสเฎ ยสฺมา ขีราทีนิ ปกฺขิปิตฺวา เตลํ ปจนฺติ, ตสฺมา กสฎํ น วฎฺฎติ, เตลเมว วฎฺฎติ, เตน วุตฺตํ ‘‘ปกฺกเตลกสเฎ วิย กุกฺกุจฺจายตี’’ติฯ วสาย สทฺธิํ ปกฺกตฺตา น วฎฺฎตีติ เจ? วทถ, ภเนฺต, นวนีเต ทธิคุฬิกาติอาทิสมฺพโนฺธฯ มธุมฺหิ จตฺตาโร กาลิกา ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพา, อุจฺฉุมฺหิ จ, กถํ? สมกฺขิกํ เสฬกํ มธุ ยาวกาลิกํฯ อเนลกํ อุทกสมฺภินฺนํ ยามกาลิกํ, อสมฺภินฺนํ สตฺตาหกาลิกํ, มธุสิฎฺฐํ ปริสุทฺธํ ยาวชีวิกํฯ ตถา อุจฺฉุ วา รโส วา สกสโฎ ยาวกาลิโก, นิกฺกสโฎ อุทกสมฺภิโนฺน ยามกาลิโก, อสมฺภิโนฺน สตฺตาหกาลิโก, สุกฺขกสฎํ ยาวชีวิกนฺติ เวทิตพฺพํฯ กสฺมา? อุทกสเมฺภทวิเสสโตฯ

    623. Avasakasaṭe yasmā khīrādīni pakkhipitvā telaṃ pacanti, tasmā kasaṭaṃ na vaṭṭati, telameva vaṭṭati, tena vuttaṃ ‘‘pakkatelakasaṭe viya kukkuccāyatī’’ti. Vasāya saddhiṃ pakkattā na vaṭṭatīti ce? Vadatha, bhante, navanīte dadhiguḷikātiādisambandho. Madhumhi cattāro kālikā yathāsambhavaṃ yojetabbā, ucchumhi ca, kathaṃ? Samakkhikaṃ seḷakaṃ madhu yāvakālikaṃ. Anelakaṃ udakasambhinnaṃ yāmakālikaṃ, asambhinnaṃ sattāhakālikaṃ, madhusiṭṭhaṃ parisuddhaṃ yāvajīvikaṃ. Tathā ucchu vā raso vā sakasaṭo yāvakāliko, nikkasaṭo udakasambhinno yāmakāliko, asambhinno sattāhakāliko, sukkhakasaṭaṃ yāvajīvikanti veditabbaṃ. Kasmā? Udakasambhedavisesato.

    กิํ วุตฺตํ โหติ? จตูสุ กาลิเกสุ ปุพฺพํ ปุพฺพํ ครุกํ, อปรํ อปรํ ลหุกํฯ เตสุ จายํ อุทกสเมฺภโท ครุกํ ลหุกํ กโรติ, ลหุกญฺจ ครุกํฯ อมฺพรสาทีนิ หิ ยาวกาลิกตฺตา ครุกานิ, อุทกสเมฺภโท ปน ตานิ อมฺพปานาทิสมญฺญํ ทตฺวา ลหุกานิ ยามกาลิกานิ กโรติฯ ‘‘ผาณิตํ นาม อุจฺฉุมฺหา นิพฺพตฺตนฺติ อุจฺฉุรสํ อุปาทายา’’ติ อฎฺฐกถาวจนโต อุจฺฉุรโส สตฺตาหกาลิโกติ สิทฺธํฯ ตตฺถ ‘‘อุทกสเมฺภโท ตํ ยามกาลิกํ กโรตี’’ติอาทิํ พหุํ วตฺวา โยชิตาฯ

    Kiṃ vuttaṃ hoti? Catūsu kālikesu pubbaṃ pubbaṃ garukaṃ, aparaṃ aparaṃ lahukaṃ. Tesu cāyaṃ udakasambhedo garukaṃ lahukaṃ karoti, lahukañca garukaṃ. Ambarasādīni hi yāvakālikattā garukāni, udakasambhedo pana tāni ambapānādisamaññaṃ datvā lahukāni yāmakālikāni karoti. ‘‘Phāṇitaṃ nāma ucchumhā nibbattanti ucchurasaṃ upādāyā’’ti aṭṭhakathāvacanato ucchuraso sattāhakālikoti siddhaṃ. Tattha ‘‘udakasambhedo taṃ yāmakālikaṃ karotī’’tiādiṃ bahuṃ vatvā yojitā.

    อปิเจตฺถ อุจฺฉุรโส ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อุจฺฉุรส’’นฺติ (มหาว. ๓๐๐) อนุญฺญาตตฺตา คุโฬทกํ วิย อุจฺฉุรสสามญฺญโต อุทเกน อสมฺภิโนฺนปิ อคิลานสฺส วฎฺฎติ, เตเนวาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อุจฺฉุรโส นิกสโฎ ปจฺฉาภตฺตํ วฎฺฎตี’’ติ (มหา. อฎฺฐ. ๓๐๐)ฯ อยํ สโพฺพ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ เกจิ ปนาหุ ‘‘ผาณิตํ นาม อุจฺฉุมฺหา นิพฺพตฺต’นฺติ วจนโต, ‘อุจฺฉุรสํ อุปาทายา’ติ อฎฺฐกถาวจนโต จ อุจฺฉุรโส ผาณิตเมว, ตสฺมา คุเฬ วิย ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติฯ เกจิ ‘‘วุตฺตนเยน สตฺตาหกาลิโกว สมาโน ‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อุจฺฉุรส’นฺติ วิสุํ อนุญฺญาตตฺตา อสมฺภิโนฺนปิ อคิลานสฺส วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ‘‘วุตฺตนเยน วิสุํ อนุญฺญาตตฺตา เอว สมฺภิโนฺน วา อสมฺภิโนฺน วา ยามกาลิโกว, คุโฬทกํ ปน สตฺตาหกาลิกเมวา’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ‘‘คุโฬทกํ วิย โส ทุวิโธปิ สตฺตาหกาลิโกเยวา’’ติ วทนฺติฯ

    Apicettha ucchuraso ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ucchurasa’’nti (mahāva. 300) anuññātattā guḷodakaṃ viya ucchurasasāmaññato udakena asambhinnopi agilānassa vaṭṭati, tenevāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ucchuraso nikasaṭo pacchābhattaṃ vaṭṭatī’’ti (mahā. aṭṭha. 300). Ayaṃ sabbo no takkoti ācariyo. Keci panāhu ‘‘phāṇitaṃ nāma ucchumhā nibbatta’nti vacanato, ‘ucchurasaṃ upādāyā’ti aṭṭhakathāvacanato ca ucchuraso phāṇitameva, tasmā guḷe viya paṭipajjitabba’’nti. Keci ‘‘vuttanayena sattāhakālikova samāno ‘anujānāmi, bhikkhave, ucchurasa’nti visuṃ anuññātattā asambhinnopi agilānassa vaṭṭatī’’ti vadanti. Keci ‘‘vuttanayena visuṃ anuññātattā eva sambhinno vā asambhinno vā yāmakālikova, guḷodakaṃ pana sattāhakālikamevā’’ti vadanti. Keci ‘‘guḷodakaṃ viya so duvidhopi sattāhakālikoyevā’’ti vadanti.

    ตตฺถายํ ปฐมาจริยวาเท วิจารณา – ผาณิตานุมติยาเยว อุจฺฉุรสานุมติยา สิทฺธิโต วิสุํ ‘‘อุจฺฉุรส’’นฺติ อุทฺธริตฺวา อนุมติ นิรตฺถิกาติ อาปชฺชติ, ตถา ‘‘อุจฺฉุรโส นิกสโฎ ปจฺฉาภตฺตํ วฎฺฎตี’’ติ อฎฺฐกถาปิ นิรตฺถิกาฯ ‘‘สตฺตาหํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺตพฺพํ สิยาติ, น จ ตถา สกฺกา วตฺตุํฯ ปจฺฉาภตฺตํ วฎฺฎนกรสาธิการตฺตาติ เจ? น, ตสฺมิํ อธิกาเร สตฺตาหกาลิกสฺส อวตฺตพฺพปฺปสงฺคโตฯ กาลเภทํ อนเปกฺขิตฺวา รสาธิกาเร โอติณฺณตฺตา วุโตฺตติ เจ? น สกฺกา ‘‘นิกสโฎ สตฺตาหํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺตุํฯ ปจฺฉาภตฺตํ วฎฺฎนกรสาธิการตฺตา น วตฺตพฺพนฺติ เจ? น, เอวญฺหิ วุเตฺต ตทญฺญรโส วิย อยมฺปิ ปจฺฉาภตฺตเมว วฎฺฎติ, น ตโต ปรนฺติ อาปชฺชติฯ ตโต ปรํ อปริโภคตฺตา ‘‘ปจฺฉาภตฺตํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตนฺติ เจ? น, ยาวกาลิกภาวปฺปสงฺคโตฯ น โส ปสโงฺค อาภิโทสิกสฺสาปิ อุจฺฉุรสสฺส ปาเกน ผาณิตาทิภาวปฺปสงฺคโตฯ อยเมว ตติยจตุตฺถาจริยวาเทสุ วิจารณาฯ ทุติยวาเท วิจารณา วุตฺตา, วิมโทฺท ปเนตฺถ เภสชฺชกฺขนฺธเก (มหาว. ๓๐๐) อาวิ ภวิสฺสติฯ ผาณิตํ นาม อุจฺฉุมฺหา นิพฺพตฺตนฺติ มธุกตาลนาฬิเกรผาณิตาทิโต อุกฺกฎวตฺถุโต นิสฺสคฺคิยวตฺถุผาณิตสฺส วิเสสวจนํ, เตเนตํ ปญฺญายติ ‘‘นิสฺสคฺคิยวตฺถุภูตํ อิธ ผาณิตํ นาม อุจฺฉุมฺหา นิพฺพตฺตเมว, น มธุกาทิโต นิพฺพตฺต’’นฺติฯ เอตฺตาวตา ยํกิญฺจิ อุจฺฉุมฺหา นิพฺพตฺตํ , น ตํ สพฺพํ ผาณิตเมว นามาติ สาธิตํ โหติฯ เตเนว ขนฺธเก ผาณิตํ ปฐมํ อนุชานิตฺวาว ปจฺฉา อุจฺฉุรโส อนุญฺญาโต, ตถา ตเตฺถว คุฬํ, คุโฬทกญฺจฯ

    Tatthāyaṃ paṭhamācariyavāde vicāraṇā – phāṇitānumatiyāyeva ucchurasānumatiyā siddhito visuṃ ‘‘ucchurasa’’nti uddharitvā anumati niratthikāti āpajjati, tathā ‘‘ucchuraso nikasaṭo pacchābhattaṃ vaṭṭatī’’ti aṭṭhakathāpi niratthikā. ‘‘Sattāhaṃ vaṭṭatī’’ti vattabbaṃ siyāti, na ca tathā sakkā vattuṃ. Pacchābhattaṃ vaṭṭanakarasādhikārattāti ce? Na, tasmiṃ adhikāre sattāhakālikassa avattabbappasaṅgato. Kālabhedaṃ anapekkhitvā rasādhikāre otiṇṇattā vuttoti ce? Na sakkā ‘‘nikasaṭo sattāhaṃ vaṭṭatī’’ti vattuṃ. Pacchābhattaṃ vaṭṭanakarasādhikārattā na vattabbanti ce? Na, evañhi vutte tadaññaraso viya ayampi pacchābhattameva vaṭṭati, na tato paranti āpajjati. Tato paraṃ aparibhogattā ‘‘pacchābhattaṃ vaṭṭatī’’ti vuttanti ce? Na, yāvakālikabhāvappasaṅgato. Na so pasaṅgo ābhidosikassāpi ucchurasassa pākena phāṇitādibhāvappasaṅgato. Ayameva tatiyacatutthācariyavādesu vicāraṇā. Dutiyavāde vicāraṇā vuttā, vimaddo panettha bhesajjakkhandhake (mahāva. 300) āvi bhavissati. Phāṇitaṃ nāma ucchumhā nibbattanti madhukatālanāḷikeraphāṇitādito ukkaṭavatthuto nissaggiyavatthuphāṇitassa visesavacanaṃ, tenetaṃ paññāyati ‘‘nissaggiyavatthubhūtaṃ idha phāṇitaṃ nāma ucchumhā nibbattameva, na madhukādito nibbatta’’nti. Ettāvatā yaṃkiñci ucchumhā nibbattaṃ , na taṃ sabbaṃ phāṇitameva nāmāti sādhitaṃ hoti. Teneva khandhake phāṇitaṃ paṭhamaṃ anujānitvāva pacchā ucchuraso anuññāto, tathā tattheva guḷaṃ, guḷodakañca.

    อุจฺฉุรสํ อุปาทาย อปกฺกา วาติอาทิมฺหิ ปน เยสํ ลทฺธิ ‘‘อุจฺฉุรโส ยามกาลิโก’’ติฯ ‘‘เต อปกฺกา วาติ สามํ ภิกฺขุนา อปกฺกา วาฯ อวตฺถุกปกฺกา วาติ วินา วตฺถุนา ปกฺกา วา’’ติ อตฺถํ วณฺณยนฺติ, ตํ น ยุตฺตํ ‘‘อุจฺฉุรสํ อุปาทายา’’ติ อิมสฺส วจนสฺส ปโยชนาภาวปฺปสงฺคโต, ภิกฺขุโน ปจนาธิการาภาวาฯ สามปาโก อิธาธิเปฺปโตติ เจ? สามํ อปกฺกสฺส อุจฺฉุรสสฺส เตสํ อตฺตโนมติยา ผาณิตภาวสิทฺธิโต จ ปรโต ‘‘ปุเรภตฺตํ ปฎิคฺคหิเตน อปริสฺสาวิตอุจฺฉุรเสน กตผาณิต’’นฺติอาทินยทสฺสนโต จ ตํ อยุตฺตํ, ตตฺถ ‘‘อปริสฺสาวิตอุจฺฉุรเสน สยํกตํ นิรามิสเมว วฎฺฎตี’’ติ วจนํ ยํ ตตฺถ กสฎํ สามปากํ น ชเนติ, สวตฺถุกปฎิคฺคหิตกตํเยว ตํ กโรตีติ ทีเปติ, ตสฺมา ปฎิคฺคเหตุํ น วฎฺฎติ วิกาเลติ โปราณาฯ ‘‘โกฎฺฎิตอุจฺฉุผาณิตํ ‘รชนปากํ วิย โอฬาริกํ สวตฺถุกปกฺกํ นาม โหตี’ติ สญฺญาย ปุเรภตฺตเมว วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถาจริยา ‘‘เอวํ ผาณิตคฺคหณํ อมธุรํ, ตสฺมา ปจฺฉาภตฺตํ น วฎฺฎตี’’ติ วทิํสุฯ กิํ มธุรตาย, อมธุรตาย วาติ? อตฺถเมว ทเสฺสตุํ มหาปจฺจริยํ ตถา วุตฺตนฺติ อุปติสฺสเตฺถโร อาห กิรฯ ตํ ยุตฺตนฺติ อุจฺฉุโต นิพฺพตฺตตฺตา วุตฺตํ, เตเนวาห ‘‘ขณฺฑสกฺขรํ ปน…เป.… วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘ตํ ขีรฆเฎ ปกฺขิปิตฺวา ปจนฺตี’’ติ ลิขิตํฯ ชลฺลิกา นาม เผณาทิฯ

    Ucchurasaṃupādāya apakkā vātiādimhi pana yesaṃ laddhi ‘‘ucchuraso yāmakāliko’’ti. ‘‘Te apakkā vāti sāmaṃ bhikkhunā apakkā vā. Avatthukapakkā vāti vinā vatthunā pakkā vā’’ti atthaṃ vaṇṇayanti, taṃ na yuttaṃ ‘‘ucchurasaṃ upādāyā’’ti imassa vacanassa payojanābhāvappasaṅgato, bhikkhuno pacanādhikārābhāvā. Sāmapāko idhādhippetoti ce? Sāmaṃ apakkassa ucchurasassa tesaṃ attanomatiyā phāṇitabhāvasiddhito ca parato ‘‘purebhattaṃ paṭiggahitena aparissāvitaucchurasena kataphāṇita’’ntiādinayadassanato ca taṃ ayuttaṃ, tattha ‘‘aparissāvitaucchurasena sayaṃkataṃ nirāmisameva vaṭṭatī’’ti vacanaṃ yaṃ tattha kasaṭaṃ sāmapākaṃ na janeti, savatthukapaṭiggahitakataṃyeva taṃ karotīti dīpeti, tasmā paṭiggahetuṃ na vaṭṭati vikāleti porāṇā. ‘‘Koṭṭitaucchuphāṇitaṃ ‘rajanapākaṃ viya oḷārikaṃ savatthukapakkaṃ nāma hotī’ti saññāya purebhattameva vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathācariyā ‘‘evaṃ phāṇitaggahaṇaṃ amadhuraṃ, tasmā pacchābhattaṃ na vaṭṭatī’’ti vadiṃsu. Kiṃ madhuratāya, amadhuratāya vāti? Atthameva dassetuṃ mahāpaccariyaṃ tathā vuttanti upatissatthero āha kira. Taṃ yuttanti ucchuto nibbattattā vuttaṃ, tenevāha ‘‘khaṇḍasakkharaṃ pana…pe… vaṭṭatī’’ti. ‘‘Taṃ khīraghaṭe pakkhipitvā pacantī’’ti likhitaṃ. Jallikā nāma pheṇādi.

    เภสโชฺชทิสํ วทเนฺตน อิตเร อตฺถุทฺธารวเสน วุตฺตาฯ ‘‘อาหารตฺถํ ผริตุํ สมตฺถานี’’ติ ขนฺธเก (มหาว. ๒๖๐) ‘‘ยํ เภสชฺชเญฺจว อสฺส เภสชฺชสมฺมตญฺจ โลกสฺส, อาหารตฺถญฺจ ผเรยฺยา’’ติ วุตฺตตฺตา วุตฺตํฯ เอตฺถ วิจารณา เภสชฺชกฺขนฺธเก อาวิ ภวิสฺสติฯ

    Bhesajjodisaṃ vadantena itare atthuddhāravasena vuttā. ‘‘Āhāratthaṃ pharituṃ samatthānī’’ti khandhake (mahāva. 260) ‘‘yaṃ bhesajjañceva assa bhesajjasammatañca lokassa, āhāratthañca phareyyā’’ti vuttattā vuttaṃ. Ettha vicāraṇā bhesajjakkhandhake āvi bhavissati.

    ๖๒๔. ทฺวารวาตปานกวาฎานีติ ทฺวารสฺส จ วาตปานานญฺจ กวาฎานิฯ กสาวปเกฺขปมเตฺตน หิ ตานิ อตฺตโน สภาวํ ปริจฺจชิตานิ โหนฺติ, ตสฺมา ‘‘มเกฺขตพฺพานี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘กสาโว นาม กนกลมฺพาทีนิปี’’ติ วทนฺติฯ อธิเฎฺฐตีติ ‘‘อิทานิ อโชฺฌหรณียํ น ภวิสฺสติ, พาหิรปริโภโค ภวิสฺสตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทติฯ อิธ ‘‘วิกเปฺปตี’’ติ ปทํ นตฺถิฯ อธิฎฺฐานมฺปิ มุขารุฬฺหิยา วุตฺตํ ‘‘อิมํ นวนีตํ อธิฎฺฐามี’’ติ อวตฺตพฺพโตฯ

    624.Dvāravātapānakavāṭānīti dvārassa ca vātapānānañca kavāṭāni. Kasāvapakkhepamattena hi tāni attano sabhāvaṃ pariccajitāni honti, tasmā ‘‘makkhetabbānī’’ti vuttaṃ. ‘‘Kasāvo nāma kanakalambādīnipī’’ti vadanti. Adhiṭṭhetīti ‘‘idāni ajjhoharaṇīyaṃ na bhavissati, bāhiraparibhogo bhavissatī’’ti cittaṃ uppādeti. Idha ‘‘vikappetī’’ti padaṃ natthi. Adhiṭṭhānampi mukhāruḷhiyā vuttaṃ ‘‘imaṃ navanītaṃ adhiṭṭhāmī’’ti avattabbato.

    ๖๒๕. ปริภุญฺชิตุํ ปน น วฎฺฎตีติ วิสฺสาสาภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สเจ สวิสฺสาโส, วฎฺฎตีติ ‘‘ปริภุญฺช ตฺว’’นฺติ เอตฺตาวตา วิสฺสชฺชิตํ โหติ, ตสฺมา อุภินฺนํ อนาปตฺตีติ สมฺพโนฺธฯ สเจ น วิสฺสชฺชิตํ, อาปตฺติ โหตีติ สิทฺธํฯ ตสฺมา อุภินฺนํ สนฺตกํ จีวรํ อญฺญตเรน สมฺมุขีภูเตน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ โน เจ อธิฎฺฐาติ, นิสฺสคฺคิยํ โหตีติปิ ยุชฺชติฯ กากนิกมตฺตเญฺจ มูลํ อทินฺนํ, ‘‘น อธิฎฺฐานุปคํ…เป.… สกภาวํ น อุเปตี’’ติ อิมินา เอตํ สทิสํ น โหติ, อาภิธมฺมิกคณานํ ทินฺนํ วิย จ น โหติฯ กสฺมา? อาภิธมฺมิกา หิ อนุปสมฺปนฺนาปิ โหนฺติ, ปจฺฉา อาภิธมฺมิกภูตานมฺปิ ตํ สาธารณํ โหตีติฯ เอตฺถ เทฺวปิ อุปสมฺปนฺนา เอว, ทฺวินฺนมฺปิ ตตฺถ ยถากามกรณียตา อตฺถิ มมตฺตญฺจ, น เอวํ ตทเญฺญสํ สาธารณํ, น จ เทฺว ตโย ภิกฺขู ‘‘เอกโต วสฺสิสฺสามา’’ติ กโรนฺติ, รกฺขติ ตาวฯ ‘‘อวิภตฺตตฺตา อนาปตฺตี’’ติ อิมินา จ อิทํ สทิสํ, เยน มูเลน ปฎิคฺคหิตํ, ตสฺส สเจ อิตโร เทติ, โส วา ตํ อิตรสฺส เทติ, สติ ปฎิคฺคหเณ สตฺตาหาติกฺกเม นิสฺสคฺคิยตฺตา, ตสฺมา ตํ จีวรํ ทฺวีสุ สมฺมุขีภูเตน เอเกน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ กิญฺจาปิ เอตฺถ ปโยโค น ทิสฺสติ สมานปริกฺขารานํ ทฺวินฺนํ อธิฎฺฐานปโยคาภาวโต, ตถาปิ สมานสพฺพภณฺฑกานํ ทฺวินฺนํ เตลาทิ เยน ปฎิคฺคหิตํ, ตสฺส กาลาติกฺกเม อาปตฺติสมฺภวโต, อนธิฎฺฐาเน ทุลฺลภวิเสสเหตุตฺตา จ ‘‘อธิฎฺฐาตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตํ อยุตฺตํ ปตฺตจีวรสตฺตาหกาลิกานํ อสทิสวิธานตฺตาฯ เอตฺถ ปตฺตจีวรญฺหิ อตฺตโน สนฺตกภาวํ อุปคตเมว อนธิฎฺฐหนฺตสฺส กาลาติกฺกเม อาปตฺติ, สตฺตาหกาลิกํ ปน ปรสนฺตกสาธารณมฺปิ ปฎิคฺคหิตํ ปฎิคฺคาหกสฺส กาลาติกฺกเม อาปตฺติกรํฯ ปฎิคฺคหณเญฺจตฺถ ปมาณํ, น ตตฺถ สกสนฺตกตา, สตฺตาหกาลิกญฺจ นิสฺสคฺคิยํ, สเพฺพสมฺปิ อนโชฺฌหรณียํฯ ปตฺตจีวรํ อญฺญสฺส ปริภุญฺชโต อนาปตฺติฯ อิทญฺจ กาลาติกฺกนฺตมฺปิ นิสฺสชฺชิตฺวา ปจฺฉา ลทฺธํ กปฺปติฯ ปตฺตจีวรํ ปน ตํ ตสฺส วินยกมฺมนฺติ กปฺปตีติฯ อวิภตฺตสฺสปิ อิมสฺส ทานํ รุหติ, น ปตฺตจีวรสฺสฯ วุตฺตเญฺหตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘ทฺวินฺนํ สนฺตกํ โหติ…เป.… สเจปิ อวิภชิตฺวา สทฺธิวิหาริกาทีนํ เทนฺติ, อทินฺนเมว โหตี’’ติฯ ยสฺส ทานเมว น รุหติ, ตสฺส กุโต อธิฎฺฐานํฯ เอโก เจ ปตฺตจีวรํ ทสเม ทิวเส อิตรสฺส เทติฯ ตโต ปฎฺฐาย โส ทส ทิวเส ปริหริตุํ ลภติ , น ตถา สตฺตาหกาลิกนฺติ สพฺพถา อุปปริกฺขิยมานํ สริกฺขํ นกฺขมตีติ น ตํ สารโต ทฎฺฐพฺพนฺติ อาจริยสฺส ตโกฺกฯ ‘‘วินยกมฺมวเสน ปน อนิสฺสชฺชิตฺวา สหสา วิรุชฺฌิตฺวา กสฺสจิ ปริจฺจตฺตมฺปิ ปุน ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํ, สเจ เทสนฺตริตํ, สมุทฺทนฺตริตํ วา จีวรํ นิสฺสคฺคิยํ ชาตํ, ตํ อิธ ฐิเตน ภิกฺขุนา เอกสฺส วเนฺตน จิเตฺตน จตฺตํ กตฺวา อนเปกฺขิตฺวา อาปตฺติํ เทเสตฺวา ตสฺส วิสฺสาเสน ปุน คเหตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพํ, ‘‘ปตฺตาทีสุ จ อยเมว นโย’’ติ จ วุตฺตํ, ‘‘ตาลนาฬิเกรผาณิตมฺปิ สตฺตาหกาลิกํ เอวา’’ติ จฯ ‘‘ทฺวินฺนํ สนฺตกํ เอเกน ปฎิคฺคหิตํ สตฺตาหกาลิกํ สตฺตาหาติกฺกเม อาปตฺติํ น กโรติ , ปริภุญฺชิตุํ ปน ทฺวินฺนมฺปิ น วฎฺฎตี’’ติ จ ‘‘ปรสนฺตกํ ปฎิคฺคเหตฺวา ฐปิเตปิ เอเสว นโย’’ติ จ เกจิ วทนฺติฯ ทุกฺกฎวตฺถุภูตํ สปฺปิอาทิ นิสฺสชฺชิตพฺพํ ปุน ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ วิธานํ น ทิสฺสตีติฯ

    625.Paribhuñjituṃpana na vaṭṭatīti vissāsābhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Sace savissāso, vaṭṭatīti ‘‘paribhuñja tva’’nti ettāvatā vissajjitaṃ hoti, tasmā ubhinnaṃ anāpattīti sambandho. Sace na vissajjitaṃ, āpatti hotīti siddhaṃ. Tasmā ubhinnaṃ santakaṃ cīvaraṃ aññatarena sammukhībhūtena adhiṭṭhātabbaṃ. No ce adhiṭṭhāti, nissaggiyaṃ hotītipi yujjati. Kākanikamattañce mūlaṃ adinnaṃ, ‘‘na adhiṭṭhānupagaṃ…pe… sakabhāvaṃ na upetī’’ti iminā etaṃ sadisaṃ na hoti, ābhidhammikagaṇānaṃ dinnaṃ viya ca na hoti. Kasmā? Ābhidhammikā hi anupasampannāpi honti, pacchā ābhidhammikabhūtānampi taṃ sādhāraṇaṃ hotīti. Ettha dvepi upasampannā eva, dvinnampi tattha yathākāmakaraṇīyatā atthi mamattañca, na evaṃ tadaññesaṃ sādhāraṇaṃ, na ca dve tayo bhikkhū ‘‘ekato vassissāmā’’ti karonti, rakkhati tāva. ‘‘Avibhattattā anāpattī’’ti iminā ca idaṃ sadisaṃ, yena mūlena paṭiggahitaṃ, tassa sace itaro deti, so vā taṃ itarassa deti, sati paṭiggahaṇe sattāhātikkame nissaggiyattā, tasmā taṃ cīvaraṃ dvīsu sammukhībhūtena ekena adhiṭṭhātabbaṃ. Kiñcāpi ettha payogo na dissati samānaparikkhārānaṃ dvinnaṃ adhiṭṭhānapayogābhāvato, tathāpi samānasabbabhaṇḍakānaṃ dvinnaṃ telādi yena paṭiggahitaṃ, tassa kālātikkame āpattisambhavato, anadhiṭṭhāne dullabhavisesahetuttā ca ‘‘adhiṭṭhātabba’’nti vuttaṃ. Taṃ ayuttaṃ pattacīvarasattāhakālikānaṃ asadisavidhānattā. Ettha pattacīvarañhi attano santakabhāvaṃ upagatameva anadhiṭṭhahantassa kālātikkame āpatti, sattāhakālikaṃ pana parasantakasādhāraṇampi paṭiggahitaṃ paṭiggāhakassa kālātikkame āpattikaraṃ. Paṭiggahaṇañcettha pamāṇaṃ, na tattha sakasantakatā, sattāhakālikañca nissaggiyaṃ, sabbesampi anajjhoharaṇīyaṃ. Pattacīvaraṃ aññassa paribhuñjato anāpatti. Idañca kālātikkantampi nissajjitvā pacchā laddhaṃ kappati. Pattacīvaraṃ pana taṃ tassa vinayakammanti kappatīti. Avibhattassapi imassa dānaṃ ruhati, na pattacīvarassa. Vuttañhetaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘dvinnaṃ santakaṃ hoti…pe… sacepi avibhajitvā saddhivihārikādīnaṃ denti, adinnameva hotī’’ti. Yassa dānameva na ruhati, tassa kuto adhiṭṭhānaṃ. Eko ce pattacīvaraṃ dasame divase itarassa deti. Tato paṭṭhāya so dasa divase pariharituṃ labhati , na tathā sattāhakālikanti sabbathā upaparikkhiyamānaṃ sarikkhaṃ nakkhamatīti na taṃ sārato daṭṭhabbanti ācariyassa takko. ‘‘Vinayakammavasena pana anissajjitvā sahasā virujjhitvā kassaci pariccattampi puna paṭilabhitvā paribhuñjituṃ na vaṭṭatī’’ti vuttaṃ, sace desantaritaṃ, samuddantaritaṃ vā cīvaraṃ nissaggiyaṃ jātaṃ, taṃ idha ṭhitena bhikkhunā ekassa vantena cittena cattaṃ katvā anapekkhitvā āpattiṃ desetvā tassa vissāsena puna gahetvā adhiṭṭhātabbaṃ, ‘‘pattādīsu ca ayameva nayo’’ti ca vuttaṃ, ‘‘tālanāḷikeraphāṇitampi sattāhakālikaṃ evā’’ti ca. ‘‘Dvinnaṃ santakaṃ ekena paṭiggahitaṃ sattāhakālikaṃ sattāhātikkame āpattiṃ na karoti , paribhuñjituṃ pana dvinnampi na vaṭṭatī’’ti ca ‘‘parasantakaṃ paṭiggahetvā ṭhapitepi eseva nayo’’ti ca keci vadanti. Dukkaṭavatthubhūtaṃ sappiādi nissajjitabbaṃ puna paribhuñjituṃ vaṭṭatīti vidhānaṃ na dissatīti.

    เภสชฺชสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bhesajjasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๓. เภสชฺชสิกฺขาปทํ • 3. Bhesajjasikkhāpadaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๓. เภสชฺชสิกฺขาปทวณฺณนา • 3. Bhesajjasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๓. เภสชฺชสิกฺขาปทวณฺณนา • 3. Bhesajjasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๓. เภสชฺชสิกฺขาปทวณฺณนา • 3. Bhesajjasikkhāpadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact