Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๘๐] ๑๐. ภีมเสนชาตกวณฺณนา

    [80] 10. Bhīmasenajātakavaṇṇanā

    ยํ เต ปวิกตฺถิตํ ปุเรติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ วิกตฺถิตํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ เอโก กิร ภิกฺขุ ‘‘อาวุโส, อมฺหากํ ชาติสมา ชาติ, โคตฺตสมํ โคตฺตํ นาม นตฺถิ, มยํ เอวรูเป นาม มหาขตฺติยกุเล ชาตา, โคเตฺตน วา ธเนน วา กุลปฺปเทเสน วา อเมฺหหิ สทิโส นาม นตฺถิ, อมฺหากํ สุวณฺณรชตาทีนํ อโนฺต นตฺถิ, ทาสกมฺมกราปิ โน สาลิมํโสทนํ ภุญฺชนฺติ, กาสิกวตฺถํ นิวาเสนฺติ, กาสิกวิเลปนํ วิลิมฺปนฺติฯ มยํ ปพฺพชิตภาเวน เอตรหิ เอวรูปานิ ลูขานิ โภชนานิ ภุญฺชาม, ลูขานิ จีวรานิ ธาเรมา’’ติ เถรนวมชฺฌิมานํ ภิกฺขูนํ อนฺตเร วิกเตฺถโนฺต ชาติอาทิวเสน วเมฺภโนฺต ขุํเสโนฺต วิจรติฯ อถสฺส เอโก ภิกฺขุ กุลปฺปเทสํ ปริคฺคณฺหิตฺวา ตํ วิกตฺถนภาวํ ภิกฺขูนํ อาโรเจสิฯ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตา ‘‘อาวุโส, อสุโก นาม ภิกฺขุ เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา วิกเตฺถโนฺต วเมฺภโนฺต ขุํเสโนฺต วิจรตี’’ติ เอตสฺส อคุณํ กถยิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, โส ภิกฺขุ อิทาเนว วิกเตฺถโนฺต วเมฺภโนฺต ขุํเสโนฺต วิจรติ, ปุเพฺพปิ วิกเตฺถโนฺต วเมฺภโนฺต ขุํเสโนฺต วิจรี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Yaṃ te pavikatthitaṃ pureti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ vikatthitaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Eko kira bhikkhu ‘‘āvuso, amhākaṃ jātisamā jāti, gottasamaṃ gottaṃ nāma natthi, mayaṃ evarūpe nāma mahākhattiyakule jātā, gottena vā dhanena vā kulappadesena vā amhehi sadiso nāma natthi, amhākaṃ suvaṇṇarajatādīnaṃ anto natthi, dāsakammakarāpi no sālimaṃsodanaṃ bhuñjanti, kāsikavatthaṃ nivāsenti, kāsikavilepanaṃ vilimpanti. Mayaṃ pabbajitabhāvena etarahi evarūpāni lūkhāni bhojanāni bhuñjāma, lūkhāni cīvarāni dhāremā’’ti theranavamajjhimānaṃ bhikkhūnaṃ antare vikatthento jātiādivasena vambhento khuṃsento vicarati. Athassa eko bhikkhu kulappadesaṃ pariggaṇhitvā taṃ vikatthanabhāvaṃ bhikkhūnaṃ ārocesi. Bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannipatitā ‘‘āvuso, asuko nāma bhikkhu evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā vikatthento vambhento khuṃsento vicaratī’’ti etassa aguṇaṃ kathayiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, so bhikkhu idāneva vikatthento vambhento khuṃsento vicarati, pubbepi vikatthento vambhento khuṃsento vicarī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ นิคมคาเม อุทิจฺจพฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก ตโย เวเท อฎฺฐารส วิชฺชฎฺฐานานิ อุคฺคเหตฺวา สพฺพสิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ ปตฺวา จูฬธนุคฺคหปณฺฑิโต นาม อโหสิฯ โส ตกฺกสิลาโต นิกฺขมิตฺวา สพฺพสมยสิปฺปานิ ปริเยสมาโน มหิํสกรฎฺฐํ อคมาสิฯ อิมสฺมิํ ปน ชาตเก โพธิสโตฺต โถกํ รโสฺส โอณตากาโร อโหสิฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘สจาหํ กญฺจิ ราชานํ อุปสงฺกมิสฺสามิ, โส ‘เอวํ รสฺสสรีโร ตฺวํ กิํ อมฺหากํ กมฺมํ กริสฺสสี’ติ วกฺขติ, ยํนูนาหํ อาโรหปริณาหสมฺปนฺนํ อภิรูปํ เอกํ ปุริสํ ผลกํ กตฺวา ตสฺส ปิฎฺฐิจฺฉายาย ชีวิกํ กเปฺปยฺย’’นฺติฯ โส ตถารูปํ ปุริสํ ปริเยสมาโน ภีมเสนสฺส นาเมกสฺส ตนฺตวายสฺส ตนฺตวีตฎฺฐานํ คนฺตฺวา เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘สมฺม, ตฺวํ กินฺนาโมสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ ภีมเสโน นามา’’ติ? ‘‘กิํ ปน ตฺวํ เอวํ อภิรูโป อุปธิสมฺปโนฺน หุตฺวา อิมํ ลามกกมฺมํ กโรสี’’ติ? ‘‘ชีวิตุํ อสโกฺกโนฺต’’ติฯ ‘‘สมฺม, มา เอตํ กมฺมํ กริ, สกลชมฺพุทีเป มยา สทิโส ธนุคฺคโห นาม นตฺถิฯ สเจ ปนาหํ กญฺจิ ราชานํ ปเสฺสยฺยํ, โส มํ ‘เอวํรโสฺส อยํ กิํ อมฺหากํ กมฺมํ กริสฺสตี’ติ โกเปยฺย, ตฺวํ ราชานํ ทิสฺวา ‘อหํ ธนุคฺคโห’ติ วกฺขสิฯ ราชา เต ปริพฺพยํ ทตฺวา วุตฺติํ นิพทฺธํ ทสฺสติฯ อหํ เต อุปฺปนฺนกมฺมํ กโรโนฺต ตว ปิฎฺฐิจฺฉายาย ชีวิสฺสามิฯ เอวํ อุโภปิ สุขิตา ภวิสฺสามฯ กโรหิ มม วจน’’นฺติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto ekasmiṃ nigamagāme udiccabrāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ disāpāmokkhassa ācariyassa santike tayo vede aṭṭhārasa vijjaṭṭhānāni uggahetvā sabbasippesu nipphattiṃ patvā cūḷadhanuggahapaṇḍito nāma ahosi. So takkasilāto nikkhamitvā sabbasamayasippāni pariyesamāno mahiṃsakaraṭṭhaṃ agamāsi. Imasmiṃ pana jātake bodhisatto thokaṃ rasso oṇatākāro ahosi. So cintesi ‘‘sacāhaṃ kañci rājānaṃ upasaṅkamissāmi, so ‘evaṃ rassasarīro tvaṃ kiṃ amhākaṃ kammaṃ karissasī’ti vakkhati, yaṃnūnāhaṃ ārohapariṇāhasampannaṃ abhirūpaṃ ekaṃ purisaṃ phalakaṃ katvā tassa piṭṭhicchāyāya jīvikaṃ kappeyya’’nti. So tathārūpaṃ purisaṃ pariyesamāno bhīmasenassa nāmekassa tantavāyassa tantavītaṭṭhānaṃ gantvā tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘‘samma, tvaṃ kinnāmosī’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ bhīmaseno nāmā’’ti? ‘‘Kiṃ pana tvaṃ evaṃ abhirūpo upadhisampanno hutvā imaṃ lāmakakammaṃ karosī’’ti? ‘‘Jīvituṃ asakkonto’’ti. ‘‘Samma, mā etaṃ kammaṃ kari, sakalajambudīpe mayā sadiso dhanuggaho nāma natthi. Sace panāhaṃ kañci rājānaṃ passeyyaṃ, so maṃ ‘evaṃrasso ayaṃ kiṃ amhākaṃ kammaṃ karissatī’ti kopeyya, tvaṃ rājānaṃ disvā ‘ahaṃ dhanuggaho’ti vakkhasi. Rājā te paribbayaṃ datvā vuttiṃ nibaddhaṃ dassati. Ahaṃ te uppannakammaṃ karonto tava piṭṭhicchāyāya jīvissāmi. Evaṃ ubhopi sukhitā bhavissāma. Karohi mama vacana’’nti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.

    อถ นํ อาทาย พาราณสิํ คนฺตฺวา สยํ จูฬูปฎฺฐาโก หุตฺวา ตํ ปุรโต กตฺวา ราชทฺวาเร ฐตฺวา รโญฺญ อาโรจาเปสิฯ ‘‘อาคจฺฉนฺตู’’ติ วุเตฺต อุโภปิ ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ ‘‘กิํการณา อาคตตฺถา’’ติ จ วุเตฺต ภีมเสโน อาห – ‘‘อหํ ธนุคฺคโห, มยา สทิโส สกลชมฺพุทีเป ธนุคฺคโห นตฺถี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ลภโนฺต มํ อุปฎฺฐหิสฺสสี’’ติ? ‘‘อฑฺฒมาเส สหสฺสํ ลภโนฺต อุปฎฺฐหิสฺสามิ, เทวา’’ติฯ ‘‘อยํ เต ปุริโส กิํ โหตี’’ติ? ‘‘จูฬูปฎฺฐาโก, เทวา’’ติฯ ‘‘สาธุ อุปฎฺฐหา’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย ภีมเสโน ราชานํ อุปฎฺฐหติฯ อุปฺปนฺนกิจฺจํ ปนสฺส โพธิสโตฺตว นิตฺถรติฯ

    Atha naṃ ādāya bārāṇasiṃ gantvā sayaṃ cūḷūpaṭṭhāko hutvā taṃ purato katvā rājadvāre ṭhatvā rañño ārocāpesi. ‘‘Āgacchantū’’ti vutte ubhopi pavisitvā rājānaṃ vanditvā aṭṭhaṃsu. ‘‘Kiṃkāraṇā āgatatthā’’ti ca vutte bhīmaseno āha – ‘‘ahaṃ dhanuggaho, mayā sadiso sakalajambudīpe dhanuggaho natthī’’ti. ‘‘Kiṃ pana labhanto maṃ upaṭṭhahissasī’’ti? ‘‘Aḍḍhamāse sahassaṃ labhanto upaṭṭhahissāmi, devā’’ti. ‘‘Ayaṃ te puriso kiṃ hotī’’ti? ‘‘Cūḷūpaṭṭhāko, devā’’ti. ‘‘Sādhu upaṭṭhahā’’ti. Tato paṭṭhāya bhīmaseno rājānaṃ upaṭṭhahati. Uppannakiccaṃ panassa bodhisattova nittharati.

    เตน โข ปน สมเยน กาสิรเฎฺฐ เอกสฺมิํ อรเญฺญ พหูนํ มนุสฺสานํ สญฺจรณมคฺคํ พฺยโคฺฆ ฉฑฺฑาเปติ, พหู มนุเสฺส คเหตฺวา คเหตฺวา ขาทติฯ ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ภีมเสนํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สกฺขิสฺสสิ, ตาต, นํ พฺยคฺฆํ คณฺหิตุ’’นฺติ อาหฯ ‘‘เทว, กิํ ธนุคฺคโห นามาหํ , ยทิ พฺยคฺฆํ คเหตุํ น สโกฺกมี’’ติฯ ราชา ตสฺส ปริพฺพยํ ทตฺวา อุโยฺยเชสิฯ โส ฆรํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส กเถสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘สาธุ, สมฺม, คจฺฉา’’ติ อาหฯ ‘‘ตฺวํ ปน น คมิสฺสสี’’ติ? ‘‘อาม น คมิสฺสามิ, อุปายํ ปน เต อาจิกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อาจิกฺข, สมฺมา’’ติฯ ตฺวํ พฺยคฺฆสฺส วสนฎฺฐานํ สหสา เอกโกว มา อคมาสิ, ชนปทมนุเสฺส ปน สนฺนิปาเตตฺวา เอกํ วา เทฺว วา ธนุสหสฺสานิ คาหาเปตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา พฺยคฺฆสฺส อุฎฺฐิตภาวํ ญตฺวา ปลายิตฺวา เอกํ คุมฺพํ ปวิสิตฺวา อุเรน นิปเชฺชยฺยาสิ, ชานปทาว พฺยคฺฆํ โปเถตฺวา คณฺหิสฺสนฺติ, เตหิ พฺยเคฺฆ คหิเต ตฺวํ ทเนฺตหิ เอกํ วลฺลิํ ฉินฺทิตฺวา โกฎิยํ คเหตฺวา มตพฺยคฺฆสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘โภ, เกเนส, พฺยโคฺฆ มาริโต, อหํ อิมํ พฺยคฺฆํ โคณํ วิย วลฺลิยา พนฺธิตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ เนสฺสามี’ติ วลฺลิอตฺถาย คุมฺพํ ปวิโฎฺฐ, มยา วลฺลิยา อนาภตาย เอว เกเนส มาริโต’’ติ กเถยฺยาสิฯ อถ เต ชานปทา ภีตตสิตา ‘‘สามิ, มา รโญฺญ อาจิกฺขี’’ติ พหุํ ธนํ ทสฺสนฺติ, พฺยโคฺฆ ตยา คหิโต ภวิสฺสติ, รโญฺญปิ สนฺติกา พหุํ ธนํ ลภิสฺสสีติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา โพธิสเตฺตน กถิตนิยาเมเนว พฺยคฺฆํ คเหตฺวา อรญฺญํ เขมํ กตฺวา มหาชนปริวุโต พาราณสิํ อาคนฺตฺวา ราชานํ ทิสฺวา ‘‘คหิโต เม, เทว, พฺยโคฺฆ, อรญฺญํ เขมํ กต’’นฺติ อาหฯ ราชา ตุโฎฺฐ พหุํ ธนํ อทาสิฯ ปุเนกทิวสํ ‘‘เอกมคฺคํ มหิํโส ฉฑฺฑาเปตี’’ติ อาโรเจสุํ, ราชา ตเถว ภีมเสนํ เปเสสิฯ โสปิ โพธิสเตฺตน ทินฺนนเยน พฺยคฺฆํ วิย ตมฺปิ คเหตฺวา อาคญฺฉิ, ราชา ปุน พหุํ ธนํ อทาสิ, มหนฺตํ อิสฺสริยํ ชาตํฯ โส อิสฺสริยมทมโตฺต โพธิสตฺตํ อวมญฺญํ กตฺวา ตสฺส วจนํ น คณฺหาติ, ‘‘นาหํ ตํ นิสฺสาย ชีวามิ, กิํ ตฺวเญฺญว ปุริโส’’ติอาทีนิ ผรุสวจนานิ วทติฯ

    Tena kho pana samayena kāsiraṭṭhe ekasmiṃ araññe bahūnaṃ manussānaṃ sañcaraṇamaggaṃ byaggho chaḍḍāpeti, bahū manusse gahetvā gahetvā khādati. Taṃ pavattiṃ rañño ārocesuṃ. Rājā bhīmasenaṃ pakkosāpetvā ‘‘sakkhissasi, tāta, naṃ byagghaṃ gaṇhitu’’nti āha. ‘‘Deva, kiṃ dhanuggaho nāmāhaṃ , yadi byagghaṃ gahetuṃ na sakkomī’’ti. Rājā tassa paribbayaṃ datvā uyyojesi. So gharaṃ gantvā bodhisattassa kathesi. Bodhisatto ‘‘sādhu, samma, gacchā’’ti āha. ‘‘Tvaṃ pana na gamissasī’’ti? ‘‘Āma na gamissāmi, upāyaṃ pana te ācikkhissāmī’’ti. ‘‘Ācikkha, sammā’’ti. Tvaṃ byagghassa vasanaṭṭhānaṃ sahasā ekakova mā agamāsi, janapadamanusse pana sannipātetvā ekaṃ vā dve vā dhanusahassāni gāhāpetvā tattha gantvā byagghassa uṭṭhitabhāvaṃ ñatvā palāyitvā ekaṃ gumbaṃ pavisitvā urena nipajjeyyāsi, jānapadāva byagghaṃ pothetvā gaṇhissanti, tehi byagghe gahite tvaṃ dantehi ekaṃ valliṃ chinditvā koṭiyaṃ gahetvā matabyagghassa santikaṃ gantvā ‘‘bho, kenesa, byaggho mārito, ahaṃ imaṃ byagghaṃ goṇaṃ viya valliyā bandhitvā rañño santikaṃ nessāmī’ti valliatthāya gumbaṃ paviṭṭho, mayā valliyā anābhatāya eva kenesa mārito’’ti katheyyāsi. Atha te jānapadā bhītatasitā ‘‘sāmi, mā rañño ācikkhī’’ti bahuṃ dhanaṃ dassanti, byaggho tayā gahito bhavissati, raññopi santikā bahuṃ dhanaṃ labhissasīti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā bodhisattena kathitaniyāmeneva byagghaṃ gahetvā araññaṃ khemaṃ katvā mahājanaparivuto bārāṇasiṃ āgantvā rājānaṃ disvā ‘‘gahito me, deva, byaggho, araññaṃ khemaṃ kata’’nti āha. Rājā tuṭṭho bahuṃ dhanaṃ adāsi. Punekadivasaṃ ‘‘ekamaggaṃ mahiṃso chaḍḍāpetī’’ti ārocesuṃ, rājā tatheva bhīmasenaṃ pesesi. Sopi bodhisattena dinnanayena byagghaṃ viya tampi gahetvā āgañchi, rājā puna bahuṃ dhanaṃ adāsi, mahantaṃ issariyaṃ jātaṃ. So issariyamadamatto bodhisattaṃ avamaññaṃ katvā tassa vacanaṃ na gaṇhāti, ‘‘nāhaṃ taṃ nissāya jīvāmi, kiṃ tvaññeva puriso’’tiādīni pharusavacanāni vadati.

    อถ กติปาหจฺจเยน เอโก สามนฺตราชา อาคนฺตฺวา พาราณสิํ อุปรุนฺธิตฺวา ‘‘รชฺชํ วา เทตุ, ยุทฺธํ วา’’ติ รโญฺญ สาสนํ เปเสสิฯ ราชา ‘‘ยุชฺฌาหี’’ติ ภีมเสนํ เปเสสิฯ โส สพฺพสนฺนาหสนฺนโทฺธ ราชเวสํ คเหตฺวา สุสนฺนทฺธสฺส วารณสฺส ปิเฎฺฐ นิสีทิฯ โพธิสโตฺตปิ ตสฺส มรณภเยน สพฺพสนฺนาหสนฺนโทฺธ ภีมเสนเสฺสว ปจฺฉิมาสเน นิสีทิฯ วารโณ มหาชนปริวุโต นครทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา สงฺคามสีสํ ปาปุณิฯ ภีมเสโน ยุทฺธเภริสทฺทํ สุตฺวาว กมฺปิตุํ อารโทฺธฯ โพธิสโตฺต ‘‘อิทาเนส หตฺถิปิฎฺฐิโต ปติตฺวา มริสฺสตี’’ติ หตฺถิกฺขนฺธโต อปตนตฺถํ ภีมเสนํ โยเตฺตน ปริกฺขิปิตฺวา คณฺหิ, ภีมเสโน สมฺปหารฎฺฐานํ ทิสฺวา มรณภยตชฺชิโต สรีรวฬเญฺชน หตฺถิปิฎฺฐิํ ทูเสสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘น โข เต ภีมเสน ปุริเมน ปจฺฉิมํ สเมติ, ตฺวํ ปุเพฺพ สงฺคามโยโธ วิย อโหสิ, อิทานิ หตฺถิปิฎฺฐิํ ทูเสสี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Atha katipāhaccayena eko sāmantarājā āgantvā bārāṇasiṃ uparundhitvā ‘‘rajjaṃ vā detu, yuddhaṃ vā’’ti rañño sāsanaṃ pesesi. Rājā ‘‘yujjhāhī’’ti bhīmasenaṃ pesesi. So sabbasannāhasannaddho rājavesaṃ gahetvā susannaddhassa vāraṇassa piṭṭhe nisīdi. Bodhisattopi tassa maraṇabhayena sabbasannāhasannaddho bhīmasenasseva pacchimāsane nisīdi. Vāraṇo mahājanaparivuto nagaradvārena nikkhamitvā saṅgāmasīsaṃ pāpuṇi. Bhīmaseno yuddhabherisaddaṃ sutvāva kampituṃ āraddho. Bodhisatto ‘‘idānesa hatthipiṭṭhito patitvā marissatī’’ti hatthikkhandhato apatanatthaṃ bhīmasenaṃ yottena parikkhipitvā gaṇhi, bhīmaseno sampahāraṭṭhānaṃ disvā maraṇabhayatajjito sarīravaḷañjena hatthipiṭṭhiṃ dūsesi. Bodhisatto ‘‘na kho te bhīmasena purimena pacchimaṃ sameti, tvaṃ pubbe saṅgāmayodho viya ahosi, idāni hatthipiṭṭhiṃ dūsesī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๘๐.

    80.

    ‘‘ยํ เต ปวิกตฺถิตํ ปุเร, อถ เต ปูติสรา สชนฺติ ปจฺฉา;

    ‘‘Yaṃ te pavikatthitaṃ pure, atha te pūtisarā sajanti pacchā;

    อุภยํ น สเมติ ภีมเสน, ยุทฺธกถา จ อิทญฺจ เต วิหญฺญ’’นฺติฯ

    Ubhayaṃ na sameti bhīmasena, yuddhakathā ca idañca te vihañña’’nti.

    ตตฺถ ยํ เต ปวิกตฺถิตํ ปุเรติ ยํ ตยา ปุเพฺพ ‘‘กิํ ตฺวํเยว ปุริโส, นาหํ ปุริโส, อหมฺปิ สงฺคามโยโธ’’ติ วิกตฺถิตํ วมฺภนวจนํ วุตฺตํ, อิทํ ตาว เอกํฯ อถ เต ปูติสรา สชนฺติ ปจฺฉาติ อถ เต อิเม ปูติภาเวน สรณภาเวน จ ‘‘ปูติสรา’’ติ ลทฺธนามา สรีรวฬญฺชธารา สชนฺติ วฬญฺชนฺติ ปคฺฆรนฺติฯ ปจฺฉาติ ตโต ปุเร วิกตฺถิตโต อปรภาเค, อิทานิ อิมสฺมิํ สงฺคามสีเสติ อโตฺถฯ อุภยํ น สเมติ ภีมเสนาติ อิทํ ภีมเสน อุภยํ น สเมติฯ กตรํ? ยุทฺธกถา จ อิทญฺจ เต วิหญฺญนฺติ, ยา จ ปุเร กถิตา ยุทฺธกถา, ยญฺจ เต อิทานิ วิหญฺญํ กิลมโถ หตฺถิปิฎฺฐิทูสนาการปฺปโตฺต วิฆาโตติ อโตฺถฯ

    Tattha yaṃ te pavikatthitaṃ pureti yaṃ tayā pubbe ‘‘kiṃ tvaṃyeva puriso, nāhaṃ puriso, ahampi saṅgāmayodho’’ti vikatthitaṃ vambhanavacanaṃ vuttaṃ, idaṃ tāva ekaṃ. Atha te pūtisarā sajanti pacchāti atha te ime pūtibhāvena saraṇabhāvena ca ‘‘pūtisarā’’ti laddhanāmā sarīravaḷañjadhārā sajanti vaḷañjanti paggharanti. Pacchāti tato pure vikatthitato aparabhāge, idāni imasmiṃ saṅgāmasīseti attho. Ubhayaṃ na sameti bhīmasenāti idaṃ bhīmasena ubhayaṃ na sameti. Kataraṃ? Yuddhakathā ca idañca te vihaññanti, yā ca pure kathitā yuddhakathā, yañca te idāni vihaññaṃ kilamatho hatthipiṭṭhidūsanākārappatto vighātoti attho.

    เอวํ โพธิสโตฺต ตํ ครหิตฺวา ‘‘มา ภายิ, สมฺม, กสฺมา มยิ ฐิเต วิหญฺญสี’’ติ ภีมเสนํ หตฺถิปิฎฺฐิโต โอตาเรตฺวา ‘‘นฺหายิตฺวา เคหเมว คจฺฉา’’ติ อุโยฺยเชตฺวา ‘‘อชฺช มยา ปากเฎน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สงฺคามํ ปวิสิตฺวา อุนฺนทิตฺวา พลโกฎฺฐกํ ภินฺทิตฺวา สปตฺตราชานํ ชีวคฺคาหํ คาหาเปตฺวา พาราณสิรโญฺญ สนฺติกํ อคมาสิฯ ราชา ตุโฎฺฐ โพธิสตฺตสฺส มหนฺตํ ยสํ อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ‘‘จูฬธนุคฺคหปณฺฑิโต’’ติ สกลชมฺพุทีเป ปากโฎ อโหสิฯ โส ภีมเสนสฺส ปริพฺพยํ ทตฺวา สกฎฺฐานเมว เปเสตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ

    Evaṃ bodhisatto taṃ garahitvā ‘‘mā bhāyi, samma, kasmā mayi ṭhite vihaññasī’’ti bhīmasenaṃ hatthipiṭṭhito otāretvā ‘‘nhāyitvā gehameva gacchā’’ti uyyojetvā ‘‘ajja mayā pākaṭena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti saṅgāmaṃ pavisitvā unnaditvā balakoṭṭhakaṃ bhinditvā sapattarājānaṃ jīvaggāhaṃ gāhāpetvā bārāṇasirañño santikaṃ agamāsi. Rājā tuṭṭho bodhisattassa mahantaṃ yasaṃ adāsi. Tato paṭṭhāya ‘‘cūḷadhanuggahapaṇḍito’’ti sakalajambudīpe pākaṭo ahosi. So bhīmasenassa paribbayaṃ datvā sakaṭṭhānameva pesetvā dānādīni puññāni katvā yathākammaṃ gato.

    สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนเวส ภิกฺขุ วิกเตฺถติ, ปุเพฺพปิ วิกตฺถิเยวา’’ติ วตฺวา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ภีมเสโน วิกตฺถิตภิกฺขุ อโหสิ, จูฬธนุคฺคหปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā ‘‘na, bhikkhave, idānevesa bhikkhu vikattheti, pubbepi vikatthiyevā’’ti vatvā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā bhīmaseno vikatthitabhikkhu ahosi, cūḷadhanuggahapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.

    ภีมเสนชาตกวณฺณนา ทสมาฯ

    Bhīmasenajātakavaṇṇanā dasamā.

    วรุณวโคฺค อฎฺฐโมฯ

    Varuṇavaggo aṭṭhamo.

    ตสฺสุทฺทานํ –

    Tassuddānaṃ –

    วรุณํ สีลวนาคํ, สจฺจํกิร รุกฺขธมฺมํ;

    Varuṇaṃ sīlavanāgaṃ, saccaṃkira rukkhadhammaṃ;

    มจฺฉราชา อสงฺกิยํ, มหาสุปินอิลฺลิสํ;

    Maccharājā asaṅkiyaṃ, mahāsupinaillisaṃ;

    ขรสฺสรํ ภีมเสนนฺติฯ

    Kharassaraṃ bhīmasenanti.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๘๐. ภีมเสนชาตกํ • 80. Bhīmasenajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact