Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๓๒] ๒. ภีรุกชาตกวณฺณนา
[132] 2. Bhīrukajātakavaṇṇanā
กุสลูปเทเส ธิติยา ทฬฺหาย จาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อชปาลนิโคฺรเธ มารธีตานํ ปโลภนสุตฺตนฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ภควตา หิ อาทิโต ปฎฺฐาย วุตฺตํ –
Kusalūpadese dhitiyā daḷhāya cāti idaṃ satthā jetavane viharanto ajapālanigrodhe māradhītānaṃ palobhanasuttantaṃ ārabbha kathesi. Bhagavatā hi ādito paṭṭhāya vuttaṃ –
‘‘ททฺทลฺลมานา อาคญฺฉุํ, ตณฺหา จ อรตี รคา;
‘‘Daddallamānā āgañchuṃ, taṇhā ca aratī ragā;
ตา ตตฺถ ปนุที สตฺถา, ตูลํ ภฎฺฐํว มาลุโต’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๖๑);
Tā tattha panudī satthā, tūlaṃ bhaṭṭhaṃva māluto’’ti. (saṃ. ni. 1.161);
เอวํ ยาว ปริโยสานา ตสฺส สุตฺตนฺตสฺส กถิตกาเล ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตา ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, สมฺมาสมฺพุโทฺธ มารธีตโร อเนกสตานิปิ ทิพฺพรูปานิ มาเปตฺวา ปโลภนตฺถาย อุปสงฺกมนฺติโย อกฺขีนิปิ อุมฺมีเลตฺวา น โอโลเกสิ, อโห พุทฺธพลํ นาม อจฺฉริย’’นฺติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว มยฺหํ สพฺพาสเว เขเปตฺวา สพฺพญฺญุตํ สมฺปตฺตสฺส มารธีตานํ อโนโลกนํ นาม อจฺฉริยํ, อหญฺหิ ปุเพฺพ โพธิญาณํ ปริเยสมาโน สกิเลสกาเลปิ อภิสงฺขตํ ทิพฺพรูปํ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา กิเลสวเสน อโนโลเกตฺวาว คนฺตฺวา มหารชฺชํ ปาปุณิ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Evaṃ yāva pariyosānā tassa suttantassa kathitakāle dhammasabhāyaṃ sannipatitā bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, sammāsambuddho māradhītaro anekasatānipi dibbarūpāni māpetvā palobhanatthāya upasaṅkamantiyo akkhīnipi ummīletvā na olokesi, aho buddhabalaṃ nāma acchariya’’nti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva mayhaṃ sabbāsave khepetvā sabbaññutaṃ sampattassa māradhītānaṃ anolokanaṃ nāma acchariyaṃ, ahañhi pubbe bodhiñāṇaṃ pariyesamāno sakilesakālepi abhisaṅkhataṃ dibbarūpaṃ indriyāni bhinditvā kilesavasena anoloketvāva gantvā mahārajjaṃ pāpuṇi’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ภาติกสตสฺส กนิโฎฺฐ อโหสีติ สพฺพํ เหฎฺฐา ตกฺกสิลาชาตเก วุตฺตนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ ตทา ปน ตกฺกสิลานครวาสีหิ พหินคเร สาลายํ โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิตฺวา รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา อภิเสเก กเต ตกฺกสิลานครวาสิโน นครํ เทวนครํ วิย, ราชภวนญฺจ อินฺทภวนํ วิย อลงฺกริํสุฯ ตทา โพธิสโตฺต นครํ ปวิสิตฺวา ราชภวเน ปาสาเท มหาตเล สมุสฺสิตเสตจฺฉตฺตํ รตนวรปลฺลงฺกํ อภิรุยฺห เทวราชลีลาย นิสีทิ, อมจฺจา จ พฺราหฺมณคหปติกาทโย จ ขตฺติยกุมารา จ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา ปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุ, เทวจฺฉราปฎิภาคา โสฬสสหสฺสนาฎกิตฺถิโย นจฺจคีตวาทิตกุสลา อุตฺตมวิลาสสมฺปนฺนา นจฺจคีตวาทิตานิ ปโยเชสุํฯ คีตวาทิตสเทฺทน ราชภวนํ เมฆตฺถนิตปูริตา มหาสมุทฺทกุจฺฉิ วิย เอกนินฺนาทํ อโหสิฯ โพธิสโตฺต ตํ อตฺตโน สิริโสภคฺคํ โอโลกยมาโนว จิเนฺตสิ ‘‘สจาหํ ตาสํ ยกฺขินีนํ อภิสงฺขตํ ทิพฺพรูปํ โอโลเกสฺสํ, ชีวิตกฺขยํ ปโตฺต อภวิสฺสํ, อิมํ สิริโสภคฺคํ น โอโลเกสฺสํฯ ปเจฺจกพุทฺธานํ ปน โอวาเท ฐิตภาเวน อิทํ มยา สมฺปตฺต’’นฺติฯ เอวญฺจ ปน จิเนฺตตฺวา อุทานํ อุทาเนโนฺต อิมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto bhātikasatassa kaniṭṭho ahosīti sabbaṃ heṭṭhā takkasilājātake vuttanayeneva vitthāretabbaṃ. Tadā pana takkasilānagaravāsīhi bahinagare sālāyaṃ bodhisattaṃ upasaṅkamitvā yācitvā rajjaṃ paṭicchāpetvā abhiseke kate takkasilānagaravāsino nagaraṃ devanagaraṃ viya, rājabhavanañca indabhavanaṃ viya alaṅkariṃsu. Tadā bodhisatto nagaraṃ pavisitvā rājabhavane pāsāde mahātale samussitasetacchattaṃ ratanavarapallaṅkaṃ abhiruyha devarājalīlāya nisīdi, amaccā ca brāhmaṇagahapatikādayo ca khattiyakumārā ca sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā parivāretvā aṭṭhaṃsu, devaccharāpaṭibhāgā soḷasasahassanāṭakitthiyo naccagītavāditakusalā uttamavilāsasampannā naccagītavāditāni payojesuṃ. Gītavāditasaddena rājabhavanaṃ meghatthanitapūritā mahāsamuddakucchi viya ekaninnādaṃ ahosi. Bodhisatto taṃ attano sirisobhaggaṃ olokayamānova cintesi ‘‘sacāhaṃ tāsaṃ yakkhinīnaṃ abhisaṅkhataṃ dibbarūpaṃ olokessaṃ, jīvitakkhayaṃ patto abhavissaṃ, imaṃ sirisobhaggaṃ na olokessaṃ. Paccekabuddhānaṃ pana ovāde ṭhitabhāvena idaṃ mayā sampatta’’nti. Evañca pana cintetvā udānaṃ udānento imaṃ gāthamāha –
๑๓๒.
132.
‘‘กุสลูปเทเส ธิติยา ทฬฺหาย จ, อนิวตฺติตตฺตา ภยภีรุตาย จ;
‘‘Kusalūpadese dhitiyā daḷhāya ca, anivattitattā bhayabhīrutāya ca;
น รกฺขสีนํ วสมาคมิมฺหเส, ส โสตฺถิภาโว มหตา ภเยน เม’’ติฯ
Na rakkhasīnaṃ vasamāgamimhase, sa sotthibhāvo mahatā bhayena me’’ti.
ตตฺถ กุสลูปเทเสติ กุสลานํ อุปเทเส, ปเจฺจกพุทฺธานํ โอวาเทติ อโตฺถฯ ธิติยา ทฬฺหาย จาติ ทฬฺหาย ธิติยา จ, ถิเรน อโพฺพจฺฉินฺนนิรนฺตรวีริเยน จาติ อโตฺถฯ อนิวตฺติตตฺตา ภยภีรุตาย จาติ ภยภีรุตาย อนิวตฺติตตาย จฯ ตตฺถ ภยนฺติ จิตฺตุตฺราสมตฺตํ ปริตฺตภยํฯ ภีรุตาติ สรีรกมฺปนปฺปตฺตํ มหาภยํฯ อิทํ อุภยมฺปิ มหาสตฺตสฺส ‘‘ยกฺขินิโย นาเมตา มนุสฺสขาทิกา’’ติ เภรวารมฺมณํ ทิสฺวาปิ นาโหสิฯ เตนาห ‘‘อนิวตฺติตตฺตา ภยภีรุตาย จา’’ติฯ ภยภีรุตาย อภาเวเนว เภรวารมฺมณํ ทิสฺวาปิ อนิวตฺตนภาเวนาติ อโตฺถฯ น รกฺขสีนํ วสมาคมิมฺหเสติ ยกฺขกนฺตาเร ตาสํ รกฺขสีนํ วสํ น อคมิมฺหฯ ยสฺมา อมฺหากํ กุสลูปเทเส ธิติ จ ทฬฺหา อโหสิ, ภยภีรุตาภาเวน จ อนิวตฺตนสภาวา อหุมฺหา, ตสฺมา รกฺขสีนํ วสํ น อคมิมฺหาติ วุตฺตํ โหติฯ ส โสตฺถิภาโว มหตา ภเยน เมติ โส มยฺหํ อยํ อชฺช มหตา ภเยน รกฺขสีนํ สนฺติกา ปตฺตเพฺพน ทุกฺขโทมนเสฺสน โสตฺถิภาโว เขมภาโว ปีติโสมนสฺสภาโวเยว ชาโตติฯ
Tattha kusalūpadeseti kusalānaṃ upadese, paccekabuddhānaṃ ovādeti attho. Dhitiyā daḷhāya cāti daḷhāya dhitiyā ca, thirena abbocchinnanirantaravīriyena cāti attho. Anivattitattā bhayabhīrutāya cāti bhayabhīrutāya anivattitatāya ca. Tattha bhayanti cittutrāsamattaṃ parittabhayaṃ. Bhīrutāti sarīrakampanappattaṃ mahābhayaṃ. Idaṃ ubhayampi mahāsattassa ‘‘yakkhiniyo nāmetā manussakhādikā’’ti bheravārammaṇaṃ disvāpi nāhosi. Tenāha ‘‘anivattitattā bhayabhīrutāya cā’’ti. Bhayabhīrutāya abhāveneva bheravārammaṇaṃ disvāpi anivattanabhāvenāti attho. Na rakkhasīnaṃ vasamāgamimhaseti yakkhakantāre tāsaṃ rakkhasīnaṃ vasaṃ na agamimha. Yasmā amhākaṃ kusalūpadese dhiti ca daḷhā ahosi, bhayabhīrutābhāvena ca anivattanasabhāvā ahumhā, tasmā rakkhasīnaṃ vasaṃ na agamimhāti vuttaṃ hoti. Sa sotthibhāvo mahatā bhayena meti so mayhaṃ ayaṃ ajja mahatā bhayena rakkhasīnaṃ santikā pattabbena dukkhadomanassena sotthibhāvo khemabhāvo pītisomanassabhāvoyeva jātoti.
เอวํ มหาสโตฺต อิมาย คาถาย ธมฺมํ เทเสตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Evaṃ mahāsatto imāya gāthāya dhammaṃ desetvā dhammena rajjaṃ kāretvā dānādīni puññāni katvā yathākammaṃ gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘อหํ เตน สมเยน ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา รชฺชปฺปตฺตกุมาโร อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘ahaṃ tena samayena takkasilaṃ gantvā rajjappattakumāro ahosi’’nti.
ภีรุกชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Bhīrukajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๓๒. ภีรุกชาตกํ • 132. Bhīrukajātakaṃ