Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๔. ภิสจริยาวณฺณนา

    4. Bhisacariyāvaṇṇanā

    ๓๔.

    34.

    จตุเตฺถ ยทา โหมิ, กาสีนํ ปุรวรุตฺตเมติ ‘‘กาสี’’ติ พหุวจนวเสน ลทฺธโวหารสฺส รฎฺฐสฺส นครวเร พาราณสิยํ ยสฺมิํ กาเล ชาตสํวโฑฺฒ หุตฺวา วสามีติ อโตฺถฯ ภคินี จ ภาตโร สตฺต, นิพฺพตฺตา โสตฺติเย กุเลติ อุปกญฺจนาทโย ฉ อหญฺจาติ ภาตโร สตฺต สพฺพกนิฎฺฐา กญฺจนเทวี นาม ภคินี จาติ สเพฺพ มยํ อฎฺฐ ชนา มนฺตเชฺฌนนิรตตาย โสตฺติเย อุทิโตทิเต มหติ พฺราหฺมณกุเล ตทา นิพฺพตฺตา ชาตาติ อโตฺถฯ

    Catutthe yadā homi, kāsīnaṃ puravaruttameti ‘‘kāsī’’ti bahuvacanavasena laddhavohārassa raṭṭhassa nagaravare bārāṇasiyaṃ yasmiṃ kāle jātasaṃvaḍḍho hutvā vasāmīti attho. Bhaginī ca bhātaro satta, nibbattā sottiye kuleti upakañcanādayo cha ahañcāti bhātaro satta sabbakaniṭṭhā kañcanadevī nāma bhaginī cāti sabbe mayaṃ aṭṭha janā mantajjhenaniratatāya sottiye uditodite mahati brāhmaṇakule tadā nibbattā jātāti attho.

    ๓๕.

    35.

    โพธิสโตฺต หิ ตทา พาราณสิยํ อสีติโกฎิวิภวสฺส พฺราหฺมณมหาสาลสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺส ‘‘กญฺจนกุมาโร’’ติ นามํ กริํสุฯ อถสฺส ปทสา วิจรณกาเล อปโร ปุโตฺต วิชายิฯ ‘‘อุปกญฺจนกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย มหาสตฺตํ ‘‘มหากญฺจนกุมาโร’’ติ สมุทาจรนฺติฯ เอวํ ปฎิปาฎิยา สตฺต ปุตฺตา อเหสุํฯ สพฺพกนิฎฺฐา ปน เอกา ธีตาฯ ตสฺสา ‘‘กญฺจนเทวี’’ติ นามํ กริํสุฯ มหาสโตฺต วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคเหตฺวา ปจฺจาคญฺฉิฯ

    Bodhisatto hi tadā bārāṇasiyaṃ asītikoṭivibhavassa brāhmaṇamahāsālassa putto hutvā nibbatti. Tassa ‘‘kañcanakumāro’’ti nāmaṃ kariṃsu. Athassa padasā vicaraṇakāle aparo putto vijāyi. ‘‘Upakañcanakumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. Tato paṭṭhāya mahāsattaṃ ‘‘mahākañcanakumāro’’ti samudācaranti. Evaṃ paṭipāṭiyā satta puttā ahesuṃ. Sabbakaniṭṭhā pana ekā dhītā. Tassā ‘‘kañcanadevī’’ti nāmaṃ kariṃsu. Mahāsatto vayappatto takkasilaṃ gantvā sabbasippāni uggahetvā paccāgañchi.

    อถ นํ มาตาปิตโร ฆราวาเสน พนฺธิตุกามา ‘‘อตฺตโน สมานชาติกุลโต เต ทาริกํ อาเนสฺสามา’’ติ วทิํสุฯ โส ‘‘อมฺม, ตาต, น มยฺหํ ฆราวาเสน อโตฺถฯ มยฺหญฺหิ สโพฺพ โลกสนฺนิวาโส อาทิโตฺต วิย สปฺปฎิภโย, พนฺธนาคารํ วิย ปลิพุทฺธนํ, อุกฺการภูมิ วิย ชิคุโจฺฉ หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, น เม จิตฺตํ กาเมสุ รชฺชติ, อเญฺญ โว ปุตฺตา อตฺถิ, เต ฆราวาเสน นิมเนฺตถา’’ติ วตฺวา ปุนปฺปุนํ ยาจิโตปิ สหาเยหิ ยาจาปิโตปิ น อิจฺฉิ, อถ นํ สหายา ‘‘สมฺม, กิํ ปน ตฺวํ ปตฺถยโนฺต กาเม ปริภุญฺชิตุํ น อิจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส เตสํ อตฺตโน เนกฺขมฺมชฺฌาสยํ อาโรเจสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอเตสํ ปุพฺพโช อาสิ’’นฺติอาทิฯ

    Atha naṃ mātāpitaro gharāvāsena bandhitukāmā ‘‘attano samānajātikulato te dārikaṃ ānessāmā’’ti vadiṃsu. So ‘‘amma, tāta, na mayhaṃ gharāvāsena attho. Mayhañhi sabbo lokasannivāso āditto viya sappaṭibhayo, bandhanāgāraṃ viya palibuddhanaṃ, ukkārabhūmi viya jiguccho hutvā upaṭṭhāti, na me cittaṃ kāmesu rajjati, aññe vo puttā atthi, te gharāvāsena nimantethā’’ti vatvā punappunaṃ yācitopi sahāyehi yācāpitopi na icchi, atha naṃ sahāyā ‘‘samma, kiṃ pana tvaṃ patthayanto kāme paribhuñjituṃ na icchasī’’ti pucchiṃsu. So tesaṃ attano nekkhammajjhāsayaṃ ārocesi. Tena vuttaṃ ‘‘etesaṃ pubbajo āsi’’ntiādi.

    ตตฺถ เอเตสํ ปุพฺพโช อาสินฺติ เอเตสํ อุปกญฺจนกาทีนํ สตฺตนฺนํ เชฎฺฐภาติโก อหํ ตทา อโหสิํฯ หิรีสุกฺกมุปาคโตติ สุกฺกวิปากตฺตา สนฺตานสฺส วิโสธนโต จ สุกฺกํ ปาปชิคุจฺฉนลกฺขณํ หิริํ ภุสํ อาคโต, อติวิย ปาปํ ชิคุจฺฉโนฺต อาสินฺติ อโตฺถฯ ภวํ ทิสฺวาน ภยโต, เนกฺขมฺมาภิรโต อหนฺติ กามภวาทีนํ วเสน สพฺพํ ภวํ ปกฺขนฺทิตุํ อาคจฺฉนฺตํ จณฺฑหตฺถิํ วิย, หิํสิตุํ อาคจฺฉนฺตํ อุกฺขิตฺตาสิกํ วธกํ วิย, สีหํ วิย, ยกฺขํ วิย, รกฺขสํ วิย, โฆรวิสํ วิย, อาสิวิสํ วิย, อาทิตฺตํ องฺคารํ วิย, สปฺปฎิภยํ ภยานกภาวโต ปสฺสิตฺวา ตโต มุจฺจนตฺถญฺจ ปพฺพชฺชาภิรโต ปพฺพชิตฺวา ‘‘กถํ นุ โข ธมฺมจริยํ สมฺมาปฎิปตฺติํ ปูเรยฺยํ, ฌานสมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตยฺย’’นฺติ ปพฺพชฺชากุสลธมฺมปฐมชฺฌานาทิอภิรโต ตทา อหํ อาสินฺติ อโตฺถฯ

    Tattha etesaṃ pubbajo āsinti etesaṃ upakañcanakādīnaṃ sattannaṃ jeṭṭhabhātiko ahaṃ tadā ahosiṃ. Hirīsukkamupāgatoti sukkavipākattā santānassa visodhanato ca sukkaṃ pāpajigucchanalakkhaṇaṃ hiriṃ bhusaṃ āgato, ativiya pāpaṃ jigucchanto āsinti attho. Bhavaṃ disvāna bhayato, nekkhammābhirato ahanti kāmabhavādīnaṃ vasena sabbaṃ bhavaṃ pakkhandituṃ āgacchantaṃ caṇḍahatthiṃ viya, hiṃsituṃ āgacchantaṃ ukkhittāsikaṃ vadhakaṃ viya, sīhaṃ viya, yakkhaṃ viya, rakkhasaṃ viya, ghoravisaṃ viya, āsivisaṃ viya, ādittaṃ aṅgāraṃ viya, sappaṭibhayaṃ bhayānakabhāvato passitvā tato muccanatthañca pabbajjābhirato pabbajitvā ‘‘kathaṃ nu kho dhammacariyaṃ sammāpaṭipattiṃ pūreyyaṃ, jhānasamāpattiyo ca nibbatteyya’’nti pabbajjākusaladhammapaṭhamajjhānādiabhirato tadā ahaṃ āsinti attho.

    ๓๖. ปหิตาติ มาตาปิตูหิ เปสิตาฯ เอกมานสาติ สมานชฺฌาสยา ปุเพฺพ มยา เอกจฺฉนฺทา มนาปจาริโน มาตาปิตูหิ ปหิตตฺตา ปน มม ปฎิกฺกูลํ อมนาปํ วทนฺตาฯ กาเมหิ มํ นิมเนฺตนฺตีติ มหาปิตูหิ วา เอกมานสา กาเมหิ มํ นิมเนฺตนฺติฯ กุลวํสํ ธาเรหีติ ฆราวาสํ สณฺฐเปโนฺต อตฺตโน กุลวํสํ ธาเรหิ ปติฎฺฐเปหีติ กาเมหิ มํ นิมเนฺตสุนฺติ อโตฺถฯ

    36.Pahitāti mātāpitūhi pesitā. Ekamānasāti samānajjhāsayā pubbe mayā ekacchandā manāpacārino mātāpitūhi pahitattā pana mama paṭikkūlaṃ amanāpaṃ vadantā. Kāmehi maṃ nimantentīti mahāpitūhi vā ekamānasā kāmehi maṃ nimantenti. Kulavaṃsaṃ dhārehīti gharāvāsaṃ saṇṭhapento attano kulavaṃsaṃ dhārehi patiṭṭhapehīti kāmehi maṃ nimantesunti attho.

    ๓๗. ยํ เตสํ วจนํ วุตฺตนฺติ เตสํ มม ปิยสหายานํ ยํ วจนํ วุตฺตํฯ คิหิธเมฺม สุขาวหนฺติ คิหิภาเว สติ คหฎฺฐภาเว ฐิตสฺส ปุริสสฺส ญายานุคตตฺตา ทิฎฺฐธมฺมิกสฺส สมฺปรายิกสฺส จ สุขสฺส อาวหนโต สุขาวหํฯ ตํ เม อโหสิ กฐินนฺติ ตํ เตสํ มยฺหํ สหายานํ มาตาปิตูนญฺจ วจนํ เอกเนฺตเนว เนกฺขมฺมาภิรตตฺตา อมนาปภาเวน เม กฐินํ ผรุสํ ทิวสํ สนฺตตฺตผาลสทิสํ อุโภปิ กเณฺณ ฌาเปนฺตํ วิย อโหสิฯ

    37.Yaṃtesaṃ vacanaṃ vuttanti tesaṃ mama piyasahāyānaṃ yaṃ vacanaṃ vuttaṃ. Gihidhamme sukhāvahanti gihibhāve sati gahaṭṭhabhāve ṭhitassa purisassa ñāyānugatattā diṭṭhadhammikassa samparāyikassa ca sukhassa āvahanato sukhāvahaṃ. Taṃ me ahosi kaṭhinanti taṃ tesaṃ mayhaṃ sahāyānaṃ mātāpitūnañca vacanaṃ ekanteneva nekkhammābhiratattā amanāpabhāvena me kaṭhinaṃ pharusaṃ divasaṃ santattaphālasadisaṃ ubhopi kaṇṇe jhāpentaṃ viya ahosi.

    ๓๘. เต มํ ตทา อุกฺขิปนฺตนฺติ เต มยฺหํ สหายา มาตาปิตูหิ อตฺตโน จ อุปนิมนฺตนวเสน อเนกวารํ อุปนียมาเน กาเม อุทฺธมุทฺธํ ขิปนฺตํ ฉเฑฺฑนฺตํ ปฎิกฺขิปนฺตํ มํ ปุจฺฉิํสุฯ ปตฺถิตํ มมาติ อิโต วิสุทฺธตรํ กิํ นุ โข อิมินา ปตฺถิตนฺติ มยา อภิปตฺถิตํ มม ตํ ปตฺถนํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กิํ ตฺวํ ปตฺถยเส, สมฺม, ยทิ กาเม น ภุญฺชสี’’ติฯ

    38.Te maṃ tadā ukkhipantanti te mayhaṃ sahāyā mātāpitūhi attano ca upanimantanavasena anekavāraṃ upanīyamāne kāme uddhamuddhaṃ khipantaṃ chaḍḍentaṃ paṭikkhipantaṃ maṃ pucchiṃsu. Patthitaṃ mamāti ito visuddhataraṃ kiṃ nu kho iminā patthitanti mayā abhipatthitaṃ mama taṃ patthanaṃ pucchiṃsu – ‘‘kiṃ tvaṃ patthayase, samma, yadi kāme na bhuñjasī’’ti.

    ๓๙. อตฺถกาโมติ อตฺตโน อตฺถกาโม, ปาปภีรูติ อโตฺถฯ ‘‘อตฺตกาโม’’ติปิ ปาฬิฯ หิเตสินนฺติ มยฺหํ หิเตสีนํ ปิยสหายานํฯ เกจิ ‘‘อตฺถกามหิเตสิน’’นฺติ ปฐนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ

    39.Atthakāmoti attano atthakāmo, pāpabhīrūti attho. ‘‘Attakāmo’’tipi pāḷi. Hitesinanti mayhaṃ hitesīnaṃ piyasahāyānaṃ. Keci ‘‘atthakāmahitesina’’nti paṭhanti, taṃ na sundaraṃ.

    ๔๐. ปิตุ มาตุ จ สาวยุนฺติ เต มยฺหํ สหายา อนิวตฺตนียํ มม ปพฺพชฺชาฉนฺทํ วิทิตฺวา ปพฺพชิตุกามตาทีปกํ มยฺหํ วจนํ ปิตุ มาตุ จ สาเวสุํฯ ‘‘ยเคฺฆ, อมฺมตาตา, ชานาถ, เอกเนฺตเนว มหากญฺจนกุมาโร ปพฺพชิสฺสติ, น โส สกฺกา เกนจิ อุปาเยน กาเมสุ อุปเนตุ’’นฺติ อโวจุํฯ มาตาปิตา เอวมาหูติ ตทา มยฺหํ มาตาปิตโร มม สหาเยหิ วุตฺตํ มม วจนํ สุตฺวา เอวมาหํสุ – ‘‘สเพฺพว ปพฺพชาม, โภ’’ติ, ยทิ มหากญฺจนกุมารสฺส เนกฺขมฺมํ อภิรุจิตํ, ยํ ตสฺส อภิรุจิตํ, ตทมฺหากมฺปิ อภิรุจิตเมว, ตสฺมา สเพฺพว ปพฺพชาม, โภติฯ ‘‘โภ’’ติ เตสํ พฺราหฺมณานํ อาลปนํฯ ‘‘ปพฺพชาม โข’’ติปิ ปาโฐ, ปพฺพชาม เอวาติ อโตฺถฯ มหาสตฺตสฺส หิ ปพฺพชฺชาฉนฺทํ วิทิตฺวา อุปกญฺจนาทโย ฉ ภาตโร ภคินี จ กญฺจนเทวี ปพฺพชิตุกามาว อเหสุํ, เตน เตปิ มาตาปิตูหิ ฆราวาเสน นิมนฺติยมานา น อิจฺฉิํสุเยวฯ ตสฺมา เอวมาหํสุ ‘‘สเพฺพว ปพฺพชาม, โภ’’ติฯ

    40.Pitu mātu ca sāvayunti te mayhaṃ sahāyā anivattanīyaṃ mama pabbajjāchandaṃ viditvā pabbajitukāmatādīpakaṃ mayhaṃ vacanaṃ pitu mātu ca sāvesuṃ. ‘‘Yagghe, ammatātā, jānātha, ekanteneva mahākañcanakumāro pabbajissati, na so sakkā kenaci upāyena kāmesu upanetu’’nti avocuṃ. Mātāpitā evamāhūti tadā mayhaṃ mātāpitaro mama sahāyehi vuttaṃ mama vacanaṃ sutvā evamāhaṃsu – ‘‘sabbeva pabbajāma, bho’’ti, yadi mahākañcanakumārassa nekkhammaṃ abhirucitaṃ, yaṃ tassa abhirucitaṃ, tadamhākampi abhirucitameva, tasmā sabbeva pabbajāma, bhoti. ‘‘Bho’’ti tesaṃ brāhmaṇānaṃ ālapanaṃ. ‘‘Pabbajāma kho’’tipi pāṭho, pabbajāma evāti attho. Mahāsattassa hi pabbajjāchandaṃ viditvā upakañcanādayo cha bhātaro bhaginī ca kañcanadevī pabbajitukāmāva ahesuṃ, tena tepi mātāpitūhi gharāvāsena nimantiyamānā na icchiṃsuyeva. Tasmā evamāhaṃsu ‘‘sabbeva pabbajāma, bho’’ti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาสตฺตํ มาตาปิตโร ปโกฺกสิตฺวา อตฺตโนปิ อธิปฺปายํ ตสฺส อาจิกฺขิตฺวา ‘‘ตาต, ยทิ ปพฺพชิตุกาโมสิ, อสีติโกฎิธนํ ตว สนฺตกํ ยถาสุขํ วิสฺสเชฺชหี’’ติ อาหํสุฯ อถ นํ มหาปุริโส กปณทฺธิกาทีนํ วิสฺสเชฺชตฺวา มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตํ ปาวิสิฯ เตน สทฺธิํ มาตาปิตโร ฉ ภาตโร จ ภคินี จ เอโก ทาโส เอกา ทาสี เอโก จ สหาโย ฆราวาสํ ปหาย อคมํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Evañca pana vatvā mahāsattaṃ mātāpitaro pakkositvā attanopi adhippāyaṃ tassa ācikkhitvā ‘‘tāta, yadi pabbajitukāmosi, asītikoṭidhanaṃ tava santakaṃ yathāsukhaṃ vissajjehī’’ti āhaṃsu. Atha naṃ mahāpuriso kapaṇaddhikādīnaṃ vissajjetvā mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā himavantaṃ pāvisi. Tena saddhiṃ mātāpitaro cha bhātaro ca bhaginī ca eko dāso ekā dāsī eko ca sahāyo gharāvāsaṃ pahāya agamaṃsu. Tena vuttaṃ –

    ๔๑.

    41.

    ‘‘อุโภ มาตา ปิตา มยฺหํ, ภคินี จ สตฺต ภาตโร;

    ‘‘Ubho mātā pitā mayhaṃ, bhaginī ca satta bhātaro;

    อมิตธนํ ฉฑฺฑยิตฺวา, ปวิสิมฺหา มหาวน’’นฺติฯ

    Amitadhanaṃ chaḍḍayitvā, pavisimhā mahāvana’’nti.

    ชาตกฎฺฐกถายํ (ชา. อฎฺฐ. ๔.๑๔.๗๗ ภิสชาตกวณฺณนา) ปน ‘‘มาตาปิตูสุ กาลํกเตสุ เตสํ กตฺตพฺพกิจฺจํ กตฺวา มหาสโตฺต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมี’’ติ วุตฺตํฯ

    Jātakaṭṭhakathāyaṃ (jā. aṭṭha. 4.14.77 bhisajātakavaṇṇanā) pana ‘‘mātāpitūsu kālaṃkatesu tesaṃ kattabbakiccaṃ katvā mahāsatto mahābhinikkhamanaṃ nikkhamī’’ti vuttaṃ.

    เอวํ หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา จ เต โพธิสตฺตปฺปมุขา เอกํ ปทุมสรํ นิสฺสาย รมณีเย ภูมิภาเค อสฺสมํ กตฺวา ปพฺพชิตฺวา วนมูลผลาหารา ยาปยิํสุฯ เตสุ อุปกญฺจนาทโย อฎฺฐ ชนา วาเรน ผลาผลํ อาหริตฺวา เอกสฺมิํ ปาสาณผลเก อตฺตโน อิตเรสญฺจ โกฎฺฐาเส กตฺวา ฆณฺฎิสญฺญํ ทตฺวา อตฺตโน โกฎฺฐาสํ อาทาย วสนฎฺฐานํ ปวิสนฺติฯ เสสาปิ ฆณฺฎิสญฺญาย ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ปาปุณนโกฎฺฐาสํ อาทาย วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรนฺติฯ

    Evaṃ himavantaṃ pavisitvā ca te bodhisattappamukhā ekaṃ padumasaraṃ nissāya ramaṇīye bhūmibhāge assamaṃ katvā pabbajitvā vanamūlaphalāhārā yāpayiṃsu. Tesu upakañcanādayo aṭṭha janā vārena phalāphalaṃ āharitvā ekasmiṃ pāsāṇaphalake attano itaresañca koṭṭhāse katvā ghaṇṭisaññaṃ datvā attano koṭṭhāsaṃ ādāya vasanaṭṭhānaṃ pavisanti. Sesāpi ghaṇṭisaññāya paṇṇasālato nikkhamitvā attano attano pāpuṇanakoṭṭhāsaṃ ādāya vasanaṭṭhānaṃ gantvā paribhuñjitvā samaṇadhammaṃ karonti.

    อปรภาเค ภิสานิ อาหริตฺวา ตเถว ขาทนฺติฯ ตตฺถ เต โฆรตปา ปรมธิตินฺทฺริยา กสิณปริกมฺมํ กโรนฺตา วิหริํสุฯ อถ เนสํ สีลเตเชน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปิฯ สโกฺก ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘อิเม อิสโย วีมํสิสฺสามี’’ติ อตฺตโน อานุภาเวน มหาสตฺตสฺส โกฎฺฐาเส ตโย ทิวเส อนฺตรธาเปสิฯ มหาสโตฺต ปฐมทิวเส โกฎฺฐาสํ อทิสฺวา ‘‘มม โกฎฺฐาโส ปมุโฎฺฐ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ทุติยทิวเส ‘‘มม โทเสน ภวิตพฺพํ, ปณามนวเสน มม โกฎฺฐาสํ น ฐปิตํ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตสิฯ ตติยทิวเส ‘‘ตํ การณํ สุตฺวา ขมาเปสฺสามี’’ติ สายนฺหสมเย ฆณฺฎิสญฺญํ ทตฺวา ตาย สญฺญาย สเพฺพสุ สนฺนิปติเตสุ ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ตีสุปิ ทิวเสสุ เตหิ เชฎฺฐโกฎฺฐาสสฺส ฐปิตภาวํ สุตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ มยฺหํ โกฎฺฐาโส ฐปิโต, มยา ปน น ลโทฺธ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อาหฯ ตํ สุตฺวา สเพฺพว สํเวคปฺปตฺตา อเหสุํฯ

    Aparabhāge bhisāni āharitvā tatheva khādanti. Tattha te ghoratapā paramadhitindriyā kasiṇaparikammaṃ karontā vihariṃsu. Atha nesaṃ sīlatejena sakkassa bhavanaṃ kampi. Sakko taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘ime isayo vīmaṃsissāmī’’ti attano ānubhāvena mahāsattassa koṭṭhāse tayo divase antaradhāpesi. Mahāsatto paṭhamadivase koṭṭhāsaṃ adisvā ‘‘mama koṭṭhāso pamuṭṭho bhavissatī’’ti cintesi. Dutiyadivase ‘‘mama dosena bhavitabbaṃ, paṇāmanavasena mama koṭṭhāsaṃ na ṭhapitaṃ maññe’’ti cintesi. Tatiyadivase ‘‘taṃ kāraṇaṃ sutvā khamāpessāmī’’ti sāyanhasamaye ghaṇṭisaññaṃ datvā tāya saññāya sabbesu sannipatitesu tamatthaṃ ārocetvā tīsupi divasesu tehi jeṭṭhakoṭṭhāsassa ṭhapitabhāvaṃ sutvā ‘‘tumhehi mayhaṃ koṭṭhāso ṭhapito, mayā pana na laddho, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti āha. Taṃ sutvā sabbeva saṃvegappattā ahesuṃ.

    ตสฺมิํ อสฺสเม รุกฺขเทวตาปิ อตฺตโน ภวนโต โอตริตฺวา เตสํ สนฺติเก นิสีทิฯ มนุสฺสานํ หตฺถโต ปลายิตฺวา อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ เอโก วารโณ อหิตุณฺฑิกหตฺถโต ปลายิตฺวา มุโตฺต สปฺปกีฬาปนโก เอโก วานโร จ เตหิ อิสีหิ กตปริจยา ตทา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ สโกฺกปิ ‘‘อิสิคณํ ปริคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ อทิสฺสมานกาโย ตเตฺถว อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิญฺจ ขเณ โพธิสตฺตสฺส กนิโฎฺฐ อุปกญฺจนตาปโส อุฎฺฐาย โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา เสสานํ อปจิติํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อหํ สญฺญํ ปฎฺฐเปตฺวา อตฺตานเญฺญว โสเธตุํ ลภามี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, ลภสี’’ติ วุเตฺต อิสิคณมเชฺฌ ฐตฺวา สปถํ กโรโนฺต –

    Tasmiṃ assame rukkhadevatāpi attano bhavanato otaritvā tesaṃ santike nisīdi. Manussānaṃ hatthato palāyitvā araññaṃ paviṭṭho eko vāraṇo ahituṇḍikahatthato palāyitvā mutto sappakīḷāpanako eko vānaro ca tehi isīhi kataparicayā tadā tesaṃ santikaṃ gantvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Sakkopi ‘‘isigaṇaṃ pariggaṇhissāmī’’ti adissamānakāyo tattheva aṭṭhāsi. Tasmiñca khaṇe bodhisattassa kaniṭṭho upakañcanatāpaso uṭṭhāya bodhisattaṃ vanditvā sesānaṃ apacitiṃ dassetvā ‘‘ahaṃ saññaṃ paṭṭhapetvā attānaññeva sodhetuṃ labhāmī’’ti pucchitvā ‘‘āma, labhasī’’ti vutte isigaṇamajjhe ṭhatvā sapathaṃ karonto –

    ‘‘อสฺสํ ควํ รชตํ ชาตรูปํ, ภริยญฺจ โส อิธ ลภตํ มนาปํ;

    ‘‘Assaṃ gavaṃ rajataṃ jātarūpaṃ, bhariyañca so idha labhataṃ manāpaṃ;

    ปุเตฺตหิ ทาเรหิ สมงฺคิ โหตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๗๘) –

    Puttehi dārehi samaṅgi hotu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsī’’ti. (jā. 1.14.78) –

    อิมํ คาถํ อภาสิฯ อิมญฺหิ โส ‘‘ยตฺตกานิ ปิยวตฺถูนิ โหนฺติ, เตหิ วิปฺปโยเค ตตฺตกานิ ทุกฺขานิ อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ วตฺถุกาเม ครหโนฺต อาหฯ

    Imaṃ gāthaṃ abhāsi. Imañhi so ‘‘yattakāni piyavatthūni honti, tehi vippayoge tattakāni dukkhāni uppajjantī’’ti vatthukāme garahanto āha.

    ตํ สุตฺวา อิสิคโณ ‘‘มาริส, มา กถย, อติภาริโย เต สปโถ’’ติ กเณฺณ ปิทหิฯ โพธิสโตฺตปิ ‘‘อติภาริโย เต สปโถ, น, ตฺวํ ตาต, คณฺหสิ, ตว ปตฺตาสเน นิสีทา’’ติ อาหฯ เสสาปิ สปถํ กโรนฺตา ยถากฺกมํ –

    Taṃ sutvā isigaṇo ‘‘mārisa, mā kathaya, atibhāriyo te sapatho’’ti kaṇṇe pidahi. Bodhisattopi ‘‘atibhāriyo te sapatho, na, tvaṃ tāta, gaṇhasi, tava pattāsane nisīdā’’ti āha. Sesāpi sapathaṃ karontā yathākkamaṃ –

    ‘‘มาลญฺจ โส กาสิกจนฺทนญฺจ, ธาเรตุ ปุตฺตสฺส พหู ภวนฺตุ;

    ‘‘Mālañca so kāsikacandanañca, dhāretu puttassa bahū bhavantu;

    กาเมสุ ติพฺพํ กุรุตํ อเปกฺขํ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Kāmesu tibbaṃ kurutaṃ apekkhaṃ, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘ปหูตธโญฺญ กสิมา ยสสฺสี, ปุเตฺต คิหี ธนิมา สพฺพกาเม;

    ‘‘Pahūtadhañño kasimā yasassī, putte gihī dhanimā sabbakāme;

    วยํ อปสฺสํ ฆรมาวสาตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Vayaṃ apassaṃ gharamāvasātu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘โส ขตฺติโย โหตุ ปสยฺหการี, ราชาภิราชา พลวา ยสสฺสี;

    ‘‘So khattiyo hotu pasayhakārī, rājābhirājā balavā yasassī;

    สจาตุรนฺตํ มหิมาวสาตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Sacāturantaṃ mahimāvasātu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘โส พฺราหฺมโณ โหตุ อวีตราโค, มุหุตฺตนกฺขตฺตปเถสุ ยุโตฺต;

    ‘‘So brāhmaṇo hotu avītarāgo, muhuttanakkhattapathesu yutto;

    ปูเชตุ นํ รฎฺฐปตี ยสสฺสี, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Pūjetu naṃ raṭṭhapatī yasassī, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘อชฺฌายกํ สพฺพสมนฺตเวทํ, ตปสฺสินํ มญฺญตุ สพฺพโลโก;

    ‘‘Ajjhāyakaṃ sabbasamantavedaṃ, tapassinaṃ maññatu sabbaloko;

    ปูเชนฺตุ นํ ชานปทา สเมจฺจ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Pūjentu naṃ jānapadā samecca, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘จตุสฺสทํ คามวรํ สมิทฺธํ, ทินฺนญฺหิ โส ภุญฺชตุ วาสเวน;

    ‘‘Catussadaṃ gāmavaraṃ samiddhaṃ, dinnañhi so bhuñjatu vāsavena;

    อวีตราโค มรณํ อุเปตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Avītarāgo maraṇaṃ upetu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘โส คามณี โหตุ สหายมเชฺฌ, นเจฺจหิ คีเตหิ ปโมทมาโน;

    ‘‘So gāmaṇī hotu sahāyamajjhe, naccehi gītehi pamodamāno;

    โส ราชโต พฺยสนมาลตฺถ กิญฺจิ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    So rājato byasanamālattha kiñci, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘ตํ เอกราชา ปถวิํ วิเชตฺวา, อิตฺถีสหสฺสสฺส ฐเปตุ อเคฺค;

    ‘‘Taṃ ekarājā pathaviṃ vijetvā, itthīsahassassa ṭhapetu agge;

    สีมนฺตินีนํ ปวรา ภวาตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ ยา อหาสิฯ

    Sīmantinīnaṃ pavarā bhavātu, bhisāni te brāhmaṇa yā ahāsi.

    ‘‘อิสีนญฺหิ สา สพฺพสมาคตานํ, ภุเญฺชยฺย สาทุํ อวิกมฺปมานา;

    ‘‘Isīnañhi sā sabbasamāgatānaṃ, bhuñjeyya sāduṃ avikampamānā;

    จราตุ ลาเภน วิกตฺถมานา, ภิสานิ เต พฺราหณ ยา อหาสิฯ

    Carātu lābhena vikatthamānā, bhisāni te brāhaṇa yā ahāsi.

    ‘‘อาวาสิโก โหตุ มหาวิหาเร, นวกมฺมิโก โหตุ คชงฺคลายํ;

    ‘‘Āvāsiko hotu mahāvihāre, navakammiko hotu gajaṅgalāyaṃ;

    อาโลกสนฺธิํ ทิวสํ กโรตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Ālokasandhiṃ divasaṃ karotu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘โส พชฺฌตํ ปาสสเตหิ ฉมฺหิ, รมฺมา วนา นียตุ ราชธานิํ;

    ‘‘So bajjhataṃ pāsasatehi chamhi, rammā vanā nīyatu rājadhāniṃ;

    ตุเตฺตหิ โส หญฺญตุ ปาจเนหิ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Tuttehi so haññatu pācanehi, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ‘‘อลกฺกมาลี ติปุกณฺณปิโฎฺฐ, ลฎฺฐีหโต สปฺปมุขํ อุเปตุ;

    ‘‘Alakkamālī tipukaṇṇapiṭṭho, laṭṭhīhato sappamukhaṃ upetu;

    สกจฺฉพโนฺธ วิสิขํ จราตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๗๙-๙๐) –

    Sakacchabandho visikhaṃ carātu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsī’’ti. (jā. 1.14.79-90) –

    อิมา คาถาโย อโวจุํฯ

    Imā gāthāyo avocuṃ.

    ตตฺถ ติพฺพนฺติ วตฺถุกามกิเลสกาเมสุ พหลํ อเปกฺขํ กโรตุฯ กสิมาติ สมฺปนฺนกสิกโมฺมฯ ปุเตฺต คิหี ธนิมา สพฺพกาเมติ ปุเตฺต ลภตุ, คิหี โหตุ, สตฺตวิเธน ธเนน ธนิมา โหตุ, รูปาทิเภเท สพฺพกาเม ลภตุฯ วยํ อปสฺสนฺติ มหลฺลกกาเลปิ อปพฺพชิตฺวา อตฺตโน วยํ อปสฺสโนฺต ปญฺจกามคุณสมิทฺธํ ฆรเมว อาวสตุฯ ราชาภิราชาติ ราชูนํ อนฺตเร อติราชาฯ อวีตราโคติ ปุโรหิตฎฺฐานตณฺหาย สตโณฺหฯ ตปสฺสินนฺติ ตปสีลํ, สีลสมฺปโนฺนติ นํ มญฺญตุฯ จตุสฺสทนฺติ อากิณฺณมนุสฺสตาย มนุเสฺสหิ ปหูตธญฺญตาย ธเญฺญน สุลภทารุตาย ทารูหิ สมฺปโนฺนทกตาย อุทเกนาติ จตูหิ อุสฺสนฺนํฯ วาสเวนาติ วาสเวน ทินฺนํ วิย อจลํ, วาสวโต ลทฺธวรานุภาเวเนว ราชานํ อาราเธตฺวา เตน ทินฺนนฺติปิ อโตฺถฯ อวีตราโคติ อวิคตราโค กทฺทเม สูกโร วิย กามปเงฺก นิมุโคฺคว โหตุฯ

    Tattha tibbanti vatthukāmakilesakāmesu bahalaṃ apekkhaṃ karotu. Kasimāti sampannakasikammo. Putte gihī dhanimā sabbakāmeti putte labhatu, gihī hotu, sattavidhena dhanena dhanimā hotu, rūpādibhede sabbakāme labhatu. Vayaṃ apassanti mahallakakālepi apabbajitvā attano vayaṃ apassanto pañcakāmaguṇasamiddhaṃ gharameva āvasatu. Rājābhirājāti rājūnaṃ antare atirājā. Avītarāgoti purohitaṭṭhānataṇhāya sataṇho. Tapassinanti tapasīlaṃ, sīlasampannoti naṃ maññatu. Catussadanti ākiṇṇamanussatāya manussehi pahūtadhaññatāya dhaññena sulabhadārutāya dārūhi sampannodakatāya udakenāti catūhi ussannaṃ. Vāsavenāti vāsavena dinnaṃ viya acalaṃ, vāsavato laddhavarānubhāveneva rājānaṃ ārādhetvā tena dinnantipi attho. Avītarāgoti avigatarāgo kaddame sūkaro viya kāmapaṅke nimuggova hotu.

    คามณีติ คามเชฎฺฐโกฯ นฺติ ตํ อิตฺถิํฯ เอกราชาติ อคฺคราชาฯ อิตฺถีสหสฺสสฺสาติ วจนมฎฺฐตาย วุตฺตํฯ โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปตูติ อโตฺถฯ สีมนฺตินีนนฺติ สีมนฺตธรานํ, อิตฺถีนนฺติ อโตฺถฯ สพฺพสมาคตานนฺติ สเพฺพสํ สนฺนิปติตานํ มเชฺฌ นิสีทิตฺวาฯ อวิกมฺปมานาติ อโนสกฺกมานา สาทุรสํ ภุญฺชตูติ อโตฺถฯ จราตุ ลาเภน วิกตฺถมานาติ ลาภเหตุ สิงฺคารเวสํ คเหตฺวา ลาภํ อุปฺปาเทตุํ จรตุฯ อาวาสิโกติ อาวาสชคฺคนโกฯ คชงฺคลายนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ ตตฺถ กิร ทพฺพสมฺภารา สุลภาฯ อาโลกสนฺธิํ ทิวสนฺติ เอกทิวเสน เอกเมว วาตปานํ กโรตุฯ โส กิร เทวปุโตฺต กสฺสปพุทฺธกาเล คชงฺคลนครํ นิสฺสาย โยชนิเก มหาวิหาเร อาวาสิโก สงฺฆเตฺถโร หุตฺวา ชิเณฺณ วิหาเร นวกมฺมานิ กโรโนฺตว มหาทุกฺขํ อนุภวิ, ตํ สนฺธายาหฯ

    Gāmaṇīti gāmajeṭṭhako. Tanti taṃ itthiṃ. Ekarājāti aggarājā. Itthīsahassassāti vacanamaṭṭhatāya vuttaṃ. Soḷasannaṃ itthisahassānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapetūti attho. Sīmantinīnanti sīmantadharānaṃ, itthīnanti attho. Sabbasamāgatānanti sabbesaṃ sannipatitānaṃ majjhe nisīditvā. Avikampamānāti anosakkamānā sādurasaṃ bhuñjatūti attho. Carātu lābhena vikatthamānāti lābhahetu siṅgāravesaṃ gahetvā lābhaṃ uppādetuṃ caratu. Āvāsikoti āvāsajagganako. Gajaṅgalāyanti evaṃnāmake nagare. Tattha kira dabbasambhārā sulabhā. Ālokasandhiṃ divasanti ekadivasena ekameva vātapānaṃ karotu. So kira devaputto kassapabuddhakāle gajaṅgalanagaraṃ nissāya yojanike mahāvihāre āvāsiko saṅghatthero hutvā jiṇṇe vihāre navakammāni karontova mahādukkhaṃ anubhavi, taṃ sandhāyāha.

    ปาสสเตหีติ พหูหิ ปาเสหิฯ ฉมฺหีติ จตูสุ ปาเทสุ คีวาย กฎิภาเค จาติ ฉสุ ฐาเนสุฯ ตุเตฺตหีติ ทฺวิกณฺฎกาหิ ทีฆลฎฺฐีหิฯ ปาจเนหีติ รสฺสปาจเนหิ, องฺกุสเกหิ วาฯ อลกฺกมาลีติ อหิตุณฺฑิเกน กเณฺฐ ปริกฺขิปิตฺวา ฐปิตาย อลกฺกมาลาย สมนฺนาคโตฯ ติปุกณฺณปิโฎฺฐติ ติปุปิฬนฺธเนน ปิฬนฺธิตปิฎฺฐิกโณฺณ กณฺณปิโฎฺฐฯ ลฎฺฐิหโตติ สปฺปกีฬาปนํ สิกฺขาปยมาโน ลฎฺฐิยา หโต หุตฺวาฯ สพฺพํ เต กามโภคํ ฆราวาสํ อตฺตนา อตฺตนา อนุภูตทุกฺขญฺจ ชิคุจฺฉนฺตา ตถา ตถา สปถํ กโรนฺตา เอวมาหํสุฯ

    Pāsasatehīti bahūhi pāsehi. Chamhīti catūsu pādesu gīvāya kaṭibhāge cāti chasu ṭhānesu. Tuttehīti dvikaṇṭakāhi dīghalaṭṭhīhi. Pācanehīti rassapācanehi, aṅkusakehi vā. Alakkamālīti ahituṇḍikena kaṇṭhe parikkhipitvā ṭhapitāya alakkamālāya samannāgato. Tipukaṇṇapiṭṭhoti tipupiḷandhanena piḷandhitapiṭṭhikaṇṇo kaṇṇapiṭṭho. Laṭṭhihatoti sappakīḷāpanaṃ sikkhāpayamāno laṭṭhiyā hato hutvā. Sabbaṃ te kāmabhogaṃ gharāvāsaṃ attanā attanā anubhūtadukkhañca jigucchantā tathā tathā sapathaṃ karontā evamāhaṃsu.

    อถ โพธิสโตฺต ‘‘สเพฺพหิ อิเมหิ สปโถ กโต, มยาปิ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ สปถํ กโรโนฺต –

    Atha bodhisatto ‘‘sabbehi imehi sapatho kato, mayāpi kātuṃ vaṭṭatī’’ti sapathaṃ karonto –

    ‘‘โย เว อนฎฺฐํว นฎฺฐนฺติ จาห, กาเมว โส ลภตํ ภุญฺชตญฺจ;

    ‘‘Yo ve anaṭṭhaṃva naṭṭhanti cāha, kāmeva so labhataṃ bhuñjatañca;

    อคารมเชฺฌ มรณํ อุเปตุ, โย วา โภโนฺต สงฺกติ กญฺจิ เทวา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๙๑) –

    Agāramajjhe maraṇaṃ upetu, yo vā bhonto saṅkati kañci devā’’ti. (jā. 1.14.91) –

    อิมํ คาถมาหฯ

    Imaṃ gāthamāha.

    ตตฺถ โภโนฺตติ ภวโนฺตฯ สงฺกตีติ อาสงฺกติฯ กญฺจีติ อญฺญตรํฯ

    Tattha bhontoti bhavanto. Saṅkatīti āsaṅkati. Kañcīti aññataraṃ.

    อถ สโกฺก ‘‘สเพฺพปิเม กาเมสุ นิรเปกฺขา’’ติ ชานิตฺวา สํวิคฺคมานโส น อิเมสุ เกนจิปิ ภิสานิ นีตานิ, นาปิ ตยา อนฎฺฐํ นฎฺฐนฺติ วุตฺตํ, อปิจ อหํ ตุเมฺห วีมํสิตุกาโม อนฺตรธาเปสินฺติ ทเสฺสโนฺต –

    Atha sakko ‘‘sabbepime kāmesu nirapekkhā’’ti jānitvā saṃviggamānaso na imesu kenacipi bhisāni nītāni, nāpi tayā anaṭṭhaṃ naṭṭhanti vuttaṃ, apica ahaṃ tumhe vīmaṃsitukāmo antaradhāpesinti dassento –

    ‘‘วีมํสมาโน อิสิโน ภิสานิ, ตีเร คเหตฺวาน ถเล นิเธสิํ;

    ‘‘Vīmaṃsamāno isino bhisāni, tīre gahetvāna thale nidhesiṃ;

    สุทฺธา อปาปา อิสโย วสนฺติ, เอตานิ เต พฺรหฺมจารี ภิสานี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๙๕) –

    Suddhā apāpā isayo vasanti, etāni te brahmacārī bhisānī’’ti. (jā. 1.14.95) –

    โอสานคาถมาหฯ

    Osānagāthamāha.

    ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต –

    Taṃ sutvā bodhisatto –

    ‘‘น เต นฎา โน ปน กีฬเนยฺยา, น พนฺธวา โน ปน เต สหายา;

    ‘‘Na te naṭā no pana kīḷaneyyā, na bandhavā no pana te sahāyā;

    กิสฺมิํ วุปตฺถมฺภ สหสฺสเนตฺต, อิสีหิ ตฺวํ กีฬสิ เทวราชา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๙๖) –

    Kismiṃ vupatthambha sahassanetta, isīhi tvaṃ kīḷasi devarājā’’ti. (jā. 1.14.96) –

    สกฺกํ ตเชฺชสิฯ

    Sakkaṃ tajjesi.

    อถ นํ สโกฺก –

    Atha naṃ sakko –

    ‘‘อาจริโย เมสิ ปิตา จ มยฺหํ, เอสา ปติฎฺฐา ขลิตสฺส พฺรเหฺม;

    ‘‘Ācariyo mesi pitā ca mayhaṃ, esā patiṭṭhā khalitassa brahme;

    เอกาปราธํ ขม ภูริปญฺญ, น ปณฺฑิตา โกธพลา ภวนฺตี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๙๗) –

    Ekāparādhaṃ khama bhūripañña, na paṇḍitā kodhabalā bhavantī’’ti. (jā. 1.14.97) –

    ขมาเปสิฯ

    Khamāpesi.

    มหาสโตฺต สกฺกสฺส เทวรโญฺญ ขมิตฺวา สยํ อิสิคณํ ขมาเปโนฺต –

    Mahāsatto sakkassa devarañño khamitvā sayaṃ isigaṇaṃ khamāpento –

    ‘‘สุวาสิตํ อิสินํ เอกรตฺตํ, ยํ วาสวํ ภูตปติทฺทสาม;

    ‘‘Suvāsitaṃ isinaṃ ekarattaṃ, yaṃ vāsavaṃ bhūtapatiddasāma;

    สเพฺพว โภโนฺต สุมนา ภวนฺตุ, ยํ พฺราหฺมโณ ปจฺจุปาที ภิสานี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๙๘) –

    Sabbeva bhonto sumanā bhavantu, yaṃ brāhmaṇo paccupādī bhisānī’’ti. (jā. 1.14.98) –

    อาหฯ

    Āha.

    ตตฺถ น เต นฎาติ, เทวราช, มยํ ตว นฎา วา กีฬิตพฺพยุตฺตกา วา น โหมฯ นาปิ ตว ญาตกา, สหายา หสฺสํ กาตพฺพาฯ อถ ตฺวํ กิสฺมิํ วุปตฺถมฺภาติ กิํ อุปตฺถมฺภกํ กตฺวา, กิํ นิสฺสาย อิสีหิ สทฺธิํ กีฬสีติ อโตฺถฯ เอสา ปติฎฺฐาติ เอสา ตว ปาทจฺฉายา อชฺช มม ขลิตสฺส อปราธสฺส ปติฎฺฐา โหตุฯ สุวาสิตนฺติ อายสฺมนฺตานํ อิสีนํ เอกรตฺติมฺปิ อิมสฺมิํ อรเญฺญ วสิตํ สุวสิตเมวฯ กิํการณา? ยํ วาสวํ ภูตปติํ อทฺทสามฯ สเจ หิ มยํ นคเร อวสิมฺหา, น อิมํ อทฺทสามฯ โภโนฺตติ ภวโนฺตฯ สเพฺพปิ สุมนา ภวนฺตุ ตุสฺสนฺตุ, สกฺกสฺส เทวรโญฺญ ขมนฺตุ, กิํการณา? ยํ พฺราหฺมโณ ปจฺจุปาที ภิสานิ ยสฺมา ตุมฺหากํ อาจริโย ภิสานิ อลภีติฯ สโกฺก อิสิคณํ วนฺทิตฺวา เทวโลกํ คโตฯ อิสิคโณปิ ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Tattha na te naṭāti, devarāja, mayaṃ tava naṭā vā kīḷitabbayuttakā vā na homa. Nāpi tava ñātakā, sahāyā hassaṃ kātabbā. Atha tvaṃ kismiṃ vupatthambhāti kiṃ upatthambhakaṃ katvā, kiṃ nissāya isīhi saddhiṃ kīḷasīti attho. Esā patiṭṭhāti esā tava pādacchāyā ajja mama khalitassa aparādhassa patiṭṭhā hotu. Suvāsitanti āyasmantānaṃ isīnaṃ ekarattimpi imasmiṃ araññe vasitaṃ suvasitameva. Kiṃkāraṇā? Yaṃ vāsavaṃ bhūtapatiṃ addasāma. Sace hi mayaṃ nagare avasimhā, na imaṃ addasāma. Bhontoti bhavanto. Sabbepi sumanā bhavantu tussantu, sakkassa devarañño khamantu, kiṃkāraṇā? Yaṃ brāhmaṇo paccupādī bhisāni yasmā tumhākaṃ ācariyo bhisāni alabhīti. Sakko isigaṇaṃ vanditvā devalokaṃ gato. Isigaṇopi jhānābhiññāyo nibbattetvā brahmalokūpago ahosi.

    ตทา อุปกญฺจนาทโย ฉ ภาตโร สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานมหากสฺสปอนุรุทฺธปุณฺณอานนฺทเตฺถรา, ภคินี อุปฺปลวณฺณา, ทาสี ขุชฺชุตฺตรา, ทาโส จิโตฺต คหปติ, รุกฺขเทวตา สาตาคิโร, วารโณ ปาลิเลยฺยนาโค, วานโร มธุวาสิโฎฺฐ, สโกฺก กาฬุทายี, มหากญฺจนตาปโส โลกนาโถฯ

    Tadā upakañcanādayo cha bhātaro sāriputtamoggallānamahākassapaanuruddhapuṇṇaānandattherā, bhaginī uppalavaṇṇā, dāsī khujjuttarā, dāso citto gahapati, rukkhadevatā sātāgiro, vāraṇo pālileyyanāgo, vānaro madhuvāsiṭṭho, sakko kāḷudāyī, mahākañcanatāpaso lokanātho.

    ตสฺส อิธาปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ทส ปารมิโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา อจฺจนฺตเมว กาเมสุ อนเปกฺขตาทโย คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาติฯ

    Tassa idhāpi heṭṭhā vuttanayeneva dasa pāramiyo niddhāretabbā. Tathā accantameva kāmesu anapekkhatādayo guṇānubhāvā vibhāvetabbāti.

    ภิสจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bhisacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๔. ภิสจริยา • 4. Bhisacariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact