Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๘๘] ๕. ภิสชาตกวณฺณนา

    [488] 5. Bhisajātakavaṇṇanā

    อสฺสํ ควํ รชตํ ชาตรูปนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ปน กุสชาตเก (ชา. ๒.๒๐.๑ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ ตทา ปน สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํ ปฎิจฺจา’’ติ วตฺวา ‘‘กิเลสํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา กสฺมา กิเลสํ ปฎิจฺจ อุกฺกณฺฐิโตสิ, โปราณกปณฺฑิตา อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ พาหิรกปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา วตฺถุกามกิเลสกาเม อารพฺภ อุปฺปชฺชนกสญฺญํ สปถํ กตฺวา วิหริํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Assaṃgavaṃ rajataṃ jātarūpanti idaṃ satthā jetavane viharanto ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Vatthu pana kusajātake (jā. 2.20.1 ādayo) āvi bhavissati. Tadā pana satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘kiṃ paṭiccā’’ti vatvā ‘‘kilesaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā kasmā kilesaṃ paṭicca ukkaṇṭhitosi, porāṇakapaṇḍitā anuppanne buddhe bāhirakapabbajjaṃ pabbajitvā vatthukāmakilesakāme ārabbha uppajjanakasaññaṃ sapathaṃ katvā vihariṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อสีติโกฎิวิภวสฺส พฺราหฺมณมหาสาลกุลสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ‘‘มหากญฺจนกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ อถสฺส ปทสา วิจรณกาเล อปโรปิ ปุโตฺต ชายิ, ‘‘อุปกญฺจนกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ เอวํ ปฎิปาฎิยา สตฺต ปุตฺตา อเหสุํฯ สพฺพกนิฎฺฐา ปเนกา ธีตา, ตสฺสา ‘‘กญฺจนเทวี’’ติ นามํ กริํสุฯ มหากญฺจนกุมาโร วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลโต สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา อาคจฺฉิฯ อถ นํ มาตาปิตโร ฆราวาเสน พนฺธิตุกามา ‘‘อตฺตนา สมานชาติยกุลโต เต ทาริกํ อาเนสฺสาม, ฆราวาสํ สณฺฐเปหี’’ติ วทิํสุฯ ‘‘อมฺมตาตา, น มยฺหํ ฆราวาเสนโตฺถ, มยฺหญฺหิ ตโย ภวา อาทิตฺตา วิย สปฺปฎิภยา, พนฺธนาคารํ วิย ปลิพุทฺธา, อุกฺการภูมิ วิย เชคุจฺฉา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, มยา สุปิเนนปิ เมถุนธโมฺม น ทิฎฺฐปุโพฺพ, อเญฺญ โว ปุตฺตา อตฺถิ, เต ฆราวาเสน นิมเนฺตถา’’ติ วตฺวา ปุนปฺปุนํ ยาจิโตปิ สหาเย เปเสตฺวา เตหิ ยาจิโตปิ น อิจฺฉิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto asītikoṭivibhavassa brāhmaṇamahāsālakulassa putto hutvā nibbatti, ‘‘mahākañcanakumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. Athassa padasā vicaraṇakāle aparopi putto jāyi, ‘‘upakañcanakumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. Evaṃ paṭipāṭiyā satta puttā ahesuṃ. Sabbakaniṭṭhā panekā dhītā, tassā ‘‘kañcanadevī’’ti nāmaṃ kariṃsu. Mahākañcanakumāro vayappatto takkasilato sabbasippāni uggaṇhitvā āgacchi. Atha naṃ mātāpitaro gharāvāsena bandhitukāmā ‘‘attanā samānajātiyakulato te dārikaṃ ānessāma, gharāvāsaṃ saṇṭhapehī’’ti vadiṃsu. ‘‘Ammatātā, na mayhaṃ gharāvāsenattho, mayhañhi tayo bhavā ādittā viya sappaṭibhayā, bandhanāgāraṃ viya palibuddhā, ukkārabhūmi viya jegucchā hutvā upaṭṭhahanti, mayā supinenapi methunadhammo na diṭṭhapubbo, aññe vo puttā atthi, te gharāvāsena nimantethā’’ti vatvā punappunaṃ yācitopi sahāye pesetvā tehi yācitopi na icchi.

    อถ นํ สหายา ‘‘สมฺม, กิํ ปน ตฺวํ ปเตฺถโนฺต กาเม ปริภุญฺชิตุํ น อิจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส เตสํ เนกฺขมฺมชฺฌาสยตํ อาโรเจสิฯ ตํ สุตฺวา มาตาปิตโร เสสปุเตฺต นิมเนฺตสุํ, เตปิ น อิจฺฉิํสุฯ กญฺจนเทวีปิ น อิจฺฉิเยวฯ อปรภาเค มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ มหากญฺจนปณฺฑิโต มาตาปิตูนํ กตฺตพฺพกิจฺจํ กตฺวา อสีติโกฎิธเนน กปณทฺธิกานํ มหาทานํ ทตฺวา ฉ ภาตโร ภคินิํ เอกํ ทาสํ เอกํ ทาสิํ เอกํ สหายกญฺจ อาทาย มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตํ ปาวิสิฯ เต ตตฺถ เอกํ ปทุมสรํ นิสฺสาย รมณีเย ภูมิภาเค อสฺสมํ กตฺวา ปพฺพชิตฺวา วนมูลผลาหาเรหิ ยาปยิํสุฯ เต อรญฺญํ คจฺฉนฺตา เอกโตว คนฺตฺวา ยตฺถ เอโก ผลํ วา ปตฺตํ วา ปสฺสติ, ตตฺถ อิตเรปิ ปโกฺกสิตฺวา ทิฎฺฐสุตาทีนิ กเถนฺตา อุจฺจินนฺติ, คามสฺส กมฺมนฺตฎฺฐานํ วิย โหติฯ อถ อาจริโย มหากญฺจนตาปโส จิเนฺตสิ ‘‘อมฺหากํ อสีติโกฎิธนํ ฉเฑฺฑตฺวา ปพฺพชิตานํ เอวํ โลลุปฺปจารวเสน ผลาผลตฺถาย วิจรณํ นาม อปฺปติรูปํ, อิโต ปฎฺฐาย อหเมว ผลาผลํ อาหริสฺสามี’’ติฯ โส อสฺสมํ ปตฺวา สเพฺพปิ เต สายนฺหสมเย สนฺนิปาเตตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตุเมฺห อิเธว สมณธมฺมํ กโรนฺตา อจฺฉถ, อหํ ผลาผลํ อาหริสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ อุปกญฺจนาทโย ‘‘มยํ อาจริย, ตุเมฺห นิสฺสาย ปพฺพชิตา, ตุเมฺห อิเธว สมณธมฺมํ กโรถ, ภคินีปิ โน อิเธว โหตุ, ทาสีปิ ตสฺสา สนฺติเก อจฺฉตุ, มยํ อฎฺฐ ชนา วาเรน ผลาผลํ อาหริสฺสาม, ตุเมฺห ปน ตโย วารมุตฺตาว โหถา’’ติ วตฺวา ปฎิญฺญํ คณฺหิํสุฯ

    Atha naṃ sahāyā ‘‘samma, kiṃ pana tvaṃ patthento kāme paribhuñjituṃ na icchasī’’ti pucchiṃsu. So tesaṃ nekkhammajjhāsayataṃ ārocesi. Taṃ sutvā mātāpitaro sesaputte nimantesuṃ, tepi na icchiṃsu. Kañcanadevīpi na icchiyeva. Aparabhāge mātāpitaro kālamakaṃsu. Mahākañcanapaṇḍito mātāpitūnaṃ kattabbakiccaṃ katvā asītikoṭidhanena kapaṇaddhikānaṃ mahādānaṃ datvā cha bhātaro bhaginiṃ ekaṃ dāsaṃ ekaṃ dāsiṃ ekaṃ sahāyakañca ādāya mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā himavantaṃ pāvisi. Te tattha ekaṃ padumasaraṃ nissāya ramaṇīye bhūmibhāge assamaṃ katvā pabbajitvā vanamūlaphalāhārehi yāpayiṃsu. Te araññaṃ gacchantā ekatova gantvā yattha eko phalaṃ vā pattaṃ vā passati, tattha itarepi pakkositvā diṭṭhasutādīni kathentā uccinanti, gāmassa kammantaṭṭhānaṃ viya hoti. Atha ācariyo mahākañcanatāpaso cintesi ‘‘amhākaṃ asītikoṭidhanaṃ chaḍḍetvā pabbajitānaṃ evaṃ loluppacāravasena phalāphalatthāya vicaraṇaṃ nāma appatirūpaṃ, ito paṭṭhāya ahameva phalāphalaṃ āharissāmī’’ti. So assamaṃ patvā sabbepi te sāyanhasamaye sannipātetvā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘tumhe idheva samaṇadhammaṃ karontā acchatha, ahaṃ phalāphalaṃ āharissāmī’’ti āha. Atha naṃ upakañcanādayo ‘‘mayaṃ ācariya, tumhe nissāya pabbajitā, tumhe idheva samaṇadhammaṃ karotha, bhaginīpi no idheva hotu, dāsīpi tassā santike acchatu, mayaṃ aṭṭha janā vārena phalāphalaṃ āharissāma, tumhe pana tayo vāramuttāva hothā’’ti vatvā paṭiññaṃ gaṇhiṃsu.

    ตโต ปฎฺฐาย อฎฺฐสุปิ ชเนสุ เอเกโก วาเรเนว ผลาผลํ อาหรติฯ เสสา อตฺตโน อตฺตโน ปณฺณสาลายเมว โหนฺติ, อการเณน เอกโต ภวิตุํ น ลภนฺติฯ วารปฺปโตฺต ผลาผลํ อาหริตฺวา เอโก มาฬโก อตฺถิ, ตตฺถ ปาสาณผลเก เอกาทส โกฎฺฐาเส กตฺวา ฆณฺฑิสญฺญํ กตฺวา อตฺตโน โกฎฺฐาสํ อาทาย วสนฎฺฐานํ ปวิสติฯ เสสา ฆณฺฑิสญฺญาย นิกฺขมิตฺวา โลลุปฺปํ อกตฺวา คารวปริหาเรน คนฺตฺวา อตฺตโน ปาปุณนโกฎฺฐาสํ อาทาย วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรนฺติฯ เต อปรภาเค ภิสานิ อาหริตฺวา ขาทนฺตา ตตฺตตปา โฆรตปา ปรมาชิตินฺทฺริยา กสิณปริกมฺมํ กโรนฺตา วิหริํสุฯ อถ เตสํ สีลเตเชน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปิฯ สโกฺกปิ อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘กามาธิมุตฺตา นุ โข อิเม อิสโย , โน’’ติ อาสงฺกํ กโรติเยวฯ โส ‘‘อิเม ตาว อิสโย ปริคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน อานุภาเวน มหาสตฺตสฺส โกฎฺฐาสํ ตโย ทิวเส อนฺตรธาเปสิฯ โส ปฐมทิวเส โกฎฺฐาสํ อทิสฺวา ‘‘มม โกฎฺฐาสํ ปมุโฎฺฐ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิ, ทุติยทิวเส ‘‘มม โทเสน ภวิตพฺพํ, ปณามนวเสน มม โกฎฺฐาสํ น ฐเปสิ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตสิ, ตติยทิวเส ‘‘เกน นุ โข การเณน มยฺหํ โกฎฺฐาสํ น ฐเปนฺติ, สเจ เม โทโส อตฺถิ, ขมาเปสฺสามี’’ติ สายนฺหสมเย ฆณฺฑิสญฺญํ อทาสิฯ

    Tato paṭṭhāya aṭṭhasupi janesu ekeko vāreneva phalāphalaṃ āharati. Sesā attano attano paṇṇasālāyameva honti, akāraṇena ekato bhavituṃ na labhanti. Vārappatto phalāphalaṃ āharitvā eko māḷako atthi, tattha pāsāṇaphalake ekādasa koṭṭhāse katvā ghaṇḍisaññaṃ katvā attano koṭṭhāsaṃ ādāya vasanaṭṭhānaṃ pavisati. Sesā ghaṇḍisaññāya nikkhamitvā loluppaṃ akatvā gāravaparihārena gantvā attano pāpuṇanakoṭṭhāsaṃ ādāya vasanaṭṭhānaṃ gantvā paribhuñjitvā samaṇadhammaṃ karonti. Te aparabhāge bhisāni āharitvā khādantā tattatapā ghoratapā paramājitindriyā kasiṇaparikammaṃ karontā vihariṃsu. Atha tesaṃ sīlatejena sakkassa bhavanaṃ kampi. Sakkopi āvajjento taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘kāmādhimuttā nu kho ime isayo , no’’ti āsaṅkaṃ karotiyeva. So ‘‘ime tāva isayo pariggaṇhissāmī’’ti cintetvā attano ānubhāvena mahāsattassa koṭṭhāsaṃ tayo divase antaradhāpesi. So paṭhamadivase koṭṭhāsaṃ adisvā ‘‘mama koṭṭhāsaṃ pamuṭṭho bhavissatī’’ti cintesi, dutiyadivase ‘‘mama dosena bhavitabbaṃ, paṇāmanavasena mama koṭṭhāsaṃ na ṭhapesi maññe’’ti cintesi, tatiyadivase ‘‘kena nu kho kāraṇena mayhaṃ koṭṭhāsaṃ na ṭhapenti, sace me doso atthi, khamāpessāmī’’ti sāyanhasamaye ghaṇḍisaññaṃ adāsi.

    สเพฺพ สนฺนิปติตฺวา ‘‘เกน ฆณฺฑิสญฺญา ทินฺนา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มยา ตาตา’’ติฯ ‘‘กิํการณา อาจริยา’’ติ? ‘‘ตาตา ตติยทิวเส เกน ผลาผลํ อาภต’’นฺติ? เตสุ เอโก อุฎฺฐาย ‘‘มยา อาจริยา’’ติ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ โกฎฺฐาเส กโรเนฺตน เต มยฺหํ โกฎฺฐาโส กโตติฯ ‘‘อาม, อาจริย, เชฎฺฐกโกฎฺฐาโส เม กโต’’ติฯ ‘‘หิโยฺย เกนาภต’’นฺติ? ‘‘มยา’’ติ อปโร อุฎฺฐาย วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ โกฎฺฐาสํ กโรโนฺต มํ อนุสฺสรีติฯ ‘‘ตุมฺหากํ เม เชฎฺฐกโกฎฺฐาโส ฐปิโต’’ติฯ ‘‘อชฺช เกนาภต’’นฺติฯ ‘‘มยา’’ติ อปโร อุฎฺฐาย วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ โกฎฺฐาสํ กโรโนฺต มํ อนุสฺสรีติฯ ‘‘ตุมฺหากํ เม เชฎฺฐกโกฎฺฐาโส กโต’’ติฯ ‘‘ตาตา, อชฺช มยฺหํ โกฎฺฐาสํ อลภนฺตสฺส ตติโย ทิวโส, ปฐมทิวเส โกฎฺฐาสํ อทิสฺวา ‘โกฎฺฐาสํ กโรโนฺต มํ ปมุโฎฺฐ ภวิสฺสตี’ติ จิเนฺตสิํ, ทุติยทิวเส ‘‘มม โกจิ โทโส ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิํ, อชฺช ปน ‘‘สเจ เม โทโส อตฺถิ, ขมาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ฆณฺฑิสญฺญาย ตุเมฺห สนฺนิปาเตสิํฯ เอเต ภิสโกฎฺฐาเส ตุเมฺห ‘‘กริมฺหา’’ติ วทถ, อหํ น ลภามิ, เอเตสํ เถเนตฺวา ขาทกํ ญาตุํ วฎฺฎติ, กาเม ปหาย ปพฺพชิตานํ ภิสมตฺตํ เถนนํ นาม อปฺปติรูปนฺติฯ เต ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘อโห สาหสิกกมฺม’’นฺติ สเพฺพว อุเพฺพคปฺปตฺตา อเหสุํฯ

    Sabbe sannipatitvā ‘‘kena ghaṇḍisaññā dinnā’’ti āhaṃsu. ‘‘Mayā tātā’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā ācariyā’’ti? ‘‘Tātā tatiyadivase kena phalāphalaṃ ābhata’’nti? Tesu eko uṭṭhāya ‘‘mayā ācariyā’’ti vanditvā aṭṭhāsi. Koṭṭhāse karontena te mayhaṃ koṭṭhāso katoti. ‘‘Āma, ācariya, jeṭṭhakakoṭṭhāso me kato’’ti. ‘‘Hiyyo kenābhata’’nti? ‘‘Mayā’’ti aparo uṭṭhāya vanditvā aṭṭhāsi. Koṭṭhāsaṃ karonto maṃ anussarīti. ‘‘Tumhākaṃ me jeṭṭhakakoṭṭhāso ṭhapito’’ti. ‘‘Ajja kenābhata’’nti. ‘‘Mayā’’ti aparo uṭṭhāya vanditvā aṭṭhāsi. Koṭṭhāsaṃ karonto maṃ anussarīti. ‘‘Tumhākaṃ me jeṭṭhakakoṭṭhāso kato’’ti. ‘‘Tātā, ajja mayhaṃ koṭṭhāsaṃ alabhantassa tatiyo divaso, paṭhamadivase koṭṭhāsaṃ adisvā ‘koṭṭhāsaṃ karonto maṃ pamuṭṭho bhavissatī’ti cintesiṃ, dutiyadivase ‘‘mama koci doso bhavissatī’’ti cintesiṃ, ajja pana ‘‘sace me doso atthi, khamāpessāmī’’ti cintetvā ghaṇḍisaññāya tumhe sannipātesiṃ. Ete bhisakoṭṭhāse tumhe ‘‘karimhā’’ti vadatha, ahaṃ na labhāmi, etesaṃ thenetvā khādakaṃ ñātuṃ vaṭṭati, kāme pahāya pabbajitānaṃ bhisamattaṃ thenanaṃ nāma appatirūpanti. Te tassa kathaṃ sutvā ‘‘aho sāhasikakamma’’nti sabbeva ubbegappattā ahesuṃ.

    ตสฺมิํ อสฺสมปเท วนเชฎฺฐกรุเกฺข นิพฺพตฺตเทวตาปิ โอตริตฺวา อาคนฺตฺวา เตสํเยว สนฺติเก นิสีทิฯ อาเนญฺชกรณํ การิยมาโน ทุกฺขํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต อาฬานํ ภินฺทิตฺวา ปลายิตฺวา อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ เอโก วารโณ กาเลน กาลํ อิสิคณํ วนฺทติ, โสปิ อาคนฺตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ สปฺปกีฬาปนโก เอโก วานโร อหิตุณฺฑิกสฺส หตฺถโต มุจฺจิตฺวา ปลายิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ตเตฺถว อสฺสเม วสติฯ โสปิ ตํ ทิวสํ อิสิคณํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สโกฺก ‘‘อิสิคณํ ปริคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ เตสํ สนฺติเก อทิสฺสมานกาโย อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณว โพธิสตฺตสฺส กนิโฎฺฐ อุปกญฺจนตาปโส อุฎฺฐายาสนา โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา เสสานํ อปจิติํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อาจริย, อหํ อเญฺญ อปฎฺฐเปตฺวา อตฺตานเญฺญว โสเธตุํ ลภามี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, ลภสี’’ติฯ โส อิสิคณมเชฺฌ ฐตฺวา ‘‘สเจ เต มยา ภิสานิ ขาทิตานิ, เอวรูโป นาม โหตู’’ติ สปถํ กโรโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Tasmiṃ assamapade vanajeṭṭhakarukkhe nibbattadevatāpi otaritvā āgantvā tesaṃyeva santike nisīdi. Āneñjakaraṇaṃ kāriyamāno dukkhaṃ adhivāsetuṃ asakkonto āḷānaṃ bhinditvā palāyitvā araññaṃ paviṭṭho eko vāraṇo kālena kālaṃ isigaṇaṃ vandati, sopi āgantvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Sappakīḷāpanako eko vānaro ahituṇḍikassa hatthato muccitvā palāyitvā araññaṃ pavisitvā tattheva assame vasati. Sopi taṃ divasaṃ isigaṇaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Sakko ‘‘isigaṇaṃ pariggaṇhissāmī’’ti tesaṃ santike adissamānakāyo aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇeva bodhisattassa kaniṭṭho upakañcanatāpaso uṭṭhāyāsanā bodhisattaṃ vanditvā sesānaṃ apacitiṃ dassetvā ‘‘ācariya, ahaṃ aññe apaṭṭhapetvā attānaññeva sodhetuṃ labhāmī’’ti pucchi. ‘‘Āma, labhasī’’ti. So isigaṇamajjhe ṭhatvā ‘‘sace te mayā bhisāni khāditāni, evarūpo nāma hotū’’ti sapathaṃ karonto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๗๘.

    78.

    ‘‘อสฺสํ ควํ รชตํ ชาตรูปํ, ภริยญฺจ โส อิธ ลภตํ มนาปํ;

    ‘‘Assaṃ gavaṃ rajataṃ jātarūpaṃ, bhariyañca so idha labhataṃ manāpaṃ;

    ปุเตฺตหิ ทาเรหิ สมงฺคิ โหตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสี’’ติฯ

    Puttehi dārehi samaṅgi hotu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsī’’ti.

    ตตฺถ ‘‘อสฺสํ คว’’นฺติ อิทํ ‘‘โส ‘ยตฺตกานิ ปิยวตฺถูนิ โหนฺติ, เตหิ วิปฺปโยเค ตตฺตกานิ โสกทุกฺขานิ อุปฺปชฺชนฺตี’ติ วตฺถุกาเม ครหโนฺต อภาสี’’ติ เวทิตพฺพํฯ

    Tattha ‘‘assaṃ gava’’nti idaṃ ‘‘so ‘yattakāni piyavatthūni honti, tehi vippayoge tattakāni sokadukkhāni uppajjantī’ti vatthukāme garahanto abhāsī’’ti veditabbaṃ.

    ตํ สุตฺวา อิสิคโณ ‘‘มาริส, มา เอวํ กเถถ, อติภาริโย เต สปโถ’’ติ กเณฺณ ปิทหิฯ โพธิสโตฺตปิ นํ ‘‘ตาต, อติภาริโย เต สปโถ, น ตฺวํ ขาทสิ, ตว ปตฺตาสเน นิสีทา’’ติ อาหฯ ตสฺมิํ ปฐมํ สปถํ กตฺวา นิสิเนฺน ทุติโยปิ ภาตา สหสา อุฎฺฐาย มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา สปเถน อตฺตานํ โสเธโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā isigaṇo ‘‘mārisa, mā evaṃ kathetha, atibhāriyo te sapatho’’ti kaṇṇe pidahi. Bodhisattopi naṃ ‘‘tāta, atibhāriyo te sapatho, na tvaṃ khādasi, tava pattāsane nisīdā’’ti āha. Tasmiṃ paṭhamaṃ sapathaṃ katvā nisinne dutiyopi bhātā sahasā uṭṭhāya mahāsattaṃ vanditvā sapathena attānaṃ sodhento dutiyaṃ gāthamāha –

    ๗๙.

    79.

    ‘‘มาลญฺจ โส กาสิกจนฺทนญฺจ, ธาเรตุ ปุตฺตสฺส พหู ภวนฺตุ;

    ‘‘Mālañca so kāsikacandanañca, dhāretu puttassa bahū bhavantu;

    กาเมสุ ติพฺพํ กุรุตํ อเปกฺขํ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสี’’ติฯ

    Kāmesu tibbaṃ kurutaṃ apekkhaṃ, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsī’’ti.

    ตตฺถ ติพฺพนฺติ วตฺถุกามกิเลสกาเมสุ พหลํ อเปกฺขํ กโรตูติฯ อิทํ โส ‘‘ยเสฺสเตสุ ติพฺพา อเปกฺขา โหนฺติ, โส เตหิ วิปฺปโยเค มหนฺตํ ทุกฺขํ ปาปุณาตี’’ติ ทุกฺขปฎิเกฺขปวเสเนว อาหฯ

    Tattha tibbanti vatthukāmakilesakāmesu bahalaṃ apekkhaṃ karotūti. Idaṃ so ‘‘yassetesu tibbā apekkhā honti, so tehi vippayoge mahantaṃ dukkhaṃ pāpuṇātī’’ti dukkhapaṭikkhepavaseneva āha.

    ตสฺมิํ นิสิเนฺน เสสาปิ อตฺตโน อตฺตโน อชฺฌาสยานุรูเปน ตํ ตํ คาถํ อภาสิํสุ –

    Tasmiṃ nisinne sesāpi attano attano ajjhāsayānurūpena taṃ taṃ gāthaṃ abhāsiṃsu –

    ๘๐.

    80.

    ‘‘ปหูตธโญฺญ กสิมา ยสสฺสี, ปุเตฺต คิหี ธนิมา สพฺพกาเม;

    ‘‘Pahūtadhañño kasimā yasassī, putte gihī dhanimā sabbakāme;

    วยํ อปสฺสํ ฆรมาวสาตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Vayaṃ apassaṃ gharamāvasātu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ๘๑.

    81.

    ‘‘โส ขตฺติโย โหตุ ปสยฺหการี, ราชาภิราชา พลวา ยสสฺสี;

    ‘‘So khattiyo hotu pasayhakārī, rājābhirājā balavā yasassī;

    ส จาตุรนฺตํ มหิมาวสาตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Sa cāturantaṃ mahimāvasātu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ๘๒.

    82.

    ‘‘โส พฺราหฺมโณ โหตุ อวีตราโค, มุหุตฺตนกฺขตฺตปเถสุ ยุโตฺต;

    ‘‘So brāhmaṇo hotu avītarāgo, muhuttanakkhattapathesu yutto;

    ปูเชตุ นํ รฎฺฐปตี ยสสฺสี, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Pūjetu naṃ raṭṭhapatī yasassī, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ๘๓.

    83.

    ‘‘อชฺฌายกํ สพฺพสมนฺตเวทํ, ตปสฺสินํ มญฺญตุ สพฺพโลโก;

    ‘‘Ajjhāyakaṃ sabbasamantavedaṃ, tapassinaṃ maññatu sabbaloko;

    ปูเชนฺตุ นํ ชานปทา สเมจฺจ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Pūjentu naṃ jānapadā samecca, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ๘๔.

    84.

    ‘‘จตุสฺสทํ คามวรํ สมิทฺธํ, ทินฺนญฺหิ โส ภุญฺชตุ วาสเวน;

    ‘‘Catussadaṃ gāmavaraṃ samiddhaṃ, dinnañhi so bhuñjatu vāsavena;

    อวีตราโค มรณํ อุเปตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Avītarāgo maraṇaṃ upetu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ๘๕.

    85.

    ‘‘โส คามณี โหตุ สหายมเชฺฌ, นเจฺจหิ คีเตหิ ปโมทมาโน;

    ‘‘So gāmaṇī hotu sahāyamajjhe, naccehi gītehi pamodamāno;

    โส ราชโต พฺยสน มาลตฺถ กิญฺจิ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    So rājato byasana mālattha kiñci, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ๘๖.

    86.

    ‘‘ยํ เอกราชา ปถวิํ วิเชตฺวา, อิตฺถีสหสฺสาน ฐเปตุ อคฺคํ;

    ‘‘Yaṃ ekarājā pathaviṃ vijetvā, itthīsahassāna ṭhapetu aggaṃ;

    สีมนฺตินีนํ ปวรา ภวาตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ ยา อหาสิฯ

    Sīmantinīnaṃ pavarā bhavātu, bhisāni te brāhmaṇa yā ahāsi.

    ๘๗.

    87.

    ‘‘อิสีนญฺหิ สา สพฺพสมาคตานํ, ภุเญฺชยฺย สาทุํ อวิกมฺปมานา;

    ‘‘Isīnañhi sā sabbasamāgatānaṃ, bhuñjeyya sāduṃ avikampamānā;

    จราตุ ลาเภน วิกตฺถมานา, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ ยา อหาสิฯ

    Carātu lābhena vikatthamānā, bhisāni te brāhmaṇa yā ahāsi.

    ๘๘.

    88.

    ‘‘อาวาสิโก โหตุ มหาวิหาเร, นวกมฺมิโก โหตุ คชงฺคลายํ;

    ‘‘Āvāsiko hotu mahāvihāre, navakammiko hotu gajaṅgalāyaṃ;

    อาโลกสนฺธิํ ทิวสํ กโรตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Ālokasandhiṃ divasaṃ karotu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ๘๙.

    89.

    ‘‘โส พชฺฌตู ปาสสเตหิ ฉพฺภิ, รมฺมา วนา นิยฺยตุ ราชธานิํ;

    ‘‘So bajjhatū pāsasatehi chabbhi, rammā vanā niyyatu rājadhāniṃ;

    ตุเตฺตหิ โส หญฺญตุ ปาจเนหิ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสิฯ

    Tuttehi so haññatu pācanehi, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsi.

    ๙๐.

    90.

    ‘‘อลกฺกมาลี ติปุกณฺณวิโทฺธ, ลฎฺฐีหโต สปฺปมุขํ อุเปตุ;

    ‘‘Alakkamālī tipukaṇṇaviddho, laṭṭhīhato sappamukhaṃ upetu;

    สกจฺฉพโนฺธ วิสิขํ จราตุ, ภิสานิ เต พฺราหฺมณ โย อหาสี’’ติฯ

    Sakacchabandho visikhaṃ carātu, bhisāni te brāhmaṇa yo ahāsī’’ti.

    ตตฺถ ตติเยน วุตฺตคาถาย กสิมาติ สมฺปนฺนกสิกโมฺมฯ ปุเตฺต คิหี ธนิมา สพฺพกาเมติ ปุเตฺต ลภตุ, คิหี โหตุ, สตฺตวิเธน รตนธเนน ธนิมา โหตุ, รูปาทิเภเท สพฺพกาเม ลภตุฯ วยํ อปสฺสนฺติ มหลฺลกกาเล ปพฺพชฺชานุรูปมฺปิ อตฺตโน วยํ อปสฺสโนฺต ปญฺจกามคุณสมิทฺธํ ฆรเมว อาวสตูติฯ อิทํ โส ‘‘ปญฺจกามคุณคิโทฺธ กามคุณวิปฺปโยเคน มหาวินาสํ ปาปุณาตี’’ติ ทเสฺสตุํ กเถสิฯ

    Tattha tatiyena vuttagāthāya kasimāti sampannakasikammo. Putte gihī dhanimā sabbakāmeti putte labhatu, gihī hotu, sattavidhena ratanadhanena dhanimā hotu, rūpādibhede sabbakāme labhatu. Vayaṃ apassanti mahallakakāle pabbajjānurūpampi attano vayaṃ apassanto pañcakāmaguṇasamiddhaṃ gharameva āvasatūti. Idaṃ so ‘‘pañcakāmaguṇagiddho kāmaguṇavippayogena mahāvināsaṃ pāpuṇātī’’ti dassetuṃ kathesi.

    จตุเตฺถน วุตฺตคาถาย ราชาภิราชาติ ราชูนํ อนฺตเร อภิราชาติฯ อิทํ โส ‘‘อิสฺสรานํ นาม อิสฺสริเย ปริคลิเต มหนฺตํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชตี’’ติ รเชฺช โทสํ ทเสฺสโนฺต กเถสิฯ ปญฺจเมน วุตฺตคาถาย อวีตราโคติ ปุโรหิตฎฺฐานตณฺหาย สตโณฺหติฯ อิทํ โส ‘‘ปุโรหิตสฺส ปุโรหิตฎฺฐาเน ปริคลิเต มหนฺตํ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชตี’’ติ ทเสฺสตุํ กเถสิฯ ฉเฎฺฐน วุตฺตคาถาย ตปสฺสินนฺติ ตปสีลสมฺปโนฺนติ ตํ มญฺญตุฯ อิทํ โส ‘‘ลาภสกฺการาปคเมน มหนฺตํ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชตี’’ติ ลาภสกฺการครหวเสน กเถสิฯ

    Catutthena vuttagāthāya rājābhirājāti rājūnaṃ antare abhirājāti. Idaṃ so ‘‘issarānaṃ nāma issariye parigalite mahantaṃ dukkhaṃ uppajjatī’’ti rajje dosaṃ dassento kathesi. Pañcamena vuttagāthāya avītarāgoti purohitaṭṭhānataṇhāya sataṇhoti. Idaṃ so ‘‘purohitassa purohitaṭṭhāne parigalite mahantaṃ domanassaṃ uppajjatī’’ti dassetuṃ kathesi. Chaṭṭhena vuttagāthāya tapassinanti tapasīlasampannoti taṃ maññatu. Idaṃ so ‘‘lābhasakkārāpagamena mahantaṃ domanassaṃ uppajjatī’’ti lābhasakkāragarahavasena kathesi.

    สหายตาปเสน วุตฺตคาถาย จตุสฺสทนฺติ อากิณฺณมนุสฺสตาย มนุเสฺสหิ, ปหูตธญฺญตาย ธเญฺญน, สุลภทารุตาย ทารูหิ, สมฺปโนฺนทกตาย อุทเกนาติ จตูหิ อุสฺสนฺนํ, จตุสฺสทสมนฺนาคตนฺติ อโตฺถฯ วาสเวนาติ วาสเวน ทินฺนํ วิย อจลํ, วาสวโต ลทฺธวรานุภาเวน เอกํ ราชานํ อาราเธตฺวา เตน ทินฺนนฺติปิ อโตฺถฯ อวีตราโคติ กทฺทเม สูกโร วิย กามปเงฺก นิมุโคฺคว หุตฺวาฯ อิติ โสปิ กามานํ อาทีนวํ กเถโนฺต เอวมาหฯ

    Sahāyatāpasena vuttagāthāya catussadanti ākiṇṇamanussatāya manussehi, pahūtadhaññatāya dhaññena, sulabhadārutāya dārūhi, sampannodakatāya udakenāti catūhi ussannaṃ, catussadasamannāgatanti attho. Vāsavenāti vāsavena dinnaṃ viya acalaṃ, vāsavato laddhavarānubhāvena ekaṃ rājānaṃ ārādhetvā tena dinnantipi attho. Avītarāgoti kaddame sūkaro viya kāmapaṅke nimuggova hutvā. Iti sopi kāmānaṃ ādīnavaṃ kathento evamāha.

    ทาเสน วุตฺตคาถาย คามณีติ คามเชฎฺฐโกฯ อยมฺปิ กาเม ครหโนฺตเยว เอวมาหฯ กญฺจนเทวิยา วุตฺตคาถาย นฺติ ยํ อิตฺถินฺติ อโตฺถฯ เอกราชาติ อคฺคราชาฯ อิตฺถิสหสฺสานนฺติ วจนมฎฺฐตาย วุตฺตํ, โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปตูติ อโตฺถฯ สีมนฺตินีนนฺติ สีมนฺตธรานํ อิตฺถีนนฺติ อโตฺถฯ อิติ สา อิตฺถิภาเว ฐตฺวาปิ ทุคฺคนฺธคูถราสิํ วิย กาเม ครหนฺตีเยว เอวมาหฯ ทาสิยา วุตฺตคาถาย สพฺพสมาคตานนฺติ สเพฺพสํ สนฺนิปติตานํ มเชฺฌ นิสีทิตฺวา อวิกมฺปมานา อโนสกฺกมานา สาทุรสํ ภุญฺชตูติ อโตฺถฯ ทาสีนํ กิร สามิกสฺส สนฺติเก นิสีทิตฺวา ภุญฺชนํ นาม อปฺปิยํฯ อิติ สา อตฺตโน อปฺปิยตาย เอวมาหฯ จราตูติ จรตุฯ ลาเภน วิกตฺถมานาติ ลาภเหตุ กุหนกมฺมํ กโรนฺตี ลาภสกฺการํ อุปฺปาเทนฺตี จรตูติ อโตฺถฯ อิมินา สา ทาสิภาเว ฐิตาปิ กิเลสกามวตฺถุกาเม ครหติฯ

    Dāsena vuttagāthāya gāmaṇīti gāmajeṭṭhako. Ayampi kāme garahantoyeva evamāha. Kañcanadeviyā vuttagāthāya yanti yaṃ itthinti attho. Ekarājāti aggarājā. Itthisahassānanti vacanamaṭṭhatāya vuttaṃ, soḷasannaṃ itthisahassānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapetūti attho. Sīmantinīnanti sīmantadharānaṃ itthīnanti attho. Iti sā itthibhāve ṭhatvāpi duggandhagūtharāsiṃ viya kāme garahantīyeva evamāha. Dāsiyā vuttagāthāya sabbasamāgatānanti sabbesaṃ sannipatitānaṃ majjhe nisīditvā avikampamānā anosakkamānā sādurasaṃ bhuñjatūti attho. Dāsīnaṃ kira sāmikassa santike nisīditvā bhuñjanaṃ nāma appiyaṃ. Iti sā attano appiyatāya evamāha. Carātūti caratu. Lābhena vikatthamānāti lābhahetu kuhanakammaṃ karontī lābhasakkāraṃ uppādentī caratūti attho. Iminā sā dāsibhāve ṭhitāpi kilesakāmavatthukāme garahati.

    เทวตาย วุตฺตคาถาย อาวาสิโกติ อาวาสชคฺคนโกฯ คชงฺคลายนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ ตตฺถ กิร ทพฺพสมฺภารา สุลภาฯ อาโลกสนฺธิํ ทิวสนฺติ เอกทิวเสเนว วาตปานํ กโรตุฯ โส กิร เทวปุโตฺต กสฺสปพุทฺธกาเล คชงฺคลนครํ นิสฺสาย โยชนิเก ชิณฺณมหาวิหาเร อาวาสิกสงฺฆเตฺถโร หุตฺวา ชิณฺณวิหาเร นวกมฺมํ กโรโนฺตเยว มหาทุกฺขํ อนุภวิฯ ตสฺมา ตเทว ทุกฺขํ อารพฺภ เอวมาหฯ หตฺถินา วุตฺตคาถาย ปาสสเตหีติ พหูหิ ปาเสหิฯ ฉพฺภีติ จตูสุ ปาเทสุ คีวาย กฎิภาเค จาติ ฉสุ ฐาเนสุฯ ตุเตฺตหีติ ทฺวิกณฺฑกาหิ ทีฆลฎฺฐีหิฯ ปาจเนหีติ ทสปาจเนหิ องฺกุเสหิ วาฯ โส กิร อตฺตโน อนุภูตทุกฺขเญฺญว อารพฺภ เอวมาหฯ

    Devatāya vuttagāthāya āvāsikoti āvāsajagganako. Gajaṅgalāyanti evaṃnāmake nagare. Tattha kira dabbasambhārā sulabhā. Ālokasandhiṃ divasanti ekadivaseneva vātapānaṃ karotu. So kira devaputto kassapabuddhakāle gajaṅgalanagaraṃ nissāya yojanike jiṇṇamahāvihāre āvāsikasaṅghatthero hutvā jiṇṇavihāre navakammaṃ karontoyeva mahādukkhaṃ anubhavi. Tasmā tadeva dukkhaṃ ārabbha evamāha. Hatthinā vuttagāthāya pāsasatehīti bahūhi pāsehi. Chabbhīti catūsu pādesu gīvāya kaṭibhāge cāti chasu ṭhānesu. Tuttehīti dvikaṇḍakāhi dīghalaṭṭhīhi. Pācanehīti dasapācanehi aṅkusehi vā. So kira attano anubhūtadukkhaññeva ārabbha evamāha.

    วานเรน วุตฺตคาถาย อลกฺกมาลีติ อหิตุณฺฑิเกน กเณฺฐ ปริกฺขิปิตฺวา ฐปิตาย อลกฺกมาลาย สมนฺนาคโตฯ ติปุกณฺณวิโทฺธติ ติปุปิฬนฺธเนน ปิฬนฺธกโณฺณฯ ลฎฺฐีหโตติ สปฺปกีฬํ สิกฺขาปยมาโน ลฎฺฐิยา หโต หุตฺวาฯ เอโสปิ อหิตุณฺฑิกสฺส หเตฺถ อตฺตโน อนุภูตทุกฺขเมว สนฺธาย เอวมาหฯ

    Vānarena vuttagāthāya alakkamālīti ahituṇḍikena kaṇṭhe parikkhipitvā ṭhapitāya alakkamālāya samannāgato. Tipukaṇṇaviddhoti tipupiḷandhanena piḷandhakaṇṇo. Laṭṭhīhatoti sappakīḷaṃ sikkhāpayamāno laṭṭhiyā hato hutvā. Esopi ahituṇḍikassa hatthe attano anubhūtadukkhameva sandhāya evamāha.

    เอวํ เตหิ เตรสหิ ชเนหิ สปเถ กเต มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘กทาจิ อิเม ‘อยํ อนฎฺฐเมว นฎฺฐนฺติ กเถตี’ติ มยิ อาสงฺกํ กเรยฺยุํ, อหมฺปิ สปถํ กโรมี’’ติฯ อถ นํ กโรโนฺต จุทฺทสมํ คาถมาห –

    Evaṃ tehi terasahi janehi sapathe kate mahāsatto cintesi ‘‘kadāci ime ‘ayaṃ anaṭṭhameva naṭṭhanti kathetī’ti mayi āsaṅkaṃ kareyyuṃ, ahampi sapathaṃ karomī’’ti. Atha naṃ karonto cuddasamaṃ gāthamāha –

    ๙๑.

    91.

    ‘‘โย เว อนฎฺฐํว นฎฺฐนฺติ จาห, กาเมว โส ลภตํ ภุญฺชตญฺจ;

    ‘‘Yo ve anaṭṭhaṃva naṭṭhanti cāha, kāmeva so labhataṃ bhuñjatañca;

    อคารมเชฺฌ มรณํ อุเปตุ, โย วา โภโนฺต สงฺกติ กญฺจิเทวา’’ติฯ

    Agāramajjhe maraṇaṃ upetu, yo vā bhonto saṅkati kañcidevā’’ti.

    ตตฺถ โภโนฺตติ อาลปนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ภวโนฺต โย อนเฎฺฐ โกฎฺฐาเส ‘‘นฎฺฐํ เม’’ติ วทติ, โย วา ตุเมฺหสุ กญฺจิ อาสงฺกติ, โส ปญฺจ กามคุเณ ลภตุ เจว ภุญฺชตุ จ, รมณียเมว ปพฺพชฺชํ อลภิตฺวา อคารมเชฺฌเยว มรตูติฯ

    Tattha bhontoti ālapanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – bhavanto yo anaṭṭhe koṭṭhāse ‘‘naṭṭhaṃ me’’ti vadati, yo vā tumhesu kañci āsaṅkati, so pañca kāmaguṇe labhatu ceva bhuñjatu ca, ramaṇīyameva pabbajjaṃ alabhitvā agāramajjheyeva maratūti.

    เอวํ อิสีหิ สปเถ กเต สโกฺก ภายิตฺวา ‘‘อหํ อิเม วีมํสโนฺต ภิสานิ อนฺตรธาเปสิํฯ อิเม จ ฉฑฺฑิตเขฬปิณฺฑํ วิย กาเม ครหนฺตา สปถํ กโรนฺติ, กาเม ครหการณํ เต ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทิสฺสมานรูโป โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา ปุจฺฉโนฺต อนนฺตรํ คาถมาห –

    Evaṃ isīhi sapathe kate sakko bhāyitvā ‘‘ahaṃ ime vīmaṃsanto bhisāni antaradhāpesiṃ. Ime ca chaḍḍitakheḷapiṇḍaṃ viya kāme garahantā sapathaṃ karonti, kāme garahakāraṇaṃ te pucchissāmī’’ti cintetvā dissamānarūpo bodhisattaṃ vanditvā pucchanto anantaraṃ gāthamāha –

    ๙๒.

    92.

    ‘‘ยเทสมานา วิจรนฺติ โลเก, อิฎฺฐญฺจ กนฺตญฺจ พหูนเมตํ;

    ‘‘Yadesamānā vicaranti loke, iṭṭhañca kantañca bahūnametaṃ;

    ปิยํ มนุญฺญํ จิธ ชีวโลเก, กสฺมา อิสโย นปฺปสํสนฺติ กาเม’’ติฯ

    Piyaṃ manuññaṃ cidha jīvaloke, kasmā isayo nappasaṃsanti kāme’’ti.

    ตตฺถ ยเทสมานาติ ยํ วตฺถุกามํ กิเลสกามญฺจ กสิโครกฺขาทีหิ สมวิสมกเมฺมหิ ปริเยสมานา สตฺตา โลเก วิจรนฺติ, เอตํ พหูนํ เทวมนุสฺสานํ อิฎฺฐญฺจ กนฺตญฺจ ปิยญฺจ มนุญฺญญฺจ, กสฺมา อิสโย นปฺปสํสนฺติ กาเมติ อโตฺถฯ ‘‘กาเม’’ติ อิมินา ตํ วตฺถุํ สรูปโต ทเสฺสติฯ

    Tattha yadesamānāti yaṃ vatthukāmaṃ kilesakāmañca kasigorakkhādīhi samavisamakammehi pariyesamānā sattā loke vicaranti, etaṃ bahūnaṃ devamanussānaṃ iṭṭhañca kantañca piyañca manuññañca, kasmā isayo nappasaṃsanti kāmeti attho. ‘‘Kāme’’ti iminā taṃ vatthuṃ sarūpato dasseti.

    อถสฺส ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต มหาสโตฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Athassa pañhaṃ vissajjento mahāsatto dve gāthā abhāsi –

    ๙๓.

    93.

    ‘‘กาเมสุ เว หญฺญเร พชฺฌเร จ, กาเมสุ ทุกฺขญฺจ ภยญฺจ ชาตํ;

    ‘‘Kāmesu ve haññare bajjhare ca, kāmesu dukkhañca bhayañca jātaṃ;

    กาเมสุ ภูตาธิปตี ปมตฺตา, ปาปานิ กมฺมานิ กโรนฺติ โมหาฯ

    Kāmesu bhūtādhipatī pamattā, pāpāni kammāni karonti mohā.

    ๙๔.

    94.

    ‘‘เต ปาปธมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ, กายสฺส เภทา นิรยํ วชนฺติ;

    ‘‘Te pāpadhammā pasavetva pāpaṃ, kāyassa bhedā nirayaṃ vajanti;

    อาทีนวํ กามคุเณสุ ทิสฺวา, ตสฺมา อิสโย นปฺปสํสนฺติ กาเม’’ติฯ

    Ādīnavaṃ kāmaguṇesu disvā, tasmā isayo nappasaṃsanti kāme’’ti.

    ตตฺถ กาเมสูติ กามเหตุ, กาเม นิสฺสาย กายทุจฺจริตาทีนิ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ หญฺญเรติ ทณฺฑาทีหิ หญฺญนฺติฯ พชฺฌเรติ รชฺชุพนฺธนาทีหิ พชฺฌนฺติฯ ทุกฺขนฺติ กายิกเจตสิกํ อสาตํ ทุกฺขํฯ ภยนฺติ อตฺตานุวาทาทิกํ สพฺพมฺปิ ภยํฯ ภูตาธิปตีติ สกฺกํ อาลปติฯ อาทีนวนฺติ เอวรูปํ โทสํฯ โส ปเนส อาทีนโว ทุกฺขกฺขนฺธาทีหิ สุเตฺตหิ (ม. นิ. ๑.๑๖๓-๑๘๐) ทีเปตโพฺพฯ

    Tattha kāmesūti kāmahetu, kāme nissāya kāyaduccaritādīni karontīti attho. Haññareti daṇḍādīhi haññanti. Bajjhareti rajjubandhanādīhi bajjhanti. Dukkhanti kāyikacetasikaṃ asātaṃ dukkhaṃ. Bhayanti attānuvādādikaṃ sabbampi bhayaṃ. Bhūtādhipatīti sakkaṃ ālapati. Ādīnavanti evarūpaṃ dosaṃ. So panesa ādīnavo dukkhakkhandhādīhi suttehi (ma. ni. 1.163-180) dīpetabbo.

    สโกฺก มหาสตฺตสฺส กถํ สุตฺวา สํวิคฺคมานโส อนนฺตรํ คาถมาห –

    Sakko mahāsattassa kathaṃ sutvā saṃviggamānaso anantaraṃ gāthamāha –

    ๙๕.

    95.

    ‘‘วีมํสมาโน อิสิโน ภิสานิ, ตีเร คเหตฺวาน ถเล นิเธสิํ;

    ‘‘Vīmaṃsamāno isino bhisāni, tīre gahetvāna thale nidhesiṃ;

    สุทฺธา อปาปา อิสโย วสนฺติ, เอตานิ เต พฺรหฺมจารี ภิสานี’’ติฯ

    Suddhā apāpā isayo vasanti, etāni te brahmacārī bhisānī’’ti.

    ตตฺถ วิมํสมาโนติ ภเนฺต, อหํ ‘‘อิเม อิสโย กามาธิมุตฺตา วา, โน วา’’ติ วีมํสโนฺตฯ อิสิโนติ ตว มเหสิโน สนฺตกานิ ภิสานิฯ ตีเร คเหตฺวานาติ ตีเร นิกฺขิตฺตานิ คเหตฺวา ถเล เอกมเนฺต นิเธสิํฯ สุทฺธาติ อิทานิ มยา ตุมฺหากํ สปถกิริยาย ญาตํ ‘‘อิเม อิสโย สุทฺธา อปาปา หุตฺวา วสนฺตี’’ติฯ

    Tattha vimaṃsamānoti bhante, ahaṃ ‘‘ime isayo kāmādhimuttā vā, no vā’’ti vīmaṃsanto. Isinoti tava mahesino santakāni bhisāni. Tīre gahetvānāti tīre nikkhittāni gahetvā thale ekamante nidhesiṃ. Suddhāti idāni mayā tumhākaṃ sapathakiriyāya ñātaṃ ‘‘ime isayo suddhā apāpā hutvā vasantī’’ti.

    ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā bodhisatto gāthamāha –

    ๙๖.

    96.

    ‘‘น เต นฎา โน ปน กีฬเนยฺยา, น พนฺธวา โน ปน เต สหายา;

    ‘‘Na te naṭā no pana kīḷaneyyā, na bandhavā no pana te sahāyā;

    กิสฺมิํ วุปตฺถมฺภ สหสฺสเนตฺต, อิสีหิ ตฺวํ กีฬสิ เทวราชา’’ติฯ

    Kismiṃ vupatthambha sahassanetta, isīhi tvaṃ kīḷasi devarājā’’ti.

    ตตฺถ น เต นฎา โนติ เทวราช, มยํ ตว นฎา วา กีฬิตพฺพยุตฺตกา วา เกจิ น โหม, นาปิ ตว ญาตกา, น สหายา, อถ ตฺวํ กิํ วา อุปตฺถมฺภํ กตฺวา กิํ นิสฺสาย อิสีหิ สทฺธิํ กีฬสีติ อโตฺถฯ

    Tattha na te naṭā noti devarāja, mayaṃ tava naṭā vā kīḷitabbayuttakā vā keci na homa, nāpi tava ñātakā, na sahāyā, atha tvaṃ kiṃ vā upatthambhaṃ katvā kiṃ nissāya isīhi saddhiṃ kīḷasīti attho.

    อถ นํ สโกฺก ขมาเปโนฺต วีสติมํ คาถมาห –

    Atha naṃ sakko khamāpento vīsatimaṃ gāthamāha –

    ๙๗.

    97.

    ‘‘อาจริโย เมสิ ปิตา จ มยฺหํ, เอสา ปติฎฺฐา ขลิตสฺส พฺรเหฺม;

    ‘‘Ācariyo mesi pitā ca mayhaṃ, esā patiṭṭhā khalitassa brahme;

    เอกาปราธํ ขม ภูริปญฺญ, น ปณฺฑิตา โกธพลา ภวนฺตี’’ติฯ

    Ekāparādhaṃ khama bhūripañña, na paṇḍitā kodhabalā bhavantī’’ti.

    ตตฺถ เอสา ปติฎฺฐาติ เอสา ตว ปาทจฺฉายา อชฺช มม ขลิตสฺส อปรทฺธสฺส ปติฎฺฐา โหตุฯ โกธพลาติ ปณฺฑิตา นาม ขนฺติพลา ภวนฺติ, น โกธพลาติฯ

    Tattha esā patiṭṭhāti esā tava pādacchāyā ajja mama khalitassa aparaddhassa patiṭṭhā hotu. Kodhabalāti paṇḍitā nāma khantibalā bhavanti, na kodhabalāti.

    อถ มหาสโตฺต สกฺกสฺส เทวรโญฺญ ขมิตฺวา สยํ อิสิคณํ ขมาเปโนฺต อิตรํ คาถมาห –

    Atha mahāsatto sakkassa devarañño khamitvā sayaṃ isigaṇaṃ khamāpento itaraṃ gāthamāha –

    ๙๘.

    98.

    ‘‘สุวาสิตํ อิสินํ เอกรตฺตํ, ยํ วาสวํ ภูตปติทฺทสาม;

    ‘‘Suvāsitaṃ isinaṃ ekarattaṃ, yaṃ vāsavaṃ bhūtapatiddasāma;

    สเพฺพว โภโนฺต สุมนา ภวนฺตุ, ยํ พฺราหฺมโณ ปจฺจุปาที ภิสานี’’ติฯ

    Sabbeva bhonto sumanā bhavantu, yaṃ brāhmaṇo paccupādī bhisānī’’ti.

    ตตฺถ สุวาสิตํ อิสินํ เอกรตฺตนฺติ อายสฺมนฺตานํ อิสีนํ เอกรตฺตมฺปิ อิมสฺมิํ อรเญฺญ วสิตํ สุวสิตเมวฯ กิํการณา? ยํ วาสวํ ภูตปติํ อทฺทสาม, สเจ หิ มยํ นคเร อวสิมฺห, อิมํ น อทฺทสามฯ โภโนฺตติ ภวโนฺต สเพฺพปิ สุมนา ภวนฺตุ, ตุสฺสนฺตุ, สกฺกสฺส เทวรโญฺญ ขมนฺตุฯ กิํการณา? ยํ พฺราหฺมโณ ปจฺจุปาที ภิสานิ, ยสฺมา ตุมฺหากํ อาจริโย ภิสานิ ปฎิลภีติฯ

    Tattha suvāsitaṃ isinaṃ ekarattanti āyasmantānaṃ isīnaṃ ekarattampi imasmiṃ araññe vasitaṃ suvasitameva. Kiṃkāraṇā? Yaṃ vāsavaṃ bhūtapatiṃ addasāma, sace hi mayaṃ nagare avasimha, imaṃ na addasāma. Bhontoti bhavanto sabbepi sumanā bhavantu, tussantu, sakkassa devarañño khamantu. Kiṃkāraṇā? Yaṃ brāhmaṇo paccupādī bhisāni, yasmā tumhākaṃ ācariyo bhisāni paṭilabhīti.

    สโกฺก อิสิคณํ วนฺทิตฺวา เทวโลกเมว คโตฯ อิสิคโณปิ ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Sakko isigaṇaṃ vanditvā devalokameva gato. Isigaṇopi jhānābhiññāyo nibbattetvā brahmalokūpago ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ ภิกฺขุ โปราณกปณฺฑิตา สปถํ กตฺวา กิเลเส ปชหิํสู’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ชาตกํ สโมธาเนโนฺต ปุน สตฺถา ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ bhikkhu porāṇakapaṇḍitā sapathaṃ katvā kilese pajahiṃsū’’ti vatvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Jātakaṃ samodhānento puna satthā tisso gāthā abhāsi –

    ๙๙.

    99.

    ‘‘อหญฺจ สาริปุโตฺต จ, โมคฺคลฺลาโน จ กสฺสโป;

    ‘‘Ahañca sāriputto ca, moggallāno ca kassapo;

    อนุรุโทฺธ ปุโณฺณ อานโนฺท, ตทาสุํ สตฺต ภาตโรฯ

    Anuruddho puṇṇo ānando, tadāsuṃ satta bhātaro.

    ๑๐๐.

    100.

    ‘‘ภคินี อุปฺปลวณฺณา จ, ทาสี ขุชฺชุตฺตรา ตทา;

    ‘‘Bhaginī uppalavaṇṇā ca, dāsī khujjuttarā tadā;

    จิโตฺต คหปติ ทาโส, ยโกฺข สาตาคิโร ตทาฯ

    Citto gahapati dāso, yakkho sātāgiro tadā.

    ๑๐๑.

    101.

    ‘‘ปาลิเลโยฺย ตทา นาโค, มธุโท เสฎฺฐวานโร;

    ‘‘Pālileyyo tadā nāgo, madhudo seṭṭhavānaro;

    กาฬุทายี ตทา สโกฺก, เอวํ ธาเรถ ชาตก’’นฺติฯ

    Kāḷudāyī tadā sakko, evaṃ dhāretha jātaka’’nti.

    ภิสชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Bhisajātakavaṇṇanā pañcamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๘๘. ภิสชาตกํ • 488. Bhisajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact