Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๒. ภูริทตฺตจริยาวณฺณนา

    2. Bhūridattacariyāvaṇṇanā

    ๑๑. ทุติเย ภูริทโตฺตติ ภูริสมทโตฺตฯ ทโตฺตติ หิ ตทา โพธิสตฺตสฺส มาตาปิตูหิ กตํ นามํฯ ยสฺมา ปเนโส นาคภวเน วิรูปกฺขมหาราชภวเน ตาวติํสภวเน จ อุปฺปเนฺน ปเญฺห สมฺมเทว วินิจฺฉินาติ, เอกทิวสญฺจ วิรูปกฺขมหาราเช นาคปริสาย สทฺธิํ ติทสปุรํ คนฺตฺวา สกฺกํ ปริวาเรตฺวา นิสิเนฺน เทวานมนฺตเร ปโญฺห สมุฎฺฐาสิฯ ตํ โกจิ กเถตุํ นาสกฺขิฯ สเกฺกน ปน อนุญฺญาโต ปลฺลงฺกวรคโต หุตฺวา มหาสโตฺตว กเถสิฯ อถ นํ เทวราชา ทิพฺพคนฺธปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา ‘‘ทตฺต, ตฺวํ ปถวิสมาย วิปุลาย ปญฺญาย สมนฺนาคโต อิโต ปฎฺฐาย ภูริทโตฺต นามา’’ติ อาหฯ ภูรีติ หิ ปถวิยา นามํ, ตสฺมา ภูริสมตาย ภูเต อเตฺถ รมตีติ จ ภูริสงฺขาตาย มหติยา ปญฺญาย สมนฺนาคตตฺตา มหาสโตฺต ‘‘ภูริทโตฺต’’ติ ปญฺญายิตฺถฯ มหติยา ปน นาคิทฺธิยา สมนฺนาคตตฺตา มหิทฺธิโก จาติฯ

    11. Dutiye bhūridattoti bhūrisamadatto. Dattoti hi tadā bodhisattassa mātāpitūhi kataṃ nāmaṃ. Yasmā paneso nāgabhavane virūpakkhamahārājabhavane tāvatiṃsabhavane ca uppanne pañhe sammadeva vinicchināti, ekadivasañca virūpakkhamahārāje nāgaparisāya saddhiṃ tidasapuraṃ gantvā sakkaṃ parivāretvā nisinne devānamantare pañho samuṭṭhāsi. Taṃ koci kathetuṃ nāsakkhi. Sakkena pana anuññāto pallaṅkavaragato hutvā mahāsattova kathesi. Atha naṃ devarājā dibbagandhapupphehi pūjetvā ‘‘datta, tvaṃ pathavisamāya vipulāya paññāya samannāgato ito paṭṭhāya bhūridatto nāmā’’ti āha. Bhūrīti hi pathaviyā nāmaṃ, tasmā bhūrisamatāya bhūte atthe ramatīti ca bhūrisaṅkhātāya mahatiyā paññāya samannāgatattā mahāsatto ‘‘bhūridatto’’ti paññāyittha. Mahatiyā pana nāgiddhiyā samannāgatattā mahiddhiko cāti.

    อตีเต หิ อิมสฺมิํเยว กเปฺป พาราณสิรโญฺญ ปุโตฺต ปิตรา รฎฺฐโต ปพฺพาชิโต วเน วสโนฺต อญฺญตราย นาคมาณวิกาย สํวาสํ กเปฺปสิฯ เตสํ สํวาสมนฺวาย เทฺว ทารกา ชายิํสุ – ปุโตฺต จ ธีตา จฯ ปุตฺตสฺส ‘‘สาครพฺรหฺมทโตฺต’’ติ นามํ กริํสุ ธีตาย ‘‘สมุทฺทชา’’ติฯ โส อปรภาเค ปิตุ อจฺจเยน พาราณสิํ คนฺตฺวา รชฺชํ กาเรสิฯ อถ ธตรโฎฺฐ นาม นาคราชา ปญฺจโยชนสติเก นาคภวเน นาครชฺชํ กาเรโนฺต ตํ อภูตวาทิเกน จิตฺตจูเฬน นาม กจฺฉเปน ‘‘พาราณสิราชา อตฺตโน ธีตรํ ตุยฺหํ ทาตุกาโม, สา โข ปน ราชธีตา สมุทฺทชา นาม อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา จา’’ติ กถิตํ สุตฺวา ธตรโฎฺฐ จตฺตาโร นาคมาณวเก เปเสตฺวา ตํ ทาตุํ อนิจฺฉนฺตํ นาควิภิํสิกาย ภิํสาเปตฺวา ‘‘ทมฺมี’’ติ วุเตฺต มหนฺตํ ปณฺณาการํ เปเสตฺวา มหติยา นาคิทฺธิยา มหเนฺตน ปริวาเรน ตสฺส ธีตรํ นาคภวนํ เนตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Atīte hi imasmiṃyeva kappe bārāṇasirañño putto pitarā raṭṭhato pabbājito vane vasanto aññatarāya nāgamāṇavikāya saṃvāsaṃ kappesi. Tesaṃ saṃvāsamanvāya dve dārakā jāyiṃsu – putto ca dhītā ca. Puttassa ‘‘sāgarabrahmadatto’’ti nāmaṃ kariṃsu dhītāya ‘‘samuddajā’’ti. So aparabhāge pitu accayena bārāṇasiṃ gantvā rajjaṃ kāresi. Atha dhataraṭṭho nāma nāgarājā pañcayojanasatike nāgabhavane nāgarajjaṃ kārento taṃ abhūtavādikena cittacūḷena nāma kacchapena ‘‘bārāṇasirājā attano dhītaraṃ tuyhaṃ dātukāmo, sā kho pana rājadhītā samuddajā nāma abhirūpā dassanīyā pāsādikā cā’’ti kathitaṃ sutvā dhataraṭṭho cattāro nāgamāṇavake pesetvā taṃ dātuṃ anicchantaṃ nāgavibhiṃsikāya bhiṃsāpetvā ‘‘dammī’’ti vutte mahantaṃ paṇṇākāraṃ pesetvā mahatiyā nāgiddhiyā mahantena parivārena tassa dhītaraṃ nāgabhavanaṃ netvā aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi.

    สา อปรภาเค ธตรฎฺฐํ ปฎิจฺจ สุทสฺสโน, ทโตฺต, สุโภโค, อริโฎฺฐติ จตฺตาโร ปุเตฺต ปฎิลภิฯ เตสุ ทโตฺต โพธิสโตฺต, โส ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว สเกฺกน ตุฎฺฐจิเตฺตน ‘‘ภูริทโตฺต’’ติ คหิตนามตฺตา ‘‘ภูริทโตฺต’’เตฺวว ปญฺญายิตฺถฯ อถ เนสํ ปิตา โยชนสติกํ โยชนสติกํ รชฺชํ ภาเชตฺวา อทาสิฯ มหโนฺต ยโส อโหสิฯ โสฬสโสฬสนาคกญฺญาสหสฺสานิ ปริวารยิํสุฯ ปิตุปิ เอกโยชนสตเมว รชฺชํ อโหสิฯ ตโย ปุตฺตา มาเส มาเส มาตาปิตโร ปสฺสิตุํ อาคจฺฉนฺติ, โพธิสโตฺต ปน อนฺวทฺธมาสํ อาคจฺฉติฯ

    Sā aparabhāge dhataraṭṭhaṃ paṭicca sudassano, datto, subhogo, ariṭṭhoti cattāro putte paṭilabhi. Tesu datto bodhisatto, so pubbe vuttanayeneva sakkena tuṭṭhacittena ‘‘bhūridatto’’ti gahitanāmattā ‘‘bhūridatto’’tveva paññāyittha. Atha nesaṃ pitā yojanasatikaṃ yojanasatikaṃ rajjaṃ bhājetvā adāsi. Mahanto yaso ahosi. Soḷasasoḷasanāgakaññāsahassāni parivārayiṃsu. Pitupi ekayojanasatameva rajjaṃ ahosi. Tayo puttā māse māse mātāpitaro passituṃ āgacchanti, bodhisatto pana anvaddhamāsaṃ āgacchati.

    โส เอกทิวสํ วิรูปกฺขมหาราเชน สทฺธิํ สกฺกสฺส อุปฎฺฐานํ คโต เวชยนฺตปาสาทํ สุธมฺมเทวสภํ ปาริจฺฉตฺตกโกวิฬารํ ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ เทวจฺฉราปริวารํ อติมโนหรํ สกฺกสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘เอตฺตกมตฺตมฺปิ นาคตฺตภาเว ฐิตสฺส ทุลฺลภํ, กุโต สมฺมาสโมฺพธี’’ติ นาคตฺตภาวํ ชิคุจฺฉิตฺวา ‘‘นาคภวนํ คนฺตฺวา อุโปสถวาสํ วสิตฺวา สีลเมว ปคฺคณฺหิสฺสามิ, ตํ โพธิปริปาจนํ โหติ, อิมสฺมิํ เทวโลเก อุปฺปตฺติการณํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา นาคภวนํ คนฺตฺวา มาตาปิตโร อาห – ‘‘อมฺมตาตา, อหํ อุโปสถกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ เตหิ ‘‘อิเธว อุโปสถํ อุปวสาหิ, พหิคตานํ นาคานํ มหนฺตํ ภย’’นฺติ วุเตฺต เอกวารํ ตถา กตฺวา นาคกญฺญาหิ อุปทฺทุโต ปุนวาเร มาตาปิตูนํ อนาโรเจตฺวา อตฺตโน ภริยํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, อหํ มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา ยมุนาตีเร มหานิโคฺรธรุโกฺข อตฺถิ ตสฺส อวิทูเร วมฺมิกมตฺถเก โภเค อาภุชิตฺวา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อธิฎฺฐาย นิปชฺชิตฺวา ‘‘อุโปสถกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ นาคภวนโต นิกฺขมิตฺวา ตถา กโรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วิรูปเกฺขน มหารญฺญา, เทวโลกมคญฺฉห’’นฺติอาทิฯ

    So ekadivasaṃ virūpakkhamahārājena saddhiṃ sakkassa upaṭṭhānaṃ gato vejayantapāsādaṃ sudhammadevasabhaṃ pāricchattakakoviḷāraṃ paṇḍukambalasilāsanaṃ devaccharāparivāraṃ atimanoharaṃ sakkasampattiṃ disvā ‘‘ettakamattampi nāgattabhāve ṭhitassa dullabhaṃ, kuto sammāsambodhī’’ti nāgattabhāvaṃ jigucchitvā ‘‘nāgabhavanaṃ gantvā uposathavāsaṃ vasitvā sīlameva paggaṇhissāmi, taṃ bodhiparipācanaṃ hoti, imasmiṃ devaloke uppattikāraṇaṃ bhavissatī’’ti cintetvā nāgabhavanaṃ gantvā mātāpitaro āha – ‘‘ammatātā, ahaṃ uposathakammaṃ karissāmī’’ti. Tehi ‘‘idheva uposathaṃ upavasāhi, bahigatānaṃ nāgānaṃ mahantaṃ bhaya’’nti vutte ekavāraṃ tathā katvā nāgakaññāhi upadduto punavāre mātāpitūnaṃ anārocetvā attano bhariyaṃ āmantetvā ‘‘bhadde, ahaṃ manussalokaṃ gantvā yamunātīre mahānigrodharukkho atthi tassa avidūre vammikamatthake bhoge ābhujitvā caturaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ adhiṭṭhāya nipajjitvā ‘‘uposathakammaṃ karissāmī’’ti nāgabhavanato nikkhamitvā tathā karoti. Tena vuttaṃ ‘‘virūpakkhena mahāraññā, devalokamagañchaha’’ntiādi.

    ตตฺถ วิรูปเกฺขน มหารญฺญาติ วิรูปเกฺขน นาม นาคาธิปติมหาราเชนฯ เทวโลกนฺติ ตาวติํสเทวโลกํฯ อคญฺฉหนฺติ อคญฺฉิํ, อุปสงฺกมิํ อหํฯ

    Tattha virūpakkhena mahāraññāti virūpakkhena nāma nāgādhipatimahārājena. Devalokanti tāvatiṃsadevalokaṃ. Agañchahanti agañchiṃ, upasaṅkamiṃ ahaṃ.

    ๑๒. ตตฺถาติ ตสฺมิํ เทวโลเกฯ ปสฺสิํ ตฺวาหนฺติ อทฺทกฺขิํ อหํ ตุ-สโทฺท นิปาตมโตฺตฯ เอกนฺตํ สุขสมปฺปิเตติ เอกนฺตํ อจฺจนฺตเมว สุเขน สมงฺคีภูเตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, ฉ ผสฺสายตนิกา นาม สคฺคาฯ ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, น สุกรํ อกฺขาเนน ปาปุณิตุํ ยาว สุขา สคฺคา’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๕๕) จฯ ตํสคฺคคมนตฺถายาติ ตสฺมิํ สคฺคสฺมิํ อุปฺปตฺติวเสน คมนตฺถายฯ สีลพฺพตนฺติ สีลสงฺขาตํ วตํฯ อถ วา สีลพฺพตนฺติ อุโปสถสีลเญฺจว ‘‘มม จมฺมํ จมฺมตฺถิกา หรนฺตู’’ติอาทินา อตฺตโน สรีราวยวปริจฺจาคสมาทิยนสงฺขาตํ วตญฺจฯ

    12.Tatthāti tasmiṃ devaloke. Passiṃ tvāhanti addakkhiṃ ahaṃ tu-saddo nipātamatto. Ekantaṃ sukhasamappiteti ekantaṃ accantameva sukhena samaṅgībhūte. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘santi, bhikkhave, cha phassāyatanikā nāma saggā. Yāvañcidaṃ, bhikkhave, na sukaraṃ akkhānena pāpuṇituṃ yāva sukhā saggā’’ti (ma. ni. 3.255) ca. Taṃsaggagamanatthāyāti tasmiṃ saggasmiṃ uppattivasena gamanatthāya. Sīlabbatanti sīlasaṅkhātaṃ vataṃ. Atha vā sīlabbatanti uposathasīlañceva ‘‘mama cammaṃ cammatthikā harantū’’tiādinā attano sarīrāvayavapariccāgasamādiyanasaṅkhātaṃ vatañca.

    ๑๓. สรีรกิจฺจนฺติ มุขโธวนาทิสรีรปฎิชคฺคนํฯ ภุตฺวา ยาปนมตฺตกนฺติ อินฺทฺริยานิ นิพฺพิเสวนานิ กาตุํ สรีรฎฺฐิติมตฺตกํ อาหารํ อาหริตฺวาฯ จตุโร อเงฺคติ จตฺตาริ องฺคานิฯ อธิฎฺฐายาติ อธิฎฺฐหิตฺวาฯ เสมีติ สยามิฯ

    13.Sarīrakiccanti mukhadhovanādisarīrapaṭijagganaṃ. Bhutvā yāpanamattakanti indriyāni nibbisevanāni kātuṃ sarīraṭṭhitimattakaṃ āhāraṃ āharitvā. Caturo aṅgeti cattāri aṅgāni. Adhiṭṭhāyāti adhiṭṭhahitvā. Semīti sayāmi.

    ๑๔. ฉวิยาติอาทิ เตสํ จตุนฺนํ องฺคานํ ทสฺสนํฯ ตตฺถ จ ฉวิจมฺมานํ วิสฺสชฺชนํ เอกํ องฺคํ, เสสานิ เอเกกเมว, มํสคฺคหเณเนว เจตฺถ รุธิรมฺปิ สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอเตนาติ เอเตหิ ฯ หราตุ โสติ ยสฺส เอเตหิ ฉวิอาทีหิ กรณียํ อตฺถิ, ตสฺส มยา ทินฺนเมเวตํฯ สพฺพํ โส หรตูติ อตฺตโน อตฺตภาเว อนเปกฺขปวารณํ ปวาเรติฯ

    14.Chaviyātiādi tesaṃ catunnaṃ aṅgānaṃ dassanaṃ. Tattha ca chavicammānaṃ vissajjanaṃ ekaṃ aṅgaṃ, sesāni ekekameva, maṃsaggahaṇeneva cettha rudhirampi saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ. Etenāti etehi . Harātu soti yassa etehi chaviādīhi karaṇīyaṃ atthi, tassa mayā dinnamevetaṃ. Sabbaṃ so haratūti attano attabhāve anapekkhapavāraṇaṃ pavāreti.

    เอวํ มหาสตฺตสฺส อิมินา นิยาเมเนว อนฺวทฺธมาสํ อุโปสถกมฺมํ กโรนฺตสฺส ทีโฆ อทฺธา วีติวโตฺตฯ เอวํ คจฺฉเนฺต กาเล เอกทิวสํ อญฺญตโร เนสาทพฺราหฺมโณ โสมทเตฺตน นาม อตฺตโน ปุเตฺตน สห ตํ ฐานํ ปตฺวา อรุณุคฺคมนสมเย นาคกญฺญาหิ ปริวาริยมานํ มหาสตฺตํ ทิสฺวา ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ ตาวเทว นาคกญฺญาโย ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา นาคภวนเมว คตาฯ พฺราหฺมโณ มหาสตฺตํ ปุจฺฉิ – ‘‘โก นุ โข ตฺวํ, มาริส, เทโว วา ยโกฺข วา นาโค วา’’ติ? โพธิสโตฺต ยถาภูตํ อตฺตานํ อาวิ กตฺวา สจายํ อิโต คเจฺฉยฺย, อิธ เม วาสํ มหาชนสฺส ปากฎํ กเรยฺย, เตน เม อุโปสถวาสสฺส อนฺตราโยปิ สิยาฯ ยํนูนาหํ อิโต อิมํ นาคภวนํ เนตฺวา มหติยา สมฺปตฺติยา โยเชยฺยํฯ เอวายํ ตเตฺถว อภิรมิสฺสติ, เตน เม อุโปสถกมฺมํ อทฺธนิยํ สิยาติฯ อถ นํ อาห – ‘‘พฺราหฺมณ, มหนฺตํ เต ยสํ ทสฺสามิ, รมณียํ นาคภวนํ, เอหิ ตตฺถ คจฺฉามา’’ติฯ สามิ, ปุโตฺต เม อตฺถิ, ตสฺมิํ อาคจฺฉเนฺต อาคมิสฺสามีติฯ คจฺฉ, พฺราหฺมณ, ปุตฺตํ อาเนหีติฯ พฺราหฺมโณ คนฺตฺวา ปุตฺตสฺส ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ตํ อาเนสิฯ มหาสโตฺต เต อุโภปิ อาทาย อตฺตโน อานุภาเวน นาคภวนํ อาเนสิฯ เตสํ ตตฺถ ทิโพฺพ อตฺตภาโว ปาตุภวิฯ อถ เตสํ มหาสโตฺต ทิพฺพสมฺปตฺติํ ทตฺวา จตฺตาริ จตฺตาริ นาคกญฺญาสตานิ อทาสิฯ เต มหติํ สมฺปตฺติํ อนุภวิํสุฯ

    Evaṃ mahāsattassa iminā niyāmeneva anvaddhamāsaṃ uposathakammaṃ karontassa dīgho addhā vītivatto. Evaṃ gacchante kāle ekadivasaṃ aññataro nesādabrāhmaṇo somadattena nāma attano puttena saha taṃ ṭhānaṃ patvā aruṇuggamanasamaye nāgakaññāhi parivāriyamānaṃ mahāsattaṃ disvā tassa santikaṃ agamāsi. Tāvadeva nāgakaññāyo pathaviyaṃ nimujjitvā nāgabhavanameva gatā. Brāhmaṇo mahāsattaṃ pucchi – ‘‘ko nu kho tvaṃ, mārisa, devo vā yakkho vā nāgo vā’’ti? Bodhisatto yathābhūtaṃ attānaṃ āvi katvā sacāyaṃ ito gaccheyya, idha me vāsaṃ mahājanassa pākaṭaṃ kareyya, tena me uposathavāsassa antarāyopi siyā. Yaṃnūnāhaṃ ito imaṃ nāgabhavanaṃ netvā mahatiyā sampattiyā yojeyyaṃ. Evāyaṃ tattheva abhiramissati, tena me uposathakammaṃ addhaniyaṃ siyāti. Atha naṃ āha – ‘‘brāhmaṇa, mahantaṃ te yasaṃ dassāmi, ramaṇīyaṃ nāgabhavanaṃ, ehi tattha gacchāmā’’ti. Sāmi, putto me atthi, tasmiṃ āgacchante āgamissāmīti. Gaccha, brāhmaṇa, puttaṃ ānehīti. Brāhmaṇo gantvā puttassa tamatthaṃ ārocetvā taṃ ānesi. Mahāsatto te ubhopi ādāya attano ānubhāvena nāgabhavanaṃ ānesi. Tesaṃ tattha dibbo attabhāvo pātubhavi. Atha tesaṃ mahāsatto dibbasampattiṃ datvā cattāri cattāri nāgakaññāsatāni adāsi. Te mahatiṃ sampattiṃ anubhaviṃsu.

    โพธิสโตฺตปิ อปฺปมโตฺต อุโปสถกมฺมํ กโรติฯ อนฺวทฺธมาสํ มาตาปิตูนํ อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา ธมฺมกถํ กเถตฺวา ตโต จ พฺราหฺมณสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อาโรคฺยํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เยน เต อโตฺถ, ตํ วเทยฺยาสี’’ติ อาปุจฺฉิตฺวา ‘‘อนุกฺกณฺฐมาโน อภิรมา’’ติ วตฺวา โสมทเตฺตนปิ สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา อตฺตโน นิเวสนํ คจฺฉติฯ พฺราหฺมโณ สํวจฺฉรํ ตตฺถ วสิตฺวา มนฺทปุญฺญตาย อุกฺกณฺฐิตฺวา อนิจฺฉมานมฺปิ ปุตฺตํ คเหตฺวา โพธิสตฺตํ อาปุจฺฉิตฺวา เตน ทียมานํ พหุํ ธนํ สพฺพกามททํ มณิรตนมฺปิ อลกฺขิกตาย อคฺคเหตฺวา ‘‘มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อาหฯ มหาสโตฺต นาคมาณวเก อาณาเปตฺวา ตํ สปุตฺตกํ มนุสฺสโลกํ ปาเปสิฯ เต อุโภปิ ทิพฺพาภรณานิ ทิพฺพวตฺถานิ จ โอมุญฺจิตฺวา นฺหายิตุํ เอกํ โปกฺขรณิํ โอตริํสุ, ตสฺมิํ ขเณ ตานิ อนฺตรธายิตฺวา นาคภวนเมว อคมํสุฯ อถ ปฐมนิวตฺถกาสาวปิโลติกาว สรีเร ปฎิมุญฺจิ, ธนุสรสตฺติโย คเหตฺวา อรญฺญํ คนฺตฺวา มิเค วธิตฺวา ปุริมนิยาเมเนว ชีวิกํ กเปฺปสุํฯ

    Bodhisattopi appamatto uposathakammaṃ karoti. Anvaddhamāsaṃ mātāpitūnaṃ upaṭṭhānaṃ gantvā dhammakathaṃ kathetvā tato ca brāhmaṇassa santikaṃ gantvā ārogyaṃ pucchitvā ‘‘yena te attho, taṃ vadeyyāsī’’ti āpucchitvā ‘‘anukkaṇṭhamāno abhiramā’’ti vatvā somadattenapi saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā attano nivesanaṃ gacchati. Brāhmaṇo saṃvaccharaṃ tattha vasitvā mandapuññatāya ukkaṇṭhitvā anicchamānampi puttaṃ gahetvā bodhisattaṃ āpucchitvā tena dīyamānaṃ bahuṃ dhanaṃ sabbakāmadadaṃ maṇiratanampi alakkhikatāya aggahetvā ‘‘manussalokaṃ gantvā pabbajissāmī’’ti āha. Mahāsatto nāgamāṇavake āṇāpetvā taṃ saputtakaṃ manussalokaṃ pāpesi. Te ubhopi dibbābharaṇāni dibbavatthāni ca omuñcitvā nhāyituṃ ekaṃ pokkharaṇiṃ otariṃsu, tasmiṃ khaṇe tāni antaradhāyitvā nāgabhavanameva agamaṃsu. Atha paṭhamanivatthakāsāvapilotikāva sarīre paṭimuñci, dhanusarasattiyo gahetvā araññaṃ gantvā mige vadhitvā purimaniyāmeneva jīvikaṃ kappesuṃ.

    เตน จ สมเยน อญฺญตโร ตาปโส สุปณฺณราชโต ลทฺธํ อลมฺปายนมนฺตํ ตสฺส อนุจฺฉวิกานิ โอสธานิ มนฺตูปจารญฺจ อตฺตานํ อุปฎฺฐหนฺตสฺส อญฺญตรสฺส พฺราหฺมณสฺส อทาสิฯ โส ‘‘ลโทฺธ เม ชีวิกูปาโย’’ติ กติปาหํ วสิตฺวา ตาปสํ อาปุจฺฉิตฺวา ปกฺกมโนฺต อนุปุเพฺพน ยมุนาตีรํ ปตฺวา ตํ มนฺตํ สชฺฌายโนฺต มหามเคฺคน คจฺฉติฯ ตทา โพธิสตฺตสฺส ภวนโต ตสฺส ปริจาริกา นาคมาณวิกา ตํ สพฺพกามททํ มณิรตนํ อาทาย ยมุนาตีเร วาลุการาสิมตฺถเก ฐเปตฺวา ตโสฺสภาเสน รตฺติยํ กีฬิตฺวา อรุณุคฺคมเน ตสฺส พฺราหฺมณสฺส มนฺตสทฺทํ สุตฺวา ‘‘สุปโณฺณ’’ติ สญฺญาย ภยตชฺชิตา มณิรตนํ อคฺคเหตฺวา ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา นาคภวนํ อคมํสุฯ

    Tena ca samayena aññataro tāpaso supaṇṇarājato laddhaṃ alampāyanamantaṃ tassa anucchavikāni osadhāni mantūpacārañca attānaṃ upaṭṭhahantassa aññatarassa brāhmaṇassa adāsi. So ‘‘laddho me jīvikūpāyo’’ti katipāhaṃ vasitvā tāpasaṃ āpucchitvā pakkamanto anupubbena yamunātīraṃ patvā taṃ mantaṃ sajjhāyanto mahāmaggena gacchati. Tadā bodhisattassa bhavanato tassa paricārikā nāgamāṇavikā taṃ sabbakāmadadaṃ maṇiratanaṃ ādāya yamunātīre vālukārāsimatthake ṭhapetvā tassobhāsena rattiyaṃ kīḷitvā aruṇuggamane tassa brāhmaṇassa mantasaddaṃ sutvā ‘‘supaṇṇo’’ti saññāya bhayatajjitā maṇiratanaṃ aggahetvā pathaviyaṃ nimujjitvā nāgabhavanaṃ agamaṃsu.

    พฺราหฺมโณ ตํ มณิรตนํ อาทาย ปายาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ โส เนสาทพฺราหฺมโณ ปุเตฺตน สทฺธิํ มิควธาย อรญฺญํ คจฺฉโนฺต ตสฺส หเตฺถ ตํ มณิรตนํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ ภูริทตฺตสฺส สพฺพกามททํ มณิรตน’’นฺติ สญฺชานิตฺวา ตํ คณฺหิตุกาโม เตน สทฺธิํ อลฺลาปสลฺลาปํ กตฺวา มนฺตวาทิภาวํ ชานิตฺวา เอวมาห – ‘‘สเจ เม ตฺวํ อิมํ มณิรตนํ ทสฺสสิ, เอวาหํ เต มหานุภาวํ นาคํ ทเสฺสสฺสามิ, ยํ ตฺวํ คเหตฺวา คามนิคมราชธานิโย จรโนฺต พหุธนํ ลจฺฉสี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ทเสฺสตฺวา คณฺหาหี’’ติ วุเตฺต ตํ อาทาย โพธิสตฺตํ อุโปสถกรณฎฺฐาเน วมฺมิกมตฺถเก โภเค อาภุชิตฺวา นิปนฺนํ อวิทูเร ฐิโต หตฺถํ ปสาเรตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Brāhmaṇo taṃ maṇiratanaṃ ādāya pāyāsi. Tasmiṃ khaṇe so nesādabrāhmaṇo puttena saddhiṃ migavadhāya araññaṃ gacchanto tassa hatthe taṃ maṇiratanaṃ disvā ‘‘idaṃ bhūridattassa sabbakāmadadaṃ maṇiratana’’nti sañjānitvā taṃ gaṇhitukāmo tena saddhiṃ allāpasallāpaṃ katvā mantavādibhāvaṃ jānitvā evamāha – ‘‘sace me tvaṃ imaṃ maṇiratanaṃ dassasi, evāhaṃ te mahānubhāvaṃ nāgaṃ dassessāmi, yaṃ tvaṃ gahetvā gāmanigamarājadhāniyo caranto bahudhanaṃ lacchasī’’ti. ‘‘Tena hi dassetvā gaṇhāhī’’ti vutte taṃ ādāya bodhisattaṃ uposathakaraṇaṭṭhāne vammikamatthake bhoge ābhujitvā nipannaṃ avidūre ṭhito hatthaṃ pasāretvā dassesi.

    มหาสโตฺต ตํ เนสาทํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อุโปสถสฺส เม อนฺตรายํ กเรยฺยาติ นาคภวนํ เนตฺวา มหาสมฺปตฺติยํ ปติฎฺฐาปิโตปิ น อิจฺฉิฯ ตโต อปกฺกมิตฺวา สยํ คนฺตุกาโม มยา ทียมานมฺปิ มณิรตนํ คณฺหิตุํ น อิจฺฉิฯ อิทานิ ปน อหิคุณฺฑิกํ คเหตฺวา อาคจฺฉติฯ สจาหํ อิมสฺส มิตฺตทุพฺภิโน กุเชฺฌยฺยํ, สีลํ เม ขณฺฑํ ภวิสฺสติฯ มยา โข ปน ปฐมํเยว จตุรงฺคสมนฺนาคโต อุโปสโถ อธิฎฺฐิโต, โส ยถาธิฎฺฐิโตว โหตุฯ อลมฺปายโน มํ ฉินฺทตุ วา มา วา, เนวสฺส กุชฺฌิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อกฺขีนิ นิมฺมีเลตฺวา อธิฎฺฐานปารมิํ ปุเรจาริกํ กตฺวา โภคนฺตเร สีสํ ปกฺขิปิตฺวา นิจฺจโลว หุตฺวา นิปชฺชิฯ เนสาทพฺราหฺมโณปิ ‘‘โภ อลมฺปายน, อิมํ นาคํ คณฺห, มณิํ เม เทหี’’ติ อาหฯ อลมฺปายโน นาคํ ทิสฺวา ตุโฎฺฐ มณิํ กิสฺมิญฺจิ อคเณตฺวา ‘‘คณฺห, พฺราหฺมณา’’ติ หเตฺถ ขิปิฯ โส ตสฺส หตฺถโต ภสฺสิตฺวา ปถวิยํ ปติตมโตฺตว ปถวิํ ปวิสิตฺวา นาคภวนเมว คโตฯ เนสาทพฺราหฺมโณ มณิรตนโต ภูริทเตฺตน สทฺธิํ มิตฺตภาวโต จ ปริหายิตฺวา นิปฺปจฺจโยว ปกฺกโนฺตฯ

    Mahāsatto taṃ nesādaṃ disvā ‘‘ayaṃ uposathassa me antarāyaṃ kareyyāti nāgabhavanaṃ netvā mahāsampattiyaṃ patiṭṭhāpitopi na icchi. Tato apakkamitvā sayaṃ gantukāmo mayā dīyamānampi maṇiratanaṃ gaṇhituṃ na icchi. Idāni pana ahiguṇḍikaṃ gahetvā āgacchati. Sacāhaṃ imassa mittadubbhino kujjheyyaṃ, sīlaṃ me khaṇḍaṃ bhavissati. Mayā kho pana paṭhamaṃyeva caturaṅgasamannāgato uposatho adhiṭṭhito, so yathādhiṭṭhitova hotu. Alampāyano maṃ chindatu vā mā vā, nevassa kujjhissāmī’’ti cintetvā akkhīni nimmīletvā adhiṭṭhānapāramiṃ purecārikaṃ katvā bhogantare sīsaṃ pakkhipitvā niccalova hutvā nipajji. Nesādabrāhmaṇopi ‘‘bho alampāyana, imaṃ nāgaṃ gaṇha, maṇiṃ me dehī’’ti āha. Alampāyano nāgaṃ disvā tuṭṭho maṇiṃ kismiñci agaṇetvā ‘‘gaṇha, brāhmaṇā’’ti hatthe khipi. So tassa hatthato bhassitvā pathaviyaṃ patitamattova pathaviṃ pavisitvā nāgabhavanameva gato. Nesādabrāhmaṇo maṇiratanato bhūridattena saddhiṃ mittabhāvato ca parihāyitvā nippaccayova pakkanto.

    ๑๕. อลมฺปายโนปิ มหานุภาเวหิ โอสเธหิ อตฺตโน สรีรํ มเกฺขตฺวา โถกํ ขาทิตฺวา เขฬํ อตฺตโน กายสฺมิํ ปริภาเวตฺวา ทิพฺพมนฺตํ ชปฺปโนฺต โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา อากฑฺฒิตฺวา สีเส ทฬฺหํ คณฺหโนฺต มุขมสฺส วิวริตฺวา โอสธํ ขาทิตฺวา มุเข สหเขฬํ โอสิญฺจิฯ สุจิชาติโก มหาสโตฺต สีลเภทภเยน อกุชฺฌิตฺวา อกฺขีนิ น อุมฺมีเลสิฯ อถ นํ โอสธมนฺตพเลน นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา เหฎฺฐา สีสํ กตฺวา สญฺจาเลตฺวา คหิตโคจรํ ฉฑฺฑาเปตฺวา ภูมิยํ ทีฆโส นิปชฺชาเปตฺวา มสูรกํ มทฺทโนฺต วิย หเตฺถหิ ปริมทฺทิฯ อฎฺฐีนิ จุณฺณิยมานานิ วิย อเหสุํฯ

    15. Alampāyanopi mahānubhāvehi osadhehi attano sarīraṃ makkhetvā thokaṃ khāditvā kheḷaṃ attano kāyasmiṃ paribhāvetvā dibbamantaṃ jappanto bodhisattaṃ upasaṅkamitvā naṅguṭṭhe gahetvā ākaḍḍhitvā sīse daḷhaṃ gaṇhanto mukhamassa vivaritvā osadhaṃ khāditvā mukhe sahakheḷaṃ osiñci. Sucijātiko mahāsatto sīlabhedabhayena akujjhitvā akkhīni na ummīlesi. Atha naṃ osadhamantabalena naṅguṭṭhe gahetvā heṭṭhā sīsaṃ katvā sañcāletvā gahitagocaraṃ chaḍḍāpetvā bhūmiyaṃ dīghaso nipajjāpetvā masūrakaṃ maddanto viya hatthehi parimaddi. Aṭṭhīni cuṇṇiyamānāni viya ahesuṃ.

    ปุน นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา ทุสฺสํ โปเถโนฺต วิย โปเถสิฯ มหาสโตฺต เอวรูปํ ทุกฺขํ อนุโภโนฺตปิ เนว กุชฺฌิตฺถฯ อญฺญทตฺถุ อตฺตโน สีลเมว อาวเชฺชสิฯ อิติ โส มหาสตฺตํ ทุพฺพลํ กตฺวา วลฺลีหิ เปฬํ สเชฺชตฺวา มหาสตฺตํ ตตฺถ ปกฺขิปิฯ สรีรํ ปนสฺส มหนฺตํ ตตฺถ น ปวิสติฯ อถ นํ ปณฺหิยา โกเฎฺฎโนฺต ปเวเสตฺวา เปฬํ อาทาย เอกํ คามํ คนฺตฺวา คามมเชฺฌ โอตาเรตฺวา ‘‘นาคสฺส นจฺจํ ทฎฺฐุกามา อาคจฺฉนฺตู’’ติ สทฺทมกาสิฯ สกลคามวาสิโน สนฺนิปติํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ อลมฺปายโน ‘‘นิกฺขม มหานาคา’’ติ อาหฯ มหาสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อชฺช มยา ปริสํ โตเสเนฺตน กีฬิตุํ วฎฺฎติ, เอวํ อลมฺปายโน พหุธนํ ลภิตฺวา ตุโฎฺฐ มํ วิสฺสเชฺชสฺสติ, ยํ ยํ เอส มํ กาเรติ, ตํ ตํ กริสฺสามี’’ติฯ

    Puna naṅguṭṭhe gahetvā dussaṃ pothento viya pothesi. Mahāsatto evarūpaṃ dukkhaṃ anubhontopi neva kujjhittha. Aññadatthu attano sīlameva āvajjesi. Iti so mahāsattaṃ dubbalaṃ katvā vallīhi peḷaṃ sajjetvā mahāsattaṃ tattha pakkhipi. Sarīraṃ panassa mahantaṃ tattha na pavisati. Atha naṃ paṇhiyā koṭṭento pavesetvā peḷaṃ ādāya ekaṃ gāmaṃ gantvā gāmamajjhe otāretvā ‘‘nāgassa naccaṃ daṭṭhukāmā āgacchantū’’ti saddamakāsi. Sakalagāmavāsino sannipatiṃsu. Tasmiṃ khaṇe alampāyano ‘‘nikkhama mahānāgā’’ti āha. Mahāsatto cintesi – ‘‘ajja mayā parisaṃ tosentena kīḷituṃ vaṭṭati, evaṃ alampāyano bahudhanaṃ labhitvā tuṭṭho maṃ vissajjessati, yaṃ yaṃ esa maṃ kāreti, taṃ taṃ karissāmī’’ti.

    อถ นํ โส เปฬโต นิกฺขมนฺตํ ‘‘มหา โหหี’’ติ อาห, โส มหา อโหสิฯ ‘‘ขุทฺทโก วโฎฺฎ วิผโณ เอกผโณ ทฺวิผโณ ยาว สหสฺสผโณ อุโจฺจ นีโจ ทิสฺสมานกาโย อทิสฺสมานกาโย ทิสฺสมานอุปฑฺฒกาโย นีโล ปีโต โลหิโต โอทาโต มญฺชิโฎฺฐ โหหิ, ธูมํ วิสฺสเชฺชหิ, ชาลสิขํ อุทกญฺจ วิสฺสเชฺชหี’’ติ วุเตฺต เตน วุตฺตํ ตํ ตํ อาการํ นิมฺมินิตฺวา นจฺจํ ทเสฺสสิฯ ตํ ทิสฺวา มนุสฺสา อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา พหุํ หิรญฺญสุวณฺณวตฺถาลงฺการาทิํ อทํสุฯ อิติ ตสฺมิํ คาเม สตสหสฺสมตฺตํ ลภิฯ โส กิญฺจาปิ มหาสตฺตํ คณฺหโนฺต ‘‘สหสฺสํ ลภิตฺวา ตํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ อาหฯ ตํ ปน ธนํ ลภิตฺวา ‘‘คามเกปิ ตาว มยา เอตฺตกํ ธนํ ลทฺธํ, นคเร กิร พหุธนํ ลภิสฺสามี’’ติ ธนโลเภน น มุญฺจิฯ

    Atha naṃ so peḷato nikkhamantaṃ ‘‘mahā hohī’’ti āha, so mahā ahosi. ‘‘Khuddako vaṭṭo viphaṇo ekaphaṇo dviphaṇo yāva sahassaphaṇo ucco nīco dissamānakāyo adissamānakāyo dissamānaupaḍḍhakāyo nīlo pīto lohito odāto mañjiṭṭho hohi, dhūmaṃ vissajjehi, jālasikhaṃ udakañca vissajjehī’’ti vutte tena vuttaṃ taṃ taṃ ākāraṃ nimminitvā naccaṃ dassesi. Taṃ disvā manussā acchariyabbhutacittajātā bahuṃ hiraññasuvaṇṇavatthālaṅkārādiṃ adaṃsu. Iti tasmiṃ gāme satasahassamattaṃ labhi. So kiñcāpi mahāsattaṃ gaṇhanto ‘‘sahassaṃ labhitvā taṃ vissajjessāmī’’ti āha. Taṃ pana dhanaṃ labhitvā ‘‘gāmakepi tāva mayā ettakaṃ dhanaṃ laddhaṃ, nagare kira bahudhanaṃ labhissāmī’’ti dhanalobhena na muñci.

    โส ตสฺมิํ คาเม กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา รตนมยํ เปฬํ กาเรตฺวา ตตฺถ มหาสตฺตํ ปกฺขิปิตฺวา สุขยานกํ อารุยฺห มหเนฺตน ปริวาเรน คามนิคมราชธานีสุ ตํ กีฬาเปตฺวา พาราณสิํ ปาปุณิ, นาคราชสฺส มธุลาชํ เทติ, อพทฺธสตฺตุญฺจ เทติฯ โส โคจรํ น คณฺหิ อวิสฺสชฺชนภเยนฯ โคจรํ อคณฺหนฺตมฺปิ จ นํ จตฺตาโร นครทฺวาเร อาทิํ กตฺวา ตตฺถ ตตฺถ มาสมตฺตํ กีฬาเปสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สํสิโต อกตญฺญุนา’’ติอาทิฯ

    So tasmiṃ gāme kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā ratanamayaṃ peḷaṃ kāretvā tattha mahāsattaṃ pakkhipitvā sukhayānakaṃ āruyha mahantena parivārena gāmanigamarājadhānīsu taṃ kīḷāpetvā bārāṇasiṃ pāpuṇi, nāgarājassa madhulājaṃ deti, abaddhasattuñca deti. So gocaraṃ na gaṇhi avissajjanabhayena. Gocaraṃ agaṇhantampi ca naṃ cattāro nagaradvāre ādiṃ katvā tattha tattha māsamattaṃ kīḷāpesi. Tena vuttaṃ ‘‘saṃsito akataññunā’’tiādi.

    ตตฺถ สํสิโตติ เอโส นาโค อมุกสฺส นิโคฺรธรุกฺขสฺส สมีเป วมฺมิกมตฺถเก สยิโตติ เอวํ ฐานํ ทเสฺสตฺวา กถิโตฯ อกตญฺญุนาติ อตฺตนา กตํ อุปการํ อชานเนฺตน มิตฺตทุพฺภินา เนสาทพฺราหฺมเณนาติ อธิปฺปาโยฯ อลมฺปายโนติ อลมฺปายนวิชฺชาปริชปฺปเนน ‘‘อลมฺปายโน’’ติ เอวํ ลทฺธนาโม อหิตุณฺฑิกพฺราหฺมโณฯ มมคฺคหีติ มํ อคฺคเหสิฯ กีเฬติ มํ ตหิํ ตหินฺติ ตตฺถ ตตฺถ คามนิคมราชธานีสุ อตฺตโน ชีวิกตฺถํ มํ กีฬาเปติฯ

    Tattha saṃsitoti eso nāgo amukassa nigrodharukkhassa samīpe vammikamatthake sayitoti evaṃ ṭhānaṃ dassetvā kathito. Akataññunāti attanā kataṃ upakāraṃ ajānantena mittadubbhinā nesādabrāhmaṇenāti adhippāyo. Alampāyanoti alampāyanavijjāparijappanena ‘‘alampāyano’’ti evaṃ laddhanāmo ahituṇḍikabrāhmaṇo. Mamaggahīti maṃ aggahesi. Kīḷeti maṃ tahiṃ tahinti tattha tattha gāmanigamarājadhānīsu attano jīvikatthaṃ maṃ kīḷāpeti.

    ๑๗. ติณโตปิ ลหุโก มมาติ อตฺตโน ชีวิตปริจฺจาโค ติณสลากปริจฺจาคโตปิ ลหุโก หุตฺวา มม อุปฎฺฐาตีติ อโตฺถฯ ปถวีอุปฺปตนํ วิยาติ สีลวีติกฺกโม ปน จตุนหุตาธิกทฺวิโยชนสตสหสฺสพหลาย มหาปถวิยา ปริวตฺตนํ วิย ตโตปิ ตํ ภาริยตรํ หุตฺวา มยฺหํ อุปฎฺฐาตีติ ทเสฺสติฯ

    17.Tiṇatopi lahuko mamāti attano jīvitapariccāgo tiṇasalākapariccāgatopi lahuko hutvā mama upaṭṭhātīti attho. Pathavīuppatanaṃ viyāti sīlavītikkamo pana catunahutādhikadviyojanasatasahassabahalāya mahāpathaviyā parivattanaṃ viya tatopi taṃ bhāriyataraṃ hutvā mayhaṃ upaṭṭhātīti dasseti.

    ๑๘. นิรนฺตรํ ชาติสตนฺติ มม ชาตีนํ อเนกสตมฺปิ อเนกสตาสุปิ ชาตีสุ นิรนฺตรเมว สีลสฺส อวีติกฺกมนเหตุฯ มม ชีวิตํ จเชยฺยํ จชิตุํ สโกฺกมิฯ เนว สีลํ ปภิเนฺทยฺยนฺติ สีลํ ปน สมาทินฺนํ เอกมฺปิ เนว ภิเนฺทยฺยํ น วินาเสยฺยํฯ จตุทฺทีปาน เหตูติ จกฺกวตฺติรชฺชสิริยาปิ การณาติ ทเสฺสติฯ

    18.Nirantaraṃ jātisatanti mama jātīnaṃ anekasatampi anekasatāsupi jātīsu nirantarameva sīlassa avītikkamanahetu. Mama jīvitaṃ cajeyyaṃ cajituṃ sakkomi. Neva sīlaṃ pabhindeyyanti sīlaṃ pana samādinnaṃ ekampi neva bhindeyyaṃ na vināseyyaṃ. Catuddīpāna hetūti cakkavattirajjasiriyāpi kāraṇāti dasseti.

    ๑๙. อิทานิ ยทตฺถํ อตฺตโน ชีวิตมฺปิ ปริจฺจชิตฺวา ตทา สีลเมว รกฺขิตํ, ตาย จ สีลรกฺขาย ตถา อนตฺถการเกสุ เนสาทอลมฺปายนพฺราหฺมเณสุ จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ น กตํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิ จา’’ติ โอสานคาถมาหฯ ตํ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถเมวฯ

    19. Idāni yadatthaṃ attano jīvitampi pariccajitvā tadā sīlameva rakkhitaṃ, tāya ca sīlarakkhāya tathā anatthakārakesu nesādaalampāyanabrāhmaṇesu cittassa aññathattaṃ na kataṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘api cā’’ti osānagāthamāha. Taṃ heṭṭhā vuttatthameva.

    เอวํ ปน มหาสเตฺต อหิตุณฺฑิกหตฺถคเต ตสฺส มาตา ทุสฺสุปินํ ทิสฺวา ปุตฺตญฺจ ตตฺถ อปสฺสนฺตี โสกาภิภูตา อโหสิฯ อถสฺสา เชฎฺฐปุโตฺต สุทสฺสโน ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา สุโภคํ ‘‘หิมวนฺตํ คนฺตฺวา ปญฺจสุ มหานทีสุ สตฺตสุ มหาสเรสุ ภูริทตฺตํ อุปธาเรตฺวา เอหี’’ติ ปหิณิฯ กาณาริฎฺฐํ ‘‘เทวโลกํ คนฺตฺวา สเจ เทวตาหิ ธมฺมํ โสตุกามาหิ ภูริทโตฺต ตตฺถ นีโต, ตโต นํ อาเนหี’’ติ ปหิณิฯ สยํ ปน ‘‘มนุสฺสโลเก คเวสิสฺสามี’’ติ ตาปสเวเสน นาคภวนโต นิกฺขมิฯ อจฺจิมุขี นามสฺส เวมาติกา ภคินี โพธิสเตฺต อธิมตฺตสิเนหา ตํ อนุพนฺธิฯ ตํ มณฺฑูกจฺฉาปิํ กตฺวา ชฎนฺตเร ปกฺขิปิตฺวา มหาสตฺตสฺส อุโปสถกรณฎฺฐานํ อาทิํ กตฺวา สพฺพตฺถ คเวสโนฺต อนุกฺกเมน พาราณสิํ ปตฺวา ราชทฺวารํ อคมาสิฯ ตทา อลมฺปายโน ราชงฺคเณ มหาชนสฺส มเชฺฌ รโญฺญ ภูริทตฺตสฺส กีฬํ ทเสฺสตุํ เปฬํ วิวริตฺวา ‘‘เอหิ มหานาคา’’ติ สญฺญมทาสิฯ

    Evaṃ pana mahāsatte ahituṇḍikahatthagate tassa mātā dussupinaṃ disvā puttañca tattha apassantī sokābhibhūtā ahosi. Athassā jeṭṭhaputto sudassano taṃ pavattiṃ sutvā subhogaṃ ‘‘himavantaṃ gantvā pañcasu mahānadīsu sattasu mahāsaresu bhūridattaṃ upadhāretvā ehī’’ti pahiṇi. Kāṇāriṭṭhaṃ ‘‘devalokaṃ gantvā sace devatāhi dhammaṃ sotukāmāhi bhūridatto tattha nīto, tato naṃ ānehī’’ti pahiṇi. Sayaṃ pana ‘‘manussaloke gavesissāmī’’ti tāpasavesena nāgabhavanato nikkhami. Accimukhī nāmassa vemātikā bhaginī bodhisatte adhimattasinehā taṃ anubandhi. Taṃ maṇḍūkacchāpiṃ katvā jaṭantare pakkhipitvā mahāsattassa uposathakaraṇaṭṭhānaṃ ādiṃ katvā sabbattha gavesanto anukkamena bārāṇasiṃ patvā rājadvāraṃ agamāsi. Tadā alampāyano rājaṅgaṇe mahājanassa majjhe rañño bhūridattassa kīḷaṃ dassetuṃ peḷaṃ vivaritvā ‘‘ehi mahānāgā’’ti saññamadāsi.

    มหาสโตฺต สีสํ นีหริตฺวา โอโลเกโนฺต เชฎฺฐภาติกํ ทิสฺวา เปฬโต นิกฺขมฺม ตทภิมุโข ปายาสิฯ มหาชโน ภีโต ปฎิกฺกมิฯ โส คนฺตฺวา ตํ อภิวาเทตฺวา นิวตฺติตฺวา เปฬเมว ปาวิสิฯ อลมฺปายโน ‘‘อิมินา อยํ ตาปโส ทโฎฺฐ’’ติ สญฺญาย ‘‘มา ภายิ, มา ภายี’’ติ อาหฯ สุทสฺสโน ‘‘อยํ นาโค มยฺหํ กิํ กริสฺสติ, มยา สทิโส อหิตุณฺฑิโก นาม นตฺถี’’ติ เตน วาทปฺปฎิวาทํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ‘‘ตฺวํ อิมํ นาคํ คเหตฺวา คชฺชสิ, อหํ ตํ อิมาย มณฺฑูกจฺฉาปิยา อิจฺฉโนฺต นาสยิสฺสามี’’ติ ภคินิํ ปโกฺกสิตฺวา หตฺถํ ปสาเรสิฯ สา ตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ชฎนฺตเร นิปนฺนา ติกฺขตฺตุํ มณฺฑูกวสฺสิตํ วสฺสิตฺวา นิกฺขมิตฺวา อํสกูเฎ นิสีทิตฺวา อุปฺปติตฺวา ตสฺส หตฺถตเล ตีณิ วิสพินฺทูนิ ปาเตตฺวา ปุน ตสฺส ชฎนฺตรเมว ปาวิสิฯ

    Mahāsatto sīsaṃ nīharitvā olokento jeṭṭhabhātikaṃ disvā peḷato nikkhamma tadabhimukho pāyāsi. Mahājano bhīto paṭikkami. So gantvā taṃ abhivādetvā nivattitvā peḷameva pāvisi. Alampāyano ‘‘iminā ayaṃ tāpaso daṭṭho’’ti saññāya ‘‘mā bhāyi, mā bhāyī’’ti āha. Sudassano ‘‘ayaṃ nāgo mayhaṃ kiṃ karissati, mayā sadiso ahituṇḍiko nāma natthī’’ti tena vādappaṭivādaṃ samuṭṭhāpetvā ‘‘tvaṃ imaṃ nāgaṃ gahetvā gajjasi, ahaṃ taṃ imāya maṇḍūkacchāpiyā icchanto nāsayissāmī’’ti bhaginiṃ pakkositvā hatthaṃ pasāresi. Sā tassa saddaṃ sutvā jaṭantare nipannā tikkhattuṃ maṇḍūkavassitaṃ vassitvā nikkhamitvā aṃsakūṭe nisīditvā uppatitvā tassa hatthatale tīṇi visabindūni pātetvā puna tassa jaṭantarameva pāvisi.

    สุทสฺสโน วิสพินฺทุํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อิทํ พินฺทุํ สเจ ปถวิยํ ปาเตสฺสติ, โอสธิติณวนปฺปตโย สเพฺพ นสฺสิสฺสนฺติฯ สเจ อากาเส ขิปิสฺสติ, สตฺตวสฺสานิ เทโว น วสฺสิสฺสติฯ สเจ อุทเก ปาเตสฺสติ, ยาวตา ตตฺถ อุทกชาตา ปาณา สเพฺพ มเรยฺยุ’’นฺติ วตฺวา ราชานํ สทฺทหาเปตุํ ตโย อาวาเฎ ขณาเปตฺวา เอกํ นานาเภสชฺชานํ ปูเรสิ, ทุติยํ โคมยสฺส, ตติยํ ทิโพฺพสธานเญฺจว ปูเรตฺวา มเชฺฌ อาวาเฎ วิสพินฺทุํ ปกฺขิปิฯ ตงฺขณเญฺญว ธูมายิตฺวา ชาลา อุฎฺฐหิฯ สา คนฺตฺวา โคมยาวาฎํ คณฺหิฯ ตโตปิ ชาลา อุฎฺฐาย ทิโพฺพสธปุณฺณํ คเหตฺวา ทิโพฺพสธานิ ฌาเปตฺวา นิพฺพายิฯ อลมฺปายนํ ตตฺถ อาวาฎสฺส อวิทูเร ฐิตํ อุสุมา ผริตฺวา สรีรจฺฉวิํ อุปฺปาเฎตฺวา คตาฯ เสตกุฎฺฐี อโหสิฯ โส ภยตชฺชิโต ‘‘นาคราชานํ วิสฺสเชฺชมี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วาจํ นิจฺฉาเรสิฯ ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต รตนเปฬาย นิกฺขมิตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ อตฺตภาวํ มาเปตฺวา เทวลีฬาย ฐิโตฯ สุทสฺสโน จ อจฺจิมุขี จ ตเถว อฎฺฐํสุฯ

    Sudassano visabinduṃ dassetvā ‘‘idaṃ binduṃ sace pathaviyaṃ pātessati, osadhitiṇavanappatayo sabbe nassissanti. Sace ākāse khipissati, sattavassāni devo na vassissati. Sace udake pātessati, yāvatā tattha udakajātā pāṇā sabbe mareyyu’’nti vatvā rājānaṃ saddahāpetuṃ tayo āvāṭe khaṇāpetvā ekaṃ nānābhesajjānaṃ pūresi, dutiyaṃ gomayassa, tatiyaṃ dibbosadhānañceva pūretvā majjhe āvāṭe visabinduṃ pakkhipi. Taṅkhaṇaññeva dhūmāyitvā jālā uṭṭhahi. Sā gantvā gomayāvāṭaṃ gaṇhi. Tatopi jālā uṭṭhāya dibbosadhapuṇṇaṃ gahetvā dibbosadhāni jhāpetvā nibbāyi. Alampāyanaṃ tattha āvāṭassa avidūre ṭhitaṃ usumā pharitvā sarīracchaviṃ uppāṭetvā gatā. Setakuṭṭhī ahosi. So bhayatajjito ‘‘nāgarājānaṃ vissajjemī’’ti tikkhattuṃ vācaṃ nicchāresi. Taṃ sutvā bodhisatto ratanapeḷāya nikkhamitvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ attabhāvaṃ māpetvā devalīḷāya ṭhito. Sudassano ca accimukhī ca tatheva aṭṭhaṃsu.

    ตโต สุทสฺสโน อตฺตโน ภาคิเนยฺยภาวํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ตํ สุตฺวา ราชา เต อาลิงฺคิตฺวา สีเส จุมฺพิตฺวา อเนฺตปุรํ เนตฺวา มหนฺตํ สกฺการสมฺมานํ กตฺวา ภูริทเตฺตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต ‘‘ตาต, เอวํ มหานุภาวํ ตํ อลมฺปายโน กถํ คณฺหี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส สพฺพํ วิตฺถาเรน กเถตฺวา ‘‘มหาราช, รญฺญา นาม อิมินา นิยาเมน รชฺชํ กาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ มาตุลสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ อถ สุทสฺสโน ‘‘มาตุล, มม มาตา ภูริทตฺตํ อปสฺสนฺตี กิลมติ, น สกฺกา อเมฺหหิ อิธ ปปญฺจํ กาตุ’’นฺติ มาตุลํ อาปุจฺฉิตฺวา ภูริทตฺตอจฺจิมุขีหิ สทฺธิํ นาคภวนเมว คโตฯ

    Tato sudassano attano bhāgineyyabhāvaṃ rañño ārocesi. Taṃ sutvā rājā te āliṅgitvā sīse cumbitvā antepuraṃ netvā mahantaṃ sakkārasammānaṃ katvā bhūridattena saddhiṃ paṭisanthāraṃ karonto ‘‘tāta, evaṃ mahānubhāvaṃ taṃ alampāyano kathaṃ gaṇhī’’ti pucchi. So sabbaṃ vitthārena kathetvā ‘‘mahārāja, raññā nāma iminā niyāmena rajjaṃ kāretuṃ vaṭṭatī’’ti mātulassa dhammaṃ desesi. Atha sudassano ‘‘mātula, mama mātā bhūridattaṃ apassantī kilamati, na sakkā amhehi idha papañcaṃ kātu’’nti mātulaṃ āpucchitvā bhūridattaaccimukhīhi saddhiṃ nāgabhavanameva gato.

    อถ ตตฺถ มหาปุริโส คิลานเสยฺยาย นิปโนฺน คิลานปุจฺฉนตฺถํ อาคตาย มหติยา นาคปริสาย เวเท จ ยเญฺญ จ พฺราหฺมเณ จ สมฺภาเวตฺวา กาณาริเฎฺฐ กเถเนฺต ตํ วาทํ ภินฺทิตฺวา นานานเยหิ ธมฺมํ เทเสตฺวา สีลสมฺปทาย ทิฎฺฐิสมฺปทาย จ ปติฎฺฐาเปตฺวา ยาวชีวํ สีลานิ รกฺขิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา อายุปริโยสาเน สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ

    Atha tattha mahāpuriso gilānaseyyāya nipanno gilānapucchanatthaṃ āgatāya mahatiyā nāgaparisāya vede ca yaññe ca brāhmaṇe ca sambhāvetvā kāṇāriṭṭhe kathente taṃ vādaṃ bhinditvā nānānayehi dhammaṃ desetvā sīlasampadāya diṭṭhisampadāya ca patiṭṭhāpetvā yāvajīvaṃ sīlāni rakkhitvā uposathakammaṃ katvā āyupariyosāne saggapuraṃ pūresi.

    ตทา มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ อเหสุํฯ เนสาทพฺราหฺมโณ เทวทโตฺต, โสมทโตฺต อานโนฺท, อจฺจิมุขี อุปฺปลวณฺณา, สุทสฺสโน สาริปุโตฺต, สุโภโค มหาโมคฺคลฺลาโน, กาณาริโฎฺฐ สุนกฺขโตฺต, ภูริทโตฺต โลกนาโถฯ

    Tadā mātāpitaro mahārājakulāni ahesuṃ. Nesādabrāhmaṇo devadatto, somadatto ānando, accimukhī uppalavaṇṇā, sudassano sāriputto, subhogo mahāmoggallāno, kāṇāriṭṭho sunakkhatto, bhūridatto lokanātho.

    ตสฺส อิธาปิ เสสปารมิโย เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว นิทฺธาเรตพฺพาฯ อิธาปิ โยชนสติเก อตฺตโน นาคภวนฎฺฐาเน โสฬสหิ นาคกญฺญาสหเสฺสหิ จิตฺตรูปํ วิย ปริจาริยมาโน เทวโลกสมฺปตฺติสทิเส นาคโลกิสฺสริเย ฐิโตปิ อิสฺสริยมทํ อกตฺวา อนฺวทฺธมาสํ มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ, กุเล เชฎฺฐาปจายนํ, สกลาย นาคปริสาย จาตุมหาราชิกปริสาย ตาวติํสปริสาย จ สมุฎฺฐิตปญฺหานํ ตํตํปริสมเชฺฌ กุมุทนาลกลาปํ วิย สุนิสิตสเตฺถน อตฺตโน ปญฺญาสเตฺถน ตาวเทว ปจฺฉินฺทิตฺวา เตสํ จิตฺตานุกูลธมฺมเทสนา, วุตฺตปฺปการํ โภคสมฺปตฺติํ ปหาย อตฺตโน สรีรชีวิตนิรเปกฺขํ จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถาธิฎฺฐานํ, ตตฺถ จ ปฎิญฺญาย วิสํวาทนภเยน อหิตุณฺฑิกหตฺถคมนํ, ตสฺมิญฺจ มุเข วิสมิสฺสเขฬปาตนํ นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา อาวิญฺฉนํ กฑฺฒนํ ภูมิยํ ฆํสนํ มทฺทนํ โปถนนฺติ เอวมาทิํ นานปฺปการวิปฺปการํ กโรเนฺตปิ เอวรูปํ มหาทุกฺขํ อนุภวโตปิ กุชฺฌิตฺวา โอโลกนมเตฺตน ตํ ฉาริกํ กาตุํ สมตฺถสฺสาปิ สีลปารมิํ อาวชฺชิตฺวา สีลขณฺฑนภเยน อีสกมฺปิ จิตฺตสฺส วิการาภาโว, ธนํ ลภาเปมีติ วา ตสฺส จิตฺตานุวตฺตนํ, สุโภเคน ปุนานีตสฺส อกตญฺญุโน มิตฺตทุพฺภิสฺส เนสาทพฺราหฺมณสฺส สีลํ อนธิฎฺฐหิตฺวาปิ อกุชฺฌนํ, กาณาริเฎฺฐน กถิตํ มิจฺฉาวาทํ ภินฺทิตฺวา อเนกปริยาเยน ธมฺมํ ภาสิตฺวา นาคปริสาย สีเลสุ สมฺมาทิฎฺฐิยญฺจ ปติฎฺฐาปนนฺติ เอวมาทโย โพธิสตฺตสฺส คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาฯ เตเนตํ วุจฺจติ – ‘‘เอวํ อจฺฉริยา เหเต…เป.… ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต’’ติฯ

    Tassa idhāpi sesapāramiyo heṭṭhā vuttanayeneva niddhāretabbā. Idhāpi yojanasatike attano nāgabhavanaṭṭhāne soḷasahi nāgakaññāsahassehi cittarūpaṃ viya paricāriyamāno devalokasampattisadise nāgalokissariye ṭhitopi issariyamadaṃ akatvā anvaddhamāsaṃ mātāpituupaṭṭhānaṃ, kule jeṭṭhāpacāyanaṃ, sakalāya nāgaparisāya cātumahārājikaparisāya tāvatiṃsaparisāya ca samuṭṭhitapañhānaṃ taṃtaṃparisamajjhe kumudanālakalāpaṃ viya sunisitasatthena attano paññāsatthena tāvadeva pacchinditvā tesaṃ cittānukūladhammadesanā, vuttappakāraṃ bhogasampattiṃ pahāya attano sarīrajīvitanirapekkhaṃ caturaṅgasamannāgataṃ uposathādhiṭṭhānaṃ, tattha ca paṭiññāya visaṃvādanabhayena ahituṇḍikahatthagamanaṃ, tasmiñca mukhe visamissakheḷapātanaṃ naṅguṭṭhe gahetvā āviñchanaṃ kaḍḍhanaṃ bhūmiyaṃ ghaṃsanaṃ maddanaṃ pothananti evamādiṃ nānappakāravippakāraṃ karontepi evarūpaṃ mahādukkhaṃ anubhavatopi kujjhitvā olokanamattena taṃ chārikaṃ kātuṃ samatthassāpi sīlapāramiṃ āvajjitvā sīlakhaṇḍanabhayena īsakampi cittassa vikārābhāvo, dhanaṃ labhāpemīti vā tassa cittānuvattanaṃ, subhogena punānītassa akataññuno mittadubbhissa nesādabrāhmaṇassa sīlaṃ anadhiṭṭhahitvāpi akujjhanaṃ, kāṇāriṭṭhena kathitaṃ micchāvādaṃ bhinditvā anekapariyāyena dhammaṃ bhāsitvā nāgaparisāya sīlesu sammādiṭṭhiyañca patiṭṭhāpananti evamādayo bodhisattassa guṇānubhāvā vibhāvetabbā. Tenetaṃ vuccati – ‘‘evaṃ acchariyā hete…pe… dhammassa anudhammato’’ti.

    ภูริทตฺตจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bhūridattacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๒. ภูริทตฺตจริยา • 2. Bhūridattacariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact