Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    ขุทฺทกนิกาเย

    Khuddakanikāye

    ชาตก-อฎฺฐกถา

    Jātaka-aṭṭhakathā

    (สตฺตโม ภาโค)

    (Sattamo bhāgo)

    ๒๒. มหานิปาโต

    22. Mahānipāto

    [๕๔๓] ๖. ภูริทตฺตชาตกวณฺณนา

    [543] 6. Bhūridattajātakavaṇṇanā

    นครกณฺฑํ

    Nagarakaṇḍaṃ

    ยํ กิญฺจิ รตนํ อตฺถีติ อิทํ สตฺถา สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย เชตวเน วิหรโนฺต อุโปสถิเก อุปาสเก อารพฺภ กเถสิฯ เต กิร อุโปสถทิวเส ปาโตว อุโปสถํ อธิฎฺฐาย ทานํ ทตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ คนฺธมาลาทิหตฺถา เชตวนํ คนฺตฺวา ธมฺมสฺสวนเวลาย เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ สตฺถา ธมฺมสภํ อาคนฺตฺวา อลงฺกตพุทฺธาสเน นิสีทิตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ โอโลเกตฺวา ภิกฺขุอาทีสุ ปน เย อารพฺภ ธมฺมกถา สมุฎฺฐาติ, เตหิ สทฺธิํ ตถาคตา สลฺลปนฺติ, ตสฺมา อชฺช อุปาสเก อารพฺภ ปุพฺพจริยปฺปฎิสํยุตฺตา ธมฺมกถา สมุฎฺฐหิสฺสตีติ ญตฺวา อุปาสเกหิ สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ‘‘อุโปสถิกตฺถ, อุปาสกา’’ติ อุปาสเก ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ, อุปาสกา, กลฺยาณํ โว กตํ, อปิจ อนจฺฉริยํ โข ปเนตํ, ยํ ตุเมฺห มาทิสํ พุทฺธํ โอวาททายกํ อาจริยํ ลภนฺตา อุโปสถํ กเรยฺยาถฯ โปราณปณฺฑิตา ปน อนาจริยกาปิ มหนฺตํ ยสํ ปหาย อุโปสถํ กริํสุเยวา’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Yaṃkiñci ratanaṃ atthīti idaṃ satthā sāvatthiṃ upanissāya jetavane viharanto uposathike upāsake ārabbha kathesi. Te kira uposathadivase pātova uposathaṃ adhiṭṭhāya dānaṃ datvā pacchābhattaṃ gandhamālādihatthā jetavanaṃ gantvā dhammassavanavelāya ekamantaṃ nisīdiṃsu. Satthā dhammasabhaṃ āgantvā alaṅkatabuddhāsane nisīditvā bhikkhusaṅghaṃ oloketvā bhikkhuādīsu pana ye ārabbha dhammakathā samuṭṭhāti, tehi saddhiṃ tathāgatā sallapanti, tasmā ajja upāsake ārabbha pubbacariyappaṭisaṃyuttā dhammakathā samuṭṭhahissatīti ñatvā upāsakehi saddhiṃ sallapanto ‘‘uposathikattha, upāsakā’’ti upāsake pucchitvā ‘‘āma, bhante’’ti vutte ‘‘sādhu, upāsakā, kalyāṇaṃ vo kataṃ, apica anacchariyaṃ kho panetaṃ, yaṃ tumhe mādisaṃ buddhaṃ ovādadāyakaṃ ācariyaṃ labhantā uposathaṃ kareyyātha. Porāṇapaṇḍitā pana anācariyakāpi mahantaṃ yasaṃ pahāya uposathaṃ kariṃsuyevā’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา รชฺชํ กาเรโนฺต ปุตฺตสฺส อุปรชฺชํ ทตฺวา ตสฺส มหนฺตํ ยสํ ทิสฺวา ‘‘รชฺชมฺปิ เม คเณฺหยฺยา’’ติ อุปฺปนฺนาสโงฺก ‘‘ตาต, ตฺวํ อิโต นิกฺขมิตฺวา ยตฺถ เต รุจฺจติ, ตตฺถ วสิตฺวา มม อจฺจเยน กุลสนฺตกํ รชฺชํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน ยมุนํ คนฺตฺวา ยมุนาย จ สมุทฺทสฺส จ ปพฺพตสฺส จ อนฺตเร ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา วนมูลผลาหาโร ปฎิวสติฯ ตทา สมุทฺทสฺส เหฎฺฐิเม นาคภวเน เอกา มตปติกา นาคมาณวิกา อญฺญาสํ สปติกานํ ยสํ โอโลเกตฺวา กิเลสํ นิสฺสาย นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา สมุทฺทตีเร วิจรนฺตี ราชปุตฺตสฺส ปทวลญฺชํ ทิสฺวา ปทานุสาเรน คนฺตฺวา ตํ ปณฺณสาลํ อทฺทสฯ ตทา ราชปุโตฺต ผลาผลตฺถาย คโต โหติฯ สา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา กฎฺฐตฺถรณเญฺจว เสสปริกฺขาเร จ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิทํ เอกสฺส ปพฺพชิตสฺส วสนฎฺฐานํ, วีมํสิสฺสามิ นํ ‘สทฺธาย ปพฺพชิโต นุ โข โน’ติ, สเจ หิ สทฺธาย ปพฺพชิโต ภวิสฺสติ เนกฺขมฺมาธิมุโตฺต, น เม อลงฺกตสยนํ สาทิยิสฺสติฯ สเจ กามาภิรโต ภวิสฺสติ, น สทฺธาปพฺพชิโต, มม สยนสฺมิํเยว นิปชฺชิสฺสติฯ อถ นํ คเหตฺวา อตฺตโน สามิกํ กตฺวา อิเธว วสิสฺสามี’’ติฯ สา นาคภวนํ คนฺตฺวา ทิพฺพปุปฺผานิ เจว ทิพฺพคเนฺธ จ อาหริตฺวา ทิพฺพปุปฺผสยนํ สเชฺชตฺวา ปณฺณสาลายํ ปุปฺผูปหารํ กตฺวา คนฺธจุณฺณํ วิกิริตฺวา ปณฺณสาลํ อลงฺกริตฺวา นาคภวนเมว คตาฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatto nāma rājā rajjaṃ kārento puttassa uparajjaṃ datvā tassa mahantaṃ yasaṃ disvā ‘‘rajjampi me gaṇheyyā’’ti uppannāsaṅko ‘‘tāta, tvaṃ ito nikkhamitvā yattha te ruccati, tattha vasitvā mama accayena kulasantakaṃ rajjaṃ gaṇhāhī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā pitaraṃ vanditvā nikkhamitvā anupubbena yamunaṃ gantvā yamunāya ca samuddassa ca pabbatassa ca antare paṇṇasālaṃ māpetvā vanamūlaphalāhāro paṭivasati. Tadā samuddassa heṭṭhime nāgabhavane ekā matapatikā nāgamāṇavikā aññāsaṃ sapatikānaṃ yasaṃ oloketvā kilesaṃ nissāya nāgabhavanā nikkhamitvā samuddatīre vicarantī rājaputtassa padavalañjaṃ disvā padānusārena gantvā taṃ paṇṇasālaṃ addasa. Tadā rājaputto phalāphalatthāya gato hoti. Sā paṇṇasālaṃ pavisitvā kaṭṭhattharaṇañceva sesaparikkhāre ca disvā cintesi ‘‘idaṃ ekassa pabbajitassa vasanaṭṭhānaṃ, vīmaṃsissāmi naṃ ‘saddhāya pabbajito nu kho no’ti, sace hi saddhāya pabbajito bhavissati nekkhammādhimutto, na me alaṅkatasayanaṃ sādiyissati. Sace kāmābhirato bhavissati, na saddhāpabbajito, mama sayanasmiṃyeva nipajjissati. Atha naṃ gahetvā attano sāmikaṃ katvā idheva vasissāmī’’ti. Sā nāgabhavanaṃ gantvā dibbapupphāni ceva dibbagandhe ca āharitvā dibbapupphasayanaṃ sajjetvā paṇṇasālāyaṃ pupphūpahāraṃ katvā gandhacuṇṇaṃ vikiritvā paṇṇasālaṃ alaṅkaritvā nāgabhavanameva gatā.

    ราชปุโตฺต สายนฺหสมยํ อาคนฺตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิโฎฺฐ ตํ ปวตฺติํ ทิสฺวา ‘‘เกน นุ โข อิมํ สยนํ สชฺชิต’’นฺติ ผลาผลํ ปริภุญฺชิตฺวา ‘‘อโห สุคนฺธานิ ปุปฺผานิ, มนาปํ วต กตฺวา สยนํ ปญฺญตฺต’’นฺติ น สทฺธาปพฺพชิตภาเวน โสมนสฺสชาโต ปุปฺผสยเน ปริวตฺติตฺวา นิปโนฺน นิทฺทํ โอกฺกมิตฺวา ปุนทิวเส สูริยุคฺคมเน อุฎฺฐาย ปณฺณสาลํ อสมฺมชฺชิตฺวา ผลาผลตฺถาย อคมาสิฯ นาคมาณวิกา ตสฺมิํ ขเณ อาคนฺตฺวา มิลาตานิ ปุปฺผานิ ทิสฺวา ‘‘กามาธิมุโตฺต เอส, น สทฺธาปพฺพชิโต, สกฺกา นํ คณฺหิตุ’’นฺติ ญตฺวา ปุราณปุปฺผานิ นีหริตฺวา อญฺญานิ ปุปฺผานิ อาหริตฺวา ตเถว นวปุปฺผสยนํ สเชฺชตฺวา ปณฺณสาลํ อลงฺกริตฺวา จงฺกเม ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา นาคภวนเมว คตาฯ โส ตํ ทิวสมฺปิ ปุปฺผสยเน สยิตฺวา ปุนทิวเส จิเนฺตสิ ‘‘โก นุ โข อิมํ ปณฺณสาลํ อลงฺกโรตี’’ติ? โส ผลาผลตฺถาย อคนฺตฺวา ปณฺณสาลโต อวิทูเร ปฎิจฺฉโนฺน อฎฺฐาสิฯ อิตราปิ พหู คเนฺธ เจว ปุปฺผานิ จ อาทาย อสฺสมปทํ อคมาสิฯ ราชปุโตฺต อุตฺตมรูปธรํ นาคมาณวิกํ ทิสฺวาว ปฎิพทฺธจิโตฺต อตฺตานํ อทเสฺสตฺวา ตสฺสา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา สยนํ สชฺชนกาเล ปวิสิตฺวา ‘‘กาสิ ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ นาคมาณวิกา, สามี’’ติฯ ‘‘สสามิกา อสฺสามิกาสี’’ติฯ ‘‘สามิ, อหํ ปุเพฺพ สสามิกา, อิทานิ ปน อสฺสามิกา วิธวา’’ฯ ‘‘ตฺวํ ปน กตฺถ วาสิโกสี’’ติ? ‘‘อหํ พาราณสิรโญฺญ ปุโตฺต พฺรหฺมทตฺตกุมาโร นาม’’ฯ ‘‘ตฺวํ นาคภวนํ ปหาย กสฺมา อิธ วิจรสี’’ติ? ‘‘สามิ, อหํ ตตฺถ สสามิกานํ นาคมาณวิกานํ ยสํ โอโลเกตฺวา กิเลสํ นิสฺสาย อุกฺกณฺฐิตฺวา ตโต นิกฺขมิตฺวา สามิกํ ปริเยสนฺตี วิจรามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ภเทฺท, สาธุ, อหมฺปิ น สทฺธาย ปพฺพชิโต, ปิตรา ปน เม นีหริตตฺตา อิธ วสามิ, ตฺวํ มา จินฺตยิ, อหํ เต สามิโก ภวิสฺสามิ, อุโภปิ อิธ สมคฺควาสํ วสิสฺสามา’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ตโต ปฎฺฐาย เต อุโภปิ ตเตฺถว สมคฺควาสํ วสิํสุฯ สา อตฺตโน อานุภาเวน มหารหํ เคหํ มาเปตฺวา มหารหํ ปลฺลงฺกํ อาหริตฺวา สยนํ ปญฺญเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย มูลผลาผลํ น ขาทิ, ทิพฺพอนฺนปานเมว ภุญฺชิตฺวา ชีวิกํ กเปฺปสิฯ

    Rājaputto sāyanhasamayaṃ āgantvā paṇṇasālaṃ paviṭṭho taṃ pavattiṃ disvā ‘‘kena nu kho imaṃ sayanaṃ sajjita’’nti phalāphalaṃ paribhuñjitvā ‘‘aho sugandhāni pupphāni, manāpaṃ vata katvā sayanaṃ paññatta’’nti na saddhāpabbajitabhāvena somanassajāto pupphasayane parivattitvā nipanno niddaṃ okkamitvā punadivase sūriyuggamane uṭṭhāya paṇṇasālaṃ asammajjitvā phalāphalatthāya agamāsi. Nāgamāṇavikā tasmiṃ khaṇe āgantvā milātāni pupphāni disvā ‘‘kāmādhimutto esa, na saddhāpabbajito, sakkā naṃ gaṇhitu’’nti ñatvā purāṇapupphāni nīharitvā aññāni pupphāni āharitvā tatheva navapupphasayanaṃ sajjetvā paṇṇasālaṃ alaṅkaritvā caṅkame pupphāni vikiritvā nāgabhavanameva gatā. So taṃ divasampi pupphasayane sayitvā punadivase cintesi ‘‘ko nu kho imaṃ paṇṇasālaṃ alaṅkarotī’’ti? So phalāphalatthāya agantvā paṇṇasālato avidūre paṭicchanno aṭṭhāsi. Itarāpi bahū gandhe ceva pupphāni ca ādāya assamapadaṃ agamāsi. Rājaputto uttamarūpadharaṃ nāgamāṇavikaṃ disvāva paṭibaddhacitto attānaṃ adassetvā tassā paṇṇasālaṃ pavisitvā sayanaṃ sajjanakāle pavisitvā ‘‘kāsi tva’’nti pucchi. ‘‘Ahaṃ nāgamāṇavikā, sāmī’’ti. ‘‘Sasāmikā assāmikāsī’’ti. ‘‘Sāmi, ahaṃ pubbe sasāmikā, idāni pana assāmikā vidhavā’’. ‘‘Tvaṃ pana kattha vāsikosī’’ti? ‘‘Ahaṃ bārāṇasirañño putto brahmadattakumāro nāma’’. ‘‘Tvaṃ nāgabhavanaṃ pahāya kasmā idha vicarasī’’ti? ‘‘Sāmi, ahaṃ tattha sasāmikānaṃ nāgamāṇavikānaṃ yasaṃ oloketvā kilesaṃ nissāya ukkaṇṭhitvā tato nikkhamitvā sāmikaṃ pariyesantī vicarāmī’’ti. ‘‘Tena hi bhadde, sādhu, ahampi na saddhāya pabbajito, pitarā pana me nīharitattā idha vasāmi, tvaṃ mā cintayi, ahaṃ te sāmiko bhavissāmi, ubhopi idha samaggavāsaṃ vasissāmā’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Tato paṭṭhāya te ubhopi tattheva samaggavāsaṃ vasiṃsu. Sā attano ānubhāvena mahārahaṃ gehaṃ māpetvā mahārahaṃ pallaṅkaṃ āharitvā sayanaṃ paññapesi. Tato paṭṭhāya mūlaphalāphalaṃ na khādi, dibbaannapānameva bhuñjitvā jīvikaṃ kappesi.

    อปรภาเค นาคมาณวิกา คพฺภํ ปฎิลภิตฺวา ปุตฺตํ วิชายิ, สาครตีเร ชาตตฺตา ตสฺส ‘‘สาครพฺรหฺมทโตฺต’’ติ นามํ กริํสุฯ ตสฺส ปทสา คมนกาเล นาคมาณวิกา ธีตรํ วิชายิ, ตสฺสา สมุทฺทตีเร ชาตตฺตา ‘‘สมุทฺทชา’’ติ นามํ กริํสุฯ อเถโก พาราณสิวาสิโก วนจรโก ตํ ฐานํ ปตฺวา กตปฎิสนฺถาโร ราชปุตฺตํ สญฺชานิตฺวา กติปาหํ ตตฺถ วสิตฺวา ‘‘เทว, อหํ ตุมฺหากํ อิธ วสนภาวํ ราชกุลสฺส อาโรเจสฺสามี’’ติ ตํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา นครํ อคมาสิฯ ตทา ราชา กาลมกาสิฯ อมจฺจา ตสฺส สรีรกิจฺจํ กตฺวา สตฺตเม ทิวเส สนฺนิปติตฺวา ‘‘อราชกํ รชฺชํ นาม น สณฺฐาติ, ราชปุตฺตสฺส วสนฎฺฐานํ วา อตฺถิภาวํ วา น ชานาม, ผุสฺสรถํ วิสฺสเชฺชตฺวา ราชานํ คณฺหิสฺสามา’’ติ มนฺตยิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ วนจรโก นครํ ปตฺวา ตํ กถํ สุตฺวา อมจฺจานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อหํ ราชปุตฺตสฺส สนฺติเก ตโย จตฺตาโร ทิวเส วสิตฺวา อาคโตมฺหี’’ติ ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ อมจฺจา ตสฺส สกฺการํ กตฺวา เตน มคฺคนายเกน สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา กตปฎิสนฺถารา รโญฺญ กาลกตภาวํ อาโรเจตฺวา ‘‘เทว, รชฺชํ ปฎิปชฺชาหี’’ติ อาหํสุฯ

    Aparabhāge nāgamāṇavikā gabbhaṃ paṭilabhitvā puttaṃ vijāyi, sāgaratīre jātattā tassa ‘‘sāgarabrahmadatto’’ti nāmaṃ kariṃsu. Tassa padasā gamanakāle nāgamāṇavikā dhītaraṃ vijāyi, tassā samuddatīre jātattā ‘‘samuddajā’’ti nāmaṃ kariṃsu. Atheko bārāṇasivāsiko vanacarako taṃ ṭhānaṃ patvā katapaṭisanthāro rājaputtaṃ sañjānitvā katipāhaṃ tattha vasitvā ‘‘deva, ahaṃ tumhākaṃ idha vasanabhāvaṃ rājakulassa ārocessāmī’’ti taṃ vanditvā nikkhamitvā nagaraṃ agamāsi. Tadā rājā kālamakāsi. Amaccā tassa sarīrakiccaṃ katvā sattame divase sannipatitvā ‘‘arājakaṃ rajjaṃ nāma na saṇṭhāti, rājaputtassa vasanaṭṭhānaṃ vā atthibhāvaṃ vā na jānāma, phussarathaṃ vissajjetvā rājānaṃ gaṇhissāmā’’ti mantayiṃsu. Tasmiṃ khaṇe vanacarako nagaraṃ patvā taṃ kathaṃ sutvā amaccānaṃ santikaṃ gantvā ‘‘ahaṃ rājaputtassa santike tayo cattāro divase vasitvā āgatomhī’’ti taṃ pavattiṃ ācikkhi. Amaccā tassa sakkāraṃ katvā tena magganāyakena saddhiṃ tattha gantvā katapaṭisanthārā rañño kālakatabhāvaṃ ārocetvā ‘‘deva, rajjaṃ paṭipajjāhī’’ti āhaṃsu.

    โส ‘‘นาคมาณวิกาย จิตฺตํ ชานิสฺสามี’’ติ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเทฺท, ปิตา เม กาลกโต, อมจฺจา มยฺหํ ฉตฺตํ อุสฺสาเปตุํ อาคตา, คจฺฉาม, ภเทฺท, อุโภปิ ทฺวาทสโยชนิกาย พาราณสิยา รชฺชํ กาเรสฺสาม, ตฺวํ โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ เชฎฺฐิกา ภวิสฺสสี’’ติ อาหฯ ‘‘สามิ, น สกฺกา มยา คนฺตุ’’นฺติฯ ‘‘กิํการณา’’ติ? ‘‘มยํ โฆรวิสา ขิปฺปโกปา อปฺปมตฺตเกนปิ กุชฺฌาม, สปตฺติโรโส จ นาม ภาริโยฯ สจาหํ กิญฺจิ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา กุทฺธา โอโลเกสฺสามิ, ภสฺมามุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิริสฺสติฯ อิมินา การเณน น สกฺกา มยา คนฺตุ’’นฺติฯ ราชปุโตฺต ปุนทิวเสปิ ยาจเตวฯ อถ นํ สา เอวมาห – ‘‘อหํ ตาว เกนจิ ปริยาเยน น คมิสฺสามิ, อิเม ปน เม ปุตฺตา นาคกุมารา ตว สมฺภเวน ชาตตฺตา มนุสฺสชาติกาฯ สเจ เต มยิ สิเนโห อตฺถิ, อิเมสุ อปฺปมโตฺต ภวฯ อิเม โข ปน อุทกพีชกา สุขุมาลา มคฺคํ คจฺฉนฺตา วาตาตเปน กิลมิตฺวา มเรยฺยุํ, ตสฺมา เอกํ นาวํ ขณาเปตฺวา อุทกสฺส ปูราเปตฺวา ตาย เทฺว ปุตฺตเก อุทกกีฬํ กีฬาเปตฺวา นคเรปิ อโนฺตวตฺถุสฺมิํเยว โปกฺขรณิํกาเรยฺยาสิ, เอวํ เต น กิลมิสฺสนฺตี’’ติฯ

    So ‘‘nāgamāṇavikāya cittaṃ jānissāmī’’ti taṃ upasaṅkamitvā ‘‘bhadde, pitā me kālakato, amaccā mayhaṃ chattaṃ ussāpetuṃ āgatā, gacchāma, bhadde, ubhopi dvādasayojanikāya bārāṇasiyā rajjaṃ kāressāma, tvaṃ soḷasannaṃ itthisahassānaṃ jeṭṭhikā bhavissasī’’ti āha. ‘‘Sāmi, na sakkā mayā gantu’’nti. ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti? ‘‘Mayaṃ ghoravisā khippakopā appamattakenapi kujjhāma, sapattiroso ca nāma bhāriyo. Sacāhaṃ kiñci disvā vā sutvā vā kuddhā olokessāmi, bhasmāmuṭṭhi viya vippakirissati. Iminā kāraṇena na sakkā mayā gantu’’nti. Rājaputto punadivasepi yācateva. Atha naṃ sā evamāha – ‘‘ahaṃ tāva kenaci pariyāyena na gamissāmi, ime pana me puttā nāgakumārā tava sambhavena jātattā manussajātikā. Sace te mayi sineho atthi, imesu appamatto bhava. Ime kho pana udakabījakā sukhumālā maggaṃ gacchantā vātātapena kilamitvā mareyyuṃ, tasmā ekaṃ nāvaṃ khaṇāpetvā udakassa pūrāpetvā tāya dve puttake udakakīḷaṃ kīḷāpetvā nagarepi antovatthusmiṃyeva pokkharaṇiṃkāreyyāsi, evaṃ te na kilamissantī’’ti.

    สา เอวญฺจ ปน วตฺวา ราชปุตฺตํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปุตฺตเก อาลิงฺคิตฺวา ถนนฺตเร นิปชฺชาเปตฺวา สีเส จุมฺพิตฺวา ราชปุตฺตสฺส นิยฺยาเทตฺวา โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา ตเตฺถว อนฺตรธายิตฺวา นาคภวนํ อคมาสิฯ ราชปุโตฺตปิ โทมนสฺสปฺปโตฺต อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ นิเวสนา นิกฺขมิตฺวา อกฺขีนิ ปุญฺฉิตฺวา อมเจฺจ อุปสงฺกมิฯ เต ตํ ตเตฺถว อภิสิญฺจิตฺวา ‘‘เทว, อมฺหากํ นครํ คจฺฉามา’’ติ วทิํสุฯ เตน หิ สีฆํ นาวํ ขณิตฺวา สกฎํ อาโรเปตฺวา อุทกสฺส ปูเรตฺวา อุทกปิเฎฺฐ วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ นานาปุปฺผานิ วิกิรถ, มม ปุตฺตา อุทกพีชกา, เต ตตฺถ กีฬนฺตา สุขํ คมิสฺสนฺตี’’ติฯ อมจฺจา ตถา กริํสุฯ ราชา พาราณสิํ ปตฺวา อลงฺกตนครํ ปวิสิตฺวา โสฬสสหสฺสาหิ นาฎกิตฺถีหิ อมจฺจาทีหิ จ ปริวุโต มหาตเล นิสีทิตฺวา สตฺตาหํ มหาปานํ ปิวิตฺวา ปุตฺตานํ อตฺถาย โปกฺขรณิํ กาเรสิฯ เต นิพทฺธํ ตตฺถ กีฬิํสุฯ

    Sā evañca pana vatvā rājaputtaṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā puttake āliṅgitvā thanantare nipajjāpetvā sīse cumbitvā rājaputtassa niyyādetvā roditvā kanditvā tattheva antaradhāyitvā nāgabhavanaṃ agamāsi. Rājaputtopi domanassappatto assupuṇṇehi nettehi nivesanā nikkhamitvā akkhīni puñchitvā amacce upasaṅkami. Te taṃ tattheva abhisiñcitvā ‘‘deva, amhākaṃ nagaraṃ gacchāmā’’ti vadiṃsu. Tena hi sīghaṃ nāvaṃ khaṇitvā sakaṭaṃ āropetvā udakassa pūretvā udakapiṭṭhe vaṇṇagandhasampannāni nānāpupphāni vikiratha, mama puttā udakabījakā, te tattha kīḷantā sukhaṃ gamissantī’’ti. Amaccā tathā kariṃsu. Rājā bārāṇasiṃ patvā alaṅkatanagaraṃ pavisitvā soḷasasahassāhi nāṭakitthīhi amaccādīhi ca parivuto mahātale nisīditvā sattāhaṃ mahāpānaṃ pivitvā puttānaṃ atthāya pokkharaṇiṃ kāresi. Te nibaddhaṃ tattha kīḷiṃsu.

    อเถกทิวสํ โปกฺขรณิยํ อุทเก ปเวสิยมาเน เอโก กจฺฉโป ปวิสิตฺวา นิกฺขมนฎฺฐานํ อปสฺสโนฺต โปกฺขรณิตเล นิปชฺชิตฺวา ทารกานํ กีฬนกาเล อุทกโต อุฎฺฐาย สีสํ นีหริตฺวา เต โอโลเกตฺวา ปุน อุทเก นิมุชฺชิฯ เต ตํ ทิสฺวา ภีตา ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ตาต, โปกฺขรณิยํ เอโก ยโกฺข อเมฺห ตาเสตี’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘คจฺฉถ นํ คณฺหถา’’ติ ปุริเส อาณาเปสิฯ เต ชาลํ ขิปิตฺวา กจฺฉปํ อาทาย รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ กุมารา ตํ ทิสฺวา ‘‘เอส, ตาต, ปิสาโจ’’ติ วิรวิํสุฯ ราชา ปุตฺตสิเนเหน กจฺฉปสฺส กุชฺฌิตฺวา ‘‘คจฺฉถสฺส กมฺมการณํ กโรถา’’ติ อาณาเปสิฯ ตตฺร เอกเจฺจ ‘‘อยํ ราชเวริโก, เอตํ อุทุกฺขเล มุสเลหิ จุณฺณวิจุณฺณํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหํสุ, เอกเจฺจ ‘‘ตีหิ ปาเกหิ ปจิตฺวา ขาทิตุํ’’, เอกเจฺจ ‘‘องฺคาเรสุ อุตฺตาเปตุํ,’’ เอกเจฺจ ‘‘อโนฺตกฎาเหเยว นํ ปจิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหํสุฯ เอโก ปน อุทกภีรุโก อมโจฺจ ‘‘อิมํ ยมุนาย อาวเฎฺฎ ขิปิตุํ วฎฺฎติ, โส ตตฺถ มหาวินาสํ ปาปุณิสฺสติฯ เอวรูปา หิสฺส กมฺมการณา นตฺถี’’ติ อาหฯ กจฺฉโป ตสฺส กถํ สุตฺวา สีสํ นีหริตฺวา เอวมาห – ‘‘อโมฺภ, กิํ เต มยา อปราโธ กโต, เกน มํ เอวรูปํ กมฺมการณํ วิจาเรสิฯ มยา หิ สกฺกา อิตรา กมฺมการณา สหิตุํ, อยํ ปน อติกกฺขโฬ, มา เอวํ อวจา’’ติฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อิมํ เอตเทว กาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ ยมุนาย อาวเฎฺฎ ขิปาเปสิฯ ปุริโส ตถา อกาสิฯ โส เอกํ นาคภวนคามิํ อุทกวาหํ ปตฺวา นาคภวนํ อคมาสิฯ

    Athekadivasaṃ pokkharaṇiyaṃ udake pavesiyamāne eko kacchapo pavisitvā nikkhamanaṭṭhānaṃ apassanto pokkharaṇitale nipajjitvā dārakānaṃ kīḷanakāle udakato uṭṭhāya sīsaṃ nīharitvā te oloketvā puna udake nimujji. Te taṃ disvā bhītā pitu santikaṃ gantvā ‘‘tāta, pokkharaṇiyaṃ eko yakkho amhe tāsetī’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘gacchatha naṃ gaṇhathā’’ti purise āṇāpesi. Te jālaṃ khipitvā kacchapaṃ ādāya rañño dassesuṃ. Kumārā taṃ disvā ‘‘esa, tāta, pisāco’’ti viraviṃsu. Rājā puttasinehena kacchapassa kujjhitvā ‘‘gacchathassa kammakāraṇaṃ karothā’’ti āṇāpesi. Tatra ekacce ‘‘ayaṃ rājaveriko, etaṃ udukkhale musalehi cuṇṇavicuṇṇaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti āhaṃsu, ekacce ‘‘tīhi pākehi pacitvā khādituṃ’’, ekacce ‘‘aṅgāresu uttāpetuṃ,’’ ekacce ‘‘antokaṭāheyeva naṃ pacituṃ vaṭṭatī’’ti āhaṃsu. Eko pana udakabhīruko amacco ‘‘imaṃ yamunāya āvaṭṭe khipituṃ vaṭṭati, so tattha mahāvināsaṃ pāpuṇissati. Evarūpā hissa kammakāraṇā natthī’’ti āha. Kacchapo tassa kathaṃ sutvā sīsaṃ nīharitvā evamāha – ‘‘ambho, kiṃ te mayā aparādho kato, kena maṃ evarūpaṃ kammakāraṇaṃ vicāresi. Mayā hi sakkā itarā kammakāraṇā sahituṃ, ayaṃ pana atikakkhaḷo, mā evaṃ avacā’’ti. Taṃ sutvā rājā ‘‘imaṃ etadeva kāretuṃ vaṭṭatī’’ti yamunāya āvaṭṭe khipāpesi. Puriso tathā akāsi. So ekaṃ nāgabhavanagāmiṃ udakavāhaṃ patvā nāgabhavanaṃ agamāsi.

    อถ นํ ตสฺมิํ อุทกวาเห กีฬนฺตา ธตรฎฺฐนาครโญฺญ ปุตฺตา นาคมาณวกา ทิสฺวา ‘‘คณฺหถ นํ ทาส’’นฺติ อาหํสุฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘อหํ พาราณสิรโญฺญ หตฺถา มุจฺจิตฺวา เอวรูปานํ ผรุสานํ นาคานํ หตฺถํ ปโตฺต, เกน นุ โข อุปาเยน มุเจฺจยฺย’’นฺติฯ โส ‘‘อเตฺถโส อุปาโย’’ติ มุสาวาทํ กตฺวา ‘‘ตุเมฺห ธตรฎฺฐสฺส นาครโญฺญ สนฺตกา หุตฺวา กสฺมา เอวํ วเทถ, อหํ จิตฺตจูโฬ นาม กจฺฉโป พาราณสิรโญฺญ ทูโต, ธตรฎฺฐสฺส สนฺติกํ อาคโต, อมฺหากํ ราชา ธตรฎฺฐสฺส ธีตรํ ทาตุกาโม มํ ปหิณิ, ตสฺส มํ ทเสฺสถา’’ติ อาหฯ เต โสมนสฺสชาตา ตํ อาทาย รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘อาเนถ น’’นฺติ ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ทิสฺวาว อนตฺตมโน หุตฺวา ‘‘เอวํ ลามกสรีโร ทูตกมฺมํ กาตุํ น สโกฺกตี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา กจฺฉโป ‘‘กิํ ปน, มหาราช, ทูเตหิ นาม ตาลปฺปมาเณหิ ภวิตพฺพํ, สรีรญฺหิ ขุทฺทกํ วา มหนฺตํ วา อปฺปมาณํ, คตคตฎฺฐาเน กมฺมนิปฺผาทนเมว ปมาณํฯ มหาราช, อมฺหากํ รโญฺญ พหู ทูตาฯ ถเล กมฺมํ มนุสฺสา กโรนฺติ, อากาเส ปกฺขิโน, อุทเก อหเมวฯ อหญฺหิ จิตฺตจูโฬ นาม กจฺฉโป ฐานนฺตรปฺปโตฺต ราชวลฺลโภ, มา มํ ปริภาสถา’’ติ อตฺตโน คุณํ วเณฺณสิฯ อถ นํ ธตรโฎฺฐ ปุจฺฉิ ‘‘เกน ปนเตฺถน รญฺญา เปสิโตสี’’ติฯ มหาราช, ราชา มํ เอวมาห ‘‘มยา สกลชมฺพุทีเป ราชูหิ สทฺธิํ มิตฺตธโมฺม กโต, อิทานิ ธตรเฎฺฐน นาครญฺญา สทฺธิํ มิตฺตธมฺมํ กาตุํ มม ธีตรํ สมุทฺทชํ ทมฺมี’’ติ วตฺวา มํ ปหิณิฯ ‘‘ตุเมฺห ปปญฺจํ อกตฺวา มยา สทฺธิํเยว ปุริสํ เปเสตฺวา ทิวสํ ววตฺถเปตฺวา ทาริกํ คณฺหถา’’ติฯ โส ตุสฺสิตฺวา ตสฺส สกฺการํ กตฺวา เตน สทฺธิํ จตฺตาโร นาคมาณวเก เปเสสิ ‘‘คจฺฉถ, รโญฺญ วจนํ สุตฺวา ทิวสํ ววตฺถเปตฺวา เอถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา กจฺฉปํ คเหตฺวา นาคภวนา นิกฺขมิํสุฯ

    Atha naṃ tasmiṃ udakavāhe kīḷantā dhataraṭṭhanāgarañño puttā nāgamāṇavakā disvā ‘‘gaṇhatha naṃ dāsa’’nti āhaṃsu. So cintesi ‘‘ahaṃ bārāṇasirañño hatthā muccitvā evarūpānaṃ pharusānaṃ nāgānaṃ hatthaṃ patto, kena nu kho upāyena mucceyya’’nti. So ‘‘attheso upāyo’’ti musāvādaṃ katvā ‘‘tumhe dhataraṭṭhassa nāgarañño santakā hutvā kasmā evaṃ vadetha, ahaṃ cittacūḷo nāma kacchapo bārāṇasirañño dūto, dhataraṭṭhassa santikaṃ āgato, amhākaṃ rājā dhataraṭṭhassa dhītaraṃ dātukāmo maṃ pahiṇi, tassa maṃ dassethā’’ti āha. Te somanassajātā taṃ ādāya rañño santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesuṃ. Rājā ‘‘ānetha na’’nti taṃ pakkosāpetvā disvāva anattamano hutvā ‘‘evaṃ lāmakasarīro dūtakammaṃ kātuṃ na sakkotī’’ti āha. Taṃ sutvā kacchapo ‘‘kiṃ pana, mahārāja, dūtehi nāma tālappamāṇehi bhavitabbaṃ, sarīrañhi khuddakaṃ vā mahantaṃ vā appamāṇaṃ, gatagataṭṭhāne kammanipphādanameva pamāṇaṃ. Mahārāja, amhākaṃ rañño bahū dūtā. Thale kammaṃ manussā karonti, ākāse pakkhino, udake ahameva. Ahañhi cittacūḷo nāma kacchapo ṭhānantarappatto rājavallabho, mā maṃ paribhāsathā’’ti attano guṇaṃ vaṇṇesi. Atha naṃ dhataraṭṭho pucchi ‘‘kena panatthena raññā pesitosī’’ti. Mahārāja, rājā maṃ evamāha ‘‘mayā sakalajambudīpe rājūhi saddhiṃ mittadhammo kato, idāni dhataraṭṭhena nāgaraññā saddhiṃ mittadhammaṃ kātuṃ mama dhītaraṃ samuddajaṃ dammī’’ti vatvā maṃ pahiṇi. ‘‘Tumhe papañcaṃ akatvā mayā saddhiṃyeva purisaṃ pesetvā divasaṃ vavatthapetvā dārikaṃ gaṇhathā’’ti. So tussitvā tassa sakkāraṃ katvā tena saddhiṃ cattāro nāgamāṇavake pesesi ‘‘gacchatha, rañño vacanaṃ sutvā divasaṃ vavatthapetvā ethā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti vatvā kacchapaṃ gahetvā nāgabhavanā nikkhamiṃsu.

    กจฺฉโป ยมุนาย พาราณสิยา จ อนฺตเร เอกํ ปทุมสรํ ทิสฺวา เอเกนุปาเยน ปลายิตุกาโม เอวมาห – ‘‘โภ นาคมาณวกา, อมฺหากํ ราชา ปุตฺตทารา จสฺส มํ อุทเก โคจรตฺตา ราชนิเวสนํ อาคตํ ทิสฺวาว ปทุมานิ โน เทหิ, ภิสมูลานิ เทหีติ ยาจนฺติฯ อหํ เตสํ อตฺถาย ตานิ คณฺหิสฺสามิ, เอตฺถ มํ วิสฺสเชฺชตฺวา มํ อปสฺสนฺตาปิ ปุเรตรํ รโญฺญ สนฺติกํ คจฺฉถ, อหํ โว ตเตฺถว ปสฺสิสฺสามี’’ติฯ เต ตสฺส สทฺทหิตฺวา ตํ วิสฺสเชฺชสุํฯ โส ตตฺถ เอกมเนฺต นิลียิฯ อิตเรปิ นํ อทิสฺวา ‘‘รโญฺญ สนฺติกํ คโต ภวิสฺสตี’’ติ มาณวกวเณฺณน ราชานํ อุปสงฺกมิํสุฯ ราชา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ธตรฎฺฐสฺส สนฺติกา, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กิํการณา อิธาคตา’’ติ? ‘‘มหาราช, มยํ ตสฺส ทูตา, ธตรโฎฺฐ โว อาโรคฺยํ ปุจฺฉติฯ สเจ ยํ โว อิจฺฉถ, ตํ โน วเทถฯ ตุมฺหากํ กิร ธีตรํ สมุทฺทชํ อมฺหากํ รโญฺญ ปาทปริจาริกํ กตฺวา เทถา’’ติ อิมมตฺถํ ปกาเสนฺตา ปฐมํ คาถมาหํสุ –

    Kacchapo yamunāya bārāṇasiyā ca antare ekaṃ padumasaraṃ disvā ekenupāyena palāyitukāmo evamāha – ‘‘bho nāgamāṇavakā, amhākaṃ rājā puttadārā cassa maṃ udake gocarattā rājanivesanaṃ āgataṃ disvāva padumāni no dehi, bhisamūlāni dehīti yācanti. Ahaṃ tesaṃ atthāya tāni gaṇhissāmi, ettha maṃ vissajjetvā maṃ apassantāpi puretaraṃ rañño santikaṃ gacchatha, ahaṃ vo tattheva passissāmī’’ti. Te tassa saddahitvā taṃ vissajjesuṃ. So tattha ekamante nilīyi. Itarepi naṃ adisvā ‘‘rañño santikaṃ gato bhavissatī’’ti māṇavakavaṇṇena rājānaṃ upasaṅkamiṃsu. Rājā paṭisanthāraṃ katvā ‘‘kuto āgatatthā’’ti pucchi. ‘‘Dhataraṭṭhassa santikā, mahārājā’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā idhāgatā’’ti? ‘‘Mahārāja, mayaṃ tassa dūtā, dhataraṭṭho vo ārogyaṃ pucchati. Sace yaṃ vo icchatha, taṃ no vadetha. Tumhākaṃ kira dhītaraṃ samuddajaṃ amhākaṃ rañño pādaparicārikaṃ katvā dethā’’ti imamatthaṃ pakāsentā paṭhamaṃ gāthamāhaṃsu –

    ๗๘๔.

    784.

    ‘‘ยํ กิญฺจิ รตนํ อตฺถิ, ธตรฎฺฐนิเวสเน;

    ‘‘Yaṃ kiñci ratanaṃ atthi, dhataraṭṭhanivesane;

    สพฺพานิ เต อุปยนฺตุ, ธีตรํ เทหิ ราชิโน’’ติฯ

    Sabbāni te upayantu, dhītaraṃ dehi rājino’’ti.

    ตตฺถ สพฺพานิ เต อุปยนฺตูติ ตสฺส นิเวสเน สพฺพานิ รตนานิ ตว นิเวสนํ อุปคจฺฉนฺตุฯ

    Tattha sabbāni te upayantūti tassa nivesane sabbāni ratanāni tava nivesanaṃ upagacchantu.

    ตํ สุตฺวา ราชา ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๗๘๕.

    785.

    ‘‘น โน วิวาโห นาเคหิ, กตปุโพฺพ กุทาจนํ;

    ‘‘Na no vivāho nāgehi, katapubbo kudācanaṃ;

    ตํ วิวาหํ อสํยุตฺตํ, กถํ อเมฺห กโรมเส’’ติฯ

    Taṃ vivāhaṃ asaṃyuttaṃ, kathaṃ amhe karomase’’ti.

    ตตฺถ อสํยุตฺตนฺติ อยุตฺตํ ติรจฺฉาเนหิ สทฺธิํ สํสคฺคํ อนนุจฺฉวิกํฯ อเมฺหติ อเมฺห มนุสฺสชาติกา สมานา กถํ ติรจฺฉานคตสมฺพนฺธํ กโรมาติฯ

    Tattha asaṃyuttanti ayuttaṃ tiracchānehi saddhiṃ saṃsaggaṃ ananucchavikaṃ. Amheti amhe manussajātikā samānā kathaṃ tiracchānagatasambandhaṃ karomāti.

    ตํ สุตฺวา นาคมาณวกา ‘‘สเจ เต ธตรเฎฺฐน สทฺธิํ สมฺพโนฺธ อนนุจฺฉวิโก, อถ กสฺมา อตฺตโน อุปฎฺฐากํ จิตฺตจูฬํ นาม กจฺฉปํ ‘สมุทฺทชํ นาม เต ธีตรํ ทมฺมี’ติ อมฺหากํ รโญฺญ เปเสสิ? เอวํ เปเสตฺวา อิทานิ เต อมฺหากํ ราชานํ ปริภวํ กโรนฺตสฺส กตฺตพฺพยุตฺตกํ มยํ ชานิสฺสามฯ มยญฺหิ นาคมาณวกา’’ติ วตฺวา ราชานํ ตเชฺชนฺตา เทฺว คาถา อภาสิํสุ –

    Taṃ sutvā nāgamāṇavakā ‘‘sace te dhataraṭṭhena saddhiṃ sambandho ananucchaviko, atha kasmā attano upaṭṭhākaṃ cittacūḷaṃ nāma kacchapaṃ ‘samuddajaṃ nāma te dhītaraṃ dammī’ti amhākaṃ rañño pesesi? Evaṃ pesetvā idāni te amhākaṃ rājānaṃ paribhavaṃ karontassa kattabbayuttakaṃ mayaṃ jānissāma. Mayañhi nāgamāṇavakā’’ti vatvā rājānaṃ tajjentā dve gāthā abhāsiṃsu –

    ๗๘๖.

    786.

    ‘‘ชีวิตํ นูน เต จตฺตํ, รฎฺฐํ วา มนุชาธิป;

    ‘‘Jīvitaṃ nūna te cattaṃ, raṭṭhaṃ vā manujādhipa;

    น หิ นาเค กุปิตมฺหิ, จิรํ ชีวนฺติ ตาทิสาฯ

    Na hi nāge kupitamhi, ciraṃ jīvanti tādisā.

    ๗๘๗.

    787.

    ‘‘โย ตฺวํ เทว มนุโสฺสสิ, อิทฺธิมนฺตํ อนิทฺธิมา;

    ‘‘Yo tvaṃ deva manussosi, iddhimantaṃ aniddhimā;

    วรุณสฺส นิยํ ปุตฺตํ, ยามุนํ อติมญฺญสี’’ติฯ

    Varuṇassa niyaṃ puttaṃ, yāmunaṃ atimaññasī’’ti.

    ตตฺถ รฎฺฐํ วาติ เอกํเสน ตยา ชีวิตํ วา รฎฺฐํ วา จตฺตํฯ ตาทิสาติ ตุมฺหาทิสา เอวํ มหานุภาเว นาเค กุปิเต จิรํ ชีวิตุํ น สโกฺกนฺติ, อนฺตราว อนฺตรธายนฺติฯ โย ตฺวํ, เทว, มนุโสฺสสีติ เทว, โย ตฺวํ มนุโสฺส สมาโนฯ วรุณสฺสาติ วรุณนาคราชสฺสฯ นิยํ ปุตฺตนฺติ อชฺฌตฺติกปุตฺตํฯ ยามุนนฺติ ยมุนาย เหฎฺฐา ชาตํฯ

    Tattha raṭṭhaṃ vāti ekaṃsena tayā jīvitaṃ vā raṭṭhaṃ vā cattaṃ. Tādisāti tumhādisā evaṃ mahānubhāve nāge kupite ciraṃ jīvituṃ na sakkonti, antarāva antaradhāyanti. Yo tvaṃ, deva, manussosīti deva, yo tvaṃ manusso samāno. Varuṇassāti varuṇanāgarājassa. Niyaṃ puttanti ajjhattikaputtaṃ. Yāmunanti yamunāya heṭṭhā jātaṃ.

    ตโต ราชา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato rājā dve gāthā abhāsi –

    ๗๘๘.

    788.

    ‘‘นาติมญฺญามิ ราชานํ, ธตรฎฺฐํ ยสสฺสินํ;

    ‘‘Nātimaññāmi rājānaṃ, dhataraṭṭhaṃ yasassinaṃ;

    ธตรโฎฺฐ หิ นาคานํ, พหูนมปิ อิสฺสโรฯ

    Dhataraṭṭho hi nāgānaṃ, bahūnamapi issaro.

    ๗๘๙.

    789.

    ‘‘อหิ มหานุภาโวปิ, น เม ธีตรมารโห;

    ‘‘Ahi mahānubhāvopi, na me dhītaramāraho;

    ขตฺติโย จ วิเทหานํ, อภิชาตา สมุทฺทชา’’ติฯ

    Khattiyo ca videhānaṃ, abhijātā samuddajā’’ti.

    ตตฺถ พหูนมปีติ ปญฺจโยชนสติกสฺส นาคภวนสฺส อิสฺสรภาวํ สนฺธาเยวมาหฯ น เม ธีตรมารโหติ เอวํ มหานุภาโวปิ ปน โส อหิชาติกตฺตา มม ธีตรํ อรโห น โหติฯ ‘‘ขตฺติโย จ วิเทหาน’’นฺติ อิทํ มาติปเกฺข ญาตเก ทเสฺสโนฺต อาหฯ สมุทฺทชาติ โส จ วิเทหราชปุโตฺต มม ธีตา สมุทฺทชา จาติ อุโภปิ อภิชาตาฯ เต อญฺญมญฺญํ สํวาสํ อรหนฺติฯ น เหสา มณฺฑูกภกฺขสฺส สปฺปสฺส อนุจฺฉวิกาติ อาหฯ

    Tattha bahūnamapīti pañcayojanasatikassa nāgabhavanassa issarabhāvaṃ sandhāyevamāha. Na me dhītaramārahoti evaṃ mahānubhāvopi pana so ahijātikattā mama dhītaraṃ araho na hoti. ‘‘Khattiyo ca videhāna’’nti idaṃ mātipakkhe ñātake dassento āha. Samuddajāti so ca videharājaputto mama dhītā samuddajā cāti ubhopi abhijātā. Te aññamaññaṃ saṃvāsaṃ arahanti. Na hesā maṇḍūkabhakkhassa sappassa anucchavikāti āha.

    นาคมาณวกา ตํ ตเตฺถว นาสาวาเตน มาเรตุกามา หุตฺวาปิ ‘‘อมฺหากํ ทิวสํ ววตฺถาปนตฺถาย เปสิตา, อิมํ มาเรตฺวา คนฺตุํ น ยุตฺตํ, คนฺตฺวา รโญฺญ อาจิกฺขิตฺวา ชานิสฺสามา’’ติ ตเตฺถว อนฺตรหิตา ‘‘กิํ, ตาตา, ลทฺธา โว ราชธีตา’’ติ รญฺญา ปุจฺฉิตา กุชฺฌิตฺวา ‘‘กิํ, เทว, อเมฺห อการณา ยตฺถ วา ตตฺถ วา เปเสสิฯ สเจปิ มาเรตุกาโม, อิเธว โน มาเรหิฯ โส ตุเมฺห อโกฺกสติ ปริภาสติ, อตฺตโน ธีตรํ ชาติมาเนน อุกฺขิปตี’’ติ เตน วุตฺตญฺจ อวุตฺตญฺจ วตฺวา รโญฺญ โกธํ อุปฺปาทยิํสุฯ โส อตฺตโน ปริสํ สนฺนิปาเตตุํ อาณาเปโนฺต อาห –

    Nāgamāṇavakā taṃ tattheva nāsāvātena māretukāmā hutvāpi ‘‘amhākaṃ divasaṃ vavatthāpanatthāya pesitā, imaṃ māretvā gantuṃ na yuttaṃ, gantvā rañño ācikkhitvā jānissāmā’’ti tattheva antarahitā ‘‘kiṃ, tātā, laddhā vo rājadhītā’’ti raññā pucchitā kujjhitvā ‘‘kiṃ, deva, amhe akāraṇā yattha vā tattha vā pesesi. Sacepi māretukāmo, idheva no mārehi. So tumhe akkosati paribhāsati, attano dhītaraṃ jātimānena ukkhipatī’’ti tena vuttañca avuttañca vatvā rañño kodhaṃ uppādayiṃsu. So attano parisaṃ sannipātetuṃ āṇāpento āha –

    ๗๙๐.

    790.

    ‘‘กมฺพลสฺสตรา อุเฎฺฐนฺตุ, สเพฺพ นาเค นิเวทย;

    ‘‘Kambalassatarā uṭṭhentu, sabbe nāge nivedaya;

    พาราณสิํ ปวชฺชนฺตุ, มา จ กญฺจิ วิเหฐยุ’’นฺติฯ

    Bārāṇasiṃ pavajjantu, mā ca kañci viheṭhayu’’nti.

    ตตฺถ กมฺพลสฺสตรา อุเฎฺฐนฺตูติ กมฺพลสฺสตรา นาม ตสฺส มาตุปกฺขิกา สิเนรุปาเท วสนนาคา, เต จ อุฎฺฐหนฺตุฯ อเญฺญ จ จตูสุ ทิสาสุ อนุทิสาสุ ยตฺตกา วา มยฺหํ วจนกรา, เต สเพฺพ นาเค นิเวทย, คนฺตฺวา ชานาเปถ, ขิปฺปํ กิร สนฺนิปาเตถาติ อาณาเปโนฺต เอวมาหฯ ตโต สเพฺพเหว สีฆํ สนฺนิปติเตหิ ‘‘กิํ กโรม, เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘สเพฺพปิ เต นาคา พาราณสิํ ปวชฺชนฺตู’’ติ อาหฯ ‘‘ตตฺถ คนฺตฺวา กิํ กาตพฺพํ, เทว, ตํ นาสาวาตปฺปหาเรน ภสฺมํ กโรมา’’ติ จ วุเตฺต ราชธีตริ ปฎิพทฺธจิตฺตตาย ตสฺสา วินาสํ อนิจฺฉโนฺต ‘‘มา จ กญฺจิ วิเหฐยุ’’นฺติ อาห, ตุเมฺหสุ โกจิ กญฺจิ มา วิเหฐยาติ อโตฺถฯ อยเมว วา ปาโฐฯ

    Tattha kambalassatarā uṭṭhentūti kambalassatarā nāma tassa mātupakkhikā sinerupāde vasananāgā, te ca uṭṭhahantu. Aññe ca catūsu disāsu anudisāsu yattakā vā mayhaṃ vacanakarā, te sabbe nāge nivedaya, gantvā jānāpetha, khippaṃ kira sannipātethāti āṇāpento evamāha. Tato sabbeheva sīghaṃ sannipatitehi ‘‘kiṃ karoma, devā’’ti vutte ‘‘sabbepi te nāgā bārāṇasiṃ pavajjantū’’ti āha. ‘‘Tattha gantvā kiṃ kātabbaṃ, deva, taṃ nāsāvātappahārena bhasmaṃ karomā’’ti ca vutte rājadhītari paṭibaddhacittatāya tassā vināsaṃ anicchanto ‘‘mā ca kañci viheṭhayu’’nti āha, tumhesu koci kañci mā viheṭhayāti attho. Ayameva vā pāṭho.

    อถ นํ นาคา ‘‘สเจ โกจิ มนุโสฺส น วิเหเฐตโพฺพ, ตตฺถ คนฺตฺวา กิํ กริสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ อถ เน ‘‘อิทญฺจิทญฺจ กโรถ, อหมฺปิ อิทํ นาม กริสฺสามี’’ติ อาจิกฺขโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Atha naṃ nāgā ‘‘sace koci manusso na viheṭhetabbo, tattha gantvā kiṃ karissāmā’’ti āhaṃsu. Atha ne ‘‘idañcidañca karotha, ahampi idaṃ nāma karissāmī’’ti ācikkhanto gāthādvayamāha –

    ๗๙๑.

    791.

    ‘‘นิเวสเนสุ โสเพฺภสุ, รถิยา จจฺจเรสุ จ;

    ‘‘Nivesanesu sobbhesu, rathiyā caccaresu ca;

    รุกฺขเคฺคสุ จ ลมฺพนฺตุ, วิตตา โตรเณสุ จฯ

    Rukkhaggesu ca lambantu, vitatā toraṇesu ca.

    ๗๙๒.

    792.

    ‘‘อหมฺปิ สพฺพเสเตน, มหตา สุมหํ ปุรํ;

    ‘‘Ahampi sabbasetena, mahatā sumahaṃ puraṃ;

    ปริกฺขิปิสฺสํ โภเคหิ, กาสีนํ ชนยํ ภย’’นฺติฯ

    Parikkhipissaṃ bhogehi, kāsīnaṃ janayaṃ bhaya’’nti.

    ตตฺถ โสเพฺภสูติ โปกฺขรณีสุฯ รถิยาติ รถิกายฯ วิตตาติ วิตตสรีรา มหาสรีรา หุตฺวา เอเตสุ เจว นิเวสนาทีสุ ทฺวารโตรเณสุ จ โอลมฺพนฺตุ, เอตฺตกํ นาคา กโรนฺตุ, กโรนฺตา จ นิเวสเน ตาว มญฺจปีฐานํ เหฎฺฐา จ อุปริ จ อโนฺตคพฺภพหิคพฺภาทีสุ จ โปกฺขรณิยํ อุทกปิเฎฺฐ รถิกาทีนํ ปเสฺสสุ เจว ถเลสุ จ มหนฺตานิ สรีรานิ มาเปตฺวา มหเนฺต ผเณ กตฺวา กมฺมารคคฺครี วิย ธมมานา ‘‘สุสู’’ติ สทฺทํ กโรนฺตา โอลมฺพถ จ นิปชฺชถ จฯ อตฺตานํ ปน ตรุณทารกานํ ชราชิณฺณานํ คพฺภินิตฺถีนํ สมุทฺทชาย จาติ อิเมสํ จตุนฺนํ มา ทสฺสยิตฺถฯ อหมฺปิ สพฺพเสเตน มหเนฺตน สรีเรน คนฺตฺวา สุมหนฺตํ กาสิปุรํ สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิสฺสํ, มหเนฺตน ผเณน นํ ฉาเทตฺวา เอกนฺธการํ กตฺวา กาสีนํ ภยํ ชนยโนฺต ‘‘สุสู’’ติ สทฺทํ มุญฺจิสฺสามีติฯ

    Tattha sobbhesūti pokkharaṇīsu. Rathiyāti rathikāya. Vitatāti vitatasarīrā mahāsarīrā hutvā etesu ceva nivesanādīsu dvāratoraṇesu ca olambantu, ettakaṃ nāgā karontu, karontā ca nivesane tāva mañcapīṭhānaṃ heṭṭhā ca upari ca antogabbhabahigabbhādīsu ca pokkharaṇiyaṃ udakapiṭṭhe rathikādīnaṃ passesu ceva thalesu ca mahantāni sarīrāni māpetvā mahante phaṇe katvā kammāragaggarī viya dhamamānā ‘‘susū’’ti saddaṃ karontā olambatha ca nipajjatha ca. Attānaṃ pana taruṇadārakānaṃ jarājiṇṇānaṃ gabbhinitthīnaṃ samuddajāya cāti imesaṃ catunnaṃ mā dassayittha. Ahampi sabbasetena mahantena sarīrena gantvā sumahantaṃ kāsipuraṃ sattakkhattuṃ bhogehi parikkhipissaṃ, mahantena phaṇena naṃ chādetvā ekandhakāraṃ katvā kāsīnaṃ bhayaṃ janayanto ‘‘susū’’ti saddaṃ muñcissāmīti.

    อถ สเพฺพ นาคา ตถา อกํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Atha sabbe nāgā tathā akaṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๗๙๓.

    793.

    ‘‘ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา, อุรคาเนกวณฺณิโน;

    ‘‘Tassa taṃ vacanaṃ sutvā, uragānekavaṇṇino;

    พาราณสิํ ปวชฺชิํสุ, น จ กญฺจิ วิเหฐยุํฯ

    Bārāṇasiṃ pavajjiṃsu, na ca kañci viheṭhayuṃ.

    ๗๙๔.

    794.

    ‘‘นิเวสเนสุ โสเพฺภสุ, รถิยา จจฺจเรสุ จ;

    ‘‘Nivesanesu sobbhesu, rathiyā caccaresu ca;

    รุกฺขเคฺคสุ จ ลมฺพิํสุ, วิตตา โตรเณสุ จฯ

    Rukkhaggesu ca lambiṃsu, vitatā toraṇesu ca.

    ๗๙๕.

    795.

    ‘‘เตสุ ทิสฺวาน ลมฺพเนฺต, ปุถู กนฺทิํสุ นาริโย;

    ‘‘Tesu disvāna lambante, puthū kandiṃsu nāriyo;

    นาเค โสณฺฑิกเต ทิสฺวา, ปสฺสสเนฺต มุหุํ มุหุํฯ

    Nāge soṇḍikate disvā, passasante muhuṃ muhuṃ.

    ๗๙๖.

    796.

    ‘‘พาราณสี ปพฺยถิตา, อาตุรา สมปชฺชถ;

    ‘‘Bārāṇasī pabyathitā, āturā samapajjatha;

    พาหา ปคฺคยฺห ปกฺกนฺทุํ, ธีตรํ เทหิ ราชิโน’’ติฯ

    Bāhā paggayha pakkanduṃ, dhītaraṃ dehi rājino’’ti.

    ตตฺถ อเนกวณฺณิโนติ นีลาทิวเสน อเนกวณฺณาฯ เอวรูปานิ หิ เต รูปานิ มาปยิํสุฯ ปวชฺชิํสูติ อฑฺฒรตฺตสมเย ปวิสิํสุฯ ลมฺพิํสูติ ธตรเฎฺฐน วุตฺตนิยาเมเนว เต สเพฺพสุ ฐาเนสุ มนุสฺสานํ สญฺจารํ ปจฺฉินฺทิตฺวา โอลมฺพิํสุฯ ทูตา หุตฺวา อาคตา ปน จตฺตาโร นาคมาณวกา รโญ สยนสฺส จตฺตาโร ปาเท ปริกฺขิปิตฺวา อุปริสีเส มหเนฺต ผเณ กตฺวา ตุเณฺฑหิ สีสํ ปหรนฺตา วิย ทาฐา วิวริตฺวา ปสฺสสนฺตา อฎฺฐํสุฯ ธตรโฎฺฐปิ อตฺตนา วุตฺตนิยาเมน นครํ ปฎิจฺฉาเทสิฯ ปพุชฺฌมานา ปุริสา ยโต ยโต หตฺถํ วา ปาทํ วา ปสาเรนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ สเปฺป ฉุปิตฺวา ‘‘สโปฺป, สโปฺป’’ติ วิรวนฺติฯ ปุถู กนฺทิํสูติ เยสุ เคเหสุ ทีปา ชลนฺติ, เตสุ อิตฺถิโย ปพุทฺธา ทฺวารโตรณโคปานสิโย โอโลเกตฺวา โอลมฺพเนฺต นาเค ทิสฺวา พหู เอกปฺปหาเรเนว กนฺทิํสุฯ เอวํ สกลนครํ เอกโกลาหลํ อโหสิฯ โสณฺฑิกเตติ กตผเณฯ

    Tattha anekavaṇṇinoti nīlādivasena anekavaṇṇā. Evarūpāni hi te rūpāni māpayiṃsu. Pavajjiṃsūti aḍḍharattasamaye pavisiṃsu. Lambiṃsūti dhataraṭṭhena vuttaniyāmeneva te sabbesu ṭhānesu manussānaṃ sañcāraṃ pacchinditvā olambiṃsu. Dūtā hutvā āgatā pana cattāro nāgamāṇavakā raño sayanassa cattāro pāde parikkhipitvā uparisīse mahante phaṇe katvā tuṇḍehi sīsaṃ paharantā viya dāṭhā vivaritvā passasantā aṭṭhaṃsu. Dhataraṭṭhopi attanā vuttaniyāmena nagaraṃ paṭicchādesi. Pabujjhamānā purisā yato yato hatthaṃ vā pādaṃ vā pasārenti, tattha tattha sappe chupitvā ‘‘sappo, sappo’’ti viravanti. Puthū kandiṃsūti yesu gehesu dīpā jalanti, tesu itthiyo pabuddhā dvāratoraṇagopānasiyo oloketvā olambante nāge disvā bahū ekappahāreneva kandiṃsu. Evaṃ sakalanagaraṃ ekakolāhalaṃ ahosi. Soṇḍikateti kataphaṇe.

    ปกฺกนฺทุนฺติ วิภาตาย รตฺติยา นาคานํ อสฺสาสวาเตน สกลนคเร ราชนิเวสเน จ อุปฺปาติยมาเน วิย ภีตา มนุสฺสา ‘‘นาคราชาโน กิสฺส โน วิเหฐถา’’ติ วตฺวา ตุมฺหากํ ราชา ‘‘ธีตรํ ทสฺสามี’’ติ ธตรฎฺฐสฺส ทูตํ เปเสตฺวา ปุน ตสฺส ทูเตหิ อาคนฺตฺวา ‘‘เทหี’’ติ วุโตฺต อมฺหากํ ราชานํ อโกฺกสติ ปริภาสติฯ ‘‘สเจ อมฺหากํ รโญฺญ ธีตรํ น ทสฺสติ, สกลนครสฺส ชีวิตํ นตฺถี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ โน , สามิ, โอกาสํ เทถ, มยํ คนฺตฺวา ราชานํ ยาจิสฺสามา’’ติ ยาจนฺตา โอกาสํ ลภิตฺวา ราชทฺวารํ คนฺตฺวา มหเนฺตน รเวน ปกฺกนฺติํสุฯ ภริยาโยปิสฺส อตฺตโน อตฺตโน คเพฺภสุ นิปนฺนกาว ‘‘เทว, ธีตรํ ธตรฎฺฐรโญฺญ เทหี’’ติ เอกปฺปหาเรน กนฺทิํสุฯ เตปิ จตฺตาโร นาคมาณวกา ‘‘เทหี’’ติ ตุเณฺหหิ สีสํ ปหรนฺตา วิย ทาฐา วิวริตฺวา ปสฺสสนฺตา อฎฺฐํสุฯ

    Pakkandunti vibhātāya rattiyā nāgānaṃ assāsavātena sakalanagare rājanivesane ca uppātiyamāne viya bhītā manussā ‘‘nāgarājāno kissa no viheṭhathā’’ti vatvā tumhākaṃ rājā ‘‘dhītaraṃ dassāmī’’ti dhataraṭṭhassa dūtaṃ pesetvā puna tassa dūtehi āgantvā ‘‘dehī’’ti vutto amhākaṃ rājānaṃ akkosati paribhāsati. ‘‘Sace amhākaṃ rañño dhītaraṃ na dassati, sakalanagarassa jīvitaṃ natthī’’ti vutte ‘‘tena hi no , sāmi, okāsaṃ detha, mayaṃ gantvā rājānaṃ yācissāmā’’ti yācantā okāsaṃ labhitvā rājadvāraṃ gantvā mahantena ravena pakkantiṃsu. Bhariyāyopissa attano attano gabbhesu nipannakāva ‘‘deva, dhītaraṃ dhataraṭṭharañño dehī’’ti ekappahārena kandiṃsu. Tepi cattāro nāgamāṇavakā ‘‘dehī’’ti tuṇhehi sīsaṃ paharantā viya dāṭhā vivaritvā passasantā aṭṭhaṃsu.

    โส นิปนฺนโกว นครวาสีนญฺจ อตฺตโน จ ภริยานํ ปริเทวิตสทฺทํ สุตฺวา จตูหิ จ นาคมาณวเกหิ ตชฺชิตตฺตา มรณภยภีโต ‘‘มม ธีตรํ สมุทฺทชํ ธตรฎฺฐสฺส ทมฺมี’’ติ ติกฺขตฺตุํ อวจฯ ตํ สุตฺวา สเพฺพปิ นาคราชาโน ติคาวุตมตฺตํ ปฎิกฺกมิตฺวา เทวนครํ วิย เอกํ นครํ มาเปตฺวา ตตฺถ ฐิตา ‘‘ธีตรํ กิร โน เปเสตู’’ติ ปณฺณาการํ ปหิณิํสุฯ ราชา เตหิ อาภตํ ปณฺณาการํ คเหตฺวา ‘‘ตุเมฺห คจฺฉถ, อหํ ธีตรํ อมจฺจานํ หเตฺถ ปหิณิสฺสามี’’ติ เต อุโยฺยเชตฺวา ธีตรํ ปโกฺกสาเปตฺวา อุปริปาสาทํ อาโรเปตฺวา สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา ‘‘อมฺม, ปเสฺสตํ อลงฺกตนครํ, ตฺวํ เอตฺถ เอตสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสี ภวิสฺสสิ, น ทูเร อิโต ตํ นครํ, อุกฺกณฺฐิตกาเลเยว อิธ อาคนฺตุํ สกฺกา, เอตฺถ คนฺตพฺพ’’นฺติ สญฺญาเปตฺวา สีสํ นฺหาเปตฺวา สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา ปฎิจฺฉนฺนโยเคฺค นิสีทาเปตฺวา อมจฺจานํ หเตฺถ ทตฺวา ปาเหสิฯ นาคราชาโน ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา มหาสกฺการํ กริํสุฯ อมจฺจา นครํ ปวิสิตฺวา ตํ ตสฺส ทตฺวา พหุํ ธนํ อาทาย นิวตฺติํสุฯ เต ราชธีตรํ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา อลงฺกตทิพฺพสยเน นิปชฺชาเปสุํฯ ตงฺขณเญฺญว นํ นาคมาณวิกา ขุชฺชาทิเวสํ คเหตฺวา มนุสฺสปริจาริกา วิย ปริวารยิํสุฯ สา ทิพฺพสยเน นิปนฺนมตฺตาว ทิพฺพผสฺสํ ผุสิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ

    So nipannakova nagaravāsīnañca attano ca bhariyānaṃ paridevitasaddaṃ sutvā catūhi ca nāgamāṇavakehi tajjitattā maraṇabhayabhīto ‘‘mama dhītaraṃ samuddajaṃ dhataraṭṭhassa dammī’’ti tikkhattuṃ avaca. Taṃ sutvā sabbepi nāgarājāno tigāvutamattaṃ paṭikkamitvā devanagaraṃ viya ekaṃ nagaraṃ māpetvā tattha ṭhitā ‘‘dhītaraṃ kira no pesetū’’ti paṇṇākāraṃ pahiṇiṃsu. Rājā tehi ābhataṃ paṇṇākāraṃ gahetvā ‘‘tumhe gacchatha, ahaṃ dhītaraṃ amaccānaṃ hatthe pahiṇissāmī’’ti te uyyojetvā dhītaraṃ pakkosāpetvā uparipāsādaṃ āropetvā sīhapañjaraṃ vivaritvā ‘‘amma, passetaṃ alaṅkatanagaraṃ, tvaṃ ettha etassa rañño aggamahesī bhavissasi, na dūre ito taṃ nagaraṃ, ukkaṇṭhitakāleyeva idha āgantuṃ sakkā, ettha gantabba’’nti saññāpetvā sīsaṃ nhāpetvā sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā paṭicchannayogge nisīdāpetvā amaccānaṃ hatthe datvā pāhesi. Nāgarājāno paccuggamanaṃ katvā mahāsakkāraṃ kariṃsu. Amaccā nagaraṃ pavisitvā taṃ tassa datvā bahuṃ dhanaṃ ādāya nivattiṃsu. Te rājadhītaraṃ pāsādaṃ āropetvā alaṅkatadibbasayane nipajjāpesuṃ. Taṅkhaṇaññeva naṃ nāgamāṇavikā khujjādivesaṃ gahetvā manussaparicārikā viya parivārayiṃsu. Sā dibbasayane nipannamattāva dibbaphassaṃ phusitvā niddaṃ okkami.

    ธตรโฎฺฐ ตํ คเหตฺวา สทฺธิํ นาคปริสาย ตตฺถ อนฺตรหิโต นาคภวเนเยว ปาตุรโหสิฯ ราชธีตา ปพุชฺฌิตฺวา อลงฺกตทิพฺพสยนํ อเญฺญ จ สุวณฺณปาสาทมณิปาสาทาทโย อุยฺยานโปกฺขรณิโย อลงฺกตเทวนครํ วิย นาคภวนํ ทิสฺวา ขุชฺชาทิปริจาริกาโย ปุจฺฉิ ‘‘อิทํ นครํ อติวิย อลงฺกตํ, น อมฺหากํ นครํ วิย, กเสฺสต’’นฺติฯ ‘‘สามิกสฺส เต สนฺตกํ, เทวิ, น อปฺปปุญฺญา เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ลภนฺติ, มหาปุญฺญตาย เต อยํ ลทฺธา’’ติฯ ธตรโฎฺฐปิ ปญฺจโยชนสติเก นาคภวเน เภริํ จราเปสิ ‘‘โย สมุทฺทชาย สปฺปวณฺณํ ทเสฺสติ, ตสฺส ราชทโณฺฑ ภวิสฺสตี’’ติฯ ตสฺมา เอโกปิ ตสฺสา สปฺปวณฺณํ ทเสฺสตุํ สมโตฺถ นาม นาโหสิฯ สา มนุสฺสโลกสญฺญาย เอว ตตฺถ เตน สทฺธิํ สโมฺมทมานา ปิยสํวาสํ วสิฯ

    Dhataraṭṭho taṃ gahetvā saddhiṃ nāgaparisāya tattha antarahito nāgabhavaneyeva pāturahosi. Rājadhītā pabujjhitvā alaṅkatadibbasayanaṃ aññe ca suvaṇṇapāsādamaṇipāsādādayo uyyānapokkharaṇiyo alaṅkatadevanagaraṃ viya nāgabhavanaṃ disvā khujjādiparicārikāyo pucchi ‘‘idaṃ nagaraṃ ativiya alaṅkataṃ, na amhākaṃ nagaraṃ viya, kasseta’’nti. ‘‘Sāmikassa te santakaṃ, devi, na appapuññā evarūpaṃ sampattiṃ labhanti, mahāpuññatāya te ayaṃ laddhā’’ti. Dhataraṭṭhopi pañcayojanasatike nāgabhavane bheriṃ carāpesi ‘‘yo samuddajāya sappavaṇṇaṃ dasseti, tassa rājadaṇḍo bhavissatī’’ti. Tasmā ekopi tassā sappavaṇṇaṃ dassetuṃ samattho nāma nāhosi. Sā manussalokasaññāya eva tattha tena saddhiṃ sammodamānā piyasaṃvāsaṃ vasi.

    นครกณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Nagarakaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    อุโปสถกณฺฑํ

    Uposathakaṇḍaṃ

    สา อปรภาเค ธตรฎฺฐํ ปฎิจฺจ คพฺภํ ปฎิลภิตฺวา ปุตฺตํ วิชายิ, ตสฺส ปิยทสฺสนตฺตา ‘‘สุทสฺสโน’’ติ นามํ กริํสุฯ ปุนาปรํ ปุตฺตํ วิชายิ, ตสฺส ‘‘ทโตฺต’’ติ นามํ อกํสุฯ โส ปน โพธิสโตฺตฯ ปุเนกํ ปุตฺตํ วิชายิ, ตสฺส ‘‘สุโภโค’’ติ นามํ กริํสุฯ อปรมฺปิ ปุตฺตํ วิชายิ, ตสฺส ‘‘อริโฎฺฐ’’ติ นามํ กริํสุฯ อิติ สา จตฺตาโร ปุเตฺต วิชายิตฺวาปิ นาคภวนภาวํ น ชานาติฯ อเถกทิวสํ ตรุณนาคา อริฎฺฐสฺส อาจิกฺขิํสุ ‘‘ตว มาตา มนุสฺสิตฺถี, น นาคินี’’ติฯ อริโฎฺฐ ‘‘วีมํสิสฺสามิ น’’นฺติ เอกทิวสํ ถนํ ปิวโนฺตว สปฺปสรีรํ มาเปตฺวา นงฺคุฎฺฐขเณฺฑน มาตุ ปิฎฺฐิปาเท ฆเฎฺฎสิฯ สา ตสฺส สปฺปสรีรํ ทิสฺวา ภีตตสิตา มหารวํ รวิตฺวา ตํ ภูมิยํ ขิปนฺตี นเขน ตสฺส อกฺขิํ ภินฺทิฯ ตโต โลหิตํ ปคฺฆริฯ ราชา ตสฺสา สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิเสฺสสา วิรวตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา อริเฎฺฐน กตกิริยํ สุตฺวา ‘‘คณฺหถ, นํ ทาสํ คเหตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปถา’’ติ ตเชฺชโนฺต อาคจฺฉิฯ ราชธีตา ตสฺส กุทฺธภาวํ ญตฺวา ปุตฺตสิเนเหน ‘‘เทว, ปุตฺตสฺส เม อกฺขิ ภินฺนํ, ขมเถตสฺสาปราธ’’นฺติ อาหฯ ราชา เอตาย เอวํ วทนฺติยา ‘‘กิํ สกฺกา กาตุ’’นฺติ ขมิฯ ตํ ทิวสํ สา ‘‘อิทํ นาคภวน’’นฺติ อญฺญาสิฯ ตโต จ ปฎฺฐาย อริโฎฺฐ กาณาริโฎฺฐ นาม ชาโตฯ จตฺตาโรปิ ปุตฺตา วิญฺญุตํ ปาปุณิํสุฯ

    Sā aparabhāge dhataraṭṭhaṃ paṭicca gabbhaṃ paṭilabhitvā puttaṃ vijāyi, tassa piyadassanattā ‘‘sudassano’’ti nāmaṃ kariṃsu. Punāparaṃ puttaṃ vijāyi, tassa ‘‘datto’’ti nāmaṃ akaṃsu. So pana bodhisatto. Punekaṃ puttaṃ vijāyi, tassa ‘‘subhogo’’ti nāmaṃ kariṃsu. Aparampi puttaṃ vijāyi, tassa ‘‘ariṭṭho’’ti nāmaṃ kariṃsu. Iti sā cattāro putte vijāyitvāpi nāgabhavanabhāvaṃ na jānāti. Athekadivasaṃ taruṇanāgā ariṭṭhassa ācikkhiṃsu ‘‘tava mātā manussitthī, na nāginī’’ti. Ariṭṭho ‘‘vīmaṃsissāmi na’’nti ekadivasaṃ thanaṃ pivantova sappasarīraṃ māpetvā naṅguṭṭhakhaṇḍena mātu piṭṭhipāde ghaṭṭesi. Sā tassa sappasarīraṃ disvā bhītatasitā mahāravaṃ ravitvā taṃ bhūmiyaṃ khipantī nakhena tassa akkhiṃ bhindi. Tato lohitaṃ pagghari. Rājā tassā saddaṃ sutvā ‘‘kissesā viravatī’’ti pucchitvā ariṭṭhena katakiriyaṃ sutvā ‘‘gaṇhatha, naṃ dāsaṃ gahetvā jīvitakkhayaṃ pāpethā’’ti tajjento āgacchi. Rājadhītā tassa kuddhabhāvaṃ ñatvā puttasinehena ‘‘deva, puttassa me akkhi bhinnaṃ, khamathetassāparādha’’nti āha. Rājā etāya evaṃ vadantiyā ‘‘kiṃ sakkā kātu’’nti khami. Taṃ divasaṃ sā ‘‘idaṃ nāgabhavana’’nti aññāsi. Tato ca paṭṭhāya ariṭṭho kāṇāriṭṭho nāma jāto. Cattāropi puttā viññutaṃ pāpuṇiṃsu.

    อถ เนสํ ปิตา โยชนสติกํ โยชนสติกํ กตฺวา รชฺชมทาสิ, มหโนฺต ยโส อโหสิฯ โสฬส โสฬส นาคกญฺญาสหสฺสานิ ปริวารยิํสุฯ ปิตุ เอกโยชนสติกเมว รชฺชํ อโหสิฯ ตโย ปุตฺตา มาเส มาเส มาตาปิตโร ปสฺสิตุํ อาคจฺฉนฺติ, โพธิสโตฺต ปน อนฺวทฺธมาสํ อาคจฺฉติฯ นาคภวเน สมุฎฺฐิตํ ปญฺหํ โพธิสโตฺตว กเถติฯ ปิตรา สทฺธิํ วิรูปกฺขมหาราชสฺสปิ อุปฎฺฐานํ คจฺฉติ, ตสฺส สนฺติเก สมุฎฺฐิตํ ปญฺหมฺปิ โสว กเถติฯ อเถกทิวสํ วิรูปเกฺข นาคปริสาย สทฺธิํ ติทสปุรํ คนฺตฺวา สกฺกํ ปริวาเรตฺวา นิสิเนฺน เทวานํ อนฺตเร ปโญฺห สมุฎฺฐาสิฯ ตํ โกจิ กเถตุํ นาสกฺขิ, ปลฺลงฺกวรคโต ปน หุตฺวา มหาสโตฺตว กเถสิฯ อถ นํ เทวราชา ทิพฺพคนฺธปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา ‘‘ทตฺต, ตฺวํ ปถวิสมาย วิปุลาย ปญฺญาย สมนฺนาคโต, อิโต ปฎฺฐาย ภูริทโตฺต นาม โหหี’’ติ ‘‘ภูริทโตฺต’’ ติสฺส นามํ อกาสิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย สกฺกสฺส อุปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต อลงฺกตเวชยนฺตปาสาทํ เทวจฺฉราหิ อากิณฺณํ อติมโนหรํ สกฺกสฺส สมฺปตฺติํ ทิสฺวา เทวโลเก ปิยํ กตฺวา ‘‘กิํ เม อิมินา มณฺฑูกภเกฺขน อตฺตภาเวน, นาคภวนํ คนฺตฺวา อุโปสถวาสํ วสิตฺวา อิมสฺมิํ เทวโลเก อุปฺปตฺติการณํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา นาคภวนํ คนฺตฺวา มาตาปิตโร อาปุจฺฉิ ‘‘อมฺมตาตา, อหํ อุโปสถกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ตาต, กโรหิ, กโรโนฺต ปน พหิ อคนฺตฺวา อิมสฺมิเญฺญว นาคภวเน เอกสฺมิํ สุญฺญวิมาเน กโรหิ, พหิคตานํ ปน นาคานํ มหนฺตํ ภย’’นฺติฯ

    Atha nesaṃ pitā yojanasatikaṃ yojanasatikaṃ katvā rajjamadāsi, mahanto yaso ahosi. Soḷasa soḷasa nāgakaññāsahassāni parivārayiṃsu. Pitu ekayojanasatikameva rajjaṃ ahosi. Tayo puttā māse māse mātāpitaro passituṃ āgacchanti, bodhisatto pana anvaddhamāsaṃ āgacchati. Nāgabhavane samuṭṭhitaṃ pañhaṃ bodhisattova katheti. Pitarā saddhiṃ virūpakkhamahārājassapi upaṭṭhānaṃ gacchati, tassa santike samuṭṭhitaṃ pañhampi sova katheti. Athekadivasaṃ virūpakkhe nāgaparisāya saddhiṃ tidasapuraṃ gantvā sakkaṃ parivāretvā nisinne devānaṃ antare pañho samuṭṭhāsi. Taṃ koci kathetuṃ nāsakkhi, pallaṅkavaragato pana hutvā mahāsattova kathesi. Atha naṃ devarājā dibbagandhapupphehi pūjetvā ‘‘datta, tvaṃ pathavisamāya vipulāya paññāya samannāgato, ito paṭṭhāya bhūridatto nāma hohī’’ti ‘‘bhūridatto’’ tissa nāmaṃ akāsi. So tato paṭṭhāya sakkassa upaṭṭhānaṃ gacchanto alaṅkatavejayantapāsādaṃ devaccharāhi ākiṇṇaṃ atimanoharaṃ sakkassa sampattiṃ disvā devaloke piyaṃ katvā ‘‘kiṃ me iminā maṇḍūkabhakkhena attabhāvena, nāgabhavanaṃ gantvā uposathavāsaṃ vasitvā imasmiṃ devaloke uppattikāraṇaṃ karissāmī’’ti cintetvā nāgabhavanaṃ gantvā mātāpitaro āpucchi ‘‘ammatātā, ahaṃ uposathakammaṃ karissāmī’’ti. ‘‘Sādhu, tāta, karohi, karonto pana bahi agantvā imasmiññeva nāgabhavane ekasmiṃ suññavimāne karohi, bahigatānaṃ pana nāgānaṃ mahantaṃ bhaya’’nti.

    โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตเตฺถว สุญฺญวิมาเน ราชุยฺยาเน อุโปสถวาสํ วสติฯ อถ นํ นานาตูริยหตฺถา นาคกญฺญา ปริวาเรนฺติฯ โส ‘‘น มยฺหํ อิธ วสนฺตสฺส อุโปสถกมฺมํ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสติ, มนุสฺสปถํ คนฺตฺวา กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา นิวารณภเยน มาตาปิตูนํ อนาโรเจตฺวา อตฺตโน ภริยาโย อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, อหํ มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา ยมุนาตีเร นิโคฺรธรุโกฺข อตฺถิ, ตสฺสาวิทูเร วมฺมิกมตฺถเก โภเค อาภุชิตฺวา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อธิฎฺฐาย นิปชฺชิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กริสฺสามิฯ มยา สพฺพรตฺติํ นิปชฺชิตฺวา อุโปสถกเมฺม กเต อรุณุคฺคมนเวลายเมว ตุเมฺห ทส ทส อิตฺถิโย อาทาย วาเรน วาเรน ตูริยหตฺถา มม สนฺติกํ อาคนฺตฺวา มํ คเนฺธหิ จ ปุเปฺผหิ จ ปูเชตฺวา คายิตฺวา นจฺจิตฺวา มํ อาทาย นาคภวนเมว อาคจฺฉถา’’ติ วตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา วมฺมิกมตฺถเก โภเค อาภุชิตฺวา ‘‘โย มม จมฺมํ วา นฺหารุํ วา อฎฺฐิํ วา รุหิรํ วา อิจฺฉติ, โส อาหรตู’’ติ จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อธิฎฺฐาย นงฺคลสีสปฺปมาณํ สรีรํ มาเปตฺวา นิปโนฺน อุโปสถกมฺมมกาสิฯ อรุเณ อุฎฺฐหเนฺตเยว ตํ นาคมาณวิกา อาคนฺตฺวา ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชิตฺวา นาคภวนํ อาเนนฺติฯ ตสฺส อิมินา นิยาเมน อุโปสถํ กโรนฺตสฺส ทีโฆ อทฺธา วีติวโตฺตฯ

    So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā tattheva suññavimāne rājuyyāne uposathavāsaṃ vasati. Atha naṃ nānātūriyahatthā nāgakaññā parivārenti. So ‘‘na mayhaṃ idha vasantassa uposathakammaṃ matthakaṃ pāpuṇissati, manussapathaṃ gantvā karissāmī’’ti cintetvā nivāraṇabhayena mātāpitūnaṃ anārocetvā attano bhariyāyo āmantetvā ‘‘bhadde, ahaṃ manussalokaṃ gantvā yamunātīre nigrodharukkho atthi, tassāvidūre vammikamatthake bhoge ābhujitvā caturaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ adhiṭṭhāya nipajjitvā uposathakammaṃ karissāmi. Mayā sabbarattiṃ nipajjitvā uposathakamme kate aruṇuggamanavelāyameva tumhe dasa dasa itthiyo ādāya vārena vārena tūriyahatthā mama santikaṃ āgantvā maṃ gandhehi ca pupphehi ca pūjetvā gāyitvā naccitvā maṃ ādāya nāgabhavanameva āgacchathā’’ti vatvā tattha gantvā vammikamatthake bhoge ābhujitvā ‘‘yo mama cammaṃ vā nhāruṃ vā aṭṭhiṃ vā ruhiraṃ vā icchati, so āharatū’’ti caturaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ adhiṭṭhāya naṅgalasīsappamāṇaṃ sarīraṃ māpetvā nipanno uposathakammamakāsi. Aruṇe uṭṭhahanteyeva taṃ nāgamāṇavikā āgantvā yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjitvā nāgabhavanaṃ ānenti. Tassa iminā niyāmena uposathaṃ karontassa dīgho addhā vītivatto.

    อุโปสถขณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Uposathakhaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    ครุฬขณฺฑํ

    Garuḷakhaṇḍaṃ

    ตทา เอโก พาราณสิทฺวารคามวาสี พฺราหฺมโณ โสมทเตฺตน นาม ปุเตฺตน สทฺธิํ อรญฺญํ คนฺตฺวา สูลยนฺตปาสวาคุราทีหิ โอเฑฺฑตฺวา มิเค วธิตฺวา มํสํ กาเชนาหริตฺวา วิกฺกิณโนฺต ชีวิกํ กเปฺปสิฯ โส เอกทิวสํ อนฺตมโส โคธามตฺตมฺปิ อลภิตฺวา ‘‘ตาต โสมทตฺต, สเจ ตุจฺฉหตฺถา คมิสฺสาม, มาตา เต กุชฺฌิสฺสติ, ยํ กิญฺจิ คเหตฺวา คมิสฺสามา’’ติ วตฺวา โพธิสตฺตสฺส นิปนฺนวมฺมิกฎฺฐานาภิมุโข คนฺตฺวา ปานียํ ปาตุํ ยมุนํ โอตรนฺตานํ มิคานํ ปทวลญฺชํ ทิสฺวา ‘‘ตาต, มิคมโคฺค ปญฺญายติ, ตฺวํ ปฎิกฺกมิตฺวา ติฎฺฐาหิ, อหํ ปานียตฺถาย อาคตํ มิคํ วิชฺฌิสฺสามี’’ติ ธนุํ อาทาย มิคํ โอโลเกโนฺต เอกสฺมิํ รุกฺขมูเล อฎฺฐาสิฯ อเถโก มิโค สายนฺหสมเย ปานียํ ปาตุํ อาคโตฯ โส ตํ วิชฺฌิฯ มิโค ตตฺถ อปติตฺวา สรเวเคน ตชฺชิโต โลหิเตน ปคฺฆรเนฺตน ปลายิฯ ปิตาปุตฺตา นํ อนุพนฺธิตฺวา ปติตฎฺฐาเน มํสํ คเหตฺวา อรญฺญา นิกฺขมิตฺวา สูริยตฺถงฺคมนเวลาย ตํ นิโคฺรธํ ปตฺวา ‘‘อิทานิ อกาโล, น สกฺกา คนฺตุํ, อิเธว วสิสฺสามา’’ติ มํสํ เอกมเนฺต ฐเปตฺวา รุกฺขํ อารุยฺห วิฎปนฺตเร นิปชฺชิํสุฯ พฺราหฺมโณ ปจฺจูสสมเย ปพุชฺฌิตฺวา มิคสทฺทสวนาย โสตํ โอทหิฯ

    Tadā eko bārāṇasidvāragāmavāsī brāhmaṇo somadattena nāma puttena saddhiṃ araññaṃ gantvā sūlayantapāsavāgurādīhi oḍḍetvā mige vadhitvā maṃsaṃ kājenāharitvā vikkiṇanto jīvikaṃ kappesi. So ekadivasaṃ antamaso godhāmattampi alabhitvā ‘‘tāta somadatta, sace tucchahatthā gamissāma, mātā te kujjhissati, yaṃ kiñci gahetvā gamissāmā’’ti vatvā bodhisattassa nipannavammikaṭṭhānābhimukho gantvā pānīyaṃ pātuṃ yamunaṃ otarantānaṃ migānaṃ padavalañjaṃ disvā ‘‘tāta, migamaggo paññāyati, tvaṃ paṭikkamitvā tiṭṭhāhi, ahaṃ pānīyatthāya āgataṃ migaṃ vijjhissāmī’’ti dhanuṃ ādāya migaṃ olokento ekasmiṃ rukkhamūle aṭṭhāsi. Atheko migo sāyanhasamaye pānīyaṃ pātuṃ āgato. So taṃ vijjhi. Migo tattha apatitvā saravegena tajjito lohitena paggharantena palāyi. Pitāputtā naṃ anubandhitvā patitaṭṭhāne maṃsaṃ gahetvā araññā nikkhamitvā sūriyatthaṅgamanavelāya taṃ nigrodhaṃ patvā ‘‘idāni akālo, na sakkā gantuṃ, idheva vasissāmā’’ti maṃsaṃ ekamante ṭhapetvā rukkhaṃ āruyha viṭapantare nipajjiṃsu. Brāhmaṇo paccūsasamaye pabujjhitvā migasaddasavanāya sotaṃ odahi.

    ตสฺมิํ ขเณ นาคมาณวิกาโย อาคนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปุปฺผาสนํ ปญฺญาเปสุํฯ โส อหิสรีรํ อนฺตรธาเปตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ ทิพฺพสรีรํ มาเปตฺวา สกฺกลีลาย ปุปฺผาสเน นิสีทิฯ นาคมาณวิกาปิ นํ คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา ทิพฺพตูริยานิ วาเทตฺวา นจฺจคีตํ ปฎฺฐเปสุํฯ พฺราหฺมโณ ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘โก นุ โข เอส, ชานิสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ปุตฺต, ปุตฺตา’’ติ วตฺวาปิ ปุตฺตํ ปโพเธตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘สยตุ เอส, กิลโนฺต ภวิสฺสติ, อหเมว คมิสฺสามี’’ติ รุกฺขา โอรุยฺห ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ นาคมาณวิกา ตํ ทิสฺวา สทฺธิํ ตูริเยหิ ภูมิยํ นิมุชฺชิตฺวา อตฺตโน นาคภวนเมว คตาฯ โพธิสโตฺต เอกโกว อโหสิฯ พฺราหฺมโณ ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุจฺฉโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Tasmiṃ khaṇe nāgamāṇavikāyo āgantvā bodhisattassa pupphāsanaṃ paññāpesuṃ. So ahisarīraṃ antaradhāpetvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ dibbasarīraṃ māpetvā sakkalīlāya pupphāsane nisīdi. Nāgamāṇavikāpi naṃ gandhamālādīhi pūjetvā dibbatūriyāni vādetvā naccagītaṃ paṭṭhapesuṃ. Brāhmaṇo taṃ saddaṃ sutvā ‘‘ko nu kho esa, jānissāmi na’’nti cintetvā ‘‘putta, puttā’’ti vatvāpi puttaṃ pabodhetuṃ asakkonto ‘‘sayatu esa, kilanto bhavissati, ahameva gamissāmī’’ti rukkhā oruyha tassa santikaṃ agamāsi. Nāgamāṇavikā taṃ disvā saddhiṃ tūriyehi bhūmiyaṃ nimujjitvā attano nāgabhavanameva gatā. Bodhisatto ekakova ahosi. Brāhmaṇo tassa santikaṃ gantvā pucchanto gāthādvayamāha –

    ๗๙๗.

    797.

    ‘‘ปุปฺผาภิหารสฺส วนสฺส มเชฺฌ, โก โลหิตโกฺข วิตตนฺตรํโส;

    ‘‘Pupphābhihārassa vanassa majjhe, ko lohitakkho vitatantaraṃso;

    กา กมฺพุกายูรธรา สุวตฺถา, ติฎฺฐนฺติ นาริโย ทส วนฺทมานาฯ

    Kā kambukāyūradharā suvatthā, tiṭṭhanti nāriyo dasa vandamānā.

    ๗๙๘.

    798.

    ‘‘โก ตฺวํ พฺรหาพาหุ วนสฺส มเชฺฌ, วิโรจสิ ฆตสิโตฺตว อคฺคิ;

    ‘‘Ko tvaṃ brahābāhu vanassa majjhe, virocasi ghatasittova aggi;

    มเหสโกฺข อญฺญตโรสิ ยโกฺข, อุทาหุ นาโคสิ มหานุภาโว’’ติฯ

    Mahesakkho aññatarosi yakkho, udāhu nāgosi mahānubhāvo’’ti.

    ตตฺถ ปุปฺผาภิหารสฺสาติ โพธิสตฺตสฺส ปูชนตฺถาย อาภเตน ทิพฺพปุปฺผาภิหาเรน สมนฺนาคตสฺสฯ โกติ โก นาม ตฺวํฯ โลหิตโกฺขติ รตฺตโกฺขฯ วิตตนฺตรํโสติ ปุถุลอนฺตรํโสฯ กมฺพุกายูรธราติ สุวณฺณาลงฺการธราฯ พฺรหาพาหูติ มหาพาหุฯ

    Tattha pupphābhihārassāti bodhisattassa pūjanatthāya ābhatena dibbapupphābhihārena samannāgatassa. Koti ko nāma tvaṃ. Lohitakkhoti rattakkho. Vitatantaraṃsoti puthulaantaraṃso. Kambukāyūradharāti suvaṇṇālaṅkāradharā. Brahābāhūti mahābāhu.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘สเจปิ ‘สกฺกาทีสุ อญฺญตโรหมสฺมี’ติ วกฺขามิ, สทฺทหิสฺสเตวายํ พฺราหฺมโณ, อชฺช ปน มยา สจฺจเมว กเถตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน นาคราชภาวํ กเถโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘sacepi ‘sakkādīsu aññatarohamasmī’ti vakkhāmi, saddahissatevāyaṃ brāhmaṇo, ajja pana mayā saccameva kathetuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā attano nāgarājabhāvaṃ kathento āha –

    ๗๙๙.

    799.

    ‘‘นาโคหมสฺมิ อิทฺธิมา, เตชสฺสี ทุรติกฺกโม;

    ‘‘Nāgohamasmi iddhimā, tejassī duratikkamo;

    ฑํเสยฺยํ เตชสา กุโทฺธ, ผีตํ ชนปทํ อปิฯ

    Ḍaṃseyyaṃ tejasā kuddho, phītaṃ janapadaṃ api.

    ๘๐๐.

    800.

    ‘‘สมุทฺทชา หิ เม มาตา, ธตรโฎฺฐ จ เม ปิตา;

    ‘‘Samuddajā hi me mātā, dhataraṭṭho ca me pitā;

    สุทสฺสนกนิโฎฺฐสฺมิ, ภูริทโตฺตติ มํ วิทู’’ติฯ

    Sudassanakaniṭṭhosmi, bhūridattoti maṃ vidū’’ti.

    ตตฺถ เตชสฺสีติ วิสเตเชน เตชวาฯ ทุรติกฺกโมติ อเญฺญน อติกฺกมิตุํ อสกฺกุเณโยฺยฯ ฑํเสยฺยนฺติ สจาหํ กุโทฺธ ผีตํ ชนปทํ อปิ ฑํเสยฺยํ, ปถวิยํ มม ทาฐาย ปติตมตฺตาย สทฺธิํ ปถวิยา มม เตเชน โส สโพฺพ ชนปโท ภสฺมา ภเวยฺยาติ วทติฯ สุทสฺสนกนิโฎฺฐสฺมีติ อหํ มม ภาตุ สุทสฺสนสฺส กนิโฎฺฐ อสฺมิฯ วิทูติ เอวํ มมํ ปญฺจโยชนสติเก นาคภวเน ชานนฺตีติฯ

    Tattha tejassīti visatejena tejavā. Duratikkamoti aññena atikkamituṃ asakkuṇeyyo. Ḍaṃseyyanti sacāhaṃ kuddho phītaṃ janapadaṃ api ḍaṃseyyaṃ, pathaviyaṃ mama dāṭhāya patitamattāya saddhiṃ pathaviyā mama tejena so sabbo janapado bhasmā bhaveyyāti vadati. Sudassanakaniṭṭhosmīti ahaṃ mama bhātu sudassanassa kaniṭṭho asmi. Vidūti evaṃ mamaṃ pañcayojanasatike nāgabhavane jānantīti.

    อิทญฺจ ปน วตฺวา มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ จโณฺฑ ผรุโส, อหิตุณฺฑิกสฺส อาโรเจตฺวา อุโปสถกมฺมสฺส เม อนฺตรายมฺปิ กเรยฺย, ยํ นูนาหํ อิมํ นาคภวนํ เนตฺวา มหนฺตํ ยสํ ทตฺวา อุโปสถกมฺมํ อทฺธนิยํ กเรยฺย’’นฺติฯ อถ นํ อาห ‘‘พฺราหฺมณ, มหนฺตํ เต ยสํ ทสฺสามิ, รมณียํ นาคภวนํ, เอหิ ตตฺถ คจฺฉามา’’ติฯ ‘‘สามิ, ปุโตฺต เม อตฺถิ, ตสฺมิํ คจฺฉเนฺต อาคมิสฺสามี’’ติฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘คจฺฉ, พฺราหฺมณ, อาเนหิ น’’นฺติ วตฺวา อตฺตโน อาวาสํ อาจิกฺขโนฺต อาห –

    Idañca pana vatvā mahāsatto cintesi ‘‘ayaṃ brāhmaṇo caṇḍo pharuso, ahituṇḍikassa ārocetvā uposathakammassa me antarāyampi kareyya, yaṃ nūnāhaṃ imaṃ nāgabhavanaṃ netvā mahantaṃ yasaṃ datvā uposathakammaṃ addhaniyaṃ kareyya’’nti. Atha naṃ āha ‘‘brāhmaṇa, mahantaṃ te yasaṃ dassāmi, ramaṇīyaṃ nāgabhavanaṃ, ehi tattha gacchāmā’’ti. ‘‘Sāmi, putto me atthi, tasmiṃ gacchante āgamissāmī’’ti. Atha naṃ mahāsatto ‘‘gaccha, brāhmaṇa, ānehi na’’nti vatvā attano āvāsaṃ ācikkhanto āha –

    ๘๐๑.

    801.

    ‘‘ยํ คมฺภีรํ สทาวฎฺฎํ, รหทํ เภสฺมํ เปกฺขสิ;

    ‘‘Yaṃ gambhīraṃ sadāvaṭṭaṃ, rahadaṃ bhesmaṃ pekkhasi;

    เอส ทิโพฺย มมาวาโส, อเนกสตโปริโสฯ

    Esa dibyo mamāvāso, anekasataporiso.

    ๘๐๒.

    802.

    ‘‘มยูรโกญฺจาภิรุทํ, นีโลทํ วนมชฺฌโต;

    ‘‘Mayūrakoñcābhirudaṃ, nīlodaṃ vanamajjhato;

    ยมุนํ ปวิส มา ภีโต, เขมํ วตฺตวตํ สิว’’นฺติฯ

    Yamunaṃ pavisa mā bhīto, khemaṃ vattavataṃ siva’’nti.

    ตตฺถ สทาวฎฺฎนฺติ สทา ปวตฺตํ อาวฎฺฎํฯ เภสฺมนฺติ ภยานกํฯ เปกฺขสีติ ยํ เอวรูปํ รหทํ ปสฺสสิฯ มยูรโกญฺจาภิรุทนฺติ อุโภสุ ตีเรสุ วนฆฎายํ วสเนฺตหิ มยูเรหิ จ โกเญฺจหิ จ อภิรุทํ อุปกูชิตํฯ นีโลทนฺติ นีลสลิลํฯ วนมชฺฌโตติ วนมเชฺฌน สนฺทมานํฯ ปวิส มา ภีโตติ เอวรูปํ ยมุนํ อภีโต หุตฺวา ปวิสฯ วตฺตวตนฺติ วตฺตสมฺปนฺนานํ อาจารวนฺตานํ วสนภูมิํ ปวิส, คจฺฉ, พฺราหฺมณ, ปุตฺตํ อาเนหีติฯ

    Tattha sadāvaṭṭanti sadā pavattaṃ āvaṭṭaṃ. Bhesmanti bhayānakaṃ. Pekkhasīti yaṃ evarūpaṃ rahadaṃ passasi. Mayūrakoñcābhirudanti ubhosu tīresu vanaghaṭāyaṃ vasantehi mayūrehi ca koñcehi ca abhirudaṃ upakūjitaṃ. Nīlodanti nīlasalilaṃ. Vanamajjhatoti vanamajjhena sandamānaṃ. Pavisa mā bhītoti evarūpaṃ yamunaṃ abhīto hutvā pavisa. Vattavatanti vattasampannānaṃ ācāravantānaṃ vasanabhūmiṃ pavisa, gaccha, brāhmaṇa, puttaṃ ānehīti.

    พฺราหฺมโณ คนฺตฺวา ปุตฺตสฺส ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ปุตฺตํ อาเนสิฯ มหาสโตฺต เต อุโภปิ อาทาย ยมุนาตีรํ คนฺตฺวา ตีเร ฐิโต อาห –

    Brāhmaṇo gantvā puttassa tamatthaṃ ārocetvā puttaṃ ānesi. Mahāsatto te ubhopi ādāya yamunātīraṃ gantvā tīre ṭhito āha –

    ๘๐๓.

    803.

    ‘‘ตตฺถ ปโตฺต สานุจโร, สห ปุเตฺตน พฺราหฺมณ;

    ‘‘Tattha patto sānucaro, saha puttena brāhmaṇa;

    ปูชิโต มยฺหํ กาเมหิ, สุขํ พฺราหฺมณ วจฺฉสี’’ติฯ

    Pūjito mayhaṃ kāmehi, sukhaṃ brāhmaṇa vacchasī’’ti.

    ตตฺถ ตตฺถ ปโตฺตติ ตฺวํ อมฺหากํ นาคภวนํ ปโตฺต หุตฺวาฯ มยฺหนฺติ มม สนฺตเกหิ กาเมหิ ปูชิโตฯ วจฺฉสีติ ตตฺถ นาคภวเน สุขํ วสิสฺสติฯ

    Tattha tattha pattoti tvaṃ amhākaṃ nāgabhavanaṃ patto hutvā. Mayhanti mama santakehi kāmehi pūjito. Vacchasīti tattha nāgabhavane sukhaṃ vasissati.

    เอวํ วตฺวา มหาสโตฺต อุโภปิ เต ปิตาปุเตฺต อตฺตโน อานุภาเวน นาคภวนํ อาเนสิฯ เตสํ ตตฺถ ทิโพฺพ อตฺตภาโว ปาตุภวิฯ อถ เนสํ มหาสโตฺต ทิพฺพสมฺปตฺติํ ทตฺวา จตฺตาริ จตฺตาริ นาคกญฺญาสตานิ อทาสิฯ เต มหาสมฺปตฺติํ อนุภวิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ อปฺปมโตฺต อุโปสถกมฺมํ อกาสิฯ อนฺวฑฺฒมาสํ มาตาปิตูนํ อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา ธมฺมกถํ กเถตฺวา ตโต จ พฺราหฺมณสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อาโรคฺยํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เยน เต อโตฺถ, ตํ วเทยฺยาสิ, อนุกฺกณฺฐมาโน อภิรมา’’ติ วตฺวา โสมทเตฺตนปิ สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา อตฺตโน นิเวสนํ อคจฺฉิฯ พฺราหฺมโณ เอกสํวจฺฉรํ นาคภวเน วสิตฺวา มนฺทปุญฺญตาย อุกฺกณฺฐิโต มนุสฺสโลกํ คนฺตุกาโม อโหสิฯ นาคภวนมสฺส โลกนฺตรนิรโย วิย อลงฺกตปาสาโท พนฺธนาคารํ วิย อลงฺกตนาคกญฺญา ยกฺขินิโย วิย อุปฎฺฐหิํสุฯ โส ‘‘อหํ ตาว อุกฺกณฺฐิโต , โสมทตฺตสฺสปิ จิตฺตํ ชานิสฺสามี’’ติ ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อาห ‘‘กิํ, ตาต, อุกฺกณฺฐสี’’ติ? ‘‘กสฺมา อุกฺกณฺฐิสฺสามิ น อุกฺกณฺฐามิ, ตฺวํ ปน อุกฺกณฺฐสิ, ตาตา’’ติ? ‘‘อาม ตาตา’’ติฯ ‘‘กิํการณา’’ติฯ ‘‘ตว มาตุ เจว ภาตุภคินีนญฺจ อทสฺสเนน อุกฺกณฺฐามิ, เอหิ, ตาต โสมทตฺต, คจฺฉามา’’ติฯ โส ‘‘น คจฺฉามี’’ติ วตฺวาปิ ปุนปฺปุนํ ปิตรา ยาจิยมาโน ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    Evaṃ vatvā mahāsatto ubhopi te pitāputte attano ānubhāvena nāgabhavanaṃ ānesi. Tesaṃ tattha dibbo attabhāvo pātubhavi. Atha nesaṃ mahāsatto dibbasampattiṃ datvā cattāri cattāri nāgakaññāsatāni adāsi. Te mahāsampattiṃ anubhaviṃsu. Bodhisattopi appamatto uposathakammaṃ akāsi. Anvaḍḍhamāsaṃ mātāpitūnaṃ upaṭṭhānaṃ gantvā dhammakathaṃ kathetvā tato ca brāhmaṇassa santikaṃ gantvā ārogyaṃ pucchitvā ‘‘yena te attho, taṃ vadeyyāsi, anukkaṇṭhamāno abhiramā’’ti vatvā somadattenapi saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā attano nivesanaṃ agacchi. Brāhmaṇo ekasaṃvaccharaṃ nāgabhavane vasitvā mandapuññatāya ukkaṇṭhito manussalokaṃ gantukāmo ahosi. Nāgabhavanamassa lokantaranirayo viya alaṅkatapāsādo bandhanāgāraṃ viya alaṅkatanāgakaññā yakkhiniyo viya upaṭṭhahiṃsu. So ‘‘ahaṃ tāva ukkaṇṭhito , somadattassapi cittaṃ jānissāmī’’ti tassa santikaṃ gantvā āha ‘‘kiṃ, tāta, ukkaṇṭhasī’’ti? ‘‘Kasmā ukkaṇṭhissāmi na ukkaṇṭhāmi, tvaṃ pana ukkaṇṭhasi, tātā’’ti? ‘‘Āma tātā’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti. ‘‘Tava mātu ceva bhātubhaginīnañca adassanena ukkaṇṭhāmi, ehi, tāta somadatta, gacchāmā’’ti. So ‘‘na gacchāmī’’ti vatvāpi punappunaṃ pitarā yāciyamāno ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.

    พฺราหฺมโณ ‘‘ปุตฺตสฺส ตาว เม มโน ลโทฺธ, สเจ ปนาหํ ภูริทตฺตสฺส ‘อุกฺกณฺฐิโตมฺหี’ติ วกฺขามิ, อติเรกตรํ เม ยสํ ทสฺสติ, เอวํ เม คมนํ น ภวิสฺสติฯ เอเกน ปน อุปาเยน ตสฺส สมฺปตฺติํ วเณฺณตฺวา ‘ตฺวํ เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ปหาย กิํการณา มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา อุโปสถกมฺมํ กโรสี’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘สคฺคตฺถายา’ติ วุเตฺต ‘ตฺวํ ตาว เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ปหาย สคฺคตฺถาย อุโปสถกมฺมํ กโรสิ, กิมงฺคํ ปน มยํเยว ปรธเนน ชีวิกํ กเปฺปม, อหมฺปิ มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา ญาตเก ทิสฺวา ปพฺพชิตฺวา สมณธมฺมํ กริสฺสามี’ติ นํ สญฺญาเปสฺสามิฯ อถ เม โส คมนํ อนุชานิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอกทิวสํ เตนาคนฺตฺวา ‘‘กิํ, พฺราหฺมณ, อุกฺกณฺฐสี’’ติ ปุจฺฉิโต ‘‘ตุมฺหากํ สนฺติกา อมฺหากํ น กิญฺจิ ปริหายตี’’ติ กิญฺจิ คมนปฎิพทฺธํ อวตฺวาว อาทิโต ตาว ตสฺส สมฺปตฺติํ วเณฺณโนฺต อาห –

    Brāhmaṇo ‘‘puttassa tāva me mano laddho, sace panāhaṃ bhūridattassa ‘ukkaṇṭhitomhī’ti vakkhāmi, atirekataraṃ me yasaṃ dassati, evaṃ me gamanaṃ na bhavissati. Ekena pana upāyena tassa sampattiṃ vaṇṇetvā ‘tvaṃ evarūpaṃ sampattiṃ pahāya kiṃkāraṇā manussalokaṃ gantvā uposathakammaṃ karosī’ti pucchitvā ‘saggatthāyā’ti vutte ‘tvaṃ tāva evarūpaṃ sampattiṃ pahāya saggatthāya uposathakammaṃ karosi, kimaṅgaṃ pana mayaṃyeva paradhanena jīvikaṃ kappema, ahampi manussalokaṃ gantvā ñātake disvā pabbajitvā samaṇadhammaṃ karissāmī’ti naṃ saññāpessāmi. Atha me so gamanaṃ anujānissatī’’ti cintetvā ekadivasaṃ tenāgantvā ‘‘kiṃ, brāhmaṇa, ukkaṇṭhasī’’ti pucchito ‘‘tumhākaṃ santikā amhākaṃ na kiñci parihāyatī’’ti kiñci gamanapaṭibaddhaṃ avatvāva ādito tāva tassa sampattiṃ vaṇṇento āha –

    ๘๐๔.

    804.

    ‘‘สมา สมนฺตปริโต, ปหูตตครา มหี;

    ‘‘Samā samantaparito, pahūtatagarā mahī;

    อินฺทโคปกสญฺฉนฺนา, โสภติ หริตุตฺตมาฯ

    Indagopakasañchannā, sobhati harituttamā.

    ๘๐๕.

    805.

    ‘‘รมฺมานิ วนเจตฺยานิ, รมฺมา หํสูปกูชิตา;

    ‘‘Rammāni vanacetyāni, rammā haṃsūpakūjitā;

    โอปุปฺผปทฺธา ติฎฺฐนฺติ, โปกฺขรโญฺญ สุนิมฺมิตาฯ

    Opupphapaddhā tiṭṭhanti, pokkharañño sunimmitā.

    ๘๐๖.

    806.

    ‘‘อฎฺฐํสา สุกตา ถมฺภา, สเพฺพ เวฬุริยามยา;

    ‘‘Aṭṭhaṃsā sukatā thambhā, sabbe veḷuriyāmayā;

    สหสฺสถมฺภา ปาสาทา, ปูรา กญฺญาหิ โชตเรฯ

    Sahassathambhā pāsādā, pūrā kaññāhi jotare.

    ๘๐๗.

    807.

    ‘‘วิมานํ อุปปโนฺนสิ, ทิพฺยํ ปุเญฺญหิ อตฺตโน;

    ‘‘Vimānaṃ upapannosi, dibyaṃ puññehi attano;

    อสมฺพาธํ สิวํ รมฺมํ, อจฺจนฺตสุขสํหิตํฯ

    Asambādhaṃ sivaṃ rammaṃ, accantasukhasaṃhitaṃ.

    ๘๐๘.

    808.

    ‘‘มเญฺญ สหสฺสเนตฺตสฺส, วิมานํ นาภิกงฺขสิ;

    ‘‘Maññe sahassanettassa, vimānaṃ nābhikaṅkhasi;

    อิทฺธี หิ ตฺยายํ วิปุลา, สกฺกเสฺสว ชุตีมโต’’ติฯ

    Iddhī hi tyāyaṃ vipulā, sakkasseva jutīmato’’ti.

    ตตฺถ สมา สมนฺตปริโตติ ปริสมนฺตโต สพฺพทิสาภาเคสุ อยํ ตว นาคภวเน มหี สุวณฺณรชตมณิ มุตฺตาวาลุกาปริกิณฺณา สมตลาฯ ปหูตตครา มหีติ พหุเกหิ ตครคเจฺฉหิ สมนฺนาคตาฯ อินฺทโคปกสญฺฉนฺนาติ สุวณฺณอินฺทโคปเกหิ สญฺฉนฺนาฯ โสภติ หริตุตฺตมาติ หริตวณฺณทพฺพติณสญฺฉนฺนา โสภตีติ อโตฺถฯ วนเจตฺยานีติ วนฆฎาฯ โอปุปฺผปทฺธาติ ปุปฺผิตฺวา ปติเตหิ ปทุมปเตฺตหิ สญฺฉนฺนา อุทกปิฎฺฐาฯ สุนิมฺมิตาติ ตว ปุญฺญสมฺปตฺติยา สุฎฺฐุ นิมฺมิตาฯ อฎฺฐํสาติ ตว วสนปาสาเทสุ อฎฺฐํสา สุกตา เวฬุริยมยา ถมฺภาฯ เตหิ ถเมฺภหิ สหสฺสถมฺภา ตว ปาสาทา นาคกญฺญาหิ ปูรา วิโชฺชตนฺติฯ อุปปโนฺนสีติ เอวรูเป วิมาเน นิพฺพโตฺตสีติ อโตฺถฯ สหสฺสเนตฺตสฺส วิมานนฺติ สกฺกสฺส เวชยนฺตปาสาทํฯ อิทฺธี หิ ตฺยายํ วิปุลาติ ยสฺมา ตวายํ วิปุลา อิทฺธิ, ตสฺมา ตฺวํ เตน อุโปสถกเมฺมน สกฺกสฺส วิมานมฺปิ น ปเตฺถสิ, อญฺญํ ตโต อุตฺตริ มหนฺตํ ฐานํ ปเตฺถสีติ มญฺญามิฯ

    Tattha samā samantaparitoti parisamantato sabbadisābhāgesu ayaṃ tava nāgabhavane mahī suvaṇṇarajatamaṇi muttāvālukāparikiṇṇā samatalā. Pahūtatagarā mahīti bahukehi tagaragacchehi samannāgatā. Indagopakasañchannāti suvaṇṇaindagopakehi sañchannā. Sobhati harituttamāti haritavaṇṇadabbatiṇasañchannā sobhatīti attho. Vanacetyānīti vanaghaṭā. Opupphapaddhāti pupphitvā patitehi padumapattehi sañchannā udakapiṭṭhā. Sunimmitāti tava puññasampattiyā suṭṭhu nimmitā. Aṭṭhaṃsāti tava vasanapāsādesu aṭṭhaṃsā sukatā veḷuriyamayā thambhā. Tehi thambhehi sahassathambhā tava pāsādā nāgakaññāhi pūrā vijjotanti. Upapannosīti evarūpe vimāne nibbattosīti attho. Sahassanettassa vimānanti sakkassa vejayantapāsādaṃ. Iddhī hi tyāyaṃ vipulāti yasmā tavāyaṃ vipulā iddhi, tasmā tvaṃ tena uposathakammena sakkassa vimānampi na patthesi, aññaṃ tato uttari mahantaṃ ṭhānaṃ patthesīti maññāmi.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘มา เหวํ, พฺราหฺมณ, อวจ, สกฺกสฺส ยสํ ปฎิจฺจ อมฺหากํ ยโส สิเนรุสนฺติเก สาสโป วิย, มยํ ตสฺส ปริจารเกปิ น อคฺฆามา’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘mā hevaṃ, brāhmaṇa, avaca, sakkassa yasaṃ paṭicca amhākaṃ yaso sinerusantike sāsapo viya, mayaṃ tassa paricārakepi na agghāmā’’ti vatvā gāthamāha –

    ๘๐๙.

    809.

    ‘‘มนสาปิ น ปตฺตโพฺพ, อานุภาโว ชุตีมโต;

    ‘‘Manasāpi na pattabbo, ānubhāvo jutīmato;

    ปริจารยมานานํ, สอินฺทานํ วสวตฺติน’’นฺติฯ

    Paricārayamānānaṃ, saindānaṃ vasavattina’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – พฺราหฺมณ, สกฺกสฺส ยโส นาม เอกํ เทฺว ตโย จตฺตาโร วา ทิวเส ‘‘เอตฺตโก สิยา’’ติ มนสา จิเนฺตเนฺตนปิ น อภิปตฺตโพฺพฯ เยปิ นํ จตฺตาโร มหาราชาโน ปริจาเรนฺติ, เตสํ เทวราชานํ ปริจารยมานานํ อินฺทํ นายกํ กตฺวา จรนฺตานํ สอินฺทานํ วสวตฺตีนํ จตุนฺนํ โลกปาลานํ ยสสฺสปิ อมฺหากํ ติรจฺฉานคตานํ ยโส โสฬสิํ กลํ นคฺฆตีติฯ

    Tassattho – brāhmaṇa, sakkassa yaso nāma ekaṃ dve tayo cattāro vā divase ‘‘ettako siyā’’ti manasā cintentenapi na abhipattabbo. Yepi naṃ cattāro mahārājāno paricārenti, tesaṃ devarājānaṃ paricārayamānānaṃ indaṃ nāyakaṃ katvā carantānaṃ saindānaṃ vasavattīnaṃ catunnaṃ lokapālānaṃ yasassapi amhākaṃ tiracchānagatānaṃ yaso soḷasiṃ kalaṃ nagghatīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อิทํ เต มเญฺญ สหสฺสเนตฺตสฺส วิมาน’’นฺติ วจนํ สุตฺวา อหํ ตํ อนุสฺสริํฯ ‘‘อหญฺหิ เวชยนฺตํ ปเตฺถโนฺต อุโปสถกมฺมํ กโรมี’’ติ ตสฺส อตฺตโน ปตฺถนํ อาจิกฺขโนฺต อาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘idaṃ te maññe sahassanettassa vimāna’’nti vacanaṃ sutvā ahaṃ taṃ anussariṃ. ‘‘Ahañhi vejayantaṃ patthento uposathakammaṃ karomī’’ti tassa attano patthanaṃ ācikkhanto āha –

    ๘๑๐.

    810.

    ‘‘ตํ วิมานํ อภิชฺฌาย, อมรานํ สุเขสินํ;

    ‘‘Taṃ vimānaṃ abhijjhāya, amarānaṃ sukhesinaṃ;

    อุโปสถํ อุปวสโนฺต, เสมิ วมฺมิกมุทฺธนี’’ติฯ

    Uposathaṃ upavasanto, semi vammikamuddhanī’’ti.

    ตตฺถ อภิชฺฌายาติ ปเตฺถตฺวาฯ อมรานนฺติ ทีฆายุกานํ เทวานํฯ สุเขสินนฺติ เอสิตสุขานํ สุเข ปติฎฺฐิตานํฯ

    Tattha abhijjhāyāti patthetvā. Amarānanti dīghāyukānaṃ devānaṃ. Sukhesinanti esitasukhānaṃ sukhe patiṭṭhitānaṃ.

    กํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ ‘‘อิทานิ เม โอกาโส ลโทฺธ’’ติ โสมนสฺสปฺปโตฺต คนฺตุํ อาปุจฺฉโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Kaṃ sutvā brāhmaṇo ‘‘idāni me okāso laddho’’ti somanassappatto gantuṃ āpucchanto gāthādvayamāha –

    ๘๑๑.

    811.

    ‘‘อหญฺจ มิคเมสาโน, สปุโตฺต ปาวิสิํ วนํ;

    ‘‘Ahañca migamesāno, saputto pāvisiṃ vanaṃ;

    ตํ มํ มตํ วา ชีวํ วา, นาภิเวเทนฺติ ญาตกาฯ

    Taṃ maṃ mataṃ vā jīvaṃ vā, nābhivedenti ñātakā.

    ๘๑๒.

    812.

    ‘‘อามนฺตเย ภูริทตฺตํ, กาสิปุตฺตํ ยสสฺสินํ;

    ‘‘Āmantaye bhūridattaṃ, kāsiputtaṃ yasassinaṃ;

    ตยา โน สมนุญฺญาตา, อปิ ปเสฺสมุ ญาตเก’’ติฯ

    Tayā no samanuññātā, api passemu ñātake’’ti.

    ตตฺถ นาภิเวเทนฺตีติ น ชานนฺติ, กเถโนฺตปิ เนสํ นตฺถิฯ อามนฺตเยติ อามนฺตยามิฯ กาสิปุตฺตนฺติ กาสิราชธีตาย ปุตฺตํฯ

    Tattha nābhivedentīti na jānanti, kathentopi nesaṃ natthi. Āmantayeti āmantayāmi. Kāsiputtanti kāsirājadhītāya puttaṃ.

    ตโต โพธิสโตฺต อาห –

    Tato bodhisatto āha –

    ๘๑๓.

    813.

    ‘‘เอโส หิ วต เม ฉโนฺท, ยํ วเสสิ มมนฺติเก;

    ‘‘Eso hi vata me chando, yaṃ vasesi mamantike;

    น หิ เอตาทิสา กามา, สุลภา โหนฺติ มานุเสฯ

    Na hi etādisā kāmā, sulabhā honti mānuse.

    ๘๑๔.

    814.

    ‘‘สเจ ตฺวํ นิจฺฉเส วตฺถุํ, มม กาเมหิ ปูชิโต;

    ‘‘Sace tvaṃ nicchase vatthuṃ, mama kāmehi pūjito;

    มยา ตฺวํ สมนุญฺญาโต, โสตฺถิํ ปสฺสาหิ ญาตเก’’ติฯ

    Mayā tvaṃ samanuññāto, sotthiṃ passāhi ñātake’’ti.

    มหาสโตฺต คาถาทฺวยํ วตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ มณิํ นิสฺสาย สุขํ ชีวโนฺต กสฺสจิ นาจิกฺขิสฺสติ, เอตสฺส สพฺพกามททํ มณิํ ทสฺสามี’’ติฯ อถสฺส ตํ ททโนฺต อาห –

    Mahāsatto gāthādvayaṃ vatvā cintesi – ‘‘ayaṃ maṇiṃ nissāya sukhaṃ jīvanto kassaci nācikkhissati, etassa sabbakāmadadaṃ maṇiṃ dassāmī’’ti. Athassa taṃ dadanto āha –

    ๘๑๕.

    815.

    ‘‘ธารยิมํ มณิํ ทิพฺยํ, ปสุํ ปุเตฺต จ วินฺทติ;

    ‘‘Dhārayimaṃ maṇiṃ dibyaṃ, pasuṃ putte ca vindati;

    อโรโค สุขิโต โหติ, คเจฺฉวาทาย พฺราหฺมณา’’ติฯ

    Arogo sukhito hoti, gacchevādāya brāhmaṇā’’ti.

    ตตฺถ ปสุํ ปุเตฺต จ วินฺทตีติ อิมํ มณิํ ธารยมาโน อิมสฺสานุภาเวน ปสุญฺจ ปุเตฺต จ อญฺญญฺจ ยํ อิจฺฉติ, ตํ สพฺพํ ลภติฯ

    Tattha pasuṃ putte ca vindatīti imaṃ maṇiṃ dhārayamāno imassānubhāvena pasuñca putte ca aññañca yaṃ icchati, taṃ sabbaṃ labhati.

    ตโต พฺราหฺมโณ คาถมาห –

    Tato brāhmaṇo gāthamāha –

    ๘๑๖.

    816.

    ‘‘กุสลํ ปฎินนฺทามิ, ภูริทตฺต วโจ ตว;

    ‘‘Kusalaṃ paṭinandāmi, bhūridatta vaco tava;

    ปพฺพชิสฺสามิ ชิโณฺณสฺมิ, น กาเม อภิปตฺถเย’’ติฯ

    Pabbajissāmi jiṇṇosmi, na kāme abhipatthaye’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ภูริทตฺต, ตว วจนํ กุสลํ อนวชฺชํ, ตํ ปฎินนฺทามิ น ปฎิกฺขิปามิฯ อหํ ปน ชิโณฺณ อสฺมิ, ตสฺมา ปพฺพชิสฺสามิ, น กาเม อภิปตฺถยามิ, กิํ เม มณินาติฯ

    Tassattho – bhūridatta, tava vacanaṃ kusalaṃ anavajjaṃ, taṃ paṭinandāmi na paṭikkhipāmi. Ahaṃ pana jiṇṇo asmi, tasmā pabbajissāmi, na kāme abhipatthayāmi, kiṃ me maṇināti.

    โพธิสโตฺต อาห –

    Bodhisatto āha –

    ๘๑๗.

    817.

    ‘‘พฺรหฺมจริยสฺส เจ ภโงฺค, โหติ โภเคหิ การิยํ;

    ‘‘Brahmacariyassa ce bhaṅgo, hoti bhogehi kāriyaṃ;

    อวิกมฺปมาโน เอยฺยาสิ, พหุํ ทสฺสามิ เต ธน’’นฺติฯ

    Avikampamāno eyyāsi, bahuṃ dassāmi te dhana’’nti.

    ตตฺถ เจ ภโงฺคติ พฺรหฺมจริยวาโส นาม ทุกฺกโร, อนภิรตสฺส พฺรหฺมจริยสฺส เจ ภโงฺค โหติ, ตทา คิหิภูตสฺส โภเคหิ การิยํ โหติ, เอวรูเป กาเล ตฺวํ นิราสโงฺก หุตฺวา มม สนฺติกํ อาคเจฺฉยฺยาสิ, พหุํ เต ธนํ ทสฺสามีติฯ

    Tattha ce bhaṅgoti brahmacariyavāso nāma dukkaro, anabhiratassa brahmacariyassa ce bhaṅgo hoti, tadā gihibhūtassa bhogehi kāriyaṃ hoti, evarūpe kāle tvaṃ nirāsaṅko hutvā mama santikaṃ āgaccheyyāsi, bahuṃ te dhanaṃ dassāmīti.

    พฺราหฺมโณ อาห –

    Brāhmaṇo āha –

    ๘๑๘.

    818.

    ‘‘กุสลํ ปฎินนฺทามิ, ภูริทตฺต วโจ ตว;

    ‘‘Kusalaṃ paṭinandāmi, bhūridatta vaco tava;

    ปุนปิ อาคมิสฺสามิ, สเจ อโตฺถ ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Punapi āgamissāmi, sace attho bhavissatī’’ti.

    ตตฺถ ปุนปีติ ปุน อปิ, อยเมว วา ปาโฐฯ

    Tattha punapīti puna api, ayameva vā pāṭho.

    อถสฺส ตตฺถ อวสิตุกามตํ ญตฺวา มหาสโตฺต นาคมาณวเก อาณาเปตฺวา พฺราหฺมณํ มนุสฺสโลกํ ปาเปสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Athassa tattha avasitukāmataṃ ñatvā mahāsatto nāgamāṇavake āṇāpetvā brāhmaṇaṃ manussalokaṃ pāpesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๘๑๙.

    819.

    ‘‘อิทํ วตฺวา ภูริทโตฺต, เปเสสิ จตุโร ชเน;

    ‘‘Idaṃ vatvā bhūridatto, pesesi caturo jane;

    เอถ คจฺฉถ อุเฎฺฐถ, ขิปฺปํ ปาเปถ พฺราหฺมณํฯ

    Etha gacchatha uṭṭhetha, khippaṃ pāpetha brāhmaṇaṃ.

    ๘๒๐.

    820.

    ‘‘ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา, อุฎฺฐาย จตุโร ชนา;

    ‘‘Tassa taṃ vacanaṃ sutvā, uṭṭhāya caturo janā;

    เปสิตา ภูริทเตฺตน, ขิปฺปํ ปาเปสุ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ

    Pesitā bhūridattena, khippaṃ pāpesu brāhmaṇa’’nti.

    ตตฺถ ปาเปสูติ ยมุนาโต อุตฺตาเรตฺวา พาราณสิมคฺคํ ปาปยิํสุ, ปาปยิตฺวา จ ปน ‘‘ตุเมฺห คจฺฉถา’’ติ วตฺวา นาคภวนเมว ปจฺจาคมิํสุฯ

    Tattha pāpesūti yamunāto uttāretvā bārāṇasimaggaṃ pāpayiṃsu, pāpayitvā ca pana ‘‘tumhe gacchathā’’ti vatvā nāgabhavanameva paccāgamiṃsu.

    พฺราหฺมโณปิ ‘‘ตาต โสมทตฺต, อิมสฺมิํ ฐาเน มิคํ วิชฺฌิมฺหา, อิมสฺมิํ สูกร’’นฺติ ปุตฺตสฺส อาจิกฺขโนฺต อนฺตรามเคฺค โปกฺขรณิํ ทิสฺวา ‘‘ตาต โสมทตฺต, นฺหายามา’’ติ วตฺวา ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติ วุเตฺต อุโภปิ ทิพฺพาภรณานิ เจว ทิพฺพวตฺถานิ จ โอมุญฺจิตฺวา ภณฺฑิกํ กตฺวา โปกฺขรณีตีเร ฐเปตฺวา โอตริตฺวา นฺหายิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ ตานิ อนฺตรธายิตฺวา นาคภวนเมว อคมํสุฯ ปฐมํ นิวตฺถกาสาวปิโลติกาว เนสํ สรีเร ปฎิมุญฺจิํสุ, ธนุสรสตฺติโยปิ ปากติกาว อเหสุํฯ โสมทโตฺต ‘‘นาสิตามฺหา ตยา, ตาตา’’ติ ปริเทวิฯ อถ นํ ปิตา ‘‘มา จินฺตยิ, มิเคสุ สเนฺตสุ อรเญฺญ มิเค วธิตฺวา ชีวิกํ กเปฺปสฺสามา’’ติ อสฺสาเสสิฯ โสมทตฺตสฺส มาตา เตสํ อาคมนํ สุตฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ฆรํ เนตฺวา อนฺนปาเนน สนฺตเปฺปสิฯ พฺราหฺมโณ ภุญฺชิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ อิตรา ปุตฺตํ ปุจฺฉิ ‘‘ตาต , เอตฺตกํ กาลํ กุหิํ คตตฺถา’’ติ? ‘‘อมฺม, ภูริทตฺตนาคราเชน อเมฺห นาคภวนํ นีตา, ตโต อุกฺกณฺฐิตฺวา อิทานิ อาคตา’’ติฯ ‘‘กิญฺจิ ปน โว รตนํ อาภต’’นฺติฯ ‘‘นาภตํ อมฺมา’’ติฯ ‘‘กิํ ตุมฺหากํ เตน กิญฺจิ น ทินฺน’’นฺติฯ ‘‘อมฺม, ภูริทเตฺตน เม ปิตุ สพฺพกามทโท มณิ ทิโนฺน อโหสิ, อิมินา ปน น คหิโต’’ติฯ ‘‘กิํการณา’’ติฯ ‘‘ปพฺพชิสฺสติ กิรา’’ติฯ สา ‘‘เอตฺตกํ กาลํ ทารเก มม ภารํ กโรโนฺต นาคภวเน วสิตฺวา อิทานิ กิร ปพฺพชิสฺสตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา วีหิภญฺชนทพฺพิยา ปิฎฺฐิํ โปเถนฺตี ‘‘อเร, ทุฎฺฐพฺราหฺมณ, ปพฺพชิสฺสามีติ กิร มณิรตนํ น คณฺหสิ, อถ กสฺมา อปพฺพชิตฺวา อิธาคโตสิ, นิกฺขม มม ฆรา สีฆ’’นฺติ สนฺตเชฺชสิฯ อถ นํ ‘‘ภเทฺท, มา กุชฺฌิ, อรเญฺญ มิเคสุ สเนฺตสุ อหํ ตํ โปเสสฺสามี’’ติ วตฺวา ปุเตฺตน สทฺธิํ อรญฺญํ คนฺตฺวา ปุริมนิยาเมเนว ชีวิกํ กเปฺปสิฯ

    Brāhmaṇopi ‘‘tāta somadatta, imasmiṃ ṭhāne migaṃ vijjhimhā, imasmiṃ sūkara’’nti puttassa ācikkhanto antarāmagge pokkharaṇiṃ disvā ‘‘tāta somadatta, nhāyāmā’’ti vatvā ‘‘sādhu, tātā’’ti vutte ubhopi dibbābharaṇāni ceva dibbavatthāni ca omuñcitvā bhaṇḍikaṃ katvā pokkharaṇītīre ṭhapetvā otaritvā nhāyiṃsu. Tasmiṃ khaṇe tāni antaradhāyitvā nāgabhavanameva agamaṃsu. Paṭhamaṃ nivatthakāsāvapilotikāva nesaṃ sarīre paṭimuñciṃsu, dhanusarasattiyopi pākatikāva ahesuṃ. Somadatto ‘‘nāsitāmhā tayā, tātā’’ti paridevi. Atha naṃ pitā ‘‘mā cintayi, migesu santesu araññe mige vadhitvā jīvikaṃ kappessāmā’’ti assāsesi. Somadattassa mātā tesaṃ āgamanaṃ sutvā paccuggantvā gharaṃ netvā annapānena santappesi. Brāhmaṇo bhuñjitvā niddaṃ okkami. Itarā puttaṃ pucchi ‘‘tāta , ettakaṃ kālaṃ kuhiṃ gatatthā’’ti? ‘‘Amma, bhūridattanāgarājena amhe nāgabhavanaṃ nītā, tato ukkaṇṭhitvā idāni āgatā’’ti. ‘‘Kiñci pana vo ratanaṃ ābhata’’nti. ‘‘Nābhataṃ ammā’’ti. ‘‘Kiṃ tumhākaṃ tena kiñci na dinna’’nti. ‘‘Amma, bhūridattena me pitu sabbakāmadado maṇi dinno ahosi, iminā pana na gahito’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti. ‘‘Pabbajissati kirā’’ti. Sā ‘‘ettakaṃ kālaṃ dārake mama bhāraṃ karonto nāgabhavane vasitvā idāni kira pabbajissatī’’ti kujjhitvā vīhibhañjanadabbiyā piṭṭhiṃ pothentī ‘‘are, duṭṭhabrāhmaṇa, pabbajissāmīti kira maṇiratanaṃ na gaṇhasi, atha kasmā apabbajitvā idhāgatosi, nikkhama mama gharā sīgha’’nti santajjesi. Atha naṃ ‘‘bhadde, mā kujjhi, araññe migesu santesu ahaṃ taṃ posessāmī’’ti vatvā puttena saddhiṃ araññaṃ gantvā purimaniyāmeneva jīvikaṃ kappesi.

    ตทา ทกฺขิณมหาสมุทฺทสฺส ทิสาภาเค สิมฺพลิวาสี เอโก ครุโฬ ปกฺขวาเตหิ สมุเทฺท อุทกํ วิยูหิตฺวา เอกํ นาคราชานํ สีเส คณฺหิฯ ตทาหิ สุปณฺณา นาคํ คเหตุํ อชานนกาเยว , ปจฺฉา ปณฺฑรชาตเก ชานิํสุฯ โส ปน ตํ สีเส คเหตฺวาปิ อุทเก อโนตฺถรเนฺตเยว อุกฺขิปิตฺวา โอลมฺพนฺตํ อาทาย หิมวนฺตมตฺถเกน ปายาสิฯ ตทา เจโก กาสิรฎฺฐวาสี พฺราหฺมโณ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา หิมวนฺตปฺปเทเส ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา ปฎิวสติฯ ตสฺส จงฺกมนโกฎิยํ มหานิโคฺรธรุโกฺข อตฺถิฯ โส ตสฺส มูเล ทิวาวิหารํ กโรติฯ สุปโณฺณ นิโคฺรธมตฺถเกน นาคํ หรติฯ นาโค โอลมฺพโนฺต โมกฺขตฺถาย นงฺคุเฎฺฐน นิโคฺรธวิฎปํ เวเฐสิฯ สุปโณฺณ ตํ อชานโนฺตว มหพฺพลตาย อากาเส ปกฺขนฺทิเยวฯ นิโคฺรธรุโกฺข สมูโล อุปฺปาฎิโตฯ สุปโณฺณ นาคํ สิมฺพลิวนํ เนตฺวา ตุเณฺฑน ปหริตฺวา กุจฺฉิํ ผาเลตฺวา นาคเมทํ ขาทิตฺวา สรีรํ สมุทฺทกุจฺฉิมฺหิ ฉเฑฺฑสิฯ นิโคฺรธรุโกฺข ปตโนฺต มหาสทฺทมกาสิฯ สุปโณฺณ ‘‘กิสฺส เอโส สโทฺท’’ติ อโธ โอโลเกโนฺต นิโคฺรธรุกฺขํ ทิสฺวา ‘‘กุโต เอส มยา อุปฺปาฎิโต’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ตาปสสฺส จงฺกมนโกฎิยา นิโคฺรโธ เอโส’’ติ ตถโต ญตฺวา ‘‘อยํ ตสฺส พหูปกาโร, ‘อกุสลํ นุ โข เม ปสุตํ, อุทาหุ โน’ติ ตเมว ปุจฺฉิตฺวา ชานิสฺสามี’’ติ มาณวกเวเสน ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ

    Tadā dakkhiṇamahāsamuddassa disābhāge simbalivāsī eko garuḷo pakkhavātehi samudde udakaṃ viyūhitvā ekaṃ nāgarājānaṃ sīse gaṇhi. Tadāhi supaṇṇā nāgaṃ gahetuṃ ajānanakāyeva , pacchā paṇḍarajātake jāniṃsu. So pana taṃ sīse gahetvāpi udake anottharanteyeva ukkhipitvā olambantaṃ ādāya himavantamatthakena pāyāsi. Tadā ceko kāsiraṭṭhavāsī brāhmaṇo isipabbajjaṃ pabbajitvā himavantappadese paṇṇasālaṃ māpetvā paṭivasati. Tassa caṅkamanakoṭiyaṃ mahānigrodharukkho atthi. So tassa mūle divāvihāraṃ karoti. Supaṇṇo nigrodhamatthakena nāgaṃ harati. Nāgo olambanto mokkhatthāya naṅguṭṭhena nigrodhaviṭapaṃ veṭhesi. Supaṇṇo taṃ ajānantova mahabbalatāya ākāse pakkhandiyeva. Nigrodharukkho samūlo uppāṭito. Supaṇṇo nāgaṃ simbalivanaṃ netvā tuṇḍena paharitvā kucchiṃ phāletvā nāgamedaṃ khāditvā sarīraṃ samuddakucchimhi chaḍḍesi. Nigrodharukkho patanto mahāsaddamakāsi. Supaṇṇo ‘‘kissa eso saddo’’ti adho olokento nigrodharukkhaṃ disvā ‘‘kuto esa mayā uppāṭito’’ti cintetvā ‘‘tāpasassa caṅkamanakoṭiyā nigrodho eso’’ti tathato ñatvā ‘‘ayaṃ tassa bahūpakāro, ‘akusalaṃ nu kho me pasutaṃ, udāhu no’ti tameva pucchitvā jānissāmī’’ti māṇavakavesena tassa santikaṃ agamāsi.

    ตสฺมิํ ขเณ ตาปโส ตํ ฐานํ สมํ กโรติฯ สุปณฺณราชา ตาปสํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน อชานโนฺต วิย ‘‘กิสฺส ฐานํ, ภเนฺต, อิท’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อุปาสก, เอโก สุปโณฺณ โภชนตฺถาย นาคํ หรโนฺต นาเคน โมกฺขตฺถาย นิโคฺรธวิฎปํ นงฺคุเฎฺฐน เวฐิตายปิ อตฺตโน มหพฺพลตาย ปกฺขนฺติตฺวา คโต, อถ นิโคฺรธรุโกฺข อุปฺปาฎิโต, อิทํ ตสฺส อุปฺปาฎิตฎฺฐาน’’นฺติฯ ‘‘กิํ ปน, ภเนฺต, ตสฺส สุปณฺณสฺส อกุสลํ โหติ, อุทาหุ โน’’ติ? ‘‘สเจ น ชานาติ, อเจตนกมฺมํ นาม อกุสลํ น โหตี’’ติฯ ‘‘กิํ นาคสฺส ปน , ภเนฺต’’ติ? ‘‘โส อิมํ นาเสตุํ น คณฺหิ, โมกฺขตฺถาย คณฺหิ, ตสฺมา ตสฺสปิ น โหติเยวา’’ติฯ สุปโณฺณ ตาปสสฺส ตุสฺสิตฺวา ‘‘ภเนฺต, อหํ โส สุปณฺณราชา, ตุมฺหากญฺหิ ปญฺหเวยฺยากรเณน ตุโฎฺฐฯ ตุเมฺห อรเญฺญ วสถ, อหเญฺจกํ อลมฺปายนมนฺตํ ชานามิ, อนโคฺฆ มโนฺตฯ ตมหํ ตุมฺหากํ อาจริยภาคํ กตฺวา ทมฺมิ, ปฎิคฺคณฺหถ น’’นฺติ อาหฯ ‘‘อลํ มยฺหํ มเนฺตน, คจฺฉถ ตุเมฺห’’ติฯ โส ตํ ปุนปฺปุนํ ยาจิตฺวา สมฺปฎิจฺฉาเปตฺวา มนฺตํ ทตฺวา โอสธานิ อาจิกฺขิตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tasmiṃ khaṇe tāpaso taṃ ṭhānaṃ samaṃ karoti. Supaṇṇarājā tāpasaṃ vanditvā ekamantaṃ nisinno ajānanto viya ‘‘kissa ṭhānaṃ, bhante, ida’’nti pucchi. ‘‘Upāsaka, eko supaṇṇo bhojanatthāya nāgaṃ haranto nāgena mokkhatthāya nigrodhaviṭapaṃ naṅguṭṭhena veṭhitāyapi attano mahabbalatāya pakkhantitvā gato, atha nigrodharukkho uppāṭito, idaṃ tassa uppāṭitaṭṭhāna’’nti. ‘‘Kiṃ pana, bhante, tassa supaṇṇassa akusalaṃ hoti, udāhu no’’ti? ‘‘Sace na jānāti, acetanakammaṃ nāma akusalaṃ na hotī’’ti. ‘‘Kiṃ nāgassa pana , bhante’’ti? ‘‘So imaṃ nāsetuṃ na gaṇhi, mokkhatthāya gaṇhi, tasmā tassapi na hotiyevā’’ti. Supaṇṇo tāpasassa tussitvā ‘‘bhante, ahaṃ so supaṇṇarājā, tumhākañhi pañhaveyyākaraṇena tuṭṭho. Tumhe araññe vasatha, ahañcekaṃ alampāyanamantaṃ jānāmi, anaggho manto. Tamahaṃ tumhākaṃ ācariyabhāgaṃ katvā dammi, paṭiggaṇhatha na’’nti āha. ‘‘Alaṃ mayhaṃ mantena, gacchatha tumhe’’ti. So taṃ punappunaṃ yācitvā sampaṭicchāpetvā mantaṃ datvā osadhāni ācikkhitvā pakkāmi.

    ครุฬกณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Garuḷakaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    กีฬนกณฺฑํ

    Kīḷanakaṇḍaṃ

    ตสฺมิํ กาเล พาราณสิยํ เอโก ทลิทฺทพฺราหฺมโณ พหุํ อิณํ คเหตฺวา อิณสามิเกหิ โจทิยมาโน ‘‘กิํ เม อิธ วาเสน, อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มตํ เสโยฺย’’ติ นิกฺขมิตฺวา วนํ ปวิสิตฺวา อนุปุเพฺพน ตํ อสฺสมปทํ ปตฺวา ตาปสํ วตฺตสมฺปทาย อาราเธสิฯ ตาปโส ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ มยฺหํ อติวิย อุปการโก, สุปณฺณราเชน ทินฺนํ ทิพฺพมนฺตมสฺส ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, อหํ อลมฺปายนมนฺตํ ชานามิ, ตํ เต ทมฺมิ, คณฺหาหิ น’’นฺติ วตฺวา ‘‘อลํ, ภเนฺต, น มยฺหํ มเนฺตนโตฺถ’’ติ วุเตฺตปิ ปุนปฺปุนํ วตฺวา นิปฺปีเฬตฺวา สมฺปฎิจฺฉาเปตฺวา อทาสิเยวฯ ตสฺส จ มนฺตสฺส อนุจฺฉวิกานิ โอสธานิ เจว มนฺตุปจารญฺจ สพฺพํ กเถสิฯ พฺราหฺมโณ ‘‘ลโทฺธ เม ชีวิตุปาโย’’ติ กติปาหํ วสิตฺวา ‘‘วาตาพาโธ เม, ภเนฺต, พาธตี’’ติ อปเทสํ กตฺวา ตาปเสน วิสฺสชฺชิโต ตํ วนฺทิตฺวา ขมาเปตฺวา อรญฺญา นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน ยมุนาย ตีรํ ปตฺวา ตํ มนฺตํ สชฺฌายโนฺต มหามคฺคํ คจฺฉติฯ

    Tasmiṃ kāle bārāṇasiyaṃ eko daliddabrāhmaṇo bahuṃ iṇaṃ gahetvā iṇasāmikehi codiyamāno ‘‘kiṃ me idha vāsena, araññaṃ pavisitvā mataṃ seyyo’’ti nikkhamitvā vanaṃ pavisitvā anupubbena taṃ assamapadaṃ patvā tāpasaṃ vattasampadāya ārādhesi. Tāpaso ‘‘ayaṃ brāhmaṇo mayhaṃ ativiya upakārako, supaṇṇarājena dinnaṃ dibbamantamassa dassāmī’’ti cintetvā ‘‘brāhmaṇa, ahaṃ alampāyanamantaṃ jānāmi, taṃ te dammi, gaṇhāhi na’’nti vatvā ‘‘alaṃ, bhante, na mayhaṃ mantenattho’’ti vuttepi punappunaṃ vatvā nippīḷetvā sampaṭicchāpetvā adāsiyeva. Tassa ca mantassa anucchavikāni osadhāni ceva mantupacārañca sabbaṃ kathesi. Brāhmaṇo ‘‘laddho me jīvitupāyo’’ti katipāhaṃ vasitvā ‘‘vātābādho me, bhante, bādhatī’’ti apadesaṃ katvā tāpasena vissajjito taṃ vanditvā khamāpetvā araññā nikkhamitvā anupubbena yamunāya tīraṃ patvā taṃ mantaṃ sajjhāyanto mahāmaggaṃ gacchati.

    ตสฺมิํ กาเล สหสฺสมตฺตา ภูริทตฺตสฺส ปริจาริกา นาคมาณวิกา ตํ สพฺพกามททํ มณิรตนํ อาทาย นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา ยมุนาตีเร วาลุกราสิมฺหิ ฐเปตฺวา ตสฺส โอภาเสน สพฺพรตฺติํ อุทกกีฬํ กีฬิตฺวา อรุณุคฺคมเน สพฺพาลงฺกาเรน อลงฺกริตฺวา มณิรตนํ ปริวาเรตฺวา สิริํ ปเวสยมานา นิสีทิํสุฯ พฺราหฺมโณปิ มนฺตํ สชฺฌายโนฺต ตํ ฐานํ ปาปุณิฯ ตา มนฺตสทฺทํ สุตฺวาว ‘‘อิมินา สุปเณฺณน ภวิตพฺพ’’นฺติ มรณภยตชฺชิตา มณิรตนํ อคฺคเหตฺวา ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา นาคภวนํ อคมิํสุฯ พฺราหฺมโณปิ มณิรตนํ ทิสฺวา ‘‘อิทาเนว เม มโนฺต สมิโทฺธ’’ติ ตุฎฺฐมานโส มณิรตนํ อาทาย ปายาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เนสาทพฺราหฺมโณ โสมทเตฺตน สทฺธิํ มิควธาย อรญฺญํ ปวิสโนฺต ตสฺส หเตฺถ ตํ มณิรตนํ ทิสฺวา ปุตฺตํ อาห ‘‘ตาต, นนุ เอโส อมฺหากํ ภูริทเตฺตน ทิโนฺน มณี’’ติ? ‘‘อาม, ตาต, เอโส มณี’’ติฯ ‘‘เตน หิสฺส อคุณํ กเถตฺวา อิมํ พฺราหฺมณํ วเญฺจตฺวา คณฺหาเมตํ มณิรตน’’นฺติฯ ‘‘ตาต, ปุเพฺพ ภูริทเตฺตน ทียมานํ น คณฺหิ, อิทานิ ปเนส พฺราหฺมโณ ตเญฺญว วเญฺจสฺสติ, ตุณฺหี โหหี’’ติฯ พฺราหฺมโณ ‘‘โหตุ, ตาต, ปสฺสสิ เอตสฺส วา มม วา วญฺจนภาว’’นฺติ อลมฺปายเนน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต อาห –

    Tasmiṃ kāle sahassamattā bhūridattassa paricārikā nāgamāṇavikā taṃ sabbakāmadadaṃ maṇiratanaṃ ādāya nāgabhavanā nikkhamitvā yamunātīre vālukarāsimhi ṭhapetvā tassa obhāsena sabbarattiṃ udakakīḷaṃ kīḷitvā aruṇuggamane sabbālaṅkārena alaṅkaritvā maṇiratanaṃ parivāretvā siriṃ pavesayamānā nisīdiṃsu. Brāhmaṇopi mantaṃ sajjhāyanto taṃ ṭhānaṃ pāpuṇi. Tā mantasaddaṃ sutvāva ‘‘iminā supaṇṇena bhavitabba’’nti maraṇabhayatajjitā maṇiratanaṃ aggahetvā pathaviyaṃ nimujjitvā nāgabhavanaṃ agamiṃsu. Brāhmaṇopi maṇiratanaṃ disvā ‘‘idāneva me manto samiddho’’ti tuṭṭhamānaso maṇiratanaṃ ādāya pāyāsi. Tasmiṃ khaṇe nesādabrāhmaṇo somadattena saddhiṃ migavadhāya araññaṃ pavisanto tassa hatthe taṃ maṇiratanaṃ disvā puttaṃ āha ‘‘tāta, nanu eso amhākaṃ bhūridattena dinno maṇī’’ti? ‘‘Āma, tāta, eso maṇī’’ti. ‘‘Tena hissa aguṇaṃ kathetvā imaṃ brāhmaṇaṃ vañcetvā gaṇhāmetaṃ maṇiratana’’nti. ‘‘Tāta, pubbe bhūridattena dīyamānaṃ na gaṇhi, idāni panesa brāhmaṇo taññeva vañcessati, tuṇhī hohī’’ti. Brāhmaṇo ‘‘hotu, tāta, passasi etassa vā mama vā vañcanabhāva’’nti alampāyanena saddhiṃ sallapanto āha –

    ๘๒๑.

    821.

    ‘‘มณิํ ปคฺคยฺห มงฺคลฺยํ, สาธุวิตฺตํ มโนรมํ;

    ‘‘Maṇiṃ paggayha maṅgalyaṃ, sādhuvittaṃ manoramaṃ;

    เสลํ พฺยญฺชนสมฺปนฺนํ, โก อิมํ มณิมชฺฌคา’’ติฯ

    Selaṃ byañjanasampannaṃ, ko imaṃ maṇimajjhagā’’ti.

    ตตฺถ มงฺคลฺยนฺติ มงฺคลสมฺมตํ สพฺพกามททํฯ โก อิมนฺติ กุหิํ อิมํ มณิํ อธิคโตสิฯ

    Tattha maṅgalyanti maṅgalasammataṃ sabbakāmadadaṃ. Ko imanti kuhiṃ imaṃ maṇiṃ adhigatosi.

    ตโต อลมฺปายโน คาถมาห –

    Tato alampāyano gāthamāha –

    ๘๒๒.

    822.

    ‘‘โลหิตกฺขสหสฺสาหิ, สมนฺตา ปริวาริตํ;

    ‘‘Lohitakkhasahassāhi, samantā parivāritaṃ;

    อชฺช กาลํ ปถํ คจฺฉํ, อชฺฌคาหํ มณิํ อิม’’นฺติฯ

    Ajja kālaṃ pathaṃ gacchaṃ, ajjhagāhaṃ maṇiṃ ima’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – อหํ อชฺช กาลํ ปาโตว ปถํ มคฺคํ คจฺฉโนฺต รตฺตกฺขิกาหิ สหสฺสมตฺตาหิ นาคมาณวิกาหิ สมนฺตา ปริวาริตํ อิมํ มณิํ อชฺฌคาฯ มํ ทิสฺวา หิ สพฺพาว เอตา ภยตชฺชิตา อิมํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลาตาติฯ

    Tassattho – ahaṃ ajja kālaṃ pātova pathaṃ maggaṃ gacchanto rattakkhikāhi sahassamattāhi nāgamāṇavikāhi samantā parivāritaṃ imaṃ maṇiṃ ajjhagā. Maṃ disvā hi sabbāva etā bhayatajjitā imaṃ chaḍḍetvā palātāti.

    เนสาทพฺราหฺมโณ ตํ วเญฺจตุกาโม มณิรตนสฺส อคุณํ ปกาเสโนฺต อตฺตนา คณฺหิตุกาโม ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Nesādabrāhmaṇo taṃ vañcetukāmo maṇiratanassa aguṇaṃ pakāsento attanā gaṇhitukāmo tisso gāthā abhāsi –

    ๘๒๓.

    823.

    ‘‘สูปจิโณฺณ อยํ เสโล, อจฺจิโต มานิโต สทา;

    ‘‘Sūpaciṇṇo ayaṃ selo, accito mānito sadā;

    สุธาริโต สุนิกฺขิโตฺต, สพฺพตฺถมภิสาธเยฯ

    Sudhārito sunikkhitto, sabbatthamabhisādhaye.

    ๘๒๔.

    824.

    ‘‘อุปจารวิปนฺนสฺส, นิเกฺขเป ธารณาย วา;

    ‘‘Upacāravipannassa, nikkhepe dhāraṇāya vā;

    อยํ เสโล วินาสาย, ปริจิโณฺณ อโยนิโสฯ

    Ayaṃ selo vināsāya, pariciṇṇo ayoniso.

    ๘๒๕.

    825.

    ‘‘น อิมํ อกุสโล ทิพฺยํ, มณิํ ธาเรตุมารโห;

    ‘‘Na imaṃ akusalo dibyaṃ, maṇiṃ dhāretumāraho;

    ปฎิปชฺช สตํ นิกฺขํ, เทหิมํ รตนํ มม’’นฺติฯ

    Paṭipajja sataṃ nikkhaṃ, dehimaṃ ratanaṃ mama’’nti.

    ตตฺถ สพฺพตฺถนฺติ โย อิมํ เสลํ สุฎฺฐุ อุปจริตุํ อจฺจิตุํ อตฺตโน ชีวิตํ วิย มมายิตุํ สุฎฺฐุ ธาเรตุํ สุฎฺฐุ นิกฺขิปิตุํ ชานาติ, ตเสฺสว สูปจิโณฺณ อจฺจิโต มานิโต สุธาริโต สุนิกฺขิโตฺต อยํ เสโล สพฺพํ อตฺถํ สาเธตีติ อโตฺถฯ อุปจารวิปนฺนสฺสาติ โย ปน อุปจารวิปโนฺน โหติ, ตเสฺสโส อนุปาเยน ปริจิโณฺณ วินาสเมว วหตีติ วทติฯ ธาเรตุมารโหติ ธาเรตุํ อรโหฯ ปฎิปชฺช สตํ นิกฺขนฺติ อมฺหากํ เคเห พหู มณี, มยเมตํ คเหตุํ ชานามฯ อหํ เต นิกฺขสตํ ทสฺสามิ, ตํ ปฎิปชฺช, เทหิ อิมํ มณิรตนํ มมนฺติฯ ตสฺส หิ เคเห เอโกปิ สุวณฺณนิโกฺข นตฺถิฯ โส ปน ตสฺส มณิโน สพฺพกามททภาวํ ชานาติ ฯ เตนสฺส เอตทโหสิ ‘‘อหํ สสีสํ นฺหตฺวา มณิํ อุทเกน ปริโปฺผสิตฺวา ‘นิกฺขสตํ เม เทหี’ติ วกฺขามิ, อเถส เม ทสฺสติ, ตมหํ เอตสฺส ทสฺสามี’’ติฯ ตสฺมา สูโร หุตฺวา เอวมาหฯ

    Tattha sabbatthanti yo imaṃ selaṃ suṭṭhu upacarituṃ accituṃ attano jīvitaṃ viya mamāyituṃ suṭṭhu dhāretuṃ suṭṭhu nikkhipituṃ jānāti, tasseva sūpaciṇṇo accito mānito sudhārito sunikkhitto ayaṃ selo sabbaṃ atthaṃ sādhetīti attho. Upacāravipannassāti yo pana upacāravipanno hoti, tasseso anupāyena pariciṇṇo vināsameva vahatīti vadati. Dhāretumārahoti dhāretuṃ araho. Paṭipajja sataṃ nikkhanti amhākaṃ gehe bahū maṇī, mayametaṃ gahetuṃ jānāma. Ahaṃ te nikkhasataṃ dassāmi, taṃ paṭipajja, dehi imaṃ maṇiratanaṃ mamanti. Tassa hi gehe ekopi suvaṇṇanikkho natthi. So pana tassa maṇino sabbakāmadadabhāvaṃ jānāti . Tenassa etadahosi ‘‘ahaṃ sasīsaṃ nhatvā maṇiṃ udakena paripphositvā ‘nikkhasataṃ me dehī’ti vakkhāmi, athesa me dassati, tamahaṃ etassa dassāmī’’ti. Tasmā sūro hutvā evamāha.

    ตโต อลมฺปายโน คาถมาห –

    Tato alampāyano gāthamāha –

    ๘๒๖.

    826.

    ‘‘น จ มฺยายํ มณี เกโยฺย, โคหิ วา รตเนหิ วา;

    ‘‘Na ca myāyaṃ maṇī keyyo, gohi vā ratanehi vā;

    เสโล พฺยญฺชนสมฺปโนฺน, เนว เกโยฺย มณิ มมา’’ติฯ

    Selo byañjanasampanno, neva keyyo maṇi mamā’’ti.

    ตตฺถ น จ มฺยายนฺติ อยํ มณิ มม สนฺตโก เกนจิ วิกฺกิณิตโพฺพ นาม น โหติฯ เนว เกโยฺยติ อยญฺจ มม มณิ ลกฺขณสมฺปโนฺน, ตสฺมา เนว เกโยฺย เกนจิ วตฺถุนาปิ วิกฺกิณิตโพฺพ นาม น โหตีติฯ

    Tattha na ca myāyanti ayaṃ maṇi mama santako kenaci vikkiṇitabbo nāma na hoti. Neva keyyoti ayañca mama maṇi lakkhaṇasampanno, tasmā neva keyyo kenaci vatthunāpi vikkiṇitabbo nāma na hotīti.

    เนสาทพฺราหฺมโณ อาห –

    Nesādabrāhmaṇo āha –

    ๘๒๗.

    827.

    ‘‘โน เจ ตยา มณี เกโยฺย, โคหิ วา รตเนหิ วา;

    ‘‘No ce tayā maṇī keyyo, gohi vā ratanehi vā;

    อถ เกน มณี เกโยฺย, ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต’’ติฯ

    Atha kena maṇī keyyo, taṃ me akkhāhi pucchito’’ti.

    อลมฺปายโน อาห –

    Alampāyano āha –

    ๘๒๘.

    828.

    ‘‘โย เม สํเส มหานาคํ, เตชสฺสิํ ทุรติกฺกมํ;

    ‘‘Yo me saṃse mahānāgaṃ, tejassiṃ duratikkamaṃ;

    ตสฺส ทชฺชํ อิมํ เสลํ, ชลนฺตมิว เตชสา’’ติฯ

    Tassa dajjaṃ imaṃ selaṃ, jalantamiva tejasā’’ti.

    ตตฺถ ชลนฺตมิว เตชสาติ ปภาย ชลนฺตํ วิยฯ

    Tattha jalantamiva tejasāti pabhāya jalantaṃ viya.

    เนสาทพฺราหฺมโณ อาห –

    Nesādabrāhmaṇo āha –

    ๘๒๙.

    829.

    ‘‘โก นุ พฺราหฺมณวเณฺณน, สุปโณฺณ ปตตํ วโร;

    ‘‘Ko nu brāhmaṇavaṇṇena, supaṇṇo patataṃ varo;

    นาคํ ชิคีสมเนฺวสิ, อเนฺวสํ ภกฺขมตฺตโน’’ติฯ

    Nāgaṃ jigīsamanvesi, anvesaṃ bhakkhamattano’’ti.

    ตตฺถ โก นูติ อิทํ เนสาทพฺราหฺมโณ ‘‘อตฺตโน ภกฺขํ อเนฺวสเนฺตน ครุเฬน ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เอวมาหฯ

    Tattha ko nūti idaṃ nesādabrāhmaṇo ‘‘attano bhakkhaṃ anvesantena garuḷena bhavitabba’’nti cintetvā evamāha.

    อลมฺปายโน เอวมาห –

    Alampāyano evamāha –

    ๘๓๐.

    830.

    ‘‘นาหํ ทิชาธิโป โหมิ, อทิโฎฺฐ ครุโฬ มยา;

    ‘‘Nāhaṃ dijādhipo homi, adiṭṭho garuḷo mayā;

    อาสีวิเสน วิโตฺตติ, เวโชฺช พฺราหฺมณ มํ วิทู’’ติฯ

    Āsīvisena vittoti, vejjo brāhmaṇa maṃ vidū’’ti.

    ตตฺถ มํ วิทูติ มํ ‘‘เอส อาสีวิเสน วิตฺตโก อลมฺปายโน นาม เวโชฺช’’ติ ชานนฺติฯ

    Tattha maṃ vidūti maṃ ‘‘esa āsīvisena vittako alampāyano nāma vejjo’’ti jānanti.

    เนสาทพฺราหฺมโณ อาห –

    Nesādabrāhmaṇo āha –

    ๘๓๑.

    831.

    ‘‘กิํ นุ ตุยฺหํ ผลํ อตฺถิ, กิํ สิปฺปํ วิชฺชเต ตว;

    ‘‘Kiṃ nu tuyhaṃ phalaṃ atthi, kiṃ sippaṃ vijjate tava;

    กิสฺมิํ วา ตฺวํ ปรตฺถโทฺธ, อุรคํ นาปจายสี’’ติฯ

    Kismiṃ vā tvaṃ paratthaddho, uragaṃ nāpacāyasī’’ti.

    ตตฺถ กิสฺมิํ วา ตฺวํ ปรตฺถโทฺธติ ตฺวํ กิสฺมิํ วา อุปตฺถโทฺธ หุตฺวา, กิํ นิสฺสยํ กตฺวา อุรคํ อาสีวิสํ น อปจายสิ เชฎฺฐกํ อกตฺวา อวชานาสีติ ปุจฺฉติฯ

    Tattha kismiṃ vā tvaṃ paratthaddhoti tvaṃ kismiṃ vā upatthaddho hutvā, kiṃ nissayaṃ katvā uragaṃ āsīvisaṃ na apacāyasi jeṭṭhakaṃ akatvā avajānāsīti pucchati.

    โส อตฺตโน พลํ ทีเปโนฺต อาห –

    So attano balaṃ dīpento āha –

    ๘๓๒.

    832.

    ‘‘อารญฺญิกสฺส อิสิโน, จิรรตฺตํ ตปสฺสิโน;

    ‘‘Āraññikassa isino, cirarattaṃ tapassino;

    สุปโณฺณ โกสิยสฺสกฺขา, วิสวิชฺชํ อนุตฺตรํฯ

    Supaṇṇo kosiyassakkhā, visavijjaṃ anuttaraṃ.

    ๘๓๓.

    833.

    ‘‘ตํ ภาวิตตฺตญฺญตรํ, สมฺมนฺตํ ปพฺพตนฺตเร;

    ‘‘Taṃ bhāvitattaññataraṃ, sammantaṃ pabbatantare;

    สกฺกจฺจํ ตํ อุปฎฺฐาสิํ, รตฺตินฺทิวมตนฺทิโตฯ

    Sakkaccaṃ taṃ upaṭṭhāsiṃ, rattindivamatandito.

    ๘๓๔.

    834.

    ‘‘โส ตทา ปริจิโณฺณ เม, วตฺตวา พฺรหฺมจริยวา;

    ‘‘So tadā pariciṇṇo me, vattavā brahmacariyavā;

    ทิพฺพํ ปาตุกรี มนฺตํ, กามสา ภควา มมฯ

    Dibbaṃ pātukarī mantaṃ, kāmasā bhagavā mama.

    ๘๓๕.

    835.

    ‘‘ตฺยาหํ มเนฺต ปรตฺถโทฺธ, นาหํ ภายามิ โภคินํ;

    ‘‘Tyāhaṃ mante paratthaddho, nāhaṃ bhāyāmi bhoginaṃ;

    อาจริโย วิสฆาตานํ, อลมฺปาโนติ มํ วิทู’’ติฯ

    Ācariyo visaghātānaṃ, alampānoti maṃ vidū’’ti.

    ตตฺถ โกสิยสฺสกฺขาติ โกสิยโคตฺตสฺส อิสิโน สุปโณฺณ อาจิกฺขิฯ เตน อกฺขาตการณํ ปน สพฺพํ วิตฺถาเรตฺวา กเถตพฺพํฯ ภาวิตตฺตญฺญตรนฺติ ภาวิตตฺตานํ อิสีนํ อญฺญตรํฯ สมฺมนฺตนฺติ วสนฺตํฯ กามสาติ อตฺตโน อิจฺฉายฯ มมาติ ตํ มนฺตํ มยฺหํ ปกาเสสิฯ ตฺยาหํ มเนฺต, ปรตฺถโทฺธติ อหํ เต มเนฺต อุปตฺถโทฺธ นิสฺสิโตฯ โภคินนฺติ นาคานํฯ วิสฆาตานนฺติ วิสฆาตกเวชฺชานํฯ

    Tattha kosiyassakkhāti kosiyagottassa isino supaṇṇo ācikkhi. Tena akkhātakāraṇaṃ pana sabbaṃ vitthāretvā kathetabbaṃ. Bhāvitattaññataranti bhāvitattānaṃ isīnaṃ aññataraṃ. Sammantanti vasantaṃ. Kāmasāti attano icchāya. Mamāti taṃ mantaṃ mayhaṃ pakāsesi. Tyāhaṃ mante, paratthaddhoti ahaṃ te mante upatthaddho nissito. Bhoginanti nāgānaṃ. Visaghātānanti visaghātakavejjānaṃ.

    ตํ สุตฺวา เนสาทพฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ ‘‘อยํ อลมฺปายโน ยฺวาสฺส นาคํ ทเสฺสติ, ตสฺส มณิรตนํ ทสฺสติ, ภูริทตฺตมสฺส ทเสฺสตฺวา มณิํ คณฺหิสฺสามี’’ติฯ ตโต ปุเตฺตน สทฺธิํ มเนฺตโนฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā nesādabrāhmaṇo cintesi ‘‘ayaṃ alampāyano yvāssa nāgaṃ dasseti, tassa maṇiratanaṃ dassati, bhūridattamassa dassetvā maṇiṃ gaṇhissāmī’’ti. Tato puttena saddhiṃ mantento gāthamāha –

    ๘๓๖.

    836.

    ‘‘คณฺหามเส มณิํ ตาต, โสมทตฺต วิชานหิ;

    ‘‘Gaṇhāmase maṇiṃ tāta, somadatta vijānahi;

    มา ทเณฺฑน สิริํ ปตฺตํ, กามสา ปชหิมฺหเส’’ติฯ

    Mā daṇḍena siriṃ pattaṃ, kāmasā pajahimhase’’ti.

    ตตฺถ คณฺหามเสติ คณฺหามฯ กามสาติ อตฺตโน รุจิยา ทเณฺฑน ปหริตฺวา มา ชหามฯ

    Tattha gaṇhāmaseti gaṇhāma. Kāmasāti attano ruciyā daṇḍena paharitvā mā jahāma.

    โสมทโตฺต อาห –

    Somadatto āha –

    ๘๓๗.

    837.

    ‘‘สกํ นิเวสนํ ปตฺตํ, โย ตํ พฺราหฺมณ ปูชยิ;

    ‘‘Sakaṃ nivesanaṃ pattaṃ, yo taṃ brāhmaṇa pūjayi;

    เอวํ กลฺยาณการิสฺส, กิํ โมหา ทุพฺภิมิจฺฉสิฯ

    Evaṃ kalyāṇakārissa, kiṃ mohā dubbhimicchasi.

    ๘๓๘.

    838.

    ‘‘สเจ ตฺวํ ธนกาโมสิ, ภูริทโตฺต ปทสฺสติ;

    ‘‘Sace tvaṃ dhanakāmosi, bhūridatto padassati;

    ตเมว คนฺตฺวา ยาจสฺสุ, พหุํ ทสฺสติ เต ธน’’นฺติฯ

    Tameva gantvā yācassu, bahuṃ dassati te dhana’’nti.

    ตตฺถ ปูชยีติ ทิพฺพกาเมหิ ปูชยิตฺถฯ ทุพฺภิมิจฺฉสีติ กิํ ตถารูปสฺส มิตฺตสฺส ทุพฺภิกมฺมํ กาตุํ อิจฺฉสิ ตาตาติฯ

    Tattha pūjayīti dibbakāmehi pūjayittha. Dubbhimicchasīti kiṃ tathārūpassa mittassa dubbhikammaṃ kātuṃ icchasi tātāti.

    พฺราหฺมโณ อาห –

    Brāhmaṇo āha –

    ๘๓๙.

    839.

    ‘‘หตฺถคตํ ปตฺตคตํ, นิกิณฺณํ ขาทิตุํ วรํ;

    ‘‘Hatthagataṃ pattagataṃ, nikiṇṇaṃ khādituṃ varaṃ;

    มา โน สนฺทิฎฺฐิโก อโตฺถ, โสมทตฺต อุปจฺจคา’’ติฯ

    Mā no sandiṭṭhiko attho, somadatta upaccagā’’ti.

    ตตฺถ หตฺถคตนฺติ ตาต โสมทตฺต, ตฺวํ ตรุณโก โลกปวตฺติํ น ชานาสิฯ ยญฺหิ หตฺถคตํ วา โหติ ปตฺตคตํ วา ปุรโต วา นิกิณฺณํ ฐปิตํ, ตเทว เม ขาทิตุํ วรํ, น ทูเร ฐิตํฯ

    Tattha hatthagatanti tāta somadatta, tvaṃ taruṇako lokapavattiṃ na jānāsi. Yañhi hatthagataṃ vā hoti pattagataṃ vā purato vā nikiṇṇaṃ ṭhapitaṃ, tadeva me khādituṃ varaṃ, na dūre ṭhitaṃ.

    โสมทโตฺต อาห –

    Somadatto āha –

    ๘๔๐.

    840.

    ‘‘ปจฺจติ นิรเย โฆเร, มหิสฺสมปิ วิวรติ;

    ‘‘Paccati niraye ghore, mahissamapi vivarati;

    มิตฺตทุพฺภี หิตจฺจาคี, ชีวเรวาปิ สุสฺสติฯ

    Mittadubbhī hitaccāgī, jīvarevāpi sussati.

    ๘๔๑.

    841.

    ‘‘สเจ ตฺวํ ธนกาโมสิ, ภูริทโตฺต ปทสฺสติ;

    ‘‘Sace tvaṃ dhanakāmosi, bhūridatto padassati;

    มเญฺญ อตฺตกตํ เวรํ, น จิรํ เวทยิสฺสสี’’ติฯ

    Maññe attakataṃ veraṃ, na ciraṃ vedayissasī’’ti.

    ตตฺถ มหิสฺสมปิ วิวรตีติ ตาต, มิตฺตทุพฺภิโน ชีวนฺตเสฺสว ปถวี ภิชฺชิตฺวา วิวรํ เทติฯ หิตจฺจาคีติ อตฺตโน หิตปริจฺจาคีฯ ชีวเรวาปิ สุสฺสตีติ ชีวมาโนว สุสฺสติ, มนุสฺสเปโต โหติฯ อตฺตกตํ เวรนฺติ อตฺตนา กตํ ปาปํฯ น จิรนฺติ น จิรเสฺสว เวทยิสฺสสีติ มญฺญามิฯ

    Tattha mahissamapi vivaratīti tāta, mittadubbhino jīvantasseva pathavī bhijjitvā vivaraṃ deti. Hitaccāgīti attano hitapariccāgī. Jīvarevāpi sussatīti jīvamānova sussati, manussapeto hoti. Attakataṃ veranti attanā kataṃ pāpaṃ. Na ciranti na cirasseva vedayissasīti maññāmi.

    พฺราหฺมโณ อาห –

    Brāhmaṇo āha –

    ๘๔๒.

    842.

    ‘‘มหายญฺญํ ยชิตฺวาน, เอวํ สุชฺฌนฺติ พฺราหฺมณา;

    ‘‘Mahāyaññaṃ yajitvāna, evaṃ sujjhanti brāhmaṇā;

    มหายญฺญํ ยชิสฺสาม, เอวํ โมกฺขาม ปาปกา’’ติฯ

    Mahāyaññaṃ yajissāma, evaṃ mokkhāma pāpakā’’ti.

    ตตฺถ สุชฺฌนฺตีติ ตาต โสมทตฺต, ตฺวํ ทหโร น กิญฺจิ ชานาสิ, พฺราหฺมณา นาม ยํ กิญฺจิ ปาปํ กตฺวา ยเญฺญน สุชฺฌนฺตีติ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ

    Tattha sujjhantīti tāta somadatta, tvaṃ daharo na kiñci jānāsi, brāhmaṇā nāma yaṃ kiñci pāpaṃ katvā yaññena sujjhantīti dassento evamāha.

    โสมทโตฺต อาห –

    Somadatto āha –

    ๘๔๓.

    843.

    ‘‘หนฺท ทานิ อปายามิ, นาหํ อชฺช ตยา สห;

    ‘‘Handa dāni apāyāmi, nāhaṃ ajja tayā saha;

    ปทเมฺปกํ น คเจฺฉยฺยํ, เอวํ กิพฺพิสการินา’’ติฯ

    Padampekaṃ na gaccheyyaṃ, evaṃ kibbisakārinā’’ti.

    ตตฺถ อปายามีติ อปคจฺฉามิ, ปลายามีติ อโตฺถฯ

    Tattha apāyāmīti apagacchāmi, palāyāmīti attho.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ปณฺฑิโต มาณโว ปิตรํ อตฺตโน วจนํ คาหาเปตุํ อสโกฺกโนฺต มหเนฺตน สเทฺทน เทวตา อุชฺฌาเปตฺวา ‘‘เอวรูเปน ปาปการินา สทฺธิํ น คมิสฺสามี’’ติ ปิตุ ปสฺสนฺตเสฺสว ปลายิตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Evañca pana vatvā paṇḍito māṇavo pitaraṃ attano vacanaṃ gāhāpetuṃ asakkonto mahantena saddena devatā ujjhāpetvā ‘‘evarūpena pāpakārinā saddhiṃ na gamissāmī’’ti pitu passantasseva palāyitvā himavantaṃ pavisitvā pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā aparihīnajjhāno brahmaloke uppajji. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๘๔๔.

    844.

    ‘‘อิทํ วตฺวาน ปิตรํ, โสมทโตฺต พหุสฺสุโต;

    ‘‘Idaṃ vatvāna pitaraṃ, somadatto bahussuto;

    อุชฺฌาเปตฺวาน ภูตานิ, ตมฺหา ฐานา อปกฺกมี’’ติฯ

    Ujjhāpetvāna bhūtāni, tamhā ṭhānā apakkamī’’ti.

    เนสาทพฺราหฺมโณ ‘‘โสมทโตฺต ฐเปตฺวา อตฺตโน เคหํ กุหิํ คมิสฺสตี’’ติ จิเนฺตโนฺต อลมฺปายนํ โถกํ อนตฺตมนํ ทิสฺวา ‘‘อลมฺปายน , มา จินฺตยิ, ทเสฺสสฺสามิ เต ภูริทตฺต’’นฺติ ตํ อาทาย นาคราชสฺส อุโปสถกรณฎฺฐานํ คนฺตฺวา วมฺมิกมตฺถเก โภเค อาภุชิตฺวา นิปนฺนํ นาคราชานํ ทิสฺวา อวิทูเร ฐิโต หตฺถํ ปสาเรตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Nesādabrāhmaṇo ‘‘somadatto ṭhapetvā attano gehaṃ kuhiṃ gamissatī’’ti cintento alampāyanaṃ thokaṃ anattamanaṃ disvā ‘‘alampāyana , mā cintayi, dassessāmi te bhūridatta’’nti taṃ ādāya nāgarājassa uposathakaraṇaṭṭhānaṃ gantvā vammikamatthake bhoge ābhujitvā nipannaṃ nāgarājānaṃ disvā avidūre ṭhito hatthaṃ pasāretvā dve gāthā abhāsi –

    ๘๔๕.

    845.

    ‘‘คณฺหาเหตํ มหานาคํ, อาหเรตํ มณิํ มม;

    ‘‘Gaṇhāhetaṃ mahānāgaṃ, āharetaṃ maṇiṃ mama;

    อินฺทโคปกวณฺณาโภ, ยสฺส โลหิตโก สิโรฯ

    Indagopakavaṇṇābho, yassa lohitako siro.

    ๘๔๖.

    846.

    ‘‘กปฺปาสปิจุราสีว, เอโส กาโย ปทิสฺสติ;

    ‘‘Kappāsapicurāsīva, eso kāyo padissati;

    วมฺมิกคฺคคโต เสติ, ตํ ตฺวํ คณฺหาหิ พฺราหฺมณา’’ติฯ

    Vammikaggagato seti, taṃ tvaṃ gaṇhāhi brāhmaṇā’’ti.

    ตตฺถ อินฺทโคปกวณฺณาโภติ อินฺทโคปกวโณฺณ วิย อาภาสติฯ กปฺปาสปิจุราสีวาติ สุวิหิตสฺส กปฺปาสปิจุโน ราสิ วิยฯ

    Tattha indagopakavaṇṇābhoti indagopakavaṇṇo viya ābhāsati. Kappāsapicurāsīvāti suvihitassa kappāsapicuno rāsi viya.

    อถ มหาสโตฺต อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา เนสาทพฺราหฺมณํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อุโปสถสฺส เม อนฺตรายํ กเรยฺยาติ อิมํ นาคภวนํ เนตฺวา มหาสมฺปตฺติยา ปติฎฺฐาเปสิํฯ มยา ทียมานํ มณิํ คณฺหิตุํ น อิจฺฉิฯ อิทานิ ปน อหิตุณฺฑิกํ คเหตฺวา อาคจฺฉติฯ สจาหํ อิมสฺส มิตฺตทุพฺภิโน กุเชฺฌยฺยํ, สีลํ เม ขณฺฑํ ภวิสฺสติฯ มยา โข ปน ปฐมเญฺญว จตุรงฺคสมนฺนาคโต อุโปสโถ อธิฎฺฐิโต, โส ยถาธิฎฺฐิโตว โหตุ, อลมฺปายโน มํ ฉินฺทตุ วา ปจตุ วา, สูเลน วา วิชฺฌตุ, เนวสฺส กุชฺฌิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘สเจ โข ปนาหํ อิเม โอโลเกสฺสามิ, ภสฺมา ภเวยฺยุํฯ มํ โปเถเนฺตปิ น กุชฺฌิสฺสามิ น โอโลเกสฺสามี’’ติ อกฺขีนิ นิมีเลตฺวา อธิฎฺฐานปารมิํ ปุเรจาริกํ กตฺวา โภคนฺตเร สีสํ ปกฺขิปิตฺวา นิจฺจโลว หุตฺวา นิปชฺชิฯ เนสาทพฺราหฺมโณปิ ‘‘โภ อลมฺปายน, อิมํ นาคํ คณฺหาหิ, เทหิ เม มณิ’’นฺติ อาหฯ อลมฺปายโน นาคํ ทิสฺวา ตุโฎฺฐ มณิํ กิสฺมิญฺจิ อคเณตฺวา ‘‘คณฺห, พฺราหฺมณา’’ติ ตสฺส หเตฺถ ขิปิฯ โส ตสฺส หตฺถโต คฬิตฺวา ปถวิยํ ปติฯ ปติตมโตฺตว ปถวิํ ปวิสิตฺวา นาคภวนเมว คโตฯ

    Atha mahāsatto akkhīni ummīletvā nesādabrāhmaṇaṃ disvā ‘‘ayaṃ uposathassa me antarāyaṃ kareyyāti imaṃ nāgabhavanaṃ netvā mahāsampattiyā patiṭṭhāpesiṃ. Mayā dīyamānaṃ maṇiṃ gaṇhituṃ na icchi. Idāni pana ahituṇḍikaṃ gahetvā āgacchati. Sacāhaṃ imassa mittadubbhino kujjheyyaṃ, sīlaṃ me khaṇḍaṃ bhavissati. Mayā kho pana paṭhamaññeva caturaṅgasamannāgato uposatho adhiṭṭhito, so yathādhiṭṭhitova hotu, alampāyano maṃ chindatu vā pacatu vā, sūlena vā vijjhatu, nevassa kujjhissāmī’’ti cintetvā ‘‘sace kho panāhaṃ ime olokessāmi, bhasmā bhaveyyuṃ. Maṃ pothentepi na kujjhissāmi na olokessāmī’’ti akkhīni nimīletvā adhiṭṭhānapāramiṃ purecārikaṃ katvā bhogantare sīsaṃ pakkhipitvā niccalova hutvā nipajji. Nesādabrāhmaṇopi ‘‘bho alampāyana, imaṃ nāgaṃ gaṇhāhi, dehi me maṇi’’nti āha. Alampāyano nāgaṃ disvā tuṭṭho maṇiṃ kismiñci agaṇetvā ‘‘gaṇha, brāhmaṇā’’ti tassa hatthe khipi. So tassa hatthato gaḷitvā pathaviyaṃ pati. Patitamattova pathaviṃ pavisitvā nāgabhavanameva gato.

    พฺราหฺมโณ มณิรตนโต ภูริทเตฺตน สทฺธิํ มิตฺตภาวโต ปุตฺตโตติ ตีหิ ปริหายิฯ โส ‘‘นิปฺปจฺจโย ชาโตมฺหิ, ปุตฺตสฺส เม วจนํ น กต’’นฺติ ปริเทวโนฺต เคหํ อคมาสิฯ อลมฺปายโนปิ ทิโพฺพสเธหิ อตฺตโน สรีรํ มเกฺขตฺวา โถกํ ขาทิตฺวา อตฺตโน กายํ ปริโปฺผเสตฺวา ทิพฺพมนฺตํ ชปฺปโนฺต โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา อากฑฺฒิตฺวา สีสํ ทฬฺหํ คณฺหโนฺต มุขมสฺส วิวริตฺวา โอสธํ ขาทิตฺวา มุเข เขฬํ โอปิฯ สุจิชาติโก นาคราชา สีลเภทภเยน อกุชฺฌิตฺวา อกฺขีนิปิ น อุมฺมีเลสิฯ อถ นํ โอสธมนฺตํ กตฺวา นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา เหฎฺฐาสีสํ กตฺวา สญฺจาเลตฺวา คหิตโภชนํ ฉฑฺฑาเปตฺวา ภูมิยํ ทีฆโต นิปชฺชาเปตฺวา มสูรกํ มทฺทโนฺต วิย ปาเทหิ มทฺทิตฺวา อฎฺฐีนิ จุณฺณิยมานานิ วิย อเหสุํฯ ปุน นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา ทุสฺสํ โปเถโนฺต วิย โปเถสิฯ มหาสโตฺต เอวรูปํ ทุกฺขํ อนุภวโนฺตปิ เนว กุชฺฌิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Brāhmaṇo maṇiratanato bhūridattena saddhiṃ mittabhāvato puttatoti tīhi parihāyi. So ‘‘nippaccayo jātomhi, puttassa me vacanaṃ na kata’’nti paridevanto gehaṃ agamāsi. Alampāyanopi dibbosadhehi attano sarīraṃ makkhetvā thokaṃ khāditvā attano kāyaṃ paripphosetvā dibbamantaṃ jappanto bodhisattaṃ upasaṅkamitvā naṅguṭṭhe gahetvā ākaḍḍhitvā sīsaṃ daḷhaṃ gaṇhanto mukhamassa vivaritvā osadhaṃ khāditvā mukhe kheḷaṃ opi. Sucijātiko nāgarājā sīlabhedabhayena akujjhitvā akkhīnipi na ummīlesi. Atha naṃ osadhamantaṃ katvā naṅguṭṭhe gahetvā heṭṭhāsīsaṃ katvā sañcāletvā gahitabhojanaṃ chaḍḍāpetvā bhūmiyaṃ dīghato nipajjāpetvā masūrakaṃ maddanto viya pādehi madditvā aṭṭhīni cuṇṇiyamānāni viya ahesuṃ. Puna naṅguṭṭhe gahetvā dussaṃ pothento viya pothesi. Mahāsatto evarūpaṃ dukkhaṃ anubhavantopi neva kujjhi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๘๔๗.

    847.

    ‘‘อโถสเธหิ ทิเพฺพหิ, ชปฺปํ มนฺตปทานิ จ;

    ‘‘Athosadhehi dibbehi, jappaṃ mantapadāni ca;

    เอวํ ตํ อสกฺขิ สตฺถุํ, กตฺวา ปริตฺตมตฺตโน’’ติฯ

    Evaṃ taṃ asakkhi satthuṃ, katvā parittamattano’’ti.

    ตตฺถ อสกฺขีติ สกฺขิฯ สตฺถุนฺติ คณฺหิตุํฯ

    Tattha asakkhīti sakkhi. Satthunti gaṇhituṃ.

    อิติ โส มหาสตฺตํ ทุพฺพลํ กตฺวา วลฺลีหิ เปฬํ สเชฺชตฺวา มหาสตฺตํ ตตฺถ ปกฺขิปิ, สรีรสฺส มหนฺตตาย ตตฺถ น ปวิสติฯ อถ นํ ปณฺหิยา โกเฎฺฎโนฺต ปเวเสตฺวา เปฬํ อาทาย เอกํ คามํ คนฺตฺวา คามมเชฺฌ โอตาเรตฺวา ‘‘นาคสฺส นจฺจํ ทฎฺฐุกามา อาคจฺฉนฺตู’’ติ สทฺทมกาสิฯ สกลคามวาสิโน สนฺนิปติํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ อลมฺปายโน ‘‘นิกฺขม มหานาคา’’ติ อาหฯ มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อชฺช มยา ปริสํ โตเสเนฺตน กีฬิตุํ วฎฺฎติฯ เอวํ อลมฺปายโน พหุํ ธนํ ลภิตฺวา ตุโฎฺฐ มํ วิสฺสเชฺชสฺสติฯ ยํ ยํ เอส มํ กาเรติ, ตํ ตํ กริสฺสามี’’ติฯ อถ นํ โส เปฬโต นีหริตฺวา ‘‘มหา โหหี’’ติ อาหฯ โส มหา อโหสิ, ‘‘ขุทฺทโก, วโฎฺฎ, วมฺมิโต, เอกปฺผโณ, ทฺวิผโณ, ติปฺผโณ, จตุปฺผโณ, ปญฺจ, ฉ, สตฺต, อฎฺฐ, นว, ทส วีสติ, ติํสติ, จตฺตาลีส, ปณฺณาสปฺผโณ, สตปฺผโณ, อุโจฺจ, นีโจ, ทิสฺสมานกาโย, อทิสฺสมานกาโย, ทิสฺสมานอุปฑฺฒกาโย , นีโล, ปีโต, โลหิโต, โอทาโต, มญฺชฎฺฐิโก โหหิ, อคฺคิชาลํ วิสฺสเชฺชหิ, อุทกํ, ธูมํ วิสฺสเชฺชหี’’ติฯ มหาสโตฺต อิเมสุปิ อากาเรสุ วุตฺตวุเตฺต อตฺตภาเว นิมฺมินิตฺวา นจฺจํ ทเสฺสสิฯ ตํ ทิสฺวา โกจิ อสฺสูนิ สนฺธาเรตุํ นาสกฺขิฯ

    Iti so mahāsattaṃ dubbalaṃ katvā vallīhi peḷaṃ sajjetvā mahāsattaṃ tattha pakkhipi, sarīrassa mahantatāya tattha na pavisati. Atha naṃ paṇhiyā koṭṭento pavesetvā peḷaṃ ādāya ekaṃ gāmaṃ gantvā gāmamajjhe otāretvā ‘‘nāgassa naccaṃ daṭṭhukāmā āgacchantū’’ti saddamakāsi. Sakalagāmavāsino sannipatiṃsu. Tasmiṃ khaṇe alampāyano ‘‘nikkhama mahānāgā’’ti āha. Mahāsatto cintesi ‘‘ajja mayā parisaṃ tosentena kīḷituṃ vaṭṭati. Evaṃ alampāyano bahuṃ dhanaṃ labhitvā tuṭṭho maṃ vissajjessati. Yaṃ yaṃ esa maṃ kāreti, taṃ taṃ karissāmī’’ti. Atha naṃ so peḷato nīharitvā ‘‘mahā hohī’’ti āha. So mahā ahosi, ‘‘khuddako, vaṭṭo, vammito, ekapphaṇo, dviphaṇo, tipphaṇo, catupphaṇo, pañca, cha, satta, aṭṭha, nava, dasa vīsati, tiṃsati, cattālīsa, paṇṇāsapphaṇo, satapphaṇo, ucco, nīco, dissamānakāyo, adissamānakāyo, dissamānaupaḍḍhakāyo , nīlo, pīto, lohito, odāto, mañjaṭṭhiko hohi, aggijālaṃ vissajjehi, udakaṃ, dhūmaṃ vissajjehī’’ti. Mahāsatto imesupi ākāresu vuttavutte attabhāve nimminitvā naccaṃ dassesi. Taṃ disvā koci assūni sandhāretuṃ nāsakkhi.

    มนุสฺสา พหูนิ หิรญฺญสุวณฺณวตฺถาลงฺการาทีนิ อทํสุฯ อิติ ตสฺมิํ คาเม สหสฺสมตฺตํ ลภิฯ โส กิญฺจาปิ มหาสตฺตํ คณฺหโนฺต ‘‘สหสฺสํ ลภิตฺวา ตํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ อาห, ตํ ปน ธนํ ลภิตฺวา ‘‘คามเกปิ ตาว มยา เอตฺตกํ ธนํ ลทฺธํ, นคเร กิร พหุํ ลภิสฺสามี’’ติ ธนโลเภน ตํ น มุญฺจิฯ โส ตสฺมิํ คาเม กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา รตนมยํ เปฬํ กาเรตฺวา ตตฺถ มหาสตฺตํ ปกฺขิปิตฺวา สุขยานกํ อารุยฺห มหเนฺตน ปริวาเรน นิกฺขมิตฺวา ตํ คามนิคมาทีสุ กีฬาเปโนฺต อนุปุเพฺพน พาราณสิํ ปาปุณิฯ นาคราชสฺส ปน มธุลาเช เทติ, มณฺฑูเก มาเรตฺวา เทติ, โส โคจรํ น คณฺหาติ อวิสฺสชฺชนภเยนฯ โคจรํ อคฺคณฺหนฺตมฺปิ ปุน นํ จตฺตาโร ทฺวารคาเม อาทิํ กตฺวา ตตฺถ ตตฺถ มาสมตฺตํ กีฬาเปสิฯ ปนฺนรสอุโปสถทิวเส ปน ‘‘อชฺช ตุมฺหากํ สนฺติเก กีฬาเปสฺสามี’’ติ รโญฺญ อาโรจาเปสิฯ ราชา นคเร เภริํ จราเปตฺวา มหาชนํ สนฺนิปาตาเปสิฯ ราชงฺคเณ มญฺจาติมญฺจํ พนฺธิํสุฯ

    Manussā bahūni hiraññasuvaṇṇavatthālaṅkārādīni adaṃsu. Iti tasmiṃ gāme sahassamattaṃ labhi. So kiñcāpi mahāsattaṃ gaṇhanto ‘‘sahassaṃ labhitvā taṃ vissajjessāmī’’ti āha, taṃ pana dhanaṃ labhitvā ‘‘gāmakepi tāva mayā ettakaṃ dhanaṃ laddhaṃ, nagare kira bahuṃ labhissāmī’’ti dhanalobhena taṃ na muñci. So tasmiṃ gāme kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā ratanamayaṃ peḷaṃ kāretvā tattha mahāsattaṃ pakkhipitvā sukhayānakaṃ āruyha mahantena parivārena nikkhamitvā taṃ gāmanigamādīsu kīḷāpento anupubbena bārāṇasiṃ pāpuṇi. Nāgarājassa pana madhulāje deti, maṇḍūke māretvā deti, so gocaraṃ na gaṇhāti avissajjanabhayena. Gocaraṃ aggaṇhantampi puna naṃ cattāro dvāragāme ādiṃ katvā tattha tattha māsamattaṃ kīḷāpesi. Pannarasauposathadivase pana ‘‘ajja tumhākaṃ santike kīḷāpessāmī’’ti rañño ārocāpesi. Rājā nagare bheriṃ carāpetvā mahājanaṃ sannipātāpesi. Rājaṅgaṇe mañcātimañcaṃ bandhiṃsu.

    กีฬนขณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Kīḷanakhaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    นครปเวสนกณฺฑํ

    Nagarapavesanakaṇḍaṃ

    อลมฺปายเนน ปน โพธิสตฺตสฺส คหิตทิวเสเยว มหาสตฺตสฺส มาตา สุปินเนฺต อทฺทส กาเฬน รตฺตกฺขินา ปุริเสน อสินา ทกฺขิณพาหุํ ฉินฺทิตฺวา โลหิเตน ปคฺฆรเนฺตน นียมานํฯ สา ภีตตสิตา อุฎฺฐาย ทกฺขิณพาหุํ ปรามสิตฺวา สุปินภาวํ ชานิฯ อถสฺสา เอตทโหสิ ‘‘มยา กกฺขโฬ ปาปสุปิโน ทิโฎฺฐ, จตุนฺนํ วา เม ปุตฺตานํ ธตรฎฺฐสฺส รโญฺญ วา มม วา ปริปเนฺถน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ อปิจ โข ปน มหาสตฺตเมว อารพฺภ อติเรกตรํ จิเนฺตสิฯ กิํการณา ? เสสา อตฺตโน นาคภวเน วสนฺติ, อิตโร ปน สีลชฺฌาสยตฺตา มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา อุโปสถกมฺมํ กโรติฯ ตสฺมา ‘‘กจฺจิ นุ โข เม ปุตฺตํ อหิตุณฺฑิโก วา สุปโณฺณ วา คเณฺหยฺยา’’ติ ตเสฺสว อติเรกตรํ จิเนฺตสิ ฯ ตโต อฑฺฒมาเส อติกฺกเนฺต ‘‘มม ปุโตฺต อฑฺฒมาสาติกฺกเมน มํ วินา วตฺติตุํ น สโกฺกติ, อทฺธาสฺส กิญฺจิ ภยํ อุปฺปนฺนํ ภวิสฺสตี’’ติ โทมนสฺสปฺปตฺตา อโหสิฯ มาสาติกฺกเมน ปนสฺสา โสเกน อสฺสูนํ อปคฺฆรณกาโล นาม นาโหสิ, หทยํ สุสฺสิ, อกฺขีนิ อุปจฺจิํสุฯ สา ‘‘อิทานิ อาคมิสฺสติ, อิทานิ อาคมิสฺสตี’’ติ ตสฺสาคมนมคฺคเมว โอโลเกนฺตี นิสีทิฯ อถสฺสา เชฎฺฐปุโตฺต สุทสฺสโน มาสจฺจเยน มหติยา ปริสาย สทฺธิํ มาตาปิตูนํ ทสฺสนตฺถาย อาคโต, ปริสํ พหิ ฐเปตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห มาตรํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ สา ภูริทตฺตํ อนุโสจนฺตี เตน สทฺธิํ น กิญฺจิ สลฺลปิฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ มาตา มยิ ปุเพฺพ อาคเต ตุสฺสติ, ปฎิสนฺถารํ กโรติ, อชฺช ปน โทมนสฺสปฺปตฺตา, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ? อถ นํ ปุจฺฉโนฺต อาห –

    Alampāyanena pana bodhisattassa gahitadivaseyeva mahāsattassa mātā supinante addasa kāḷena rattakkhinā purisena asinā dakkhiṇabāhuṃ chinditvā lohitena paggharantena nīyamānaṃ. Sā bhītatasitā uṭṭhāya dakkhiṇabāhuṃ parāmasitvā supinabhāvaṃ jāni. Athassā etadahosi ‘‘mayā kakkhaḷo pāpasupino diṭṭho, catunnaṃ vā me puttānaṃ dhataraṭṭhassa rañño vā mama vā paripanthena bhavitabba’’nti. Apica kho pana mahāsattameva ārabbha atirekataraṃ cintesi. Kiṃkāraṇā ? Sesā attano nāgabhavane vasanti, itaro pana sīlajjhāsayattā manussalokaṃ gantvā uposathakammaṃ karoti. Tasmā ‘‘kacci nu kho me puttaṃ ahituṇḍiko vā supaṇṇo vā gaṇheyyā’’ti tasseva atirekataraṃ cintesi . Tato aḍḍhamāse atikkante ‘‘mama putto aḍḍhamāsātikkamena maṃ vinā vattituṃ na sakkoti, addhāssa kiñci bhayaṃ uppannaṃ bhavissatī’’ti domanassappattā ahosi. Māsātikkamena panassā sokena assūnaṃ apaggharaṇakālo nāma nāhosi, hadayaṃ sussi, akkhīni upacciṃsu. Sā ‘‘idāni āgamissati, idāni āgamissatī’’ti tassāgamanamaggameva olokentī nisīdi. Athassā jeṭṭhaputto sudassano māsaccayena mahatiyā parisāya saddhiṃ mātāpitūnaṃ dassanatthāya āgato, parisaṃ bahi ṭhapetvā pāsādaṃ āruyha mātaraṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Sā bhūridattaṃ anusocantī tena saddhiṃ na kiñci sallapi. So cintesi ‘‘mayhaṃ mātā mayi pubbe āgate tussati, paṭisanthāraṃ karoti, ajja pana domanassappattā, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti? Atha naṃ pucchanto āha –

    ๘๔๘.

    848.

    ‘‘มมํ ทิสฺวาน อายนฺตํ, สพฺพกามสมิทฺธินํ;

    ‘‘Mamaṃ disvāna āyantaṃ, sabbakāmasamiddhinaṃ;

    อินฺทฺริยานิ อหฎฺฐานิ, สาวํ ชาตํ มุขํ ตวฯ

    Indriyāni ahaṭṭhāni, sāvaṃ jātaṃ mukhaṃ tava.

    ๘๔๙.

    849.

    ‘‘ปทฺธํ ยถา หตฺถคตํ, ปาณินา ปริมทฺทิตํ;

    ‘‘Paddhaṃ yathā hatthagataṃ, pāṇinā parimadditaṃ;

    สาวํ ชาตํ มุขํ ตุยฺหํ, มมํ ทิสฺวาน เอทิส’’นฺติฯ

    Sāvaṃ jātaṃ mukhaṃ tuyhaṃ, mamaṃ disvāna edisa’’nti.

    ตตฺถ อหฎฺฐานีติ น วิปฺปสนฺนานิฯ สาวนฺติ กญฺจนาทาสวณฺณํ เต มุขํ ปีตกาฬกํ ชาตํฯ หตฺถคตนฺติ หเตฺถน ฉินฺทิตํฯ เอทิสนฺติ เอวรูปํ มหเนฺตน สิริโสภเคฺคน ตุมฺหากํ ทสฺสนตฺถาย อาคตํ มํ ทิสฺวาฯ

    Tattha ahaṭṭhānīti na vippasannāni. Sāvanti kañcanādāsavaṇṇaṃ te mukhaṃ pītakāḷakaṃ jātaṃ. Hatthagatanti hatthena chinditaṃ. Edisanti evarūpaṃ mahantena sirisobhaggena tumhākaṃ dassanatthāya āgataṃ maṃ disvā.

    สา เอวํ วุเตฺตปิ เนว กเถสิฯ สุทสฺสโน จิเนฺตสิ ‘‘กิํ นุ โข เกนจิ กุทฺธา วา ปริพทฺธา วา ภเวยฺยา’’ติฯ อถ นํ ปุจฺฉโนฺต อิตรํ คาถมาห –

    Sā evaṃ vuttepi neva kathesi. Sudassano cintesi ‘‘kiṃ nu kho kenaci kuddhā vā paribaddhā vā bhaveyyā’’ti. Atha naṃ pucchanto itaraṃ gāthamāha –

    ๘๕๐.

    850.

    ‘‘กจฺจิ นุ เต นาภิสสิ, กจฺจิ เต อตฺถิ เวทนา;

    ‘‘Kacci nu te nābhisasi, kacci te atthi vedanā;

    เยน สาวํ มุขํ ตุยฺหํ, มมํ ทิสฺวาน อาคต’’นฺติฯ

    Yena sāvaṃ mukhaṃ tuyhaṃ, mamaṃ disvāna āgata’’nti.

    ตตฺถ กจฺจิ นุ เต นาภิสสีติ กจฺจิ นุ ตํ โกจิ น อภิสสิ อโกฺกเสน วา ปริภาสาย วา วิหิํสีติ ปุจฺฉติฯ ตุยฺหนฺติ ตว ปุเพฺพ มมํ ทิสฺวา อาคตํ เอทิสํ มุขํ น โหติฯ เยน ปน การเณน อชฺช ตว มุขํ สาวํ ชาตํ, ตํ เม อาจิกฺขาติ ปุจฺฉติฯ

    Tattha kacci nu te nābhisasīti kacci nu taṃ koci na abhisasi akkosena vā paribhāsāya vā vihiṃsīti pucchati. Tuyhanti tava pubbe mamaṃ disvā āgataṃ edisaṃ mukhaṃ na hoti. Yena pana kāraṇena ajja tava mukhaṃ sāvaṃ jātaṃ, taṃ me ācikkhāti pucchati.

    อถสฺส สา อาจิกฺขนฺตี อาห –

    Athassa sā ācikkhantī āha –

    ๘๕๑.

    851.

    ‘‘สุปินํ ตาต อทฺทกฺขิํ, อิโต มาสํ อโธคตํ;

    ‘‘Supinaṃ tāta addakkhiṃ, ito māsaṃ adhogataṃ;

    ‘ทกฺขิณํ วิย เม พาหุํ, เฉตฺวา รุหิรมกฺขิตํ;

    ‘Dakkhiṇaṃ viya me bāhuṃ, chetvā ruhiramakkhitaṃ;

    ปุริโส อาทาย ปกฺกามิ, มม โรทนฺติยา สติ’ฯ

    Puriso ādāya pakkāmi, mama rodantiyā sati’.

    ๘๕๒.

    852.

    ‘‘ยโตหํ สุปินมทฺทกฺขิํ, สุทสฺสน วิชานหิ;

    ‘‘Yatohaṃ supinamaddakkhiṃ, sudassana vijānahi;

    ตโต ทิวา วา รตฺติํ วา, สุขํ เม โนปลพฺภตี’’ติฯ

    Tato divā vā rattiṃ vā, sukhaṃ me nopalabbhatī’’ti.

    ตตฺถ อิโต มาสํ อโธคตนฺติ อิโต เหฎฺฐา มาสาติกฺกนฺตํฯ อชฺช เม ทิฎฺฐสุปินสฺส มาโส โหตีติ ทเสฺสติฯ ปุริโสติ เอโก กาโฬ รตฺตกฺขิ ปุริโสฯ โรทนฺติยา สตีติ โรทมานาย สติยาฯ สุขํ เม โนปลพฺภตีติ มม สุขํ นาม น วิชฺชติฯ

    Tattha ito māsaṃ adhogatanti ito heṭṭhā māsātikkantaṃ. Ajja me diṭṭhasupinassa māso hotīti dasseti. Purisoti eko kāḷo rattakkhi puriso. Rodantiyā satīti rodamānāya satiyā. Sukhaṃ me nopalabbhatīti mama sukhaṃ nāma na vijjati.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘ตาต, ปิยปุตฺตโก เม ตว กนิโฎฺฐ น ทิสฺสติ, ภเยนสฺส อุปฺปเนฺนน ภวิตพฺพ’’นฺติ ปริเทวนฺตี อาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘tāta, piyaputtako me tava kaniṭṭho na dissati, bhayenassa uppannena bhavitabba’’nti paridevantī āha –

    ๘๕๓.

    853.

    ‘‘ยํ ปุเพฺพ ปริวาริํสุ, กญฺญา รุจิรวิคฺคหา;

    ‘‘Yaṃ pubbe parivāriṃsu, kaññā ruciraviggahā;

    เหมชาลปฺปฎิจฺฉนฺนา, ภูริทโตฺต น ทิสฺสติฯ

    Hemajālappaṭicchannā, bhūridatto na dissati.

    ๘๕๔.

    854.

    ‘‘ยํ ปุเพฺพ ปริวาริํสุ, เนตฺติํสวรธาริโน;

    ‘‘Yaṃ pubbe parivāriṃsu, nettiṃsavaradhārino;

    กณิการาว สมฺผุลฺลา, ภูริทโตฺต น ทิสฺสติฯ

    Kaṇikārāva samphullā, bhūridatto na dissati.

    ๘๕๕.

    855.

    ‘‘หนฺท ทานิ คมิสฺสาม, ภูริทตฺตนิเวสนํ;

    ‘‘Handa dāni gamissāma, bhūridattanivesanaṃ;

    ธมฺมฎฺฐํ สีลสมฺปนฺนํ, ปสฺสาม ตว ภาตร’’นฺติฯ

    Dhammaṭṭhaṃ sīlasampannaṃ, passāma tava bhātara’’nti.

    ตตฺถ สมฺผุลฺลาติ สุวณฺณวตฺถาลงฺการธาริตาย สมฺผุลฺลา กณิการา วิยฯ หนฺทาติ ววสฺสคฺคเตฺถ นิปาโต, เอหิ, ตาต, ภูริทตฺตสฺส นิเวสนํ คจฺฉามาติ วทติฯ

    Tattha samphullāti suvaṇṇavatthālaṅkāradhāritāya samphullā kaṇikārā viya. Handāti vavassaggatthe nipāto, ehi, tāta, bhūridattassa nivesanaṃ gacchāmāti vadati.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ตสฺส เจว อตฺตโน จ ปริสาย สทฺธิํ ตตฺถ อคมาสิฯ ภูริทตฺตสฺส ภริยาโย ปน ตํ วมฺมิกมตฺถเก อทิสฺวา ‘‘มาตุ นิเวสเน วสิสฺสตี’’ติ อพฺยาวฎา อเหสุํฯ ตา ‘‘สสฺสุ กิร โน ปุตฺตํ อปสฺสนฺตี อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ‘‘อเยฺย, ปุตฺตสฺส เต อทิสฺสมานสฺส อชฺช มาโส อตีโต’’ติ มหาปริเทวํ ปริเทวมานา ตสฺสา ปาทมูเล ปติํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Evañca pana vatvā tassa ceva attano ca parisāya saddhiṃ tattha agamāsi. Bhūridattassa bhariyāyo pana taṃ vammikamatthake adisvā ‘‘mātu nivesane vasissatī’’ti abyāvaṭā ahesuṃ. Tā ‘‘sassu kira no puttaṃ apassantī āgacchatī’’ti sutvā paccuggamanaṃ katvā ‘‘ayye, puttassa te adissamānassa ajja māso atīto’’ti mahāparidevaṃ paridevamānā tassā pādamūle patiṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๘๕๖.

    856.

    ‘‘ตญฺจ ทิสฺวาน อายนฺติํ, ภูริทตฺตสฺส มาตรํ;

    ‘‘Tañca disvāna āyantiṃ, bhūridattassa mātaraṃ;

    พาหา ปคฺคยฺห ปกฺกนฺทุํ, ภูริทตฺตสฺส นาริโยฯ

    Bāhā paggayha pakkanduṃ, bhūridattassa nāriyo.

    ๘๕๗.

    857.

    ‘‘ปุตฺตํ เตเยฺย น ชานาม, อิโต มาสํ อโธคตํ;

    ‘‘Puttaṃ teyye na jānāma, ito māsaṃ adhogataṃ;

    มตํ วา ยทิ วา ชีวํ, ภูริทตฺตํ ยสสฺสิน’’นฺติฯ

    Mataṃ vā yadi vā jīvaṃ, bhūridattaṃ yasassina’’nti.

    ตตฺถ ‘‘ปุตฺตํ เตเยฺย’’ติ อยํ ตาสํ ปริเทวนกถาฯ

    Tattha ‘‘puttaṃ teyye’’ti ayaṃ tāsaṃ paridevanakathā.

    ภูริทตฺตสฺส มาตา สุณฺหาหิ สทฺธิํ อนฺตรวีถิยํ ปริเทวิตฺวา ตา อาทาย ตสฺส ปาสาทํ อารุยฺห ปุตฺตสฺส สยนญฺจ อาสนญฺจ โอโลเกตฺวา ปริเทวมานา อาห –

    Bhūridattassa mātā suṇhāhi saddhiṃ antaravīthiyaṃ paridevitvā tā ādāya tassa pāsādaṃ āruyha puttassa sayanañca āsanañca oloketvā paridevamānā āha –

    ๘๕๘.

    858.

    ‘‘สกุณี หตปุตฺตาว, สุญฺญํ ทิสฺวา กุลาวกํ;

    ‘‘Sakuṇī hataputtāva, suññaṃ disvā kulāvakaṃ;

    จิรํ ทุเกฺขน ฌายิสฺสํ, ภูริทตฺตํ อปสฺสตีฯ

    Ciraṃ dukkhena jhāyissaṃ, bhūridattaṃ apassatī.

    ๘๕๙.

    859.

    ‘‘กุรรี หตฉาปาว, สุญฺญํ ทิสฺวา กุลาวกํ;

    ‘‘Kurarī hatachāpāva, suññaṃ disvā kulāvakaṃ;

    จิรํ ทุเกฺขน ฌายิสฺสํ, ภูริทตฺตํ อปสฺสตีฯ

    Ciraṃ dukkhena jhāyissaṃ, bhūridattaṃ apassatī.

    ๘๖๐.

    860.

    ‘‘สา นูน จกฺกวากีว, ปลฺลลสฺมิํ อโนทเก;

    ‘‘Sā nūna cakkavākīva, pallalasmiṃ anodake;

    จิรํ ทุเกฺขน ฌายิสฺสํ, ภูริทตฺตํ อปสฺสตีฯ

    Ciraṃ dukkhena jhāyissaṃ, bhūridattaṃ apassatī.

    ๘๖๑.

    861.

    ‘‘กมฺมารานํ ยถา อุกฺกา, อโนฺต ฌายติ โน พหิ;

    ‘‘Kammārānaṃ yathā ukkā, anto jhāyati no bahi;

    เอวํ ฌายามิ โสเกน, ภูริทตฺตํ อปสฺสตี’’ติฯ

    Evaṃ jhāyāmi sokena, bhūridattaṃ apassatī’’ti.

    ตตฺถ อปสฺสตีติ อปสฺสนฺตีฯ หตฉาปาวาติ หตโปตกาวฯ

    Tattha apassatīti apassantī. Hatachāpāvāti hatapotakāva.

    เอวํ ภูริทตฺตมาตริ วิลปมานาย ภูริทตฺตนิเวสนํ อณฺณวกุจฺฉิ วิย เอกสทฺทํ อโหสิฯ เอโกปิ สกภาเวน สณฺฐาตุํ นาสกฺขิฯ สกลนิเวสนํ ยุคนฺธรวาตปฺปหฎํ วิย สาลวนํ อโหสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Evaṃ bhūridattamātari vilapamānāya bhūridattanivesanaṃ aṇṇavakucchi viya ekasaddaṃ ahosi. Ekopi sakabhāvena saṇṭhātuṃ nāsakkhi. Sakalanivesanaṃ yugandharavātappahaṭaṃ viya sālavanaṃ ahosi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๘๖๒.

    862.

    ‘‘สาลาว สมฺปมถิตา, มาลุเตน ปมทฺทิตา;

    ‘‘Sālāva sampamathitā, mālutena pamadditā;

    เสนฺติ ปุตฺตา จ ทารา จ, ภูริทตฺตนิเวสเน’’ติฯ

    Senti puttā ca dārā ca, bhūridattanivesane’’ti.

    อริโฎฺฐ จ สุโภโค จ อุโภปิ ภาตโร มาตาปิตูนํ อุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺตา ตํ สทฺทํ สุตฺวา ภูริทตฺตนิเวสนํ ปวิสิตฺวา มาตรํ อสฺสาสยิํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Ariṭṭho ca subhogo ca ubhopi bhātaro mātāpitūnaṃ upaṭṭhānaṃ gacchantā taṃ saddaṃ sutvā bhūridattanivesanaṃ pavisitvā mātaraṃ assāsayiṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๘๖๓.

    863.

    ‘‘อิทํ สุตฺวาน นิโคฺฆสํ, ภูริทตฺตนิเวสเน;

    ‘‘Idaṃ sutvāna nigghosaṃ, bhūridattanivesane;

    อริโฎฺฐ จ สุโภโค จ, ปธาวิํสุ อนนฺตราฯ

    Ariṭṭho ca subhogo ca, padhāviṃsu anantarā.

    ๘๖๔.

    864.

    ‘‘อมฺม อสฺสาส มา โสจิ, เอวํธมฺมา หิ ปาณิโน;

    ‘‘Amma assāsa mā soci, evaṃdhammā hi pāṇino;

    จวนฺติ อุปปชฺชนฺติ, เอสาสฺส ปริณามิตา’’ติฯ

    Cavanti upapajjanti, esāssa pariṇāmitā’’ti.

    ตตฺถ เอสาสฺส ปริณามิตาติ เอสา จุตูปปตฺติ อสฺส โลกสฺส ปริณามิตา, เอวญฺหิ โส โลโก ปริณาเมติฯ เอเตหิ ทฺวีหิ อเงฺคหิ มุโตฺต นาม นตฺถีติ วทนฺติฯ

    Tattha esāssa pariṇāmitāti esā cutūpapatti assa lokassa pariṇāmitā, evañhi so loko pariṇāmeti. Etehi dvīhi aṅgehi mutto nāma natthīti vadanti.

    สมุทฺทชา อาห –

    Samuddajā āha –

    ๘๖๕.

    865.

    ‘‘อหมฺปิ ตาต ชานามิ, เอวํธมฺมา หิ ปาณิโน;

    ‘‘Ahampi tāta jānāmi, evaṃdhammā hi pāṇino;

    โสเกน จ ปเรตสฺมิ, ภูริทตฺตํ อปสฺสตีฯ

    Sokena ca paretasmi, bhūridattaṃ apassatī.

    ๘๖๖.

    866.

    ‘‘อชฺช เจ เม อิมํ รตฺติํ, สุทสฺสน วิชานหิ;

    ‘‘Ajja ce me imaṃ rattiṃ, sudassana vijānahi;

    ภูริทตฺตํ อปสฺสนฺตี, มเญฺญ หิสฺสามิ ชีวิต’’นฺติฯ

    Bhūridattaṃ apassantī, maññe hissāmi jīvita’’nti.

    ตตฺถ อชฺช เจ เมติ ตาต สุทสฺสน, สเจ อชฺช อิมํ รตฺติํ ภูริทโตฺต มม ทสฺสนํ นาคมิสฺสติ, อถาหํ ตํ อปสฺสนฺตี ชีวิตํ ชหิสฺสามีติ มญฺญามิฯ

    Tattha ajja ce meti tāta sudassana, sace ajja imaṃ rattiṃ bhūridatto mama dassanaṃ nāgamissati, athāhaṃ taṃ apassantī jīvitaṃ jahissāmīti maññāmi.

    ปุตฺตา อาหํสุ –

    Puttā āhaṃsu –

    ๘๖๗.

    867.

    ‘‘อมฺม อสฺสาส มา โสจิ, อานยิสฺสาม ภาตรํ;

    ‘‘Amma assāsa mā soci, ānayissāma bhātaraṃ;

    ทิโสทิสํ คมิสฺสาม, ภาตุปริเยสนํ จรํฯ

    Disodisaṃ gamissāma, bhātupariyesanaṃ caraṃ.

    ๘๖๘.

    868.

    ‘‘ปพฺพเต คิริทุเคฺคสุ, คาเมสุ นิคเมสุ จ;

    ‘‘Pabbate giriduggesu, gāmesu nigamesu ca;

    โอเรน สตฺตรตฺตสฺส, ภาตรํ ปสฺส อาคต’’นฺติฯ

    Orena sattarattassa, bhātaraṃ passa āgata’’nti.

    ตตฺถ จรนฺติ อมฺม, มยํ ตโยปิ ชนา ภาตุปริเยสนํ จรนฺตา ทิโสทิสํ คมิสฺสามาติ นํ อสฺสาเสสุํฯ

    Tattha caranti amma, mayaṃ tayopi janā bhātupariyesanaṃ carantā disodisaṃ gamissāmāti naṃ assāsesuṃ.

    ตโต สุทสฺสโน จิเนฺตสิ ‘‘สเจ ตโยปิ เอกํ ทิสํ คมิสฺสาม, ปปโญฺจ ภวิสฺสติ, ตีหิ ตีณิ ฐานานิ คนฺตุํ วฎฺฎติ – เอเกน เทวโลกํ, เอเกน หิมวนฺตํ, เอเกน มนุสฺสโลกํฯ สเจ โข ปน กาณาริโฎฺฐ มนุสฺสโลกํ คมิสฺสติ, ยเตฺถว ภูริทตฺตํ ปสฺสติฯ ตํ คามํ วา นิคมํ วา ฌาเปตฺวา เอสฺสติ, เอส กกฺขโฬ ผรุโส, น สกฺกา เอตํ ตตฺถ เปเสตุ’’นฺติฯ จิเนฺตตฺวา จ ปน ‘‘ตาต อริฎฺฐ, ตฺวํ เทวโลกํ คจฺฉ, สเจ เทวตาหิ ธมฺมํ โสตุกามาหิ ภูริทโตฺต เทวโลกํ นีโต, ตโต นํ อาเนหี’’ติ อริฎฺฐํ เทวโลกํ ปหิณิฯ สุโภคํ ปน ‘‘ตาต, ตฺวํ หิมวนฺตํ คนฺตฺวา ปญฺจสุ มหานทีสุ ภูริทตฺตํ อุปธาเรตฺวา เอหี’’ติ หิมวนฺตํ ปหิณิฯ สยํ ปน มนุสฺสโลกํ คนฺตุกาโม จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ มาณวกวเณฺณน คมิสฺสามิ, มนุสฺสา เนว เม ปิยายิสฺสนฺติ, มยา ตาปสเวเสน คนฺตุํ วฎฺฎติ, มนุสฺสานญฺหิ ปพฺพชิตา ปิยา มนาปา’’ติฯ โส ตาปสเวสํ คเหตฺวา มาตรํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิฯ

    Tato sudassano cintesi ‘‘sace tayopi ekaṃ disaṃ gamissāma, papañco bhavissati, tīhi tīṇi ṭhānāni gantuṃ vaṭṭati – ekena devalokaṃ, ekena himavantaṃ, ekena manussalokaṃ. Sace kho pana kāṇāriṭṭho manussalokaṃ gamissati, yattheva bhūridattaṃ passati. Taṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā jhāpetvā essati, esa kakkhaḷo pharuso, na sakkā etaṃ tattha pesetu’’nti. Cintetvā ca pana ‘‘tāta ariṭṭha, tvaṃ devalokaṃ gaccha, sace devatāhi dhammaṃ sotukāmāhi bhūridatto devalokaṃ nīto, tato naṃ ānehī’’ti ariṭṭhaṃ devalokaṃ pahiṇi. Subhogaṃ pana ‘‘tāta, tvaṃ himavantaṃ gantvā pañcasu mahānadīsu bhūridattaṃ upadhāretvā ehī’’ti himavantaṃ pahiṇi. Sayaṃ pana manussalokaṃ gantukāmo cintesi – ‘‘sacāhaṃ māṇavakavaṇṇena gamissāmi, manussā neva me piyāyissanti, mayā tāpasavesena gantuṃ vaṭṭati, manussānañhi pabbajitā piyā manāpā’’ti. So tāpasavesaṃ gahetvā mātaraṃ vanditvā nikkhami.

    โพธิสตฺตสฺส ปน อชมุขี นาม เวมาติกภคินี อตฺถิฯ ตสฺสา โพธิสเตฺต อธิมโตฺต สิเนโหฯ สา สุทสฺสนํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อาห – ‘‘ภาติก , อติวิย กิลมามิ, อหมฺปิ ตยา สทฺธิํ คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อมฺม, น สกฺกา ตยา คนฺตุํ, อหํ ปพฺพชิตวเสน คจฺฉามี’’ติฯ ‘‘อหํ ปน ขุทฺทกมณฺฑูกี หุตฺวา ตว ชฎนฺตเร นิปชฺชิตฺวา คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ เอหี’’ติฯ สา มณฺฑูกโปติกา หุตฺวา ตสฺส ชฎนฺตเร นิปชฺชิฯ สุทสฺสโน ‘‘มูลโต ปฎฺฐาย วิจินโนฺต คมิสฺสามี’’ติ โพธิสตฺตสฺส ภริยาโย ตสฺส อุโปสถกรณฎฺฐานํ ปุจฺฉิตฺวา ปฐมํ ตตฺถ คนฺตฺวา อลมฺปายเนน มหาสตฺตสฺส คหิตฎฺฐาเน โลหิตญฺจ วลฺลีหิ กตเปฬฎฺฐานญฺจ ทิสฺวา ‘‘ภูริทโตฺต อหิตุณฺฑิเกน คหิโต’’ติ ญตฺวา สมุปฺปนฺนโสโก อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ อลมฺปายนสฺส คตมเคฺคเนว ปฐมํ กีฬาปิตคามํ คนฺตฺวา มนเสฺส ปุจฺฉิ ‘‘เอวรูโป นาม นาโค เกนจีธ อหิตุณฺฑิเกน กีฬาปิโต’’ติ? ‘‘อาม, อลมฺปายเนน อิโต มาสมตฺถเก กีฬาปิโต’’ติฯ ‘‘กิญฺจิ ธนํ เตน ลทฺธ’’นฺติ? ‘‘อาม, อิเธว เตน สหสฺสมตฺตํ ลทฺธ’’นฺติฯ ‘‘อิทานิ โส กุหิํ คโต’’ติ? ‘‘อสุกคามํ นามา’’ติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ปุจฺฉโนฺต อนุปุเพฺพน ราชทฺวารํ อคมาสิฯ

    Bodhisattassa pana ajamukhī nāma vemātikabhaginī atthi. Tassā bodhisatte adhimatto sineho. Sā sudassanaṃ gacchantaṃ disvā āha – ‘‘bhātika , ativiya kilamāmi, ahampi tayā saddhiṃ gamissāmī’’ti. ‘‘Amma, na sakkā tayā gantuṃ, ahaṃ pabbajitavasena gacchāmī’’ti. ‘‘Ahaṃ pana khuddakamaṇḍūkī hutvā tava jaṭantare nipajjitvā gamissāmī’’ti. ‘‘Tena hi ehī’’ti. Sā maṇḍūkapotikā hutvā tassa jaṭantare nipajji. Sudassano ‘‘mūlato paṭṭhāya vicinanto gamissāmī’’ti bodhisattassa bhariyāyo tassa uposathakaraṇaṭṭhānaṃ pucchitvā paṭhamaṃ tattha gantvā alampāyanena mahāsattassa gahitaṭṭhāne lohitañca vallīhi katapeḷaṭṭhānañca disvā ‘‘bhūridatto ahituṇḍikena gahito’’ti ñatvā samuppannasoko assupuṇṇehi nettehi alampāyanassa gatamaggeneva paṭhamaṃ kīḷāpitagāmaṃ gantvā manasse pucchi ‘‘evarūpo nāma nāgo kenacīdha ahituṇḍikena kīḷāpito’’ti? ‘‘Āma, alampāyanena ito māsamatthake kīḷāpito’’ti. ‘‘Kiñci dhanaṃ tena laddha’’nti? ‘‘Āma, idheva tena sahassamattaṃ laddha’’nti. ‘‘Idāni so kuhiṃ gato’’ti? ‘‘Asukagāmaṃ nāmā’’ti. So tato paṭṭhāya pucchanto anupubbena rājadvāraṃ agamāsi.

    ตสฺมิํ ขเณ อลมฺปายโน สุนฺหาโต สุวิลิโตฺต มฎฺฐสาฎกํ นิวาเสตฺวา รตนเปฬํ คาหาเปตฺวา ราชทฺวารเมว คโตฯ มหาชโน สนฺนิปติ, รโญฺญ อาสนํ ปญฺญตฺตํฯ โส อโนฺตนิเวสเน ฐิโตว ‘‘อหํ อาคจฺฉามิ, นาคราชานํ กีฬาเปตู’’ติ เปเสสิฯ อลมฺปายโน จิตฺตตฺถรเณ รตนเปฬํ ฐเปตฺวา วิวริตฺวา ‘‘เอหิ มหานาคา’’ติ สญฺญมทาสิฯ ตสฺมิํ สมเย สุทสฺสโนปิ ปริสนฺตเร ฐาโตฯ อถ มหาสโตฺต สีสํ นีหริตฺวา สพฺพาวนฺตํ ปริสํ โอโลเกสิฯ นาคา หิ ทฺวีหิ การเณหิ ปริสํ โอโลเกนฺติ สุปณฺณปริปนฺถํ วา ญาตเก วา ทสฺสนตฺถายฯ เต สุปณฺณํ ทิสฺวา ภีตา น นจฺจนฺติ, ญาตเก วา ทิสฺวา ลชฺชมานา น นจฺจนฺติฯ มหาสโตฺต ปน โอโลเกโนฺต ปริสนฺตเร ภาตรํ อทฺทสฯ โส อกฺขิปูรานิ อสฺสูนิ คเหตฺวา เปฬโต นิกฺขมิตฺวา ภาตราภิมุโข ปายาสิฯ มหาชโน ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ภีโต ปฎิกฺกมิ, เอโก สุทสฺสโนว อฎฺฐาสิฯ โส คนฺตฺวา ตสฺส ปาทปิฎฺฐิยํ สีสํ ฐเปตฺวา โรทิ, สุทสฺสโนปิ ปริเทวิฯ มหาสโตฺต โรทิตฺวา นิวตฺติตฺวา เปฬเมว ปาวิสิฯ อลมฺปายโนปิ ‘‘อิมินา นาเคน ตาปโส ฑโฎฺฐ ภวิสฺสติ, อสฺสาเสสฺสามิ น’’นฺติ อุปสงฺกมิตฺวา อาห –

    Tasmiṃ khaṇe alampāyano sunhāto suvilitto maṭṭhasāṭakaṃ nivāsetvā ratanapeḷaṃ gāhāpetvā rājadvārameva gato. Mahājano sannipati, rañño āsanaṃ paññattaṃ. So antonivesane ṭhitova ‘‘ahaṃ āgacchāmi, nāgarājānaṃ kīḷāpetū’’ti pesesi. Alampāyano cittattharaṇe ratanapeḷaṃ ṭhapetvā vivaritvā ‘‘ehi mahānāgā’’ti saññamadāsi. Tasmiṃ samaye sudassanopi parisantare ṭhāto. Atha mahāsatto sīsaṃ nīharitvā sabbāvantaṃ parisaṃ olokesi. Nāgā hi dvīhi kāraṇehi parisaṃ olokenti supaṇṇaparipanthaṃ vā ñātake vā dassanatthāya. Te supaṇṇaṃ disvā bhītā na naccanti, ñātake vā disvā lajjamānā na naccanti. Mahāsatto pana olokento parisantare bhātaraṃ addasa. So akkhipūrāni assūni gahetvā peḷato nikkhamitvā bhātarābhimukho pāyāsi. Mahājano taṃ āgacchantaṃ disvā bhīto paṭikkami, eko sudassanova aṭṭhāsi. So gantvā tassa pādapiṭṭhiyaṃ sīsaṃ ṭhapetvā rodi, sudassanopi paridevi. Mahāsatto roditvā nivattitvā peḷameva pāvisi. Alampāyanopi ‘‘iminā nāgena tāpaso ḍaṭṭho bhavissati, assāsessāmi na’’nti upasaṅkamitvā āha –

    ๘๖๙.

    869.

    ‘‘หตฺถา ปมุโตฺต อุรโค, ปาเท เต นิปตี ภุสํ;

    ‘‘Hatthā pamutto urago, pāde te nipatī bhusaṃ;

    กจฺจิ นุ ตํ ฑํสี ตาต, มา ภายิ สุขิโต ภวา’’ติฯ

    Kacci nu taṃ ḍaṃsī tāta, mā bhāyi sukhito bhavā’’ti.

    ตตฺถ มา ภายีติ ตาต ตาปส, อหํ อลมฺปายโน นาม, มา ภายิ, ตว ปฎิชคฺคนํ นาม มม ภาโรติฯ

    Tattha mā bhāyīti tāta tāpasa, ahaṃ alampāyano nāma, mā bhāyi, tava paṭijagganaṃ nāma mama bhāroti.

    สุทสฺสโน เตน สทฺธิํ กเถตุกมฺยตาย คาถมาห –

    Sudassano tena saddhiṃ kathetukamyatāya gāthamāha –

    ๘๗๐.

    870.

    ‘‘เนว มยฺหํ อยํ นาโค, อลํ ทุกฺขาย กายจิ;

    ‘‘Neva mayhaṃ ayaṃ nāgo, alaṃ dukkhāya kāyaci;

    ยาวตตฺถิ อหิคฺคาโห, มยา ภิโยฺย น วิชฺชตี’’ติฯ

    Yāvatatthi ahiggāho, mayā bhiyyo na vijjatī’’ti.

    ตตฺถ กายจีติ กสฺสจิ อปฺปมตฺตกสฺสปิ ทุกฺขสฺส อุปฺปาทเน อยํ มม อสมโตฺถฯ มยา หิ สทิโส อหิตุณฺฑิโก นาม นตฺถีติฯ

    Tattha kāyacīti kassaci appamattakassapi dukkhassa uppādane ayaṃ mama asamattho. Mayā hi sadiso ahituṇḍiko nāma natthīti.

    อลมฺปายโน ‘‘อสุโก นาเมโส’’ติ อชานโนฺต กุชฺฌิตฺวา อาห –

    Alampāyano ‘‘asuko nāmeso’’ti ajānanto kujjhitvā āha –

    ๘๗๑.

    871.

    ‘‘โก นุ พฺราหฺมณวเณฺณน, ทิโตฺต ปริสมาคโต;

    ‘‘Ko nu brāhmaṇavaṇṇena, ditto parisamāgato;

    อวฺหายนฺตุ สุยุเทฺธน, สุณนฺตุ ปริสา มมา’’ติฯ

    Avhāyantu suyuddhena, suṇantu parisā mamā’’ti.

    ตตฺถ ทิโตฺตติ คพฺพิโต พาโล อนฺธญาโณฯ อวฺหายนฺตูติ อวฺหายโนฺต, อยเมว วา ปาโฐฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อยํ โก พาโล อุมฺมตฺตโก วิย มํ สุยุเทฺธน อวฺหายโนฺต อตฺตนา สทฺธิํ สมํ กโรโนฺต ปริสมาคโต, ปริสา มม วจนํ สุณนฺตุ, มยฺหํ โทโส นตฺถิ, มา โข เม กุชฺฌิตฺถาติฯ

    Tattha dittoti gabbito bālo andhañāṇo. Avhāyantūti avhāyanto, ayameva vā pāṭho. Idaṃ vuttaṃ hoti – ayaṃ ko bālo ummattako viya maṃ suyuddhena avhāyanto attanā saddhiṃ samaṃ karonto parisamāgato, parisā mama vacanaṃ suṇantu, mayhaṃ doso natthi, mā kho me kujjhitthāti.

    อถ นํ สุทสฺสโน คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha naṃ sudassano gāthāya ajjhabhāsi –

    ๘๗๒.

    872.

    ‘‘ตฺวํ มํ นาเคน อาลมฺป, อหํ มณฺฑูกฉาปิยา;

    ‘‘Tvaṃ maṃ nāgena ālampa, ahaṃ maṇḍūkachāpiyā;

    โหตุ โน อพฺภุตํ ตตฺถ, อา สหเสฺสหิ ปญฺจหี’’ติฯ

    Hotu no abbhutaṃ tattha, ā sahassehi pañcahī’’ti.

    ตตฺถ นาเคนาติ ตฺวํ นาเคน มยา สทฺธิํ ยุชฺฌ, อหํ มณฺฑูกฉาปิยา ตยา สทฺธิํ ยุชฺฌิสฺสามิฯ อา สหเสฺสหิ ปญฺจหีติ ตสฺมิํ โน ยุเทฺธ ยาว ปญฺจหิ สหเสฺสหิ อพฺภุตํ โหตูติฯ

    Tattha nāgenāti tvaṃ nāgena mayā saddhiṃ yujjha, ahaṃ maṇḍūkachāpiyā tayā saddhiṃ yujjhissāmi. Ā sahassehi pañcahīti tasmiṃ no yuddhe yāva pañcahi sahassehi abbhutaṃ hotūti.

    อลมฺปายโน อาห –

    Alampāyano āha –

    ๘๗๓.

    873.

    ‘‘อหญฺหิ วสุมา อโฑฺฒ, ตฺวํ ทลิโทฺทสิ มาณว;

    ‘‘Ahañhi vasumā aḍḍho, tvaṃ daliddosi māṇava;

    โก นุ เต ปาฎิโภคตฺถิ, อุปชูตญฺจ กิํ สิยาฯ

    Ko nu te pāṭibhogatthi, upajūtañca kiṃ siyā.

    ๘๗๔.

    874.

    ‘‘อุปชูตญฺจ เม อสฺส, ปาฎิโภโค จ ตาทิโส;

    ‘‘Upajūtañca me assa, pāṭibhogo ca tādiso;

    โหตุ โน อพฺภุตํ ตตฺถ, อา สหเสฺสหิ ปญฺจหี’’ติฯ

    Hotu no abbhutaṃ tattha, ā sahassehi pañcahī’’ti.

    ตตฺถ โก นุ เตติ ตว ปพฺพชิตสฺส โก นุ ปาฎิโภโค อตฺถิฯ อุปชูตญฺจาติ อิมสฺมิํ วา ชูเต อุปนิเกฺขปภูตํ กิํ นาม ตว ธนํ สิยา, ทเสฺสหิ เมติ วทติฯ อุปชูตญฺจ เมติ มยฺหํ ปน ทาตพฺพํ อุปนิเกฺขปธนํ วา ฐเปตพฺพปาฎิโภโค วา ตาทิโส อตฺถิ, ตสฺมา โน ตตฺถ ยาว ปญฺจหิ สหเสฺสหิ อพฺภุตํ โหตูติฯ

    Tattha ko nu teti tava pabbajitassa ko nu pāṭibhogo atthi. Upajūtañcāti imasmiṃ vā jūte upanikkhepabhūtaṃ kiṃ nāma tava dhanaṃ siyā, dassehi meti vadati. Upajūtañca meti mayhaṃ pana dātabbaṃ upanikkhepadhanaṃ vā ṭhapetabbapāṭibhogo vā tādiso atthi, tasmā no tattha yāva pañcahi sahassehi abbhutaṃ hotūti.

    สุทสฺสโน ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘ปญฺจหิ โน สหเสฺสหิ อพฺภุตํ โหตู’’ติ อภีโต ราชนิเวสนํ อารุยฺห มาตุลรโญฺญ สนฺติเก ฐิโต คาถมาห –

    Sudassano tassa kathaṃ sutvā ‘‘pañcahi no sahassehi abbhutaṃ hotū’’ti abhīto rājanivesanaṃ āruyha mātularañño santike ṭhito gāthamāha –

    ๘๗๕.

    875.

    ‘‘สุโณหิ เม มหาราช, วจนํ ภทฺทมตฺถุ เต;

    ‘‘Suṇohi me mahārāja, vacanaṃ bhaddamatthu te;

    ปญฺจนฺนํ เม สหสฺสานํ, ปาฎิโภโค หิ กิตฺติมา’’ติฯ

    Pañcannaṃ me sahassānaṃ, pāṭibhogo hi kittimā’’ti.

    ตตฺถ กิตฺติมาติ คุณกิตฺติสมฺปนฺน วิวิธคุณาจารกิตฺติสมฺปนฺนฯ

    Tattha kittimāti guṇakittisampanna vividhaguṇācārakittisampanna.

    ราชา ‘‘อยํ ตาปโส มํ อติพหุํ ธนํ ยาจติ, กิํ นุ โข’’ติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Rājā ‘‘ayaṃ tāpaso maṃ atibahuṃ dhanaṃ yācati, kiṃ nu kho’’ti cintetvā gāthamāha –

    ๘๗๖.

    876.

    ‘‘เปตฺติกํ วา อิณํ โหติ, ยํ วา โหติ สยํกตํ;

    ‘‘Pettikaṃ vā iṇaṃ hoti, yaṃ vā hoti sayaṃkataṃ;

    กิํ ตฺวํ เอวํ พหุํ มยฺหํ, ธนํ ยาจสิ พฺราหฺมณา’’ติฯ

    Kiṃ tvaṃ evaṃ bahuṃ mayhaṃ, dhanaṃ yācasi brāhmaṇā’’ti.

    ตตฺถ เปตฺติกํ วาติ ปิตรา วา คเหตฺวา ขาทิตํ, อตฺตนา วา กตํ อิณํ นาม โหติ, กิํ มม ปิตรา ตว หตฺถโต คหิตํ อตฺถิ, อุทาหุ มยา, กิํการณา มํ เอวํ พหุํ ธนํ ยาจสีติ?

    Tattha pettikaṃ vāti pitarā vā gahetvā khāditaṃ, attanā vā kataṃ iṇaṃ nāma hoti, kiṃ mama pitarā tava hatthato gahitaṃ atthi, udāhu mayā, kiṃkāraṇā maṃ evaṃ bahuṃ dhanaṃ yācasīti?

    เอวํ วุเตฺต สุทสฺสโน เทฺว คาถา อภาสิ –

    Evaṃ vutte sudassano dve gāthā abhāsi –

    ๘๗๗.

    877.

    ‘‘อลมฺปายโน หิ นาเคน, มมํ อภิชิคีสติ;

    ‘‘Alampāyano hi nāgena, mamaṃ abhijigīsati;

    อหํ มณฺฑูกฉาปิยา, ฑํสยิสฺสามิ พฺราหฺมณํฯ

    Ahaṃ maṇḍūkachāpiyā, ḍaṃsayissāmi brāhmaṇaṃ.

    ๘๗๘.

    878.

    ‘‘ตํ ตฺวํ ทฎฺฐุํ มหาราช, อชฺช รฎฺฐาภิวฑฺฒน;

    ‘‘Taṃ tvaṃ daṭṭhuṃ mahārāja, ajja raṭṭhābhivaḍḍhana;

    ขตฺตสงฺฆปริพฺยูโฬฺห, นิยฺยาหิ อหิทสฺสน’’นฺติฯ

    Khattasaṅghaparibyūḷho, niyyāhi ahidassana’’nti.

    ตตฺถ อภิชิคีสตีติ ยุเทฺธ ชินิตุํ อิจฺฉติฯ ตตฺถ สเจ โส ชียิสฺสติ, มยฺหํ ปญฺจสหสฺสานิ ทสฺสติฯ สจาหํ ชียิสฺสามิ, อหมสฺส ทสฺสามิ, ตสฺมา ตํ พหุํ ธนํ ยาจามิฯ นฺติ ตสฺมา ตฺวํ มหาราช, อชฺช อหิทสฺสนํ ทฎฺฐุํ นิยฺยาหีติฯ

    Tattha abhijigīsatīti yuddhe jinituṃ icchati. Tattha sace so jīyissati, mayhaṃ pañcasahassāni dassati. Sacāhaṃ jīyissāmi, ahamassa dassāmi, tasmā taṃ bahuṃ dhanaṃ yācāmi. Tanti tasmā tvaṃ mahārāja, ajja ahidassanaṃ daṭṭhuṃ niyyāhīti.

    ราชา ‘‘เตน หิ คจฺฉามา’’ติ ตาปเสน สทฺธิํเยว นิกฺขมิฯ ตํ ทิสฺวา อลมฺปายโน ‘‘อยํ ตาปโส คนฺตฺวา ราชานํ คเหตฺวา อาคโต, ราชกุลูปโก ภวิสฺสตี’’ติ ภีโต ตํ อนุวตฺตโนฺต คาถมาห –

    Rājā ‘‘tena hi gacchāmā’’ti tāpasena saddhiṃyeva nikkhami. Taṃ disvā alampāyano ‘‘ayaṃ tāpaso gantvā rājānaṃ gahetvā āgato, rājakulūpako bhavissatī’’ti bhīto taṃ anuvattanto gāthamāha –

    ๘๗๙.

    879.

    ‘‘เนว ตํ อติมญฺญามิ, สิปฺปวาเทน มาณว;

    ‘‘Neva taṃ atimaññāmi, sippavādena māṇava;

    อติมโตฺตสิ สิเปฺปน, อุรคํ นาปจายสี’’ติฯ

    Atimattosi sippena, uragaṃ nāpacāyasī’’ti.

    ตตฺถ สิปฺปวาเทนาติ มาณว, อหํ อตฺตโน สิเปฺปน ตํ นาติมญฺญามิ, ตฺวํ ปน สิเปฺปน อติมโตฺต อิมํ อุรคํ น ปูเชสิ, นาคสฺส อปจิติํ น กโรสีติฯ

    Tattha sippavādenāti māṇava, ahaṃ attano sippena taṃ nātimaññāmi, tvaṃ pana sippena atimatto imaṃ uragaṃ na pūjesi, nāgassa apacitiṃ na karosīti.

    ตโต สุทสฺสโน เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato sudassano dve gāthā abhāsi –

    ๘๘๐.

    880.

    ‘‘อหมฺปิ นาติมญฺญามิ, สิปฺปวาเทน พฺราหฺมณ;

    ‘‘Ahampi nātimaññāmi, sippavādena brāhmaṇa;

    อวิเสน จ นาเคน, ภุสํ วญฺจยเส ชนํฯ

    Avisena ca nāgena, bhusaṃ vañcayase janaṃ.

    ๘๘๑.

    881.

    ‘‘เอวเญฺจตํ ชโน ชญฺญา, ยถา ชานามิ ตํ อหํ;

    ‘‘Evañcetaṃ jano jaññā, yathā jānāmi taṃ ahaṃ;

    น ตฺวํ ลภสิ อาลมฺป, ภุสมุฎฺฐิํ กุโต ธน’’นฺติฯ

    Na tvaṃ labhasi ālampa, bhusamuṭṭhiṃ kuto dhana’’nti.

    อถสฺส อลมฺปายโน กุชฺฌิตฺวา อาห –

    Athassa alampāyano kujjhitvā āha –

    ๘๘๒.

    882.

    ‘‘ขราชิโน ชฎี ทุมฺมี, ทิโตฺต ปริสมาคโต;

    ‘‘Kharājino jaṭī dummī, ditto parisamāgato;

    โย ตฺวํ เอวํ คตํ นาคํ, ‘อวิโส’ อติมญฺญติฯ

    Yo tvaṃ evaṃ gataṃ nāgaṃ, ‘aviso’ atimaññati.

    ๘๘๓.

    883.

    ‘‘อาสชฺช โข นํ ชญฺญาสิ, ปุณฺณํ อุคฺคสฺส เตชโส;

    ‘‘Āsajja kho naṃ jaññāsi, puṇṇaṃ uggassa tejaso;

    มเญฺญ ตํ ภสฺมราสิํว, ขิปฺปเมส กริสฺสตี’’ติฯ

    Maññe taṃ bhasmarāsiṃva, khippamesa karissatī’’ti.

    ตตฺถ ทุมฺมีติ อนญฺญฺตินยโนฯ อวิโส อติมญฺญสีติ นิพฺพิโสติ อวชานาสิฯ อาสชฺชาติ อุปคนฺตฺวาฯ ชญฺญาสีติ ชาเนยฺยาสิฯ

    Tattha dummīti anaññtinayano. Aviso atimaññasīti nibbisoti avajānāsi. Āsajjāti upagantvā. Jaññāsīti jāneyyāsi.

    อถ เตน สทฺธิํ เกฬิํ กโรโนฺต สุทสฺสโน คาถมาห –

    Atha tena saddhiṃ keḷiṃ karonto sudassano gāthamāha –

    ๘๘๔.

    884.

    ‘‘สิยา วิสํ สิลุตฺตสฺส, เทฑฺฑุภสฺส สิลาภุโน;

    ‘‘Siyā visaṃ siluttassa, deḍḍubhassa silābhuno;

    เนว โลหิตสีสสฺส, วิสํ นาคสฺส วิชฺชตี’’ติฯ

    Neva lohitasīsassa, visaṃ nāgassa vijjatī’’ti.

    ตตฺถ สิลุตฺตสฺสาติ ฆรสปฺปสฺสฯ เทฑฺฑุภสฺสาติ อุทกสปฺปสฺสฯ สิลาภุโนติ นีลวณฺณสปฺปสฺสฯ อิติ นิพฺพิเส สเปฺป ทเสฺสตฺวา เอเตสํ วิสํ สิยา, เนว โลหิตสีสสฺส สปฺปสฺสาติ อาหฯ

    Tattha siluttassāti gharasappassa. Deḍḍubhassāti udakasappassa. Silābhunoti nīlavaṇṇasappassa. Iti nibbise sappe dassetvā etesaṃ visaṃ siyā, neva lohitasīsassa sappassāti āha.

    อถ นํ อลมฺปายโน ทฺวีหิ คาถาหิ อชฺฌภาสิ –

    Atha naṃ alampāyano dvīhi gāthāhi ajjhabhāsi –

    ๘๘๕.

    885.

    ‘‘สุตเมตํ อรหตํ, สญฺญตานํ ตปสฺสินํ;

    ‘‘Sutametaṃ arahataṃ, saññatānaṃ tapassinaṃ;

    อิธ ทานานิ ทตฺวาน, สคฺคํ คจฺฉนฺติ ทายกา;

    Idha dānāni datvāna, saggaṃ gacchanti dāyakā;

    ชีวโนฺต เทหิ ทานานิ, ยทิ เต อตฺถิ ทาตเวฯ

    Jīvanto dehi dānāni, yadi te atthi dātave.

    ๘๘๖.

    886.

    ‘‘อยํ นาโค มหิทฺธิโก, เตชสฺสี ทุรติกฺกโม;

    ‘‘Ayaṃ nāgo mahiddhiko, tejassī duratikkamo;

    เตน ตํ ฑํสยิสฺสามิ, โส ตํ ภสฺมํ กริสฺสตี’’ติฯ

    Tena taṃ ḍaṃsayissāmi, so taṃ bhasmaṃ karissatī’’ti.

    ตตฺถ ทาตเวติ ยทิ เต กิญฺจิ ทาตพฺพํ อตฺถิ, ตํ เทหีติฯ

    Tattha dātaveti yadi te kiñci dātabbaṃ atthi, taṃ dehīti.

    ๘๘๗.

    887.

    ‘‘มยาเปตํ สุตํ สมฺม, สญฺญตานํ ตปสฺสินํ;

    ‘‘Mayāpetaṃ sutaṃ samma, saññatānaṃ tapassinaṃ;

    อิธ ทานานิ ทตฺวาน, สคฺคํ คจฺฉนฺติ ทายกา;

    Idha dānāni datvāna, saggaṃ gacchanti dāyakā;

    ตฺวเมว เทหิ ชีวโนฺต, ยทิ เต อตฺถิ ทาตเวฯ

    Tvameva dehi jīvanto, yadi te atthi dātave.

    ๘๘๘.

    888.

    ‘‘อยํ อชมุขี นาม, ปุณฺณา อุคฺคสฺส เตชโส;

    ‘‘Ayaṃ ajamukhī nāma, puṇṇā uggassa tejaso;

    ตาย ตํ ฑํสยิสฺสามิ, สา ตํ ภสฺมํ กริสฺสติฯ

    Tāya taṃ ḍaṃsayissāmi, sā taṃ bhasmaṃ karissati.

    ๘๘๙.

    889.

    ‘‘ยา ธีตา ธตรฎฺฐสฺส, เวมาตา ภคินี มม;

    ‘‘Yā dhītā dhataraṭṭhassa, vemātā bhaginī mama;

    สา ตํ ฑํสตฺวชมุขี, ปุณฺณา อุคฺคสฺส เตชโส’’ติฯ –

    Sā taṃ ḍaṃsatvajamukhī, puṇṇā uggassa tejaso’’ti. –

    อิมา คาถา สุทสฺสนสฺส วจนํฯ ตตฺถ ปุณฺณา อุคฺคสฺส เตชโสติ อุเคฺคน วิเสน ปุณฺณาฯ

    Imā gāthā sudassanassa vacanaṃ. Tattha puṇṇā uggassa tejasoti uggena visena puṇṇā.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อมฺม อชมุขิ, ชฎนฺตรโต เม นิกฺขมิตฺวา ปาณิมฺหิ ปติฎฺฐหา’’ติ มหาชนสฺส มเชฺฌเยว ภคินิํ ปโกฺกสิตฺวา หตฺถํ ปสาเรสิฯ สา ตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ชฎนฺตเร นิสินฺนาว ติกฺขตฺตุํ มณฺฑูกวสฺสิตํ วสฺสิตฺวา นิกฺขมิตฺวา อํสกูเฎ นิสีทิตฺวา อุปฺปติตฺวา ตสฺส หตฺถตเล ตีณิ วิสพินฺทูนิ ปาเตตฺวา ปุน ตสฺส ชฎนฺตรเมว ปาวิสิฯ สุทสฺสโน วิสํ คเหตฺวา ฐิโตว ‘‘นสฺสิสฺสตายํ ชนปโท, นสฺสิสฺสตายํ ชนปโท’’ติ ติกฺขตฺตุํ มหาสทฺทํ อภาสิฯ ตสฺส โส สโทฺท ทฺวาทสโยชนิกํ พาราณสิํ ฉาเทตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ ราชา ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิมตฺถํ ชนปโท นสฺสิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มหาราช, อิมสฺส วิสสฺส นิสิญฺจนฎฺฐานํ น ปสฺสามี’’ติฯ ‘‘ตาต, มหนฺตา อยํ ปถวี, ปถวิยํ นิสิญฺจา’’ติฯ อถ นํ ‘‘น สกฺกา ปถวิยํ สิญฺจิตุํ, มหาราชา’’ติ ปฎิกฺขิปโนฺต คาถมาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘amma ajamukhi, jaṭantarato me nikkhamitvā pāṇimhi patiṭṭhahā’’ti mahājanassa majjheyeva bhaginiṃ pakkositvā hatthaṃ pasāresi. Sā tassa saddaṃ sutvā jaṭantare nisinnāva tikkhattuṃ maṇḍūkavassitaṃ vassitvā nikkhamitvā aṃsakūṭe nisīditvā uppatitvā tassa hatthatale tīṇi visabindūni pātetvā puna tassa jaṭantarameva pāvisi. Sudassano visaṃ gahetvā ṭhitova ‘‘nassissatāyaṃ janapado, nassissatāyaṃ janapado’’ti tikkhattuṃ mahāsaddaṃ abhāsi. Tassa so saddo dvādasayojanikaṃ bārāṇasiṃ chādetvā aṭṭhāsi. Atha rājā taṃ saddaṃ sutvā ‘‘kimatthaṃ janapado nassissatī’’ti pucchi. ‘‘Mahārāja, imassa visassa nisiñcanaṭṭhānaṃ na passāmī’’ti. ‘‘Tāta, mahantā ayaṃ pathavī, pathaviyaṃ nisiñcā’’ti. Atha naṃ ‘‘na sakkā pathaviyaṃ siñcituṃ, mahārājā’’ti paṭikkhipanto gāthamāha –

    ๘๙๐.

    890.

    ‘‘ฉมายํ เจ นิสิญฺจิสฺสํ, พฺรหฺมทตฺต วิชานหิ;

    ‘‘Chamāyaṃ ce nisiñcissaṃ, brahmadatta vijānahi;

    ติณลตานิ โอสโธฺย, อุสฺสุเสฺสยฺยุํ อสํสย’’นฺติฯ

    Tiṇalatāni osadhyo, ussusseyyuṃ asaṃsaya’’nti.

    ตตฺถ ติณลตานีติ ปถวินิสฺสิตานิ ติณานิ จ ลตา จ สโพฺพสธิโย จ อุสฺสุเสฺสยฺยุํ, ตสฺมา น สกฺกา ปถวิยํ นิสิญฺจิตุนฺติฯ

    Tattha tiṇalatānīti pathavinissitāni tiṇāni ca latā ca sabbosadhiyo ca ussusseyyuṃ, tasmā na sakkā pathaviyaṃ nisiñcitunti.

    เตน หิ นํ, ตาต, อุทฺธํ อากาสํ ขิปาติฯ ตตฺราปิ น สกฺกาติ ทเสฺสโนฺต คาถมาห –

    Tena hi naṃ, tāta, uddhaṃ ākāsaṃ khipāti. Tatrāpi na sakkāti dassento gāthamāha –

    ๘๙๑.

    891.

    ‘‘อุทฺธํ เจ ปาตยิสฺสามิ, พฺรหฺมทตฺต วิชานหิ;

    ‘‘Uddhaṃ ce pātayissāmi, brahmadatta vijānahi;

    สตฺตวสฺสานิยํ เทโว, น วเสฺส น หิมํ ปเต’’ติฯ

    Sattavassāniyaṃ devo, na vasse na himaṃ pate’’ti.

    ตตฺถ น หิมํ ปเตติ สตฺตวสฺสานิ หิมพินฺทุมตฺตมฺปิ น ปติสฺสติฯ

    Tattha na himaṃ pateti sattavassāni himabindumattampi na patissati.

    เตน หิ นํ ตาต อุทเก สิญฺจาติฯ ตตฺราปิ น สกฺกาติ ทเสฺสตุํ คาถมาห –

    Tena hi naṃ tāta udake siñcāti. Tatrāpi na sakkāti dassetuṃ gāthamāha –

    ๘๙๒.

    892.

    ‘‘อุทเก เจ นิสิญฺจิสฺสํ, พฺรหฺมทตฺต วิชานหิ;

    ‘‘Udake ce nisiñcissaṃ, brahmadatta vijānahi;

    ยาวโนฺตทกชา ปาณา, มเรยฺยุํ มจฺฉกจฺฉปา’’ติฯ

    Yāvantodakajā pāṇā, mareyyuṃ macchakacchapā’’ti.

    อถ นํ ราชา อาห – ‘‘ตาต, มยํ น กิญฺจิ ชานาม, ยถา อมฺหากํ รฎฺฐํ น นสฺสติ, ตํ อุปายํ ตฺวเมว ชานาหี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, มหาราช, อิมสฺมิํ ฐาเน ปฎิปาฎิยา ตโย อาวาเฎ ขณาเปถา’’ติฯ ราชา ขณาเปสิฯ สุทสฺสโน ปฐมํ อาวาฎํ นานาเภสชฺชานํ ปูราเปสิ, ทุติยํ โคมยสฺส, ตติยํ ทิโพฺพสธานเญฺญวฯ ตโต ปฐเม อาวาเฎ วิสพินฺทูนิ ปาเตสิฯ ตงฺขณเญฺญว ธูมายิตฺวา ชาลา อุฎฺฐหิฯ สา คนฺตฺวา โคมเย อาวาฎํ คณฺหิฯ ตโตปิ ชาลา อุฎฺฐาย อิตรํ ทิโพฺพสธสฺส ปุณฺณํ คเหตฺวา โอสธานิ ฌาเปตฺวา นิพฺพายิฯ อลมฺปายโน ตสฺส อาวาฎสฺส อวิทูเร อฎฺฐาสิฯ อถ นํ วิสอุสุมา ปหริ, สรีรจฺฉวิ อุปฺปาเฎตฺวา คตา, เสตกุฎฺฐิ อโหสิฯ โส ภยตชฺชิโต ‘‘นาคราชานํ วิสฺสเชฺชมี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วาจํ นิจฺฉาเรสิฯ ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต รตนเปฬาย นิกฺขมิตฺวา สพฺพาลงฺการปฺปฎิมณฺฑิตํ อตฺตภาวํ มาเปตฺวา เทวราชลีลาย ฐิโตฯ สุทสฺสโนปิ อชมุขีปิ ตเถว อฎฺฐํสุฯ ตโต สุทสฺสโน ราชานํ อาห – ‘‘ชานาสิ โน, มหาราช, กเสฺสเต ปุตฺตา’’ติ? ‘‘น ชานามี’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห ตาว น ชานาสิ, กาสิรโญฺญ ปน ธีตาย สมุทฺทชาย ธตรฎฺฐสฺส ทินฺนภาวํ ชานาสี’’ติ? ‘‘อาม, ชานามิ, มยฺหํ สา กนิฎฺฐภคินี’’ติฯ ‘‘มยํ ตสฺสา ปุตฺตา, ตฺวํ โน มาตุโล’’ติฯ

    Atha naṃ rājā āha – ‘‘tāta, mayaṃ na kiñci jānāma, yathā amhākaṃ raṭṭhaṃ na nassati, taṃ upāyaṃ tvameva jānāhī’’ti. ‘‘Tena hi, mahārāja, imasmiṃ ṭhāne paṭipāṭiyā tayo āvāṭe khaṇāpethā’’ti. Rājā khaṇāpesi. Sudassano paṭhamaṃ āvāṭaṃ nānābhesajjānaṃ pūrāpesi, dutiyaṃ gomayassa, tatiyaṃ dibbosadhānaññeva. Tato paṭhame āvāṭe visabindūni pātesi. Taṅkhaṇaññeva dhūmāyitvā jālā uṭṭhahi. Sā gantvā gomaye āvāṭaṃ gaṇhi. Tatopi jālā uṭṭhāya itaraṃ dibbosadhassa puṇṇaṃ gahetvā osadhāni jhāpetvā nibbāyi. Alampāyano tassa āvāṭassa avidūre aṭṭhāsi. Atha naṃ visausumā pahari, sarīracchavi uppāṭetvā gatā, setakuṭṭhi ahosi. So bhayatajjito ‘‘nāgarājānaṃ vissajjemī’’ti tikkhattuṃ vācaṃ nicchāresi. Taṃ sutvā bodhisatto ratanapeḷāya nikkhamitvā sabbālaṅkārappaṭimaṇḍitaṃ attabhāvaṃ māpetvā devarājalīlāya ṭhito. Sudassanopi ajamukhīpi tatheva aṭṭhaṃsu. Tato sudassano rājānaṃ āha – ‘‘jānāsi no, mahārāja, kassete puttā’’ti? ‘‘Na jānāmī’’ti. ‘‘Tumhe tāva na jānāsi, kāsirañño pana dhītāya samuddajāya dhataraṭṭhassa dinnabhāvaṃ jānāsī’’ti? ‘‘Āma, jānāmi, mayhaṃ sā kaniṭṭhabhaginī’’ti. ‘‘Mayaṃ tassā puttā, tvaṃ no mātulo’’ti.

    ตํ สุตฺวา ราชา กมฺปมาโน เต อาลิงฺคิตฺวา สีเส จุมฺพิตฺวา โรทิตฺวา ปาสาทํ อาโรเปตฺวา มหนฺตํ สกฺการํ กาเรตฺวา ภูริทเตฺตน ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต ปุจฺฉิ ‘‘ตาต, ตํ เอวรูปํ อุคฺคเตชํ กถํ อลมฺปายโน คณฺหี’’ติ? โส สพฺพํ วิตฺถาเรน กเถตฺวา ราชานํ โอวทโนฺต ‘‘มหาราช, รญฺญา นาม อิมินา นิยาเมน รชฺชํ กาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ มาตุลสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ อถ นํ สุทสฺสโน อาห – ‘‘มาตุล, มม มาตา ภูริทตฺตํ อปสฺสนฺตี กิลมติ, น สกฺกา อเมฺหหิ ปปญฺจํ กาตุ’’นฺติฯ ‘‘สาธุ, ตาตา, ตุเมฺห ตาว คจฺฉถฯ อหํ ปน มม ภคินิํ ทฎฺฐุกาโมมฺหิ, กถํ ปสฺสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘มาตุล, กหํ ปน โน อยฺยโก กาสิราชา’’ติ? ‘‘ตาต, มม ภคินิยา วินา วสิตุํ อสโกฺกโนฺต รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา อสุเก วนสเณฺฑ นาม วสตี’’ติฯ ‘‘มาตุล, มม มาตา ตุเมฺห เจว อยฺยกญฺจ ทฎฺฐุกามา, ตุเมฺห อสุกทิวเส มม อยฺยกสฺส สนฺติกํ คจฺฉถ, มยํ มาตรํ อาทาย อยฺยกสฺส อสฺสมปทํ อาคจฺฉิสฺสามฯ ตตฺถ นํ ตุเมฺหปิ ปสฺสิสฺสถา’’ติฯ อิติ เต มาตุลสฺส ทิวสํ ววตฺถเปตฺวา ราชนิเวสนา โอตริํสุฯ ราชา ภาคิเนเยฺย อุโยฺยเชตฺวา โรทิตฺวา นิวตฺติฯ เตปิ ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา นาคภวนํ คตาฯ

    Taṃ sutvā rājā kampamāno te āliṅgitvā sīse cumbitvā roditvā pāsādaṃ āropetvā mahantaṃ sakkāraṃ kāretvā bhūridattena paṭisanthāraṃ karonto pucchi ‘‘tāta, taṃ evarūpaṃ uggatejaṃ kathaṃ alampāyano gaṇhī’’ti? So sabbaṃ vitthārena kathetvā rājānaṃ ovadanto ‘‘mahārāja, raññā nāma iminā niyāmena rajjaṃ kāretuṃ vaṭṭatī’’ti mātulassa dhammaṃ desesi. Atha naṃ sudassano āha – ‘‘mātula, mama mātā bhūridattaṃ apassantī kilamati, na sakkā amhehi papañcaṃ kātu’’nti. ‘‘Sādhu, tātā, tumhe tāva gacchatha. Ahaṃ pana mama bhaginiṃ daṭṭhukāmomhi, kathaṃ passissāmī’’ti. ‘‘Mātula, kahaṃ pana no ayyako kāsirājā’’ti? ‘‘Tāta, mama bhaginiyā vinā vasituṃ asakkonto rajjaṃ pahāya pabbajitvā asuke vanasaṇḍe nāma vasatī’’ti. ‘‘Mātula, mama mātā tumhe ceva ayyakañca daṭṭhukāmā, tumhe asukadivase mama ayyakassa santikaṃ gacchatha, mayaṃ mātaraṃ ādāya ayyakassa assamapadaṃ āgacchissāma. Tattha naṃ tumhepi passissathā’’ti. Iti te mātulassa divasaṃ vavatthapetvā rājanivesanā otariṃsu. Rājā bhāgineyye uyyojetvā roditvā nivatti. Tepi pathaviyaṃ nimujjitvā nāgabhavanaṃ gatā.

    นครปเวสนขณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Nagarapavesanakhaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    มหาสตฺตสฺส ปริเยสนขณฺฑํ

    Mahāsattassa pariyesanakhaṇḍaṃ

    มหาสเตฺต สมฺปเตฺต สกลนาคภวนํ เอกปริเทวสทฺทํ อโหสิฯ โสปิ มาสํ เปฬาย วสิตตฺตา กิลโนฺต คิลานเสยฺยํ สยิฯ ตสฺส สนฺติกํ อาคจฺฉนฺตานํ นาคานํ ปมาณํ นตฺถิฯ โส เตหิ สทฺธิํ กเถโนฺต กิลมติฯ กาณาริโฎฺฐ เทวโลกํ คนฺตฺวา มหาสตฺตํ อทิสฺวา ปฐมเมวาคโตฯ อถ นํ ‘‘เอส จโณฺฑ ผรุโส, สกฺขิสฺสติ นาคปริสํ วาเรตุ’’นฺติ มหาสตฺตสฺส นิสินฺนฎฺฐาเน โทวาริกํ กริํสุฯ สุโภโคปิ สกลหิมวนฺตํ วิจริตฺวา ตโต มหาสมุทฺทญฺจ เสสนทิโย จ อุปธาเรตฺวา ยมุนํ อุปธาเรโนฺต อาคจฺฉติฯ เนสาทพฺราหฺมโณปิ อลมฺปายนํ กุฎฺฐิํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ภูริทตฺตํ กิลเมตฺวา กุฎฺฐิ ชาโต, อหํ ปน ตํ มยฺหํ ตาว พหูปการํ มณิโลเภน อลมฺปายนสฺส ทเสฺสสิํ, ตํ ปาปํ มม อาคมิสฺสติฯ ยาว ตํ น อาคจฺฉติ, ตาวเทว ยมุนํ คนฺตฺวา ปยาคติเตฺถ ปาปปวาหนํ กริสฺสามี’’ติฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘มยา ภูริทเตฺต มิตฺตทุพฺภิกมฺมํ กตํ, ตํ ปาปํ ปวาเหสฺสามี’’ติ วตฺวา อุทโกโรหนกมฺมํ กโรติฯ ตสฺมิํ ขเณ สุโภโค ตํ ฐานํ ปโตฺตฯ ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา ‘‘อิมินา กิร ปาปเกน ตาว มหนฺตสฺส ยสสฺส ทายโก มม ภาตา มณิรตนสฺส การณา อลมฺปายนสฺส ทสฺสิโต, นาสฺส ชีวิตํ ทสฺสามี’’ติ นงฺคุเฎฺฐน ตสฺส ปาเทสุ เวเฐตฺวา อากฑฺฒิตฺวา อุทเก โอสิทาเปตฺวา นิรสฺสาสกาเล โถกํ สิถิลํ อกาสิฯ โส สีสํ อุกฺขิปิฯ อถ นํ ปุนากฑฺฒิตฺวา โอสีทาเปสิฯ เอวํ พหู วาเร เตน กิลมิยมาโน เนสาทพฺราหฺมโณ สีสํ อุกฺขิปิตฺวา คาถมาห –

    Mahāsatte sampatte sakalanāgabhavanaṃ ekaparidevasaddaṃ ahosi. Sopi māsaṃ peḷāya vasitattā kilanto gilānaseyyaṃ sayi. Tassa santikaṃ āgacchantānaṃ nāgānaṃ pamāṇaṃ natthi. So tehi saddhiṃ kathento kilamati. Kāṇāriṭṭho devalokaṃ gantvā mahāsattaṃ adisvā paṭhamamevāgato. Atha naṃ ‘‘esa caṇḍo pharuso, sakkhissati nāgaparisaṃ vāretu’’nti mahāsattassa nisinnaṭṭhāne dovārikaṃ kariṃsu. Subhogopi sakalahimavantaṃ vicaritvā tato mahāsamuddañca sesanadiyo ca upadhāretvā yamunaṃ upadhārento āgacchati. Nesādabrāhmaṇopi alampāyanaṃ kuṭṭhiṃ disvā cintesi ‘‘ayaṃ bhūridattaṃ kilametvā kuṭṭhi jāto, ahaṃ pana taṃ mayhaṃ tāva bahūpakāraṃ maṇilobhena alampāyanassa dassesiṃ, taṃ pāpaṃ mama āgamissati. Yāva taṃ na āgacchati, tāvadeva yamunaṃ gantvā payāgatitthe pāpapavāhanaṃ karissāmī’’ti. So tattha gantvā ‘‘mayā bhūridatte mittadubbhikammaṃ kataṃ, taṃ pāpaṃ pavāhessāmī’’ti vatvā udakorohanakammaṃ karoti. Tasmiṃ khaṇe subhogo taṃ ṭhānaṃ patto. Tassa taṃ vacanaṃ sutvā ‘‘iminā kira pāpakena tāva mahantassa yasassa dāyako mama bhātā maṇiratanassa kāraṇā alampāyanassa dassito, nāssa jīvitaṃ dassāmī’’ti naṅguṭṭhena tassa pādesu veṭhetvā ākaḍḍhitvā udake osidāpetvā nirassāsakāle thokaṃ sithilaṃ akāsi. So sīsaṃ ukkhipi. Atha naṃ punākaḍḍhitvā osīdāpesi. Evaṃ bahū vāre tena kilamiyamāno nesādabrāhmaṇo sīsaṃ ukkhipitvā gāthamāha –

    ๘๙๓.

    893.

    ‘‘โลกฺยํ สชนฺตํ อุทกํ, ปยาคสฺมิํ ปติฎฺฐิตํ;

    ‘‘Lokyaṃ sajantaṃ udakaṃ, payāgasmiṃ patiṭṭhitaṃ;

    โก มํ อโชฺฌหรี ภูโต, โอคาฬฺหํ ยมุนํ นทิ’’นฺติฯ

    Ko maṃ ajjhoharī bhūto, ogāḷhaṃ yamunaṃ nadi’’nti.

    ตตฺถ โลกฺยนฺติ เอวํ ปาปวาหนสมตฺถนฺติ โลกสมฺมตํฯ สชนฺตนฺติ เอวรูปํ อุทกํ อภิสิญฺจนฺตํฯ ปยาคสฺมินฺติ ปยาคติเตฺถฯ

    Tattha lokyanti evaṃ pāpavāhanasamatthanti lokasammataṃ. Sajantanti evarūpaṃ udakaṃ abhisiñcantaṃ. Payāgasminti payāgatitthe.

    อถ นํ สุโภโค คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha naṃ subhogo gāthāya ajjhabhāsi –

    ๘๙๔.

    894.

    ‘‘ยเทส โลกาธิปตี ยสสฺสี, พาราณสิํ ปกฺริย สมนฺตโต;

    ‘‘Yadesa lokādhipatī yasassī, bārāṇasiṃ pakriya samantato;

    ตสฺสาห ปุโตฺต อุรคูสภสฺส, สุโภโคติ มํ พฺราหฺมณ เวทยนฺตี’’ติฯ

    Tassāha putto uragūsabhassa, subhogoti maṃ brāhmaṇa vedayantī’’ti.

    ตตฺถ ยเทสาติ โย เอโสฯ ปกฺริย สมนฺตโตติ ปจฺจตฺถิกานํ ทุปฺปหรณสมตฺถตาย ปริสมนฺตโต ปกิริย สพฺพํ ปริกฺขิปิตฺวา อุปริ ผเณน ฉาเทสิฯ

    Tattha yadesāti yo eso. Pakriya samantatoti paccatthikānaṃ duppaharaṇasamatthatāya parisamantato pakiriya sabbaṃ parikkhipitvā upari phaṇena chādesi.

    อถ นํ พฺราหฺมโณ ‘‘อยํ ภูริทตฺตภาตา, น เม ชีวิตํ ทสฺสติ, ยํนูนาหํ เอตสฺส เจว มาตาปิตูนญฺจสฺส วณฺณกิตฺตเนน มุทุจิตฺตตํ กตฺวา อตฺตโน ชีวิตํ ยาเจยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ brāhmaṇo ‘‘ayaṃ bhūridattabhātā, na me jīvitaṃ dassati, yaṃnūnāhaṃ etassa ceva mātāpitūnañcassa vaṇṇakittanena muducittataṃ katvā attano jīvitaṃ yāceyya’’nti cintetvā gāthamāha –

    ๘๙๕.

    895.

    ‘‘สเจ หิ ปุโตฺต อุรคูสภสฺส, กาสิสฺส รโญฺญ อมราธิปสฺส;

    ‘‘Sace hi putto uragūsabhassa, kāsissa rañño amarādhipassa;

    มเหสโกฺข อญฺญตโร ปิตา เต, มเจฺจสุ มาตา ปน เต อตุลฺยา;

    Mahesakkho aññataro pitā te, maccesu mātā pana te atulyā;

    น ตาทิโส อรหติ พฺราหฺมณสฺส, ทาสมฺปิ โอหาริตุํ มหานุภาโว’’ติฯ

    Na tādiso arahati brāhmaṇassa, dāsampi ohārituṃ mahānubhāvo’’ti.

    ตตฺถ กาสิสฺสาติ อปเรน นาเมน เอวํนามกสฺสฯ ‘‘กาสิกรโญฺญ’’ติปิ ปฐนฺติเยวฯ กาสิราชธีตาย คหิตตฺตา กาสิรชฺชมฺปิ ตเสฺสว สนฺตกํ กตฺวา วเณฺณติฯ อมราธิปสฺสาติ ทีฆายุกตาย อมรสงฺขาตานํ นาคานํ อธิปสฺสฯ มเหสโกฺขติ มหานุภาโวฯ อญฺญตโรติ มเหสกฺขานํ อญฺญตโรฯ ทาสมฺปีติ ตาทิโส หิ มหานุภาโว อานุภาวรหิตํ พฺราหฺมณสฺส ทาสมฺปิ อุทเก โอหริตุํ นารหติ, ปเคว มหานุภาวํ พฺราหฺมณนฺติฯ

    Tattha kāsissāti aparena nāmena evaṃnāmakassa. ‘‘Kāsikarañño’’tipi paṭhantiyeva. Kāsirājadhītāya gahitattā kāsirajjampi tasseva santakaṃ katvā vaṇṇeti. Amarādhipassāti dīghāyukatāya amarasaṅkhātānaṃ nāgānaṃ adhipassa. Mahesakkhoti mahānubhāvo. Aññataroti mahesakkhānaṃ aññataro. Dāsampīti tādiso hi mahānubhāvo ānubhāvarahitaṃ brāhmaṇassa dāsampi udake oharituṃ nārahati, pageva mahānubhāvaṃ brāhmaṇanti.

    อถ นํ สุโภโค ‘‘อเร ทุฎฺฐพฺราหฺมณ, ตฺวํ มํ วเญฺจตฺวา ‘มุญฺจิสฺสามี’ติ มญฺญสิ, น เต ชีวิตํ ทสฺสามี’’ติ เตน กตกมฺมํ ปกาเสโนฺต อาห –

    Atha naṃ subhogo ‘‘are duṭṭhabrāhmaṇa, tvaṃ maṃ vañcetvā ‘muñcissāmī’ti maññasi, na te jīvitaṃ dassāmī’’ti tena katakammaṃ pakāsento āha –

    ๘๙๖.

    896.

    ‘‘รุกฺขํ นิสฺสาย วิชฺฌิโตฺถ, เอเณยฺยํ ปาตุมาคตํ;

    ‘‘Rukkhaṃ nissāya vijjhittho, eṇeyyaṃ pātumāgataṃ;

    โส วิโทฺธ ทูรมจริ, สรเวเคน สีฆวาฯ

    So viddho dūramacari, saravegena sīghavā.

    ๘๙๗.

    897.

    ‘‘ตํ ตฺวํ ปติตมทฺทกฺขิ, อรญฺญสฺมิํ พฺรหาวเน;

    ‘‘Taṃ tvaṃ patitamaddakkhi, araññasmiṃ brahāvane;

    ส มํสกาชมาทาย, สายํ นิโคฺรธุปาคมิฯ

    Sa maṃsakājamādāya, sāyaṃ nigrodhupāgami.

    ๘๙๘.

    898.

    ‘‘สุกสาฬิกสงฺฆุฎฺฐํ , ปิงฺคลํ สนฺถตายุตํ;

    ‘‘Sukasāḷikasaṅghuṭṭhaṃ , piṅgalaṃ santhatāyutaṃ;

    โกกิลาภิรุทํ รมฺมํ, ธุวํ หริตสทฺทลํฯ

    Kokilābhirudaṃ rammaṃ, dhuvaṃ haritasaddalaṃ.

    ๘๙๙.

    899.

    ‘‘ตตฺถ เต โส ปาตุรหุ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;

    ‘‘Tattha te so pāturahu, iddhiyā yasasā jalaṃ;

    มหานุภาโว ภาตา เม, กญฺญาหิ ปริวาริโตฯ

    Mahānubhāvo bhātā me, kaññāhi parivārito.

    ๙๐๐.

    900.

    ‘‘โส เตน ปริจิโณฺณ ตฺวํ, สพฺพกาเมหิ ตปฺปิโต;

    ‘‘So tena pariciṇṇo tvaṃ, sabbakāmehi tappito;

    อทุฎฺฐสฺส ตุวํ ทุพฺภิ, ตํ เต เวรํ อิธาคตํฯ

    Aduṭṭhassa tuvaṃ dubbhi, taṃ te veraṃ idhāgataṃ.

    ๙๐๑.

    901.

    ‘‘ขิปฺปํ คีวํ ปสาเรหิ, น เต ทสฺสามิ ชีวิตํ;

    ‘‘Khippaṃ gīvaṃ pasārehi, na te dassāmi jīvitaṃ;

    ภาตุ ปริสรํ เวรํ, เฉทยิสฺสามิ เต สิร’’นฺติฯ

    Bhātu parisaraṃ veraṃ, chedayissāmi te sira’’nti.

    ตตฺถ สายํ นิโคฺรธุปาคมีติ วิกาเล นิโคฺรธํ อุปคโต อสิฯ ปิงฺคลนฺติ ปกฺกานํ วเณฺณน ปิงฺคลํฯ สนฺถตายุตนฺติ ปาโรหปริกิณฺณํฯ โกกิลาภิรุทนฺติ โกกิลาหิ อภิรุทํฯ ธุวํ หริตสทฺทลนฺติ อุทกภูมิยํ ชาตตฺตา นิจฺจํ หริตสทฺทลํ ภูมิภาคํฯ ปาตุรหูติ ตสฺมิํ เต นิโคฺรเธ ฐิตสฺส โส มม ภาตา ปากโฎ อโหสิฯ อิทฺธิยาติ ปุญฺญเตเชนฯ โส เตนาติ โส ตุวํ เตน อตฺตโน นาคภวนํ เนตฺวา ปริจิโณฺณฯ ปริสรนฺติ ตยา มม ภาตุ กตํ เวรํ ปาปกมฺมํ ปริสรโนฺต อนุสฺสรโนฺตฯ เฉทยิสฺสามิ เต สิรนฺติ ตว สีสํ ฉินฺทิสฺสามีติฯ

    Tattha sāyaṃ nigrodhupāgamīti vikāle nigrodhaṃ upagato asi. Piṅgalanti pakkānaṃ vaṇṇena piṅgalaṃ. Santhatāyutanti pārohaparikiṇṇaṃ. Kokilābhirudanti kokilāhi abhirudaṃ. Dhuvaṃ haritasaddalanti udakabhūmiyaṃ jātattā niccaṃ haritasaddalaṃ bhūmibhāgaṃ. Pāturahūti tasmiṃ te nigrodhe ṭhitassa so mama bhātā pākaṭo ahosi. Iddhiyāti puññatejena. So tenāti so tuvaṃ tena attano nāgabhavanaṃ netvā pariciṇṇo. Parisaranti tayā mama bhātu kataṃ veraṃ pāpakammaṃ parisaranto anussaranto. Chedayissāmi te siranti tava sīsaṃ chindissāmīti.

    อถ พฺราหฺมโณ ‘‘น เมส ชีวิตํ ทสฺสติ, ยํ กิญฺจิ ปน วตฺวา โมกฺขตฺถาย วายมิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Atha brāhmaṇo ‘‘na mesa jīvitaṃ dassati, yaṃ kiñci pana vatvā mokkhatthāya vāyamituṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā gāthamāha –

    ๙๐๒.

    902.

    ‘‘อชฺฌายโก ยาจโยคี, อาหุตคฺคิ จ พฺราหฺมโณ;

    ‘‘Ajjhāyako yācayogī, āhutaggi ca brāhmaṇo;

    เอเตหิ ตีหิ ฐาเนหิ, อวโชฺฌ โหติ พฺราหฺมโณ’’ติฯ

    Etehi tīhi ṭhānehi, avajjho hoti brāhmaṇo’’ti.

    ตตฺถ เอเตหีติ เอเตหิ อชฺฌายกตาทีหิ ตีหิ การเณหิ พฺราหฺมโณ อวโชฺฌ, น ลพฺภา พฺราหฺมณํ วธิตุํ, กิํ ตฺวํ วเทสิ, โย หิ พฺราหฺมณํ วเธติ, โส นิรเย นิพฺพตฺตตีติฯ

    Tattha etehīti etehi ajjhāyakatādīhi tīhi kāraṇehi brāhmaṇo avajjho, na labbhā brāhmaṇaṃ vadhituṃ, kiṃ tvaṃ vadesi, yo hi brāhmaṇaṃ vadheti, so niraye nibbattatīti.

    ตํ สุตฺวา สุโภโค สํสยปกฺขโนฺท หุตฺวา ‘‘อิมํ นาคภวนํ เนตฺวา ภาตโร ปฎิปุจฺฉิตฺวา ชานิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā subhogo saṃsayapakkhando hutvā ‘‘imaṃ nāgabhavanaṃ netvā bhātaro paṭipucchitvā jānissāmī’’ti cintetvā dve gāthā abhāsi –

    ๙๐๓.

    903.

    ‘‘ยํ ปุรํ ธตรฎฺฐสฺส, โอคาฬฺหํ ยมุนํ นทิํ;

    ‘‘Yaṃ puraṃ dhataraṭṭhassa, ogāḷhaṃ yamunaṃ nadiṃ;

    โชตเต สพฺพโสวณฺณํ, คิริมาหจฺจ ยามุนํฯ

    Jotate sabbasovaṇṇaṃ, girimāhacca yāmunaṃ.

    ๙๐๔.

    904.

    ‘‘ตตฺถ เต ปุริสพฺยคฺฆา, โสทริยา มม ภาตโร;

    ‘‘Tattha te purisabyagghā, sodariyā mama bhātaro;

    ยถา เต ตตฺถ วกฺขนฺติ, ตถา เหสฺสสิ พฺราหฺมณา’’ติฯ

    Yathā te tattha vakkhanti, tathā hessasi brāhmaṇā’’ti.

    ตตฺถ ปุรนฺติ นาคปุรํฯ โอคาฬฺหนฺติ อนุปวิฎฺฐํฯ คิริมาหจฺจ ยามุนนฺติ ยมุนาโต อวิทูเร ฐิตํ หิมวนฺตํ อาหจฺจ โชตติฯ ตตฺถ เตติ ตสฺมิํ นคเร เต มม ภาตโร วสนฺติ, ตตฺถ นีเต ตยิ ยถา เต วกฺขนฺติ, ตถา ภวิสฺสสิฯ สเจ หิ สจฺจํ กเถสิ, ชีวิตํ เต อตฺถิฯ โน เจ, ตเตฺถว สีสํ ฉินฺทิสฺสามีติฯ

    Tattha puranti nāgapuraṃ. Ogāḷhanti anupaviṭṭhaṃ. Girimāhacca yāmunanti yamunāto avidūre ṭhitaṃ himavantaṃ āhacca jotati. Tattha teti tasmiṃ nagare te mama bhātaro vasanti, tattha nīte tayi yathā te vakkhanti, tathā bhavissasi. Sace hi saccaṃ kathesi, jīvitaṃ te atthi. No ce, tattheva sīsaṃ chindissāmīti.

    อิติ นํ วตฺวา สุโภโค คีวายํ คเหตฺวา ขิปโนฺต อโกฺกสโนฺต ปริภาสโนฺต มหาสตฺตสฺส ปาสาททฺวารํ อคมาสิฯ

    Iti naṃ vatvā subhogo gīvāyaṃ gahetvā khipanto akkosanto paribhāsanto mahāsattassa pāsādadvāraṃ agamāsi.

    มหาสตฺตสฺส ปริเยสนยกณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Mahāsattassa pariyesanayakaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    มิจฺฉากถา

    Micchākathā

    อถ นํ โทวาริโก หุตฺวา นิสิโนฺน กาณาริโฎฺฐ ตถา กิลเมตฺวา อานียมานํ ทิสฺวา ปฎิมคฺคํ คนฺตฺวา ‘‘สุโภค, มา วิเหฐยิ, พฺราหฺมณา นาม มหาพฺรหฺมุโน ปุตฺตาฯ สเจ หิ มหาพฺรหฺมา ชานิสฺสติ, ‘มม ปุตฺตํ วิเหเฐนฺตี’ติ กุชฺฌิตฺวา อมฺหากํ สกลํ นาคภวนํ วินาเสสฺสติฯ โลกสฺมิญฺหิ พฺราหฺมณา นาม เสฎฺฐา มหานุภาวา, ตฺวํ เตสํ อานุภาวํ น ชานาสิ, อหํ ปน ชานามี’’ติ อาหฯ กาณาริโฎฺฐ กิร อตีตานนฺตรภเว ยญฺญการพฺราหฺมโณ อโหสิ, ตสฺมา เอวมาหฯ วตฺวา จ ปน อนุภูตปุพฺพวเสน ยชนสีโล หุตฺวา สุโภคญฺจ นาคปริสญฺจ อามเนฺตตฺวา ‘‘เอถ, โภ, ยญฺญการกานํ โว คุเณ วเณฺณสฺสามี’’ติ วตฺวา ยญฺญวณฺณนํ อารภโนฺต อาห –

    Atha naṃ dovāriko hutvā nisinno kāṇāriṭṭho tathā kilametvā ānīyamānaṃ disvā paṭimaggaṃ gantvā ‘‘subhoga, mā viheṭhayi, brāhmaṇā nāma mahābrahmuno puttā. Sace hi mahābrahmā jānissati, ‘mama puttaṃ viheṭhentī’ti kujjhitvā amhākaṃ sakalaṃ nāgabhavanaṃ vināsessati. Lokasmiñhi brāhmaṇā nāma seṭṭhā mahānubhāvā, tvaṃ tesaṃ ānubhāvaṃ na jānāsi, ahaṃ pana jānāmī’’ti āha. Kāṇāriṭṭho kira atītānantarabhave yaññakārabrāhmaṇo ahosi, tasmā evamāha. Vatvā ca pana anubhūtapubbavasena yajanasīlo hutvā subhogañca nāgaparisañca āmantetvā ‘‘etha, bho, yaññakārakānaṃ vo guṇe vaṇṇessāmī’’ti vatvā yaññavaṇṇanaṃ ārabhanto āha –

    ๙๐๕.

    905.

    ‘‘อนิตฺตรา อิตฺตรสมฺปยุตฺตา, ยญฺญา จ เวทา จ สุโภค โลเก;

    ‘‘Anittarā ittarasampayuttā, yaññā ca vedā ca subhoga loke;

    ตทคฺครยฺหญฺหิ วินินฺทมาโน, ชหาติ วิตฺตญฺจ สตญฺจ ธมฺม’’นฺติฯ

    Tadaggarayhañhi vinindamāno, jahāti vittañca satañca dhamma’’nti.

    ตตฺถ อนิตฺตราติ สุโภค อิมสฺมิํ โลเก ยญฺญา จ เวทา จ อนิตฺตรา น ลามกา มหานุภาวา, เต อิตฺตเรหิ พฺราหฺมเณหิ สมฺปยุตฺตา, ตสฺมา พฺราหฺมณาปิ อนิตฺตราว ชาตาฯ ตทคฺครยฺหนฺติ ตสฺมา อคารยฺหํ พฺราหฺมณํ วินินฺทมาโน ธนญฺจ ปณฺฑิตานํ ธมฺมญฺจ ชหาติฯ อิทํ กิร โส ‘‘อิมินา ภูริทเตฺต มิตฺตทุพฺภิกมฺมํ กตนฺติ วตฺตุํ นาคปริสา มา ลภนฺตู’’ติ อโวจฯ

    Tattha anittarāti subhoga imasmiṃ loke yaññā ca vedā ca anittarā na lāmakā mahānubhāvā, te ittarehi brāhmaṇehi sampayuttā, tasmā brāhmaṇāpi anittarāva jātā. Tadaggarayhanti tasmā agārayhaṃ brāhmaṇaṃ vinindamāno dhanañca paṇḍitānaṃ dhammañca jahāti. Idaṃ kira so ‘‘iminā bhūridatte mittadubbhikammaṃ katanti vattuṃ nāgaparisā mā labhantū’’ti avoca.

    อถ นํ กาณาริโฎฺฐ ‘‘สุโภค ชานาสิ ปน อยํ โลโก เกน นิมฺมิโต’’ติ วตฺวา ‘‘น ชานามี’’ติ วุเตฺต ‘‘พฺราหฺมณานํ ปิตามเหน มหาพฺรหฺมุนา นิมฺมิโต’’ติ ทเสฺสตุํ อิตรํ คาถมาห –

    Atha naṃ kāṇāriṭṭho ‘‘subhoga jānāsi pana ayaṃ loko kena nimmito’’ti vatvā ‘‘na jānāmī’’ti vutte ‘‘brāhmaṇānaṃ pitāmahena mahābrahmunā nimmito’’ti dassetuṃ itaraṃ gāthamāha –

    ๙๐๖.

    906.

    ‘‘อเชฺฌนมริยา ปถวิํ ชนินฺทา, เวสฺสา กสิํ ปาริจริยญฺจ สุทฺทา;

    ‘‘Ajjhenamariyā pathaviṃ janindā, vessā kasiṃ pāricariyañca suddā;

    อุปาคุ ปเจฺจกํ ยถาปเทสํ, กตาหุ เอเต วสินาติ อาหู’’ติฯ

    Upāgu paccekaṃ yathāpadesaṃ, katāhu ete vasināti āhū’’ti.

    ตตฺถ อุปาคูติ อุปคตาฯ พฺรหฺมา กิร พฺราหฺมณาทโย จตฺตาโร วเณฺณ นิมฺมินิตฺวา อริเย ตาว พฺราหฺมเณ อาห – ‘‘ตุเมฺห อเชฺฌนเมว อุปคจฺฉถ , มา อญฺญํ กิญฺจิ กริตฺถา’’ติ, ชนิเนฺท อาห ‘‘ตุเมฺห ปถวิํเยว วิชินถ’’, เวเสฺส อาห – ‘‘ตุเมฺห กสิํเยว อุเปถ’’, สุเทฺท อาห ‘‘ตุเมฺห ติณฺณํ วณฺณานํ ปาริจริยํเยว อุเปถา’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย อริยา อเชฺฌนํ, ชนินฺทา ปถวิํ, เวสฺสา กสิํ, สุทฺทา ปาริจริยํ อุปาคตาติ วทนฺติฯ ปเจฺจกํ ยถาปเทสนฺติ อุปคจฺฉนฺตา จ ปาฎิเยกฺกํ อตฺตโน กุลปเทสานุรูเปน พฺรหฺมุนา วุตฺตนิยาเมเนว อุปคตาฯ กตาหุ เอเต วสินาติ อาหูติ เอวํ กิร เอเต วสินา มหาพฺรหฺมุนา กตา อเหสุนฺติ กเถนฺติฯ

    Tattha upāgūti upagatā. Brahmā kira brāhmaṇādayo cattāro vaṇṇe nimminitvā ariye tāva brāhmaṇe āha – ‘‘tumhe ajjhenameva upagacchatha , mā aññaṃ kiñci karitthā’’ti, janinde āha ‘‘tumhe pathaviṃyeva vijinatha’’, vesse āha – ‘‘tumhe kasiṃyeva upetha’’, sudde āha ‘‘tumhe tiṇṇaṃ vaṇṇānaṃ pāricariyaṃyeva upethā’’ti. Tato paṭṭhāya ariyā ajjhenaṃ, janindā pathaviṃ, vessā kasiṃ, suddā pāricariyaṃ upāgatāti vadanti. Paccekaṃ yathāpadesanti upagacchantā ca pāṭiyekkaṃ attano kulapadesānurūpena brahmunā vuttaniyāmeneva upagatā. Katāhu ete vasināti āhūti evaṃ kira ete vasinā mahābrahmunā katā ahesunti kathenti.

    เอวํ มหาคุณา เอเต พฺราหฺมณา นามฯ โย หิ เอเตสุ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา ทานํ เทติ, ตสฺส อญฺญตฺถ ปฎิสนฺธิ นตฺถิ, เทวโลกเมว คจฺฉตีติ วตฺวา อาห –

    Evaṃ mahāguṇā ete brāhmaṇā nāma. Yo hi etesu cittaṃ pasādetvā dānaṃ deti, tassa aññattha paṭisandhi natthi, devalokameva gacchatīti vatvā āha –

    ๙๐๗.

    907.

    ‘‘ธาตา วิธาตา วรุโณ กุเวโร, โสโม ยโม จนฺทิมา วายุ สูริโย;

    ‘‘Dhātā vidhātā varuṇo kuvero, somo yamo candimā vāyu sūriyo;

    เอเตปิ ยญฺญํ ปุถุโส ยชิตฺวา, อชฺฌายกานํ อโถ สพฺพกาเมฯ

    Etepi yaññaṃ puthuso yajitvā, ajjhāyakānaṃ atho sabbakāme.

    ๙๐๘.

    908.

    ‘‘วิกาสิตา จาปสตานิ ปญฺจ, โย อชฺชุโน พลวา ภีมเสโน;

    ‘‘Vikāsitā cāpasatāni pañca, yo ajjuno balavā bhīmaseno;

    สหสฺสพาหุ อสโม ปถพฺยา, โสปิ ตทา อาทหิ ชาตเวท’’นฺติฯ

    Sahassabāhu asamo pathabyā, sopi tadā ādahi jātaveda’’nti.

    ตตฺถ เอเตปีติ เอเต ธาตาทโย เทวราชาโนฯ ปุถุโสติ อเนกปฺปการํ ยญฺญํ ยชิตฺวาฯ อโถ สพฺพกาเมติ อถ อชฺฌายกานํ พฺราหฺมณานํ สพฺพกาเม ทตฺวา เอตานิ ฐานานิ ปตฺตาติ ทเสฺสติฯ วิกาสิตาติ อากฑฺฒิตาฯ จาปสตานิ ปญฺจาติ น ธนุปญฺจสตานิ, ปญฺจจาปสตปฺปมาณํ ปน มหาธนุํ สยเมว อากฑฺฒติฯ ภีมเสโนติ ภยานกเสโนฯ สหสฺสพาหูติ น ตสฺส พาหูนํ สหสฺสํ, ปญฺจนฺนํ ปน ธนุคฺคหสตานํ พาหุสหเสฺสน อากฑฺฒิตพฺพสฺส ธนุโน อากฑฺฒเนเนวํ วุตฺตํฯ อาทหิ ชาตเวทนฺติ โสปิ ราชา ตสฺมิํ กาเล พฺราหฺมเณ สพฺพกาเมหิ สนฺตเปฺปตฺวา อคฺคิํ อาทหิ ปติฎฺฐาเปตฺวา ปริจริ, เตเนว การเณน เทวโลเก นิพฺพโตฺตฯ ตสฺมา พฺราหฺมณา นาม อิมสฺมิํ โลเก เชฎฺฐกาติ อาหฯ

    Tattha etepīti ete dhātādayo devarājāno. Puthusoti anekappakāraṃ yaññaṃ yajitvā. Atho sabbakāmeti atha ajjhāyakānaṃ brāhmaṇānaṃ sabbakāme datvā etāni ṭhānāni pattāti dasseti. Vikāsitāti ākaḍḍhitā. Cāpasatāni pañcāti na dhanupañcasatāni, pañcacāpasatappamāṇaṃ pana mahādhanuṃ sayameva ākaḍḍhati. Bhīmasenoti bhayānakaseno. Sahassabāhūti na tassa bāhūnaṃ sahassaṃ, pañcannaṃ pana dhanuggahasatānaṃ bāhusahassena ākaḍḍhitabbassa dhanuno ākaḍḍhanenevaṃ vuttaṃ. Ādahi jātavedanti sopi rājā tasmiṃ kāle brāhmaṇe sabbakāmehi santappetvā aggiṃ ādahi patiṭṭhāpetvā paricari, teneva kāraṇena devaloke nibbatto. Tasmā brāhmaṇā nāma imasmiṃ loke jeṭṭhakāti āha.

    โส อุตฺตริปิ พฺราหฺมเณ วเณฺณโนฺต คาถมาห –

    So uttaripi brāhmaṇe vaṇṇento gāthamāha –

    ๙๐๙.

    909.

    ‘‘โย พฺราหฺมเณ โภชยิ ทีฆรตฺตํ, อเนฺนน ปาเนน ยถานุภาวํ;

    ‘‘Yo brāhmaṇe bhojayi dīgharattaṃ, annena pānena yathānubhāvaṃ;

    ปสนฺนจิโตฺต อนุโมทมาโน, สุโภค เทวญฺญตโร อโหสี’’ติฯ

    Pasannacitto anumodamāno, subhoga devaññataro ahosī’’ti.

    ตตฺถ โยติ โย โส โปราณโก พาราณสิราชาติ ทเสฺสติฯ ยถานุภาวนฺติ ยถาพลํ ยํ ตสฺส อตฺถิ, ตํ สพฺพํ ปริจฺจชิตฺวา โภเชสิฯ เทวญฺญตโรติ โส อญฺญตโร มเหสกฺขเทวราชา อโหสิฯ เอวํ พฺราหฺมณา นาม อคฺคทกฺขิเณยฺยาติ ทเสฺสติฯ

    Tattha yoti yo so porāṇako bārāṇasirājāti dasseti. Yathānubhāvanti yathābalaṃ yaṃ tassa atthi, taṃ sabbaṃ pariccajitvā bhojesi. Devaññataroti so aññataro mahesakkhadevarājā ahosi. Evaṃ brāhmaṇā nāma aggadakkhiṇeyyāti dasseti.

    อถสฺส อปรมฺปิ การณํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต คาถมาห –

    Athassa aparampi kāraṇaṃ āharitvā dassento gāthamāha –

    ๙๑๐.

    910.

    ‘‘มหาสนํ เทวมโนมวณฺณํ, โย สปฺปินา อสกฺขิ โภเชตุมคฺคิํ;

    ‘‘Mahāsanaṃ devamanomavaṇṇaṃ, yo sappinā asakkhi bhojetumaggiṃ;

    ส ยญฺญตนฺตํ วรโต ยชิตฺวา, ทิพฺพํ คติํ มุจลินฺทชฺฌคจฺฉี’’ติฯ

    Sa yaññatantaṃ varato yajitvā, dibbaṃ gatiṃ mucalindajjhagacchī’’ti.

    ตตฺถ มหาสนนฺติ มหาภกฺขํฯ โภเชตุนฺติ สนฺตเปฺปตุํฯ ยญฺญตนฺตนฺติ ยญฺญวิธานํฯ วรโตติ วรสฺส อคฺคิเทวสฺส ยชิตฺวาฯ มุจลินฺทชฺฌคจฺฉีติ มุจลิโนฺท อธิคโตติฯ

    Tattha mahāsananti mahābhakkhaṃ. Bhojetunti santappetuṃ. Yaññatantanti yaññavidhānaṃ. Varatoti varassa aggidevassa yajitvā. Mucalindajjhagacchīti mucalindo adhigatoti.

    เอโก กิร ปุเพฺพ พาราณสิยํ มุจลิโนฺท นาม ราชา พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา สคฺคมคฺคํ ปุจฺฉิฯ อถ นํ เต ‘‘พฺราหฺมณานญฺจ พฺราหฺมณเทวตาย จ สกฺการํ กโรหี’’ติ วตฺวา ‘‘กา พฺราหฺมณเทวตา’’ติ วุเตฺต ‘‘‘อคฺคิเทโวติ ตํ นวนีตสปฺปินา สนฺตเปฺปหี’’’ติ อาหํสุฯ โส ตถา อกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต เอส อิมํ คาถมาหฯ

    Eko kira pubbe bārāṇasiyaṃ mucalindo nāma rājā brāhmaṇe pakkosāpetvā saggamaggaṃ pucchi. Atha naṃ te ‘‘brāhmaṇānañca brāhmaṇadevatāya ca sakkāraṃ karohī’’ti vatvā ‘‘kā brāhmaṇadevatā’’ti vutte ‘‘‘aggidevoti taṃ navanītasappinā santappehī’’’ti āhaṃsu. So tathā akāsi. Tamatthaṃ pakāsento esa imaṃ gāthamāha.

    อปรมฺปิ การณํ ทเสฺสโนฺต คาถมาห –

    Aparampi kāraṇaṃ dassento gāthamāha –

    ๙๑๑.

    911.

    ‘‘มหานุภาโว วสฺสสหสฺสชีวี, โย ปพฺพชี ทสฺสเนโยฺย อุฬาโร;

    ‘‘Mahānubhāvo vassasahassajīvī, yo pabbajī dassaneyyo uḷāro;

    หิตฺวา อปริยนฺต รฎฺฐํ สเสนํ, ราชา ทุทีโปปิ ชคาม สคฺค’’นฺติฯ

    Hitvā apariyanta raṭṭhaṃ sasenaṃ, rājā dudīpopi jagāma sagga’’nti.

    ตตฺถ ปพฺพชีติ ปญฺจวสฺสสตานิ รชฺชํ กาเรโนฺต พฺราหฺมณานํ สกฺการํ กตฺวา อปริยนฺตํ รฎฺฐํ สเสนํ หิตฺวา ปพฺพชิฯ ทุทีโปปีติ โส ทุทีโป นาม ราชา พฺราหฺมเณ ปูเชตฺวาว สคฺคํ คโตติ วทติฯ ‘‘ทุชีโป’’ติปิ ปาโฐฯ

    Tattha pabbajīti pañcavassasatāni rajjaṃ kārento brāhmaṇānaṃ sakkāraṃ katvā apariyantaṃ raṭṭhaṃ sasenaṃ hitvā pabbaji. Dudīpopīti so dudīpo nāma rājā brāhmaṇe pūjetvāva saggaṃ gatoti vadati. ‘‘Dujīpo’’tipi pāṭho.

    อปรานิปิสฺส อุทาหรณานิ ทเสฺสโนฺต อาห –

    Aparānipissa udāharaṇāni dassento āha –

    ๙๑๒.

    912.

    ‘‘โย สาครนฺตํ สาคโร วิชิตฺวา, ยูปํ สุภํ โสณฺณมยํ อุฬารํ;

    ‘‘Yo sāgarantaṃ sāgaro vijitvā, yūpaṃ subhaṃ soṇṇamayaṃ uḷāraṃ;

    อุเสฺสสิ เวสฺสานรมาทหาโน, สุโภค เทวญฺญตโร อโหสิฯ

    Ussesi vessānaramādahāno, subhoga devaññataro ahosi.

    ๙๑๓.

    913.

    ‘‘ยสฺสานุภาเวน สุโภค คงฺคา, ปวตฺตถ ทธิสนฺนิสินฺนํ สมุทฺทํ;

    ‘‘Yassānubhāvena subhoga gaṅgā, pavattatha dadhisannisinnaṃ samuddaṃ;

    ส โลมปาโท ปริจริย มคฺคิํ, อโงฺค สหสฺสกฺขปุรชฺฌคจฺฉี’’ติฯ

    Sa lomapādo paricariya maggiṃ, aṅgo sahassakkhapurajjhagacchī’’ti.

    ตตฺถ สาครนฺตนฺติ สาครปริยนฺตํ ปถวิํฯ อุเสฺสสีติ พฺราหฺมเณ สคฺคมคฺคํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘โสวณฺณยูปํ อุสฺสาเปหี’’ติ วุโตฺต ปสุฆาตนตฺถาย อุสฺสาเปสิฯ เวสฺสานรมาทหาโนติ เวสฺสานรํ อคฺคิํ อาทหโนฺตฯ ‘‘เวสานริ’’นฺติปิ ปาโฐฯ เทวญฺญตโรติ สุโภค, โส หิ ราชา อคฺคิํ ชุหิตฺวา อญฺญตโร มเหสกฺขเทโว อโหสีติ วทติฯ ยสฺสานุภาเวนาติ โภ สุโภค, คงฺคา จ มหาสมุโทฺท จ เกน กโตติ ชานาสีติฯ น ชานามีติฯ กิํ ตฺวํ ชานิสฺสสิ, พฺราหฺมเณเยว โปเถตุํ ชานาสีติฯ อตีตสฺมิญฺหิ อโงฺค นาม โลมปาโท พาราณสิราชา พฺราหฺมเณ สคฺคมคฺคํ ปุจฺฉิตฺวา เตหิ ‘‘โภ, มหาราช, หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา พฺราหฺมณานํ สกฺการํ กตฺวา อคฺคิํ ปริจราหี’’ติ วุเตฺต อปริมาณา คาวิโย จ มหิํสิโย จ อาทาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ตถา อกาสิฯ ‘‘พฺราหฺมเณหิ ภุตฺตาติริตฺตํ ขีรทธิํ กิํ กาตพฺพ’’นฺติ จ วุเตฺต ‘‘ฉเฑฺฑถา’’ติ อาหฯ ตตฺถ โถกสฺส ขีรสฺส ฉฑฺฑิตฎฺฐาเน กุนฺนทิโย อเหสุํ, พหุกสฺส ฉฑฺฑิตฎฺฐาเน คงฺคา ปวตฺตถฯ ตํ ปน ขีรํ ยตฺถ ทธิ หุตฺวา สนฺนิสินฺนํ ฐิตํ, ตํ สมุทฺทํ นาม ชาตํฯ อิติ โส เอวรูปํ สกฺการํ กตฺวา พฺราหฺมเณหิ วุตฺตวิธาเนน อคฺคิํ ปริจริย สหสฺสกฺขสฺส ปุรํ อชฺฌคจฺฉิฯ

    Tattha sāgarantanti sāgarapariyantaṃ pathaviṃ. Ussesīti brāhmaṇe saggamaggaṃ pucchitvā ‘‘sovaṇṇayūpaṃ ussāpehī’’ti vutto pasughātanatthāya ussāpesi. Vessānaramādahānoti vessānaraṃ aggiṃ ādahanto. ‘‘Vesānari’’ntipi pāṭho. Devaññataroti subhoga, so hi rājā aggiṃ juhitvā aññataro mahesakkhadevo ahosīti vadati. Yassānubhāvenāti bho subhoga, gaṅgā ca mahāsamuddo ca kena katoti jānāsīti. Na jānāmīti. Kiṃ tvaṃ jānissasi, brāhmaṇeyeva pothetuṃ jānāsīti. Atītasmiñhi aṅgo nāma lomapādo bārāṇasirājā brāhmaṇe saggamaggaṃ pucchitvā tehi ‘‘bho, mahārāja, himavantaṃ pavisitvā brāhmaṇānaṃ sakkāraṃ katvā aggiṃ paricarāhī’’ti vutte aparimāṇā gāviyo ca mahiṃsiyo ca ādāya himavantaṃ pavisitvā tathā akāsi. ‘‘Brāhmaṇehi bhuttātirittaṃ khīradadhiṃ kiṃ kātabba’’nti ca vutte ‘‘chaḍḍethā’’ti āha. Tattha thokassa khīrassa chaḍḍitaṭṭhāne kunnadiyo ahesuṃ, bahukassa chaḍḍitaṭṭhāne gaṅgā pavattatha. Taṃ pana khīraṃ yattha dadhi hutvā sannisinnaṃ ṭhitaṃ, taṃ samuddaṃ nāma jātaṃ. Iti so evarūpaṃ sakkāraṃ katvā brāhmaṇehi vuttavidhānena aggiṃ paricariya sahassakkhassa puraṃ ajjhagacchi.

    อิติสฺส อิทํ อตีตํ อาหริตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Itissa idaṃ atītaṃ āharitvā imaṃ gāthamāha –

    ๙๑๔.

    914.

    ‘‘มหิทฺธิโก เทววโร ยสสฺสี, เสนาปติ ติทิเว วาสวสฺส;

    ‘‘Mahiddhiko devavaro yasassī, senāpati tidive vāsavassa;

    โส โสมยาเคน มลํ วิหนฺตฺวา, สุโภค เทวญฺญตโร อโหสี’’ติฯ

    So somayāgena malaṃ vihantvā, subhoga devaññataro ahosī’’ti.

    ตตฺถ โส โสมยาเคน มลํ วิหนฺตฺวาติ โภ สุโภค, โย อิทานิ สกฺกสฺส เสนาปติ มหายโส เทวปุโตฺต, โสปิ ปุเพฺพ เอโก พาราณสิราชา พฺราหฺมเณ สคฺคมคฺคํ ปุจฺฉิตฺวา เตหิ ‘‘โสมยาเคน อตฺตโน มลํ ปวาเหตฺวา เทวโลกํ คจฺฉาหี’’ติ วุเตฺต พฺราหฺมณานํ มหนฺตํ สกฺการํ กตฺวา เตหิ วุตฺตวิธาเนน โสมยาคํ กตฺวา เตน อตฺตโน มลํ วิหนฺตฺวา เทวญฺญตโร ชาโตติ อิมมตฺถํ ปกาเสโนฺต เอวมาหฯ

    Tattha so somayāgena malaṃ vihantvāti bho subhoga, yo idāni sakkassa senāpati mahāyaso devaputto, sopi pubbe eko bārāṇasirājā brāhmaṇe saggamaggaṃ pucchitvā tehi ‘‘somayāgena attano malaṃ pavāhetvā devalokaṃ gacchāhī’’ti vutte brāhmaṇānaṃ mahantaṃ sakkāraṃ katvā tehi vuttavidhānena somayāgaṃ katvā tena attano malaṃ vihantvā devaññataro jātoti imamatthaṃ pakāsento evamāha.

    อปรานิปิสฺส อุทาหรณานิ ทเสฺสโนฺต อาห –

    Aparānipissa udāharaṇāni dassento āha –

    ๙๑๕.

    915.

    ‘‘อการยิ โลกมิมํ ปรญฺจ, ภาคีรถิํ หิมวนฺตญฺจ คิชฺฌํ;

    ‘‘Akārayi lokamimaṃ parañca, bhāgīrathiṃ himavantañca gijjhaṃ;

    โย อิทฺธิมา เทววโร ยสสฺสี, โสปิ ตทา อาทหิ ชาตเวทํฯ

    Yo iddhimā devavaro yasassī, sopi tadā ādahi jātavedaṃ.

    ๙๑๖.

    916.

    ‘‘มาลาคิรี หิมวา โย จ คิโชฺฌ, สุทสฺสโน นิสโภ กุเวรุ;

    ‘‘Mālāgirī himavā yo ca gijjho, sudassano nisabho kuveru;

    เอเต จ อเญฺญ จ นคา มหนฺตา, จิตฺยา กตา ยญฺญกเรหิ มาหู’’ติฯ

    Ete ca aññe ca nagā mahantā, cityā katā yaññakarehi māhū’’ti.

    ตตฺถ โสปิ ตทา อาทหิ ชาตเวทนฺติ ภาติก สุโภค, เยน มหาพฺรหฺมุนา อยญฺจ โลโก ปโร จ โลโก ภาคีรถิคงฺคา จ หิมวนฺตปพฺพโต จ คิชฺฌปพฺพโต จ กโต, โสปิ ยทา พฺรหฺมุปปตฺติโต ปุเพฺพ มาณวโก อโหสิ, ตทา อคฺคิเมว อาทหิ, อคฺคิํ ชุหิตฺวา มหาพฺรหฺมา หุตฺวา อิทํ สพฺพมกาสิฯ เอวํมหิทฺธิกา พฺราหฺมณาติ ทเสฺสติฯ

    Tattha sopi tadā ādahi jātavedanti bhātika subhoga, yena mahābrahmunā ayañca loko paro ca loko bhāgīrathigaṅgā ca himavantapabbato ca gijjhapabbato ca kato, sopi yadā brahmupapattito pubbe māṇavako ahosi, tadā aggimeva ādahi, aggiṃ juhitvā mahābrahmā hutvā idaṃ sabbamakāsi. Evaṃmahiddhikā brāhmaṇāti dasseti.

    จิตฺยา กตาติ ปุเพฺพ กิเรโก พาราณสิราชา พฺราหฺมเณ สคฺคมคฺคํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘พฺราหฺมณานํ สกฺการํ กโรหี’’ติ วุเตฺต เตสํ มหาทานํ ปฎฺฐเปตฺวา ‘‘มยฺหํ ทาเน กิํ นตฺถี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สพฺพํ, เทว, อตฺถิ, พฺราหฺมณานํ ปน อาสนานิ นปฺปโหนฺตี’’ติ วุเตฺต อิฎฺฐกาหิ จินาเปตฺวา อาสนานิ กาเรสิฯ ตทา จิตฺยา อาสนปีฐิกา พฺราหฺมณานํ อานุภาเวน วฑฺฒิตฺวา มาลาคิริอาทโย ปพฺพตา ชาตาฯ เอวเมเต ยญฺญกาเรหิ พฺราหฺมเณหิ กตาติ กเถนฺตีติฯ

    Cityā katāti pubbe kireko bārāṇasirājā brāhmaṇe saggamaggaṃ pucchitvā ‘‘brāhmaṇānaṃ sakkāraṃ karohī’’ti vutte tesaṃ mahādānaṃ paṭṭhapetvā ‘‘mayhaṃ dāne kiṃ natthī’’ti pucchitvā ‘‘sabbaṃ, deva, atthi, brāhmaṇānaṃ pana āsanāni nappahontī’’ti vutte iṭṭhakāhi cināpetvā āsanāni kāresi. Tadā cityā āsanapīṭhikā brāhmaṇānaṃ ānubhāvena vaḍḍhitvā mālāgiriādayo pabbatā jātā. Evamete yaññakārehi brāhmaṇehi katāti kathentīti.

    อถ นํ ปุน อาห ‘‘ภาติก, ชานาสิ ปนายํ สมุโทฺท เกน การเณน อเปโยฺย โลโณทโก ชาโต’’ติ? ‘‘น ชานามิ, อริฎฺฐา’’ติฯ อถ นํ ‘‘ตฺวํ พฺราหฺมเณเยว วิหิํสิตุํ ชานาสิ, สุโณหี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ puna āha ‘‘bhātika, jānāsi panāyaṃ samuddo kena kāraṇena apeyyo loṇodako jāto’’ti? ‘‘Na jānāmi, ariṭṭhā’’ti. Atha naṃ ‘‘tvaṃ brāhmaṇeyeva vihiṃsituṃ jānāsi, suṇohī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๙๑๗.

    917.

    ‘‘อชฺฌายกํ มนฺตคุณูปปนฺนํ, ตปสฺสินํ ‘ยาจโยโค’ติธาหุ;

    ‘‘Ajjhāyakaṃ mantaguṇūpapannaṃ, tapassinaṃ ‘yācayogo’tidhāhu;

    ตีเร สมุทฺทสฺสุทกํ สชนฺตํ, ตํ สาคโรโชฺฌหริ เตนาเปโยฺย’’ติฯ

    Tīre samuddassudakaṃ sajantaṃ, taṃ sāgarojjhohari tenāpeyyo’’ti.

    ตตฺถ ‘ยาจโยโคติธาหูติ ตํ พฺราหฺมณํ ยาจโยโคติ อิธ โลเก อาหุฯ อุทกํ สชนฺตติ โส กิเรกทิวสํ ปาปปวาหนกมฺมํ กโรโนฺต ตีเร ฐตฺวา สมุทฺทโต อุทกํ คเหตฺวา อตฺตโน อุปริ สีเส สชนฺตํ อพฺภุกิรติฯ อถ นํ เอวํ กโรนฺตํ วฑฺฒิตฺวา สาคโร อโชฺฌหริฯ ตํ การณํ มหาพฺรหฺมา ญตฺวา ‘‘อิมินา กิร เม ปุโตฺต หโต’’ติ กุชฺฌิตฺวา ‘‘สมุโทฺท อเปโยฺย โลโณทโก ภวตู’’ติ วตฺวา อภิสปิ, เตน การเณน อเปโยฺย ชาโตฯ เอวรูปา เอเต พฺราหฺมณา นาม มหานุภาวาติฯ

    Tattha ‘yācayogotidhāhūti taṃ brāhmaṇaṃ yācayogoti idha loke āhu. Udakaṃ sajantati so kirekadivasaṃ pāpapavāhanakammaṃ karonto tīre ṭhatvā samuddato udakaṃ gahetvā attano upari sīse sajantaṃ abbhukirati. Atha naṃ evaṃ karontaṃ vaḍḍhitvā sāgaro ajjhohari. Taṃ kāraṇaṃ mahābrahmā ñatvā ‘‘iminā kira me putto hato’’ti kujjhitvā ‘‘samuddo apeyyo loṇodako bhavatū’’ti vatvā abhisapi, tena kāraṇena apeyyo jāto. Evarūpā ete brāhmaṇā nāma mahānubhāvāti.

    ปุนปิ อาห –

    Punapi āha –

    ๙๑๘.

    918.

    ‘‘อายาควตฺถูนิ ปุถู ปถพฺยา, สํวิชฺชนฺติ พฺราหฺมณา วาสวสฺส;

    ‘‘Āyāgavatthūni puthū pathabyā, saṃvijjanti brāhmaṇā vāsavassa;

    ปุริมํ ทิสํ ปจฺฉิมํ ทกฺขิณุตฺตรํ, สํวิชฺชมานา ชนยนฺติ เวท’’นฺติฯ

    Purimaṃ disaṃ pacchimaṃ dakkhiṇuttaraṃ, saṃvijjamānā janayanti veda’’nti.

    ตตฺถ วาสวสฺสาติ ปุเพฺพ พฺราหฺมณานํ ทานํ ทตฺวา วาสวตฺตํ ปตฺตสฺส วาสวสฺสฯ อายาควตฺถูนีติ ปุญฺญเกฺขตฺตภูตา อคฺคทกฺขิเณยฺยา ปถพฺยา ปุถู พฺราหฺมณา สํวิชฺชนฺติฯ ปุริมํ ทิสนฺติ เต อิทานิปิ จตูสุ ทิสาสุ สํวิชฺชมานา ตสฺส วาสวสฺส มหนฺตํ เวทํ ชนยนฺติ, ปีติโสมนสฺสํ อาวหนฺติฯ

    Tattha vāsavassāti pubbe brāhmaṇānaṃ dānaṃ datvā vāsavattaṃ pattassa vāsavassa. Āyāgavatthūnīti puññakkhettabhūtā aggadakkhiṇeyyā pathabyā puthū brāhmaṇā saṃvijjanti. Purimaṃ disanti te idānipi catūsu disāsu saṃvijjamānā tassa vāsavassa mahantaṃ vedaṃ janayanti, pītisomanassaṃ āvahanti.

    เอวํ อริโฎฺฐ จุทฺทสหิ คาถาหิ พฺราหฺมเณ จ ยเญฺญ จ เวเท จ วเณฺณสิฯ

    Evaṃ ariṭṭho cuddasahi gāthāhi brāhmaṇe ca yaññe ca vede ca vaṇṇesi.

    มิจฺฉากถา นิฎฺฐิตาฯ

    Micchākathā niṭṭhitā.

    ตสฺส ตํ กถํ สุตฺวา มหาสตฺตสฺส คิลานุปฎฺฐานํ อาคตา พหู นาคา ‘‘อยํ ภูตเมว กเถตี’’ติ มิจฺฉาคาหํ คณฺหนาการปฺปตฺตา ชาตาฯ มหาสโตฺต คิลานเสยฺยาย นิปโนฺนว ตํ สพฺพํ อโสฺสสิ ฯ นาคาปิสฺส อาโรเจสุํฯ ตโต มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อริโฎฺฐ มิจฺฉามคฺคํ วเณฺณติ, วาทมสฺส ภินฺทิตฺวา ปริสํ สมฺมาทิฎฺฐิกํ กริสฺสามี’’ติฯ โส อุฎฺฐาย นฺหตฺวา สพฺพาลงฺการปฺปฎิมณฺฑิโต ธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา สพฺพํ นาคปริสํ สนฺนิปาตาเปตฺวา อริฎฺฐํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อริฎฺฐ, ตฺวํ อภูตํ วตฺวา เวเท จ ยเญฺญ จ พฺราหฺมเณ จ วเณฺณสิ, พฺราหฺมณานญฺหิ เวทวิธาเนน ยญฺญยชนํ นาม อนริยสมฺมตํ น สคฺคาวหํ, ตว วาเท อภูตํ ปสฺสาหี’’ติ วตฺวา ยญฺญเภทวาทํ นาม อารภโนฺต อาห –

    Tassa taṃ kathaṃ sutvā mahāsattassa gilānupaṭṭhānaṃ āgatā bahū nāgā ‘‘ayaṃ bhūtameva kathetī’’ti micchāgāhaṃ gaṇhanākārappattā jātā. Mahāsatto gilānaseyyāya nipannova taṃ sabbaṃ assosi . Nāgāpissa ārocesuṃ. Tato mahāsatto cintesi ‘‘ariṭṭho micchāmaggaṃ vaṇṇeti, vādamassa bhinditvā parisaṃ sammādiṭṭhikaṃ karissāmī’’ti. So uṭṭhāya nhatvā sabbālaṅkārappaṭimaṇḍito dhammāsane nisīditvā sabbaṃ nāgaparisaṃ sannipātāpetvā ariṭṭhaṃ pakkosāpetvā ‘‘ariṭṭha, tvaṃ abhūtaṃ vatvā vede ca yaññe ca brāhmaṇe ca vaṇṇesi, brāhmaṇānañhi vedavidhānena yaññayajanaṃ nāma anariyasammataṃ na saggāvahaṃ, tava vāde abhūtaṃ passāhī’’ti vatvā yaññabhedavādaṃ nāma ārabhanto āha –

    ๙๑๙.

    919.

    ‘‘กลี หิ ธีราน กฎํ มคานํ, ภวนฺติ เวทชฺฌคตานริฎฺฐ;

    ‘‘Kalī hi dhīrāna kaṭaṃ magānaṃ, bhavanti vedajjhagatānariṭṭha;

    มรีจิธมฺมํ อสเมกฺขิตตฺตา, มายาคุณา นาติวหนฺติ ปญฺญํฯ

    Marīcidhammaṃ asamekkhitattā, māyāguṇā nātivahanti paññaṃ.

    ๙๒๐.

    920.

    ‘‘เวทา น ตาณาย ภวนฺติ ทสฺส, มิตฺตทฺทุโน ภูนหุโน นรสฺส;

    ‘‘Vedā na tāṇāya bhavanti dassa, mittadduno bhūnahuno narassa;

    น ตายเต ปริจิโณฺณ จ อคฺคิ, โทสนฺตรํ มจฺจมนริยกมฺมํฯ

    Na tāyate pariciṇṇo ca aggi, dosantaraṃ maccamanariyakammaṃ.

    ๙๒๑.

    921.

    ‘‘สพฺพญฺจ มจฺจา สธนํ สโภคํ, อาทีปิตํ ทารุ ติเณน มิสฺสํ;

    ‘‘Sabbañca maccā sadhanaṃ sabhogaṃ, ādīpitaṃ dāru tiṇena missaṃ;

    ทหํ น ตเปฺป อสมตฺถเตโช, โก ตํ สุภิกฺขํ ทฺวิรสญฺญุ กยิราฯ

    Dahaṃ na tappe asamatthatejo, ko taṃ subhikkhaṃ dvirasaññu kayirā.

    ๙๒๒.

    922.

    ‘‘ยถาปิ ขีรํ วิปริณามธมฺมํ, ทธิ ภวิตฺวา นวนีตมฺปิ โหติ;

    ‘‘Yathāpi khīraṃ vipariṇāmadhammaṃ, dadhi bhavitvā navanītampi hoti;

    เอวมฺปิ อคฺคิ วิปริณามธโมฺม, เตโช สโมโรหตี โยคยุโตฺตฯ

    Evampi aggi vipariṇāmadhammo, tejo samorohatī yogayutto.

    ๙๒๓.

    923.

    ‘‘น ทิสฺสตี อคฺคิ มนุปฺปวิโฎฺฐ, สุเกฺขสุ กเฎฺฐสุ นเวสุ จาปิ;

    ‘‘Na dissatī aggi manuppaviṭṭho, sukkhesu kaṭṭhesu navesu cāpi;

    นามตฺถมาโน อรณีนเรน, นากมฺมุนา ชายติ ชาตเวโทฯ

    Nāmatthamāno araṇīnarena, nākammunā jāyati jātavedo.

    ๙๒๔.

    924.

    ‘‘สเจ หิ อคฺคิ อนฺตรโต วเสยฺย, สุเกฺขสุ กเฎฺฐสุ นเวสุ จาปิ;

    ‘‘Sace hi aggi antarato vaseyya, sukkhesu kaṭṭhesu navesu cāpi;

    สพฺพานิ สุเสฺสยฺยุ วนานิ โลเก, สุกฺขานิ กฎฺฐานิ จ ปชฺชเลยฺยุํฯ

    Sabbāni susseyyu vanāni loke, sukkhāni kaṭṭhāni ca pajjaleyyuṃ.

    ๙๒๕.

    925.

    ‘‘กโรติ เจ ทารุติเณน ปุญฺญํ, โภชํ นโร ธูมสิขิํ ปตาปวํ;

    ‘‘Karoti ce dārutiṇena puññaṃ, bhojaṃ naro dhūmasikhiṃ patāpavaṃ;

    องฺคาริกา โลณกรา จ สูทา, สรีรทาหาปิ กเรยฺยุ ปุญฺญํฯ

    Aṅgārikā loṇakarā ca sūdā, sarīradāhāpi kareyyu puññaṃ.

    ๙๒๖.

    926.

    ‘‘อถ เจ หิ เอเต น กโรนฺติ ปุญฺญํ, อเชฺฌนมคฺคิํ อิธ ตปฺปยิตฺวา;

    ‘‘Atha ce hi ete na karonti puññaṃ, ajjhenamaggiṃ idha tappayitvā;

    น โกจิ โลกสฺมิํ กโรติ ปุญฺญํ, โภชํ นโร ธูมสิขิํ ปตาปวํฯ

    Na koci lokasmiṃ karoti puññaṃ, bhojaṃ naro dhūmasikhiṃ patāpavaṃ.

    ๙๒๗.

    927.

    ‘‘กถญฺหิ โลกาปจิโต สมาโน, อมนุญฺญคนฺธํ พหูนํ อกนฺตํ;

    ‘‘Kathañhi lokāpacito samāno, amanuññagandhaṃ bahūnaṃ akantaṃ;

    ยเทว มจฺจา ปริวชฺชยนฺติ, ตทปฺปสตฺถํ ทฺวิรสญฺญุ ภุเญฺชฯ

    Yadeva maccā parivajjayanti, tadappasatthaṃ dvirasaññu bhuñje.

    ๙๒๘.

    928.

    ‘‘สิขิมฺปิ เทเวสุ วทนฺติ เหเก, อาปํ มิลกฺขู ปน เทวมาหุ;

    ‘‘Sikhimpi devesu vadanti heke, āpaṃ milakkhū pana devamāhu;

    สเพฺพว เอเต วิตถํ ภณนฺติ, อคฺคี น เทวญฺญตโร น จาโปฯ

    Sabbeva ete vitathaṃ bhaṇanti, aggī na devaññataro na cāpo.

    ๙๒๙.

    929.

    ‘‘อนินฺทฺริยพทฺธมสญฺญกายํ, เวสฺสานรํ กมฺมกรํ ปชานํ;

    ‘‘Anindriyabaddhamasaññakāyaṃ, vessānaraṃ kammakaraṃ pajānaṃ;

    ปริจริย มคฺคิํ สุคติํ กถํ วเช, ปาปานิ กมฺมานิ ปกุพฺพมาโนฯ

    Paricariya maggiṃ sugatiṃ kathaṃ vaje, pāpāni kammāni pakubbamāno.

    ๙๓๐.

    930.

    ‘‘สพฺพาภิภู ตาหุธ ชีวิกตฺถา, อคฺคิสฺส พฺรหฺมา ปริจาริโกติ;

    ‘‘Sabbābhibhū tāhudha jīvikatthā, aggissa brahmā paricārikoti;

    สพฺพานุภาวี จ วสี กิมตฺถํ, อนิมฺมิโต นิมฺมิตํ วนฺทิตสฺสฯ

    Sabbānubhāvī ca vasī kimatthaṃ, animmito nimmitaṃ vanditassa.

    ๙๓๑.

    931.

    ‘‘หสฺสํ อนิชฺฌานกฺขมํ อตจฺฉํ, สกฺการเหตุ ปกิริํสุ ปุเพฺพ;

    ‘‘Hassaṃ anijjhānakkhamaṃ atacchaṃ, sakkārahetu pakiriṃsu pubbe;

    เต ลาภสกฺกาเร อปาตุโภเนฺต, สนฺธาปิตา ชนฺตุภิ สนฺติธมฺมํฯ

    Te lābhasakkāre apātubhonte, sandhāpitā jantubhi santidhammaṃ.

    ๙๓๒.

    932.

    ‘‘อเชฺฌนมริยา ปถวิํ ชนินฺทา, เวสฺสา กสิํ ปาริจริยญฺจ สุทฺทา;

    ‘‘Ajjhenamariyā pathaviṃ janindā, vessā kasiṃ pāricariyañca suddā;

    อุปาคุ ปเจฺจกํ ยถาปเทสํ, กตาหุ เอเต วสินาติ อาหุฯ

    Upāgu paccekaṃ yathāpadesaṃ, katāhu ete vasināti āhu.

    ๙๓๓.

    933.

    ‘‘เอตญฺจ สจฺจํ วจนํ ภเวยฺย, ยถา อิทํ ภาสิตํ พฺราหฺมเณหิ;

    ‘‘Etañca saccaṃ vacanaṃ bhaveyya, yathā idaṃ bhāsitaṃ brāhmaṇehi;

    นาขตฺติโย ชาตุ ลเภถ รชฺชํ, นาพฺราหฺมโณ มนฺตปทานิ สิเกฺข;

    Nākhattiyo jātu labhetha rajjaṃ, nābrāhmaṇo mantapadāni sikkhe;

    นาญฺญตฺร เวเสฺสหิ กสิํ กเรยฺย, สุโทฺท น มุเจฺจ ปรเปสนายฯ

    Nāññatra vessehi kasiṃ kareyya, suddo na mucce parapesanāya.

    ๙๓๔.

    934.

    ‘‘ยสฺมา จ เอตํ วจนํ อภูตํ, มุสาวิเม โอทริยา ภณนฺติ;

    ‘‘Yasmā ca etaṃ vacanaṃ abhūtaṃ, musāvime odariyā bhaṇanti;

    ตทปฺปปญฺญา อภิสทฺทหนฺติ, ปสฺสนฺติ ตํ ปณฺฑิตา อตฺตนาวฯ

    Tadappapaññā abhisaddahanti, passanti taṃ paṇḍitā attanāva.

    ๙๓๕.

    935.

    ‘‘ขตฺยา หิ เวสฺสานํ พลิํ หรนฺติ, อาทาย สตฺถานิ จรนฺติ พฺราหฺมณา;

    ‘‘Khatyā hi vessānaṃ baliṃ haranti, ādāya satthāni caranti brāhmaṇā;

    ตํ ตาทิสํ สงฺขุภิตํ ปภินฺนํ, กสฺมา พฺรหฺมา นุชฺชุ กโรติ โลกํฯ

    Taṃ tādisaṃ saṅkhubhitaṃ pabhinnaṃ, kasmā brahmā nujju karoti lokaṃ.

    ๙๓๖.

    936.

    ‘‘สเจ หิ โส อิสฺสโร สพฺพโลเก, พฺรหฺมา พหูภูตปตี ปชานํ;

    ‘‘Sace hi so issaro sabbaloke, brahmā bahūbhūtapatī pajānaṃ;

    กิํ สพฺพโลกํ วิทหี อลกฺขิํ, กิํ สพฺพโลกํ น สุขิํ อกาสิฯ

    Kiṃ sabbalokaṃ vidahī alakkhiṃ, kiṃ sabbalokaṃ na sukhiṃ akāsi.

    ๙๓๗.

    937.

    ‘‘สเจ หิ โส อิสฺสโร สพฺพโลเก, พฺรหฺมา พหูภูตปตี ปชานํ;

    ‘‘Sace hi so issaro sabbaloke, brahmā bahūbhūtapatī pajānaṃ;

    มายา มุสาวชฺชมเทน จาปิ, โลกํ อธเมฺมน กิมตฺถมการิฯ

    Māyā musāvajjamadena cāpi, lokaṃ adhammena kimatthamakāri.

    ๙๓๘.

    938.

    ‘‘สเจ หิ โส อิสฺสโร สพฺพโลเก, พฺรหฺมา พหูภูตปตี ปชานํ;

    ‘‘Sace hi so issaro sabbaloke, brahmā bahūbhūtapatī pajānaṃ;

    อธมฺมิโก ภูตปตี อริฎฺฐ, ธเมฺม สติ โย วิทหี อธมฺมํฯ

    Adhammiko bhūtapatī ariṭṭha, dhamme sati yo vidahī adhammaṃ.

    ๙๓๙.

    939.

    ‘‘กีฎา ปฎงฺคา อุรคา จ เภกา, คนฺตฺวา กิมี สุชฺฌติ มกฺขิกา จ;

    ‘‘Kīṭā paṭaṅgā uragā ca bhekā, gantvā kimī sujjhati makkhikā ca;

    เอเตปิ ธมฺมา อนริยรูปา, กโมฺพชกานํ วิตถา พหูน’’นฺติฯ

    Etepi dhammā anariyarūpā, kambojakānaṃ vitathā bahūna’’nti.

    ตตฺถ เวทชฺฌคตานริฎฺฐาติ อริฎฺฐ, อิมานิ เวทาธิคมนานิ นาม ธีรานํ ปราชยสงฺขาโต กลิคฺคาโห, มคานํ พาลานํ ชยสงฺขาโต กฎคฺคาโหฯ มรีจิธมฺมนฺติ อิทญฺหิ เวทตฺตยํ มรีจิธมฺมํฯ ตยิทํ อสเมกฺขิตตฺตา ยุตฺตายุตฺตํ อชานนฺตา พาลา อุทกสญฺญาย มคา มรีจิํ วิย ภูตสญฺญาย อนวชฺชสญฺญาย อตฺตโน วินาสํ อุปคจฺฉนฺติฯ ปญฺญนฺติ เอวรูปา ปน มายาโกฎฺฐาสา ปญฺญํ ญาณสมฺปนฺนํ ปุริสํ นาติวหนฺติ น วเญฺจนฺติฯ ภวนฺติ ทสฺสาติ -กาโร พฺยญฺชนสนฺธิมตฺตํ, อสฺส ภูนหุโน วุฑฺฒิฆาตกสฺส มิตฺตทุพฺภิโน นรสฺส เวทา น ตาณตฺถาย ภวนฺติ, ปติฎฺฐา โหตุํ น สโกฺกนฺตีติ อโตฺถฯ ปริจิโณฺณ จ อคฺคีติ อคฺคิ จ ปริจิโณฺณ ติวิเธน ทุจฺจริตโทเสน สโทสจิตฺตํ ปาปกมฺมํ ปุริสํ น ตายติ น รกฺขติฯ

    Tattha vedajjhagatānariṭṭhāti ariṭṭha, imāni vedādhigamanāni nāma dhīrānaṃ parājayasaṅkhāto kaliggāho, magānaṃ bālānaṃ jayasaṅkhāto kaṭaggāho. Marīcidhammanti idañhi vedattayaṃ marīcidhammaṃ. Tayidaṃ asamekkhitattā yuttāyuttaṃ ajānantā bālā udakasaññāya magā marīciṃ viya bhūtasaññāya anavajjasaññāya attano vināsaṃ upagacchanti. Paññanti evarūpā pana māyākoṭṭhāsā paññaṃ ñāṇasampannaṃ purisaṃ nātivahanti na vañcenti. Bhavanti dassāti da-kāro byañjanasandhimattaṃ, assa bhūnahuno vuḍḍhighātakassa mittadubbhino narassa vedā na tāṇatthāya bhavanti, patiṭṭhā hotuṃ na sakkontīti attho. Pariciṇṇo ca aggīti aggi ca pariciṇṇo tividhena duccaritadosena sadosacittaṃ pāpakammaṃ purisaṃ na tāyati na rakkhati.

    สพฺพญฺจ มจฺจาติ สเจปิ หิ มจฺจา ยตฺตกํ โลเก ทารุ อตฺถิ, ตํ สพฺพํ สธนํ สโภคํ อตฺตโน ธเนน จ โภเคหิ จ สทฺธิํ ติเณน มิสฺสํ กตฺวา อาทีเปยฺยุํฯ เอวํ สพฺพมฺปิ ตํ เตหิ อาทีปิตํ ทหโนฺต อยํ อสมตฺถเตโช อสทิสเตโช ตว อคฺคิ น ตเปฺปยฺยฯ เอวํ อตปฺปนียํ, ภาติก, ทฺวิรสญฺญุ ทฺวีหิ ชิวฺหาหิ รสชานนสมโตฺถ โก ตํ สปฺปิอาทีหิ สุภิกฺขํ สุหีตํ กยิรา, โก สกฺกุเณยฺย กาตุํฯ เอวํ อติตฺตํ ปเนตํ มหคฺฆสํ สนฺตเปฺปตฺวา โก นาม เทวโลกํ คมิสฺสติ, ปสฺส ยาวเญฺจตํ ทุกฺกถิตนฺติฯ โยคยุโตฺตติ อรณิมถนโยเคน ยุโตฺต หุตฺวา ตํ ปจฺจยํ ลภิตฺวาว อคฺคิ สโมโรหติ นิพฺพตฺตติฯ เอวํ ปรวายาเมน อุปฺปชฺชมานํ อเจตนํ ตํ ตฺวํ ‘‘เทโว’’ติ วเทสิฯ อิทมฺปิ อภูตเมว กเถสีติฯ

    Sabbañca maccāti sacepi hi maccā yattakaṃ loke dāru atthi, taṃ sabbaṃ sadhanaṃ sabhogaṃ attano dhanena ca bhogehi ca saddhiṃ tiṇena missaṃ katvā ādīpeyyuṃ. Evaṃ sabbampi taṃ tehi ādīpitaṃ dahanto ayaṃ asamatthatejo asadisatejo tava aggi na tappeyya. Evaṃ atappanīyaṃ, bhātika, dvirasaññu dvīhi jivhāhi rasajānanasamattho ko taṃ sappiādīhi subhikkhaṃ suhītaṃ kayirā, ko sakkuṇeyya kātuṃ. Evaṃ atittaṃ panetaṃ mahagghasaṃ santappetvā ko nāma devalokaṃ gamissati, passa yāvañcetaṃ dukkathitanti. Yogayuttoti araṇimathanayogena yutto hutvā taṃ paccayaṃ labhitvāva aggi samorohati nibbattati. Evaṃ paravāyāmena uppajjamānaṃ acetanaṃ taṃ tvaṃ ‘‘devo’’ti vadesi. Idampi abhūtameva kathesīti.

    อคฺคิ มนุปฺปวิโฎฺฐติ อคฺคิ อนุปวิโฎฺฐฯ นามตฺถมาโนติ นาปิ อรณิหเตฺถน นเรน อมตฺถิยมาโน นิพฺพตฺตติฯ นากมฺมุนา ชายติ ชาตเวโทติ เอกสฺส กิริยํ วินา อตฺตโน ธมฺมตาย เอว น ชายติฯ สุเสฺสยฺยุนฺติ อโนฺต อคฺคินา โสสิยมานานิ วนานิ สุเกฺขยฺยุํ, อลฺลาเนว น สิยุํฯ โภชนฺติ โภเชโนฺตฯ ธูมสิขิํ ปตาปวนฺติ ธูมสิขาย ยุตฺตํ ปตาปวนฺตํฯ องฺคาริกาติ องฺคารกมฺมกราฯ โลณกราติ โลโณทกํ ปจิตฺวา โลณการกาฯ สูทาติ ภตฺตการกาฯ สรีรทาหาติ มตสรีรชฺฌาปกาฯ ปุญฺญนฺติ เอเตปิ สเพฺพ ปุญฺญเมว กเรยฺยุํฯ

    Aggi manuppaviṭṭhoti aggi anupaviṭṭho. Nāmatthamānoti nāpi araṇihatthena narena amatthiyamāno nibbattati. Nākammunā jāyati jātavedoti ekassa kiriyaṃ vinā attano dhammatāya eva na jāyati. Susseyyunti anto agginā sosiyamānāni vanāni sukkheyyuṃ, allāneva na siyuṃ. Bhojanti bhojento. Dhūmasikhiṃ patāpavanti dhūmasikhāya yuttaṃ patāpavantaṃ. Aṅgārikāti aṅgārakammakarā. Loṇakarāti loṇodakaṃ pacitvā loṇakārakā. Sūdāti bhattakārakā. Sarīradāhāti matasarīrajjhāpakā. Puññanti etepi sabbe puññameva kareyyuṃ.

    อเชฺฌนมคฺคินฺติ อเชฺฌนอคฺคิํฯ น โกจีติ มนฺตชฺฌายกา พฺราหฺมณาปิ โหนฺตุ, โกจิ นโร ธูมสิขิํ ปตาปวนฺตํ อคฺคิํ โภเชโนฺต ตปฺปยิตฺวาปิ ปุญฺญํ น กโรติ นามฯ โลกาปจิโต สมาโนติ ตว เทโวโลกสฺส อปจิโต ปูชิโต สมาโนฯ ยเทวาติ ยํ อหิกุณปาทิํ ปฎิกุลํ เชคุจฺฉํ มจฺจา ทูรโต ปริวเชฺชนฺติฯ ตทปฺปสตฺถนฺติ ตํ อปฺปสตฺถํ, สมฺม, ทฺวิรสญฺญุ กถํ เกน การเณน ปริภุเญฺชยฺยฯ เทเวสูติ เอเก มนุสฺสา สิขิมฺปิ เทเวสุ อญฺญตรํ เทวํ วทนฺติฯ มิลกฺขู ปนาติ อญฺญาณา ปน มิลกฺขู อุทกํ ‘‘เทโว’’ติ วทนฺติฯ อสญฺญกายนฺติ อนินฺทฺริยพทฺธํ อจิตฺตกายญฺจ สมานํ เอตํ อเจตนํ ปชานํ ปจนาทิกมฺมกรํ เวสฺสานรํ อคฺคิํ ปริจริตฺวา ปาปานิ กมฺมานิ กโรโนฺต โลโก กถํ สุคติํ คมิสฺสติฯ อิทํ เต อติวิย ทุกฺกถิตํฯ

    Ajjhenamagginti ajjhenaaggiṃ. Na kocīti mantajjhāyakā brāhmaṇāpi hontu, koci naro dhūmasikhiṃ patāpavantaṃ aggiṃ bhojento tappayitvāpi puññaṃ na karoti nāma. Lokāpacito samānoti tava devolokassa apacito pūjito samāno. Yadevāti yaṃ ahikuṇapādiṃ paṭikulaṃ jegucchaṃ maccā dūrato parivajjenti. Tadappasatthanti taṃ appasatthaṃ, samma, dvirasaññu kathaṃ kena kāraṇena paribhuñjeyya. Devesūti eke manussā sikhimpi devesu aññataraṃ devaṃ vadanti. Milakkhū panāti aññāṇā pana milakkhū udakaṃ ‘‘devo’’ti vadanti. Asaññakāyanti anindriyabaddhaṃ acittakāyañca samānaṃ etaṃ acetanaṃ pajānaṃ pacanādikammakaraṃ vessānaraṃ aggiṃ paricaritvā pāpāni kammāni karonto loko kathaṃ sugatiṃ gamissati. Idaṃ te ativiya dukkathitaṃ.

    สพฺพาภิ ภูตาหุธ ชีวิกตฺถาติ อิเม พฺราหฺมณา อตฺตโน ชีวิกตฺถํ มหาพฺรหฺมา สพฺพาภิภูติ อาหํสุ, สโพฺพ โลโก เตเนว นิมฺมิโตติ วทนฺติฯ ปุน อคฺคิสฺส พฺรหฺมา ปริจารโกติปิ วทนฺติฯ โสปิ กิร อคฺคิํ ชุหเตวฯ สพฺพานุภาวี จ วสีติ โส ปน ยทิ สพฺพานุภาวี จ วสี จ, อถ กิมตฺถํ สยํ อนิมฺมิโต หุตฺวา อตฺตนาว นิมฺมิตํ วนฺทิตา ภเวยฺยฯ อิทมฺปิ เต ทุกฺกถิตเมวฯ หสฺสนฺติ อริฎฺฐ พฺราหฺมณานํ วจนํ นาม หสิตพฺพยุตฺตกํ ปณฺฑิตานํ น นิชฺฌานกฺขมํฯ ปกิริํสูติ อิเม พฺราหฺมณา เอวรูปํ มุสาวาทํ อตฺตโน สกฺการเหตุ ปุเพฺพ ปตฺถริํสุฯ สนฺธาปิตา ชนฺตุภิ สนฺติธมฺมนฺติ เต เอตฺตเกน ลาภสกฺกาเร อปาตุภูเต ชนฺตูหิ สทฺธิํ โยเชตฺวา ปาณวธปฎิสํยุตฺตํ อตฺตโน ลทฺธิธมฺมสงฺขาตํ สนฺติธมฺมํ สนฺธาปิตา, ยญฺญสุตฺตํ นาม คนฺถยิํสูติ อโตฺถฯ

    Sabbābhi bhūtāhudha jīvikatthāti ime brāhmaṇā attano jīvikatthaṃ mahābrahmā sabbābhibhūti āhaṃsu, sabbo loko teneva nimmitoti vadanti. Puna aggissa brahmā paricārakotipi vadanti. Sopi kira aggiṃ juhateva. Sabbānubhāvī ca vasīti so pana yadi sabbānubhāvī ca vasī ca, atha kimatthaṃ sayaṃ animmito hutvā attanāva nimmitaṃ vanditā bhaveyya. Idampi te dukkathitameva. Hassanti ariṭṭha brāhmaṇānaṃ vacanaṃ nāma hasitabbayuttakaṃ paṇḍitānaṃ na nijjhānakkhamaṃ. Pakiriṃsūti ime brāhmaṇā evarūpaṃ musāvādaṃ attano sakkārahetu pubbe patthariṃsu. Sandhāpitā jantubhi santidhammanti te ettakena lābhasakkāre apātubhūte jantūhi saddhiṃ yojetvā pāṇavadhapaṭisaṃyuttaṃ attano laddhidhammasaṅkhātaṃ santidhammaṃ sandhāpitā, yaññasuttaṃ nāma ganthayiṃsūti attho.

    เอตญฺจ สจฺจนฺติ ยเทตํ ตยา ‘‘อเชฺฌนมริยา’’ติอาทิ วุตฺตํ, เอตญฺจ สจฺจํ ภเวยฺยฯ นาขตฺติโยติ เอวํ สเนฺต อขตฺติโย รชฺชํ นาม น ลเภยฺย, อพฺราหฺมโณปิ มนฺตปทานิ น สิเกฺขยฺยฯ มุสาวิเมติ มุสาว อิเมฯ โอทริยาติ อุทรนิสฺสิตชีวิกา, อุทรปูรณเหตุ วาฯ ตทปฺปปญฺญาติ ตํ เตสํ วจนํ อปฺปปญฺญาฯ อตฺตนาวาติ ปณฺฑิตา ปน เตสํ วจนํ ‘‘สโทส’’นฺติ อตฺตนาว ปสฺสนฺติฯ ตาทิสนฺติ ตถารูปํฯ สงฺขุภิตนฺติ สงฺขุภิตฺวา พฺรหฺมุนา ฐปิตมริยาทํ ภินฺทิตฺวา ฐิตํ สงฺขุภิตํ วิภินฺทํ โลกํ โส ตวพฺรหฺมา กสฺมา อุชุํ น กโรติ ฯ อลกฺขินฺติ กิํการณา สพฺพโลเก ทุกฺขํ วิทหิฯ สุขินฺติ กิํ นุ เอกนฺตสุขิเมว สพฺพโลกํ น อกาสิ, โลกวินาสโก โจโร มเญฺญ ตว พฺรหฺมาติฯ มายาติ มายายฯ อธเมฺมน กิมตฺถมการีติ อิมินา มายาทินา อธเมฺมน กิํการณา โลกํ อนตฺถกิริยายํ สํโยเชสีติ อโตฺถฯ อริฎฺฐาติ อริฎฺฐ, ตว ภูตปติ อธมฺมิโก, โย ทสวิเธ กุสลธเมฺม สติ ธมฺมเมว อวิทหิตฺวา อธมฺมํ วิทหิฯ กีฎาติอาทิ อุปโยคเตฺถ ปจฺจตฺตํฯ เอเต กีฎาทโย ปาเณ หนฺตฺวา มโจฺจ สุชฺฌตีติ เอเตปิ กโมฺพชรฎฺฐวาสีนํ พหูนํ อนริยานํ ธมฺมา, เต ปน วิตถา, อธมฺมาว ธมฺมาติ วุตฺตาฯ เตหิปิ ตว พฺรหฺมุนาว นิมฺมิเตหิ ภวิตพฺพนฺติฯ

    Etañca saccanti yadetaṃ tayā ‘‘ajjhenamariyā’’tiādi vuttaṃ, etañca saccaṃ bhaveyya. Nākhattiyoti evaṃ sante akhattiyo rajjaṃ nāma na labheyya, abrāhmaṇopi mantapadāni na sikkheyya. Musāvimeti musāva ime. Odariyāti udaranissitajīvikā, udarapūraṇahetu vā. Tadappapaññāti taṃ tesaṃ vacanaṃ appapaññā. Attanāvāti paṇḍitā pana tesaṃ vacanaṃ ‘‘sadosa’’nti attanāva passanti. Tādisanti tathārūpaṃ. Saṅkhubhitanti saṅkhubhitvā brahmunā ṭhapitamariyādaṃ bhinditvā ṭhitaṃ saṅkhubhitaṃ vibhindaṃ lokaṃ so tavabrahmā kasmā ujuṃ na karoti . Alakkhinti kiṃkāraṇā sabbaloke dukkhaṃ vidahi. Sukhinti kiṃ nu ekantasukhimeva sabbalokaṃ na akāsi, lokavināsako coro maññe tava brahmāti. Māyāti māyāya. Adhammena kimatthamakārīti iminā māyādinā adhammena kiṃkāraṇā lokaṃ anatthakiriyāyaṃ saṃyojesīti attho. Ariṭṭhāti ariṭṭha, tava bhūtapati adhammiko, yo dasavidhe kusaladhamme sati dhammameva avidahitvā adhammaṃ vidahi. Kīṭātiādi upayogatthe paccattaṃ. Ete kīṭādayo pāṇe hantvā macco sujjhatīti etepi kambojaraṭṭhavāsīnaṃ bahūnaṃ anariyānaṃ dhammā, te pana vitathā, adhammāva dhammāti vuttā. Tehipi tava brahmunāva nimmitehi bhavitabbanti.

    อิทานิ เตสํ วิตถภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห –

    Idāni tesaṃ vitathabhāvaṃ dassento āha –

    ๙๔๐.

    940.

    ‘‘สเจ หิ โส สุชฺฌติ โย หนาติ, หโตปิ โส สคฺคมุเปติ ฐานํ;

    ‘‘Sace hi so sujjhati yo hanāti, hatopi so saggamupeti ṭhānaṃ;

    โภวาทิ โภวาทิน มารเยยฺยุํ, เย จาปิ เตสํ อภิสทฺทเหยฺยุํฯ

    Bhovādi bhovādina mārayeyyuṃ, ye cāpi tesaṃ abhisaddaheyyuṃ.

    ๙๔๑.

    941.

    ‘‘เนว มิคา น ปสู โนปิ คาโว, อายาจนฺติ อตฺตวธาย เกจิ;

    ‘‘Neva migā na pasū nopi gāvo, āyācanti attavadhāya keci;

    วิปฺผนฺทมาเน อิธ ชีวิกตฺถา, ยเญฺญสุ ปาเณ ปสุมารภนฺติฯ

    Vipphandamāne idha jīvikatthā, yaññesu pāṇe pasumārabhanti.

    ๙๔๒.

    942.

    ‘‘ยูปุสฺสเน ปสุพเนฺธ จ พาลา, จิเตฺตหิ วเณฺณหิ มุขํ นยนฺติ;

    ‘‘Yūpussane pasubandhe ca bālā, cittehi vaṇṇehi mukhaṃ nayanti;

    อยํ เต ยูโป กามทุโห ปรตฺถ, ภวิสฺสติ สสฺสโต สมฺปราเยฯ

    Ayaṃ te yūpo kāmaduho parattha, bhavissati sassato samparāye.

    ๙๔๓.

    943.

    ‘‘สเจ จ ยูเป มณิสงฺขมุตฺตํ, ธญฺญํ ธนํ รชตํ ชาตรูปํ;

    ‘‘Sace ca yūpe maṇisaṅkhamuttaṃ, dhaññaṃ dhanaṃ rajataṃ jātarūpaṃ;

    สุเกฺขสุ กเฎฺฐสุ นเวสุ จาปิ, สเจ ทุเห ติทิเว สพฺพกาเม;

    Sukkhesu kaṭṭhesu navesu cāpi, sace duhe tidive sabbakāme;

    เตวิชฺชสงฺฆาว ปุถู ยเชยฺยุํ, อพฺราหฺมณํ กญฺจิ น ยาชเยยฺยุํฯ

    Tevijjasaṅghāva puthū yajeyyuṃ, abrāhmaṇaṃ kañci na yājayeyyuṃ.

    ๙๔๔.

    944.

    ‘‘กุโต จ ยูเป มณิสงฺขมุตฺตํ, ธญฺญํ ธนํ รชตํ ชาตรูปํ;

    ‘‘Kuto ca yūpe maṇisaṅkhamuttaṃ, dhaññaṃ dhanaṃ rajataṃ jātarūpaṃ;

    สุเกฺขสุ กเฎฺฐสุ นเวสุ จาปิ, กุโต ทุเห ติทิเว สพฺพกาเมฯ

    Sukkhesu kaṭṭhesu navesu cāpi, kuto duhe tidive sabbakāme.

    ๙๔๕.

    945.

    ‘‘สฐา จ ลุทฺทา จ ปลุทฺธพาลา, จิเตฺตหิ วเณฺณหิ มุขํ นยนฺติ;

    ‘‘Saṭhā ca luddā ca paluddhabālā, cittehi vaṇṇehi mukhaṃ nayanti;

    อาทาย อคฺคิํ มม เทหิ วิตฺตํ, ตโต สุขี โหหิสิ สพฺพกาเมฯ

    Ādāya aggiṃ mama dehi vittaṃ, tato sukhī hohisi sabbakāme.

    ๙๔๖.

    946.

    ‘‘ตมคฺคิหุตฺตํ สรณํ ปวิสฺส, จิเตฺตหิ วเณฺณหิ มุขํ นยนฺติ;

    ‘‘Tamaggihuttaṃ saraṇaṃ pavissa, cittehi vaṇṇehi mukhaṃ nayanti;

    โอโรปยิตฺวา เกสมสฺสุํ นขญฺจ, เวเทหิ วิตฺตํ อติคาฬฺหยนฺติฯ

    Oropayitvā kesamassuṃ nakhañca, vedehi vittaṃ atigāḷhayanti.

    ๙๔๗.

    947.

    ‘‘กากา อุลูกํว รโห ลภิตฺวา, เอกํ สมานํ พหุกา สเมจฺจ;

    ‘‘Kākā ulūkaṃva raho labhitvā, ekaṃ samānaṃ bahukā samecca;

    อนฺนานิ ภุตฺวา กุหกา กุหิตฺวา, มุณฺฑํ กริตฺวา ยญฺญปโถสฺสชนฺติฯ

    Annāni bhutvā kuhakā kuhitvā, muṇḍaṃ karitvā yaññapathossajanti.

    ๙๔๘.

    948.

    ‘‘เอวญฺหิ โส วญฺจิโต พฺราหฺมเณหิ, เอโก สมาโน พหุกา สเมจฺจ;

    ‘‘Evañhi so vañcito brāhmaṇehi, eko samāno bahukā samecca;

    เต โยคโยเคน วิลุมฺปมานา, ทิฎฺฐํ อทิเฎฺฐน ธนํ หรนฺติฯ

    Te yogayogena vilumpamānā, diṭṭhaṃ adiṭṭhena dhanaṃ haranti.

    ๙๔๙.

    949.

    ‘‘อกาสิยา ราชูหิวานุสิฎฺฐา, ตทสฺส อาทาย ธนํ หรนฺติ;

    ‘‘Akāsiyā rājūhivānusiṭṭhā, tadassa ādāya dhanaṃ haranti;

    เต ตาทิสา โจรสมา อสนฺตา, วชฺฌา น หญฺญนฺติ อริฎฺฐ โลเกฯ

    Te tādisā corasamā asantā, vajjhā na haññanti ariṭṭha loke.

    ๙๕๐.

    950.

    ‘‘อินฺทสฺส พาหารสิ ทกฺขิณาติ, ยเญฺญสุ ฉินฺทนฺติ ปลาสยฎฺฐิํ;

    ‘‘Indassa bāhārasi dakkhiṇāti, yaññesu chindanti palāsayaṭṭhiṃ;

    ตํ เจปิ สจฺจํ มฆวา ฉินฺนพาหุ, เกนสฺส อิโนฺท อสุเร ชินาติฯ

    Taṃ cepi saccaṃ maghavā chinnabāhu, kenassa indo asure jināti.

    ๙๕๑.

    951.

    ‘‘ตเญฺจว ตุจฺฉํ มฆวา สมงฺคี, หนฺตา อวโชฺฌ ปรโม ส เทโว;

    ‘‘Tañceva tucchaṃ maghavā samaṅgī, hantā avajjho paramo sa devo;

    มนฺตา อิเม พฺราหฺมณา ตุจฺฉรูปา, สนฺทิฎฺฐิกา วญฺจนา เอส โลเกฯ

    Mantā ime brāhmaṇā tuccharūpā, sandiṭṭhikā vañcanā esa loke.

    ๙๕๒.

    952.

    ‘‘มาลาคิริ หิมวา โย จ คิโชฺฌ, สุทสฺสโน นิสโภ กุเวรุ;

    ‘‘Mālāgiri himavā yo ca gijjho, sudassano nisabho kuveru;

    เอเต จ อเญฺญ จ นคา มหนฺตา, จิตฺยา กตา ยญฺญกเรหิ มาหุฯ

    Ete ca aññe ca nagā mahantā, cityā katā yaññakarehi māhu.

    ๙๕๓.

    953.

    ‘‘ยถาปการานิ หิ อิฎฺฐกานิ, จิตฺยา กตา ยญฺญกเรหิ มาหุ;

    ‘‘Yathāpakārāni hi iṭṭhakāni, cityā katā yaññakarehi māhu;

    น ปพฺพตา โหนฺติ ตถาปการา, อญฺญา ทิสา อจลา ติฎฺฐเสลาฯ

    Na pabbatā honti tathāpakārā, aññā disā acalā tiṭṭhaselā.

    ๙๕๔.

    954.

    ‘‘น อิฎฺฐกา โหนฺติ สิลา จิเรน, น ตตฺถ สญฺชายติ อโย น โลหํ;

    ‘‘Na iṭṭhakā honti silā cirena, na tattha sañjāyati ayo na lohaṃ;

    ยญฺญญฺจ เอตํ ปริวณฺณยนฺตา, จิตฺยา กตา ยญฺญกเรหิ มาหุฯ

    Yaññañca etaṃ parivaṇṇayantā, cityā katā yaññakarehi māhu.

    ๙๕๕.

    955.

    ‘‘อชฺฌายกํ มนฺตคุณูปปนฺนํ, ตปสฺสินํ ‘ยาจโยโค’ติธาหุ;

    ‘‘Ajjhāyakaṃ mantaguṇūpapannaṃ, tapassinaṃ ‘yācayogo’tidhāhu;

    ตีเร สมุทฺทสฺสุทกํ สชนฺตํ, ตํ สาครโชฺฌหริ เตนาเปโยฺยฯ

    Tīre samuddassudakaṃ sajantaṃ, taṃ sāgarajjhohari tenāpeyyo.

    ๙๕๖.

    956.

    ‘‘ปโรสหสฺสมฺปิ สมนฺตเวเท, มนฺตูปปเนฺน นทิโย วหนฺติ;

    ‘‘Parosahassampi samantavede, mantūpapanne nadiyo vahanti;

    น เตน พฺยาปนฺนรสูทกา น, กสฺมา สมุโทฺท อตุโล อเปโยฺยฯ

    Na tena byāpannarasūdakā na, kasmā samuddo atulo apeyyo.

    ๙๕๗.

    957.

    ‘‘เย เกจิ กูปา อิธ ชีวโลเก, โลณูทกา กูปขเณหิ ขาตา;

    ‘‘Ye keci kūpā idha jīvaloke, loṇūdakā kūpakhaṇehi khātā;

    น พฺราหฺมณโชฺฌหรเณน เตสุ, อาโป อเปโยฺย ทฺวิรสญฺญุ มาหุฯ

    Na brāhmaṇajjhoharaṇena tesu, āpo apeyyo dvirasaññu māhu.

    ๙๕๘.

    958.

    ‘‘ปุเร ปุรตฺถา กา กสฺส ภริยา, มโน มนุสฺสํ อชเนสิ ปุเพฺพ;

    ‘‘Pure puratthā kā kassa bhariyā, mano manussaṃ ajanesi pubbe;

    เตนาปิ ธเมฺมน น โกจิ หีโน, เอวมฺปิ โวสฺสคฺควิภงฺคมาหุฯ

    Tenāpi dhammena na koci hīno, evampi vossaggavibhaṅgamāhu.

    ๙๕๙.

    959.

    ‘‘จณฺฑาลปุโตฺตปิ อธิจฺจ เวเท, ภาเสยฺย มเนฺต กุสโล มตีมา;

    ‘‘Caṇḍālaputtopi adhicca vede, bhāseyya mante kusalo matīmā;

    น ตสฺส มุทฺธาปิ ผเลยฺย สตฺตธา, มนฺตา อิเม อตฺตวธาย กตาฯ

    Na tassa muddhāpi phaleyya sattadhā, mantā ime attavadhāya katā.

    ๙๖๐.

    960.

    ‘‘วาจากตา คิทฺธิกตา คหีตา, ทุโมฺมจยา กพฺยปถานุปนฺนา;

    ‘‘Vācākatā giddhikatā gahītā, dummocayā kabyapathānupannā;

    พาลาน จิตฺตํ วิสเม นิวิฎฺฐํ, ตทปฺปปญฺญา อภิสทฺทหนฺติฯ

    Bālāna cittaṃ visame niviṭṭhaṃ, tadappapaññā abhisaddahanti.

    ๙๖๑.

    961.

    ‘‘สีหสฺส พฺยคฺฆสฺส จ ทีปิโน จ, น วิชฺชตี โปริสิยํ พเลน;

    ‘‘Sīhassa byagghassa ca dīpino ca, na vijjatī porisiyaṃ balena;

    มนุสฺสภาโว จ ควํว เปโกฺข, ชาตี หิ เตสํ อสมา สมานาฯ

    Manussabhāvo ca gavaṃva pekkho, jātī hi tesaṃ asamā samānā.

    ๙๖๒.

    962.

    ‘‘สเจ จ ราชา ปถวิํ วิชิตฺวา, สชีววา อสฺสวปาริสโชฺช;

    ‘‘Sace ca rājā pathaviṃ vijitvā, sajīvavā assavapārisajjo;

    สยเมว โส สตฺตุสงฺฆํ วิเชยฺย, ตสฺสปฺปชา นิจฺจสุขี ภเวยฺยฯ

    Sayameva so sattusaṅghaṃ vijeyya, tassappajā niccasukhī bhaveyya.

    ๙๖๓.

    963.

    ‘‘ขตฺติยมนฺตา จ ตโย จ เวทา, อเตฺถน เอเต สมกา ภวนฺติ;

    ‘‘Khattiyamantā ca tayo ca vedā, atthena ete samakā bhavanti;

    เตสญฺจ อตฺถํ อวินิจฺฉินิตฺวา, น พุชฺฌตี โอฆปถํว ฉนฺนํฯ

    Tesañca atthaṃ avinicchinitvā, na bujjhatī oghapathaṃva channaṃ.

    ๙๖๔.

    964.

    ‘‘ขตฺติยมนฺตา จ ตโย จ เวทา, อเตฺถน เอเต สมกา ภวนฺติ;

    ‘‘Khattiyamantā ca tayo ca vedā, atthena ete samakā bhavanti;

    ลาโภ อลาโภ อยโส ยโส จ, สเพฺพว เตสํ จตุนฺนญฺจ ธมฺมาฯ

    Lābho alābho ayaso yaso ca, sabbeva tesaṃ catunnañca dhammā.

    ๙๖๕.

    965.

    ‘‘ยถาปิ อิพฺภา ธนธญฺญเหตุ, กมฺมานิ กโรนฺติ ปุถู ปถพฺยา;

    ‘‘Yathāpi ibbhā dhanadhaññahetu, kammāni karonti puthū pathabyā;

    เตวิชฺชสงฺฆา จ ตเถว อชฺช, กมฺมานิ กโรนฺติ ปุถู ปถพฺยาฯ

    Tevijjasaṅghā ca tatheva ajja, kammāni karonti puthū pathabyā.

    ๙๖๖.

    966.

    ‘‘อิเพฺภหิ เย เต สมกา ภวนฺติ, นิจฺจุสฺสุกา กามคุเณสุ ยุตฺตา;

    ‘‘Ibbhehi ye te samakā bhavanti, niccussukā kāmaguṇesu yuttā;

    กมฺมานิ กโรนฺติ ปุถู ปถพฺยา, ตทปฺปปญฺญา ทฺวิรสญฺญุรา เต’’ติฯ

    Kammāni karonti puthū pathabyā, tadappapaññā dvirasaññurā te’’ti.

    ตตฺถ โภวาทีติ พฺราหฺมณาฯ โภวาทิน มารเยยฺยุนฺติ พฺราหฺมณเมว มาเรยฺยุํฯ เย จาปีติ เยปิ พฺราหฺมณานํ ตํ วจนํ สทฺทเหยฺยุํ, เต อตฺตโน อุปฎฺฐาเกเยว จ พฺราหฺมเณ จ มาเรยฺยุํฯ พฺราหฺมณา ปน พฺราหฺมเณ จ อุปฎฺฐาเก จ อมาเรตฺวา นานปฺปกาเร ติรจฺฉาเนเยว มาเรนฺติฯ อิติ เตสํ วจนํ มิจฺฉาฯ เกจีติ ยเญฺญสุ โน มาเรถ, มยํ สคฺคํ คมิสฺสามาติ อายาจนฺตา เกจิ นตฺถิฯ ปาเณ ปสุมารภนฺตีติ มิคาทโย ปาเณ จ ปสู จ วิปฺผนฺทมาเน ชีวิกตฺถาย มาเรนฺติฯ มุขํ นยนฺตีติ เอเตสุ ยูปุสฺสเนสุ ปสุพเนฺธสุ อิมสฺมิํ เต ยูเป สพฺพํ มณิสงฺขมุตฺตํ ธญฺญํ ธนํ รชตํ ชาตรูปํ สนฺนิหิตํ, อยํ เต ยูโป ปรตฺถ ปรโลเก กามทุโห ภวิสฺสติ, สสฺสตภาวํ อาวหิสฺสตีติ จิเตฺรหิ การเณหิ มุขํ ปสาเทนฺติ, ตํ ตํ วตฺวา มิจฺฉาคาหํ คาเหนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tattha bhovādīti brāhmaṇā. Bhovādina mārayeyyunti brāhmaṇameva māreyyuṃ. Ye cāpīti yepi brāhmaṇānaṃ taṃ vacanaṃ saddaheyyuṃ, te attano upaṭṭhākeyeva ca brāhmaṇe ca māreyyuṃ. Brāhmaṇā pana brāhmaṇe ca upaṭṭhāke ca amāretvā nānappakāre tiracchāneyeva mārenti. Iti tesaṃ vacanaṃ micchā. Kecīti yaññesu no māretha, mayaṃ saggaṃ gamissāmāti āyācantā keci natthi. Pāṇe pasumārabhantīti migādayo pāṇe ca pasū ca vipphandamāne jīvikatthāya mārenti. Mukhaṃ nayantīti etesu yūpussanesu pasubandhesu imasmiṃ te yūpe sabbaṃ maṇisaṅkhamuttaṃ dhaññaṃ dhanaṃ rajataṃ jātarūpaṃ sannihitaṃ, ayaṃ te yūpo parattha paraloke kāmaduho bhavissati, sassatabhāvaṃ āvahissatīti citrehi kāraṇehi mukhaṃ pasādenti, taṃ taṃ vatvā micchāgāhaṃ gāhentīti attho.

    สเจ จาติ สเจ จ ยูเป วา เสสกเฎฺฐสุ วา เอตํ มณิอาทิกํ ภเวยฺย, ติทิเว วา สพฺพกามทุโห อสฺส, เตวิชฺชสงฺฆาว ปุถู หุตฺวา ยญฺญํ ยเชยฺยุํ พหุธนตาย เจว สคฺคกามตาย จ, อญฺญํ อพฺราหฺมณํ น ยาเชยฺยุํฯ ยสฺมา ปน อตฺตโน ธนํ ปจฺจาสีสนฺตา อญฺญมฺปิ ยชาเปนฺติ, ตสฺมา อภูตวาทิโนติ เวทิตพฺพาฯ กุโต จาติ เอตสฺมิญฺจ ยูเป วา เสสกเฎฺฐสุ วา กุโต เอตํ มณิอาทิกํ อวิชฺชมานเมว, กุโต ติทิเว สพฺพกาเม ทุหิสฺสติฯ สพฺพถาปิ อภูตเมว เตสํ วจนํฯ

    Sace cāti sace ca yūpe vā sesakaṭṭhesu vā etaṃ maṇiādikaṃ bhaveyya, tidive vā sabbakāmaduho assa, tevijjasaṅghāva puthū hutvā yaññaṃ yajeyyuṃ bahudhanatāya ceva saggakāmatāya ca, aññaṃ abrāhmaṇaṃ na yājeyyuṃ. Yasmā pana attano dhanaṃ paccāsīsantā aññampi yajāpenti, tasmā abhūtavādinoti veditabbā. Kuto cāti etasmiñca yūpe vā sesakaṭṭhesu vā kuto etaṃ maṇiādikaṃ avijjamānameva, kuto tidive sabbakāme duhissati. Sabbathāpi abhūtameva tesaṃ vacanaṃ.

    สฐา จ ลุทฺทา จ ปลุทฺธพาลาติ อริฎฺฐ, อิเม พฺราหฺมณา นาม เกราฎิกา เจว นิกฺกรุณา จ, เต พาลา โลกํ ปโลเภตฺวา อุปโลเภตฺวา จิเตฺรหิ การเณหิ มุขํ ปสาเทนฺติฯ สพฺพกาเมติ อคฺคิํ อาทาย ตฺวญฺจ ชูห, อมฺหากญฺจ วิตฺตํ เทหิ, ตโต สพฺพกาเม ลภิตฺวา สุขี โหหิสิฯ

    Saṭhāca luddā ca paluddhabālāti ariṭṭha, ime brāhmaṇā nāma kerāṭikā ceva nikkaruṇā ca, te bālā lokaṃ palobhetvā upalobhetvā citrehi kāraṇehi mukhaṃ pasādenti. Sabbakāmeti aggiṃ ādāya tvañca jūha, amhākañca vittaṃ dehi, tato sabbakāme labhitvā sukhī hohisi.

    ตมคฺคิหุตฺตํ สรณํ ปวิสฺสาติ ตํ ราชานํ วา ราชมหามตฺตํ วา อาทาย อคฺคิชุหนฎฺฐานํ เคหํ ปวิสิตฺวาฯ โอโรปยิตฺวาติ จิตฺรานิ การณานิ วทนฺตา เกสมสฺสุํ นเข จ โอโรปยิตฺวาฯ อติคาฬฺหยนฺตีติ วุตฺตตาย ตโย เวเท นิสฺสาย ‘‘อิทํ ทาตพฺพํ, อิทํ กตฺตพฺพ’’นฺติ วทนฺตา เวเทหิ ตสฺส สนฺตกํ วิตฺตํ อติคาฬฺหยนฺติ วินาเสนฺติ วิทฺธํเสนฺติฯ

    Tamaggihuttaṃ saraṇaṃ pavissāti taṃ rājānaṃ vā rājamahāmattaṃ vā ādāya aggijuhanaṭṭhānaṃ gehaṃ pavisitvā. Oropayitvāti citrāni kāraṇāni vadantā kesamassuṃ nakhe ca oropayitvā. Atigāḷhayantīti vuttatāya tayo vede nissāya ‘‘idaṃ dātabbaṃ, idaṃ kattabba’’nti vadantā vedehi tassa santakaṃ vittaṃ atigāḷhayanti vināsenti viddhaṃsenti.

    อนฺนานิ ภุตฺวา กุหกา กุหิตฺวาติ เต กุหกา นานปฺปการํ กุหกกมฺมํ กตฺวา สเมจฺจ สมาคนฺตฺวา ยญฺญํ วเณฺณตฺวา วเญฺจตฺวา ตสฺส สนฺตกํ นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อถ นํ มุณฺฑกํ กตฺวา ยญฺญปเถ โอสฺสชนฺติ, ตํ คเหตฺวา พหิยญฺญาวาฎํ คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ

    Annānibhutvā kuhakā kuhitvāti te kuhakā nānappakāraṃ kuhakakammaṃ katvā samecca samāgantvā yaññaṃ vaṇṇetvā vañcetvā tassa santakaṃ nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā atha naṃ muṇḍakaṃ katvā yaññapathe ossajanti, taṃ gahetvā bahiyaññāvāṭaṃ gacchantīti attho.

    โยคโยเคนาติ เต พฺราหฺมณา ตํ เอกํ พหุกา สเมจฺจ เตน เตน โยเคน ตาย ตาย ยุตฺติยา วิลุมฺปมานา ทิฎฺฐํ ปจฺจกฺขํ ตสฺส ธนํ อทิเฎฺฐน เทวโลเกน อทิฎฺฐํ เทวโลกํ วเณฺณตฺวา อาหรณฎฺฐานํ กตฺวา หรนฺติฯ อกาสิยา ราชูหิวานุสิฎฺฐาติ ‘‘อิทญฺจิทญฺจ พลิํ คณฺหถา’’ติ ราชูหิ อนุสิฎฺฐา อกาสิยสงฺขาตา ราชปุริสา วิยฯ ตทสฺสาติ ตํ อสฺส ธนํ อาทาย หรนฺติฯ โจรสมาติ อภูตพลิคฺคาหกา สนฺธิเจฺฉทกโจรสทิสา อสปฺปุริสาฯ วชฺฌาติ วธารหา เอวรูปา ปาปธมฺมา อุทานิ โลเก น หญฺญนฺติฯ

    Yogayogenāti te brāhmaṇā taṃ ekaṃ bahukā samecca tena tena yogena tāya tāya yuttiyā vilumpamānā diṭṭhaṃ paccakkhaṃ tassa dhanaṃ adiṭṭhena devalokena adiṭṭhaṃ devalokaṃ vaṇṇetvā āharaṇaṭṭhānaṃ katvā haranti. Akāsiyā rājūhivānusiṭṭhāti ‘‘idañcidañca baliṃ gaṇhathā’’ti rājūhi anusiṭṭhā akāsiyasaṅkhātā rājapurisā viya. Tadassāti taṃ assa dhanaṃ ādāya haranti. Corasamāti abhūtabaliggāhakā sandhicchedakacorasadisā asappurisā. Vajjhāti vadhārahā evarūpā pāpadhammā udāni loke na haññanti.

    พาหารสีติ พาหา อสิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อิทมฺปิ อริฎฺฐ, พฺราหฺมณานํ มุสาวาทํ ปสฺสฯ เต กิร ยเญฺญสุ มหติํ ปลาสยฎฺฐิํ ‘‘อินฺทสฺส พาหา อสิ ทกฺขิณา’’ติ วตฺวา ฉินฺทนฺติฯ ตเญฺจ เอเตสํ วจนํ สจฺจํ, อถ ฉินฺนพาหุ สมาโน เกนสฺส พาหุพเลน อิโนฺท อสุเร ชินาตีติฯ สมงฺคีติ พาหุสมงฺคี อจฺฉินฺนพาหุ อโรโคเยวฯ หนฺตาติ อสุรานํ หนฺตาฯ ปรโมติ อุตฺตโม ปุญฺญิทฺธิยา สมนฺนาคโต อเญฺญสํ อวโชฺฌฯ พฺราหฺมณาติ พฺราหฺมณานํฯ ตุจฺฉรูปาติ ตุจฺฉสภาวา นิปฺผลา ฯ วญฺจนาติ เย จ เต พฺราหฺมณานํ มนฺตา นาม, เอสา โลเก สนฺทิฎฺฐิกา วญฺจนาฯ

    Bāhārasīti bāhā asi. Idaṃ vuttaṃ hoti – idampi ariṭṭha, brāhmaṇānaṃ musāvādaṃ passa. Te kira yaññesu mahatiṃ palāsayaṭṭhiṃ ‘‘indassa bāhā asi dakkhiṇā’’ti vatvā chindanti. Tañce etesaṃ vacanaṃ saccaṃ, atha chinnabāhu samāno kenassa bāhubalena indo asure jinātīti. Samaṅgīti bāhusamaṅgī acchinnabāhu arogoyeva. Hantāti asurānaṃ hantā. Paramoti uttamo puññiddhiyā samannāgato aññesaṃ avajjho. Brāhmaṇāti brāhmaṇānaṃ. Tuccharūpāti tucchasabhāvā nipphalā . Vañcanāti ye ca te brāhmaṇānaṃ mantā nāma, esā loke sandiṭṭhikā vañcanā.

    ยถาปการานีติ ยาทิสานิ อิฎฺฐกานิ คเหตฺวา ยญฺญกเรหิ จิตฺยา กตาติ วทนฺติฯ ติฎฺฐเสลาติ ปพฺพตา หิ อจลา ติฎฺฐา น อุปจิตา เอกคฺฆนา สิลามยา จฯ อิฎฺฐกานิ จลานิ น เอกคฺฆนานิ น สิลามยานิฯ ปริวณฺณยนฺตาติ เอตํ ยญฺญํ วเณฺณนฺตา พฺราหฺมณาฯ

    Yathāpakārānīti yādisāni iṭṭhakāni gahetvā yaññakarehi cityā katāti vadanti. Tiṭṭhaselāti pabbatā hi acalā tiṭṭhā na upacitā ekagghanā silāmayā ca. Iṭṭhakāni calāni na ekagghanāni na silāmayāni. Parivaṇṇayantāti etaṃ yaññaṃ vaṇṇentā brāhmaṇā.

    สมนฺตเวเทติ ปริปุณฺณเวเท พฺราหฺมเณฯ วหนฺตีติ โสเตสุปิ อาวเฎฺฎสุปิ ปติเต วหนฺติ, นิมุชฺชาเปตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปนฺติฯ น เตน พฺยาปนฺนรสูทกา นาติ เอตฺถ เอโก -กาโร ปุจฺฉนโตฺถ โหติฯ นนุ เตน พฺยาปนฺนรสูทกา นทิโยติ ตํ ปุจฺฉโนฺต เอวมาหฯ กสฺมาติ เกน การเณน ตาว มหาสมุโทฺทว อเปโยฺย กโต, กิํ มหาพฺรหฺมา ยมุนาทีสุ นทีสุ อุทกํ อเปยฺยํ กาตุํ น สโกฺกติ, สมุเทฺทเยว สโกฺกตีติฯ ทฺวิรสญฺญุ มาหูติ ทฺวิรสญฺญู อหุ, ชาโตติ อโตฺถฯ

    Samantavedeti paripuṇṇavede brāhmaṇe. Vahantīti sotesupi āvaṭṭesupi patite vahanti, nimujjāpetvā jīvitakkhayaṃ pāpenti. Na tena byāpannarasūdakā nāti ettha eko na-kāro pucchanattho hoti. Nanu tena byāpannarasūdakā nadiyoti taṃ pucchanto evamāha. Kasmāti kena kāraṇena tāva mahāsamuddova apeyyo kato, kiṃ mahābrahmā yamunādīsu nadīsu udakaṃ apeyyaṃ kātuṃ na sakkoti, samuddeyeva sakkotīti. Dvirasaññu māhūti dvirasaññū ahu, jātoti attho.

    ปุเร ปุรตฺถาติ อิโต ปุเร ปุเพฺพ ปุรตฺถา ปฐมกปฺปิกกาเลฯ กา กสฺส ภริยาติ กา กสฺส ภริยา นามฯ ตทา หิ อิตฺถิลิงฺคเมว นตฺถิ, ปจฺฉา เมถุนธมฺมวเสน มาตาปิตโร นาม ชาตาฯ มโน มนุสฺสนฺติ ตทา หิ มโนเยว มนุสฺสํ ชเนสิ, มโนมยาว สตฺตา นิพฺพตฺติํสูติ อโตฺถฯ เตนาปิ ธเมฺมนาติ เตนาปิ การเณน เตน สภาเวน น โกจิ ชาติยา หีโนฯ น หิ ตทา ขตฺติยาทิเภโท อตฺถิ, ตสฺมา ยํ พฺราหฺมณา วทนฺติ ‘‘พฺราหฺมณาว ชาติยา เสฎฺฐา, อิตเร หีนา’’ติ, ตํ มิจฺฉาฯ เอวมฺปีติ เอวํ วตฺตมาเน โลเก โปราณกวตฺตํ ชหิตฺวา ปจฺฉา อตฺตนา สมฺมนฺนิตฺวา กตานํ วเสน ขตฺติยาทโย จตฺตาโร โกฎฺฐาสา ชาตา, เอวมฺปิ โวสฺสคฺควิภงฺคมาหุ, อตฺตนา กเตหิ กมฺมโวสฺสเคฺคหิ เตสํ สตฺตานํ เอกเจฺจ ขตฺติยา ชาตา, เอกเจฺจ พฺราหฺมณาทโยติ อิมํ วิภาคํ กเถนฺติ, ตสฺมา ‘‘พฺราหฺมณาว เสฎฺฐา’’ติ วจนํ มิจฺฉาฯ

    Purepuratthāti ito pure pubbe puratthā paṭhamakappikakāle. Kā kassa bhariyāti kā kassa bhariyā nāma. Tadā hi itthiliṅgameva natthi, pacchā methunadhammavasena mātāpitaro nāma jātā. Mano manussanti tadā hi manoyeva manussaṃ janesi, manomayāva sattā nibbattiṃsūti attho. Tenāpi dhammenāti tenāpi kāraṇena tena sabhāvena na koci jātiyā hīno. Na hi tadā khattiyādibhedo atthi, tasmā yaṃ brāhmaṇā vadanti ‘‘brāhmaṇāva jātiyā seṭṭhā, itare hīnā’’ti, taṃ micchā. Evampīti evaṃ vattamāne loke porāṇakavattaṃ jahitvā pacchā attanā sammannitvā katānaṃ vasena khattiyādayo cattāro koṭṭhāsā jātā, evampi vossaggavibhaṅgamāhu, attanā katehi kammavossaggehi tesaṃ sattānaṃ ekacce khattiyā jātā, ekacce brāhmaṇādayoti imaṃ vibhāgaṃ kathenti, tasmā ‘‘brāhmaṇāva seṭṭhā’’ti vacanaṃ micchā.

    สตฺตธาติ ยทิ มหาพฺรหฺมุนา พฺราหฺมณานเญฺญว ตโย เวทา ทินฺนา, น อเญฺญสํ, จณฺฑาลสฺส มเนฺต ภาสนฺตสฺส มุทฺธา สตฺตธา ผเลยฺย, น จ ผลติ, ตสฺมา อิเมหิ พฺราหฺมเณหิ อตฺตวธาย มนฺตา กตา, อตฺตโนเยว เนสํ มุสาวาทิตํ ปกาเสนฺตา คุณวธํ กโรนฺติฯ วาจากตาติ เอเต มนฺตา นาม มุสาวาเทน จิเนฺตตฺวา กตาฯ คิทฺธิกตา คหีตาติ ลาภคิทฺธิกตาย พฺราหฺมเณหิ คหิตาฯ ทุโมฺมจยาติ มเจฺฉน คิลิตพลิโส วิย ทุโมฺมจยาฯ กพฺยปถานุปนฺนาติ กพฺยาการกพฺราหฺมณานํ วจนปถํ อนุปนฺนา อนุคตาฯ เต หิ ยถา อิจฺฉนฺติ, ตถา มุสา วตฺวา พนฺธนฺติฯ พาลานนฺติ เตสญฺหิ พาลานํ จิตฺตํ วิสเม นิวิฎฺฐํ, ตํ อเญฺญ อปฺปปญฺญาว อภิสทฺทหนฺติฯ

    Sattadhāti yadi mahābrahmunā brāhmaṇānaññeva tayo vedā dinnā, na aññesaṃ, caṇḍālassa mante bhāsantassa muddhā sattadhā phaleyya, na ca phalati, tasmā imehi brāhmaṇehi attavadhāya mantā katā, attanoyeva nesaṃ musāvāditaṃ pakāsentā guṇavadhaṃ karonti. Vācākatāti ete mantā nāma musāvādena cintetvā katā. Giddhikatā gahītāti lābhagiddhikatāya brāhmaṇehi gahitā. Dummocayāti macchena gilitabaliso viya dummocayā. Kabyapathānupannāti kabyākārakabrāhmaṇānaṃ vacanapathaṃ anupannā anugatā. Te hi yathā icchanti, tathā musā vatvā bandhanti. Bālānanti tesañhi bālānaṃ cittaṃ visame niviṭṭhaṃ, taṃ aññe appapaññāva abhisaddahanti.

    โปริสิยํพเลนาติ โปริสิยสงฺขาเตน พเลนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ เอเตสํ สีหาทีนํ ปุริสถามสงฺขาตํ โปริสิยพลํ, เตน พเลน สมนฺนาคโต พฺราหฺมโณ นาม นตฺถิ, สเพฺพ อิเมหิ ติรจฺฉาเนหิปิ หีนาเยวาติฯ มนุสฺสภาโว จ ควํว เปโกฺขติ อปิจ โย เอเตสํ มนุสฺสภาโว, โส คุนฺนํ วิย เปกฺขิตโพฺพฯ กิํการณา? ชาติ หิ เตสํ อสมา สมานาฯ เตสญฺหิ พฺราหฺมณานํ ทุปฺปญฺญตาย โคหิ สทฺธิํ สมานชาติเยว อสมาฯ อญฺญเมว หิ คุนฺนํ สณฺฐานํ, อญฺญํ เตสนฺติฯ เอเตน พฺราหฺมเณ ติรจฺฉาเนสุ สีหาทีหิ สเมปิ อกตฺวา โครูปสเมว กโรติฯ

    Porisiyaṃbalenāti porisiyasaṅkhātena balena. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ etesaṃ sīhādīnaṃ purisathāmasaṅkhātaṃ porisiyabalaṃ, tena balena samannāgato brāhmaṇo nāma natthi, sabbe imehi tiracchānehipi hīnāyevāti. Manussabhāvo ca gavaṃva pekkhoti apica yo etesaṃ manussabhāvo, so gunnaṃ viya pekkhitabbo. Kiṃkāraṇā? Jāti hi tesaṃ asamā samānā. Tesañhi brāhmaṇānaṃ duppaññatāya gohi saddhiṃ samānajātiyeva asamā. Aññameva hi gunnaṃ saṇṭhānaṃ, aññaṃ tesanti. Etena brāhmaṇe tiracchānesu sīhādīhi samepi akatvā gorūpasameva karoti.

    สเจ จ ราชาติ อริฎฺฐ, ยทิ มหาพฺรหฺมุนา ทินฺนภาเวน ขตฺติโยว ปถวิํ วิชิตฺวาฯ สชีววาติ สหชีวีหิ อมเจฺจหิ สมนฺนาคโตฯ อสฺสวปาริสโชฺชติ อตฺตโน โอวาทกรปริสาวจโรว สิยา, อถสฺส ปริสาย ยุชฺฌิตฺวา รชฺชํ กาตพฺพํ นาม น ภเวยฺย ฯ สยเมว โส เอกโกว สตฺตุสงฺฆํ วิเชยฺย, เอวํ สติ ยุเทฺธ ทุกฺขาภาเวน ตสฺส ปชา นิจฺจสุขี ภเวยฺย, เอตญฺจ นตฺถิฯ ตสฺมา เตสํ วจนํ มิจฺฉาฯ

    Sace ca rājāti ariṭṭha, yadi mahābrahmunā dinnabhāvena khattiyova pathaviṃ vijitvā. Sajīvavāti sahajīvīhi amaccehi samannāgato. Assavapārisajjoti attano ovādakaraparisāvacarova siyā, athassa parisāya yujjhitvā rajjaṃ kātabbaṃ nāma na bhaveyya . Sayameva so ekakova sattusaṅghaṃ vijeyya, evaṃ sati yuddhe dukkhābhāvena tassa pajā niccasukhī bhaveyya, etañca natthi. Tasmā tesaṃ vacanaṃ micchā.

    ขตฺติยมนฺตาติ ราชสตฺถญฺจ ตโย จ เวทา อตฺตโน อาณาย รุจิยา ‘‘อิทเมว กตฺตพฺพ’’นฺติ ปวตฺตตฺตา อเตฺถน เอเต สมกา ภวนฺติฯ อวินิจฺฉินิตฺวาติ เตสํ ขตฺติยมนฺตานํ ขตฺติโยปิ เวทานํ พฺราหฺมโณปิ อตฺถํ อวินิจฺฉินิตฺวา อาณาวเสเนว อุคฺคณฺหโนฺต ตํ อตฺถํ อุทโกเฆน ฉนฺนมคฺคํ วิย น พุชฺฌติฯ

    Khattiyamantāti rājasatthañca tayo ca vedā attano āṇāya ruciyā ‘‘idameva kattabba’’nti pavattattā atthena ete samakā bhavanti. Avinicchinitvāti tesaṃ khattiyamantānaṃ khattiyopi vedānaṃ brāhmaṇopi atthaṃ avinicchinitvā āṇāvaseneva uggaṇhanto taṃ atthaṃ udakoghena channamaggaṃ viya na bujjhati.

    อเตฺถน เอเตติ วญฺจนเตฺถน เอเต สมกา ภวนฺติฯ กิํการณา? พฺราหฺมณาว เสฎฺฐา, อเญฺญ วณฺณา หีนาติ วทนฺติฯ เย จ เต ลาภาทโย โลกธมฺมา, สเพฺพว เตสํ จตุนฺนมฺปิ วณฺณานํ ธมฺมาฯ เอกสโตฺตปิ เอเตหิ มุตฺตโก นาม นตฺถิฯ อิติ พฺราหฺมณา โลกธเมฺมหิ อปริมุตฺตาว สมานา ‘‘เสฎฺฐา มย’’นฺติ มุสา กเถนฺติฯ

    Atthenaeteti vañcanatthena ete samakā bhavanti. Kiṃkāraṇā? Brāhmaṇāva seṭṭhā, aññe vaṇṇā hīnāti vadanti. Ye ca te lābhādayo lokadhammā, sabbeva tesaṃ catunnampi vaṇṇānaṃ dhammā. Ekasattopi etehi muttako nāma natthi. Iti brāhmaṇā lokadhammehi aparimuttāva samānā ‘‘seṭṭhā maya’’nti musā kathenti.

    อิพฺภาติ คหปติกาฯ เตวิชฺชสงฺฆา จาติ พฺราหฺมณาปิ ตเถว ปุถูนิ กสิโครกฺขาทีนิ กมฺมานิ กโรนฺติฯ นิจฺจุสฺสุกาติ นิจฺจํ อุสฺสุกฺกชาตา ฉนฺทชาตาฯ ตทปฺปปญฺญา ทฺวิรสญฺญุรา เตติ ตสฺมา ภาติก, ทฺวิรสญฺญุ นิปฺปญฺญา พฺราหฺมณา, อารา เต ธมฺมโตฯ โปราณกา หิ พฺราหฺมณธมฺมา เอตรหิ สุนเขสุ สนฺทิสฺสนฺตีติฯ

    Ibbhāti gahapatikā. Tevijjasaṅghā cāti brāhmaṇāpi tatheva puthūni kasigorakkhādīni kammāni karonti. Niccussukāti niccaṃ ussukkajātā chandajātā. Tadappapaññā dvirasaññurā teti tasmā bhātika, dvirasaññu nippaññā brāhmaṇā, ārā te dhammato. Porāṇakā hi brāhmaṇadhammā etarahi sunakhesu sandissantīti.

    เอวํ มหาสโตฺต ตสฺส วาทํ ภินฺทิตฺวา อตฺตโน วาทํ ปติฎฺฐาเปสิฯ ตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา สพฺพา นาคปริสา โสมนสฺสชาตา อเหสุํฯ มหาสโตฺต เนสาทพฺราหฺมณํ นาคภวนา นีหราเปสิ, ปริภาสมตฺตมฺปิสฺส นากาสิฯ สาครพฺรหฺมทโตฺตปิ ฐปิตทิวสํ อนติกฺกมิตฺวา จตุรงฺคินิยา เสนาย สห ปิตุ วสนฎฺฐานํ อคมาสิฯ มหาสโตฺตปิ ‘‘มาตุลญฺจ อยฺยกญฺจ ปสฺสิสฺสามี’’ติ เภริํ จราเปตฺวา มหเนฺตน สิริโสภเคฺคน ยมุนาโต อุตฺตริตฺวา ตเมว อสฺสมปทํ อารพฺภ ปายาสิฯ อวเสสา ภาตโร จสฺส มาตาปิตโร จ ปจฺฉโต ปายิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ สาครพฺรหฺมทโตฺต มหาสตฺตํ มหติยา ปริสาย อาคจฺฉนฺตํ อสญฺชานิตฺวา ปิตรํ ปุจฺฉโนฺต อาห –

    Evaṃ mahāsatto tassa vādaṃ bhinditvā attano vādaṃ patiṭṭhāpesi. Tassa dhammakathaṃ sutvā sabbā nāgaparisā somanassajātā ahesuṃ. Mahāsatto nesādabrāhmaṇaṃ nāgabhavanā nīharāpesi, paribhāsamattampissa nākāsi. Sāgarabrahmadattopi ṭhapitadivasaṃ anatikkamitvā caturaṅginiyā senāya saha pitu vasanaṭṭhānaṃ agamāsi. Mahāsattopi ‘‘mātulañca ayyakañca passissāmī’’ti bheriṃ carāpetvā mahantena sirisobhaggena yamunāto uttaritvā tameva assamapadaṃ ārabbha pāyāsi. Avasesā bhātaro cassa mātāpitaro ca pacchato pāyiṃsu. Tasmiṃ khaṇe sāgarabrahmadatto mahāsattaṃ mahatiyā parisāya āgacchantaṃ asañjānitvā pitaraṃ pucchanto āha –

    ๙๖๗.

    967.

    ‘‘กสฺส เภรี มุทิงฺคา จ, สงฺขา ปณวทินฺทิมา;

    ‘‘Kassa bherī mudiṅgā ca, saṅkhā paṇavadindimā;

    ปุรโต ปฎิปนฺนานิ, หาสยนฺตา รเถสภํฯ

    Purato paṭipannāni, hāsayantā rathesabhaṃ.

    ๙๖๘.

    968.

    ‘‘กสฺส กญฺจนปเฎฺฎน, ปุถุนา วิชฺชุวณฺณินา;

    ‘‘Kassa kañcanapaṭṭena, puthunā vijjuvaṇṇinā;

    ยุวา กลาปสนฺนโทฺธ, โก เอติ สิริยา ชลํฯ

    Yuvā kalāpasannaddho, ko eti siriyā jalaṃ.

    ๙๖๙.

    969.

    ‘‘อุกฺกามุขปหฎฺฐํว, ขทิรงฺคารสนฺนิภํ;

    ‘‘Ukkāmukhapahaṭṭhaṃva, khadiraṅgārasannibhaṃ;

    มุขญฺจ รุจิรา ภาติ, โก เอติ สิริยา ชลํฯ

    Mukhañca rucirā bhāti, ko eti siriyā jalaṃ.

    ๙๗๐.

    970.

    ‘‘กสฺส ชโมฺพนทํ ฉตฺตํ, สสลากํ มโนรมํ;

    ‘‘Kassa jambonadaṃ chattaṃ, sasalākaṃ manoramaṃ;

    อาทิจฺจรํสาวรณํ, โก เอติ สิริยา ชลํฯ

    Ādiccaraṃsāvaraṇaṃ, ko eti siriyā jalaṃ.

    ๙๗๑.

    971.

    ‘‘กสฺส องฺคํ ปริคฺคยฺห, วาลพีชนิมุตฺตมํ;

    ‘‘Kassa aṅgaṃ pariggayha, vālabījanimuttamaṃ;

    อุภโต วรปุญฺญสฺส, มุทฺธนิ อุปรูปริฯ

    Ubhato varapuññassa, muddhani uparūpari.

    ๙๗๒.

    972.

    ‘‘กสฺส เปขุณหตฺถานิ, จิตฺรานิ จ มุทูนิ จ;

    ‘‘Kassa pekhuṇahatthāni, citrāni ca mudūni ca;

    กญฺจนมณิทณฺฑานิ, จรนฺติ ทุภโต มุขํฯ

    Kañcanamaṇidaṇḍāni, caranti dubhato mukhaṃ.

    ๙๗๓.

    973.

    ‘‘ขทิรงฺคารวณฺณาภา, อุกฺกามุขปหํสิตา;

    ‘‘Khadiraṅgāravaṇṇābhā, ukkāmukhapahaṃsitā;

    กเสฺสเต กุณฺฑลา วคฺคู, โสภนฺติ ทุภโต มุขํฯ

    Kassete kuṇḍalā vaggū, sobhanti dubhato mukhaṃ.

    ๙๗๔.

    974.

    ‘‘กสฺส วาเตน ฉุปิตา, นิทฺธนฺตา มุทุกาฬกา;

    ‘‘Kassa vātena chupitā, niddhantā mudukāḷakā;

    โสภยนฺติ นลาฎนฺตํ, นภา วิชฺชุริวุคฺคตาฯ

    Sobhayanti nalāṭantaṃ, nabhā vijjurivuggatā.

    ๙๗๕.

    975.

    ‘‘กสฺส เอตานิ อกฺขีนิ, อายตานิ ปุถูนิ จ;

    ‘‘Kassa etāni akkhīni, āyatāni puthūni ca;

    โก โสภติ วิสาลโกฺข, กเสฺสตํ อุณฺณชํ มุขํฯ

    Ko sobhati visālakkho, kassetaṃ uṇṇajaṃ mukhaṃ.

    ๙๗๖.

    976.

    ‘‘กเสฺสเต ลปนชาตา, สุทฺธา สงฺขวรูปมา;

    ‘‘Kassete lapanajātā, suddhā saṅkhavarūpamā;

    ภาสมานสฺส โสภนฺติ, ทนฺตา กุปฺปิลสาทิสาฯ

    Bhāsamānassa sobhanti, dantā kuppilasādisā.

    ๙๗๗.

    977.

    ‘‘กสฺส ลาขารสสมา, หตฺถปาทา สุเขธิตา;

    ‘‘Kassa lākhārasasamā, hatthapādā sukhedhitā;

    โก โส พิโมฺพฎฺฐสมฺปโนฺน, ทิวา สูริโยว ภาสติฯ

    Ko so bimboṭṭhasampanno, divā sūriyova bhāsati.

    ๙๗๘.

    978.

    ‘‘หิมจฺจเย หิมวติ, มหาสาโลว ปุปฺผิโต;

    ‘‘Himaccaye himavati, mahāsālova pupphito;

    โก โส โอทาตปาวาโร, ชยํ อิโนฺทว โสภติฯ

    Ko so odātapāvāro, jayaṃ indova sobhati.

    ๙๗๙.

    979.

    ‘‘สุวณฺณปีฬกากิณฺณํ, มณิทณฺฑวิจิตฺตกํ;

    ‘‘Suvaṇṇapīḷakākiṇṇaṃ, maṇidaṇḍavicittakaṃ;

    โก โส ปริสโมคยฺห, อีสํ ขคฺคํ ปมุญฺจติฯ

    Ko so parisamogayha, īsaṃ khaggaṃ pamuñcati.

    ๙๘๐.

    980.

    ‘‘สุวณฺณวิกตา จิตฺตา, สุกตา จิตฺตสิพฺพนา;

    ‘‘Suvaṇṇavikatā cittā, sukatā cittasibbanā;

    โก โส โอมุญฺจเต ปาทา, นโม กตฺวา มเหสิโน’’ติฯ

    Ko so omuñcate pādā, namo katvā mahesino’’ti.

    ตตฺถ ปฎิปนฺนานีติ กเสฺสตานิ ตูริยานิ ปุรโต ปฎิปนฺนานิฯ หาสยนฺตาติ เอตํ ราชานํ หาสยนฺตาฯ กสฺส กญฺจนปเฎฺฎนาติ กสฺส นลาฎเนฺต พเนฺธน อุณฺหีสปเฎฺฎน วิชฺชุยา เมฆมุขํ วิย มุขํ ปโชฺชตตีติ ปุจฺฉติฯ ยุวา กลาปสนฺนโทฺธติ ตรุโณ สนฺนทฺธกลาโปฯ อุกฺกามุขปหฎฺฐํวาติ กมฺมารุทฺธเน ปหฎฺฐสุวณฺณํ วิยฯ ขทิรงฺคารสนฺนิภนฺติ อาทิตฺตขทิรงฺคารสนฺนิภํฯ ชโมฺพนทนฺติ รตฺตสุวณฺณมยํฯ องฺคํ ปริคฺคยฺหาติ จามริคาหเกน อเงฺคน ปริคฺคหิตา หุตฺวาฯ วาลพีชนิมุตฺตมนฺติ อุตฺตมํ วาลพีชนิํฯ เปขุณหตฺถานีติ โมรปิญฺฉหตฺถกานิฯ จิตฺรานีติ สตฺตรตนจิตฺรานิฯ กญฺจนมณิทณฺฑานีติ ตปนียสุวเณฺณน จ มณีหิ จ ขณิตทณฺฑานิฯ ทุภโต มุขนฺติ มุขสฺส อุภยปเสฺสสุ จรนฺติฯ

    Tattha paṭipannānīti kassetāni tūriyāni purato paṭipannāni. Hāsayantāti etaṃ rājānaṃ hāsayantā. Kassa kañcanapaṭṭenāti kassa nalāṭante bandhena uṇhīsapaṭṭena vijjuyā meghamukhaṃ viya mukhaṃ pajjotatīti pucchati. Yuvā kalāpasannaddhoti taruṇo sannaddhakalāpo. Ukkāmukhapahaṭṭhaṃvāti kammāruddhane pahaṭṭhasuvaṇṇaṃ viya. Khadiraṅgārasannibhanti ādittakhadiraṅgārasannibhaṃ. Jambonadanti rattasuvaṇṇamayaṃ. Aṅgaṃ pariggayhāti cāmarigāhakena aṅgena pariggahitā hutvā. Vālabījanimuttamanti uttamaṃ vālabījaniṃ. Pekhuṇahatthānīti morapiñchahatthakāni. Citrānīti sattaratanacitrāni. Kañcanamaṇidaṇḍānīti tapanīyasuvaṇṇena ca maṇīhi ca khaṇitadaṇḍāni. Dubhato mukhanti mukhassa ubhayapassesu caranti.

    วาเตน ฉุปิตาติ วาตปหฎาฯ นิทฺธนฺตาติ สินิทฺธอนฺตาฯ นลาฎนฺตนฺติ กเสฺสเต เอวรูปา เกสา นลาฎนฺตํ อุปโสเภนฺติฯ นภา วิชฺชุริวุคฺคตาติ นภโต อุคฺคตา วิชฺชุ วิยฯ อุณฺณชนฺติ กญฺจนาทาโส วิย ปริปุณฺณํฯ ลปนชาตาติ มุขชาตาฯ กุปฺปิลสาทิสาติ มนฺทาลกมกุลสทิสาฯ สุเขธิตาติ สุขปริหฎาฯ ชยํ อิโนฺทวาติ ชยํ ปโตฺต อิโนฺท วิยฯ สุวณฺณปีฬกากิณฺณนฺติ สุวณฺณปีฬกาหิ อากิณฺณํฯ มณิทณฺฑวิจิตฺตกนฺติ มณีหิ ถรุมฺหิ วิจิตฺตกํฯ สุวณฺณวิกตาติ สุวณฺณขจิตาฯ จิตฺตาติ สตฺตรตนวิจิตฺตาฯ สุกตาติ สุฎฺฐุ นิฎฺฐิตาฯ จิตฺตสิพฺพนาติ จิตฺรสิพฺพินิโยฯ โก โส โอมุญฺจเต ปาทาติ โก เอส ปาทโต เอวรูปา ปาทุกา โอมุญฺจตีติฯ

    Vātena chupitāti vātapahaṭā. Niddhantāti siniddhaantā. Nalāṭantanti kassete evarūpā kesā nalāṭantaṃ upasobhenti. Nabhā vijjurivuggatāti nabhato uggatā vijju viya. Uṇṇajanti kañcanādāso viya paripuṇṇaṃ. Lapanajātāti mukhajātā. Kuppilasādisāti mandālakamakulasadisā. Sukhedhitāti sukhaparihaṭā. Jayaṃ indovāti jayaṃ patto indo viya. Suvaṇṇapīḷakākiṇṇanti suvaṇṇapīḷakāhi ākiṇṇaṃ. Maṇidaṇḍavicittakanti maṇīhi tharumhi vicittakaṃ. Suvaṇṇavikatāti suvaṇṇakhacitā. Cittāti sattaratanavicittā. Sukatāti suṭṭhu niṭṭhitā. Cittasibbanāti citrasibbiniyo. Ko so omuñcate pādāti ko esa pādato evarūpā pādukā omuñcatīti.

    เอวํ ปุเตฺตน สาครพฺรหฺมทเตฺตน ปุโฎฺฐ อิทฺธิมา อภิญฺญาลาภี ตาปโส ‘‘ตาต, เอเต ธตรฎฺฐรโญฺญ ปุตฺตา ตว ภาคิเนยฺยนาคา’’ติ อาจิกฺขโนฺต คาถมาห –

    Evaṃ puttena sāgarabrahmadattena puṭṭho iddhimā abhiññālābhī tāpaso ‘‘tāta, ete dhataraṭṭharañño puttā tava bhāgineyyanāgā’’ti ācikkhanto gāthamāha –

    ๙๘๑.

    981.

    ‘‘ธตรฎฺฐา หิ เต นาคา, อิทฺธิมโนฺต ยสสฺสิโน;

    ‘‘Dhataraṭṭhā hi te nāgā, iddhimanto yasassino;

    สมุทฺทชาย อุปฺปนฺนา, นาคา เอเต มหิทฺธิกา’’ติฯ

    Samuddajāya uppannā, nāgā ete mahiddhikā’’ti.

    เอวํ เตสํ กเถนฺตานเญฺญว นาคปริสา ปตฺวา ตาปสสฺส ปาเท วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ สมุทฺทชาปิ ปิตรํ วนฺทิตฺวา โรทิตฺวา นาคปริสาย สทฺธิํ นาคภวนเมว คตาฯ สาครพฺรหฺมทโตฺตปิ ตเตฺถว กติปาหํ วสิตฺวา พาราณสิเมว คโตฯ สมุทฺทชา นาคภวเนเยว กาลมกาสิฯ โพธิสโตฺต ยาวชีวํ สีลํ รกฺขิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา อายุปริโยสาเน สทฺธิํ ปริสาย สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ

    Evaṃ tesaṃ kathentānaññeva nāgaparisā patvā tāpasassa pāde vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Samuddajāpi pitaraṃ vanditvā roditvā nāgaparisāya saddhiṃ nāgabhavanameva gatā. Sāgarabrahmadattopi tattheva katipāhaṃ vasitvā bārāṇasimeva gato. Samuddajā nāgabhavaneyeva kālamakāsi. Bodhisatto yāvajīvaṃ sīlaṃ rakkhitvā uposathakammaṃ katvā āyupariyosāne saddhiṃ parisāya saggapuraṃ pūresi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ อุปาสกา โปราณกปณฺฑิตา อนุปฺปเนฺนปิ พุเทฺธ เอวรูปํ นาม สมฺปตฺติํ ปหาย อุโปสถกมฺมํ กริํสุเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิฯ เทสนาปริโยสาเน อุปาสกา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ ตทา มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ อเหสุํ, เนสาทพฺราหฺมโณ เทวทโตฺต, โสมทโตฺต อานโนฺท, อชมุขี อุปฺปลวณฺณา, สุทสฺสโน สาริปุโตฺต, สุโภโค โมคฺคลฺลาโน, กาณาริโฎฺฐ สุนกฺขโตฺต, ภูริทโตฺต ปน อหเมว สมฺมาสมฺพุโทฺธ อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ upāsakā porāṇakapaṇḍitā anuppannepi buddhe evarūpaṃ nāma sampattiṃ pahāya uposathakammaṃ kariṃsuyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi. Desanāpariyosāne upāsakā sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu. Tadā mātāpitaro mahārājakulāni ahesuṃ, nesādabrāhmaṇo devadatto, somadatto ānando, ajamukhī uppalavaṇṇā, sudassano sāriputto, subhogo moggallāno, kāṇāriṭṭho sunakkhatto, bhūridatto pana ahameva sammāsambuddho ahosinti.

    ภูริทตฺตชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐานิฎฺฐิตาฯ

    Bhūridattajātakavaṇṇanā chaṭṭhāniṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๔๓. ภูริทตฺตชาตกํ • 543. Bhūridattajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact