Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
๒. ภูตคามวโคฺค
2. Bhūtagāmavaggo
๑. ภูตคามสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Bhūtagāmasikkhāpadavaṇṇanā
๘๙. เสนาสนวคฺคสฺส ปฐเม นิคฺคเหตุํ อสโกฺกโนฺตติ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺตฯ อิมินา ปน วจเนน ทารกสฺส ตตฺถ อุปนีตภาโว เตน จ ทิฎฺฐภาโว วุโตฺตเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตน หิ ภิกฺขุนา ตํ รุกฺขํ ฉินฺทิตุํ อารเทฺธ ตตฺถ นิพฺพตฺตา เอกา ตรุณปุตฺตา เทวธีตา ปุตฺตํ อเงฺกนาทาย ฐิตา ตํ ยาจิ ‘‘มา เม สามิ วิมานํ ฉินฺทิ, น สกฺขิสฺสามิ ปุตฺตกํ อาทาย อนาวาสา วิจริตุ’’นฺติฯ โส ‘‘อหํ อญฺญตฺถ อีทิสํ รุกฺขํ น ลภิสฺสามี’’ติ ตสฺสา วจนํ นาทิยิฯ สา ‘‘อิมมฺปิ ตาว ทารกํ โอโลเกตฺวา โอรมิสฺสตี’’ติ ปุตฺตํ รุกฺขสาขาย ฐเปสิฯ โส ภิกฺขุ อุกฺขิตฺตํ ผรสุํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต ทารกสฺส พาหํ ฉินฺทิฯ เอวญฺจ สยิโต วิมาเน สยิโต นาม โหตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘รุกฺขฎฺฐกทิพฺพวิมาเน นิปนฺนสฺสา’’ติฯ
89. Senāsanavaggassa paṭhame niggahetuṃ asakkontoti sandhāretuṃ asakkonto. Iminā pana vacanena dārakassa tattha upanītabhāvo tena ca diṭṭhabhāvo vuttoyevāti daṭṭhabbaṃ. Tena hi bhikkhunā taṃ rukkhaṃ chindituṃ āraddhe tattha nibbattā ekā taruṇaputtā devadhītā puttaṃ aṅkenādāya ṭhitā taṃ yāci ‘‘mā me sāmi vimānaṃ chindi, na sakkhissāmi puttakaṃ ādāya anāvāsā vicaritu’’nti. So ‘‘ahaṃ aññattha īdisaṃ rukkhaṃ na labhissāmī’’ti tassā vacanaṃ nādiyi. Sā ‘‘imampi tāva dārakaṃ oloketvā oramissatī’’ti puttaṃ rukkhasākhāya ṭhapesi. So bhikkhu ukkhittaṃ pharasuṃ sandhāretuṃ asakkonto dārakassa bāhaṃ chindi. Evañca sayito vimāne sayito nāma hotīti katvā vuttaṃ ‘‘rukkhaṭṭhakadibbavimāne nipannassā’’ti.
รุกฺขฎฺฐกทิพฺพวิมาเนติ จ สาขฎฺฐกวิมานํ สนฺธาย วุตฺตํฯ รุกฺขสฺส อุปริ นิพฺพตฺตญฺหิ วิมานํ รุกฺขปฎิพทฺธตฺตา ‘‘รุกฺขฎฺฐกวิมาน’’นฺติ วุจฺจติฯ สาขฎฺฐกวิมานํ ปน สพฺพสาขาสนฺนิสฺสิตํ หุตฺวา ติฎฺฐติฯ ตตฺถ ยํ รุกฺขฎฺฐกวิมานํ โหติ, ตํ ยาว รุกฺขสฺส มูลมตฺตมฺปิ ติฎฺฐติ, ตาว น นสฺสติฯ สาขฎฺฐกวิมานํ ปน สาขาสุ ภิชฺชมานาสุ ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชิตฺวา สพฺพสาขาสุ ภินฺนาสุ สพฺพํ ภิชฺชติ, อิทมฺปิ จ วิมานํ สาขฎฺฐกํ, ตสฺมา รุเกฺข ฉิเนฺน ตํ วิมานํ สพฺพโส วินฎฺฐํ, เตเนว สา เทวตา ภควโต สนฺติกา ลเทฺธ อญฺญสฺมิํ วิมาเน วสิฯ พาหุํ ถนมูเลเยว ฉินฺทีติ อํเสน สทฺธิํ พาหํ ฉินฺทิฯ อิมินา จ รุกฺขเทวตานํ คตฺตานิ ฉิชฺชนฺติ, น จาตุมหาราชิกาทีนํ วิย อเจฺฉชฺชานีติ ทฎฺฐพฺพํฯ รุกฺขธเมฺมติ รุกฺขปกติยํ, รุกฺขสภาเวติ อโตฺถฯ รุกฺขานํ วิย เฉทนาทีสุ อกุปฺปนญฺหิ รุกฺขธโมฺม นามฯ
Rukkhaṭṭhakadibbavimāneti ca sākhaṭṭhakavimānaṃ sandhāya vuttaṃ. Rukkhassa upari nibbattañhi vimānaṃ rukkhapaṭibaddhattā ‘‘rukkhaṭṭhakavimāna’’nti vuccati. Sākhaṭṭhakavimānaṃ pana sabbasākhāsannissitaṃ hutvā tiṭṭhati. Tattha yaṃ rukkhaṭṭhakavimānaṃ hoti, taṃ yāva rukkhassa mūlamattampi tiṭṭhati, tāva na nassati. Sākhaṭṭhakavimānaṃ pana sākhāsu bhijjamānāsu tattha tattheva bhijjitvā sabbasākhāsu bhinnāsu sabbaṃ bhijjati, idampi ca vimānaṃ sākhaṭṭhakaṃ, tasmā rukkhe chinne taṃ vimānaṃ sabbaso vinaṭṭhaṃ, teneva sā devatā bhagavato santikā laddhe aññasmiṃ vimāne vasi. Bāhuṃ thanamūleyeva chindīti aṃsena saddhiṃ bāhaṃ chindi. Iminā ca rukkhadevatānaṃ gattāni chijjanti, na cātumahārājikādīnaṃ viya acchejjānīti daṭṭhabbaṃ. Rukkhadhammeti rukkhapakatiyaṃ, rukkhasabhāveti attho. Rukkhānaṃ viya chedanādīsu akuppanañhi rukkhadhammo nāma.
อุปฺปติตนฺติ อุปฺปนฺนํฯ ภนฺตนฺติ ธาวนฺตํฯ วารเยติ นิคฺคเณฺหยฺยฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา นาม เฉโก สารถิ อติเวเคน ธาวนฺตํ รถํ นิคฺคเหตฺวา ยถิจฺฉกํ เปเสติ, เอวํ โย ปุคฺคโล อุปฺปนฺนํ โกธํ วารเย นิคฺคณฺหิตุํ สโกฺกติ, ตมหํ สารถิํ พฺรูมิฯ อิตโร ปน ราชอุปราชาทีนํ รถสารถิชโน รสฺมิคฺคาโห นาม โหติ, น อุตฺตมสารถีติฯ
Uppatitanti uppannaṃ. Bhantanti dhāvantaṃ. Vārayeti niggaṇheyya. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā nāma cheko sārathi ativegena dhāvantaṃ rathaṃ niggahetvā yathicchakaṃ peseti, evaṃ yo puggalo uppannaṃ kodhaṃ vāraye niggaṇhituṃ sakkoti, tamahaṃ sārathiṃ brūmi. Itaro pana rājauparājādīnaṃ rathasārathijano rasmiggāho nāma hoti, na uttamasārathīti.
ทุติยคาถาย ปน อยมโตฺถ – โยติ (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑) โย ยาทิโส ขตฺติยกุลา วา ปพฺพชิโต พฺราหฺมณกุลา วา ปพฺพชิโต นโว วา มชฺฌิโม วา เถโร วาฯ อุปฺปติตนฺติ อุทฺธมุทฺธํ ปติตํ, คตํ ปวตฺตนฺติ อโตฺถ, อุปฺปนฺนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โกธนฺติ ‘‘อนตฺถํ เม จรตีติ อาฆาโต ชายตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๔๐; อ. นิ. ๙.๒๙) นเยน สุเตฺต วุตฺตานํ นวนฺนํ, ‘‘อตฺถํ เม น จรตี’’ติอาทีนญฺจ ตปฺปฎิปกฺขโต สิทฺธานํ นวนฺนเมวาติ อฎฺฐารสนฺนํ ขาณุกณฺฎกาทินา อฎฺฐาเนน สทฺธิํ เอกูนวีสติยา อาฆาตวตฺถูนํ อญฺญตราฆาตวตฺถุสมฺภวํ อาฆาตํฯ วิสฎนฺติ วิตฺถตํฯ สปฺปวิสนฺติ สปฺปสฺส วิสํฯ อิวาติ โอปมฺมวจนํฯ อิ-การโลปํ กตฺวา ว-อิเจฺจว วุตฺตํฯ โอสเธหีติ อคเทหิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา วิสติกิจฺฉโก เวโชฺช สเปฺปน ทโฎฺฐ สพฺพํ กายํ ผริตฺวา ฐิตํ วิสฎํ สปฺปวิสํ มูลขนฺธตจปตฺตปุปฺผาทีนํ อญฺญตเรหิ, นานาเภสเชฺชหิ ปโยเชตฺวา กเตหิ วา โอสเธหิ ขิปฺปเมว วิเนยฺย, เอวเมว โย ยถาวุเตฺตน อาฆาตวตฺถุนา อุปฺปติตํ จิตฺตสนฺตานํ พฺยาเปตฺวา ฐิตํ โกธํ วินยนุปาเยสุ ตทงฺควินยาทีสุ เยน เกนจิ อุปาเยน วิเนติ นาธิวาเสติ ปชหติ วิโนเทติ พฺยนฺติํ กโรติ, โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํฯ โส เอวํ โกธํ วิเนโนฺต ภิกฺขุ ยสฺมา โกโธ ตติยมเคฺคน สพฺพโส ปหียติ, ตสฺมา โอรปารสญฺญิตานิ ปโญฺจรมฺภาคิยสํโยชนานิ ชหาตีติฯ อวิเสเสน หิ ปารนฺติ ตีรสฺส นามํ, ตสฺมา โอรานิ จ ตานิ สํสารสาครสฺส ปารภูตานิ จาติ กตฺวา ‘‘โอรปาร’’นฺติ วุจฺจติฯ
Dutiyagāthāya pana ayamattho – yoti (su. ni. aṭṭha. 1.1) yo yādiso khattiyakulā vā pabbajito brāhmaṇakulā vā pabbajito navo vā majjhimo vā thero vā. Uppatitanti uddhamuddhaṃ patitaṃ, gataṃ pavattanti attho, uppannanti vuttaṃ hoti. Kodhanti ‘‘anatthaṃ me caratīti āghāto jāyatī’’tiādinā (dī. ni. 3.340; a. ni. 9.29) nayena sutte vuttānaṃ navannaṃ, ‘‘atthaṃ me na caratī’’tiādīnañca tappaṭipakkhato siddhānaṃ navannamevāti aṭṭhārasannaṃ khāṇukaṇṭakādinā aṭṭhānena saddhiṃ ekūnavīsatiyā āghātavatthūnaṃ aññatarāghātavatthusambhavaṃ āghātaṃ. Visaṭanti vitthataṃ. Sappavisanti sappassa visaṃ. Ivāti opammavacanaṃ. I-kāralopaṃ katvā va-icceva vuttaṃ. Osadhehīti agadehi. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā visatikicchako vejjo sappena daṭṭho sabbaṃ kāyaṃ pharitvā ṭhitaṃ visaṭaṃ sappavisaṃ mūlakhandhatacapattapupphādīnaṃ aññatarehi, nānābhesajjehi payojetvā katehi vā osadhehi khippameva vineyya, evameva yo yathāvuttena āghātavatthunā uppatitaṃ cittasantānaṃ byāpetvā ṭhitaṃ kodhaṃ vinayanupāyesu tadaṅgavinayādīsu yena kenaci upāyena vineti nādhivāseti pajahati vinodeti byantiṃ karoti, so bhikkhu jahāti orapāraṃ. So evaṃ kodhaṃ vinento bhikkhu yasmā kodho tatiyamaggena sabbaso pahīyati, tasmā orapārasaññitāni pañcorambhāgiyasaṃyojanāni jahātīti. Avisesena hi pāranti tīrassa nāmaṃ, tasmā orāni ca tāni saṃsārasāgarassa pārabhūtāni cāti katvā ‘‘orapāra’’nti vuccati.
อถ วา โย อุปฺปติตํ วิเนติ โกธํ วิสฎํ สปฺปวิสํว โอสเธหิ, โส ตติยมเคฺคน สพฺพโส โกธํ วิเนตฺวา อนาคามิผเล ฐิโต ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํฯ ตตฺถ โอรนฺติ สกตฺตภาโวฯ ปารนฺติ ปรตฺตภาโวฯ โอรํ วา ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ, ปารํ ฉ พาหิรายตนานิฯ ตถา โอรํ มนุสฺสโลโก, ปารํ เทวโลโกฯ โอรํ กามธาตุ, ปารํ รูปารูปธาตุฯ โอรํ กามรูปภโว, ปารํ อรูปภโวฯ โอรํ อตฺตภาโว, ปารํ อตฺตภาวสุขุปกรณานิฯ เอวเมตสฺมิํ โอรปาเร จตุตฺถมเคฺคน ฉนฺทราคํ ปชหโนฺต ‘‘ชหาติ โอรปาร’’นฺติ วุจฺจติฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ อนาคามิโน กามราคสฺส ปหีนตฺตา อิธตฺตภาวาทีสุ ฉนฺทราโค เอว นตฺถิ, อปิจ โข ปนสฺส วณฺณปฺปกาสนตฺถํ สพฺพเมตํ โอรปารเภทํ สงฺคเหตฺวา ตตฺถ ฉนฺทราคปฺปหาเนน ‘‘ชหาติ โอรปาร’’นฺติ วุตฺตํฯ
Atha vā yo uppatitaṃ vineti kodhaṃ visaṭaṃ sappavisaṃva osadhehi, so tatiyamaggena sabbaso kodhaṃ vinetvā anāgāmiphale ṭhito bhikkhu jahāti orapāraṃ. Tattha oranti sakattabhāvo. Pāranti parattabhāvo. Oraṃ vā cha ajjhattikāni āyatanāni, pāraṃ cha bāhirāyatanāni. Tathā oraṃ manussaloko, pāraṃ devaloko. Oraṃ kāmadhātu, pāraṃ rūpārūpadhātu. Oraṃ kāmarūpabhavo, pāraṃ arūpabhavo. Oraṃ attabhāvo, pāraṃ attabhāvasukhupakaraṇāni. Evametasmiṃ orapāre catutthamaggena chandarāgaṃ pajahanto ‘‘jahāti orapāra’’nti vuccati. Ettha ca kiñcāpi anāgāmino kāmarāgassa pahīnattā idhattabhāvādīsu chandarāgo eva natthi, apica kho panassa vaṇṇappakāsanatthaṃ sabbametaṃ orapārabhedaṃ saṅgahetvā tattha chandarāgappahānena ‘‘jahāti orapāra’’nti vuttaṃ.
อิทานิ ตสฺสตฺถสฺส วิภาวนตฺถาย อุปมํ อาห ‘‘อุรโค ชิณฺณมิวตฺตจํ ปุราณ’’นฺติฯ ตตฺถ อุเรน คจฺฉตีติ อุรโค, สปฺปเสฺสตํ อธิวจนํฯ โส ทุวิโธ กามรูปี จ อกามรูปี จฯ กามรูปีปิ ทุวิโธ ชลโช ถลโช จฯ ชลโช ชเล เอว กามรูปํ ลภติ, น ถเล สงฺขปาลชาตเก (ชา. ๒.๑๗.๑๔๓ อาทโย) สงฺขปาลนาคราชา วิยฯ ถลโช ถเล เอว, น ชเลฯ โส ชชฺชรภาเวน ชิณฺณํ, จิรกาลตาย ปุราณญฺจาติ สงฺขํ คตํ ตจํ ชหโนฺต จตุพฺพิเธน ชหติ สชาติยํ ฐิโต ชิคุจฺฉโนฺต นิสฺสาย ถาเมนาติฯ สชาติ นาม สปฺปชาติ ทีฆตฺตภาโวฯ อุรคา หิ ปญฺจสุ ฐาเนสุ สชาติํ นาติวตฺตนฺติ อุปปตฺติยํ จุติยํ วิสฺสฎฺฐนิโทฺทกฺกมเน สชาติยา เมถุนปฎิเสวเน ชิณฺณตจาปนยเน จาติฯ ตสฺมา ยทา ตจํ ชหติ, ตทา สชาติยํเยว ฐตฺวา ชหติฯ สชาติยํ ฐิโตปิ จ ชิคุจฺฉโนฺต ชหติฯ ชิคุจฺฉโนฺต นาม ยทา อุปฑฺฒฎฺฐาเน มุโตฺต โหติ, อุปฑฺฒฎฺฐาเน อมุโตฺต โอลมฺพติ, ตทา นํ อฎฺฎียโนฺต ชหติ, เอวํ ชิคุจฺฉโนฺตปิ จ ทณฺฑนฺตรํ วา มูลนฺตรํ วา ปาสาณนฺตรํ วา นิสฺสาย ชหติฯ นิสฺสาย ชหโนฺตปิ จ ถามํ ชเนตฺวา อุสฺสาหํ กริตฺวา วีริเยน วงฺกํ นงฺคุฎฺฐํ กตฺวา ปสฺสสโนฺตว ผณํ กริตฺวา ชหติฯ เอวํ ชหิตฺวา เยนกามํ ปกฺกมติฯ
Idāni tassatthassa vibhāvanatthāya upamaṃ āha ‘‘urago jiṇṇamivattacaṃ purāṇa’’nti. Tattha urena gacchatīti urago, sappassetaṃ adhivacanaṃ. So duvidho kāmarūpī ca akāmarūpī ca. Kāmarūpīpi duvidho jalajo thalajo ca. Jalajo jale eva kāmarūpaṃ labhati, na thale saṅkhapālajātake (jā. 2.17.143 ādayo) saṅkhapālanāgarājā viya. Thalajo thale eva, na jale. So jajjarabhāvena jiṇṇaṃ, cirakālatāya purāṇañcāti saṅkhaṃ gataṃ tacaṃ jahanto catubbidhena jahati sajātiyaṃ ṭhito jigucchanto nissāya thāmenāti. Sajāti nāma sappajāti dīghattabhāvo. Uragā hi pañcasu ṭhānesu sajātiṃ nātivattanti upapattiyaṃ cutiyaṃ vissaṭṭhaniddokkamane sajātiyā methunapaṭisevane jiṇṇatacāpanayane cāti. Tasmā yadā tacaṃ jahati, tadā sajātiyaṃyeva ṭhatvā jahati. Sajātiyaṃ ṭhitopi ca jigucchanto jahati. Jigucchanto nāma yadā upaḍḍhaṭṭhāne mutto hoti, upaḍḍhaṭṭhāne amutto olambati, tadā naṃ aṭṭīyanto jahati, evaṃ jigucchantopi ca daṇḍantaraṃ vā mūlantaraṃ vā pāsāṇantaraṃ vā nissāya jahati. Nissāya jahantopi ca thāmaṃ janetvā ussāhaṃ karitvā vīriyena vaṅkaṃ naṅguṭṭhaṃ katvā passasantova phaṇaṃ karitvā jahati. Evaṃ jahitvā yenakāmaṃ pakkamati.
เอวเมว อยมฺปิ ภิกฺขุ โอรปารํ ชหิตุกาโม จตุพฺพิเธน ชหติ สชาติยํ ฐิโต ชิคุจฺฉโนฺต นิสฺสาย ถาเมนาติฯ สชาติ นาม ภิกฺขุโน ‘‘อริยาย ชาติยา ชาโต’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๕๑) วจนโต สีลํฯ เตเนวาห ‘‘สีเล ปติฎฺฐาย นโร สปโญฺญ’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๓, ๑๙๒)ฯ เอวเมติสฺสํ สชาติยํ ฐิโต ภิกฺขุ ตํ สกตฺตภาวาทิเภทํ โอรปารํ ชิณฺณปุราณตฺตจมิว ตํ ทุกฺขํ ชเนนฺตํ ตตฺถ ตตฺถ อาทีนวทสฺสเนน ชิคุจฺฉโนฺต กลฺยาณมิเตฺต นิสฺสาย อธิมตฺตสมฺมาวายามสงฺขาตํ ถามํ ชเนตฺวา ‘‘ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๖; ๔.๓๗) วุตฺตนเยน รตฺตินฺทิวํ ฉธา วิภชิตฺวา ฆเฎโนฺต วายมโนฺต อุรโค วิย วงฺกํ นงฺคุฎฺฐํ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุรโค วิย ปสฺสสโนฺต อยมฺปิ อสิถิลปรกฺกมตาย วายมโนฺต อุรโคว ผณํ กริตฺวา อยมฺปิ ญาณวิปฺผารํ ชเนตฺวา อุรโคว ตจํ โอรปารํ ชหติ, ชหิตฺวา จ อุรโค วิย โอหิตตโจ เยนกามํ ปกฺกมติ, อยมฺปิ โอหิตภาโร อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุทิสํ ปกฺกมตีติฯ
Evameva ayampi bhikkhu orapāraṃ jahitukāmo catubbidhena jahati sajātiyaṃ ṭhito jigucchanto nissāya thāmenāti. Sajāti nāma bhikkhuno ‘‘ariyāya jātiyā jāto’’ti (ma. ni. 2.351) vacanato sīlaṃ. Tenevāha ‘‘sīle patiṭṭhāya naro sapañño’’ti (saṃ. ni. 1.23, 192). Evametissaṃ sajātiyaṃ ṭhito bhikkhu taṃ sakattabhāvādibhedaṃ orapāraṃ jiṇṇapurāṇattacamiva taṃ dukkhaṃ janentaṃ tattha tattha ādīnavadassanena jigucchanto kalyāṇamitte nissāya adhimattasammāvāyāmasaṅkhātaṃ thāmaṃ janetvā ‘‘divasaṃ caṅkamena nisajjāya āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetī’’ti (a. ni. 3.16; 4.37) vuttanayena rattindivaṃ chadhā vibhajitvā ghaṭento vāyamanto urago viya vaṅkaṃ naṅguṭṭhaṃ pallaṅkaṃ ābhujitvā urago viya passasanto ayampi asithilaparakkamatāya vāyamanto uragova phaṇaṃ karitvā ayampi ñāṇavipphāraṃ janetvā uragova tacaṃ orapāraṃ jahati, jahitvā ca urago viya ohitataco yenakāmaṃ pakkamati, ayampi ohitabhāro anupādisesanibbānadhātudisaṃ pakkamatīti.
๙๐. ภวนฺตีติ อิมินา วิรุฬฺหมูเล นีลภาวํ อาปชฺชิตฺวา วฑฺฒมานเก ตรุณคเจฺฉ ทเสฺสติฯ อหุวุนฺติ อิมินา ปน วฑฺฒิตฺวา ฐิเต มหเนฺต รุกฺขคจฺฉาทิเก ทเสฺสติฯ ภวนฺตีติ อิมสฺส วิวรณํ ‘‘ชายนฺติ วฑฺฒนฺตี’’ติ, อหุวุนฺติ อิมสฺส ‘‘ชาตา วฑฺฒิตา’’ติฯ ราสีติ สุทฺธฎฺฐกธมฺมสมูโหฯ ภูตานนฺติ ตถาลทฺธสมญฺญานํ อฎฺฐธมฺมานํฯ ‘‘ภูตานํ คาโม’’ติ วุเตฺตปิ อวยววินิมุตฺตสฺส สมุทายสฺส อภาวโต ภูตสญฺญิตา เตเยว ติณรุกฺขลตาทโย คยฺหนฺติฯ ‘‘ภูมิยํ ปติฎฺฐหิตฺวา หริตภาวมาปนฺนา รุกฺขคจฺฉาทโย เทวตาหิ ปริคฺคยฺหนฺติ, ตสฺมา ภูตานํ นิวาสฎฺฐานตาย ภูตานํ คาโม’’ติปิ วทนฺติฯ รุกฺขาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน โอสธิคจฺฉลตาทโย เวทิตพฺพาฯ
90.Bhavantīti iminā viruḷhamūle nīlabhāvaṃ āpajjitvā vaḍḍhamānake taruṇagacche dasseti. Ahuvunti iminā pana vaḍḍhitvā ṭhite mahante rukkhagacchādike dasseti. Bhavantīti imassa vivaraṇaṃ ‘‘jāyanti vaḍḍhantī’’ti, ahuvunti imassa ‘‘jātā vaḍḍhitā’’ti. Rāsīti suddhaṭṭhakadhammasamūho. Bhūtānanti tathāladdhasamaññānaṃ aṭṭhadhammānaṃ. ‘‘Bhūtānaṃ gāmo’’ti vuttepi avayavavinimuttassa samudāyassa abhāvato bhūtasaññitā teyeva tiṇarukkhalatādayo gayhanti. ‘‘Bhūmiyaṃ patiṭṭhahitvā haritabhāvamāpannā rukkhagacchādayo devatāhi pariggayhanti, tasmā bhūtānaṃ nivāsaṭṭhānatāya bhūtānaṃ gāmo’’tipi vadanti. Rukkhādīnanti ādi-saddena osadhigacchalatādayo veditabbā.
นนุ จ รุกฺขาทโย จิตฺตรหิตตาย น ชีวา, จิตฺตรหิตตา จ ปริปฺผนฺทาภาวโต ฉิเนฺนปิ รุหนโต วิสทิสชาติกภาวโต จตุโยนิอปริยาปนฺนโต จ เวทิตพฺพา, วุฑฺฒิ ปน ปวาฬสิลาลวณานมฺปิ วิชฺชตีติ น เตสํ ชีวภาเว การณํ, วิสยคฺคหณญฺจ เนสํ ปริกปฺปนามตฺตํ สุปนํ วิย จิญฺจาทีนํ, ตถา โทหฬาทโย, ตตฺถ กสฺมา ภูตคามสฺส เฉทนาทิปจฺจยา ปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ? สมณสารุปฺปโต ตํนิวาสสตฺตานุรกฺขณโต จฯ เตเนวาห ‘‘ชีวสญฺญิโน หิ โมฆปุริสา มนุสฺสา รุกฺขสฺมิ’’นฺติอาทิฯ
Nanu ca rukkhādayo cittarahitatāya na jīvā, cittarahitatā ca paripphandābhāvato chinnepi ruhanato visadisajātikabhāvato catuyoniapariyāpannato ca veditabbā, vuḍḍhi pana pavāḷasilālavaṇānampi vijjatīti na tesaṃ jīvabhāve kāraṇaṃ, visayaggahaṇañca nesaṃ parikappanāmattaṃ supanaṃ viya ciñcādīnaṃ, tathā dohaḷādayo, tattha kasmā bhūtagāmassa chedanādipaccayā pācittiyaṃ vuttanti? Samaṇasāruppato taṃnivāsasattānurakkhaṇato ca. Tenevāha ‘‘jīvasaññino hi moghapurisā manussā rukkhasmi’’ntiādi.
๙๑. ‘‘มูเล ชายนฺตี’’ติอาทีสุ อโตฺถ อุปริ อตฺตนา วุจฺจมานปฺปกาเรน สีหฬฎฺฐกถายํ วุโตฺตติ อาห ‘‘เอวํ สเนฺตปิ…เป.… น สเมนฺตี’’ติฯ วิชาต-สโทฺท อิธ วิ-สทฺทโลปํ กตฺวา นิทฺทิโฎฺฐติ อาห ‘‘วิชาตานี’’ติฯ วิชาต-สโทฺท จ ‘‘วิชาตา อิตฺถี’’ติอาทีสุ วิย ปสูตวจโนติ อาห ‘‘ปสูตานี’’ติฯ ปสูติ จ นาเมตฺถ นิพฺพตฺตปณฺณมูลตาติ อาห ‘‘นิพฺพตฺตปณฺณมูลานี’’ติฯ อิมินา อิมํ ทีเปติ ‘‘นิพฺพตฺตปณฺณมูลานิ พีชานิ ภูตคามสงฺขเมว คจฺฉนฺติ, เตสุ จ วตฺตมาโน พีชชาต-สโทฺท รุฬฺหีวเสน รุกฺขาทีสุปิ วตฺตตี’’ติฯ ปุริมสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป ปน พีเชหิ ชาตานํ รุกฺขลตาทีนํเยว ภูตคามตา วุตฺตาฯ
91. ‘‘Mūle jāyantī’’tiādīsu attho upari attanā vuccamānappakārena sīhaḷaṭṭhakathāyaṃ vuttoti āha ‘‘evaṃ santepi…pe… na samentī’’ti. Vijāta-saddo idha vi-saddalopaṃ katvā niddiṭṭhoti āha ‘‘vijātānī’’ti. Vijāta-saddo ca ‘‘vijātā itthī’’tiādīsu viya pasūtavacanoti āha ‘‘pasūtānī’’ti. Pasūti ca nāmettha nibbattapaṇṇamūlatāti āha ‘‘nibbattapaṇṇamūlānī’’ti. Iminā imaṃ dīpeti ‘‘nibbattapaṇṇamūlāni bījāni bhūtagāmasaṅkhameva gacchanti, tesu ca vattamāno bījajāta-saddo ruḷhīvasena rukkhādīsupi vattatī’’ti. Purimasmiṃ atthavikappe pana bījehi jātānaṃ rukkhalatādīnaṃyeva bhūtagāmatā vuttā.
ตานิ ทเสฺสโนฺตติ ตานิ พีชานิ ทเสฺสโนฺตฯ มูลพีชนฺติอาทีสุ มูลเมว พีชํ มูลพีชํฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ผฬุพีชนฺติ ปพฺพพีชํฯ ปจฺจยนฺตรสมวาเย สทิสผลุปฺปตฺติยา วิเสสการณภาวโต วิรุหนสมเตฺถ สารผเล นิรุโฬฺห พีช-สโทฺทฯ ตทตฺถสํสิทฺธิยา มูลาทีสุปิ เกสุจิ ปวตฺตตีติ มูลาทิโต นิวตฺตนตฺถํ เอเกน พีชสเทฺทน วิเสเสตฺวา วุตฺตํ ‘‘พีชพีช’’นฺติ ‘‘รูปรูปํ, ทุกฺขทุกฺข’’นฺติ จ ยถาฯ พีชโต นิพฺพเตฺตน พีชํ ทสฺสิตนฺติ การิโยปจาเรน การณํ ทสฺสิตนฺติ ทีเปติฯ
Tāni dassentoti tāni bījāni dassento. Mūlabījantiādīsu mūlameva bījaṃ mūlabījaṃ. Sesesupi eseva nayo. Phaḷubījanti pabbabījaṃ. Paccayantarasamavāye sadisaphaluppattiyā visesakāraṇabhāvato viruhanasamatthe sāraphale niruḷho bīja-saddo. Tadatthasaṃsiddhiyā mūlādīsupi kesuci pavattatīti mūlādito nivattanatthaṃ ekena bījasaddena visesetvā vuttaṃ ‘‘bījabīja’’nti ‘‘rūparūpaṃ, dukkhadukkha’’nti ca yathā. Bījato nibbattena bījaṃ dassitanti kāriyopacārena kāraṇaṃ dassitanti dīpeti.
๙๒. พีเช พีชสญฺญีติ เอตฺถ การณูปจาเรน การิยํ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺถ ยถา’’ติอาทิมาหฯ ภูตคามปริโมจนํ กตฺวาติ ภูตคามโต โมเจตฺวา, วิโยเชตฺวาติ อโตฺถฯ ยํ พีชํ ภูตคาโม นาม โหตีติ พีชานิ จ ตานิ ชาตานิ จาติ วุตฺตมตฺถํ สนฺธาย วทติฯ ตตฺถ ยํ พีชนฺติ ยํ นิพฺพตฺตปณฺณมูลํ พีชํฯ ตสฺมิํ พีเชติ ตสฺมิํ ภูตคามสญฺญิเต พีเชฯ เอตฺถ จ พีชชาต-สทฺทสฺส วิย รุฬฺหีวเสน รุกฺขาทีสุ พีช-สทฺทสฺสปิ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ ยถารุตนฺติ ยถาปาฬิฯ
92.Bīje bījasaññīti ettha kāraṇūpacārena kāriyaṃ vuttanti dassento ‘‘tattha yathā’’tiādimāha. Bhūtagāmaparimocanaṃ katvāti bhūtagāmato mocetvā, viyojetvāti attho. Yaṃ bījaṃ bhūtagāmo nāma hotīti bījāni ca tāni jātāni cāti vuttamatthaṃ sandhāya vadati. Tattha yaṃ bījanti yaṃ nibbattapaṇṇamūlaṃ bījaṃ. Tasmiṃ bījeti tasmiṃ bhūtagāmasaññite bīje. Ettha ca bījajāta-saddassa viya ruḷhīvasena rukkhādīsu bīja-saddassapi pavatti veditabbā. Yathārutanti yathāpāḷi.
ยตฺถ กตฺถจีติ มูเล อเคฺค มเชฺฌ วาฯ สญฺจิจฺจ อุกฺขิปิตุํ น วฎฺฎตีติ เอตฺถ สเจปิ สรีเร ลคฺคภาวํ ชานโนฺตว อุทกโต อุฎฺฐหติ, ‘‘ตํ อุทฺธริสฺสามี’’ติ สญฺญาย อภาวโต วฎฺฎติฯ อุปฺปาฎิตานีติ อุทฺธฎานิฯ พีชคาเม สงฺคหํ คจฺฉนฺตีติ ภูตคามโต ปริโมจิตตฺตา วุตฺตํฯ อนนฺตก-คฺคหเณน สาสปมตฺติกา คหิตาฯ นามเญฺหตํ ตสฺสา เสวาลชาติยา ฯ มูลปณฺณานํ อสมฺปุณฺณตฺตา ‘‘อสมฺปุณฺณภูตคาโม นามา’’ติ วุตฺตํฯ อภูตคามมูลตฺตาติ เอตฺถ ภูตคาโม มูลํ การณํ เอตสฺสาติ ภูตคามมูโล, ภูตคามสฺส วา มูลํ การณนฺติ ภูตคามมูลํฯ พีชคาโม หิ นาม ภูตคามโต สมฺภวติ, ภูตคามสฺส จ การณํ โหติ, อยํ ปน ตาทิโส น โหตีติ ‘‘อภูตคามมูลตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺรฎฺฐกตฺตา วุตฺตํ ‘‘โส พีชคาเมน สงฺคหิโต’’ติฯ อิทญฺจ ‘‘อภูตคามมูลตฺตา’’ติ เอตฺถ ปฐมํ วุตฺตอตฺถสมฺภวโต วุตฺตํฯ กิญฺจาปิ หิ ตาลนาฬิเกราทีนํ ขาณุ อุทฺธํ อวฑฺฒนโต ภูตคามสฺส การณํ น โหติ, ตถาปิ ภูตคามสงฺขฺยุปคตนิพฺพตฺตปณฺณมูลพีชโต สมฺภูตตฺตา ภูตคามโต อุปฺปโนฺน นาม โหตีติ พีชคาเมน สงฺคหํ คจฺฉติฯ
Yattha katthacīti mūle agge majjhe vā. Sañcicca ukkhipituṃ na vaṭṭatīti ettha sacepi sarīre laggabhāvaṃ jānantova udakato uṭṭhahati, ‘‘taṃ uddharissāmī’’ti saññāya abhāvato vaṭṭati. Uppāṭitānīti uddhaṭāni. Bījagāme saṅgahaṃ gacchantīti bhūtagāmato parimocitattā vuttaṃ. Anantaka-ggahaṇena sāsapamattikā gahitā. Nāmañhetaṃ tassā sevālajātiyā . Mūlapaṇṇānaṃ asampuṇṇattā ‘‘asampuṇṇabhūtagāmo nāmā’’ti vuttaṃ. Abhūtagāmamūlattāti ettha bhūtagāmo mūlaṃ kāraṇaṃ etassāti bhūtagāmamūlo, bhūtagāmassa vā mūlaṃ kāraṇanti bhūtagāmamūlaṃ. Bījagāmo hi nāma bhūtagāmato sambhavati, bhūtagāmassa ca kāraṇaṃ hoti, ayaṃ pana tādiso na hotīti ‘‘abhūtagāmamūlattā’’ti vuttaṃ. Tatraṭṭhakattā vuttaṃ ‘‘so bījagāmena saṅgahito’’ti. Idañca ‘‘abhūtagāmamūlattā’’ti ettha paṭhamaṃ vuttaatthasambhavato vuttaṃ. Kiñcāpi hi tālanāḷikerādīnaṃ khāṇu uddhaṃ avaḍḍhanato bhūtagāmassa kāraṇaṃ na hoti, tathāpi bhūtagāmasaṅkhyupagatanibbattapaṇṇamūlabījato sambhūtattā bhūtagāmato uppanno nāma hotīti bījagāmena saṅgahaṃ gacchati.
‘‘องฺกุเร หริเต’’ติ วตฺวา ตเมว วิภาเวติ ‘‘นีลปณฺณวเณฺณ ชาเต’’ติ, นีลปณฺณสฺส วณฺณสทิเส วเณฺณ ชาเตติ อโตฺถฯ ‘‘นีลวเณฺณ ชาเต’’ติ วา ปาโฐ คเหตโพฺพฯ อมูลกภูตคาเม สงฺคหํ คจฺฉตีติ นาฬิเกรสฺส อาเวณิกํ กตฺวา วทติฯ ‘‘ปานียฆฎาทีนํ พหิ เสวาโล อุทเก อฎฺฐิตตฺตา พีชคามานุโลมตฺตา จ ทุกฺกฎวตฺถู’’ติ วทนฺติฯ กณฺณกมฺปิ อโพฺพหาริกเมวาติ นีลวณฺณมฺปิ อโพฺพหาริกเมวฯ เสเลยฺยกํ นาม สิลาย สมฺภูตา เอกา สุคนฺธชาติฯ ‘‘รุกฺขตฺตจํ วิโกเปตีติ วุตฺตตฺตา รุเกฺข ชาตํ ยํ กิญฺจิ ฉตฺตกํ รุกฺขตฺตจํ อวิโกเปตฺวา มตฺถกโต ฉินฺทิตฺวา คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ รุกฺขโต มุจฺจิตฺวา ติฎฺฐตีติ เอตฺถ ‘‘ยทิปิ กิญฺจิมตฺตํ รุเกฺข อลฺลีนา หุตฺวา ติฎฺฐติ, รุกฺขโต คยฺหมาโน ปน รุกฺขจฺฉวิํ น วิโกเปติ, วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ อลฺลรุกฺขโต น วฎฺฎตีติ เอตฺถาปิ รุกฺขตฺตจํ อวิโกเปตฺวา มตฺถกโต ตเจฺฉตฺวา คเหตุํ วฎฺฎตีติ เวทิตพฺพํฯ หตฺถกุกฺกุเจฺจนาติ หตฺถานํ อสํยตภาเวน, หตฺถจาปเลฺลนาติ วุตฺตํ โหติฯ ปานียํ น วาเสตพฺพนฺติ อิทํ อตฺตโน อตฺถาย นามิตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เกวลํ อนุปสมฺปนฺนสฺส อตฺถาย นามิเต ปน ปจฺฉา ตโต ลภิตฺวา น วาเสตพฺพนฺติ นตฺถิฯ ‘‘เยสํ รุกฺขานํ สาขา รุหตีติ วุตฺตตฺตา เยสํ สาขา น รุหติ, ตตฺถ กปฺปิยกรณกิจฺจํ นตฺถี’’ติ วทนฺติฯ
‘‘Aṅkure harite’’ti vatvā tameva vibhāveti ‘‘nīlapaṇṇavaṇṇe jāte’’ti, nīlapaṇṇassa vaṇṇasadise vaṇṇe jāteti attho. ‘‘Nīlavaṇṇe jāte’’ti vā pāṭho gahetabbo. Amūlakabhūtagāme saṅgahaṃ gacchatīti nāḷikerassa āveṇikaṃ katvā vadati. ‘‘Pānīyaghaṭādīnaṃ bahi sevālo udake aṭṭhitattā bījagāmānulomattā ca dukkaṭavatthū’’ti vadanti. Kaṇṇakampi abbohārikamevāti nīlavaṇṇampi abbohārikameva. Seleyyakaṃ nāma silāya sambhūtā ekā sugandhajāti. ‘‘Rukkhattacaṃ vikopetīti vuttattā rukkhe jātaṃ yaṃ kiñci chattakaṃ rukkhattacaṃ avikopetvā matthakato chinditvā gahetuṃ vaṭṭatī’’ti vadanti. Rukkhato muccitvā tiṭṭhatīti ettha ‘‘yadipi kiñcimattaṃ rukkhe allīnā hutvā tiṭṭhati, rukkhato gayhamāno pana rukkhacchaviṃ na vikopeti, vaṭṭatī’’ti vadanti. Allarukkhato na vaṭṭatīti etthāpi rukkhattacaṃ avikopetvā matthakato tacchetvā gahetuṃ vaṭṭatīti veditabbaṃ. Hatthakukkuccenāti hatthānaṃ asaṃyatabhāvena, hatthacāpallenāti vuttaṃ hoti. Pānīyaṃ na vāsetabbanti idaṃ attano atthāya nāmitaṃ sandhāya vuttaṃ. Kevalaṃ anupasampannassa atthāya nāmite pana pacchā tato labhitvā na vāsetabbanti natthi. ‘‘Yesaṃ rukkhānaṃ sākhā ruhatīti vuttattā yesaṃ sākhā na ruhati, tattha kappiyakaraṇakiccaṃ natthī’’ti vadanti.
๙๓. ปญฺจหิ สมณกเปฺปหีติ ปญฺจหิ สมณโวหาเรหิฯ กิญฺจาปิ หิ พีชานํ อคฺคินา ผุฎฺฐมเตฺตน นขาทีหิ วิลิขนมเตฺตน จ อวิรุฬฺหีธมฺมตา น โหติ, ตถาปิ เอวํ กเตเยว สมณานํ กปฺปตีติ อคฺคิปริชิตาทโย สมณโวหารา นาม ชาตา, ตสฺมา เตหิ สมณโวหาเรหิ กรณภูเตหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุํ อนุชานามีติ อธิปฺปาโยฯ อพีชนิพฺพฎฺฎพีชานิปิ สมณานํ กปฺปนฺตีติ ปญฺญตฺตปณฺณตฺติภาวโต สมณโวหาราอิเจฺจว สงฺขํ คตานิฯ อถ วา อคฺคิปริชิตาทีนํ ปญฺจนฺนํ กปฺปิยภาวโตเยว ปญฺจหิ สมณกปฺปิยภาวสงฺขาเตหิ การเณหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุํ อนุชานามีติ เอวเมตฺถ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ อคฺคิปริชิตนฺติอาทีสุ ‘‘ปริจิต’’นฺติปิ ปฐนฺติฯ อพีชํ นาม ตรุณมฺพผลาทิฯ นิพฺพฎฺฎพีชํ นาม อมฺพปนสาทิ, ยํ พีชํ นิพฺพเฎฺฎตฺวา วิสุํ กตฺวา ปริภุญฺชิตุํ สกฺกา โหติฯ ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วตฺวาว กาตพฺพนฺติ โย กปฺปิยํ กโรติ, เตน กตฺตพฺพาการเสฺสว วุตฺตตฺตา ภิกฺขุนา อวุเตฺตปิ กาตุํ วฎฺฎตีติ น คเหตพฺพํฯ ปุน ‘‘กปฺปิยํ กาเรตพฺพ’’นฺติ การาปนสฺส ปฐมเมว กถิตตฺตา ภิกฺขุนา ‘‘กปฺปิยํ กโรหี’’ติ วุเตฺตเยว อนุปสมฺปเนฺนน ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วตฺวา อคฺคิปริชิตาทิ กาตพฺพนฺติ คเหตพฺพํฯ ‘‘กปฺปิยนฺติ วจนํ ปน ยาย กายจิ ภาสาย วตฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ ‘‘กปฺปิยนฺติ วตฺวาว กาตพฺพ’’นฺติ วจนโต ปฐมํ ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วตฺวา ปจฺฉา อคฺคิอาทินา ผุสนาทิ กาตพฺพนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ปฐมํ อคฺคิํ นิกฺขิปิตฺวา นขาทินา วา วิชฺฌิตฺวา ตํ อนุทฺธริตฺวาว ‘กปฺปิย’นฺติ วตฺตุมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ
93.Pañcahisamaṇakappehīti pañcahi samaṇavohārehi. Kiñcāpi hi bījānaṃ agginā phuṭṭhamattena nakhādīhi vilikhanamattena ca aviruḷhīdhammatā na hoti, tathāpi evaṃ kateyeva samaṇānaṃ kappatīti aggiparijitādayo samaṇavohārā nāma jātā, tasmā tehi samaṇavohārehi karaṇabhūtehi phalaṃ paribhuñjituṃ anujānāmīti adhippāyo. Abījanibbaṭṭabījānipi samaṇānaṃ kappantīti paññattapaṇṇattibhāvato samaṇavohārāicceva saṅkhaṃ gatāni. Atha vā aggiparijitādīnaṃ pañcannaṃ kappiyabhāvatoyeva pañcahi samaṇakappiyabhāvasaṅkhātehi kāraṇehi phalaṃ paribhuñjituṃ anujānāmīti evamettha adhippāyo veditabbo. Aggiparijitantiādīsu ‘‘paricita’’ntipi paṭhanti. Abījaṃ nāma taruṇambaphalādi. Nibbaṭṭabījaṃ nāma ambapanasādi, yaṃ bījaṃ nibbaṭṭetvā visuṃ katvā paribhuñjituṃ sakkā hoti. ‘‘Kappiya’’nti vatvāva kātabbanti yo kappiyaṃ karoti, tena kattabbākārasseva vuttattā bhikkhunā avuttepi kātuṃ vaṭṭatīti na gahetabbaṃ. Puna ‘‘kappiyaṃ kāretabba’’nti kārāpanassa paṭhamameva kathitattā bhikkhunā ‘‘kappiyaṃ karohī’’ti vutteyeva anupasampannena ‘‘kappiya’’nti vatvā aggiparijitādi kātabbanti gahetabbaṃ. ‘‘Kappiyanti vacanaṃ pana yāya kāyaci bhāsāya vattuṃ vaṭṭatī’’ti vadanti. ‘‘Kappiyanti vatvāva kātabba’’nti vacanato paṭhamaṃ ‘‘kappiya’’nti vatvā pacchā aggiādinā phusanādi kātabbanti veditabbaṃ. ‘‘Paṭhamaṃ aggiṃ nikkhipitvā nakhādinā vā vijjhitvā taṃ anuddharitvāva ‘kappiya’nti vattumpi vaṭṭatī’’ti vadanti.
เอกสฺมิํ พีเช วาติอาทีสุ ‘‘เอกํเยว กาเรมีติ อธิปฺปาเย สติปิ เอกาพทฺธตฺตา สพฺพํ กตเมว โหตี’’ติ วทนฺติฯ ทารุํ วิชฺฌตีติ เอตฺถ ‘‘ชานิตฺวาปิ วิชฺฌติ วา วิชฺฌาเปติ วา, วฎฺฎติเยวา’’ติ วทนฺติฯ ภตฺตสิเตฺถ วิชฺฌตีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ‘‘ตํ วิชฺฌติ, น วฎฺฎตีติ รชฺชุอาทีนํ ภาชนคติกตฺตา’’ติ วทนฺติฯ มริจปกฺกาทีหิ มิเสฺสตฺวาติ เอตฺถ ภตฺตสิตฺถสมฺพนฺธวเสน เอกาพทฺธตา เวทิตพฺพา, น ผลานํเยว อญฺญมญฺญํ สมฺพนฺธวเสนฯ ภินฺทาเปตฺวา กปฺปิยํ การาเปตพฺพนฺติ พีชโต มุตฺตสฺส กฎาหสฺส ภาชนคติกตฺตา วุตฺตํฯ
Ekasmiṃ bīje vātiādīsu ‘‘ekaṃyeva kāremīti adhippāye satipi ekābaddhattā sabbaṃ katameva hotī’’ti vadanti. Dāruṃ vijjhatīti ettha ‘‘jānitvāpi vijjhati vā vijjhāpeti vā, vaṭṭatiyevā’’ti vadanti. Bhattasitthe vijjhatīti etthāpi eseva nayo. ‘‘Taṃ vijjhati, na vaṭṭatīti rajjuādīnaṃ bhājanagatikattā’’ti vadanti. Maricapakkādīhi missetvāti ettha bhattasitthasambandhavasena ekābaddhatā veditabbā, na phalānaṃyeva aññamaññaṃ sambandhavasena. Bhindāpetvā kappiyaṃ kārāpetabbanti bījato muttassa kaṭāhassa bhājanagatikattā vuttaṃ.
นิกฺขาเมตุนฺติ ตํ ภิกฺขุํ นิกฺขาเมตุํฯ ‘‘สเจ เอตสฺส อนุโลม’’นฺติ เสนาสนรกฺขณตฺถาย อนุญฺญาตมฺปิ ปฎคฺคิทานาทิํ อตฺตนาปิ กาตุํ วฎฺฎตีติ เอตฺตเกเนว อิทมฺปิ เอตสฺส อนุโลมนฺติ เอวมธิปฺปาโย สิยาฯ ปฎคฺคิทานํ ปริตฺตกรณญฺจ อตฺตโน ปรสฺส วา เสนาสนรกฺขณตฺถาย วฎฺฎติเยวฯ ตสฺมา สเจ ตสฺส สุตฺตสฺส เอตํ อนุโลมํ สิยา, อตฺตโน น วฎฺฎติ, อญฺญสฺส วฎฺฎตีติ อยํ วิเสโส กุโต ลพฺภตีติ อาห ‘‘อตฺตโน น วฎฺฎติ…เป.… น สกฺกา ลทฺธุ’’นฺติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ ภูตคาโม, ภูตคามสญฺญิตา, วิโกปนํ วา วิโกปาปนํ วาติ อิมานิ ปเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ
Nikkhāmetunti taṃ bhikkhuṃ nikkhāmetuṃ. ‘‘Sace etassa anuloma’’nti senāsanarakkhaṇatthāya anuññātampi paṭaggidānādiṃ attanāpi kātuṃ vaṭṭatīti ettakeneva idampi etassa anulomanti evamadhippāyo siyā. Paṭaggidānaṃ parittakaraṇañca attano parassa vā senāsanarakkhaṇatthāya vaṭṭatiyeva. Tasmā sace tassa suttassa etaṃ anulomaṃ siyā, attano na vaṭṭati, aññassa vaṭṭatīti ayaṃ viseso kuto labbhatīti āha ‘‘attano na vaṭṭati…pe… na sakkā laddhu’’nti. Sesamettha uttānameva. Bhūtagāmo, bhūtagāmasaññitā, vikopanaṃ vā vikopāpanaṃ vāti imāni panettha tīṇi aṅgāni.
ภูตคามสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhūtagāmasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๒. ภูตคามวโคฺค • 2. Bhūtagāmavaggo
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ภูตคามสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Bhūtagāmasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑. ภูตคามสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Bhūtagāmasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑. ภูตคามสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Bhūtagāmasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑. ภูตคามสิกฺขาปท-อตฺถโยชนา • 1. Bhūtagāmasikkhāpada-atthayojanā