Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๑๕. ภูตคามวินิจฺฉยกถา
15. Bhūtagāmavinicchayakathā
๗๕. ภูตคาโมติ ปญฺจหิ พีเชหิ ชาตานํ รุกฺขลตาทีนเมตํ อธิวจนํฯ ตตฺริมานิ ปญฺจ พีชานิ – มูลพีชํ ขนฺธพีชํ ผฬุพีชํ อคฺคพีชํ พีชพีชนฺติฯ ตตฺถ มูลพีชํ นาม หลิทฺทิ สิงฺคิเวรํ วจา วจตฺตํ อติวิสํ กฎุกโรหิณี อุสีรํ ภทฺทมุตฺตกํ, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ อตฺถิ มูเล ชายนฺติ มูเล สญฺชายนฺติ, เอตํ มูลพีชํ นามฯ ขนฺธพีชํ นาม อสฺสโตฺถ นิโคฺรโธ ปิลโกฺข อุทุมฺพโร กจฺฉโก กปิตฺถโน, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ อตฺถิ ขเนฺธ ชายนฺติ ขเนฺธ สญฺชายนฺติ, เอตํ ขนฺธพีชํ นามฯ ผฬุพีชํ นาม อุจฺฉุ เวฬุ นโฬ, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ อตฺถิ ปเพฺพ ชายนฺติ ปเพฺพ สญฺชายนฺติ, เอตํ ผฬุพีชํ นามฯ อคฺคพีชํ นาม อชฺชุกํ ผณิชฺชกํ หิริเวรํ, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ อตฺถิ อเคฺค ชายนฺติ อเคฺค สญฺชายนฺติ, เอตํ อคฺคพีชํ นามฯ พีชพีชํ นาม ปุพฺพณฺณํ อปรณฺณํ, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ อตฺถิ พีเช ชายนฺติ พีเช สญฺชายนฺติ, เอตํ พีชพีชํ นาม (ปาจิ. ๙๑)ฯ ตตฺถ ภูตคาเม ภูตคามสญฺญี ฉินฺทติ วา ฉินฺทาเปติ วา ภินฺทติ วา ภินฺทาเปติ วา ปจติ วา ปจาเปติ วา, ปาจิตฺติยํฯ ภูตคามญฺหิ วิโกเปนฺตสฺส ปาจิตฺติยํ, ภูตคามปริโมจิตํ ปญฺจวิธมฺปิ พีชคามํ วิโกเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ
75.Bhūtagāmoti pañcahi bījehi jātānaṃ rukkhalatādīnametaṃ adhivacanaṃ. Tatrimāni pañca bījāni – mūlabījaṃ khandhabījaṃ phaḷubījaṃ aggabījaṃ bījabījanti. Tattha mūlabījaṃ nāma haliddi siṅgiveraṃ vacā vacattaṃ ativisaṃ kaṭukarohiṇī usīraṃ bhaddamuttakaṃ, yāni vā panaññānipi atthi mūle jāyanti mūle sañjāyanti, etaṃ mūlabījaṃ nāma. Khandhabījaṃ nāma assattho nigrodho pilakkho udumbaro kacchako kapitthano, yāni vā panaññānipi atthi khandhe jāyanti khandhe sañjāyanti, etaṃ khandhabījaṃ nāma. Phaḷubījaṃ nāma ucchu veḷu naḷo, yāni vā panaññānipi atthi pabbe jāyanti pabbe sañjāyanti, etaṃ phaḷubījaṃ nāma. Aggabījaṃ nāma ajjukaṃ phaṇijjakaṃ hiriveraṃ, yāni vā panaññānipi atthi agge jāyanti agge sañjāyanti, etaṃ aggabījaṃ nāma. Bījabījaṃ nāma pubbaṇṇaṃ aparaṇṇaṃ, yāni vā panaññānipi atthi bīje jāyanti bīje sañjāyanti, etaṃ bījabījaṃ nāma (pāci. 91). Tattha bhūtagāme bhūtagāmasaññī chindati vā chindāpeti vā bhindati vā bhindāpeti vā pacati vā pacāpeti vā, pācittiyaṃ. Bhūtagāmañhi vikopentassa pācittiyaṃ, bhūtagāmaparimocitaṃ pañcavidhampi bījagāmaṃ vikopentassa dukkaṭaṃ.
๗๖. พีชคามภูตคาโม (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๒๒) นาเมส อตฺถิ อุทกโฎฺฐ, อตฺถิ ถลโฎฺฐฯ ตตฺถ อุทกโฎฺฐ สาสปมตฺติกติลพีชกาทิเภทา สปณฺณิกา จ อปณฺณิกา จ สพฺพา เสวาลชาติ, อนฺตมโส อุทกปปฺปฎกํ อุปาทาย ‘‘ภูตคาโม’’ติ เวทิตโพฺพฯ อุทกปปฺปฎโก นาม อุปริ ถโทฺธ ผรุสวโณฺณ เหฎฺฐา มุทุ นีลวโณฺณ โหติฯ ตตฺถ ยสฺส เสวาลสฺส มูลํ โอรุหิตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐิตํ, ตสฺส ปถวี ฐานํฯ โย อุทเก สญฺจรติ, ตสฺส อุทกํฯ ปถวิยํ ปติฎฺฐิตํ ยตฺถ กตฺถจิ วิโกเปนฺตสฺส, อุทฺธริตฺวา วา ฐานนฺตรํ สงฺกาเมนฺตสฺส ปาจิตฺติยํ, อุทเก สญฺจรนฺตํ วิโกเปนฺตเสฺสว ปาจิตฺติยํฯ หเตฺถหิ ปน อิโต จิโต จวิยูหิตฺวา นหายิตุํ วฎฺฎติฯ สกลญฺหิ อุทกํ ตสฺส ฐานํ, ตสฺมา น โส เอตฺตาวตา ฐานนฺตรํ สงฺกามิโต โหติฯ อุทกโต ปน อุทเกน วินา สญฺจิจฺจ อุกฺขิปิตุํ น วฎฺฎติ, อุทเกน สทฺธิํ อุกฺขิปิตฺวา ปุน อุทเก ปกฺขิปิตุํ วฎฺฎติฯ อุปฺปลินิปทุมินิอาทีนิ ชลชวลฺลิติณานิ อุทกโต อุทฺธรนฺตสฺส วา ตเตฺถว วิโกเปนฺตสฺส วา ปาจิตฺติยํ, ปเรหิ อุปฺปาฎิตานิ วิโกเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ ตานิ หิ พีชคาเม สงฺคหํ คจฺฉนฺติ, ติลพีชกสาสปมตฺติกเสวาโลปิ อุทกโต อุทฺธโฎ อมิลาโต อคฺคพีชสงฺคหํ คจฺฉติฯ มหาปจฺจริยาทีสุ ‘‘อนนฺตกติลพีชกอุทกปปฺปฎกาทีนิ ทุกฺกฎวตฺถูนี’’ติ วุตฺตํ, ตตฺถ การณํ น ทิสฺสติฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘สมฺปุณฺณภูตคามํ น โหติ, ตสฺมา ทุกฺกฎ’’นฺติ วุตฺตํ, ตมฺปิ น สเมติฯ ภูตคาเม หิ ปาจิตฺติยํ พีชคาเม ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ อสมฺปุณฺณภูตคาโม นาม ตติโย โกฎฺฐาโส เนว ปาฬิยํ, น อฎฺฐกถาสุ อาคโต, อเถตํ พีชคามสงฺคหํ คมิสฺสตีติ, ตมฺปิ น ยุตฺตํ อภูตคามมูลตฺตา ตาทิสสฺส พีชคามสฺสาติฯ อปิจ ‘‘ครุกลหุเกสุ ครุเก ฐาตพฺพ’’นฺติ เอตํ วินยลกฺขณํฯ
76. Bījagāmabhūtagāmo (pāci. aṭṭha. 922) nāmesa atthi udakaṭṭho, atthi thalaṭṭho. Tattha udakaṭṭho sāsapamattikatilabījakādibhedā sapaṇṇikā ca apaṇṇikā ca sabbā sevālajāti, antamaso udakapappaṭakaṃ upādāya ‘‘bhūtagāmo’’ti veditabbo. Udakapappaṭako nāma upari thaddho pharusavaṇṇo heṭṭhā mudu nīlavaṇṇo hoti. Tattha yassa sevālassa mūlaṃ oruhitvā pathaviyaṃ patiṭṭhitaṃ, tassa pathavī ṭhānaṃ. Yo udake sañcarati, tassa udakaṃ. Pathaviyaṃ patiṭṭhitaṃ yattha katthaci vikopentassa, uddharitvā vā ṭhānantaraṃ saṅkāmentassa pācittiyaṃ, udake sañcarantaṃ vikopentasseva pācittiyaṃ. Hatthehi pana ito cito caviyūhitvā nahāyituṃ vaṭṭati. Sakalañhi udakaṃ tassa ṭhānaṃ, tasmā na so ettāvatā ṭhānantaraṃ saṅkāmito hoti. Udakato pana udakena vinā sañcicca ukkhipituṃ na vaṭṭati, udakena saddhiṃ ukkhipitvā puna udake pakkhipituṃ vaṭṭati. Uppalinipaduminiādīni jalajavallitiṇāni udakato uddharantassa vā tattheva vikopentassa vā pācittiyaṃ, parehi uppāṭitāni vikopentassa dukkaṭaṃ. Tāni hi bījagāme saṅgahaṃ gacchanti, tilabījakasāsapamattikasevālopi udakato uddhaṭo amilāto aggabījasaṅgahaṃ gacchati. Mahāpaccariyādīsu ‘‘anantakatilabījakaudakapappaṭakādīni dukkaṭavatthūnī’’ti vuttaṃ, tattha kāraṇaṃ na dissati. Andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘sampuṇṇabhūtagāmaṃ na hoti, tasmā dukkaṭa’’nti vuttaṃ, tampi na sameti. Bhūtagāme hi pācittiyaṃ bījagāme dukkaṭaṃ vuttaṃ. Asampuṇṇabhūtagāmo nāma tatiyo koṭṭhāso neva pāḷiyaṃ, na aṭṭhakathāsu āgato, athetaṃ bījagāmasaṅgahaṃ gamissatīti, tampi na yuttaṃ abhūtagāmamūlattā tādisassa bījagāmassāti. Apica ‘‘garukalahukesu garuke ṭhātabba’’nti etaṃ vinayalakkhaṇaṃ.
ถลเฎฺฐ ฉินฺนรุกฺขานํ อวสิโฎฺฐ หริตขาณุ นาม โหติ, ตตฺถ กกุธกรญฺชปิยงฺคุปนสาทีนํ ขาณุ อุทฺธํ วฑฺฒติ, โส ภูตคาเมน สงฺคหิโตฯ ตาลนาฬิเกราทีนํ ขาณุ อุทฺธํ น วฑฺฒติ, โส พีชคาเมน สงฺคหิโตฯ กทลิยา ปน อผลิตาย ขาณุ ภูตคาเมน สงฺคหิโต, ผลิตาย พีชคาเมนฯ กทลี ปน ผลิตา ยาว นีลปณฺณา, ตาว ภูตคาเมเนว สงฺคหิตา, ตถา ผลิโต เวฬุฯ ยทา ปน อคฺคโต ปฎฺฐาย สุสฺสติ, ตทา พีชคาเมน สงฺคหํ คจฺฉติฯ กตรพีชคาเมน? ผฬุพีชคาเมนฯ กิํ ตโต นิพฺพตฺตติ? น กิญฺจิฯ ยทิ หิ นิพฺพเตฺตยฺย, ภูตคาเมน สงฺคหํ คเจฺฉยฺยฯ อินฺทสาลาทิรุเกฺข ฉินฺทิตฺวา ราสิํ กโรนฺติ, กิญฺจาปิ ราสิกตทณฺฑเกหิ รตนปฺปมาณาปิ สาขา นิกฺขมนฺติ, พีชคาเมเนว ปน สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ มณฺฑปตฺถาย วา วติอตฺถาย วา วลฺลิอาโรปนตฺถาย วา ภูมิยํ นิขณนฺติ, มูเลสุ เจว ปเณฺณสุ จ นิคฺคเตสุ ปุน ภูตคามสงฺขฺยํ คจฺฉนฺติ, มูลมเตฺตสุ ปน ปณฺณมเตฺตสุ วา นิคฺคเตสุปิ พีชคาเมน สงฺคหิตา เอวฯ
Thalaṭṭhe chinnarukkhānaṃ avasiṭṭho haritakhāṇu nāma hoti, tattha kakudhakarañjapiyaṅgupanasādīnaṃ khāṇu uddhaṃ vaḍḍhati, so bhūtagāmena saṅgahito. Tālanāḷikerādīnaṃ khāṇu uddhaṃ na vaḍḍhati, so bījagāmena saṅgahito. Kadaliyā pana aphalitāya khāṇu bhūtagāmena saṅgahito, phalitāya bījagāmena. Kadalī pana phalitā yāva nīlapaṇṇā, tāva bhūtagāmeneva saṅgahitā, tathā phalito veḷu. Yadā pana aggato paṭṭhāya sussati, tadā bījagāmena saṅgahaṃ gacchati. Katarabījagāmena? Phaḷubījagāmena. Kiṃ tato nibbattati? Na kiñci. Yadi hi nibbatteyya, bhūtagāmena saṅgahaṃ gaccheyya. Indasālādirukkhe chinditvā rāsiṃ karonti, kiñcāpi rāsikatadaṇḍakehi ratanappamāṇāpi sākhā nikkhamanti, bījagāmeneva pana saṅgahaṃ gacchanti. Maṇḍapatthāya vā vatiatthāya vā valliāropanatthāya vā bhūmiyaṃ nikhaṇanti, mūlesu ceva paṇṇesu ca niggatesu puna bhūtagāmasaṅkhyaṃ gacchanti, mūlamattesu pana paṇṇamattesu vā niggatesupi bījagāmena saṅgahitā eva.
ยานิ กานิจิ พีชานิ ปถวิยํ วา อุทเกน สิญฺจิตฺวา ฐปิตานิ, กปาลาทีสุ วา อลฺลปํสุํ ปกฺขิปิตฺวา นิกฺขิตฺตานิ โหนฺติ, สพฺพานิ มูลมเตฺต วา ปณฺณมเตฺต วา นิคฺคเตปิ พีชานิเยวฯ สเจปิ มูลานิ จ อุปริ องฺกุโร จ นิคฺคจฺฉติ, ยาว องฺกุโร หริโต น โหติ, ตาว พีชานิเยวฯ มุคฺคาทีนํ ปน ปเณฺณสุ อุฎฺฐิเตสุ, วีหิอาทีนํ วา องฺกุเร หริเต นีลวเณฺณ ชาเต ภูตคามสงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ ตาลฎฺฐีนํ ปฐมํ สูกรทาฐา วิย มูลํ นิคฺคจฺฉติ, นิคฺคเตปิ ยาว อุปริ ปตฺตวฎฺฎิ น นิคฺคจฺฉติ, ตาว พีชคาโม นามเยวฯ นาฬิเกรสฺส ตจํ ภินฺทิตฺวา ทนฺตสูจิ วิย องฺกุโร นิคฺคจฺฉติ, ยาว มิคสิงฺคสทิสา นีลปตฺตวฎฺฎิ น โหติ, ตาว พีชคาโมเยวฯ มูเล อนิคฺคเตปิ ตาทิสาย ปตฺตวฎฺฎิยา ชาตาย อมูลกภูตคาเม สงฺคหํ คจฺฉติฯ
Yāni kānici bījāni pathaviyaṃ vā udakena siñcitvā ṭhapitāni, kapālādīsu vā allapaṃsuṃ pakkhipitvā nikkhittāni honti, sabbāni mūlamatte vā paṇṇamatte vā niggatepi bījāniyeva. Sacepi mūlāni ca upari aṅkuro ca niggacchati, yāva aṅkuro harito na hoti, tāva bījāniyeva. Muggādīnaṃ pana paṇṇesu uṭṭhitesu, vīhiādīnaṃ vā aṅkure harite nīlavaṇṇe jāte bhūtagāmasaṅgahaṃ gacchanti. Tālaṭṭhīnaṃ paṭhamaṃ sūkaradāṭhā viya mūlaṃ niggacchati, niggatepi yāva upari pattavaṭṭi na niggacchati, tāva bījagāmo nāmayeva. Nāḷikerassa tacaṃ bhinditvā dantasūci viya aṅkuro niggacchati, yāva migasiṅgasadisā nīlapattavaṭṭi na hoti, tāva bījagāmoyeva. Mūle aniggatepi tādisāya pattavaṭṭiyā jātāya amūlakabhūtagāme saṅgahaṃ gacchati.
อมฺพฎฺฐิอาทีนิ วีหิอาทีหิ วินิจฺฉินิตพฺพานิฯ วนฺทากา วา อญฺญา วา ยา กาจิ รุเกฺข ชายิตฺวา รุกฺขํ โอตฺถรติ, รุโกฺขว ตสฺสา ฐานํ, ตํ วิโกเปนฺตสฺส วา ตโต อุทฺธรนฺตสฺส วา ปาจิตฺติยํฯ เอกา อมูลิกา ลตา โหติ, องฺคุลิเวฐโก วิย วนปฺปคุมฺพทณฺฑเก เวเฐติ, ตสฺสาปิ อยเมว วินิจฺฉโยฯ เคหปมุขปาการเวทิกา เจติยาทีสุ นีลวโณฺณ เสวาโล โหติ, ยาว เทฺว ตีณิ ปตฺตานิ น สญฺชายนฺติ, ตาว อคฺคพีชสงฺคหํ คจฺฉติฯ ปเตฺตสุ ชาเตสุ ปาจิตฺติยวตฺถุ, ตสฺมา ตาทิเสสุ ฐาเนสุ สุธาเลปมฺปิ ทาตุํ น วฎฺฎติ, อนุปสมฺปเนฺนน ลิตฺตสฺส อุปริ สิเนหเลโป ทาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ นิทาฆสมเย สุกฺขเสวาโล ติฎฺฐติ, ตํ สมฺมุญฺชนีอาทีหิ ฆํสิตฺวา อปเนตุํ วฎฺฎติฯ ปานียฆฎาทีนํ พหิ เสวาโล ทุกฺกฎวตฺถุ, อโนฺต อโพฺพหาริโก, ทนฺตกฎฺฐปูวาทีสุ กณฺณกมฺปิ อโพฺพหาริกเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘สเจ เครุกปริกมฺมกตา ภิตฺติ กณฺณกิตา โหติ, โจฬกํ เตเมตฺวา ปีเฬตฺวา ปมชฺชิตพฺพา’’ติ (มหาว. ๖๖)ฯ
Ambaṭṭhiādīni vīhiādīhi vinicchinitabbāni. Vandākā vā aññā vā yā kāci rukkhe jāyitvā rukkhaṃ ottharati, rukkhova tassā ṭhānaṃ, taṃ vikopentassa vā tato uddharantassa vā pācittiyaṃ. Ekā amūlikā latā hoti, aṅguliveṭhako viya vanappagumbadaṇḍake veṭheti, tassāpi ayameva vinicchayo. Gehapamukhapākāravedikā cetiyādīsu nīlavaṇṇo sevālo hoti, yāva dve tīṇi pattāni na sañjāyanti, tāva aggabījasaṅgahaṃ gacchati. Pattesu jātesu pācittiyavatthu, tasmā tādisesu ṭhānesu sudhālepampi dātuṃ na vaṭṭati, anupasampannena littassa upari sinehalepo dātuṃ vaṭṭati. Sace nidāghasamaye sukkhasevālo tiṭṭhati, taṃ sammuñjanīādīhi ghaṃsitvā apanetuṃ vaṭṭati. Pānīyaghaṭādīnaṃ bahi sevālo dukkaṭavatthu, anto abbohāriko, dantakaṭṭhapūvādīsu kaṇṇakampi abbohārikameva. Vuttañhetaṃ ‘‘sace gerukaparikammakatā bhitti kaṇṇakitā hoti, coḷakaṃ temetvā pīḷetvā pamajjitabbā’’ti (mahāva. 66).
๗๗. ปาสาณชาติ ปาสาณททฺทุเสวาลเสเลยฺยกาทีนิ อหริตวณฺณานิ อปตฺตกานิ จ ทุกฺกฎวตฺถุกานิฯ อหิจฺฉตฺตกํ ยาว มกุฎํ โหติ, ตาว ทุกฺกฎวตฺถุ, ปุปฺผิตกาลโต ปฎฺฐาย อโพฺพหาริกํ, อลฺลรุกฺขโต ปน อหิจฺฉตฺตกํ คณฺหโนฺต รุกฺขตจํ วิโกเปติ, ตสฺมา ตตฺถ ปาจิตฺติยํฯ รุกฺขปปฎิกายปิ เอเสว นโยฯ ยา ปน อินฺทสาลกกุธาทีนํ ปปฎิกา รุกฺขโต มุจฺจิตฺวา ติฎฺฐติ, ตํ คณฺหนฺตสฺส อนาปตฺติฯ นิยฺยาสมฺปิ รุกฺขโต มุจฺจิตฺวา ฐิตํ สุกฺขรุเกฺข วา ลคฺคํ คณฺหิตุํ วฎฺฎติ, อลฺลรุกฺขโต น วฎฺฎติฯ ลาขายปิ เอเสว นโยฯ รุกฺขํ จาเลตฺวา ปณฺฑุปลาสํ วา ปริณตกณิการาทิปุปฺผํ วา ปาเตนฺตสฺส ปาจิตฺติยเมวฯ หตฺถกุกฺกุเจฺจน มุทุเกสุ อินฺทสาลนุหีขนฺธาทีสุ วา ตตฺถชาตกตาลปณฺณาทีสุ วา อกฺขรํ ฉินฺทนฺตสฺสปิ เอเสว นโยฯ สามเณรานํ ปุปฺผํ โอจินนฺตานํ สาขํ โอนาเมตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติฯ เตหิ ปน ปุเปฺผหิ ปานียํ น วาเสตพฺพํ, ปานียวาสตฺถิเกน สามเณรํ อุกฺขิปิตฺวา โอจินาเปตพฺพานิฯ ผลสาขาปิ อตฺตนา ขาทิตุกาเมน น โอนาเมตพฺพา, สามเณรํ อุกฺขิปิตฺวา ผลํ คาหาเปตพฺพํฯ กิญฺจิ คจฺฉํ วาลตํ วา อุปฺปาเฎเนฺตหิ สามเณเรหิ สทฺธิํ คเหตฺวา อากฑฺฒิตุํ น วฎฺฎติ, เตสํ ปน อุสฺสาหชนนตฺถํ อนากฑฺฒเนฺตน กฑฺฒนาการํ ทเสฺสเนฺตน วิย อเคฺค คเหตุํ วฎฺฎติฯ เยสํ รุกฺขานํ สาขา รุหติ, เตสํ สาขํ มกฺขิกพีชนาทีนํ อตฺถาย กปฺปิยํ อการาเปตฺวา คหิตํ, ตเจ วา ปเตฺต วา อนฺตมโส นเขนปิ วิเลขนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ อลฺลสิงฺคิเวราทีสุปิ เอเสว นโยฯ สเจ ปน กปฺปิยํ การาเปตฺวา สีตเล ปเทเส ฐปิตสฺส มูลํ สญฺชายติ, อุปริภาเค ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ สเจ องฺกุโร ชายติ, เหฎฺฐาภาเค ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติ, มูเล จ องฺกุเร จ ชาเต น วฎฺฎติฯ
77. Pāsāṇajāti pāsāṇadaddusevālaseleyyakādīni aharitavaṇṇāni apattakāni ca dukkaṭavatthukāni. Ahicchattakaṃ yāva makuṭaṃ hoti, tāva dukkaṭavatthu, pupphitakālato paṭṭhāya abbohārikaṃ, allarukkhato pana ahicchattakaṃ gaṇhanto rukkhatacaṃ vikopeti, tasmā tattha pācittiyaṃ. Rukkhapapaṭikāyapi eseva nayo. Yā pana indasālakakudhādīnaṃ papaṭikā rukkhato muccitvā tiṭṭhati, taṃ gaṇhantassa anāpatti. Niyyāsampi rukkhato muccitvā ṭhitaṃ sukkharukkhe vā laggaṃ gaṇhituṃ vaṭṭati, allarukkhato na vaṭṭati. Lākhāyapi eseva nayo. Rukkhaṃ cāletvā paṇḍupalāsaṃ vā pariṇatakaṇikārādipupphaṃ vā pātentassa pācittiyameva. Hatthakukkuccena mudukesu indasālanuhīkhandhādīsu vā tatthajātakatālapaṇṇādīsu vā akkharaṃ chindantassapi eseva nayo. Sāmaṇerānaṃ pupphaṃ ocinantānaṃ sākhaṃ onāmetvā dātuṃ vaṭṭati. Tehi pana pupphehi pānīyaṃ na vāsetabbaṃ, pānīyavāsatthikena sāmaṇeraṃ ukkhipitvā ocināpetabbāni. Phalasākhāpi attanā khāditukāmena na onāmetabbā, sāmaṇeraṃ ukkhipitvā phalaṃ gāhāpetabbaṃ. Kiñci gacchaṃ vālataṃ vā uppāṭentehi sāmaṇerehi saddhiṃ gahetvā ākaḍḍhituṃ na vaṭṭati, tesaṃ pana ussāhajananatthaṃ anākaḍḍhantena kaḍḍhanākāraṃ dassentena viya agge gahetuṃ vaṭṭati. Yesaṃ rukkhānaṃ sākhā ruhati, tesaṃ sākhaṃ makkhikabījanādīnaṃ atthāya kappiyaṃ akārāpetvā gahitaṃ, tace vā patte vā antamaso nakhenapi vilekhantassa dukkaṭaṃ. Allasiṅgiverādīsupi eseva nayo. Sace pana kappiyaṃ kārāpetvā sītale padese ṭhapitassa mūlaṃ sañjāyati, uparibhāge chindituṃ vaṭṭati. Sace aṅkuro jāyati, heṭṭhābhāge chindituṃ vaṭṭati, mūle ca aṅkure ca jāte na vaṭṭati.
‘‘สมฺมุญฺชนีสลากายปิ ติณานิ ฉินฺทิสฺสามี’’ติ ภูมิยํ สมฺมชฺชโนฺต สยํ วา ฉินฺทติ, อเญฺญน วา เฉทาเปติ, น วฎฺฎติฯ จงฺกมโนฺตปิ ‘‘ฉิชฺชนกํ ฉิชฺชตุ, ภิชฺชนกํ ภิชฺชตุ, จงฺกมิตฎฺฐานํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ สญฺจิจฺจ ปาเทหิ อกฺกมโนฺต ติณวลฺลิอาทีนิ สยํ วา ฉินฺทติ, อเญฺญน วา เฉทาเปติ, น วฎฺฎติฯ สเจปิ หิ ติณํ วา ลตํ วา คนฺถิํ กโรนฺตสฺส ภิชฺชติ, คนฺถิมฺปิ กาตุํ น วฎฺฎติฯ ตาลรุกฺขาทีสุ ปน โจรานํ อนารุหณตฺถาย ทารุมกฺกฎกํ อาโกเฎนฺติ, กณฺฎเก พนฺธนฺติ, ภิกฺขุสฺส เอวํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ ทารุมกฺกฎโก รุเกฺข อลฺลีนมโตฺตว โหติ, รุกฺขํ น ปีเฬติ, วฎฺฎติฯ ‘‘รุกฺขํ ฉินฺท, ลตํ ฉินฺท, กนฺทํ วา มูลํ วา อุปฺปาเฎหี’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติ อนิยมิตตฺตาฯ นิยเมตฺวา ปน ‘‘อิมํ รุกฺขํ ฉินฺทา’’ติอาทิ วตฺตุํ น วฎฺฎติฯ นามํ คเหตฺวาปิ ‘‘อมฺพรุกฺขํ จตุรํสวลฺลิํ อาลุวกนฺทํ มุญฺชติณํ อสุกรุกฺขจฺฉลฺลิํ ฉินฺท ภินฺท อุปฺปาเฎหี’’ติอาทิวจนมฺปิ อนิยมิตเมว โหติฯ ‘‘อิมํ อมฺพรุกฺข’’นฺติอาทิวจนเมว หิ นิยมิตํ นาม, ตํ น วฎฺฎติฯ ปตฺตมฺปิ ปจิตุกาโม ติณาทีนํ อุปริ สญฺจิจฺจ อคฺคิํ กโรโนฺต สยํ วา ปจติ, อเญฺญน วา ปจาเปติ, น วฎฺฎติฯ อนิยเมตฺวา ปน ‘‘มุเคฺค ปจ, มาเส ปจา’’ติอาทิ วตฺตุํ วฎฺฎติ, ‘‘อิเม มุเคฺค ปจา’’ติ เอวํ วตฺตุํ น วฎฺฎติฯ ‘‘อิมํ มูลเภสชฺชํ ชาน, อิมํ มูลํ วา ปณฺณํ วา เทหิ, อิมํ รุกฺขํ วา ลตํ วา อาหร, อิมินา ปุเปฺผน ผเลน วา อโตฺถ, อิมํ รุกฺขํ วา ลตํ วา ผลํ วา กปฺปิยํ กโรหี’’ติ เอวํ ปน วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอตฺตาวตา ภูตคามปริโมจิตํ กตํ โหติฯ
‘‘Sammuñjanīsalākāyapi tiṇāni chindissāmī’’ti bhūmiyaṃ sammajjanto sayaṃ vā chindati, aññena vā chedāpeti, na vaṭṭati. Caṅkamantopi ‘‘chijjanakaṃ chijjatu, bhijjanakaṃ bhijjatu, caṅkamitaṭṭhānaṃ dassessāmī’’ti sañcicca pādehi akkamanto tiṇavalliādīni sayaṃ vā chindati, aññena vā chedāpeti, na vaṭṭati. Sacepi hi tiṇaṃ vā lataṃ vā ganthiṃ karontassa bhijjati, ganthimpi kātuṃ na vaṭṭati. Tālarukkhādīsu pana corānaṃ anāruhaṇatthāya dārumakkaṭakaṃ ākoṭenti, kaṇṭake bandhanti, bhikkhussa evaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Sace dārumakkaṭako rukkhe allīnamattova hoti, rukkhaṃ na pīḷeti, vaṭṭati. ‘‘Rukkhaṃ chinda, lataṃ chinda, kandaṃ vā mūlaṃ vā uppāṭehī’’ti vattuṃ vaṭṭati aniyamitattā. Niyametvā pana ‘‘imaṃ rukkhaṃ chindā’’tiādi vattuṃ na vaṭṭati. Nāmaṃ gahetvāpi ‘‘ambarukkhaṃ caturaṃsavalliṃ āluvakandaṃ muñjatiṇaṃ asukarukkhacchalliṃ chinda bhinda uppāṭehī’’tiādivacanampi aniyamitameva hoti. ‘‘Imaṃ ambarukkha’’ntiādivacanameva hi niyamitaṃ nāma, taṃ na vaṭṭati. Pattampi pacitukāmo tiṇādīnaṃ upari sañcicca aggiṃ karonto sayaṃ vā pacati, aññena vā pacāpeti, na vaṭṭati. Aniyametvā pana ‘‘mugge paca, māse pacā’’tiādi vattuṃ vaṭṭati, ‘‘ime mugge pacā’’ti evaṃ vattuṃ na vaṭṭati. ‘‘Imaṃ mūlabhesajjaṃ jāna, imaṃ mūlaṃ vā paṇṇaṃ vā dehi, imaṃ rukkhaṃ vā lataṃ vā āhara, iminā pupphena phalena vā attho, imaṃ rukkhaṃ vā lataṃ vā phalaṃ vā kappiyaṃ karohī’’ti evaṃ pana vattuṃ vaṭṭati. Ettāvatā bhūtagāmaparimocitaṃ kataṃ hoti.
๗๘. ปริภุญฺชเนฺตน ปน พีชคามปริโมจนตฺถํ ปุน กปฺปิยํ การาเปตพฺพํฯ กปฺปิยกรณเญฺจตฺถ อิมินา สุตฺตานุสาเรน เวทิตพฺพํ –
78. Paribhuñjantena pana bījagāmaparimocanatthaṃ puna kappiyaṃ kārāpetabbaṃ. Kappiyakaraṇañcettha iminā suttānusārena veditabbaṃ –
‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุํ อคฺคิปริชิตํ สตฺถปริชิตํ นขปริชิตํ อพีชํ นิพฺพฎฺฎพีชเญฺญว ปญฺจม’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๐)ฯ
‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañcahi samaṇakappehi phalaṃ paribhuñjituṃ aggiparijitaṃ satthaparijitaṃ nakhaparijitaṃ abījaṃ nibbaṭṭabījaññeva pañcama’’nti (cūḷava. 250).
ตตฺถ อคฺคิปริชิตนฺติ อคฺคินา ปริชิตํ อธิภูตํ ทฑฺฒํ ผุฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ สตฺถปริชิตนฺติ สเตฺถน ปริชิตํ อธิภูตํ ฉินฺนํ วิทฺธํ วาติ อโตฺถฯ เอส นโย นขปริชิเตฯ อพีชนิพฺพฎฺฎพีชานิ สยเมว กปฺปิยานิฯ อคฺคินา กปฺปิยํ กโรเนฺตน กฎฺฐคฺคิโคมยคฺคิอาทีสุ เยน เกนจิ อนฺตมโส โลหขเณฺฑนปิ อาทิเตฺตน กปฺปิยํ กาตพฺพํ, ตญฺจ โข เอกเทเส ผุสเนฺตน ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วตฺวาว กาตพฺพํฯ สเตฺถน กโรเนฺตน ยสฺส กสฺสจิ โลหมยสตฺถสฺส อนฺตมโส สูจินขเจฺฉทนานมฺปิ ตุเณฺฑน วา ธาราย วา เฉทํ วา เวธํ วา ทเสฺสเนฺตน ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วตฺวาว กาตพฺพํฯ นเขน กปฺปิยํ กโรเนฺตน ปูตินเขน น กาตพฺพํ, มนุสฺสานํ ปน สีหพฺยคฺฆทีปิมกฺกฎานํ สกุนฺตานญฺจ นขา ติขิณา โหนฺติ, เตหิ กาตพฺพํฯ อสฺสมหิํสสูกรมิคโครูปาทีนํ ขุรา อติขิณา, เตหิ น กาตพฺพํ, กตมฺปิ อกตํ โหติฯ หตฺถินขา ปน ขุรา น โหนฺติ, เตหิ จ วฎฺฎติฯ เยหิ ปน กาตุํ วฎฺฎติ, เตหิ ตตฺถชาตเกหิปิ อุทฺธริตฺวา คหิตเกปิ เฉทํ วา เวธํ วา ทเสฺสเนฺตน ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วตฺวาว กาตพฺพํฯ
Tattha aggiparijitanti agginā parijitaṃ adhibhūtaṃ daḍḍhaṃ phuṭṭhanti attho. Satthaparijitanti satthena parijitaṃ adhibhūtaṃ chinnaṃ viddhaṃ vāti attho. Esa nayo nakhaparijite. Abījanibbaṭṭabījāni sayameva kappiyāni. Agginā kappiyaṃ karontena kaṭṭhaggigomayaggiādīsu yena kenaci antamaso lohakhaṇḍenapi ādittena kappiyaṃ kātabbaṃ, tañca kho ekadese phusantena ‘‘kappiya’’nti vatvāva kātabbaṃ. Satthena karontena yassa kassaci lohamayasatthassa antamaso sūcinakhacchedanānampi tuṇḍena vā dhārāya vā chedaṃ vā vedhaṃ vā dassentena ‘‘kappiya’’nti vatvāva kātabbaṃ. Nakhena kappiyaṃ karontena pūtinakhena na kātabbaṃ, manussānaṃ pana sīhabyagghadīpimakkaṭānaṃ sakuntānañca nakhā tikhiṇā honti, tehi kātabbaṃ. Assamahiṃsasūkaramigagorūpādīnaṃ khurā atikhiṇā, tehi na kātabbaṃ, katampi akataṃ hoti. Hatthinakhā pana khurā na honti, tehi ca vaṭṭati. Yehi pana kātuṃ vaṭṭati, tehi tatthajātakehipi uddharitvā gahitakepi chedaṃ vā vedhaṃ vā dassentena ‘‘kappiya’’nti vatvāva kātabbaṃ.
ตตฺถ สเจปิ พีชานํ ปพฺพตมโตฺต ราสิ, รุกฺขสหสฺสํ วา ฉินฺทิตฺวา เอกาพทฺธํ กตฺวา อุจฺฉูนํ วา มหาภาโร พนฺธิตฺวา ฐปิโต โหติ, เอกสฺมิํ พีเช วา รุกฺขสาขาย วา อุจฺฉุมฺหิ วา กปฺปิเย กเต สพฺพํ กตํ โหติฯ อุจฺฉู จ ทารูนิ จ เอกโต พทฺธานิ โหนฺติ, ‘‘อุจฺฉุํ กปฺปิยํ กริสฺสามี’’ติ ทารุํ วิชฺฌติ, วฎฺฎติเยวฯ สเจ ปน ยาย รชฺชุยา วา วลฺลิยา วา พทฺธานิ, ตํ วิชฺฌติ, น วฎฺฎติฯ อุจฺฉุขณฺฑานํ ปจฺฉิํ ปูเรตฺวา อาหรนฺติ, เอกสฺมิํ ขเณฺฑ กปฺปิเย กเต สพฺพํ กตเมวฯ มรีจปกฺกาทีหิ จ มิเสฺสตฺวา ภตฺตํ อาหรนฺติ, ‘‘กปฺปิยํ กโรหี’’ติ วุเตฺต สเจปิ ภตฺตสิเตฺถ วิชฺฌติ, วฎฺฎติเยวฯ ติลตณฺฑุลาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ยาคุยา ปกฺขิตฺตานิ ปน เอกาพทฺธานิ หุตฺวา น สนฺติฎฺฐนฺติ, ตตฺถ เอกเมกํ วิชฺฌิตฺวา กปฺปิยํ กาตพฺพเมวฯ กปิตฺถผลาทีนํ อโนฺต มิญฺชํ กฎาหํ มุญฺจิตฺวา สญฺจรติ, ภินฺทาเปตฺวา กปฺปิยํ การาเปตพฺพํ, เอกาพทฺธํ โหติ, กฎาเหปิ กาตุํ วฎฺฎติฯ
Tattha sacepi bījānaṃ pabbatamatto rāsi, rukkhasahassaṃ vā chinditvā ekābaddhaṃ katvā ucchūnaṃ vā mahābhāro bandhitvā ṭhapito hoti, ekasmiṃ bīje vā rukkhasākhāya vā ucchumhi vā kappiye kate sabbaṃ kataṃ hoti. Ucchū ca dārūni ca ekato baddhāni honti, ‘‘ucchuṃ kappiyaṃ karissāmī’’ti dāruṃ vijjhati, vaṭṭatiyeva. Sace pana yāya rajjuyā vā valliyā vā baddhāni, taṃ vijjhati, na vaṭṭati. Ucchukhaṇḍānaṃ pacchiṃ pūretvā āharanti, ekasmiṃ khaṇḍe kappiye kate sabbaṃ katameva. Marīcapakkādīhi ca missetvā bhattaṃ āharanti, ‘‘kappiyaṃ karohī’’ti vutte sacepi bhattasitthe vijjhati, vaṭṭatiyeva. Tilataṇḍulādīsupi eseva nayo. Yāguyā pakkhittāni pana ekābaddhāni hutvā na santiṭṭhanti, tattha ekamekaṃ vijjhitvā kappiyaṃ kātabbameva. Kapitthaphalādīnaṃ anto miñjaṃ kaṭāhaṃ muñcitvā sañcarati, bhindāpetvā kappiyaṃ kārāpetabbaṃ, ekābaddhaṃ hoti, kaṭāhepi kātuṃ vaṭṭati.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
ภูตคามวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Bhūtagāmavinicchayakathā samattā.