Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
วินยปิฎเก
Vinayapiṭake
มหาวคฺค-อฎฺฐกถา
Mahāvagga-aṭṭhakathā
๑. มหาขนฺธกํ
1. Mahākhandhakaṃ
โพธิกถา
Bodhikathā
อุภินฺนํ ปาติโมกฺขานํ, สงฺคีติสมนนฺตรํ;
Ubhinnaṃ pātimokkhānaṃ, saṅgītisamanantaraṃ;
สงฺคายิํสุ มหาเถรา, ขนฺธกํ ขนฺธโกวิทาฯ
Saṅgāyiṃsu mahātherā, khandhakaṃ khandhakovidā.
ยํ ตสฺส ทานิ สมฺปโตฺต, ยสฺมา สํวณฺณนากฺกโม;
Yaṃ tassa dāni sampatto, yasmā saṃvaṇṇanākkamo;
ตสฺมา โหติ อยํ ตสฺส, อนุตฺตานตฺถวณฺณนาฯ
Tasmā hoti ayaṃ tassa, anuttānatthavaṇṇanā.
ปทภาชนิเย อตฺถา, เยหิ เยสํ ปกาสิตา;
Padabhājaniye atthā, yehi yesaṃ pakāsitā;
เต เจ ปุน วเทยฺยาม, ปริโยสานํ กทา ภเวฯ
Te ce puna vadeyyāma, pariyosānaṃ kadā bhave.
อุตฺตานา เจว เย อตฺถา, เตสํ สํวณฺณนาย กิํ;
Uttānā ceva ye atthā, tesaṃ saṃvaṇṇanāya kiṃ;
อธิปฺปายานุสนฺธีหิ, พฺยญฺชเนน จ เย ปนฯ
Adhippāyānusandhīhi, byañjanena ca ye pana.
อนุตฺตานา น เต ยสฺมา, สกฺกา ญาตุํ อวณฺณิตา;
Anuttānā na te yasmā, sakkā ñātuṃ avaṇṇitā;
เตสํเยว อยํ ตสฺมา, โหติ สํวณฺณนานโยติฯ
Tesaṃyeva ayaṃ tasmā, hoti saṃvaṇṇanānayoti.
๑. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา อุรุเวลายํ วิหรติ นชฺชา เนรญฺชราย ตีเร โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุโทฺธติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวรญฺชาย’’นฺติอาทีสุ วิย กรณวจเน วิเสสการณํ นตฺถิ, วินยํ ปตฺวา ปน กรณวจเนเนว อยมภิลาโป อาโรปิโตติ อาทิโต ปฎฺฐาย อารุฬฺหาภิลาปวเสเนเวตํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอส นโย อเญฺญสุปิ อิโต ปเรสุ เอวรูเปสุฯ
1.Tena samayena buddho bhagavā uruvelāyaṃ viharati najjā nerañjarāya tīre bodhirukkhamūle paṭhamābhisambuddhoti ettha kiñcāpi ‘‘tena samayena buddho bhagavā verañjāya’’ntiādīsu viya karaṇavacane visesakāraṇaṃ natthi, vinayaṃ patvā pana karaṇavacaneneva ayamabhilāpo āropitoti ādito paṭṭhāya āruḷhābhilāpavasenevetaṃ vuttanti veditabbaṃ. Esa nayo aññesupi ito paresu evarūpesu.
กิํ ปเนตสฺส วจเน ปโยชนนฺติ? ปพฺพชฺชาทีนํ วินยกมฺมานํ อาทิโต ปฎฺฐาย นิทานทสฺสนํฯ ยา หิ ภควตา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อิเมหิ ตีหิ สรณคมเนหิ ปพฺพชฺชํ อุปสมฺปท’’นฺติ (มหาว. ๓๔) เอวํ ปพฺพชฺชา เจว อุปสมฺปทา จ อนุญฺญาตา, ยานิ จ ราชคหาทีสุ อุปชฺฌายอุปชฺฌายวตฺตอาจริยอาจริยวตฺตาทีนิ อนุญฺญาตานิ, ตานิ อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา สตฺตสตฺตาหํ โพธิมเณฺฑ วีตินาเมตฺวา พาราณสิยํ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา อิมินา อนุกฺกเมน อิทญฺจิทญฺจ ฐานํ ปตฺวา อิมสฺมิญฺจ อิมสฺมิญฺจ วตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตานีติ เอวเมเตสํ ปพฺพชฺชาทีนํ วินยกมฺมานํ อาทิโต ปฎฺฐาย นิทานทสฺสนํ เอตสฺส วจเน ปโยชนนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Kiṃ panetassa vacane payojananti? Pabbajjādīnaṃ vinayakammānaṃ ādito paṭṭhāya nidānadassanaṃ. Yā hi bhagavatā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, imehi tīhi saraṇagamanehi pabbajjaṃ upasampada’’nti (mahāva. 34) evaṃ pabbajjā ceva upasampadā ca anuññātā, yāni ca rājagahādīsu upajjhāyaupajjhāyavattaācariyaācariyavattādīni anuññātāni, tāni abhisambodhiṃ patvā sattasattāhaṃ bodhimaṇḍe vītināmetvā bārāṇasiyaṃ dhammacakkaṃ pavattetvā iminā anukkamena idañcidañca ṭhānaṃ patvā imasmiñca imasmiñca vatthusmiṃ paññattānīti evametesaṃ pabbajjādīnaṃ vinayakammānaṃ ādito paṭṭhāya nidānadassanaṃ etassa vacane payojananti veditabbaṃ.
ตตฺถ อุรุเวลายนฺติ มหาเวลายํ; มหเนฺต วาลิกราสิมฺหีติ อโตฺถฯ อถ วา ‘‘อุรู’’ติ วาลิกา วุจฺจติ; ‘‘เวลา’’ติ มริยาทา; เวลาติกฺกมนเหตุ อาหฎา อุรุ อุรุเวลาติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อตีเต กิร อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ทสสหสฺสกุลปุตฺตา ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ตสฺมิํ ปเทเส วิหรนฺตา เอกทิวสํ สนฺนิปติตฺวา กติกวตฺตํ อกํสุ – ‘‘กายกมฺมวจีกมฺมานิ นาม ปเรสมฺปิ ปากฎานิ โหนฺติ, มโนกมฺมํ ปน อปากฎํ; ตสฺมา โย กามวิตกฺกํ วา พฺยาปาทวิตกฺกํ วา วิหิํสาวิตกฺกํ วา วิตเกฺกติ, ตสฺส อโญฺญ โจทโก นาม นตฺถิ, โส อตฺตนาว อตฺตานํ โจเทตฺวา ปตฺตปุเฎน วาลิกํ อาหริตฺวา อิมสฺมิํ ฐาเน อากิรตุ, อิทมสฺส ทณฺฑกมฺม’’นฺติฯ ตโต ปฎฺฐาย โย ตาทิสํ วิตกฺกํ วิตเกฺกติ, โส ตตฺถ ปตฺตปุเฎน วาลิกํ อากิรติฯ เอวํ ตตฺถ อนุกฺกเมน มหาวาลิกราสิ ชาโต, ตโต นํ ปจฺฉิมา ชนตา ปริกฺขิปิตฺวา เจติยฎฺฐานมกาสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อุรุเวลายนฺติ มหาเวลายํ; มหเนฺต วาลิกราสิมฺหีติ อโตฺถ’’ติฯ ตเมว สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อถ วา อุรูติ วาลิกา วุจฺจติ; เวลาติ มริยาทา; เวลาติกฺกมนเหตุ อาหฎา อุรุ อุรุเวลาติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติฯ
Tattha uruvelāyanti mahāvelāyaṃ; mahante vālikarāsimhīti attho. Atha vā ‘‘urū’’ti vālikā vuccati; ‘‘velā’’ti mariyādā; velātikkamanahetu āhaṭā uru uruvelāti evampettha attho daṭṭhabbo. Atīte kira anuppanne buddhe dasasahassakulaputtā tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā tasmiṃ padese viharantā ekadivasaṃ sannipatitvā katikavattaṃ akaṃsu – ‘‘kāyakammavacīkammāni nāma paresampi pākaṭāni honti, manokammaṃ pana apākaṭaṃ; tasmā yo kāmavitakkaṃ vā byāpādavitakkaṃ vā vihiṃsāvitakkaṃ vā vitakketi, tassa añño codako nāma natthi, so attanāva attānaṃ codetvā pattapuṭena vālikaṃ āharitvā imasmiṃ ṭhāne ākiratu, idamassa daṇḍakamma’’nti. Tato paṭṭhāya yo tādisaṃ vitakkaṃ vitakketi, so tattha pattapuṭena vālikaṃ ākirati. Evaṃ tattha anukkamena mahāvālikarāsi jāto, tato naṃ pacchimā janatā parikkhipitvā cetiyaṭṭhānamakāsi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘uruvelāyanti mahāvelāyaṃ; mahante vālikarāsimhīti attho’’ti. Tameva sandhāya vuttaṃ – ‘‘atha vā urūti vālikā vuccati; velāti mariyādā; velātikkamanahetu āhaṭā uru uruvelāti evampettha attho daṭṭhabbo’’ti.
โพธิรุกฺขมูเลติ โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณํ; ตํ โพธิํ ภควา เอตฺถ ปโตฺตติ รุโกฺขปิ ‘‘โพธิรุโกฺข’’เตฺวว นามํ ลภิ, ตสฺส โพธิรุกฺขสฺส มูเล โพธิรุกฺขมูเลฯ ปฐมาภิสมฺพุโทฺธติ ปฐมํ อภิสมฺพุโทฺธ; อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา สพฺพปฐมํเยวาติ อโตฺถฯ เอกปลฺลเงฺกนาติ สกิมฺปิ อนุฎฺฐหิตฺวา ยถาอาภุชิเตน เอเกเนว ปลฺลเงฺกนฯ วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทีติ วิมุตฺติสุขํ ผลสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวทยมาโนฯ
Bodhirukkhamūleti bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇaṃ; taṃ bodhiṃ bhagavā ettha pattoti rukkhopi ‘‘bodhirukkho’’tveva nāmaṃ labhi, tassa bodhirukkhassa mūle bodhirukkhamūle. Paṭhamābhisambuddhoti paṭhamaṃ abhisambuddho; abhisambuddho hutvā sabbapaṭhamaṃyevāti attho. Ekapallaṅkenāti sakimpi anuṭṭhahitvā yathāābhujitena ekeneva pallaṅkena. Vimuttisukhapaṭisaṃvedīti vimuttisukhaṃ phalasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvedayamāno.
ปฎิจฺจสมุปฺปาทนฺติ ปจฺจยาการํฯ ปจฺจยากาโร หิ อญฺญมญฺญํ ปฎิจฺจ สหิเต ธเมฺม อุปฺปาเทตีติ ‘‘ปฎิจฺจสมุปฺปาโท’’ติ วุจฺจติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน สพฺพาการสมฺปนฺนํ วินิจฺฉยํ อิจฺฉเนฺตน วิสุทฺธิมคฺคโต คเหตโพฺพฯ อนุโลมปฎิโลมนฺติ อนุโลมญฺจ ปฎิโลมญฺจฯ ตตฺถ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต อวิชฺชาทิโก ปจฺจยากาโร อตฺตนา กตฺตพฺพกิจฺจกรณโต ‘‘อนุโลโม’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต เสฺวว อนุปฺปาทนิโรเธน นิรุชฺฌมาโน ตํ กิจฺจํ น กโรตีติ ตสฺส อกรณโต ‘‘ปฎิโลโม’’ติ วุจฺจติฯ ปุริมนเยน วา วุโตฺต ปวตฺติยา อนุโลโม, อิตโร ตสฺสา ปฎิโลโมติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อาทิโต ปน ปฎฺฐาย ยาว อนฺตํ, อนฺตโต จ ปฎฺฐาย ยาว อาทิํ ปาเปตฺวา อวุตฺตตฺตา อิโต อเญฺญนเตฺถน อนุโลมปฎิโลมตา น ยุชฺชติฯ
Paṭiccasamuppādanti paccayākāraṃ. Paccayākāro hi aññamaññaṃ paṭicca sahite dhamme uppādetīti ‘‘paṭiccasamuppādo’’ti vuccati. Ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana sabbākārasampannaṃ vinicchayaṃ icchantena visuddhimaggato gahetabbo. Anulomapaṭilomanti anulomañca paṭilomañca. Tattha ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādinā nayena vutto avijjādiko paccayākāro attanā kattabbakiccakaraṇato ‘‘anulomo’’ti vuccati. ‘‘Avijjāya tveva asesavirāganirodhā saṅkhāranirodho’’tiādinā nayena vutto sveva anuppādanirodhena nirujjhamāno taṃ kiccaṃ na karotīti tassa akaraṇato ‘‘paṭilomo’’ti vuccati. Purimanayena vā vutto pavattiyā anulomo, itaro tassā paṭilomoti evampettha attho daṭṭhabbo. Ādito pana paṭṭhāya yāva antaṃ, antato ca paṭṭhāya yāva ādiṃ pāpetvā avuttattā ito aññenatthena anulomapaṭilomatā na yujjati.
มนสากาสีติ มนสิ อกาสิฯ ตตฺถ ยถา อนุโลมํ มนสิ อกาสิ, อิทํ ตาว ทเสฺสตุํ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อวิชฺชา จ สา ปจฺจโย จาติ อวิชฺชาปจฺจโยฯ ตสฺมา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺตีติ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน สพฺพาการสมฺปนฺนํ วินิจฺฉยํ อิจฺฉเนฺตน วิสุทฺธิมคฺคโตว คเหตโพฺพฯ
Manasākāsīti manasi akāsi. Tattha yathā anulomaṃ manasi akāsi, idaṃ tāva dassetuṃ ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādi vuttaṃ. Tattha avijjā ca sā paccayo cāti avijjāpaccayo. Tasmā avijjāpaccayā saṅkhārā sambhavantīti iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo. Ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana sabbākārasampannaṃ vinicchayaṃ icchantena visuddhimaggatova gahetabbo.
ยถา ปน ปฎิโลมํ มนสิ อกาสิ, อิทํ ทเสฺสตุํ อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อวิชฺชาย เตฺววาติ อวิชฺชาย ตุ เอวฯ อเสสวิราคนิโรธาติ วิราคสงฺขาเตน มเคฺคน อเสสนิโรธา ฯ สงฺขารนิโรโธติ สงฺขารานํ อนุปฺปาทนิโรโธ โหติฯ เอวํ นิรุทฺธานํ ปน สงฺขารานํ นิโรธา วิญฺญาณํ นิรุทฺธํ, วิญฺญาณาทีนญฺจ นิโรธา นามรูปาทีนิ นิรุทฺธานิเยว โหนฺตีติ ทเสฺสตุํ สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธติอาทีนิ วตฺวา เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหตีติ วุตฺตํฯ ตตฺถ เกวลสฺสาติ สกลสฺส; สุทฺธสฺส วา สตฺตวิรหิตสฺสาติ อโตฺถฯ ทุกฺขกฺขนฺธสฺสาติ ทุกฺขราสิสฺสฯ นิโรโธ โหตีติ อนุปฺปาโท โหติฯ
Yathā pana paṭilomaṃ manasi akāsi, idaṃ dassetuṃ avijjāya tveva asesavirāganirodhā saṅkhāranirodhotiādi vuttaṃ. Tattha avijjāya tvevāti avijjāya tu eva. Asesavirāganirodhāti virāgasaṅkhātena maggena asesanirodhā . Saṅkhāranirodhoti saṅkhārānaṃ anuppādanirodho hoti. Evaṃ niruddhānaṃ pana saṅkhārānaṃ nirodhā viññāṇaṃ niruddhaṃ, viññāṇādīnañca nirodhā nāmarūpādīni niruddhāniyeva hontīti dassetuṃ saṅkhāranirodhā viññāṇanirodhotiādīni vatvā evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa nirodho hotīti vuttaṃ. Tattha kevalassāti sakalassa; suddhassa vā sattavirahitassāti attho. Dukkhakkhandhassāti dukkharāsissa. Nirodho hotīti anuppādo hoti.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ ยฺวายํ ‘‘อวิชฺชาทิวเสน สงฺขาราทิกสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย จ อวิชฺชานิโรธาทิวเสน จ นิโรโธ โหตี’’ติ วุโตฺต, สพฺพากาเรน เอตมตฺถํ วิทิตฺวาฯ ตายํ เวลายนฺติ ตายํ ตสฺส อตฺถสฺส วิทิตเวลายํฯ อิมํ อุทานํ อุทาเนสีติ อิมํ ตสฺมิํ วิทิเต อเตฺถ เหตุโน จ เหตุสมุปฺปนฺนธมฺมสฺส จ ปชานนาย อานุภาวทีปกํ ‘‘ยทา หเว ปาตุภวนฺตี’’ติอาทิกํ โสมนสฺสยุตฺตญาณสมุฎฺฐานํ อุทานํ อุทาเนสิ, อตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรสีติ วุตฺตํ โหติฯ
Etamatthaṃviditvāti yvāyaṃ ‘‘avijjādivasena saṅkhārādikassa dukkhakkhandhassa samudayo ca avijjānirodhādivasena ca nirodho hotī’’ti vutto, sabbākārena etamatthaṃ viditvā. Tāyaṃ velāyanti tāyaṃ tassa atthassa viditavelāyaṃ. Imaṃ udānaṃ udānesīti imaṃ tasmiṃ vidite atthe hetuno ca hetusamuppannadhammassa ca pajānanāya ānubhāvadīpakaṃ ‘‘yadā have pātubhavantī’’tiādikaṃ somanassayuttañāṇasamuṭṭhānaṃ udānaṃ udānesi, attamanavācaṃ nicchāresīti vuttaṃ hoti.
ตสฺสโตฺถ – ยทา หเวติ ยสฺมิํ ภเว กาเลฯ ปาตุภวนฺตีติ อุปฺปชฺชนฺติฯ ธมฺมาติ อนุโลมปจฺจยาการปฎิเวธสาธกา โพธิปกฺขิยธมฺมาฯ อถ วา ปาตุภวนฺตีติ ปกาสนฺติ; อภิสมยวเสน พฺยตฺตา ปากฎา โหนฺติฯ ธมฺมาติ จตุอริยสจฺจธมฺมาฯ อาตาโป วุจฺจติ กิเลสสนฺตาปนเฎฺฐน วีริยํ; อาตาปิโนติ สมฺมปฺปธานวีริยวโตฯ ฌายโตติ อารมฺมณูปนิชฺฌานลกฺขเณน จ ลกฺขณูปนิชฺฌานลกฺขเณน จ ฌาเนน ฌายนฺตสฺสฯ พฺราหฺมณสฺสาติ พาหิตปาปสฺส ขีณาสวสฺสฯ อถสฺส กงฺขา วปยนฺตีติ อถสฺส เอวํ ปาตุภูตธมฺมสฺส กงฺขา วปยนฺติฯ สพฺพาติ ยา เอตา ‘‘โก นุ โข ภเนฺต ผุสตีติ; โน กโลฺล ปโญฺหติ ภควา อโวจา’’ติอาทินา, ตถา ‘‘กตมํ นุ โข ภเนฺต ชรามรณํ; กสฺส จ ปนิทํ ชรามรณนฺติ ; โน กโลฺล ปโญฺหติ ภควา อโวจา’’ติอาทินา จ นเยน ปจฺจยากาเร กงฺขา วุตฺตา, ยา จ ปจฺจยาการเสฺสว อปฺปฎิวิทฺธตฺตา ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทิกา โสฬส กงฺขา อาคตา, ตา สพฺพา วปยนฺติ อปคจฺฉนฺติ นิรุชฺฌนฺติฯ กสฺมา? ยโต ปชานาติ สเหตุธมฺมนฺติ ยสฺมา อวิชฺชาทิเกน เหตุนา สเหตุกํ อิมํ สงฺขาราทิํ เกวลํ ทุกฺขกฺขนฺธธมฺมํ ปชานาติ อญฺญาติ ปฎิวิชฺฌตีติฯ
Tassattho – yadā haveti yasmiṃ bhave kāle. Pātubhavantīti uppajjanti. Dhammāti anulomapaccayākārapaṭivedhasādhakā bodhipakkhiyadhammā. Atha vā pātubhavantīti pakāsanti; abhisamayavasena byattā pākaṭā honti. Dhammāti catuariyasaccadhammā. Ātāpo vuccati kilesasantāpanaṭṭhena vīriyaṃ; ātāpinoti sammappadhānavīriyavato. Jhāyatoti ārammaṇūpanijjhānalakkhaṇena ca lakkhaṇūpanijjhānalakkhaṇena ca jhānena jhāyantassa. Brāhmaṇassāti bāhitapāpassa khīṇāsavassa. Athassa kaṅkhā vapayantīti athassa evaṃ pātubhūtadhammassa kaṅkhā vapayanti. Sabbāti yā etā ‘‘ko nu kho bhante phusatīti; no kallo pañhoti bhagavā avocā’’tiādinā, tathā ‘‘katamaṃ nu kho bhante jarāmaraṇaṃ; kassa ca panidaṃ jarāmaraṇanti ; no kallo pañhoti bhagavā avocā’’tiādinā ca nayena paccayākāre kaṅkhā vuttā, yā ca paccayākārasseva appaṭividdhattā ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādikā soḷasa kaṅkhā āgatā, tā sabbā vapayanti apagacchanti nirujjhanti. Kasmā? Yato pajānāti sahetudhammanti yasmā avijjādikena hetunā sahetukaṃ imaṃ saṅkhārādiṃ kevalaṃ dukkhakkhandhadhammaṃ pajānāti aññāti paṭivijjhatīti.
๒. ทุติยวาเร – อิมํ อุทานํ อุทาเนสีติ อิมํ ตสฺมิํ วิทิเต อเตฺถ ‘‘อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ’’ติ เอวํ ปกาสิตสฺส นิพฺพานสงฺขาตสฺส ปจฺจยกฺขยสฺส อวโพธานุภาวทีปกํ วุตฺตปฺปการํ อุทานํ อุทาเนสีติ อโตฺถฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – ยสฺมา ปจฺจยานํ ขยสงฺขาตํ นิพฺพานํ อเวทิ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌิ, ตสฺมา ยทาสฺส อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส วุตฺตปฺปการา ธมฺมา ปาตุภวนฺติ, อถสฺส ยา นิพฺพานสฺส อวิทิตตฺตา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตา สพฺพาปิ กงฺขา วปยนฺตีติฯ
2. Dutiyavāre – imaṃ udānaṃ udānesīti imaṃ tasmiṃ vidite atthe ‘‘avijjāya tveva asesavirāganirodhā saṅkhāranirodho’’ti evaṃ pakāsitassa nibbānasaṅkhātassa paccayakkhayassa avabodhānubhāvadīpakaṃ vuttappakāraṃ udānaṃ udānesīti attho. Tatrāyaṃ saṅkhepattho – yasmā paccayānaṃ khayasaṅkhātaṃ nibbānaṃ avedi aññāsi paṭivijjhi, tasmā yadāssa ātāpino jhāyato brāhmaṇassa vuttappakārā dhammā pātubhavanti, athassa yā nibbānassa aviditattā uppajjeyyuṃ, tā sabbāpi kaṅkhā vapayantīti.
๓. ตติยวาเร – อิมํ อุทานํ อุทาเนสีติ อิมํ เยน มเคฺคน โส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทยนิโรธสงฺขาโต อโตฺถ กิจฺจวเสน จ อารมฺมณกิริยาย จ วิทิโต, ตสฺส อริยมคฺคสฺส อานุภาวทีปกํ วุตฺตปฺปการํ อุทานํ อุทาเนสีติ อโตฺถฯ ตตฺราปายํ สเงฺขปโตฺถ – ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส, ตทา โส พฺราหฺมโณ เตหิ วา อุปฺปเนฺนหิ โพธิปกฺขิยธเมฺมหิ, ยสฺส วา อริยมคฺคสฺส จตุสจฺจธมฺมา ปาตุภูตา, เตน อริยมเคฺคน วิธูปยํ ติฎฺฐติ มารเสนํ ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา’’ติอาทินา นเยน วุตฺตปฺปการํ มารเสนํ วิธูปยโนฺต วิธเมโนฺต วิทฺธํเสโนฺต ติฎฺฐติฯ กถํ? สูริโยว โอภาสยมนฺตลิกฺขํ, ยถา สูริโย อพฺภุคฺคโต อตฺตโน ปภาย อนฺตลิกฺขํ โอภาเสโนฺตว อนฺธการํ วิธเมโนฺต ติฎฺฐติ, เอวํ โสปิ พฺราหฺมโณ เตหิ ธเมฺมหิ เตน วา มเคฺคน สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌโนฺตว มารเสนํ วิธูปยโนฺต ติฎฺฐตีติฯ
3. Tatiyavāre – imaṃ udānaṃ udānesīti imaṃ yena maggena so dukkhakkhandhassa samudayanirodhasaṅkhāto attho kiccavasena ca ārammaṇakiriyāya ca vidito, tassa ariyamaggassa ānubhāvadīpakaṃ vuttappakāraṃ udānaṃ udānesīti attho. Tatrāpāyaṃ saṅkhepattho – yadā have pātubhavanti dhammā ātāpino jhāyato brāhmaṇassa, tadā so brāhmaṇo tehi vā uppannehi bodhipakkhiyadhammehi, yassa vā ariyamaggassa catusaccadhammā pātubhūtā, tena ariyamaggena vidhūpayaṃ tiṭṭhati mārasenaṃ ‘‘kāmā te paṭhamā senā’’tiādinā nayena vuttappakāraṃ mārasenaṃ vidhūpayanto vidhamento viddhaṃsento tiṭṭhati. Kathaṃ? Sūriyova obhāsayamantalikkhaṃ, yathā sūriyo abbhuggato attano pabhāya antalikkhaṃ obhāsentova andhakāraṃ vidhamento tiṭṭhati, evaṃ sopi brāhmaṇo tehi dhammehi tena vā maggena saccāni paṭivijjhantova mārasenaṃ vidhūpayanto tiṭṭhatīti.
เอวเมตฺถ ปฐมํ อุทานํ ปจฺจยาการปจฺจเวกฺขณวเสน, ทุติยํ นิพฺพานปจฺจเวกฺขณวเสน , ตติยํ มคฺคปจฺจเวกฺขณวเสน อุปฺปนฺนนฺติ เวทิตพฺพํฯ อุทาเน ปน ‘‘รตฺติยา ปฐมํ ยามํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ อนุโลมํ, ทุติยํ ยามํ ปฎิโลมํ, ตติยํ ยามํ อนุโลมปฎิโลม’’นฺติ วุตฺตํ; ตํ สตฺตาหสฺส อจฺจเยน ‘‘เสฺว อาสนา วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ รตฺติํ อุปฺปาทิตมนสิการํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตทา หิ ภควา ยสฺส ปจฺจยาการปชานนสฺส จ ปจฺจยกฺขยาธิคมสฺส จ อานุภาวทีปิกา ปุริมา เทฺว อุทานคาถา, ตสฺส วเสน เอเกกเมว โกฎฺฐาสํ ปฐมยามญฺจ มชฺฌิมยามญฺจ มนสากาสิ, อิธ ปน ปาฎิปทรตฺติยา เอวํ มนสากาสิฯ ภควา หิ วิสาขปุณฺณมาย รตฺติยา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริ, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธสิ, ปจฺฉิมยาเม ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ อนุโลมปฎิโลมํ มนสิ กตฺวา ‘‘อิทานิ อรุโณ อุคฺคมิสฺสตี’’ติ สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิฯ สพฺพญฺญุตปฺปตฺติสมนนฺตรเมว จ อรุโณ อุคฺคจฺฉิฯ ตโต ตํ ทิวสํ เตเนว ปลฺลเงฺกน วีตินาเมตฺวา สมฺปตฺตาย ปาฎิปทรตฺติยา ตีสุ ยาเมสุ เอวํ มนสิ กตฺวา อิมานิ อุทานานิ อุทาเนสิฯ อิติ ปาฎิปทรตฺติยา เอวํ มนสิ กตฺวา ตํ ‘‘โพธิรุกฺขมูเล สตฺตาหํ เอกปลฺลเงฺกน นิสีที’’ติ เอวํ วุตฺตสตฺตาหํ ตเตฺถว วีตินาเมสิฯ
Evamettha paṭhamaṃ udānaṃ paccayākārapaccavekkhaṇavasena, dutiyaṃ nibbānapaccavekkhaṇavasena , tatiyaṃ maggapaccavekkhaṇavasena uppannanti veditabbaṃ. Udāne pana ‘‘rattiyā paṭhamaṃ yāmaṃ paṭiccasamuppādaṃ anulomaṃ, dutiyaṃ yāmaṃ paṭilomaṃ, tatiyaṃ yāmaṃ anulomapaṭiloma’’nti vuttaṃ; taṃ sattāhassa accayena ‘‘sve āsanā vuṭṭhahissāmī’’ti rattiṃ uppāditamanasikāraṃ sandhāya vuttaṃ. Tadā hi bhagavā yassa paccayākārapajānanassa ca paccayakkhayādhigamassa ca ānubhāvadīpikā purimā dve udānagāthā, tassa vasena ekekameva koṭṭhāsaṃ paṭhamayāmañca majjhimayāmañca manasākāsi, idha pana pāṭipadarattiyā evaṃ manasākāsi. Bhagavā hi visākhapuṇṇamāya rattiyā paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussari, majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhesi, pacchimayāme paṭiccasamuppādaṃ anulomapaṭilomaṃ manasi katvā ‘‘idāni aruṇo uggamissatī’’ti sabbaññutaṃ pāpuṇi. Sabbaññutappattisamanantarameva ca aruṇo uggacchi. Tato taṃ divasaṃ teneva pallaṅkena vītināmetvā sampattāya pāṭipadarattiyā tīsu yāmesu evaṃ manasi katvā imāni udānāni udānesi. Iti pāṭipadarattiyā evaṃ manasi katvā taṃ ‘‘bodhirukkhamūle sattāhaṃ ekapallaṅkena nisīdī’’ti evaṃ vuttasattāhaṃ tattheva vītināmesi.
โพธิกถา นิฎฺฐิตาฯ
Bodhikathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๑. โพธิกถา • 1. Bodhikathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / โพธิกถาวณฺณนา • Bodhikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / โพธิกถาวณฺณนา • Bodhikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / โพธิกถาวณฺณนา • Bodhikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑. โพธิกถา • 1. Bodhikathā