Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    มหาวคฺค-ฎีกา

    Mahāvagga-ṭīkā

    ๑. มหาขนฺธกํ

    1. Mahākhandhakaṃ

    โพธิกถาวณฺณนา

    Bodhikathāvaṇṇanā

    อิทานิ อุภโตวิภงฺคานนฺตรํ สงฺคหมาโรปิตสฺส มหาวคฺคจูฬวคฺคสงฺคหิตสฺส ขนฺธกสฺส อตฺถสํวณฺณนํ อารภิตุกาโม ‘‘อุภินฺนํ ปาติโมกฺขาน’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุภินฺนํ ปาติโมกฺขานนฺติ อุภินฺนํ ปาติโมกฺขวิภงฺคานํฯ ปาติโมกฺขคฺคหเณน เหตฺถ เตสํ วิภโงฺค อเภเทน คหิโตฯ ยํ ขนฺธกํ สงฺคายิํสูติ สมฺพโนฺธฯ ขนฺธานํ สมูโห ขนฺธโก, ขนฺธานํ วา ปกาสนโต ทีปนโต ขนฺธโกฯ ‘‘ขนฺธา’’ติ เจตฺถ ปพฺพชฺชุปสมฺปทาทิวินยกมฺมสงฺขาตา จาริตฺตวาริตฺตสิกฺขาปทสงฺขาตา จ ปญฺญตฺติโย อธิเปฺปตาฯ ปพฺพชฺชาทีนิ หิ ภควตา ปญฺญตฺตตฺตา ‘‘ปญฺญตฺติโย’’ติ วุจฺจนฺติฯ ปญฺญตฺติยญฺจ ขนฺธสโทฺท ทิสฺสติ ‘‘ทารุกฺขโนฺธ อคฺคิกฺขโนฺธ’’ติอาทีสุ วิยฯ อปิจ ภาคราสฎฺฐตาเปตฺถ ยุชฺชติเยว ตาสํ ปญฺญตฺตีนํ ภาคโต ราสิโต จ วิภตฺตตฺตาฯ ขนฺธโกวิทาติ ปญฺญตฺติภาคราสฎฺฐวเสน ขนฺธเฎฺฐ โกวิทาฯ

    Idāni ubhatovibhaṅgānantaraṃ saṅgahamāropitassa mahāvaggacūḷavaggasaṅgahitassa khandhakassa atthasaṃvaṇṇanaṃ ārabhitukāmo ‘‘ubhinnaṃ pātimokkhāna’’ntiādimāha. Tattha ubhinnaṃ pātimokkhānanti ubhinnaṃ pātimokkhavibhaṅgānaṃ. Pātimokkhaggahaṇena hettha tesaṃ vibhaṅgo abhedena gahito. Yaṃ khandhakaṃ saṅgāyiṃsūti sambandho. Khandhānaṃ samūho khandhako, khandhānaṃ vā pakāsanato dīpanato khandhako. ‘‘Khandhā’’ti cettha pabbajjupasampadādivinayakammasaṅkhātā cārittavārittasikkhāpadasaṅkhātā ca paññattiyo adhippetā. Pabbajjādīni hi bhagavatā paññattattā ‘‘paññattiyo’’ti vuccanti. Paññattiyañca khandhasaddo dissati ‘‘dārukkhandho aggikkhandho’’tiādīsu viya. Apica bhāgarāsaṭṭhatāpettha yujjatiyeva tāsaṃ paññattīnaṃ bhāgato rāsito ca vibhattattā. Khandhakovidāti paññattibhāgarāsaṭṭhavasena khandhaṭṭhe kovidā.

    ปทภาชนีเย เยสํ ปทานํ อตฺถา เยหิ อฎฺฐกถานเยหิ ปกาสิตาติ โยเชตพฺพํฯ เต เจ ปุน วเทยฺยามาติ เต เจ อฎฺฐกถานเย ปุนปิ วเทยฺยามฯ อถ วา ปทภาชนีเย เยสํ ปทานํ เย อตฺถา เหฎฺฐา ปกาสิตา, เต เจ อเตฺถ ปุน วเทยฺยามาติ โยเชตพฺพํฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข หิ-สโทฺท ปทปูรเณ ทฎฺฐโพฺพฯ ปริโยสานนฺติ สํวณฺณนาปริโยสานํฯ อุตฺตานา เจว เย อตฺถาติ เย อตฺถา ปุเพฺพ อปกาสิตาปิ อุตฺตานา อคมฺภีราฯ

    Padabhājanīye yesaṃ padānaṃ atthā yehi aṭṭhakathānayehi pakāsitāti yojetabbaṃ. Te ce puna vadeyyāmāti te ce aṭṭhakathānaye punapi vadeyyāma. Atha vā padabhājanīye yesaṃ padānaṃ ye atthā heṭṭhā pakāsitā, te ce atthe puna vadeyyāmāti yojetabbaṃ. Imasmiṃ pakkhe hi-saddo padapūraṇe daṭṭhabbo. Pariyosānanti saṃvaṇṇanāpariyosānaṃ. Uttānā ceva ye atthāti ye atthā pubbe apakāsitāpi uttānā agambhīrā.

    . วิเสสการณํ นตฺถีติ ‘‘เยน สมเยน อายสฺมโต สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาจนเหตุภูโต ปริวิตโกฺก อุทปาทิ, เตน สมเยนา’’ติอาทินา วุตฺตการณํ วิย อิธ วิเสสการณํ นตฺถิฯ อยมภิลาโปติ ‘‘เตน สมเยนา’’ติ อยมภิลาโปฯ กิํ ปเนตสฺส วจเน ปโยชนนฺติ ยทิ วิเสสการณํ นตฺถิ, เอตสฺส วจเน กิํ ปโยชนนฺติ อธิปฺปาโยฯ นิทานทสฺสนํ ปโยชนนฺติ โยเชตพฺพํฯ ตเมว วิภาเวตุํ ‘‘ยา หิ ภควตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    1.Visesakāraṇaṃ natthīti ‘‘yena samayena āyasmato sāriputtattherassa sikkhāpadapaññattiyācanahetubhūto parivitakko udapādi, tena samayenā’’tiādinā vuttakāraṇaṃ viya idha visesakāraṇaṃ natthi. Ayamabhilāpoti ‘‘tena samayenā’’ti ayamabhilāpo. Kiṃ panetassa vacane payojananti yadi visesakāraṇaṃ natthi, etassa vacane kiṃ payojananti adhippāyo. Nidānadassanaṃ payojananti yojetabbaṃ. Tameva vibhāvetuṃ ‘‘yā hi bhagavatā’’tiādi vuttaṃ.

    มหาเวลา วิย มหาเวลา, วิปุลวาลุกปุญฺชตาย มหโนฺต เวลาตโฎ วิยาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘มหเนฺต วาลิกราสิมฺหีติ อโตฺถ’’ติฯ อุรุ มรุ สิกตา วาลุกา วณฺณุ วาลิกาติ อิเม สทฺทา สมานตฺถา, พฺยญฺชนเมว นานํฯ เตนาห ‘‘อุรูติ วาลิกา วุจฺจตี’’ติฯ

    Mahāvelā viya mahāvelā, vipulavālukapuñjatāya mahanto velātaṭo viyāti attho. Tenāha ‘‘mahante vālikarāsimhīti attho’’ti. Uru maru sikatā vālukā vaṇṇu vālikāti ime saddā samānatthā, byañjanameva nānaṃ. Tenāha ‘‘urūti vālikā vuccatī’’ti.

    อิโต ปฎฺฐาย จ –

    Ito paṭṭhāya ca –

    ยสฺมา สุตฺตนฺตปาฬีนํ, อโตฺถ สเงฺขปวณฺณิโต;

    Yasmā suttantapāḷīnaṃ, attho saṅkhepavaṇṇito;

    ตสฺมา มยํ กริสฺสาม, ตาสํ อตฺถสฺส ทีปนํฯ

    Tasmā mayaṃ karissāma, tāsaṃ atthassa dīpanaṃ.

    นชฺชาติ (อุทา. อฎฺฐ. ๑) นทติ สนฺทตีติ นที, ตสฺสา นชฺชา, นทิยา นินฺนคายาติ อโตฺถฯ เนรญฺชรายาติ ‘‘เนลญฺชลายา’’ติ วตฺตเพฺพ ล-การสฺส ร-การํ กตฺวา ‘‘เนรญฺชรายา’’ติ วุตฺตํ, กทฺทมเสวาลปณกาทิโทสรหิตสลิลายาติ อโตฺถฯ เกจิ ‘‘นีลํชลายาติ วตฺตเพฺพ เนรญฺชรายาติ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติ, นามเมว วา เอตํ ตสฺสา นทิยาติ เวทิตพฺพํฯ ตสฺสา นทิยา ตีเร ยตฺถ ภควา วิหาสิ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘โพธิรุกฺขมูเล’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติ (จูฬว. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑) เอตฺถ มคฺคญาณํ โพธีติ วุตฺตํ, ‘‘ปโปฺปติ โพธิํ วรภูริเมธโส’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๑๗) เอตฺถ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ตทุภยมฺปิ โพธิํ ภควา เอตฺถ ปโตฺตติ รุโกฺขปิ ‘‘โพธิรุโกฺข’’เตฺวว นามํ ลภิฯ อถ วา สตฺต โพชฺฌเงฺค พุชฺฌตีติ ภควา โพธิฯ เตน พุชฺฌเนฺตน สนฺนิสฺสิตตฺตา โส รุโกฺข ‘‘โพธิรุโกฺข’’ติ นามํ ลภิฯ อฎฺฐกถายํ ปน เอกเทเสเนว อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ มูเลติ สมีเปฯ ปฐมาภิสมฺพุโทฺธติ อนุนาสิกโลเปนายํ นิเทฺทโสติ อาห ‘‘ปฐมํ อภิสมฺพุโทฺธ’’ติฯ ปฐมนฺติ จ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส, ตสฺมา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา สพฺพปฐมํ โพธิรุกฺขมูเล วิหรตีติ เอวเมตฺถ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ

    Najjāti (udā. aṭṭha. 1) nadati sandatīti nadī, tassā najjā, nadiyā ninnagāyāti attho. Nerañjarāyāti ‘‘nelañjalāyā’’ti vattabbe la-kārassa ra-kāraṃ katvā ‘‘nerañjarāyā’’ti vuttaṃ, kaddamasevālapaṇakādidosarahitasalilāyāti attho. Keci ‘‘nīlaṃjalāyāti vattabbe nerañjarāyāti vutta’’nti vadanti, nāmameva vā etaṃ tassā nadiyāti veditabbaṃ. Tassā nadiyā tīre yattha bhagavā vihāsi, taṃ dassetuṃ ‘‘bodhirukkhamūle’’ti vuttaṃ. ‘‘Bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’nti (cūḷava. khaggavisāṇasuttaniddesa 121) ettha maggañāṇaṃ bodhīti vuttaṃ, ‘‘pappoti bodhiṃ varabhūrimedhaso’’ti (dī. ni. 3.217) ettha sabbaññutaññāṇaṃ. Tadubhayampi bodhiṃ bhagavā ettha pattoti rukkhopi ‘‘bodhirukkho’’tveva nāmaṃ labhi. Atha vā satta bojjhaṅge bujjhatīti bhagavā bodhi. Tena bujjhantena sannissitattā so rukkho ‘‘bodhirukkho’’ti nāmaṃ labhi. Aṭṭhakathāyaṃ pana ekadeseneva atthaṃ dassetuṃ ‘‘bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’ntiādi vuttaṃ. Mūleti samīpe. Paṭhamābhisambuddhoti anunāsikalopenāyaṃ niddesoti āha ‘‘paṭhamaṃ abhisambuddho’’ti. Paṭhamanti ca bhāvanapuṃsakaniddeso, tasmā abhisambuddho hutvā sabbapaṭhamaṃ bodhirukkhamūle viharatīti evamettha sambandho veditabbo.

    อถ โข ภควาติ เอตฺถ อถาติ ตสฺมิํ สมเยติ เอวมโตฺถ คเหตโพฺพ อเนกตฺถตฺตา นิปาตานํ, ยสฺมิํ สมเย อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา โพธิรุกฺขมูเล วิหรติ, ตสฺมิํ สมเยติ อโตฺถฯ เตเนว อุทานปาฬิยํ (อุทา. ๒) ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภควา สตฺตาหํ เอกปลฺลเงฺกน นิสิโนฺน โหติ วิมุตฺติสุขปฎิสํเวที’’ติ วุตฺตํฯ อถาติ วา ปจฺฉาติ อิมสฺมิํ อเตฺถ นิปาโต, ตสฺมา อภิสโมฺพธิโต ปจฺฉาติ เอวมโตฺถ คเหตโพฺพฯ โขติ ปทปูรเณ นิปาโตฯ สตฺต อหานิ สตฺตาหํฯ อจฺจนฺตสํโยเค เจตํ อุปโยควจนํฯ ยสฺมา ภควา ตํ สตฺตาหํ นิรนฺตรตาย อจฺจนฺตเมว ผลสมาปตฺติสุเขน วิหาสิ, ตสฺมา ‘‘สตฺตาห’’นฺติ อจฺจนฺตสํโยควเสน อุปโยควจนํ วุตฺตํฯ เอกปลฺลเงฺกนาติ วิสาขปุณฺณมาย อนตฺถงฺคเตเยว สูริเย อปราชิตปลฺลงฺกวเสน วชิราสเน นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย สกิมฺปิ อนุฎฺฐหิตฺวา ยถาภุชิเตน เอเกเนว ปลฺลเงฺกนฯ

    Athakho bhagavāti ettha athāti tasmiṃ samayeti evamattho gahetabbo anekatthattā nipātānaṃ, yasmiṃ samaye abhisambuddho hutvā bodhirukkhamūle viharati, tasmiṃ samayeti attho. Teneva udānapāḷiyaṃ (udā. 2) ‘‘tena kho pana samayena bhagavā sattāhaṃ ekapallaṅkena nisinno hoti vimuttisukhapaṭisaṃvedī’’ti vuttaṃ. Athāti vā pacchāti imasmiṃ atthe nipāto, tasmā abhisambodhito pacchāti evamattho gahetabbo. Khoti padapūraṇe nipāto. Satta ahāni sattāhaṃ. Accantasaṃyoge cetaṃ upayogavacanaṃ. Yasmā bhagavā taṃ sattāhaṃ nirantaratāya accantameva phalasamāpattisukhena vihāsi, tasmā ‘‘sattāha’’nti accantasaṃyogavasena upayogavacanaṃ vuttaṃ. Ekapallaṅkenāti visākhapuṇṇamāya anatthaṅgateyeva sūriye aparājitapallaṅkavasena vajirāsane nisinnakālato paṭṭhāya sakimpi anuṭṭhahitvā yathābhujitena ekeneva pallaṅkena.

    วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทีติ เอตฺถ ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทปฎิปฺปสฺสทฺธินิสฺสรณวิมุตฺตีสุ ปญฺจสุ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติสงฺขาตา ภควโต ผลวิมุตฺติ อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘วิมุตฺติสุขํ ผลสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวทยมาโน’’ติฯ วิมุตฺตีติ จ อุปกฺกิเลเสหิ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวเสน จิตฺตสฺส วิมุตฺตภาโว, จิตฺตเมว วา ตถา วิมุตฺตํ เวทิตพฺพํฯ ตาย วิมุตฺติยา ชาตํ, สมฺปยุตฺตํ วา สุขํ วิมุตฺติสุขํฯ ‘‘ยายํ, ภเนฺต, อุเปกฺขา สเนฺต สุเข วุตฺตา ภควตา’’ติ (ม. นิ. ๒.๘๘) วจนโต อุเปกฺขาปิ เจตฺถ สุขมิเจฺจว เวทิตพฺพาฯ ตถา หิ วุตฺตํ สโมฺมหวิโนทนิยํ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๓๒) ‘‘อุเปกฺขา ปน สนฺตตฺตา, สุขมิเจฺจว ภาสิตา’’ติฯ ภควา หิ จตุตฺถชฺฌานิกํ อรหตฺตผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, น อิตรํฯ อถ วา ‘‘เตสํ วูปสโม สุโข’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๒๑, ๒๗๒) ยถา สงฺขารทุกฺขวูปสโม ‘‘สุโข’’ติ วุจฺจติ, เอวํ สกลกิเลสทุกฺขูปสมภาวโต อคฺคผเล ลพฺภมานา ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติ เอว อิธ ‘‘สุข’’นฺติ เวทิตพฺพาฯ

    Vimuttisukhapaṭisaṃvedīti ettha tadaṅgavikkhambhanasamucchedapaṭippassaddhinissaraṇavimuttīsu pañcasu paṭippassaddhivimuttisaṅkhātā bhagavato phalavimutti adhippetāti āha ‘‘vimuttisukhaṃ phalasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvedayamāno’’ti. Vimuttīti ca upakkilesehi paṭippassaddhivasena cittassa vimuttabhāvo, cittameva vā tathā vimuttaṃ veditabbaṃ. Tāya vimuttiyā jātaṃ, sampayuttaṃ vā sukhaṃ vimuttisukhaṃ. ‘‘Yāyaṃ, bhante, upekkhā sante sukhe vuttā bhagavatā’’ti (ma. ni. 2.88) vacanato upekkhāpi cettha sukhamicceva veditabbā. Tathā hi vuttaṃ sammohavinodaniyaṃ (vibha. aṭṭha. 232) ‘‘upekkhā pana santattā, sukhamicceva bhāsitā’’ti. Bhagavā hi catutthajjhānikaṃ arahattaphalasamāpattiṃ samāpajjati, na itaraṃ. Atha vā ‘‘tesaṃ vūpasamo sukho’’tiādīsu (dī. ni. 2.221, 272) yathā saṅkhāradukkhavūpasamo ‘‘sukho’’ti vuccati, evaṃ sakalakilesadukkhūpasamabhāvato aggaphale labbhamānā paṭippassaddhivimutti eva idha ‘‘sukha’’nti veditabbā.

    อถาติ อธิการเตฺถ นิปาโต, โขติ ปทปูรเณฯ เตสุ อธิการเตฺถน ‘‘อถา’’ติ อิมินา วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทนโต อญฺญํ อธิการํ ทเสฺสติฯ โก ปเนโสติ? ปฎิจฺจสมอุปฺปาทมนสิกาโรฯ รตฺติยาติ อวยวสมฺพเนฺธ สามิวจนํฯ ปฐมนฺติ อจฺจนฺตสํโยคเตฺถ อุปโยควจนํ ฯ ภควา หิ ตสฺสา รตฺติยา สกลมฺปิ ปฐมํ ยามํ เตเนว มนสิกาเรน ยุโตฺต อโหสีติฯ

    Athāti adhikāratthe nipāto, khoti padapūraṇe. Tesu adhikāratthena ‘‘athā’’ti iminā vimuttisukhapaṭisaṃvedanato aññaṃ adhikāraṃ dasseti. Ko panesoti? Paṭiccasamauppādamanasikāro. Rattiyāti avayavasambandhe sāmivacanaṃ. Paṭhamanti accantasaṃyogatthe upayogavacanaṃ . Bhagavā hi tassā rattiyā sakalampi paṭhamaṃ yāmaṃ teneva manasikārena yutto ahosīti.

    ปจฺจยาการนฺติ อวิชฺชาทิปจฺจยธมฺมํฯ ปฎิจฺจาติ ปฎิมุขํ คนฺตฺวา, การณสามคฺคิํ อปฎิกฺขิปิตฺวาติ อโตฺถฯ ปฎิมุขคมนญฺจ ปจฺจยสฺส การณสามคฺคิยา องฺคภาเวน ผลสฺส อุปฺปาทนเมวฯ อปฎิกฺขิปิตฺวาติ ปน วินา ตาย การณสามคฺคิยา องฺคภาวํ อคนฺตฺวา สยเมว น อุปฺปาเทตีติ อโตฺถฯ เอเตน การณพหุตา ทสฺสิตาฯ อวิชฺชาทิเอเกกเหตุสีเสน หิ เหตุสมูโห นิทฺทิโฎฺฐฯ สหิเตติ สมุทิเต, อวินิพฺภุเตฺตติ อโตฺถฯ อวิชฺชาทิโก หิ ปจฺจยธโมฺม สหิเตเยว อญฺญมญฺญํ อวินิโพฺภควุตฺติธเมฺม อุปฺปาเทติฯ อิมินา ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมพหุตา ทสฺสิตาฯ อุภเยนปิ ‘‘เอกํ น เอกโต’’ติอาทินโย (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๖ สงฺขารปทนิเทฺทส; วิสุทฺธิ. ๒.๖๑๗) ทีปิโต โหติฯ เอกโต หิ การณโต น อิธ กิญฺจิ เอกํ ผลมตฺถิ, น อเนกํ, นาปิ อเนเกหิ การเณหิ เอกํ, อเนเกหิ ปน การเณหิ อเนกเมว โหติฯ ตถา หิ อเนเกหิ อุตุปถวีพีชสลิลสงฺขาเตหิ การเณหิ อเนกเมว รูปคนฺธรสาทิองฺกุรสงฺขาตํ ผลมุปฺปชฺชมานํ ทิสฺสติฯ ยํ ปเนตํ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติ เอเกกเหตุผลทีปนํ กตํ, ตตฺถ ปโยชนํ น วิชฺชติฯ

    Paccayākāranti avijjādipaccayadhammaṃ. Paṭiccāti paṭimukhaṃ gantvā, kāraṇasāmaggiṃ apaṭikkhipitvāti attho. Paṭimukhagamanañca paccayassa kāraṇasāmaggiyā aṅgabhāvena phalassa uppādanameva. Apaṭikkhipitvāti pana vinā tāya kāraṇasāmaggiyā aṅgabhāvaṃ agantvā sayameva na uppādetīti attho. Etena kāraṇabahutā dassitā. Avijjādiekekahetusīsena hi hetusamūho niddiṭṭho. Sahiteti samudite, avinibbhutteti attho. Avijjādiko hi paccayadhammo sahiteyeva aññamaññaṃ avinibbhogavuttidhamme uppādeti. Iminā paccayuppannadhammabahutā dassitā. Ubhayenapi ‘‘ekaṃ na ekato’’tiādinayo (vibha. aṭṭha. 226 saṅkhārapadaniddesa; visuddhi. 2.617) dīpito hoti. Ekato hi kāraṇato na idha kiñci ekaṃ phalamatthi, na anekaṃ, nāpi anekehi kāraṇehi ekaṃ, anekehi pana kāraṇehi anekameva hoti. Tathā hi anekehi utupathavībījasalilasaṅkhātehi kāraṇehi anekameva rūpagandharasādiaṅkurasaṅkhātaṃ phalamuppajjamānaṃ dissati. Yaṃ panetaṃ ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā, saṅkhārapaccayā viññāṇa’’nti ekekahetuphaladīpanaṃ kataṃ, tattha payojanaṃ na vijjati.

    ภควา หิ กตฺถจิ ปธานตฺตา กตฺถจิ ปากฎตฺตา กตฺถจิ อสาธารณตฺตา เทสนาวิลาสสฺส จ เวเนยฺยานญฺจ อนุรูปโต เอกเมว เหตุํ วา ผลํ วา ทีเปติฯ ‘‘ผสฺสปจฺจยา เวทนา’’ติ หิ เอกเมว เหตุํ ผลญฺจาหฯ ผโสฺส หิ เวทนาย ปธานเหตุ ยถาผสฺสํ เวทนาววตฺถานโตฯ เวทนา จ ผสฺสสฺส ปธานผลํ ยถาเวทนํ ผสฺสววตฺถานโตฯ ‘‘เสมฺหสมุฎฺฐานา อาพาธา’’ติ (มหานิ. ๕) ปากฎตฺตา เอกํ เหตุํ อาหฯ ปากโฎ หิ เอตฺถ เสโมฺห, น กมฺมาทโยฯ ‘‘เย เกจิ, ภิกฺขเว, อกุสลา ธมฺมา, สเพฺพเต อโยนิโสมนสิการมูลกา’’ติ อสาธารณตฺตา เอกํ เหตุํ อาหฯ อสาธารโณ หิ อโยนิโสมนสิกาโร อกุสลานํ, สาธารณานิ วตฺถารมฺมณาทีนีติฯ ตสฺมา อวิชฺชา ตาเวตฺถ วิชฺชมาเนสุปิ อเญฺญสุ วตฺถารมฺมณสหชาตธมฺมาทีสุ สงฺขารการเณสุ ‘‘อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๒) จ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา อาสวสมุทโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๔) จ วจนโต อเญฺญสมฺปิ ตณฺหาทีนํ สงฺขารเหตูนํ เหตูติ ปธานตฺตา, ‘‘อวิทฺวา, ภิกฺขเว, อวิชฺชาคโต ปุญฺญาภิสงฺขารมฺปิ อภิสงฺขโรตี’’ติ ปากฎตฺตา อสาธารณตฺตา จ สงฺขารานํ เหตุภาเวน ทีปิตาติ เวทิตพฺพาฯ เอวํ สพฺพตฺถ เอเกกเหตุผลทีปเน ยถาสมฺภวํ นโย เนตโพฺพฯ เตนาหุ โปราณา –

    Bhagavā hi katthaci padhānattā katthaci pākaṭattā katthaci asādhāraṇattā desanāvilāsassa ca veneyyānañca anurūpato ekameva hetuṃ vā phalaṃ vā dīpeti. ‘‘Phassapaccayā vedanā’’ti hi ekameva hetuṃ phalañcāha. Phasso hi vedanāya padhānahetu yathāphassaṃ vedanāvavatthānato. Vedanā ca phassassa padhānaphalaṃ yathāvedanaṃ phassavavatthānato. ‘‘Semhasamuṭṭhānā ābādhā’’ti (mahāni. 5) pākaṭattā ekaṃ hetuṃ āha. Pākaṭo hi ettha semho, na kammādayo. ‘‘Ye keci, bhikkhave, akusalā dhammā, sabbete ayonisomanasikāramūlakā’’ti asādhāraṇattā ekaṃ hetuṃ āha. Asādhāraṇo hi ayonisomanasikāro akusalānaṃ, sādhāraṇāni vatthārammaṇādīnīti. Tasmā avijjā tāvettha vijjamānesupi aññesu vatthārammaṇasahajātadhammādīsu saṅkhārakāraṇesu ‘‘assādānupassino taṇhā pavaḍḍhatī’’ti (saṃ. ni. 2.52) ca ‘‘avijjāsamudayā āsavasamudayo’’ti (ma. ni. 1.104) ca vacanato aññesampi taṇhādīnaṃ saṅkhārahetūnaṃ hetūti padhānattā, ‘‘avidvā, bhikkhave, avijjāgato puññābhisaṅkhārampi abhisaṅkharotī’’ti pākaṭattā asādhāraṇattā ca saṅkhārānaṃ hetubhāvena dīpitāti veditabbā. Evaṃ sabbattha ekekahetuphaladīpane yathāsambhavaṃ nayo netabbo. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘เอกํ น เอกโต อิธ, นาเนกมเนกโตปิ โน เอกํ;

    ‘‘Ekaṃ na ekato idha, nānekamanekatopi no ekaṃ;

    ผลมตฺถิ อตฺถิ ปน เอก-เหตุผลทีปเน อโตฺถ’’ติฯ

    Phalamatthi atthi pana eka-hetuphaladīpane attho’’ti.

    ปเจฺจตุมรหตีติ ปฎิโจฺจฯ โย หิ นํ ปเจฺจติ อภิสเมติ, ตสฺส อจฺจนฺตเมว ทุกฺขวูปสมาย สํวตฺตติฯ สมฺมา สห จ อุปฺปาเทตีติ สมุปฺปาโทฯ ปจฺจยธโมฺม หิ อตฺตโน ผลํ อุปฺปาเทโนฺต สมฺปุณฺณเมว อุปฺปาเทติ, น วิกลํฯ เย จ ธเมฺม อุปฺปาเทติ, เต สเพฺพ สเหว อุปฺปาเทติ, น เอเกกํฯ อิติ ปฎิโจฺจ จ โส สมุปฺปาโท จาติ ปฎิจฺจสมุปฺปาโทติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ วิตฺถาโรติ ปฎิจฺจสมุปฺปาทปทวณฺณนาปปโญฺจฯ มยมฺปิ ตํ อติปปญฺจภยา อิธ น ทสฺสยิสฺสาม, เอวํ ปรโต วกฺขมานมฺปิ วิตฺถารํฯ อนุโลมปฎิโลมนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส ‘‘วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๗๐) วิยฯ เสฺววาติ โส เอว ปจฺจยากาโรฯ ปุริมนเยน วา วุโตฺตติ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต ปจฺจยากาโรฯ ปวตฺติยาติ สํสารปฺปวตฺติยาฯ มนสิ อกาสีติ โย โย ปจฺจยธโมฺม ยสฺส ยสฺส ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมสฺส ยถา ยถา เหตุปจฺจยาทินา ปจฺจยภาเวน ปจฺจโย โหติ, ตํ สพฺพํ อวิปรีตํ อปริหาเปตฺวา อนวเสสโต ปจฺจเวกฺขณวเสน จิเตฺต อกาสีติ อโตฺถฯ

    Paccetumarahatīti paṭicco. Yo hi naṃ pacceti abhisameti, tassa accantameva dukkhavūpasamāya saṃvattati. Sammā saha ca uppādetīti samuppādo. Paccayadhammo hi attano phalaṃ uppādento sampuṇṇameva uppādeti, na vikalaṃ. Ye ca dhamme uppādeti, te sabbe saheva uppādeti, na ekekaṃ. Iti paṭicco ca so samuppādo cāti paṭiccasamuppādoti evampettha attho daṭṭhabbo. Vitthāroti paṭiccasamuppādapadavaṇṇanāpapañco. Mayampi taṃ atipapañcabhayā idha na dassayissāma, evaṃ parato vakkhamānampi vitthāraṃ. Anulomapaṭilomanti bhāvanapuṃsakaniddeso ‘‘visamaṃ candimasūriyā parivattantī’’tiādīsu (a. ni. 4.70) viya. Svevāti so eva paccayākāro. Purimanayena vā vuttoti ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādinā nayena vutto paccayākāro. Pavattiyāti saṃsārappavattiyā. Manasi akāsīti yo yo paccayadhammo yassa yassa paccayuppannadhammassa yathā yathā hetupaccayādinā paccayabhāvena paccayo hoti, taṃ sabbaṃ aviparītaṃ aparihāpetvā anavasesato paccavekkhaṇavasena citte akāsīti attho.

    อวิชฺชาปจฺจยาติอาทีสุ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๕; วิสุทฺธิ. ๒.๕๘๖-๕๘๗; อุทา. อฎฺฐ. ๑) อวินฺทิยํ กายทุจฺจริตาทิํ วินฺทตีติ อวิชฺชา, วินฺทิยํ กายสุจริตาทิํ น วินฺทตีติ อวิชฺชา, ธมฺมานํ อวิปรีตสภาวํ อวิทิตํ กโรตีติ อวิชฺชา, อนฺตวิรหิเต สํสาเร ภวาทีสุ สเตฺต ชวาเปตีติ อวิชฺชา, อวิชฺชมาเนสุ ชวติ, วิชฺชมาเนสุ น ชวตีติ อวิชฺชา, วิชฺชาปฎิปกฺขาติ วา อวิชฺชาฯ สา ‘‘ทุเกฺข อญฺญาณ’’นฺติอาทินา จตุพฺพิธา เวทิตพฺพาฯ ปฎิจฺจ นํ น วินา ผลํ เอติ อุปฺปชฺชติ เจว ปวตฺตติ จาติ ปจฺจโย, อุปการโฎฺฐ วา ปจฺจโยฯ อวิชฺชา จ สา ปจฺจโย จาติ อวิชฺชาปจฺจโย , ตสฺมา อวิชฺชาปจฺจยาฯ สงฺขโรนฺตีติ สงฺขารา, โลกิยา กุสลากุสลเจตนาฯ เต ปุญฺญาปุญฺญาเนญฺจาภิสงฺขารวเสน ติวิธา เวทิตพฺพาฯ วิชานาตีติ วิญฺญาณํ, ตํ โลกิยวิปากวิญฺญาณวเสน พาตฺติํสวิธํฯ นมตีติ นามํ, เวทนาทิกฺขนฺธตฺตยํฯ รุปฺปตีติ รูปํ, ภูตรูปํ จกฺขาทิอุปาทารูปญฺจฯ อายตนฺติ, อายตญฺจ สํสารทุกฺขํ นยตีติ อายตนํ ฯ ผุสตีติ ผโสฺสฯ เวทยตีติ เวทนาฯ อิทมฺปิ ทฺวยํ ทฺวารวเสน ฉพฺพิธํ, วิปากวเสน คหเณ พาตฺติํสวิธํฯ ตสฺสติ ปริตสฺสตีติ ตณฺหา, สา กามตณฺหาทิวเสน สเงฺขปโต ติวิธา, วิตฺถารโต อฎฺฐสตวิธา จฯ อุปาทิยตีติ อุปาทานํ, ตํ กามุปาทานาทิวสเอน จตุพฺพิธํฯ

    Avijjāpaccayātiādīsu (vibha. aṭṭha. 225; visuddhi. 2.586-587; udā. aṭṭha. 1) avindiyaṃ kāyaduccaritādiṃ vindatīti avijjā, vindiyaṃ kāyasucaritādiṃ na vindatīti avijjā, dhammānaṃ aviparītasabhāvaṃ aviditaṃ karotīti avijjā, antavirahite saṃsāre bhavādīsu satte javāpetīti avijjā, avijjamānesu javati, vijjamānesu na javatīti avijjā, vijjāpaṭipakkhāti vā avijjā. Sā ‘‘dukkhe aññāṇa’’ntiādinā catubbidhā veditabbā. Paṭicca naṃ na vinā phalaṃ eti uppajjati ceva pavattati cāti paccayo, upakāraṭṭho vā paccayo. Avijjā ca sā paccayo cāti avijjāpaccayo , tasmā avijjāpaccayā. Saṅkharontīti saṅkhārā, lokiyā kusalākusalacetanā. Te puññāpuññāneñcābhisaṅkhāravasena tividhā veditabbā. Vijānātīti viññāṇaṃ, taṃ lokiyavipākaviññāṇavasena bāttiṃsavidhaṃ. Namatīti nāmaṃ, vedanādikkhandhattayaṃ. Ruppatīti rūpaṃ, bhūtarūpaṃ cakkhādiupādārūpañca. Āyatanti, āyatañca saṃsāradukkhaṃ nayatīti āyatanaṃ. Phusatīti phasso. Vedayatīti vedanā. Idampi dvayaṃ dvāravasena chabbidhaṃ, vipākavasena gahaṇe bāttiṃsavidhaṃ. Tassati paritassatīti taṇhā, sā kāmataṇhādivasena saṅkhepato tividhā, vitthārato aṭṭhasatavidhā ca. Upādiyatīti upādānaṃ, taṃ kāmupādānādivasaena catubbidhaṃ.

    ภวติ ภาวยติ จาติ ภโว, โส กโมฺมปปตฺติเภทโต ทุวิโธฯ ชนนํ ชาติฯ ชีรณํ ชราฯ มรนฺติ เตนาติ มรณํฯ โสจนํ โสโกฯ ปริเทวนํ ปริเทโวฯ ทุกฺขยตีติ ทุกฺขํฯ อุปฺปาทฎฺฐิติวเสน เทฺวธา ขนตีติ วา ทุกฺขํฯ ทุมฺมนสฺส ภาโว โทมนสฺสํฯ ภุโส อายาโส อุปายาโสฯ สมฺภวนฺตีติ นิพฺพตฺตนฺติฯ น เกวลญฺจ โสกาทีเหว, อถ โข สพฺพปเทหิ ‘‘สมฺภวนฺตี’’ติ ปทสฺส โยชนา กาตพฺพาฯ เอวญฺหิ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺตีติ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนววตฺถานํ ทสฺสิตํ โหติฯ เตเนวาห ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺตีติ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพ’’ติฯ เอวเมตสฺส…เป.… สมุทโย โหตีติ เอตฺถ ปน อยมโตฺถฯ เอวนฺติ นิทฺทิฎฺฐนยนิทสฺสนํฯ เตน อวิชฺชาทีเหว การเณหิ, น อิสฺสรนิมฺมานาทีหีติ ทเสฺสติฯ เอตสฺสาติ ยถาวุตฺตสฺสฯ เกวลสฺสาติ อสมฺมิสฺสสฺส, สกลสฺส วาฯ ทุกฺขกฺขนฺธสฺสาติ ทุกฺขสมูหสฺส, น สตฺตสฺส นาปิ สุภสุขาทีนํฯ สมุทโย โหตีติ นิพฺพตฺติ สมฺภวติฯ

    Bhavati bhāvayati cāti bhavo, so kammopapattibhedato duvidho. Jananaṃ jāti. Jīraṇaṃ jarā. Maranti tenāti maraṇaṃ. Socanaṃ soko. Paridevanaṃ paridevo. Dukkhayatīti dukkhaṃ. Uppādaṭṭhitivasena dvedhā khanatīti vā dukkhaṃ. Dummanassa bhāvo domanassaṃ. Bhuso āyāso upāyāso. Sambhavantīti nibbattanti. Na kevalañca sokādīheva, atha kho sabbapadehi ‘‘sambhavantī’’ti padassa yojanā kātabbā. Evañhi avijjāpaccayā saṅkhārā sambhavantīti paccayapaccayuppannavavatthānaṃ dassitaṃ hoti. Tenevāha ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā sambhavantīti iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo’’ti. Evametassa…pe… samudayo hotīti ettha pana ayamattho. Evanti niddiṭṭhanayanidassanaṃ. Tena avijjādīheva kāraṇehi, na issaranimmānādīhīti dasseti. Etassāti yathāvuttassa. Kevalassāti asammissassa, sakalassa vā. Dukkhakkhandhassāti dukkhasamūhassa, na sattassa nāpi subhasukhādīnaṃ. Samudayo hotīti nibbatti sambhavati.

    อจฺจนฺตเมว สงฺขาเรหิ วิรชฺชติ เอเตนาติ วิราโค, อริยมโคฺคติ อาห ‘‘วิราคสงฺขาเตน มเคฺคนา’’ติฯ อเสสํ นิโรธา อเสสนิโรธา, อเสเสตฺวา นิเสฺสเสตฺวา นิโรธา สมุจฺฉินฺทนา อนุสยปฺปหานวเสน อคฺคมเคฺคน อวิชฺชาย อจฺจนฺตสมุคฺฆาตโตติ อโตฺถฯ ยทิปิ เหฎฺฐิมมเคฺคหิปิ ปหียมานา อวิชฺชา อจฺจนฺตสมุคฺฆาตวเสเนว ปหียติ, ตถาปิ น อนวเสสโต ปหียติฯ อปายคมนียา หิ อวิชฺชา ปฐมมเคฺคน ปหียติ, ตถา สกิเทว อิมสฺมิํ โลเก สพฺพตฺถ จ อนริยภูมิยํ อุปปตฺติยา ปจฺจยภูตา อวิชฺชา ยถากฺกมํ ทุติยตติยมเคฺคหิ ปหียติ, น อิตราติ, อรหตฺตมเคฺคเนว ปน สา อนวเสสํ ปหียตีติฯ อนุปฺปาทนิโรโธ โหตีติ สเพฺพสํ สงฺขารานํ อนวเสสํ อนุปฺปาทนิโรโธ โหติฯ เหฎฺฐิเมน หิ มคฺคตฺตเยน เกจิ สงฺขารา นิรุชฺฌนฺติ, เกจิ น นิรุชฺฌนฺติ อวิชฺชาย สาวเสสนิโรธา, อคฺคมเคฺคน ปนสฺสา อนวเสสนิโรธา น เกจิ สงฺขารา น นิรุชฺฌนฺตีติฯ เอวํ นิรุทฺธานนฺติ เอวํ อนุปฺปาทนิโรเธน นิรุทฺธานํฯ เกวล-สโทฺท นิรวเสสวาจโก จ โหติ ‘‘เกวลา องฺคมคธา’’ติอาทีสุฯ อสมฺมิสฺสวาจโก จ ‘‘เกวลา สาลโย’’ติอาทีสุฯ ตสฺมา อุภยถาปิ อตฺถํ วทติ ‘‘สกลสฺส, สุทฺธสฺส วา’’ติฯ ตตฺถ สกลสฺสาติ อนวเสสสฺส สพฺพภวาทิคตสฺสฯ สตฺตวิรหิตสฺสาติ ปรปริกปฺปิตชีวรหิตสฺสฯ

    Accantameva saṅkhārehi virajjati etenāti virāgo, ariyamaggoti āha ‘‘virāgasaṅkhātena maggenā’’ti. Asesaṃ nirodhā asesanirodhā, asesetvā nissesetvā nirodhā samucchindanā anusayappahānavasena aggamaggena avijjāya accantasamugghātatoti attho. Yadipi heṭṭhimamaggehipi pahīyamānā avijjā accantasamugghātavaseneva pahīyati, tathāpi na anavasesato pahīyati. Apāyagamanīyā hi avijjā paṭhamamaggena pahīyati, tathā sakideva imasmiṃ loke sabbattha ca anariyabhūmiyaṃ upapattiyā paccayabhūtā avijjā yathākkamaṃ dutiyatatiyamaggehi pahīyati, na itarāti, arahattamaggeneva pana sā anavasesaṃ pahīyatīti. Anuppādanirodho hotīti sabbesaṃ saṅkhārānaṃ anavasesaṃ anuppādanirodho hoti. Heṭṭhimena hi maggattayena keci saṅkhārā nirujjhanti, keci na nirujjhanti avijjāya sāvasesanirodhā, aggamaggena panassā anavasesanirodhā na keci saṅkhārā na nirujjhantīti. Evaṃ niruddhānanti evaṃ anuppādanirodhena niruddhānaṃ. Kevala-saddo niravasesavācako ca hoti ‘‘kevalā aṅgamagadhā’’tiādīsu. Asammissavācako ca ‘‘kevalā sālayo’’tiādīsu. Tasmā ubhayathāpi atthaṃ vadati ‘‘sakalassa, suddhassa vā’’ti. Tattha sakalassāti anavasesassa sabbabhavādigatassa. Sattavirahitassāti paraparikappitajīvarahitassa.

    อปิเจตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ, สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ’’ติ เอตฺตาวตาปิ สกลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนวเสสโต นิโรโธ วุโตฺต โหติ, ตถาปิ ยถา อนุโลเม ยสฺส ยสฺส ปจฺจยธมฺมสฺส อตฺถิตาย โย โย ปจฺจยุปฺปนฺนธโมฺม น นิรุชฺฌติ ปวตฺตติ เอวาติ อิมสฺส อตฺถสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา…เป.… สมุทโย โหตี’’ติ วุตฺตํฯ เอวํ ตปฺปฎิปกฺขโต ตสฺส ตสฺส ปจฺจยสฺส อภาเว โส โส ปจฺจยุปฺปนฺนธโมฺม นิรุชฺฌติ น ปวตฺตตีติ ทสฺสนตฺถํ อิธ ‘‘อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ, สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ, วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ…เป.… ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหตี’’ติ วุตฺตํ, น ปน อนุโลเม วิย กาลตฺตยปริยาปนฺนสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรธทสฺสนตฺถํฯ อนาคตเสฺสว หิ อริยมคฺคภาวนาย อสติ อุปฺปชฺชนารหสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อริยมคฺคภาวนาย นิโรโธ อิจฺฉิโตติ อยมฺปิ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ

    Apicettha kiñcāpi ‘‘avijjānirodhā saṅkhāranirodho, saṅkhāranirodhā viññāṇanirodho’’ti ettāvatāpi sakalassa dukkhakkhandhassa anavasesato nirodho vutto hoti, tathāpi yathā anulome yassa yassa paccayadhammassa atthitāya yo yo paccayuppannadhammo na nirujjhati pavattati evāti imassa atthassa dassanatthaṃ ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā…pe… samudayo hotī’’ti vuttaṃ. Evaṃ tappaṭipakkhato tassa tassa paccayassa abhāve so so paccayuppannadhammo nirujjhati na pavattatīti dassanatthaṃ idha ‘‘avijjānirodhā saṅkhāranirodho, saṅkhāranirodhā viññāṇanirodho, viññāṇanirodhā nāmarūpanirodho…pe… dukkhakkhandhassa nirodho hotī’’ti vuttaṃ, na pana anulome viya kālattayapariyāpannassa dukkhakkhandhassa nirodhadassanatthaṃ. Anāgatasseva hi ariyamaggabhāvanāya asati uppajjanārahassa dukkhakkhandhassa ariyamaggabhāvanāya nirodho icchitoti ayampi viseso veditabbo.

    ยทา หเวติ เอตฺถ หเวติ พฺยตฺตนฺติ อิมสฺมิํ อเตฺถ นิปาโตฯ เกจิ ปน ‘‘หเวติ อาหเว ยุเทฺธ’’ติ อตฺถํ วทนฺติ, ‘‘โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธนา’’ติ (ธ. ป. ๔๐) หิ วจนโต กิเลสมาเรน ยุชฺฌนสมเยติ เตสํ อธิปฺปาโยฯ อารมฺมณูปนิชฺฌานลกฺขเณนาติ อารมฺมณูปนิชฺฌานสภาเวนฯ ลกฺขณูปนิชฺฌานลกฺขเณนาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ อารมฺมณูปนิชฺฌานํ นาม อฎฺฐ สมาปตฺติโย กสิณารมฺมณสฺส อุปนิชฺฌายนโตฯ ลกฺขณูปนิชฺฌานํ นาม วิปสฺสนามคฺคผลานิฯ วิปสฺสนา หิ ตีณิ ลกฺขณานิ อุปนิชฺฌายตีติ ลกฺขณูปนิชฺฌานํ, มโคฺค วิปสฺสนาย อาคตกิจฺจํ สาเธตีติ ลกฺขณูปนิชฺฌานํ, ผลํ ตถลกฺขณํ นิโรธสจฺจํ อุปนิชฺฌายตีติ ลกฺขณูปนิชฺฌานํฯ โน กโลฺล ปโญฺหติ อยุโตฺต ปโญฺห, ทุปฺปโญฺห เอโสติ อโตฺถฯ อาทิสเทฺทน –

    Yadā haveti ettha haveti byattanti imasmiṃ atthe nipāto. Keci pana ‘‘haveti āhave yuddhe’’ti atthaṃ vadanti, ‘‘yodhetha māraṃ paññāvudhenā’’ti (dha. pa. 40) hi vacanato kilesamārena yujjhanasamayeti tesaṃ adhippāyo. Ārammaṇūpanijjhānalakkhaṇenāti ārammaṇūpanijjhānasabhāvena. Lakkhaṇūpanijjhānalakkhaṇenāti etthāpi eseva nayo. Tattha ārammaṇūpanijjhānaṃ nāma aṭṭha samāpattiyo kasiṇārammaṇassa upanijjhāyanato. Lakkhaṇūpanijjhānaṃ nāma vipassanāmaggaphalāni. Vipassanā hi tīṇi lakkhaṇāni upanijjhāyatīti lakkhaṇūpanijjhānaṃ, maggo vipassanāya āgatakiccaṃ sādhetīti lakkhaṇūpanijjhānaṃ, phalaṃ tathalakkhaṇaṃ nirodhasaccaṃ upanijjhāyatīti lakkhaṇūpanijjhānaṃ. No kallo pañhoti ayutto pañho, duppañho esoti attho. Ādisaddena –

    ‘‘ผุสตีติ อหํ น วทามิฯ ผุสตีติ จาหํ วเทยฺยํ, ตตฺรสฺส กโลฺล ปโญฺห ‘โก นุ โข, ภเนฺต, ผุสตี’ติ? เอวญฺจาหํ น วทามิ, เอวํ มํ อวทนฺตํ โย เอวํ ปุเจฺฉยฺย ‘กิํปจฺจยา นุ โข, ภเนฺต, ผโสฺส’ติ, เอส กโลฺล ปโญฺหฯ ตตฺร กลฺลํ เวยฺยากรณํ ‘สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา’ติฯ โก นุ โข, ภเนฺต, เวทยตีติ? โน กโลฺล ปโญฺหติ ภควา อโวจ, เวทยตีติ อหํ น วทามิ, เวทยตีติ จาหํ วเทยฺยํ, ตตฺรสฺส กโลฺล ปโญฺห ‘โก นุ โข, ภเนฺต, เวทยตี’ติ? เอวญฺจาหํ น วทามิฯ เอวํ มํ อวทนฺตํ โย เอวํ ปุเจฺฉยฺย ‘กิํปจฺจยา นุ โข, ภเนฺต, เวทนา’ติ, เอส กโลฺล ปโญฺหฯ ตตฺร กลฺลํ เวยฺยากรณํ ‘ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา’’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๒) –

    ‘‘Phusatīti ahaṃ na vadāmi. Phusatīti cāhaṃ vadeyyaṃ, tatrassa kallo pañho ‘ko nu kho, bhante, phusatī’ti? Evañcāhaṃ na vadāmi, evaṃ maṃ avadantaṃ yo evaṃ puccheyya ‘kiṃpaccayā nu kho, bhante, phasso’ti, esa kallo pañho. Tatra kallaṃ veyyākaraṇaṃ ‘saḷāyatanapaccayā phasso, phassapaccayā vedanā’ti. Ko nu kho, bhante, vedayatīti? No kallo pañhoti bhagavā avoca, vedayatīti ahaṃ na vadāmi, vedayatīti cāhaṃ vadeyyaṃ, tatrassa kallo pañho ‘ko nu kho, bhante, vedayatī’ti? Evañcāhaṃ na vadāmi. Evaṃ maṃ avadantaṃ yo evaṃ puccheyya ‘kiṃpaccayā nu kho, bhante, vedanā’ti, esa kallo pañho. Tatra kallaṃ veyyākaraṇaṃ ‘phassapaccayā vedanā, vedanāpaccayā taṇhā’’’ti (saṃ. ni. 2.12) –

    เอวมาทิํ ปาฬิเสสํ สงฺคณฺหาติฯ

    Evamādiṃ pāḷisesaṃ saṅgaṇhāti.

    อาทินา จ นเยนาติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปน ‘‘กตมา นุ โข, ภเนฺต, ชาติ, กสฺส จ ปนายํ ชาตีติฯ ‘โน กโลฺล ปโญฺห’ติ ภควา อโวจา’’ติ เอวมาทิํ สงฺคณฺหาติฯ นนุ เจตฺถ ‘‘กตมํ นุ โข, ภเนฺต, ชรามรณ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๓๕) อิทํ สุปุจฺฉิตนฺติ? กิญฺจาปิ สุปุจฺฉิตํ, ยถา ปน สตสหสฺสคฺฆนเก สุวณฺณถาลเก วฑฺฒิตสฺส สุโภชนสฺส มตฺถเก อามลกมเตฺต คูถปิเณฺฑ ฐปิเต สพฺพํ โภชนํ ทุโพฺภชนํ โหติ ฉเฑฺฑตพฺพํ, เอวเมว ‘‘กสฺส จ ปนิทํ ชรามรณ’’นฺติ อิมินา สตฺตูปลทฺธิวาทปเทน คูถปิเณฺฑน ตํ โภชนํ ทุโพฺภชนํ วิย อยมฺปิ สโพฺพ ทุปฺปโญฺห ชาโตติฯ

    Ādinā ca nayenāti ettha ādi-saddena pana ‘‘katamā nu kho, bhante, jāti, kassa ca panāyaṃ jātīti. ‘No kallo pañho’ti bhagavā avocā’’ti evamādiṃ saṅgaṇhāti. Nanu cettha ‘‘katamaṃ nu kho, bhante, jarāmaraṇa’’nti (saṃ. ni. 2.35) idaṃ supucchitanti? Kiñcāpi supucchitaṃ, yathā pana satasahassagghanake suvaṇṇathālake vaḍḍhitassa subhojanassa matthake āmalakamatte gūthapiṇḍe ṭhapite sabbaṃ bhojanaṃ dubbhojanaṃ hoti chaḍḍetabbaṃ, evameva ‘‘kassa ca panidaṃ jarāmaraṇa’’nti iminā sattūpaladdhivādapadena gūthapiṇḍena taṃ bhojanaṃ dubbhojanaṃ viya ayampi sabbo duppañho jātoti.

    โสฬส กงฺขาติ ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธานํ, น นุ โข อโหสิํ, กิํ นุ โข อโหสิํ, กถํ นุ โข อโหสิํ, กิํ หุตฺวา กิํ อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธานํ, ภวิสฺสามิ นุ โข อหํ อนาคตมทฺธานํ, น นุ โข ภวิสฺสามิ, กิํ นุ โข ภวิสฺสามิ, กถํ นุ โข ภวิสฺสามิ, กิํ หุตฺวา กิํ ภวิสฺสามิ นุ โข อหํ อนาคตมทฺธานํ, อหํ นุ โขสฺมิ, โน นุ โขสฺมิ, กิํ นุ โขสฺมิ, กถํ นุ โขสฺมิ, อยํ นุ โข สโตฺต กุโต อาคโต, โส กุหิํ คามี ภวิสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๒๐; ม. นิ. ๑.๑๘) เอวมาคตา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนวิสยา โสฬสวิธา กงฺขาฯ

    Soḷasa kaṅkhāti ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhānaṃ, na nu kho ahosiṃ, kiṃ nu kho ahosiṃ, kathaṃ nu kho ahosiṃ, kiṃ hutvā kiṃ ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhānaṃ, bhavissāmi nu kho ahaṃ anāgatamaddhānaṃ, na nu kho bhavissāmi, kiṃ nu kho bhavissāmi, kathaṃ nu kho bhavissāmi, kiṃ hutvā kiṃ bhavissāmi nu kho ahaṃ anāgatamaddhānaṃ, ahaṃ nu khosmi, no nu khosmi, kiṃ nu khosmi, kathaṃ nu khosmi, ayaṃ nu kho satto kuto āgato, so kuhiṃ gāmī bhavissatī’’ti (saṃ. ni. 2.20; ma. ni. 1.18) evamāgatā atītānāgatapaccuppannavisayā soḷasavidhā kaṅkhā.

    ตตฺถ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๘; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒.๒๐) อโหสิํ นุ โข, น นุ โขติ สสฺสตาการญฺจ อธิจฺจสมุปฺปตฺติอาการญฺจ นิสฺสาย อตีเต อตฺตโน วิชฺชมานตญฺจ อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขติ, กิํ การณนฺติ น วตฺตพฺพํฯ อุมฺมตฺตโก วิย หิ พาลปุถุชฺชโน ยถา ตถา วา ปวตฺตติฯ อปิจ อโยนิโสมนสิกาโรเยเวตฺถ การณํฯ เอวํ อโยนิโสมนสิการสฺส ปน กิํ การณนฺติ? เสฺวว ปุถุชฺชนภาโว อริยานํ อทสฺสนาทีนิ วาฯ นนุ จ ปุถุชฺชโนปิ โยนิโส มนสิ กโรตีติฯ โก วา เอวมาห ‘‘น มนสิ กโรตี’’ติฯ น ปน ตตฺถ ปุถุชฺชนภาโว การณํ, สทฺธมฺมสวนกลฺยาณมิตฺตาทีนิ ตตฺถ การณานิ ฯ น หิ มจฺฉมํสาทีนิ อตฺตโน ปกติยา สุคนฺธานิ, อภิสงฺขารปจฺจยา ปน สุคนฺธานิปิ โหนฺติฯ

    Tattha (ma. ni. aṭṭha. 1.18; saṃ. ni. aṭṭha. 2.2.20) ahosiṃ nu kho, na nu khoti sassatākārañca adhiccasamuppattiākārañca nissāya atīte attano vijjamānatañca avijjamānatañca kaṅkhati, kiṃ kāraṇanti na vattabbaṃ. Ummattako viya hi bālaputhujjano yathā tathā vā pavattati. Apica ayonisomanasikāroyevettha kāraṇaṃ. Evaṃ ayonisomanasikārassa pana kiṃ kāraṇanti? Sveva puthujjanabhāvo ariyānaṃ adassanādīni vā. Nanu ca puthujjanopi yoniso manasi karotīti. Ko vā evamāha ‘‘na manasi karotī’’ti. Na pana tattha puthujjanabhāvo kāraṇaṃ, saddhammasavanakalyāṇamittādīni tattha kāraṇāni . Na hi macchamaṃsādīni attano pakatiyā sugandhāni, abhisaṅkhārapaccayā pana sugandhānipi honti.

    กิํ นุ โข อโหสินฺติ ชาติลิงฺคุปปตฺติโย นิสฺสาย ‘‘ขตฺติโย นุ โข อโหสิํ, พฺราหฺมณเวสฺสสุทฺทคหฎฺฐปพฺพชิตเทวมนุสฺสานํ อญฺญตโร’’ติ กงฺขติฯ

    Kiṃ nu kho ahosinti jātiliṅgupapattiyo nissāya ‘‘khattiyo nu kho ahosiṃ, brāhmaṇavessasuddagahaṭṭhapabbajitadevamanussānaṃ aññataro’’ti kaṅkhati.

    กถํ นุ โขติ สณฺฐานาการํ นิสฺสาย ‘‘ทีโฆ นุ โข อโหสิํ, รสฺสโอทาตกณฺหปฺปมาณิกอปฺปมาณิกาทีนํ อญฺญตโร’’ติ กงฺขติฯ เกจิ ปน ‘‘อิสฺสรนิมฺมานาทิํ นิสฺสาย ‘เกน นุ โข การเณน อโหสิ’นฺติ เหตุโต กงฺขตี’’ติ วทนฺติฯ

    Kathaṃ nu khoti saṇṭhānākāraṃ nissāya ‘‘dīgho nu kho ahosiṃ, rassaodātakaṇhappamāṇikaappamāṇikādīnaṃ aññataro’’ti kaṅkhati. Keci pana ‘‘issaranimmānādiṃ nissāya ‘kena nu kho kāraṇena ahosi’nti hetuto kaṅkhatī’’ti vadanti.

    กิํ หุตฺวา กิํ อโหสินฺติ ชาติอาทีนิ นิสฺสาย ‘‘ขตฺติโย หุตฺวา นุ โข พฺราหฺมโณ อโหสิํ…เป.… เทโว หุตฺวา มนุโสฺส’’ติ อตฺตโน ปรมฺปรํ กงฺขติฯ สพฺพเตฺถว ปน อทฺธานนฺติ กาลาธิวจนเมตํ, ตญฺจ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Kiṃ hutvā kiṃ ahosinti jātiādīni nissāya ‘‘khattiyo hutvā nu kho brāhmaṇo ahosiṃ…pe… devo hutvā manusso’’ti attano paramparaṃ kaṅkhati. Sabbattheva pana addhānanti kālādhivacanametaṃ, tañca bhummatthe upayogavacanaṃ daṭṭhabbaṃ.

    ภวิสฺสามิ นุ โข, น นุ โขติ สสฺสตาการญฺจ อุเจฺฉทาการญฺจ นิสฺสาย อนาคเต อตฺตโน วิชฺชมานตญฺจ อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ

    Bhavissāmi nu kho, na nu khoti sassatākārañca ucchedākārañca nissāya anāgate attano vijjamānatañca avijjamānatañca kaṅkhati. Sesamettha vuttanayameva.

    อหํ นุ โขสฺมีติ อตฺตโน อตฺถิภาวํ กงฺขติฯ ยุตฺตํ ปเนตนฺติ? ยุตฺตํ อยุตฺตนฺติ กา เอตฺถ จินฺตาฯ อปิเจตฺถ อิทํ วตฺถุมฺปิ อุทาหรนฺติ, จูฬมาตาย กิร ปุโตฺต มุโณฺฑ, มหามาตาย ปุโตฺต อมุโณฺฑฯ ตํ สุตฺตํ มุเณฺฑสุํฯ โส อุฎฺฐาย ‘‘อหํ นุ โข จูฬมาตาย ปุโตฺต’’ติ จิเนฺตสิฯ เอวํ ‘‘อหํ นุ โขสฺมี’’ติ กงฺขา โหติฯ

    Ahaṃnu khosmīti attano atthibhāvaṃ kaṅkhati. Yuttaṃ panetanti? Yuttaṃ ayuttanti kā ettha cintā. Apicettha idaṃ vatthumpi udāharanti, cūḷamātāya kira putto muṇḍo, mahāmātāya putto amuṇḍo. Taṃ suttaṃ muṇḍesuṃ. So uṭṭhāya ‘‘ahaṃ nu kho cūḷamātāya putto’’ti cintesi. Evaṃ ‘‘ahaṃ nu khosmī’’ti kaṅkhā hoti.

    โน นุ โขสฺมีติ อตฺตโน นตฺถิภาวํ กงฺขติฯ ตตฺราปิ อิทํ วตฺถุ – เอโก กิร มเจฺฉ คณฺหโนฺต อุทเก จิรฎฺฐาเนน สีติภูตํ อตฺตโน อูรุํ ‘‘มโจฺฉ’’ติ จิเนฺตตฺวา ปหริฯ อปโร สุสานปเสฺส เขตฺตํ รกฺขโนฺต ภีโต สงฺกุฎิโต สยิฯ โส ปฎิพุชฺฌิตฺวา อตฺตโน ชณฺณุกานิ ‘‘เทฺว ยกฺขา’’ติ จิเนฺตตฺวา ปหริ, เอวํ ‘‘โน นุ โขสฺมี’’ติ กงฺขติฯ

    No nu khosmīti attano natthibhāvaṃ kaṅkhati. Tatrāpi idaṃ vatthu – eko kira macche gaṇhanto udake ciraṭṭhānena sītibhūtaṃ attano ūruṃ ‘‘maccho’’ti cintetvā pahari. Aparo susānapasse khettaṃ rakkhanto bhīto saṅkuṭito sayi. So paṭibujjhitvā attano jaṇṇukāni ‘‘dve yakkhā’’ti cintetvā pahari, evaṃ ‘‘no nu khosmī’’ti kaṅkhati.

    กิํ นุ โขสฺมีติ ขตฺติโยว สมาโน อตฺตโน ขตฺติยภาวํ กงฺขติ กโณฺณ วิย สูตปุตฺตสญฺญีฯ เอส นโย เสเสสุฯ เทโว ปน สมาโน เทวภาวํ อชานโนฺต นาม นตฺถิฯ โสปิ ปน ‘‘อหํ รูปี นุ โข อรูปี นุ โข’’ติอาทินา นเยน กงฺขติฯ ขตฺติยาทโย กสฺมา น ชานนฺตีติ เจ? อปฺปจฺจกฺขา เตสํ ตตฺถ ตตฺถ กุเล อุปฺปตฺติฯ คหฎฺฐาปิ จ ปาตลิกาทโย ปพฺพชิตสญฺญิโนฯ ปพฺพชิตาปิ ‘‘กุปฺปํ นุ โข เม กมฺม’’นฺติอาทินา นเยน คหฎฺฐสญฺญิโนฯ มนุสฺสาปิ จ เอกเจฺจ ราชาโน วิย อตฺตนิ เทวสญฺญิโน โหนฺติฯ

    Kiṃ nu khosmīti khattiyova samāno attano khattiyabhāvaṃ kaṅkhati kaṇṇo viya sūtaputtasaññī. Esa nayo sesesu. Devo pana samāno devabhāvaṃ ajānanto nāma natthi. Sopi pana ‘‘ahaṃ rūpī nu kho arūpī nu kho’’tiādinā nayena kaṅkhati. Khattiyādayo kasmā na jānantīti ce? Appaccakkhā tesaṃ tattha tattha kule uppatti. Gahaṭṭhāpi ca pātalikādayo pabbajitasaññino. Pabbajitāpi ‘‘kuppaṃ nu kho me kamma’’ntiādinā nayena gahaṭṭhasaññino. Manussāpi ca ekacce rājāno viya attani devasaññino honti.

    กถํ นุ โขสฺมีติ วุตฺตนยเมวฯ เกวลเญฺหตฺถ อพฺภนฺตเร ชีโว นาม อตฺถีติ คเหตฺวา ตสฺส สณฺฐานาการํ นิสฺสาย ‘‘ทีโฆ นุ โขสฺมิ, รสฺสจตุรสฺสฉฬํสอฎฺฐํสโสฬสํสาทีนํ อญฺญตรปฺปกาโร’’ติ กงฺขโนฺต ‘‘กถํ นุ โขสฺมี’’ติ กงฺขตีติ เวทิตโพฺพฯ สรีรสณฺฐานํ ปน ปจฺจุปฺปนฺนํ อชานโนฺต นาม นตฺถิฯ

    Kathaṃ nu khosmīti vuttanayameva. Kevalañhettha abbhantare jīvo nāma atthīti gahetvā tassa saṇṭhānākāraṃ nissāya ‘‘dīgho nu khosmi, rassacaturassachaḷaṃsaaṭṭhaṃsasoḷasaṃsādīnaṃ aññatarappakāro’’ti kaṅkhanto ‘‘kathaṃ nu khosmī’’ti kaṅkhatīti veditabbo. Sarīrasaṇṭhānaṃ pana paccuppannaṃ ajānanto nāma natthi.

    กุโต อาคโต, โส กุหิํ คามี ภวิสฺสตีติ อตฺตภาวสฺส อาคติคติฎฺฐานํ กงฺขติฯ

    Kuto āgato, so kuhiṃ gāmī bhavissatīti attabhāvassa āgatigatiṭṭhānaṃ kaṅkhati.

    วปยนฺตีติ วิอปยนฺติ, อิการโลเปนายํ นิเทฺทโสฯ พฺยปยนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห ‘‘วปยนฺติ อปคจฺฉนฺตี’’ติฯ อปคมนญฺจ อนุปฺปตฺตินิโรธวเสนาติ อาห ‘‘นิรุชฺฌนฺตี’’ติฯ

    Vapayantīti viapayanti, ikāralopenāyaṃ niddeso. Byapayantīti vuttaṃ hoti. Tenāha ‘‘vapayanti apagacchantī’’ti. Apagamanañca anuppattinirodhavasenāti āha ‘‘nirujjhantī’’ti.

    . กทา ปนสฺส โพธิปกฺขิยธมฺมา จตุสจฺจธมฺมา วา ปาตุภวนฺติ อุปฺปชฺชนฺติ ปกาสนฺตีติ? วิปสฺสนามคฺคญาเณสุ ปวตฺตมาเนสุฯ ตตฺถ วิปสฺสนาญาเณ ตาว วิปสฺสนาญาณสมฺปยุตฺตา สติอาทโย วิปสฺสนาญาณญฺจ ยถารหํ อตฺตโน อตฺตโน วิสเยสุ ตทงฺคปฺปหานวเสน สุภสญฺญาทิเก ปชหนฺตา กายานุปสฺสนาทิวเสน วิสุํ วิสุํ อุปฺปชฺชนฺติฯ มคฺคกฺขเณ ปน เต นิพฺพานมาลมฺพิตฺวา สมุเจฺฉทวเสน ปฎิปเกฺข ปชหนฺตา จตูสุปิ อริยสเจฺจสุ อสโมฺมหปฎิเวธสาธนวเสน สกิเทว อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ ตาเวตฺถ โพธิปกฺขิยธมฺมานํ อุปฺปชฺชนเฎฺฐน ปาตุภาโว เวทิตโพฺพฯ อริยสจฺจธมฺมานํ ปน โลกิยานํ วิปสฺสนากฺขเณ วิปสฺสนาย อารมฺมณกรณวเสน โลกุตฺตรานํ ตทธิมุตฺตตาวเสน มคฺคกฺขเณ นิโรธสจฺจสฺส อารมฺมณาภิสมยวเสน สเพฺพสมฺปิ กิจฺจาภิสมยวเสน ปากฎภาวโต ปกาสนเฎฺฐน ปาตุภาโว เวทิตโพฺพฯ

    3. Kadā panassa bodhipakkhiyadhammā catusaccadhammā vā pātubhavanti uppajjanti pakāsantīti? Vipassanāmaggañāṇesu pavattamānesu. Tattha vipassanāñāṇe tāva vipassanāñāṇasampayuttā satiādayo vipassanāñāṇañca yathārahaṃ attano attano visayesu tadaṅgappahānavasena subhasaññādike pajahantā kāyānupassanādivasena visuṃ visuṃ uppajjanti. Maggakkhaṇe pana te nibbānamālambitvā samucchedavasena paṭipakkhe pajahantā catūsupi ariyasaccesu asammohapaṭivedhasādhanavasena sakideva uppajjanti. Evaṃ tāvettha bodhipakkhiyadhammānaṃ uppajjanaṭṭhena pātubhāvo veditabbo. Ariyasaccadhammānaṃ pana lokiyānaṃ vipassanākkhaṇe vipassanāya ārammaṇakaraṇavasena lokuttarānaṃ tadadhimuttatāvasena maggakkhaṇe nirodhasaccassa ārammaṇābhisamayavasena sabbesampi kiccābhisamayavasena pākaṭabhāvato pakāsanaṭṭhena pātubhāvo veditabbo.

    อิติ ภควา สติปิ สพฺพากาเรน สพฺพธมฺมานํ อตฺตโน ญาณสฺส ปากฎภาเว ปฎิจฺจสมุปฺปาทมุเขน วิปสฺสนาภินิเวสสฺส กตตฺตา นิปุณคมฺภีรสุทุทฺทสตาย ปจฺจยาการสฺส ตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อุปฺปนฺนพลวโสมนโสฺส ปฎิปกฺขสมุเจฺฉทวิภาวเนน สทฺธิํ อตฺตโน ตทภิสมยานุภาวทีปกเมเวตฺถ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Iti bhagavā satipi sabbākārena sabbadhammānaṃ attano ñāṇassa pākaṭabhāve paṭiccasamuppādamukhena vipassanābhinivesassa katattā nipuṇagambhīrasududdasatāya paccayākārassa taṃ paccavekkhitvā uppannabalavasomanasso paṭipakkhasamucchedavibhāvanena saddhiṃ attano tadabhisamayānubhāvadīpakamevettha udānaṃ udānesi.

    ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา’’ติอาทินา นเยน วุตฺตปฺปการํ มารเสนนฺติ –

    ‘‘Kāmāte paṭhamā senā’’tiādinā nayena vuttappakāraṃ mārasenanti –

    ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา, ทุติยา อรติ วุจฺจติ;

    ‘‘Kāmā te paṭhamā senā, dutiyā arati vuccati;

    ตติยา ขุปฺปิปาสา เต, จตุตฺถี ตณฺหา ปวุจฺจติฯ

    Tatiyā khuppipāsā te, catutthī taṇhā pavuccati.

    ‘‘ปญฺจมี ถินมิทฺธํ เต, ฉฎฺฐา ภีรู ปวุจฺจติ;

    ‘‘Pañcamī thinamiddhaṃ te, chaṭṭhā bhīrū pavuccati;

    สตฺตมี วิจิกิจฺฉา เต, มโกฺข ถโมฺภ จ อฎฺฐมาฯ

    Sattamī vicikicchā te, makkho thambho ca aṭṭhamā.

    ‘‘ลาโภ สิโลโก สกฺกาโร, มิจฺฉาลโทฺธ จ โย ยโส;

    ‘‘Lābho siloko sakkāro, micchāladdho ca yo yaso;

    โย จตฺตานํ สมุกฺกํเส, ปเร จ อวชานติฯ

    Yo cattānaṃ samukkaṃse, pare ca avajānati.

    ‘‘เอสา นมุจิ เต เสนา, กณฺหสฺสาภิปฺปหารินี;

    ‘‘Esā namuci te senā, kaṇhassābhippahārinī;

    น นํ อสูโร ชินาติ, เชตฺวา จ ลภเต สุข’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๔๓๘-๔๔๑; มหานิ. ๒๘) –

    Na naṃ asūro jināti, jetvā ca labhate sukha’’nti. (su. ni. 438-441; mahāni. 28) –

    อิมินา นเยน วุตฺตปฺปการํ มารเสนํฯ

    Iminā nayena vuttappakāraṃ mārasenaṃ.

    ตตฺถ (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔๓๙-๔๑; มหานิ. อฎฺฐ. ๒๘) ยสฺมา อาทิโตว อคาริยภูเต สเตฺต วตฺถุกาเมสุ กิเลสกามา โมหยนฺติ, เต อภิภุยฺย อนคาริยภาวํ อุปคตานํ ปเนฺตสุ วา เสนาสเนสุ อญฺญตรญฺญตเรสุ วา อธิกุสเลสุ ธเมฺมสุ อรติ อุปฺปชฺชติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ปพฺพชิเตน โข, อาวุโส, อภิรติ ทุกฺกรา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๓๑)ฯ ตโต เต ปรปฎิพทฺธชีวิกตฺตา ขุปฺปิปาสา พาธติ, ตาย พาธิตานํ ปริเยสน ตณฺหา จิตฺตํ กิลมยติ, อถ เนสํ กิลนฺตจิตฺตานํ ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, ตโต วิเสสมนธิคจฺฉนฺตานํ ทุรภิสมฺภเวสุ อรญฺญวนปเตฺถสุ เสนาสเนสุ วิหรตํ อุตฺราสสญฺญิตา ภีรุ ชายติ, เตสํ อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิตานํ ทีฆรตฺตํ วิเวกรสมนสฺสาทยมานานํ วิหรตํ ‘‘น สิยา นุ โข เอส มโคฺค’’ติ ปฎิปตฺติยํ วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติ, ตํ วิโนเทตฺวา วิหรตํ อปฺปมตฺตเกน วิเสสาธิคเมน มานมกฺขถมฺภา ชายนฺติ, เตปิ วิโนเทตฺวา วิหรตํ ตโต อธิกตรํ วิเสสาธิคมํ นิสฺสาย ลาภสกฺการสิโลกา อุปฺปชฺชนฺติ, ลาภาทิมุจฺฉิตา ธมฺมปติรูปกานิ ปกาเสนฺตา มิจฺฉายสํ อธิคนฺตฺวา ตตฺถ ฐิตา ชาติอาทีหิ อตฺตานํ อุกฺกํเสนฺติ ปรํ วเมฺภนฺติ, ตสฺมา กามาทีนํ ปฐมเสนาทิภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Tattha (su. ni. aṭṭha. 2.439-41; mahāni. aṭṭha. 28) yasmā āditova agāriyabhūte satte vatthukāmesu kilesakāmā mohayanti, te abhibhuyya anagāriyabhāvaṃ upagatānaṃ pantesu vā senāsanesu aññataraññataresu vā adhikusalesu dhammesu arati uppajjati. Vuttampi cetaṃ ‘‘pabbajitena kho, āvuso, abhirati dukkarā’’ti (saṃ. ni. 4.331). Tato te parapaṭibaddhajīvikattā khuppipāsā bādhati, tāya bādhitānaṃ pariyesana taṇhā cittaṃ kilamayati, atha nesaṃ kilantacittānaṃ thinamiddhaṃ okkamati, tato visesamanadhigacchantānaṃ durabhisambhavesu araññavanapatthesu senāsanesu viharataṃ utrāsasaññitā bhīru jāyati, tesaṃ ussaṅkitaparisaṅkitānaṃ dīgharattaṃ vivekarasamanassādayamānānaṃ viharataṃ ‘‘na siyā nu kho esa maggo’’ti paṭipattiyaṃ vicikicchā uppajjati, taṃ vinodetvā viharataṃ appamattakena visesādhigamena mānamakkhathambhā jāyanti, tepi vinodetvā viharataṃ tato adhikataraṃ visesādhigamaṃ nissāya lābhasakkārasilokā uppajjanti, lābhādimucchitā dhammapatirūpakāni pakāsentā micchāyasaṃ adhigantvā tattha ṭhitā jātiādīhi attānaṃ ukkaṃsenti paraṃ vambhenti, tasmā kāmādīnaṃ paṭhamasenādibhāvo veditabbo.

    เอวเมตํ ทสวิธํ เสนํ อุทฺทิสิตฺวา ยสฺมา สา กณฺหธมฺมสมนฺนาคตตฺตา กณฺหสฺส นมุจิโน อุปการาย สํวตฺตติ, ตสฺมา นํ ‘‘ตว เสนา’’ติ นิทฺทิสเนฺตน ‘‘เอสา นมุจิ เต เสนา, กณฺหสฺสาภิปฺปหารินี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อภิปฺปหารินีติ สมณพฺราหฺมณานํ ฆาตนี นิโปฺปถนี, อนฺตรายกรีติ อโตฺถฯ น นํ อสูโร ชินาติ, เชตฺวา จ ลภเต สุขนฺติ เอวํ ตว เสนํ อสูโร กาเย จ ชีวิเต จ สาเปโกฺข ปุริโส น ชินาติ, สูโร ปน ชินาติ, เชตฺวา จ มคฺคสุขํ ผลสุขญฺจ อธิคจฺฉตีติ อโตฺถฯ โสปิ พฺราหฺมโณติ โสปิ ขีณาสวพฺราหฺมโณฯ

    Evametaṃ dasavidhaṃ senaṃ uddisitvā yasmā sā kaṇhadhammasamannāgatattā kaṇhassa namucino upakārāya saṃvattati, tasmā naṃ ‘‘tava senā’’ti niddisantena ‘‘esā namuci te senā, kaṇhassābhippahārinī’’ti vuttaṃ. Tattha abhippahārinīti samaṇabrāhmaṇānaṃ ghātanī nippothanī, antarāyakarīti attho. Na naṃ asūro jināti, jetvā ca labhate sukhanti evaṃ tava senaṃ asūro kāye ca jīvite ca sāpekkho puriso na jināti, sūro pana jināti, jetvā ca maggasukhaṃ phalasukhañca adhigacchatīti attho. Sopi brāhmaṇoti sopi khīṇāsavabrāhmaṇo.

    อิทานิ ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภควา สตฺตาหํ เอกปลฺลเงฺกน นิสิโนฺน โหติ วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทีฯ อถ โข ภควา ตสฺส สตฺตาหสฺส อจฺจเยน ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฎฺฐหิตฺวา รตฺติยา ปฐมํ ยามํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ อนุโลมํ สาธุกํ มนสากาสิฯ รตฺติยา มชฺฌิมํ ยามํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปฎิโลมํ สาธุกํ มนสากาสิฯ รตฺติยา ปจฺฉิมํ ยามํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ อนุโลมปฎิโลมํ สาธุกํ มนสากาสี’’ติ เอวํ วุตฺตาย อุทานปาฬิยา (อุทา. ๑) อิมิสฺสา จ ขนฺธกปาฬิยา อวิโรธํ ทเสฺสตุํ ‘‘อุทาเน ปนา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ เอตฺถ ตสฺส วเสนาติ ตสฺส ปจฺจยาการปชานนสฺส ปจฺจยกฺขยาธิคมสฺส จ วเสนฯ เอเกกเมว โกฎฺฐาสนฺติ อนุโลมปฎิโลเมสุ เอเกกเมว โกฎฺฐาสํฯ ปาฎิปทรตฺติยา เอวํ มนสากาสีติ รตฺติยา ตีสุปิ ยาเมสุ อนุโลมปฎิโลมํเยว มนสากาสิฯ ภควา กิร ฐเปตฺวา รตนฆรสตฺตาหํ เสเสสุ ฉสุ สตฺตาเหสุ อนฺตรนฺตรา ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา เยภุเยฺยน วิมุตฺติสุขปฎิสํเวที วิหาสิ, รตนฆรสตฺตาเห ปน อภิธมฺมปวิจยวเสเนว วิหาสิฯ ตสฺมา อนฺตรนฺตรา ธมฺมปจฺจเวกฺขณวเสน อุปฺปาทิตมนสิกาเรสุ ปาฎิปทรตฺติยา อุปฺปาทิตํ มนสิการํ สนฺธาย อิมิสฺสํ ขนฺธกปาฬิยํ เอวํ วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    Idāni ‘‘tena kho pana samayena bhagavā sattāhaṃ ekapallaṅkena nisinno hoti vimuttisukhapaṭisaṃvedī. Atha kho bhagavā tassa sattāhassa accayena tamhā samādhimhā vuṭṭhahitvā rattiyā paṭhamaṃ yāmaṃ paṭiccasamuppādaṃ anulomaṃ sādhukaṃ manasākāsi. Rattiyā majjhimaṃ yāmaṃ paṭiccasamuppādaṃ paṭilomaṃ sādhukaṃ manasākāsi. Rattiyā pacchimaṃ yāmaṃ paṭiccasamuppādaṃ anulomapaṭilomaṃ sādhukaṃ manasākāsī’’ti evaṃ vuttāya udānapāḷiyā (udā. 1) imissā ca khandhakapāḷiyā avirodhaṃ dassetuṃ ‘‘udāne panā’’tiādi āraddhaṃ. Ettha tassa vasenāti tassa paccayākārapajānanassa paccayakkhayādhigamassa ca vasena. Ekekameva koṭṭhāsanti anulomapaṭilomesu ekekameva koṭṭhāsaṃ. Pāṭipadarattiyā evaṃ manasākāsīti rattiyā tīsupi yāmesu anulomapaṭilomaṃyeva manasākāsi. Bhagavā kira ṭhapetvā ratanagharasattāhaṃ sesesu chasu sattāhesu antarantarā dhammaṃ paccavekkhitvā yebhuyyena vimuttisukhapaṭisaṃvedī vihāsi, ratanagharasattāhe pana abhidhammapavicayavaseneva vihāsi. Tasmā antarantarā dhammapaccavekkhaṇavasena uppāditamanasikāresu pāṭipadarattiyā uppāditaṃ manasikāraṃ sandhāya imissaṃ khandhakapāḷiyaṃ evaṃ vuttanti adhippāyo.

    โพธิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bodhikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๑. โพธิกถา • 1. Bodhikathā

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / โพธิกถา • Bodhikathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / โพธิกถาวณฺณนา • Bodhikathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / โพธิกถาวณฺณนา • Bodhikathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑. โพธิกถา • 1. Bodhikathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact