Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๘๕
The Middle-Length Suttas Collection 85
โพธิราชกุมารสุตฺต
With Prince Bodhi
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา ภคฺเคสุ วิหรติ สุสุมารคิเร เภสกฬาวเน มิคทาเยฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying in the land of the Bhaggas on Crocodile Hill, in the deer park at Bhesakaḷā’s Wood.
เตน โข ปน สมเยน โพธิสฺส ราชกุมารสฺส โกกนโท นาม ปาสาโท อจิรการิโต โหติ อนชฺฌาวุฏฺโฐ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เกนจิ วา มนุสฺสภูเตนฯ
Now at that time a new stilt longhouse named Pink Lotus had recently been constructed for Prince Bodhi. It had not yet been occupied by an ascetic or brahmin or any person at all.
อถ โข โพธิ ราชกุมาโร สญฺชิกาปุตฺตํ มาณวํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, เยน ภควา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วนฺท, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ: ‘โพธิ, ภนฺเต, ราชกุมาโร ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี'ติฯ เอวญฺจ วเทหิ: ‘อธิวาเสตุ กิร, ภนฺเต, ภควา โพธิสฺส ราชกุมารสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา'”ติฯ
Then Prince Bodhi addressed the brahmin student Sañjikāputta, “Please, dear Sañjikāputta, go to the Buddha, and in my name bow with your head to his feet. Ask him if he is healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. And then ask him whether he might accept tomorrow’s meal from me together with the bhikkhu Saṅgha.”
“เอวํ, โภ”ติ โข สญฺชิกาปุตฺโต มาณโว โพธิสฺส ราชกุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข สญฺชิกาปุตฺโต มาณโว ภควนฺตํ เอตทโวจ: “โพธิ โข ราชกุมาโร โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติฯ เอวญฺจ วเทติ: ‘อธิวาเสตุ กิร ภวํ โคตโม โพธิสฺส ราชกุมารสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา'”ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ
“Yes, sir,” Sañjikāputta replied. He did as Prince Bodhi asked, and the Buddha consented with silence.
อถ โข สญฺชิกาปุตฺโต มาณโว ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา เยน โพธิ ราชกุมาโร เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา โพธึ ราชกุมารํ เอตทโวจ: “อโวจุมฺห โภโต วจเนน ตํ ภวนฺตํ โคตมํ: ‘โพธิ โข ราชกุมาโร โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติฯ เอวญฺจ วเทติ—อธิวาเสตุ กิร ภวํ โคตโม โพธิสฺส ราชกุมารสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา'ติฯ อธิวุฏฺฐญฺจ ปน สมเณน โคตเมนา”ติฯ
Then, knowing that the Buddha had consented, Sañjikāputta got up from his seat, went to Prince Bodhi, and said, “I gave the ascetic Gotama your message, and he accepted.”
อถ โข โพธิ ราชกุมาโร ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก นิเวสเน ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยาทาเปตฺวา, โกกนทญฺจ ปาสาทํ โอทาเตหิ ทุเสฺสหิ สนฺถราเปตฺวา ยาว ปจฺฉิมโสปานกเฬวรา, สญฺชิกาปุตฺตํ มาณวํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, เยน ภควา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต กาลํ อาโรเจหิ: ‘กาโล, ภนฺเต, นิฏฺฐิตํ ภตฺตนฺ'”ติฯ
And when the night had passed Prince Bodhi had delicious fresh and cooked foods prepared in his own home. He also had the Pink Lotus longhouse spread with white cloth down to the last step of the staircase. Then he said to Sañjikāputta, “Please, dear Sañjikāputta, go to the Buddha, and announce the time, saying, ‘Sir, it’s time. The meal is ready.’”
“เอวํ, โภ”ติ โข สญฺชิกาปุตฺโต มาณโว โพธิสฺส ราชกุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต กาลํ อาโรเจสิ: “กาโล, โภ โคตม, นิฏฺฐิตํ ภตฺตนฺ”ติฯ
“Yes, sir,” Sañjikāputta replied, and he did as he was asked.
อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน โพธิสฺส ราชกุมารสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิฯ
Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, went to Prince Bodhi’s home.
เตน โข ปน สมเยน โพธิ ราชกุมาโร พหิทฺวารโกฏฺฐเก ฐิโต โหติ ภควนฺตํ อาคมยมาโนฯ อทฺทสา โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปุรกฺขตฺวา เยน โกกนโท ปาสาโท เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข ภควา ปจฺฉิมํ โสปานกเฬวรํ นิสฺสาย อฏฺฐาสิฯ
Now at that time Prince Bodhi was standing outside the gates waiting for the Buddha. Seeing the Buddha coming off in the distance, he went out to greet him. After bowing and inviting the Buddha to go first, he approached the Pink Lotus longhouse. But the Buddha stopped by the last step of the staircase.
อถ โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อภิรุหตุ, ภนฺเต, ภควา ทุสฺสานิ, อภิรุหตุ สุคโต ทุสฺสานิ; ยํ มม อสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา”ติฯ เอวํ วุตฺเต, ภควา ตุณฺหี อโหสิฯ
Then Prince Bodhi said to him, “Sir, let the Blessed One ascend on the cloth! Let the Holy One ascend on the cloth! It will be for my lasting welfare and happiness.” But when he said this, the Buddha kept silent.
ทุติยมฺปิ โข …เป… ตติยมฺปิ โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อภิรุหตุ, ภนฺเต, ภควา ทุสฺสานิ, อภิรุหตุ สุคโต ทุสฺสานิ; ยํ มม อสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา”ติฯ
For a second time … and a third time, Prince Bodhi said to him, “Sir, let the Blessed One ascend on the cloth! Let the Holy One ascend on the cloth! It will be for my lasting welfare and happiness.”
อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อปโลเกสิฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท โพธึ ราชกุมารํ เอตทโวจ: “สํหรตุ, ราชกุมาร, ทุสฺสานิ; น ภควา เจลปฏิกํ อกฺกมิสฺสติฯ ปจฺฉิมํ ชนตํ ตถาคโต อนุกมฺปตี”ติฯ
Then the Buddha glanced at Venerable Ānanda. So Ānanda said to Prince Bodhi, “Fold up the cloth, Prince. The Buddha will not step upon white cloth. The Realized One has compassion for future generations.”
อถ โข โพธิ ราชกุมาโร ทุสฺสานิ สํหราเปตฺวา อุปริโกกนทปาสาเท อาสนานิ ปญฺญเปสิฯ อถ โข ภควา โกกนทํ ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนฯ
So Prince Bodhi had the cloth folded up and the seats spread out upstairs in the longhouse. Then the Buddha ascended the longhouse and sat on the seats spread out together with the Saṅgha of bhikkhus.
อถ โข โพธิ ราชกุมาโร พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตปฺเปสิ สมฺปวาเรสิฯ อถ โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ ภุตฺตาวึ โอนีตปตฺตปาณึ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ: “มยฺหํ โข, ภนฺเต, เอวํ โหติ: ‘น โข สุเขน สุขํ อธิคนฺตพฺพํ, ทุกฺเขน โข สุขํ อธิคนฺตพฺพนฺ'”ติฯ
Then Prince Bodhi served and satisfied the bhikkhu Saṅgha headed by the Buddha with his own hands with delicious fresh and cooked foods. When the Buddha had eaten and washed his hand and bowl, Prince Bodhi took a low seat, sat to one side, and said to him, “Sir, this is what I think: ‘Pleasure is not gained through pleasure; pleasure is gained through pain.’”
“มยฺหมฺปิ โข, ราชกุมาร, ปุพฺเพว สมฺโพธา อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตเสฺสว สโต เอตทโหสิ: ‘น โข สุเขน สุขํ อธิคนฺตพฺพํ, ทุกฺเขน โข สุขํ อธิคนฺตพฺพนฺ'ติฯ
“Prince, before my awakening—when I was still unawakened but intent on awakening—I too thought: ‘Pleasure is not gained through pleasure; pleasure is gained through pain.’
โส โข อหํ, ราชกุมาร, อปเรน สมเยน ทหโรว สมาโน สุสุกาฬเกโส ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต ปฐเมน วยสา อกามกานํ มาตาปิตูนํ อสฺสุมุขานํ รุทนฺตานํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชึฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กิงฺกุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ: ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส กาลาม, อิมสฺมึ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุนฺ'ติฯ
Some time later, while still black-haired, blessed with youth, in the prime of life—though my mother and father wished otherwise, weeping with tearful faces—I shaved off my hair and beard, dressed in ocher robes, and went forth from the lay life to homelessness. Once I had gone forth I set out to discover what is skillful, seeking the supreme state of sublime peace. I approached Āḷāra Kālāma and said to him, ‘Friend Kālāma, I wish to lead the spiritual life in this teaching and training.’
เอวํ วุตฺเต, ราชกุมาร, อาฬาโร กาลาโม มํ เอตทโวจ: ‘วิหรตายสฺมา, ตาทิโส อยํ ธมฺโม ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส นจิรเสฺสว สกํ อาจริยกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา'ติฯ
Āḷāra Kālāma replied, ‘Stay, venerable. This teaching is such that a sensible person can soon realize their own tradition with their own insight and live having achieved it.’
โส โข อหํ, ราชกุมาร, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณึฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตาวตเกเนว โอฏฺฐปหตมตฺเตน ลปิตลาปนมตฺเตน ญาณวาทญฺจ วทามิ, เถรวาทญฺจ ชานามิ ปสฺสามีติ จ ปฏิชานามิ, อหญฺเจว อญฺเญ จฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘น โข อาฬาโร กาลาโม อิมํ ธมฺมํ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ; อทฺธา อาฬาโร กาลาโม อิมํ ธมฺมํ ชานํ ปสฺสํ วิหรตี'ติฯ
I quickly memorized that teaching. So far as lip-recital and oral recitation were concerned, I spoke with knowledge and the authority of the elders. I claimed to know and see, and so did others. Then it occurred to me, ‘It is not solely by mere faith that Āḷāra Kālāma declares: “I realize this teaching with my own insight, and live having achieved it.” Surely he meditates knowing and seeing this teaching.’
อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ: ‘กิตฺตาวตา โน, อาวุโส กาลาม, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสี'ติ? เอวํ วุตฺเต, ราชกุมาร, อาฬาโร กาลาโม อากิญฺจญฺญายตนํ ปเวเทสิฯ
So I approached Āḷāra Kālāma and said to him, ‘Friend Kālāma, to what extent do you say you’ve realized this teaching with your own insight?’ When I said this, he declared the dimension of nothingness.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ สทฺธา, มยฺหมฺปตฺถิ สทฺธา; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ วีริยํ …เป… สติ … สมาธิ … ปญฺญา, มยฺหมฺปตฺถิ ปญฺญาฯ ยนฺนูนาหํ ยํ ธมฺมํ อาฬาโร กาลาโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ ตสฺส ธมฺมสฺส สจฺฉิกิริยาย ปทเหยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสึฯ
Then it occurred to me, ‘It’s not just Āḷāra Kālāma who has faith, energy, mindfulness, immersion, and wisdom; I too have these things. Why don’t I make an effort to realize the same teaching that Āḷāra Kālāma says he has realized with his own insight?’ I quickly realized that teaching with my own insight, and lived having achieved it.
อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ: ‘เอตฺตาวตา โน, อาวุโส กาลาม, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี'ติ?
So I approached Āḷāra Kālāma and said to him, ‘Friend Kālāma, have you realized this teaching with your own insight up to this point, and declare having achieved it?’
‘เอตฺตาวตา โข อหํ, อาวุโส, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมี'ติฯ
‘I have, friend.’
‘อหมฺปิ โข, อาวุโส, เอตฺตาวตา อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ
‘I too have realized this teaching with my own insight up to this point, and live having achieved it.’
‘ลาภา โน, อาวุโส, สุลทฺธํ โน, อาวุโส, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ตาทิสํ สพฺรหฺมจารึ ปสฺสามฯ อิติ ยาหํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมิ, ตํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิฯ ยํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิ, ตมหํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมิฯ อิติ ยาหํ ธมฺมํ ชานามิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ; ยํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ ตมหํ ธมฺมํ ชานามิฯ อิติ ยาทิโส อหํ, ตาทิโส ตุวํ; ยาทิโส ตุวํ ตาทิโส อหํฯ เอหิ ทานิ, อาวุโส, อุโภว สนฺตา อิมํ คณํ ปริหรามา'ติฯ อิติ โข, ราชกุมาร, อาฬาโร กาลาโม อาจริโย เม สมาโน อตฺตโน อนฺเตวาสึ มํ สมานํ อตฺตนา สมสมํ ฐเปสิ, อุฬาราย จ มํ ปูชาย ปูเชสิฯ
‘We are fortunate, friend, so very fortunate to see a venerable such as yourself as one of our spiritual companions! So the teaching that I’ve realized with my own insight, and declare having achieved it, you’ve realized with your own insight, and live having achieved it. The teaching that you’ve realized with your own insight, and live having achieved it, I’ve realized with my own insight, and declare having achieved it. So the teaching that I know, you know, and the teaching you know, I know. I am like you and you are like me. Come now, friend! We should both lead this community together.’ And that is how my teacher Āḷāra Kālāma placed me, his student, on the same position as him, and honored me with lofty praise.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘นายํ ธมฺโม นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สมฺโพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว อากิญฺจญฺญายตนูปปตฺติยา'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตํ ธมฺมํ อนลงฺกริตฺวา ตสฺมา ธมฺมา นิพฺพิชฺช อปกฺกมึฯ
Then it occurred to me, ‘This teaching doesn’t lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. It only leads as far as rebirth in the dimension of nothingness.’ Realizing that this teaching was inadequate, I left disappointed.
โส โข อหํ, ราชกุมาร, กิงฺกุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน เยน อุทโก รามปุตฺโต เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ: ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส, อิมสฺมึ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุนฺ'ติฯ
I set out to discover what is skillful, seeking the supreme state of sublime peace. I approached Uddaka, son of Rāma, and said to him, ‘Friend, I wish to lead the spiritual life in this teaching and training.’
เอวํ วุตฺเต, ราชกุมาร, อุทโก รามปุตฺโต มํ เอตทโวจ: ‘วิหรตายสฺมา, ตาทิโส อยํ ธมฺโม ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส นจิรเสฺสว สกํ อาจริยกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา'ติฯ
Uddaka replied, ‘Stay, venerable. This teaching is such that a sensible person can soon realize their own tradition with their own insight and live having achieved it.’
โส โข อหํ, ราชกุมาร, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณึฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตาวตเกเนว โอฏฺฐปหตมตฺเตน ลปิตลาปนมตฺเตน ญาณวาทญฺจ วทามิ, เถรวาทญฺจ ชานามิ ปสฺสามีติ จ ปฏิชานามิ, อหญฺเจว อญฺเญ จฯ
I quickly memorized that teaching. So far as lip-recital and oral recitation were concerned, I spoke with knowledge and the authority of the elders. I claimed to know and see, and so did others.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘น โข ราโม อิมํ ธมฺมํ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสิ; อทฺธา ราโม อิมํ ธมฺมํ ชานํ ปสฺสํ วิหาสี'ติฯ
Then it occurred to me, ‘It is not solely by mere faith that Rāma declared: “I realize this teaching with my own insight, and live having achieved it.” Surely he meditated knowing and seeing this teaching.’
อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, เยน อุทโก รามปุตฺโต เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ: ‘กิตฺตาวตา โน, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสี'ติ? เอวํ วุตฺเต, ราชกุมาร, อุทโก รามปุตฺโต เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ปเวเทสิฯ
So I approached Uddaka, son of Rāma, and said to him, ‘Friend, to what extent did Rāma say he’d realized this teaching with his own insight?’ When I said this, Uddaka, son of Rāma, declared the dimension of neither perception nor non-perception.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘น โข รามเสฺสว อโหสิ สทฺธา, มยฺหมฺปตฺถิ สทฺธา; น โข รามเสฺสว อโหสิ วีริยํ …เป… สติ … สมาธิ … ปญฺญา, มยฺหมฺปตฺถิ ปญฺญาฯ ยนฺนูนาหํ ยํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ ตสฺส ธมฺมสฺส สจฺฉิกิริยาย ปทเหยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสึฯ
Then it occurred to me, ‘It’s not just Rāma who had faith, energy, mindfulness, immersion, and wisdom; I too have these things. Why don’t I make an effort to realize the same teaching that Rāma said he had realized with his own insight?’ I quickly realized that teaching with my own insight, and lived having achieved it.
อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, เยน อุทโก รามปุตฺโต เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ: ‘เอตฺตาวตา โน, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี'ติ?
So I approached Uddaka, son of Rāma, and said to him, ‘Friend, had Rāma realized this teaching with his own insight up to this point, and declared having achieved it?’
‘เอตฺตาวตา โข, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี'ติฯ
‘He had, friend.’
‘อหมฺปิ โข, อาวุโส, เอตฺตาวตา อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ
‘I too have realized this teaching with my own insight up to this point, and live having achieved it.’
‘ลาภา โน, อาวุโส, สุลทฺธํ โน, อาวุโส, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ตาทิสํ สพฺรหฺมจารึ ปสฺสามฯ อิติ ยํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิฯ ยํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิ ตํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสิฯ อิติ ยํ ธมฺมํ ราโม อภิญฺญาสิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ; ยํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ ตํ ธมฺมํ ราโม อภิญฺญาสิฯ อิติ ยาทิโส ราโม อโหสิ ตาทิโส ตุวํ, ยาทิโส ตุวํ ตาทิโส ราโม อโหสิฯ เอหิ ทานิ, อาวุโส, ตุวํ อิมํ คณํ ปริหรา'ติฯ อิติ โข, ราชกุมาร, อุทโก รามปุตฺโต สพฺรหฺมจารี เม สมาโน อาจริยฏฺฐาเน มํ ฐเปสิ, อุฬาราย จ มํ ปูชาย ปูเชสิฯ
‘We are fortunate, friend, so very fortunate to see a venerable such as yourself as one of our spiritual companions! So the teaching that Rāma had realized with his own insight, and declared having achieved it, you've realized with your own insight, and live having achieved it. The teaching that you’ve realized with your own insight, and live having achieved it, Rāma had realized with his own insight, and declared having achieved it. So the teaching that Rāma directly knew, you know, and the teaching you know, Rāma directly knew. Rāma was like you and you are like Rāma. Come now, friend! You should lead this community.’ And that is how my spiritual companion Uddaka, son of Rāma, placed me in the position of a teacher, and honored me with lofty praise.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘นายํ ธมฺโม นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สมฺโพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปปตฺติยา'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตํ ธมฺมํ อนลงฺกริตฺวา ตสฺมา ธมฺมา นิพฺพิชฺช อปกฺกมึฯ
Then it occurred to me, ‘This teaching doesn’t lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. It only leads as far as rebirth in the dimension of neither perception nor non-perception.’ Realizing that this teaching was inadequate, I left disappointed.
โส โข อหํ, ราชกุมาร, กิงฺกุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน, มคเธสุ อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน, เยน อุรุเวลา เสนานิคโม ตทวสรึฯ ตตฺถทฺทสํ รมณียํ ภูมิภาคํ, ปาสาทิกญฺจ วนสณฺฑํ, นทิญฺจ สนฺทนฺตึ เสตกํ สุปติตฺถํ, รมณียํ สมนฺตา จ โคจรคามํฯ
I set out to discover what is skillful, seeking the supreme state of sublime peace. Traveling stage by stage in the Magadhan lands, I arrived at Senānigama near Uruvelā. There I saw a delightful park, a lovely grove with a flowing river that was clean and charming, with smooth banks. And nearby was a village for alms.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘รมณีโย วต โภ ภูมิภาโค, ปาสาทิโก จ วนสณฺโฑ, นที จ สนฺทติ เสตกา สุปติตฺถา, รมณียา สมนฺตา จ โคจรคาโมฯ อลํ วติทํ กุลปุตฺตสฺส ปธานตฺถิกสฺส ปธานายา'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตตฺเถว นิสีทึ: ‘อลมิทํ ปธานายา'ติฯ
Then it occurred to me, ‘This park is truly delightful, a lovely grove with a flowing river that’s clean and charming, with smooth banks. And nearby there’s a village for alms. This is good enough for a gentleman who wishes to put forth effort in meditation.’ So I sat down right there, thinking, ‘This is good enough for meditation.’
อปิสฺสุ มํ, ราชกุมาร, ติโสฺส อุปมา ปฏิภํสุ อนจฺฉริยา ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพาฯ
And then these three examples, which were neither supernaturally inspired, nor learned before in the past, occurred to me.
เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, อลฺลํ กฏฺฐํ สเสฺนหํ อุทเก นิกฺขิตฺตํฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย อุตฺตรารณึ อาทาย: ‘อคฺคึ อภินิพฺพตฺเตสฺสามิ, เตโช ปาตุกริสฺสามี'ติฯ ตํ กึ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส อมุํ อลฺลํ กฏฺฐํ สเสฺนหํ อุทเก นิกฺขิตฺตํ อุตฺตรารณึ อาทาย อภิมนฺเถนฺโต อคฺคึ อภินิพฺพตฺเตยฺย, เตโช ปาตุกเรยฺยา”ติ?
Suppose there was a green, sappy log, and it was lying in water. Then a person comes along with a drill-stick, thinking to light a fire and produce heat. What do you think, Prince? By drilling the stick against that green, sappy log lying in water, could they light a fire and produce heat?”
“โน หิทํ, ภนฺเตฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อทุญฺหิ, ภนฺเต, อลฺลํ กฏฺฐํ สเสฺนหํ ตญฺจ ปน อุทเก นิกฺขิตฺตํ, ยาวเทว จ ปน โส ปุริโส กิลมถสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา”ติฯ
“No, sir. Why is that? Because it’s a green, sappy log, and it’s lying in the water. That person will eventually get weary and frustrated.”
“เอวเมว โข, ราชกุมาร, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กาเยน เจว จิตฺเตน จ กาเมหิ อวูปกฏฺฐา วิหรนฺติ, โย จ เนสํ กาเมสุ กามจฺฉนฺโท กามเสฺนโห กามมุจฺฉา กามปิปาสา กามปริฬาโห โส จ อชฺฌตฺตํ น สุปฺปหีโน โหติ, น สุปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธฯ โอปกฺกมิกา เจปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยนฺติ, อภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สมฺโพธายฯ โน เจปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยนฺติ, อภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สมฺโพธายฯ อยํ โข มํ, ราชกุมาร, ปฐมา อุปมา ปฏิภาสิ อนจฺฉริยา ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพาฯ
“In the same way, there are ascetics and brahmins who don’t live withdrawn in body and mind from sensual pleasures. They haven’t internally given up or stilled desire, affection, infatuation, thirst, and passion for sensual pleasures. Regardless of whether or not they suffer painful, sharp, severe, acute feelings because of their efforts, they are incapable of knowledge and vision, of supreme awakening. This was the first example that occurred to me.
อปราปิ โข มํ, ราชกุมาร, ทุติยา อุปมา ปฏิภาสิ อนจฺฉริยา ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพาฯ
Then a second example occurred to me.
เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, อลฺลํ กฏฺฐํ สเสฺนหํ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย อุตฺตรารณึ อาทาย: ‘อคฺคึ อภินิพฺพตฺเตสฺสามิ, เตโช ปาตุกริสฺสามี'ติฯ ตํ กึ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส อมุํ อลฺลํ กฏฺฐํ สเสฺนหํ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํ อุตฺตรารณึ อาทาย อภิมนฺเถนฺโต อคฺคึ อภินิพฺพตฺเตยฺย, เตโช ปาตุกเรยฺยา”ติ?
Suppose there was a green, sappy log, and it was lying on dry land far from the water. Then a person comes along with a drill-stick, thinking to light a fire and produce heat. What do you think, Prince? By drilling the stick against that green, sappy log on dry land far from water, could they light a fire and produce heat?”
“โน หิทํ, ภนฺเตฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อทุญฺหิ, ภนฺเต, อลฺลํ กฏฺฐํ สเสฺนหํ กิญฺจาปิ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํ, ยาวเทว จ ปน โส ปุริโส กิลมถสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา”ติฯ
“No, sir. Why is that? Because it’s still a green, sappy log, despite the fact that it’s lying on dry land far from water. That person will eventually get weary and frustrated.”
“เอวเมว โข, ราชกุมาร, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กาเยน เจว จิตฺเตน จ กาเมหิ วูปกฏฺฐา วิหรนฺติ, โย จ เนสํ กาเมสุ กามจฺฉนฺโท กามเสฺนโห กามมุจฺฉา กามปิปาสา กามปริฬาโห โส จ อชฺฌตฺตํ น สุปฺปหีโน โหติ, น สุปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธฯ โอปกฺกมิกา เจปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยนฺติ, อภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สมฺโพธายฯ โน เจปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยนฺติ, อภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สมฺโพธายฯ อยํ โข มํ, ราชกุมาร, ทุติยา อุปมา ปฏิภาสิ อนจฺฉริยา ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพาฯ
“In the same way, there are ascetics and brahmins who live withdrawn in body and mind from sensual pleasures. But they haven’t internally given up or stilled desire, affection, infatuation, thirst, and passion for sensual pleasures. Regardless of whether or not they suffer painful, sharp, severe, acute feelings because of their efforts, they are incapable of knowledge and vision, of supreme awakening. This was the second example that occurred to me.
อปราปิ โข มํ, ราชกุมาร, ตติยา อุปมา ปฏิภาสิ อนจฺฉริยา ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพาฯ
Then a third example occurred to me.
เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, สุกฺขํ กฏฺฐํ โกฬาปํ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย อุตฺตรารณึ อาทาย: ‘อคฺคึ อภินิพฺพตฺเตสฺสามิ, เตโช ปาตุกริสฺสามี'ติฯ ตํ กึ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส อมุํ สุกฺขํ กฏฺฐํ โกฬาปํ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํ อุตฺตรารณึ อาทาย อภิมนฺเถนฺโต อคฺคึ อภินิพฺพตฺเตยฺย, เตโช ปาตุกเรยฺยา”ติ?
Suppose there was a dried up, withered log, and it was lying on dry land far from the water. Then a person comes along with a drill-stick, thinking to light a fire and produce heat. What do you think, Prince? By drilling the stick against that dried up, withered log on dry land far from water, could they light a fire and produce heat?”
“เอวํ, ภนฺเตฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อทุญฺหิ, ภนฺเต, สุกฺขํ กฏฺฐํ โกฬาปํ, ตญฺจ ปน อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตนฺ”ติฯ
“Yes, sir. Why is that? Because it’s a dried up, withered log, and it’s lying on dry land far from water.”
“เอวเมว โข, ราชกุมาร, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กาเยน เจว จิตฺเตน จ กาเมหิ วูปกฏฺฐา วิหรนฺติ, โย จ เนสํ กาเมสุ กามจฺฉนฺโท กามเสฺนโห กามมุจฺฉา กามปิปาสา กามปริฬาโห โส จ อชฺฌตฺตํ สุปฺปหีโน โหติ สุปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธฯ โอปกฺกมิกา เจปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยนฺติ, ภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สมฺโพธายฯ โน เจปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยนฺติ, ภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สมฺโพธายฯ อยํ โข มํ, ราชกุมาร, ตติยา อุปมา ปฏิภาสิ อนจฺฉริยา ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพาฯ อิมา โข มํ, ราชกุมาร, ติโสฺส อุปมา ปฏิภํสุ อนจฺฉริยา ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพาฯ
“In the same way, there are ascetics and brahmins who live withdrawn in body and mind from sensual pleasures. And they have internally given up and stilled desire, affection, infatuation, thirst, and passion for sensual pleasures. Regardless of whether or not they suffer painful, sharp, severe, acute feelings because of their efforts, they are capable of knowledge and vision, of supreme awakening. This was the third example that occurred to me. These are the three examples, which were neither supernaturally inspired, nor learned before in the past, that occurred to me.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ ทนฺเตภิทนฺตมาธาย, ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ, เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคเณฺหยฺยํ อภินิปฺปีเฬยฺยํ อภิสนฺตาเปยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ทนฺเตภิทนฺตมาธาย, ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ, เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคณฺหามิ อภินิปฺปีเฬมิ อภิสนฺตาเปมิฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, ทนฺเตภิทนฺตมาธาย, ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ, เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคณฺหโต อภินิปฺปีฬยโต อภิสนฺตาปยโต กจฺเฉหิ เสทา มุจฺจนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, พลวา ปุริโส ทุพฺพลตรํ ปุริสํ สีเส วา คเหตฺวา ขนฺเธ วา คเหตฺวา อภินิคฺคเณฺหยฺย อภินิปฺปีเฬยฺย อภิสนฺตาเปยฺย; เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, ทนฺเตภิทนฺตมาธาย, ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ, เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคณฺหโต อภินิปฺปีฬยโต อภิสนฺตาปยโต กจฺเฉหิ เสทา มุจฺจนฺติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฏฺฐิตา สติ อสมฺมุฏฺฐา, สารทฺโธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ
Then it occurred to me, ‘Why don’t I, with teeth clenched and tongue pressed against the roof of my mouth, squeeze, squash, and torture mind with mind.’ So that’s what I did, until sweat ran from my armpits. It was like when a strong man grabs a weaker man by the head or throat or shoulder and squeezes, squashes, and tortures them. In the same way, with teeth clenched and tongue pressed against the roof of my mouth, I squeezed, squashed, and tortured mind with mind until sweat ran from my armpits. My energy was roused up and unflagging, and my mindfulness was established and lucid, but my body was disturbed, not tranquil, because I’d pushed too hard with that painful striving.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธึฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ กณฺณโสเตหิ วาตานํ นิกฺขมนฺตานํ อธิมตฺโต สทฺโท โหติฯ เสยฺยถาปิ นาม กมฺมารคคฺคริยา ธมมานาย อธิมตฺโต สทฺโท โหติ; เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ กณฺณโสเตหิ วาตานํ นิกฺขมนฺตานํ อธิมตฺโต สทฺโท โหติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฏฺฐิตา สติ อสมฺมุฏฺฐา, สารทฺโธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ
Then it occurred to me, ‘Why don’t I practice the breathless jhāna?’ So I cut off my breathing through my mouth and nose. But then winds came out my ears making a loud noise, like the puffing of a blacksmith’s bellows. My energy was roused up and unflagging, and my mindfulness was established and lucid, but my body was disturbed, not tranquil, because I’d pushed too hard with that painful striving.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธึฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺตา วาตา มุทฺธนิ อูหนนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, พลวา ปุริโส ติเณฺหน สิขเรน มุทฺธนิ อภิมตฺเถยฺย; เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺตา วาตา มุทฺธนิ อูหนนฺติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฏฺฐิตา สติ อสมฺมุฏฺฐา, สารทฺโธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ
Then it occurred to me, ‘Why don’t I keep practicing the breathless jhāna?’ So I cut off my breathing through my mouth and nose and ears. But then strong winds ground my head, like a strong man was drilling into my head with a sharp point. My energy was roused up and unflagging, and my mindfulness was established and lucid, but my body was disturbed, not tranquil, because I’d pushed too hard with that painful striving.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธึฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺตา สีเส สีสเวทนา โหนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, พลวา ปุริโส ทเฬฺหน วรตฺตกฺขณฺเฑน สีเส สีสเวฐํ ทเทยฺย; เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺตา สีเส สีสเวทนา โหนฺติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฏฺฐิตา สติ อสมฺมุฏฺฐา, สารทฺโธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ
Then it occurred to me, ‘Why don’t I keep practicing the breathless jhāna?’ So I cut off my breathing through my mouth and nose and ears. But then I got a severe headache, like a strong man was tightening a tough leather strap around my head. My energy was roused up and unflagging, and my mindfulness was established and lucid, but my body was disturbed, not tranquil, because I’d pushed too hard with that painful striving.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธึฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺตา วาตา กุจฺฉึ ปริกนฺตนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, ทกฺโข โคฆาตโก วา โคฆาตกนฺเตวาสี วา ติเณฺหน โควิกนฺตเนน กุจฺฉึ ปริกนฺเตยฺย; เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺตา, วาตา กุจฺฉึ ปริกนฺตนฺติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฏฺฐิตา สติ อสมฺมุฏฺฐา, สารทฺโธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ
Then it occurred to me, ‘Why don’t I keep practicing the breathless jhāna?’ So I cut off my breathing through my mouth and nose and ears. But then strong winds carved up my belly, like a deft butcher or their apprentice was slicing my belly open with a meat cleaver. My energy was roused up and unflagging, and my mindfulness was established and lucid, but my body was disturbed, not tranquil, because I’d pushed too hard with that painful striving.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธึฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺโต กายสฺมึ ฑาโห โหติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, เทฺว พลวนฺโต ปุริสา ทุพฺพลตรํ ปุริสํ นานาพาหาสุ คเหตฺวา องฺคารกาสุยา สนฺตาเปยฺยุํ สมฺปริตาเปยฺยุํ; เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺโต กายสฺมึ ฑาโห โหติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฏฺฐิตา สติ อสมฺมุฏฺฐา, สารทฺโธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฏิปฺปสฺสทฺโธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ
Then it occurred to me, ‘Why don’t I keep practicing the breathless jhāna?’ So I cut off my breathing through my mouth and nose and ears. But then there was an intense burning in my body, like two strong men grabbing a weaker man by the arms to burn and scorch him on a pit of glowing coals. My energy was roused up and unflagging, and my mindfulness was established and lucid, but my body was disturbed, not tranquil, because I’d pushed too hard with that painful striving.
อปิสฺสุ มํ, ราชกุมาร, เทวตา ทิสฺวา เอวมาหํสุ: ‘กาลงฺกโต สมโณ โคตโม'ติฯ เอกจฺจา เทวตา เอวมาหํสุ: ‘น กาลงฺกโต สมโณ โคตโม, อปิ จ กาลํ กโรตี'ติฯ เอกจฺจา เทวตา เอวมาหํสุ: ‘น กาลงฺกโต สมโณ โคตโม, นาปิ กาลํ กโรติฯ อรหํ สมโณ โคตโมฯ วิหาโร เตฺวว โส อรหโต เอวรูโป โหตี'ติฯ
Then some deities saw me and said, ‘The ascetic Gotama is dead.’ Others said, ‘He’s not dead, but he’s dying.’ Others said, ‘He’s not dead or dying. The ascetic Gotama is a perfected one, for that is how the perfected ones live.’
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ สพฺพโส อาหารุปจฺเฉทาย ปฏิปชฺเชยฺยนฺ'ติฯ อถ โข มํ, ราชกุมาร, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจุํ: ‘มา โข ตฺวํ, มาริส, สพฺพโส อาหารุปจฺเฉทาย ปฏิปชฺชิฯ สเจ โข ตฺวํ, มาริส, สพฺพโส อาหารุปจฺเฉทาย ปฏิปชฺชิสฺสสิ, ตสฺส เต มยํ ทิพฺพํ โอชํ โลมกูเปหิ อชฺโฌหาเรสฺสาม, ตาย ตฺวํ ยาเปสฺสสี'ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘อหญฺเจว โข ปน สพฺพโส อชชฺชิตํ ปฏิชาเนยฺยํฯ อิมา จ เม เทวตา ทิพฺพํ โอชํ โลมกูเปหิ อชฺโฌหาเรยฺยุํ, ตาย จาหํ ยาเปยฺยํ, ตํ มมสฺส มุสา'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตา เทวตา ปจฺจาจิกฺขามิฯ ‘หลนฺ'ติ วทามิฯ
Then it occurred to me, ‘Why don’t I practice completely cutting off food?’ But deities came to me and said, ‘Good sir, don’t practice totally cutting off food. If you do, we’ll infuse divine nectar into your pores and you will live on that.’ Then it occurred to me, ‘If I claim to be completely fasting while these deities are infusing divine nectar in my pores, that would be a lie on my part.’ So I dismissed those deities, saying, ‘There’s no need.’
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ โถกํ โถกํ อาหารํ อาหาเรยฺยํ ปสตํ ปสตํ, ยทิ วา มุคฺคยูสํ ยทิ วา กุลตฺถยูสํ ยทิ วา กฬายยูสํ ยทิ วา หเรณุกยูสนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, โถกํ โถกํ อาหารํ อาหาเรสึ ปสตํ ปสตํ, ยทิ วา มุคฺคยูสํ ยทิ วา กุลตฺถยูสํ ยทิ วา กฬายยูสํ ยทิ วา หเรณุกยูสํฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, โถกํ โถกํ อาหารํ อาหารยโต ปสตํ ปสตํ, ยทิ วา มุคฺคยูสํ ยทิ วา กุลตฺถยูสํ ยทิ วา กฬายยูสํ ยทิ วา หเรณุกยูสํ, อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺโต กาโย โหติฯ เสยฺยถาปิ นาม อาสีติกปพฺพานิ วา กาฬปพฺพานิ วา; เอวเมวสฺสุ เม องฺคปจฺจงฺคานิ ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม โอฏฺฐปทํ; เอวเมวสฺสุ เม อานิสทํ โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม วฏฺฏนาวฬี; เอวเมวสฺสุ เม ปิฏฺฐิกณฺฏโก อุณฺณตาวนโต โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ชรสาลาย โคปานสิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ; เอวเมวสฺสุ เม ผาสุฬิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม คมฺภีเร อุทปาเน อุทกตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ; เอวเมวสฺสุ เม อกฺขิกูเปสุ อกฺขิตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ติตฺตกาลาพุ อามกจฺฉินฺโน วาตาตเปน สมฺผุฏิโต โหติ สมฺมิลาโต; เอวเมวสฺสุ เม สีสจฺฉวิ สมฺผุฏิตา โหติ สมฺมิลาตา ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ‘อุทรจฺฉวึ ปริมสิสฺสามี'ติ ปิฏฺฐิกณฺฏกํเยว ปริคฺคณฺหามิ, ‘ปิฏฺฐิกณฺฏกํ ปริมสิสฺสามี'ติ อุทรจฺฉวึเยว ปริคฺคณฺหามิฯ ยาวสฺสุ เม, ราชกุมาร, อุทรจฺฉวิ ปิฏฺฐิกณฺฏกํ อลฺลีนา โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ‘วจฺจํ วา มุตฺตํ วา กริสฺสามี'ติ ตตฺเถว อวกุชฺโช ปปตามิ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, อิมเมว กายํ อสฺสาเสนฺโต ปาณินา คตฺตานิ อนุมชฺชามิฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, ปาณินา คตฺตานิ อนุมชฺชโต ปูติมูลานิ โลมานิ กายสฺมา ปปตนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ
Then it occurred to me, ‘Why don’t I just take a little bit of food each time, a cup of broth made from mung beans, horse gram, chickpeas, or green gram.’ So that’s what I did, until my body became extremely emaciated. Due to eating so little, my limbs became like the joints of an eighty-year-old or a corpse, my bottom became like a camel’s hoof, my vertebrae stuck out like beads on a string, and my ribs were as gaunt as the broken-down rafters on an old barn. Due to eating so little, the gleam of my eyes sank deep in their sockets, like the gleam of water sunk deep down a well. Due to eating so little, my scalp shriveled and withered like a green bitter-gourd in the wind and sun. Due to eating so little, the skin of my belly stuck to my backbone, so that when I tried to rub the skin of my belly I grabbed my backbone, and when I tried to rub my backbone I rubbed the skin of my belly. Due to eating so little, when I tried to urinate or defecate I fell face down right there. Due to eating so little, when I tried to relieve my body by rubbing my limbs with my hands, the hair, rotted at its roots, fell out.
อปิสฺสุ มํ, ราชกุมาร, มนุสฺสา ทิสฺวา เอวมาหํสุ: ‘กาโฬ สมโณ โคตโม'ติ, เอกจฺเจ มนุสฺสา เอวมาหํสุ: ‘น กาโฬ สมโณ โคตโม, สาโม สมโณ โคตโม'ติฯ เอกจฺเจ มนุสฺสา เอวมาหํสุ: ‘น กาโฬ สมโณ โคตโม, นปิ สาโม, มงฺคุรจฺฉวิ สมโณ โคตโม'ติฯ ยาวสฺสุ เม, ราชกุมาร, ตาว ปริสุทฺโธ ฉวิวณฺโณ ปริโยทาโต อุปหโต โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ
Then some people saw me and said, ‘The ascetic Gotama is black.’ Some said, ‘He’s not black, he’s brown.’ Some said, ‘He’s neither black nor brown. The ascetic Gotama has tawny skin.’ That’s how far the pure, bright complexion of my skin had been ruined by taking so little food.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘เย โข เกจิ อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยึสุ, เอตาวปรมํ นยิโต ภิโยฺยฯ เยปิ หิ เกจิ อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยิสฺสนฺติ, เอตาวปรมํ นยิโต ภิโยฺยฯ เยปิ หิ เกจิ เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวทยนฺติ, เอตาวปรมํ นยิโต ภิโยฺยฯ น โข ปนาหํ อิมาย กฏุกาย ทุกฺกรการิกาย อธิคจฺฉามิ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ; สิยา นุ โข อญฺโญ มคฺโค โพธายา'ติฯ
Then it occurred to me, ‘Whatever ascetics and brahmins have experienced painful, sharp, severe, acute feelings due to overexertion—whether in the past, future, or present—this is as far as it goes, no-one has done more than this. But I have not achieved any superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones by this severe, gruelling work. Could there be another path to awakening?’
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘อภิชานามิ โข ปนาหํ ปิตุ สกฺกสฺส กมฺมนฺเต สีตาย ชมฺพุจฺฉายาย นิสินฺโน วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตา; สิยา นุ โข เอโส มคฺโค โพธายา'ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, สตานุสาริ วิญฺญาณํ อโหสิ: ‘เอเสว มคฺโค โพธายา'ติฯ
Then it occurred to me, ‘I recall sitting in the cool shade of the rose-apple tree while my father the Sakyan was off working. Quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, I entered and remained in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. Could that be the path to awakening?’ Stemming from that memory came the realization: ‘That is the path to awakening!’
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘กึ นุ โข อหํ ตสฺส สุขสฺส ภายามิ ยํ ตํ สุขํ อญฺญเตฺรว กาเมหิ อญฺญตฺร อกุสเลหิ ธมฺเมหี'ติ? ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘น โข อหํ ตสฺส สุขสฺส ภายามิ ยํ ตํ สุขํ อญฺญเตฺรว กาเมหิ อญฺญตฺร อกุสเลหิ ธมฺเมหี'ติฯ
Then it occurred to me, ‘Why am I afraid of that pleasure, for it has nothing to do with sensual pleasures or unskillful qualities?’ Then it occurred to me, ‘I’m not afraid of that pleasure, for it has nothing to do with sensual pleasures or unskillful qualities.’
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘น โข ตํ สุกรํ สุขํ อธิคนฺตุํ เอวํ อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺตกาเยนฯ ยนฺนูนาหํ โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรยฺยํ โอทนกุมฺมาสนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรสึ โอทนกุมฺมาสํฯ เตน โข ปน มํ, ราชกุมาร, สมเยน ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ปจฺจุปฏฺฐิตา โหนฺติ: ‘ยํ โข สมโณ โคตโม ธมฺมํ อธิคมิสฺสติ ตํ โน อาโรเจสฺสตี'ติฯ ยโต โข อหํ, ราชกุมาร, โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรสึ โอทนกุมฺมาสํ, อถ เม เต ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู นิพฺพิชฺช ปกฺกมึสุ: ‘พาหุลฺลิโก สมโณ โคตโม ปธานวิพฺภนฺโต, อาวตฺโต พาหุลฺลายา'ติฯ
Then it occurred to me, ‘I can’t achieve that pleasure with a body so excessively emaciated. Why don’t I eat some solid food, some rice and porridge?’ So I ate some solid food. Now at that time the five bhikkhus were attending on me, thinking, ‘The ascetic Gotama will tell us of any truth that he realizes.’ But when I ate some solid food, they left disappointed in me, saying, ‘The ascetic Gotama has become indulgent; he has strayed from the struggle and returned to indulgence.’
โส โข อหํ, ราชกุมาร, โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรตฺวา พลํ คเหตฺวา วิวิจฺเจว กาเมหิ …เป… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสึฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา … ทุติยํ ฌานํ … ตติยํ ฌานํ … จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสึฯ โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมสึฯ โส อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรามิ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ อยํ โข เม, ราชกุมาร, รตฺติยา ปฐเม ยาเม ปฐมา วิชฺชา อธิคตา, อวิชฺชา วิหตา, วิชฺชา อุปฺปนฺนา; ตโม วิหโต, อาโลโก อุปฺปนฺโน—ยถา ตํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโตฯ
After eating solid food and gathering my strength, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, I entered and remained in the first jhāna … second jhāna … third jhāna … fourth jhāna. When my mind had immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—I extended it toward recollection of past lives. I recollected many past lives. That is: one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths; many eons of the world contracting, many eons of the world expanding, many eons of the world contracting and expanding. And so I recollected my many kinds of past lives, with features and details. This was the first knowledge, which I achieved in the first watch of the night. Ignorance was destroyed and knowledge arose; darkness was destroyed and light arose, as happens for a meditator who is diligent, keen, and resolute.
โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมสึฯ โส ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสามิ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานามิ …เป…
When my mind had immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—I extended it toward knowledge of the death and rebirth of sentient beings. With clairvoyance that is purified and superhuman, I saw sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. I understood how sentient beings are reborn according to their deeds.
อยํ โข เม, ราชกุมาร, รตฺติยา มชฺฌิเม ยาเม ทุติยา วิชฺชา อธิคตา, อวิชฺชา วิหตา, วิชฺชา อุปฺปนฺนา; ตโม วิหโต, อาโลโก อุปฺปนฺโน—ยถา ตํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโตฯ
This was the second knowledge, which I achieved in the middle watch of the night. Ignorance was destroyed and knowledge arose; darkness was destroyed and light arose, as happens for a meditator who is diligent, keen, and resolute.
โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมสึฯ โส ‘อิทํ ทุกฺขนฺ'ติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึ …เป… ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึ; ‘อิเม อาสวา'ติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึ …เป… ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึฯ
When my mind had immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—I extended it toward knowledge of the ending of defilements. I truly understood: ‘This is suffering’ … ‘This is the origin of suffering’ … ‘This is the cessation of suffering’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of suffering’. I truly understood: ‘These are defilements’ … ‘This is the origin of defilements’ … ‘This is the cessation of defilements’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of defilements’.
ตสฺส เม เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ อโหสิฯ
Knowing and seeing like this, my mind was freed from the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance. When it was freed, I knew it was freed.
‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ อพฺภญฺญาสึฯ
I understood: ‘Rebirth is ended; the spiritual journey has been completed; what had to be done has been done; there is no return to any state of existence.’
อยํ โข เม, ราชกุมาร, รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม ตติยา วิชฺชา อธิคตา, อวิชฺชา วิหตา, วิชฺชา อุปฺปนฺนา; ตโม วิหโต, อาโลโก อุปฺปนฺโน—ยถา ตํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโตฯ
This was the third knowledge, which I achieved in the last watch of the night. Ignorance was destroyed and knowledge arose; darkness was destroyed and light arose, as happens for a meditator who is diligent, keen, and resolute.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘อธิคโต โข มฺยายํ ธมฺโม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโยฯ อาลยรามา โข ปนายํ ปชา อาลยรตา อาลยสมฺมุทิตาฯ อาลยรามาย โข ปน ปชาย อาลยรตาย อาลยสมฺมุทิตาย ทุทฺทสํ อิทํ ฐานํ ยทิทํ—อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปาโทฯ อิทมฺปิ โข ฐานํ ทุทฺทสํ—ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหากฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํฯ อหญฺเจว โข ปน ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ปเร จ เม น อาชาเนยฺยุํ, โส มมสฺส กิลมโถ, สา มมสฺส วิเหสา'ติฯ อปิสฺสุ มํ, ราชกุมาร, อิมา อนจฺฉริยา คาถาโย ปฏิภํสุ ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพา:
Then it occurred to me, ‘This principle I have discovered is deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute. But people like clinging, they love it and enjoy it. It’s hard for them to see this thing; that is, specific conditionality, dependent origination. It’s also hard for them to see this thing; that is, the stilling of all activities, the letting go of all attachments, the ending of craving, fading away, cessation, Nibbana. And if I were to teach the Dhamma, others might not understand me, which would be wearying and troublesome for me.’ And then these verses, which were neither supernaturally inspired, nor learned before in the past, occurred to me:
‘กิจฺเฉน เม อธิคตํ, หลํ ทานิ ปกาสิตุํ; ราคโทสปเรเตหิ, นายํ ธมฺโม สุสมฺพุโธฯ
‘I’ve struggled hard to realize this, enough with trying to explain it! Those mired in greed and hate can’t really understand this teaching.
ปฏิโสตคามึ นิปุณํ, คมฺภีรํ ทุทฺทสํ อณุํ; ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ, ตโมขนฺเธน อาวุฏา'ติฯ
It goes against the stream, subtle, deep, obscure, and very fine. Those besotted by greed cannot see, for they’re shrouded in a mass of darkness.’
อิติห เม, ราชกุมาร, ปฏิสญฺจิกฺขโต อปฺโปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ โน ธมฺมเทสนายฯ
And as I reflected like this, my mind inclined to remaining passive, not to teaching the Dhamma.
อถ โข, ราชกุมาร, พฺรหฺมุโน สหมฺปติสฺส มม เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เอตทโหสิ: ‘นสฺสติ วต โภ โลโก; วินสฺสติ วต โภ โลโกฯ ยตฺร หิ นาม ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อปฺโปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ โน ธมฺมเทสนายา'ติฯ
Then Brahmā Sahampati, knowing what I was thinking, thought, ‘Alas! The world will be lost, the world will perish! For the mind of the Realized One, the perfected one, the fully awakened Buddha, inclines to remaining passive, not to teaching the Dhamma.’
อถ โข, ราชกุมาร, พฺรหฺมา สหมฺปติ—เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต มม ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อถ โข, ราชกุมาร, พฺรหฺมา สหมฺปติ เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยนาหํ เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา มํ เอตทโวจ: ‘เทเสตุ, ภนฺเต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํฯ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา อสฺสวนตาย ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ; ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร'ติฯ
Then Brahmā Sahampati, as easily as a strong person would extend or contract their arm, vanished from the Brahmā realm and reappeared in front of me. He arranged his robe over one shoulder, raised his joined palms toward me, and said, ‘Sir, let the Blessed One teach the Dhamma! Let the Holy One teach the Dhamma! There are beings with little dust in their eyes. They’re in decline because they haven’t heard the teaching. There will be those who understand the teaching!’
อิทมโวจ, ราชกุมาร, พฺรหฺมา สหมฺปติ; อิทํ วตฺวา อถาปรํ เอตทโวจ:
That’s what Brahmā Sahampati said. Then he went on to say:
‘ปาตุรโหสิ มคเธสุ ปุพฺเพ, ธมฺโม อสุทฺโธ สมเลหิ จินฺติโต; อปาปุเรตํ อมตสฺส ทฺวารํ, สุณนฺตุ ธมฺมํ วิมเลนานุพุทฺธํฯ
‘Among the Magadhans there appeared in the past an impure teaching thought up by those still stained. Fling open the door to the deathless! Let them hear the teaching
the immaculate one discovered.
เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฏฺฐิโต, ยถาปิ ปเสฺส ชนตํ สมนฺตโต; ตถูปมํ ธมฺมมยํ สุเมธ, ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขุฯ
Standing high on a rocky mountain, you can see the people all around. In just the same way, All-seer, so intelligent, having ascended the Temple of Truth,
โสกาวติณฺณํ ชนตมเปตโสโก, อเวกฺขสฺสุ ชาติชราภิภูตํ; อุฏฺเฐหิ วีร วิชิตสงฺคาม, สตฺถวาห อณณ วิจร โลเก; เทสสฺสุ ภควา ธมฺมํ, อญฺญาตาโร ภวิสฺสนฺตี'ติฯ
rid of sorrow, look upon the people swamped with sorrow,
อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, พฺรหฺมุโน จ อชฺเฌสนํ วิทิตฺวา สตฺเตสุ จ การุญฺญตํ ปฏิจฺจ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสึฯ อทฺทสํ โข อหํ, ราชกุมาร, พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกนฺโต สตฺเต อปฺปรชกฺเข มหารชกฺเข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย สฺวากาเร ทฺวากาเร สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย อปฺเปกจฺเจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเต, อปฺเปกจฺเจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเตฯ เสยฺยถาปิ นาม อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อนฺโตนิมุคฺคโปสีนิ, อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ สโมทกํ ฐิตานิ, อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกา อจฺจุคฺคมฺม ฐิตานิ อนุปลิตฺตานิ อุทเกน; เอวเมว โข อหํ, ราชกุมาร; พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกนฺโต อทฺทสํ สตฺเต อปฺปรชกฺเข มหารชกฺเข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย สฺวากาเร ทฺวากาเร สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย, อปฺเปกจฺเจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเต, อปฺเปกจฺเจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเตฯ อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, พฺรหฺมานํ สหมฺปตึ คาถาย ปจฺจภาสึ:
Then, understanding Brahmā’s invitation, I surveyed the world with the eye of a Buddha, because of my compassion for sentient beings. And I saw sentient beings with little dust in their eyes, and some with much dust in their eyes; with keen faculties and with weak faculties, with good qualities and with bad qualities, easy to teach and hard to teach. And some of them lived seeing the danger in the fault to do with the next world, while others did not. It’s like a pool with blue water lilies, or pink or white lotuses. Some of them sprout and grow in the water without rising above it, thriving underwater. Some of them sprout and grow in the water reaching the water’s surface. And some of them sprout and grow in the water but rise up above the water and stand with no water clinging to them. Then I replied in verse to Brahmā Sahampati:
‘อปารุตา เตสํ อมตสฺส ทฺวารา, เย โสตวนฺโต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ; วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ, ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม'ติฯ
‘Flung open are the doors to the deathless! Let those with ears to hear commit to faith. Thinking it would be troublesome, Brahmā,
I did not teach the sophisticated, sublime Dhamma among humans.’
อถ โข, ราชกุมาร, พฺรหฺมา สหมฺปติ ‘กตาวกาโส โขมฺหิ ภควตา ธมฺมเทสนายา'ติ มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายิฯ
Then Brahmā Sahampati, knowing that his request for me to teach the Dhamma had been granted, bowed and respectfully circled me, keeping me on his right, before vanishing right there.
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ? โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติ? ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘อยํ โข อาฬาโร กาลาโม ปณฺฑิโต วิยตฺโต เมธาวี ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติโกฯ ยนฺนูนาหํ อาฬารสฺส กาลามสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติฯ อถ โข มํ, ราชกุมาร, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ: ‘สตฺตาหกาลงฺกโต, ภนฺเต, อาฬาโร กาลาโม'ติฯ
Then it occurred to me, ‘Who should I teach first of all? Who will quickly understand the teaching?’ Then it occurred to me, ‘That Āḷāra Kālāma is astute, competent, clever, and has long had little dust in his eyes. Why don’t I teach him first of all? He’ll quickly understand the teaching.’ But a deity came to me and said, ‘Sir, Āḷāra Kālāma passed away seven days ago.’
ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ: ‘สตฺตาหกาลงฺกโต อาฬาโร กาลาโม'ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘มหาชานิโย โข อาฬาโร กาลาโมฯ สเจ หิ โส อิมํ ธมฺมํ สุเณยฺย, ขิปฺปเมว อาชาเนยฺยา'ติฯ
And knowledge and vision arose in me, ‘Āḷāra Kālāma passed away seven days ago.’ Then it occurred to me, ‘This is a great loss for Āḷāra Kālāma. If he had heard the teaching, he would have understood it quickly.’
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ? โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติ? ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘อยํ โข อุทโก รามปุตฺโต ปณฺฑิโต วิยตฺโต เมธาวี ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติโกฯ ยนฺนูนาหํ อุทกสฺส รามปุตฺตสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติฯ อถ โข มํ, ราชกุมาร, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ: ‘อภิโทสกาลงฺกโต, ภนฺเต, อุทโก รามปุตฺโต'ติฯ
Then it occurred to me, ‘Who should I teach first of all? Who will quickly understand the teaching?’ Then it occurred to me, ‘That Uddaka, son of Rāma, is astute, competent, clever, and has long had little dust in his eyes. Why don’t I teach him first of all? He’ll quickly understand the teaching.’ But a deity came to me and said, ‘Sir, Uddaka, son of Rāma, passed away just last night.’
ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ: ‘อภิโทสกาลงฺกโต อุทโก รามปุตฺโต'ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘มหาชานิโย โข อุทโก รามปุตฺโตฯ สเจ หิ โส อิมํ ธมฺมํ สุเณยฺย, ขิปฺปเมว อาชาเนยฺยา'ติฯ
And knowledge and vision arose in me, ‘Uddaka, son of Rāma, passed away just last night.’ Then it occurred to me, ‘This is a great loss for Uddaka. If he had heard the teaching, he would have understood it quickly.’
ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ? โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติ? ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘พหุการา โข เม ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู เย มํ ปธานปหิตตฺตํ อุปฏฺฐหึสุฯ ยนฺนูนาหํ ปญฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยนฺ'ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ: ‘กหํ นุ โข เอตรหิ ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู วิหรนฺตี'ติฯ อทฺทสํ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู พาราณสิยํ วิหรนฺเต อิสิปตเน มิคทาเยฯ
Then it occurred to me, ‘Who should I teach first of all? Who will quickly understand the teaching?’ Then it occurred to me, ‘The group of five bhikkhus were very helpful to me. They looked after me during my time of resolute striving. Why don’t I teach them first of all?’ Then it occurred to me, ‘Where are the group of five bhikkhus staying these days?’ With clairvoyance that is purified and superhuman I saw that the group of five bhikkhus were staying near Varanasi, in the deer park at Isipatana.
อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, อุรุเวลายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เยน พาราณสี เตน จาริกํ ปกฺกมึฯ
So, when I had stayed in Uruvelā as long as I pleased, I set out for Varanasi.
อทฺทสา โข มํ, ราชกุมาร, อุปโก อาชีวโก อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธึ อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺนํฯ ทิสฺวาน มํ เอตทโวจ: ‘วิปฺปสนฺนานิ โข เต, อาวุโส, อินฺทฺริยานิ, ปริสุทฺโธ ฉวิวณฺโณ ปริโยทาโตฯ กํสิ ตฺวํ, อาวุโส, อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต? โก วา เต สตฺถา? กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสี'ติ?
While I was traveling along the road between Gayā and Bodhgaya, the Ājīvaka ascetic Upaka saw me and said, ‘Friend, your faculties are so very clear, and your complexion is pure and bright. In whose name have you gone forth, friend? Who is your Teacher? Whose teaching do you believe in?’
เอวํ วุตฺเต, อหํ, ราชกุมาร, อุปกํ อาชีวกํ คาถาหิ อชฺฌภาสึ:
I replied to Upaka in verse:
‘สพฺพาภิภู สพฺพวิทูหมสฺมิ, สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อนูปลิตฺโต; สพฺพญฺชโห ตณฺหากฺขเย วิมุตฺโต, สยํ อภิญฺญาย กมุทฺทิเสยฺยํฯ
‘I am the champion, the knower of all, unsullied in the midst of all things. I’ve given up all, freed in the ending of craving. Since I know for myself, whose follower should I be?
น เม อาจริโย อตฺถิ, สทิโส เม น วิชฺชติ; สเทวกสฺมึ โลกสฺมึ, นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโลฯ
I have no teacher. There is no-one like me. In the world with its gods, I have no rival.
อหญฺหิ อรหา โลเก, อหํ สตฺถา อนุตฺตโร; เอโกมฺหิ สมฺมาสมฺพุทฺโธ, สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโตฯ
For in this world, I am the perfected one; I am the supreme Teacher. I alone am fully awakened, cooled, extinguished.
ธมฺมจกฺกํ ปวตฺเตตุํ, คจฺฉามิ กาสินํ ปุรํ; อนฺธีภูตสฺมึ โลกสฺมึ, อาหญฺฉํ อมตทุนฺทุภินฺ'ติฯ
I am going to the city of Kāsi to roll forth the Wheel of Dhamma. In this world that is so blind, I’ll beat the deathless drum!’
‘ยถา โข ตฺวํ, อาวุโส, ปฏิชานาสิ อรหสิ อนนฺตชิโน'ติฯ
‘According to what you claim, friend, you ought to be the Infinite Victor.’
‘มาทิสา เว ชินา โหนฺติ, เย ปตฺตา อาสวกฺขยํ; ชิตา เม ปาปกา ธมฺมา, ตสฺมาหมุปก ชิโน'ติฯ
‘The victors are those who, like me, have reached the ending of defilements. I have conquered bad qualities, Upaka—that’s why I’m a victor.’
เอวํ วุตฺเต, ราชกุมาร, อุปโก อาชีวโก ‘หุเปยฺยปาวุโส'ติ วตฺวา สีสํ โอกมฺเปตฺวา อุมฺมคฺคํ คเหตฺวา ปกฺกามิฯ
When I had spoken, Upaka said: ‘If you say so, friend.’ Shaking his head, he took a wrong turn and left.
อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน เยน พาราณสี อิสิปตนํ มิคทาโย เยน ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู เตนุปสงฺกมึฯ อทฺทสํสุ โข มํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อญฺญมญฺญํ สณฺฐเปสุํ: ‘อยํ โข, อาวุโส, สมโณ โคตโม อาคจฺฉติ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลายฯ โส เนว อภิวาเทตพฺโพ, น ปจฺจุฏฺฐาตพฺโพ, นาสฺส ปตฺตจีวรํ ปฏิคฺคเหตพฺพํ; อปิ จ โข อาสนํ ฐเปตพฺพํ—สเจ โส อากงฺขิสฺสติ นิสีทิสฺสตี'ติฯ
Traveling stage by stage, I arrived at Varanasi, and went to see the group of five bhikkhus in the deer park at Isipatana. The group of five bhikkhus saw me coming off in the distance and stopped each other, saying, ‘Here comes the ascetic Gotama. He’s so indulgent; he strayed from the struggle and returned to indulgence. We shouldn’t bow to him or rise for him or receive his bowl and robe. But we can set out a seat; he can sit if he likes.’
ยถา ยถา โข อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู อุปสงฺกมึ ตถา ตถา ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู นาสกฺขึสุ สกาย กติกาย สณฺฐาตุํฯ อปฺเปกจฺเจ มํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรํ ปฏิคฺคเหสุํฯ อปฺเปกจฺเจ อาสนํ ปญฺญเปสุํฯ อปฺเปกจฺเจ ปาโททกํ อุปฏฺฐเปสุํฯ อปิ จ โข มํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรนฺติฯ
Yet as I drew closer, the group of five bhikkhus were unable to stop themselves as they had agreed. Some came out to greet me and receive my bowl and robe, some spread out a seat, while others set out water for washing my feet. But they still addressed me by name and as ‘friend’.
เอวํ วุตฺเต, อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ: ‘มา, ภิกฺขเว, ตถาคตํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรถ; อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํฯ อมตมธิคตํ อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมานา นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ
So I said to them, ‘Bhikkhus, don’t address me by name and as “friend”. The Realized One is Perfected, a fully awakened Buddha. Listen up, bhikkhus: I have achieved the Deathless! I shall instruct you, I will teach you the Dhamma. By practicing as instructed you will soon realize the supreme end of the spiritual path in this very life. You will live having achieved with your own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.’
เอวํ วุตฺเต, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ: ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฏิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ; กึ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสนฺ'ติ?
But they said to me, ‘Friend Gotama, even by that conduct, that practice, that grueling work you did not achieve any superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones. How could you have achieved such a state now that you’ve become indulgent, strayed from the struggle and fallen into indulgence?’
เอวํ วุตฺเต, อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ: ‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต พาหุลฺลิโก น ปธานวิพฺภนฺโต น อาวตฺโต พาหุลฺลายฯ อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํฯ อมตมธิคตํ อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมานา นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ
So I said to them, ‘The Realized One has not become indulgent, strayed from the struggle and fallen into indulgence. The Realized One is Perfected, a fully awakened Buddha. Listen up, bhikkhus: I have achieved the Deathless! I shall instruct you, I will teach you the Dhamma. By practicing as instructed you will soon realize the supreme end of the spiritual path in this very life. You will live having achieved with your own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.’
ทุติยมฺปิ โข, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ: ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฏิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ; กึ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสนฺ'ติ?
But for a second time they said to me, ‘Friend Gotama … you’ve fallen into indulgence.’
ทุติยมฺปิ โข อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ: ‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต พาหุลฺลิโก น ปธานวิพฺภนฺโต น อาวตฺโต พาหุลฺลายฯ อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํฯ อมตมธิคตํ อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมานา นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ
So for a second time I said to them, ‘The Realized One has not become indulgent …’
ตติยมฺปิ โข, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ: ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฏิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ; กึ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสนฺ'ติ?
But for a third time they said to me, ‘Friend Gotama … you’ve fallen into indulgence.’
เอวํ วุตฺเต, อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ: ‘อภิชานาถ เม โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อิโต ปุพฺเพ เอวรูปํ ปภาวิตเมตนฺ'ติ?
So I said to them, ‘Bhikkhus, have you ever known me to speak like this before?’
‘โน เหตํ, ภนฺเต'ฯ
‘No, sir.’
‘อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํฯ อมตมธิคตํ อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมานา นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ
‘The Realized One is Perfected, a fully awakened Buddha. Listen up, bhikkhus: I have achieved the Deathless! I shall instruct you, I will teach you the Dhamma. By practicing as instructed you will soon realize the supreme end of the spiritual path in this very life. You will live having achieved with your own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.’
อสกฺขึ โข อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู สญฺญาเปตุํฯ เทฺวปิ สุทํ, ราชกุมาร, ภิกฺขู โอวทามิฯ ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ยํ ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหรนฺติ, เตน ฉพฺพคฺคิยา ยาเปมฯ ตโยปิ สุทํ, ราชกุมาร, ภิกฺขู โอวทามิ, เทฺว ภิกฺขู ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ยํ เทฺว ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหรนฺติ เตน ฉพฺพคฺคิยา ยาเปมฯ
I was able to persuade the group of five bhikkhus. Then sometimes I advised two bhikkhus, while the other three went for alms. Then those three would feed all six of us with what they brought back. Sometimes I advised three bhikkhus, while the other two went for alms. Then those two would feed all six of us with what they brought back.
อถ โข, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มยา เอวํ โอวทิยมานา เอวํ อนุสาสิยมานา นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรึสู”ติฯ
As the group of five bhikkhus were being advised and instructed by me like this, they soon realized the supreme end of the spiritual path in this very life. They lived having achieved with their own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.”
เอวํ วุตฺเต, โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ: “กีว จิเรน นุ โข, ภนฺเต, ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา”ติ?
When he had spoken, Prince Bodhi said to the Buddha, “Sir, when a bhikkhu has the Realized One as trainer, how long would it take for them to realize the supreme end of the spiritual path in this very life?”
“เตน หิ, ราชกุมาร, ตํเยเวตฺถ ปฏิปุจฺฉิสฺสามิฯ ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กึ มญฺญสิ, ราชกุมาร, กุสโล ตฺวํ หตฺถารูเฬฺห องฺกุสคเยฺห สิปฺเป”ติ?
“Well then, prince, I’ll ask you about this in return, and you can answer as you like. What do you think, prince? Are you skilled in the art of wielding a hooked goad while riding an elephant?”
“เอวํ, ภนฺเต, กุสโล อหํ หตฺถารูเฬฺห องฺกุสคเยฺห สิปฺเป”ติฯ
“Yes, sir.”
“ตํ กึ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อิธ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย: ‘โพธิ ราชกุมาโร หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ ชานาติ; ตสฺสาหํ สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิกฺขิสฺสามี'ติฯ โส จสฺส อสฺสทฺโธ; ยาวตกํ สทฺเธน ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส พหฺวาพาโธ; ยาวตกํ อปฺปาพาเธน ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส สโฐ มายาวี; ยาวตกํ อสเฐน อมายาวินา ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส กุสีโต; ยาวตกํ อารทฺธวีริเยน ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส ทุปฺปญฺโญ; ยาวตกํ ปญฺญวตา ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ ตํ กึ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส ตว สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิกฺเขยฺยา”ติ?
“What do you think, prince? Suppose a man were to come along thinking, ‘Prince Bodhi knows the art of wielding a hooked goad while riding an elephant. I’ll train in that art under him.’ If he’s faithless, he wouldn’t achieve what he could with faith. If he’s unhealthy, he wouldn’t achieve what he could with good health. If he’s devious or deceitful, he wouldn’t achieve what he could with honesty and integrity. If he’s lazy, he wouldn’t achieve what he could with energy. If he’s stupid, he wouldn’t achieve what he could with wisdom. What do you think, prince? Could that man still train under you in the art of wielding a hooked goad while riding an elephant?”
“เอกเมเกนาปิ, ภนฺเต, องฺเคน สมนฺนาคโต โส ปุริโส น มม สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิกฺเขยฺย, โก ปน วาโท ปญฺจหงฺเคหี”ติฯ
“Sir, if he had even a single one of these factors he couldn’t train under me, let alone all five.”
“ตํ กึ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อิธ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย: ‘โพธิ ราชกุมาโร หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ ชานาติ; ตสฺสาหํ สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิกฺขิสฺสามี'ติฯ โส จสฺส สทฺโธ; ยาวตกํ สทฺเธน ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส อปฺปาพาโธ; ยาวตกํ อปฺปาพาเธน ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส อสโฐ อมายาวี; ยาวตกํ อสเฐน อมายาวินา ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส อารทฺธวีริโย; ยาวตกํ อารทฺธวีริเยน ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส ปญฺญวา; ยาวตกํ ปญฺญวตา ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ ตํ กึ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส ตว สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิกฺเขยฺยา”ติ?
“What do you think, prince? Suppose a man were to come along thinking, ‘Prince Bodhi knows the art of wielding a hooked goad while riding an elephant. I’ll train in that art under him.’ If he’s faithful, he’d achieve what he could with faith. If he’s healthy, he’d achieve what he could with good health. If he’s honest and has integrity, he’d achieve what he could with honesty and integrity. If he’s energetic, he’d achieve what he could with energy. If he’s wise, he’d achieve what he could with wisdom. What do you think, prince? Could that man still train under you in the art of wielding a hooked goad while riding an elephant?”
“เอกเมเกนาปิ, ภนฺเต, องฺเคน สมนฺนาคโต โส ปุริโส มม สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิกฺเขยฺย, โก ปน วาโท ปญฺจหงฺเคหี”ติฯ
“Sir, if he had even a single one of these factors he could train under me, let alone all five.”
“เอวเมว โข, ราชกุมาร, ปญฺจิมานิ ปธานิยงฺคานิฯ กตมานิ ปญฺจ? อิธ, ราชกุมาร, ภิกฺขุ สทฺโธ โหติ; สทฺทหติ ตถาคตสฺส โพธึ: ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา'ติ; อปฺปาพาโธ โหติ อปฺปาตงฺโก สมเวปากินิยา คหณิยา สมนฺนาคโต นาติสีตาย นาจฺจุณฺหาย มชฺฌิมาย ปธานกฺขมาย; อสโฐ โหติ อมายาวี ยถาภูตํ อตฺตานํ อาวิกตฺตา สตฺถริ วา วิญฺญูสุ วา สพฺรหฺมจารีสุ; อารทฺธวีริโย วิหรติ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทาย, ถามวา ทฬฺหปรกฺกโม อนิกฺขิตฺตธุโร กุสเลสุ ธมฺเมสุ; ปญฺญวา โหติ อุทยตฺถคามินิยา ปญฺญาย สมนฺนาคโต อริยาย นิพฺเพธิกาย สมฺมาทุกฺขกฺขยคามินิยาฯ อิมานิ โข, ราชกุมาร, ปญฺจ ปธานิยงฺคานิฯ
“In the same way, prince, there are these five factors that support meditation. What five? It’s when a noble disciple has faith in the Realized One’s awakening: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’ They are rarely ill or unwell. Their stomach digests well, being neither too hot nor too cold, but just right, and fit for meditation. They’re not devious or deceitful. They reveal themselves honestly to the Teacher or sensible spiritual companions. They live with energy roused up for giving up unskillful qualities and embracing skillful qualities. They’re strong, staunchly vigorous, not slacking off when it comes to developing skillful qualities. They’re wise. They have the wisdom of arising and passing away which is noble, penetrative, and leads to the complete ending of suffering. These are the five factors that support meditation.
อิเมหิ, ราชกุมาร, ปญฺจหิ ปธานิยงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย สตฺต วสฺสานิฯ ติฏฺฐนฺตุ, ราชกุมาร, สตฺต วสฺสานิฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย ฉพฺพสฺสานิ … ปญฺจ วสฺสานิ … จตฺตาริ วสฺสานิ … ตีณิ วสฺสานิ … เทฺว วสฺสานิ … เอกํ วสฺสํฯ ติฏฺฐตุ, ราชกุมาร, เอกํ วสฺสํฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย สตฺต มาสานิฯ ติฏฺฐนฺตุ, ราชกุมาร, สตฺต มาสานิฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย ฉ มาสานิ … ปญฺจ มาสานิ … จตฺตาริ มาสานิ … ตีณิ มาสานิ … เทฺว มาสานิ … เอกํ มาสํ … อฑฺฒมาสํฯ ติฏฺฐตุ, ราชกุมาร, อฑฺฒมาโสฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย สตฺต รตฺตินฺทิวานิฯ ติฏฺฐนฺตุ, ราชกุมาร, สตฺต รตฺตินฺทิวานิฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย ฉ รตฺตินฺทิวานิ … ปญฺจ รตฺตินฺทิวานิ … จตฺตาริ รตฺตินฺทิวานิ … ตีณิ รตฺตินฺทิวานิ … เทฺว รตฺตินฺทิวานิ … เอกํ รตฺตินฺทิวํฯ ติฏฺฐตุ, ราชกุมาร, เอโก รตฺตินฺทิโวฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน สายมนุสิฏฺโฐ ปาโต วิเสสํ อธิคมิสฺสติ, ปาตมนุสิฏฺโฐ สายํ วิเสสํ อธิคมิสฺสตี”ติฯ
When a bhikkhu with these five factors that support meditation has the Realized One as trainer, they could realize the supreme end of the spiritual path in seven years. Let alone seven years, they could realize the supreme end of the spiritual path in six years, or as little as one year. Let alone one year, when a bhikkhu with these five factors that support meditation has the Realized One as trainer, they could realize the supreme end of the spiritual path in seven months, or as little as one day. Let alone one day, when a bhikkhu with these five factors that support meditation has the Realized One as trainer, they could be instructed in the evening and achieve distinction in the morning, or be instructed in the morning and achieve distinction in the evening.”
เอวํ วุตฺเต, โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อโห พุทฺโธ, อโห ธมฺโม, อโห ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตตาฯ ยตฺร หิ นาม สายมนุสิฏฺโฐ ปาโต วิเสสํ อธิคมิสฺสติ, ปาตมนุสิฏฺโฐ สายํ วิเสสํ อธิคมิสฺสตี”ติฯ
When he had spoken, Prince Bodhi said to the Buddha, “Oh, the Buddha! Oh, the teaching! Oh, how well explained is the teaching! For someone could be instructed in the evening and achieve distinction in the morning, or be instructed in the morning and achieve distinction in the evening.”
เอวํ วุตฺเต, สญฺชิกาปุตฺโต มาณโว โพธึ ราชกุมารํ เอตทโวจ: “เอวเมว ปนายํ ภวํ โพธิ: ‘อโห พุทฺโธ, อโห ธมฺโม, อโห ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตตา'ติ จ วเทติ; อถ จ ปน น ตํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉติ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจา”ติฯ
When he said this, Sañjikāputta said to Prince Bodhi, “Though Master Bodhi speaks like this, you don’t go for refuge to Master Gotama, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha.”
“มา เหวํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, อวจ; มา เหวํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, อวจฯ สมฺมุขา เมตํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, อยฺยาย สุตํ, สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ”ฯ “เอกมิทํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, สมยํ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเมฯ อถ โข เม อยฺยา กุจฺฉิมตี เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เม อยฺยา ภควนฺตํ เอตทโวจ: ‘โย เม อยํ, ภนฺเต, กุจฺฉิคโต กุมารโก วา กุมาริกา วา โส ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉติ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ ตํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตนฺ'ติฯ
“Don’t say that, dear Sañjikāputta, don’t say that! I have heard and learned this in the presence of the lady, my mother. This one time the Buddha was staying near Kosambī, in Ghosita’s Monastery. Then my pregnant mother went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, ‘Sir, the prince or princess in my womb goes for refuge to the Buddha, the teaching, and the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may the Buddha remember them as a lay follower who has gone for refuge for life.’
เอกมิทํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, สมยํ ภควา อิเธว ภคฺเคสุ วิหรติ สุสุมารคิเร เภสกฬาวเน มิคทาเยฯ อถ โข มํ ธาติ องฺเกน หริตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข มํ ธาติ ภควนฺตํ เอตทโวจ: ‘อยํ, ภนฺเต, โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉติ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ ตํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตนฺ'ติฯ
Another time the Buddha was staying here in the land of the Bhaggas on Crocodile Hill, in the deer park at Bhesakaḷā’s Wood. Then my nurse, carrying me on her hip, went to the Buddha, bowed, stood to one side, and said to him, ‘Sir, this Prince Bodhi goes for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may the Buddha remember him as a lay follower who has gone for refuge for life.’
เอสาหํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, ตติยกมฺปิ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตนฺ”ติฯ
Now for a third time I go for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may the Buddha remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.”
โพธิราชกุมารสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปญฺจมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]