Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๕. โพธิราชกุมารสุตฺตํ

    5. Bodhirājakumārasuttaṃ

    ๓๒๔. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ภเคฺคสุ วิหรติ สุสุมารคิเร เภสกฬาวเน มิคทาเยฯ เตน โข ปน สมเยน โพธิสฺส ราชกุมารสฺส โกกนโท 1 นาม ปาสาโท อจิรการิโต โหติ อนชฺฌาวุโฎฺฐ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เกนจิ วา มนุสฺสภูเตนฯ อถ โข โพธิ ราชกุมาโร สญฺชิกาปุตฺตํ มาณวํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, เยน ภควา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วนฺท, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ – ‘โพธิ, ภเนฺต, ราชกุมาโร ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’ติฯ เอวญฺจ วเทหิ – ‘อธิวาเสตุ กิร, ภเนฺต, ภควา โพธิสฺส ราชกุมารสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนา’’’ติฯ ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข สญฺชิกาปุโตฺต มาณโว โพธิสฺส ราชกุมารสฺส ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข สญฺชิกาปุโตฺต มาณโว ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โพธิ โข 2 ราชกุมาโร โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติฯ เอวญฺจ วเทติ – ‘อธิวาเสตุ กิร ภวํ โคตโม โพธิสฺส ราชกุมารสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนา’’’ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ อถ โข สญฺชิกาปุโตฺต มาณโว ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา เยน โพธิ ราชกุมาโร เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา โพธิํ ราชกุมารํ เอตทโวจ – ‘‘อโวจุมฺห โภโต วจเนน ตํ ภวนฺตํ โคตมํ – ‘โพธิ โข ราชกุมาโร โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติฯ เอวญฺจ วเทติ – อธิวาเสตุ กิร ภวํ โคตโม โพธิสฺส ราชกุมารสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนา’ติฯ อธิวุฎฺฐญฺจ ปน สมเณน โคตเมนา’’ติฯ

    324. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā bhaggesu viharati susumāragire bhesakaḷāvane migadāye. Tena kho pana samayena bodhissa rājakumārassa kokanado 3 nāma pāsādo acirakārito hoti anajjhāvuṭṭho samaṇena vā brāhmaṇena vā kenaci vā manussabhūtena. Atha kho bodhi rājakumāro sañjikāputtaṃ māṇavaṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, samma sañjikāputta, yena bhagavā tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā mama vacanena bhagavato pāde sirasā vanda, appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha – ‘bodhi, bhante, rājakumāro bhagavato pāde sirasā vandati, appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchatī’ti. Evañca vadehi – ‘adhivāsetu kira, bhante, bhagavā bodhissa rājakumārassa svātanāya bhattaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghenā’’’ti. ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho sañjikāputto māṇavo bodhissa rājakumārassa paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavatā saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho sañjikāputto māṇavo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘bodhi kho 4 rājakumāro bhoto gotamassa pāde sirasā vandati, appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchati. Evañca vadeti – ‘adhivāsetu kira bhavaṃ gotamo bodhissa rājakumārassa svātanāya bhattaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghenā’’’ti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena. Atha kho sañjikāputto māṇavo bhagavato adhivāsanaṃ viditvā uṭṭhāyāsanā yena bodhi rājakumāro tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bodhiṃ rājakumāraṃ etadavoca – ‘‘avocumha bhoto vacanena taṃ bhavantaṃ gotamaṃ – ‘bodhi kho rājakumāro bhoto gotamassa pāde sirasā vandati, appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchati. Evañca vadeti – adhivāsetu kira bhavaṃ gotamo bodhissa rājakumārassa svātanāya bhattaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghenā’ti. Adhivuṭṭhañca pana samaṇena gotamenā’’ti.

    ๓๒๕. อถ โข โพธิ ราชกุมาโร ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก นิเวสเน ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาทาเปตฺวา, โกกนทญฺจ ปาสาทํ โอทาเตหิ ทุเสฺสหิ สนฺถราเปตฺวา ยาว ปจฺฉิมโสปานกเฬวรา 5, สญฺชิกาปุตฺตํ มาณวํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, เยน ภควา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต กาลํ อาโรเจหิ – ‘กาโล, ภเนฺต, นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’’นฺติฯ ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข สญฺชิกาปุโตฺต มาณโว โพธิสฺส ราชกุมารสฺส ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต กาลํ อาโรเจสิ – ‘‘กาโล, โภ โคตม, นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’นฺติฯ อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน โพธิสฺส ราชกุมารสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิฯ เตน โข ปน สมเยน โพธิ ราชกุมาโร พหิทฺวารโกฎฺฐเก ฐิโต โหติ ภควนฺตํ อาคมยมาโนฯ อทฺทสา โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปุรกฺขตฺวา เยน โกกนโท ปาสาโท เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข ภควา ปจฺฉิมํ โสปานกเฬวรํ นิสฺสาย อฎฺฐาสิฯ อถ โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิรุหตุ 6, ภเนฺต, ภควา ทุสฺสานิ, อภิรุหตุ สุคโต ทุสฺสานิ; ยํ มม อสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ภควา ตุณฺหี อโหสิฯ ทุติยมฺปิ โข…เป.… ตติยมฺปิ โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิรุหตุ, ภเนฺต, ภควาฯ ทุสฺสานิ, อภิรุหตุ สุคโต ทุสฺสานิ; ยํ มม อสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติฯ

    325. Atha kho bodhi rājakumāro tassā rattiyā accayena sake nivesane paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādāpetvā, kokanadañca pāsādaṃ odātehi dussehi santharāpetvā yāva pacchimasopānakaḷevarā 7, sañjikāputtaṃ māṇavaṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, samma sañjikāputta, yena bhagavā tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā bhagavato kālaṃ ārocehi – ‘kālo, bhante, niṭṭhitaṃ bhatta’’’nti. ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho sañjikāputto māṇavo bodhissa rājakumārassa paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavato kālaṃ ārocesi – ‘‘kālo, bho gotama, niṭṭhitaṃ bhatta’’nti. Atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya yena bodhissa rājakumārassa nivesanaṃ tenupasaṅkami. Tena kho pana samayena bodhi rājakumāro bahidvārakoṭṭhake ṭhito hoti bhagavantaṃ āgamayamāno. Addasā kho bodhi rājakumāro bhagavantaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna paccuggantvā bhagavantaṃ abhivādetvā purakkhatvā yena kokanado pāsādo tenupasaṅkami. Atha kho bhagavā pacchimaṃ sopānakaḷevaraṃ nissāya aṭṭhāsi. Atha kho bodhi rājakumāro bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhiruhatu 8, bhante, bhagavā dussāni, abhiruhatu sugato dussāni; yaṃ mama assa dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti. Evaṃ vutte, bhagavā tuṇhī ahosi. Dutiyampi kho…pe… tatiyampi kho bodhi rājakumāro bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhiruhatu, bhante, bhagavā. Dussāni, abhiruhatu sugato dussāni; yaṃ mama assa dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti.

    ๓๒๖. อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อปโลเกสิฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท โพธิํ ราชกุมารํ เอตทโวจ – ‘‘สํหรตุ, ราชกุมาร, ทุสฺสานิ; น ภควา เจลปฎิกํ 9 อกฺกมิสฺสติฯ ปจฺฉิมํ ชนตํ ตถาคโต อนุกมฺปตี’’ติ 10ฯ อถ โข โพธิ ราชกุมาโร ทุสฺสานิ สํหราเปตฺวา อุปริโกกนทปาสาเท 11 อาสนานิ ปญฺญเปสิฯ อถ โข ภควา โกกนทํ ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนฯ อถ โข โพธิ ราชกุมาโร พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสิฯ อถ โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘มยฺหํ โข, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘น โข สุเขน สุขํ อธิคนฺตพฺพํ, ทุเกฺขน โข สุขํ อธิคนฺตพฺพ’’’นฺติฯ

    326. Atha kho bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ apalokesi. Atha kho āyasmā ānando bodhiṃ rājakumāraṃ etadavoca – ‘‘saṃharatu, rājakumāra, dussāni; na bhagavā celapaṭikaṃ 12 akkamissati. Pacchimaṃ janataṃ tathāgato anukampatī’’ti 13. Atha kho bodhi rājakumāro dussāni saṃharāpetvā uparikokanadapāsāde 14 āsanāni paññapesi. Atha kho bhagavā kokanadaṃ pāsādaṃ abhiruhitvā paññatte āsane nisīdi saddhiṃ bhikkhusaṅghena. Atha kho bodhi rājakumāro buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi sampavāresi. Atha kho bodhi rājakumāro bhagavantaṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho bodhi rājakumāro bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘mayhaṃ kho, bhante, evaṃ hoti – ‘na kho sukhena sukhaṃ adhigantabbaṃ, dukkhena kho sukhaṃ adhigantabba’’’nti.

    ๓๒๗. ‘‘มยฺหมฺปิ โข, ราชกุมาร, ปุเพฺพว สโมฺพธา อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตเสฺสว สโต เอตทโหสิ – ‘น โข สุเขน สุขํ อธิคนฺตพฺพํ, ทุเกฺขน โข สุขํ อธิคนฺตพฺพ’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, อปเรน สมเยน ทหโรว สมาโน สุสุกาฬเกโส ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต ปฐเมน วยสา อกามกานํ มาตาปิตูนํ อสฺสุมุขานํ รุทนฺตานํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิํฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กิํกุสลคเวสี 15 อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ – ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส กาลาม, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุ’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชกุมาร, อาฬาโร กาลาโม มํ เอตทโวจ – ‘วิหรตายสฺมา, ตาทิโส อยํ ธโมฺม ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส นจิรเสฺสว สกํ อาจริยกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิํฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตาวตเกเนว โอฎฺฐปหตมเตฺตน ลปิตลาปนมเตฺตน ญาณวาทญฺจ วทามิ, เถรวาทญฺจ ชานามิ ปสฺสามีติ จ ปฎิชานามิ, อหเญฺจว อเญฺญ จฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘น โข อาฬาโร กาลาโม อิมํ ธมฺมํ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ; อทฺธา อาฬาโร กาลาโม อิมํ ธมฺมํ ชานํ ปสฺสํ วิหรตี’ติฯ

    327. ‘‘Mayhampi kho, rājakumāra, pubbeva sambodhā anabhisambuddhassa bodhisattasseva sato etadahosi – ‘na kho sukhena sukhaṃ adhigantabbaṃ, dukkhena kho sukhaṃ adhigantabba’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, aparena samayena daharova samāno susukāḷakeso bhadrena yobbanena samannāgato paṭhamena vayasā akāmakānaṃ mātāpitūnaṃ assumukhānaṃ rudantānaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajiṃ. So evaṃ pabbajito samāno kiṃkusalagavesī 16 anuttaraṃ santivarapadaṃ pariyesamāno yena āḷāro kālāmo tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā āḷāraṃ kālāmaṃ etadavocaṃ – ‘icchāmahaṃ, āvuso kālāma, imasmiṃ dhammavinaye brahmacariyaṃ caritu’nti. Evaṃ vutte, rājakumāra, āḷāro kālāmo maṃ etadavoca – ‘viharatāyasmā, tādiso ayaṃ dhammo yattha viññū puriso nacirasseva sakaṃ ācariyakaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyyā’ti. So kho ahaṃ, rājakumāra, nacirasseva khippameva taṃ dhammaṃ pariyāpuṇiṃ. So kho ahaṃ, rājakumāra, tāvatakeneva oṭṭhapahatamattena lapitalāpanamattena ñāṇavādañca vadāmi, theravādañca jānāmi passāmīti ca paṭijānāmi, ahañceva aññe ca. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘na kho āḷāro kālāmo imaṃ dhammaṃ kevalaṃ saddhāmattakena sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedeti; addhā āḷāro kālāmo imaṃ dhammaṃ jānaṃ passaṃ viharatī’ti.

    ‘‘อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ – ‘กิตฺตาวตา โน, อาวุโส กาลาม, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสี’ติ 17? เอวํ วุเตฺต, ราชกุมาร, อาฬาโร กาลาโม อากิญฺจญฺญายตนํ ปเวเทสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ สทฺธา, มยฺหํปตฺถิ สทฺธา; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ วีริยํ…เป.… สติ… สมาธิ… ปญฺญา, มยฺหํปตฺถิ ปญฺญาฯ ยํนูนาหํ ยํ ธมฺมํ อาฬาโร กาลาโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ ตสฺส ธมฺมสฺส สจฺฉิกิริยาย ปทเหยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิํฯ อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ – ‘เอตฺตาวตา โน, อาวุโส กาลาม, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี’ติ? ‘เอตฺตาวตา โข อหํ, อาวุโส, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมี’ติฯ ‘อหมฺปิ โข, อาวุโส, เอตฺตาวตา อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ ‘ลาภา โน, อาวุโส, สุลทฺธํ โน, อาวุโส, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ตาทิสํ สพฺรหฺมจาริํ ปสฺสาม ฯ อิติ ยาหํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมิ, ตํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิฯ ยํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิ, ตมหํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมิฯ อิติ ยาหํ ธมฺมํ ชานามิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ; ยํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ ตมหํ ธมฺมํ ชานามิฯ อิติ ยาทิโส อหํ, ตาทิโส ตุวํ; ยาทิโส ตุวํ ตาทิโส อหํฯ เอหิ ทานิ, อาวุโส, อุโภว สนฺตา อิมํ คณํ ปริหรามา’ติฯ อิติ โข, ราชกุมาร, อาฬาโร กาลาโม อาจริโย เม สมาโน (อตฺตโน) 18 อเนฺตวาสิํ มํ สมานํ อตฺตนา 19 สมสมํ ฐเปสิ, อุฬาราย จ มํ ปูชาย ปูเชสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘นายํ ธโมฺม นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สโมฺพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว อากิญฺจญฺญายตนูปปตฺติยา’ติ ฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตํ ธมฺมํ อนลงฺกริตฺวา ตสฺมา ธมฺมา นิพฺพิชฺช อปกฺกมิํฯ

    ‘‘Atha khvāhaṃ, rājakumāra, yena āḷāro kālāmo tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā āḷāraṃ kālāmaṃ etadavocaṃ – ‘kittāvatā no, āvuso kālāma, imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedesī’ti 20? Evaṃ vutte, rājakumāra, āḷāro kālāmo ākiñcaññāyatanaṃ pavedesi. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘na kho āḷārasseva kālāmassa atthi saddhā, mayhaṃpatthi saddhā; na kho āḷārasseva kālāmassa atthi vīriyaṃ…pe… sati… samādhi… paññā, mayhaṃpatthi paññā. Yaṃnūnāhaṃ yaṃ dhammaṃ āḷāro kālāmo sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedeti tassa dhammassa sacchikiriyāya padaheyya’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, nacirasseva khippameva taṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihāsiṃ. Atha khvāhaṃ, rājakumāra, yena āḷāro kālāmo tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā āḷāraṃ kālāmaṃ etadavocaṃ – ‘ettāvatā no, āvuso kālāma, imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesī’ti? ‘Ettāvatā kho ahaṃ, āvuso, imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedemī’ti. ‘Ahampi kho, āvuso, ettāvatā imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmī’ti. ‘Lābhā no, āvuso, suladdhaṃ no, āvuso, ye mayaṃ āyasmantaṃ tādisaṃ sabrahmacāriṃ passāma . Iti yāhaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedemi, taṃ tvaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharasi. Yaṃ tvaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharasi, tamahaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedemi. Iti yāhaṃ dhammaṃ jānāmi taṃ tvaṃ dhammaṃ jānāsi; yaṃ tvaṃ dhammaṃ jānāsi tamahaṃ dhammaṃ jānāmi. Iti yādiso ahaṃ, tādiso tuvaṃ; yādiso tuvaṃ tādiso ahaṃ. Ehi dāni, āvuso, ubhova santā imaṃ gaṇaṃ pariharāmā’ti. Iti kho, rājakumāra, āḷāro kālāmo ācariyo me samāno (attano) 21 antevāsiṃ maṃ samānaṃ attanā 22 samasamaṃ ṭhapesi, uḷārāya ca maṃ pūjāya pūjesi. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘nāyaṃ dhammo nibbidāya na virāgāya na nirodhāya na upasamāya na abhiññāya na sambodhāya na nibbānāya saṃvattati, yāvadeva ākiñcaññāyatanūpapattiyā’ti . So kho ahaṃ, rājakumāra, taṃ dhammaṃ analaṅkaritvā tasmā dhammā nibbijja apakkamiṃ.

    ๓๒๘. ‘‘โส โข อหํ, ราชกุมาร, กิํกุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน เยน อุทโก 23 รามปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ – ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส 24, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุ’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชกุมาร, อุทโก รามปุโตฺต มํ เอตทโวจ – ‘วิหรตายสฺมา, ตาทิโส อยํ ธโมฺม ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส นจิรเสฺสว สกํ อาจริยกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิํฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตาวตเกเนว โอฎฺฐปหตมเตฺตน ลปิตลาปนมเตฺตน ญาณวาทญฺจ วทามิ, เถรวาทญฺจ ชานามิ ปสฺสามีติ จ ปฎิชานามิ, อหเญฺจว อเญฺญ จฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘น โข ราโม อิมํ ธมฺมํ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสิ; อทฺธา ราโม อิมํ ธมฺมํ ชานํ ปสฺสํ วิหาสี’ติฯ อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, เยน อุทโก รามปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ – ‘กิตฺตาวตา โน, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสี’ติ? เอวํ วุเตฺต, ราชกุมาร, อุทโก รามปุโตฺต เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ปเวเทสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘น โข รามเสฺสว อโหสิ สทฺธา, มยฺหํปตฺถิ สทฺธา; น โข รามเสฺสว อโหสิ วีริยํ…เป.… สติ… สมาธิ… ปญฺญา, มยฺหํปตฺถิ ปญฺญาฯ ยํนูนาหํ ยํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ ตสฺส ธมฺมสฺส สจฺฉิกิริยาย ปทเหยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิํฯ

    328. ‘‘So kho ahaṃ, rājakumāra, kiṃkusalagavesī anuttaraṃ santivarapadaṃ pariyesamāno yena udako 25 rāmaputto tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā udakaṃ rāmaputtaṃ etadavocaṃ – ‘icchāmahaṃ, āvuso 26, imasmiṃ dhammavinaye brahmacariyaṃ caritu’nti. Evaṃ vutte, rājakumāra, udako rāmaputto maṃ etadavoca – ‘viharatāyasmā, tādiso ayaṃ dhammo yattha viññū puriso nacirasseva sakaṃ ācariyakaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyyā’ti. So kho ahaṃ, rājakumāra, nacirasseva khippameva taṃ dhammaṃ pariyāpuṇiṃ. So kho ahaṃ, rājakumāra, tāvatakeneva oṭṭhapahatamattena lapitalāpanamattena ñāṇavādañca vadāmi, theravādañca jānāmi passāmīti ca paṭijānāmi, ahañceva aññe ca. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘na kho rāmo imaṃ dhammaṃ kevalaṃ saddhāmattakena sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedesi; addhā rāmo imaṃ dhammaṃ jānaṃ passaṃ vihāsī’ti. Atha khvāhaṃ, rājakumāra, yena udako rāmaputto tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā udakaṃ rāmaputtaṃ etadavocaṃ – ‘kittāvatā no, āvuso, rāmo imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedesī’ti? Evaṃ vutte, rājakumāra, udako rāmaputto nevasaññānāsaññāyatanaṃ pavedesi. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘na kho rāmasseva ahosi saddhā, mayhaṃpatthi saddhā; na kho rāmasseva ahosi vīriyaṃ…pe… sati… samādhi… paññā, mayhaṃpatthi paññā. Yaṃnūnāhaṃ yaṃ dhammaṃ rāmo sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedeti tassa dhammassa sacchikiriyāya padaheyya’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, nacirasseva khippameva taṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihāsiṃ.

    ‘‘อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, เยน อุทโก รามปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ – ‘เอตฺตาวตา โน, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี’ติ? ‘เอตฺตาวตา โข, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี’ติฯ ‘อหมฺปิ โข, อาวุโส, เอตฺตาวตา อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ ‘ลาภา โน, อาวุโส, สุลทฺธํ โน, อาวุโส, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ตาทิสํ สพฺรหฺมจาริํ ปสฺสามฯ อิติ ยํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิฯ ยํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิ ตํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสิฯ อิติ ยํ ธมฺมํ ราโม อภิญฺญาสิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ; ยํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ ตํ ธมฺมํ ราโม อภิญฺญาสิฯ อิติ ยาทิโส ราโม อโหสิ ตาทิโส ตุวํ, ยาทิโส ตุวํ ตาทิโส ราโม อโหสิฯ เอหิ ทานิ, อาวุโส, ตุวํ อิมํ คณํ ปริหรา’ติฯ อิติ โข, ราชกุมาร, อุทโก รามปุโตฺต สพฺรหฺมจารี เม สมาโน อาจริยฎฺฐาเน มํ ฐเปสิ, อุฬาราย จ มํ ปูชาย ปูเชสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘นายํ ธโมฺม นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สโมฺพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปปตฺติยา’ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตํ ธมฺมํ อนลงฺกริตฺวา ตสฺมา ธมฺมา นิพฺพิชฺช อปกฺกมิํฯ

    ‘‘Atha khvāhaṃ, rājakumāra, yena udako rāmaputto tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā udakaṃ rāmaputtaṃ etadavocaṃ – ‘ettāvatā no, āvuso, rāmo imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesī’ti? ‘Ettāvatā kho, āvuso, rāmo imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesī’ti. ‘Ahampi kho, āvuso, ettāvatā imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmī’ti. ‘Lābhā no, āvuso, suladdhaṃ no, āvuso, ye mayaṃ āyasmantaṃ tādisaṃ sabrahmacāriṃ passāma. Iti yaṃ dhammaṃ rāmo sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesi taṃ tvaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharasi. Yaṃ tvaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharasi taṃ dhammaṃ rāmo sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesi. Iti yaṃ dhammaṃ rāmo abhiññāsi taṃ tvaṃ dhammaṃ jānāsi; yaṃ tvaṃ dhammaṃ jānāsi taṃ dhammaṃ rāmo abhiññāsi. Iti yādiso rāmo ahosi tādiso tuvaṃ, yādiso tuvaṃ tādiso rāmo ahosi. Ehi dāni, āvuso, tuvaṃ imaṃ gaṇaṃ pariharā’ti. Iti kho, rājakumāra, udako rāmaputto sabrahmacārī me samāno ācariyaṭṭhāne maṃ ṭhapesi, uḷārāya ca maṃ pūjāya pūjesi. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘nāyaṃ dhammo nibbidāya na virāgāya na nirodhāya na upasamāya na abhiññāya na sambodhāya na nibbānāya saṃvattati, yāvadeva nevasaññānāsaññāyatanūpapattiyā’ti. So kho ahaṃ, rājakumāra, taṃ dhammaṃ analaṅkaritvā tasmā dhammā nibbijja apakkamiṃ.

    ๓๒๙. ‘‘โส โข อหํ, ราชกุมาร, กิํกุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน, มคเธสุ อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน, เยน อุรุเวลา เสนานิคโม ตทวสริํฯ ตตฺถทฺทสํ รมณียํ ภูมิภาคํ, ปาสาทิกญฺจ วนสณฺฑํ, นทีญฺจ สนฺทนฺติํ เสตกํ สุปติตฺถํ, รมณียํ สมนฺตา จ โคจรคามํฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘รมณีโย วต, โภ, ภูมิภาโค, ปาสาทิโก จ วนสโณฺฑ, นทิญฺจ สนฺทนฺติํ เสตกา สุปติตฺถา , รมณียา สมนฺตา 27 จ โคจรคาโมฯ อลํ วติทํ กุลปุตฺตสฺส ปธานตฺถิกสฺส ปธานายา’ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตเตฺถว นิสีทิํ – ‘อลมิทํ ปธานายา’ติฯ อปิสฺสุ มํ, ราชกุมาร, ติโสฺส อุปมา ปฎิภํสุ อนจฺฉริยา ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพาฯ

    329. ‘‘So kho ahaṃ, rājakumāra, kiṃkusalagavesī anuttaraṃ santivarapadaṃ pariyesamāno, magadhesu anupubbena cārikaṃ caramāno, yena uruvelā senānigamo tadavasariṃ. Tatthaddasaṃ ramaṇīyaṃ bhūmibhāgaṃ, pāsādikañca vanasaṇḍaṃ, nadīñca sandantiṃ setakaṃ supatitthaṃ, ramaṇīyaṃ samantā ca gocaragāmaṃ. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘ramaṇīyo vata, bho, bhūmibhāgo, pāsādiko ca vanasaṇḍo, nadiñca sandantiṃ setakā supatitthā , ramaṇīyā samantā 28 ca gocaragāmo. Alaṃ vatidaṃ kulaputtassa padhānatthikassa padhānāyā’ti. So kho ahaṃ, rājakumāra, tattheva nisīdiṃ – ‘alamidaṃ padhānāyā’ti. Apissu maṃ, rājakumāra, tisso upamā paṭibhaṃsu anacchariyā pubbe assutapubbā.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, อลฺลํ กฎฺฐํ สเสฺนหํ อุทเก นิกฺขิตฺตํฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย อุตฺตรารณิํ อาทาย – ‘อคฺคิํ อภินิพฺพเตฺตสฺสามิ, เตโช ปาตุกริสฺสามี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส อมุํ อลฺลํ กฎฺฐํ สเสฺนหํ อุทเก นิกฺขิตฺตํ อุตฺตรารณิํ อาทาย อภิมเนฺถโนฺต 29 อคฺคิํ อภินิพฺพเตฺตยฺย, เตโช ปาตุกเรยฺยา’’ติ? ‘‘โน หิทํ, ภเนฺตฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อทุญฺหิ, ภเนฺต, อลฺลํ กฎฺฐํ สเสฺนหํ ตญฺจ ปน อุทเก นิกฺขิตฺตํ, ยาวเทว จ ปน โส ปุริโส กิลมถสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, ราชกุมาร, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กาเยน เจว จิเตฺตน จ กาเมหิ อวูปกฎฺฐา วิหรนฺติ, โย จ เนสํ กาเมสุ กามจฺฉโนฺท กามเสฺนโห กามมุจฺฉา กามปิปาสา กามปริฬาโห โส จ อชฺฌตฺตํ น สุปฺปหีโน โหติ, น สุปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธฯ โอปกฺกมิกา เจปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติ, อภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายฯ โน เจปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติ, อภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายฯ อยํ โข มํ, ราชกุมาร, ปฐมา อุปมา ปฎิภาสิ อนจฺฉริยา ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพาฯ

    ‘‘Seyyathāpi, rājakumāra, allaṃ kaṭṭhaṃ sasnehaṃ udake nikkhittaṃ. Atha puriso āgaccheyya uttarāraṇiṃ ādāya – ‘aggiṃ abhinibbattessāmi, tejo pātukarissāmī’ti. Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, api nu so puriso amuṃ allaṃ kaṭṭhaṃ sasnehaṃ udake nikkhittaṃ uttarāraṇiṃ ādāya abhimanthento 30 aggiṃ abhinibbatteyya, tejo pātukareyyā’’ti? ‘‘No hidaṃ, bhante. Taṃ kissa hetu? Aduñhi, bhante, allaṃ kaṭṭhaṃ sasnehaṃ tañca pana udake nikkhittaṃ, yāvadeva ca pana so puriso kilamathassa vighātassa bhāgī assā’’ti. ‘‘Evameva kho, rājakumāra, ye hi keci samaṇā vā brāhmaṇā vā kāyena ceva cittena ca kāmehi avūpakaṭṭhā viharanti, yo ca nesaṃ kāmesu kāmacchando kāmasneho kāmamucchā kāmapipāsā kāmapariḷāho so ca ajjhattaṃ na suppahīno hoti, na suppaṭippassaddho. Opakkamikā cepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti, abhabbāva te ñāṇāya dassanāya anuttarāya sambodhāya. No cepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā opakkamikā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti, abhabbāva te ñāṇāya dassanāya anuttarāya sambodhāya. Ayaṃ kho maṃ, rājakumāra, paṭhamā upamā paṭibhāsi anacchariyā pubbe assutapubbā.

    ๓๓๐. ‘‘อปราปิ โข มํ, ราชกุมาร, ทุติยา อุปมา ปฎิภาสิ อนจฺฉริยา ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพาฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, อลฺลํ กฎฺฐํ สเสฺนหํ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย อุตฺตรารณิํ อาทาย – ‘อคฺคิํ อภินิพฺพเตฺตสฺสามิ, เตโช ปาตุกริสฺสามี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส อมุํ อลฺลํ กฎฺฐํ สเสฺนหํ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํ อุตฺตรารณิํ อาทาย อภิมเนฺถโนฺต อคฺคิํ อภินิพฺพเตฺตยฺย , เตโช ปาตุกเรยฺยา’’ติ? ‘‘โน หิทํ, ภเนฺตฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อทุญฺหิ, ภเนฺต, อลฺลํ กฎฺฐํ สเสฺนหํ กิญฺจาปิ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํ, ยาวเทว จ ปน โส ปุริโส กิลมถสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, ราชกุมาร, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กาเยน เจว จิเตฺตน จ กาเมหิ วูปกฎฺฐา วิหรนฺติ, โย จ เนสํ กาเมสุ กามจฺฉโนฺท กามเสฺนโห กามมุจฺฉา กามปิปาสา กามปริฬาโห โส จ อชฺฌตฺตํ น สุปฺปหีโน โหติ, น สุปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธฯ โอปกฺกมิกา เจปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติ, อภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายฯ โน เจปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติ, อภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายฯ อยํ โข มํ, ราชกุมาร, ทุติยา อุปมา ปฎิภาสิ อนจฺฉริยา ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพาฯ

    330. ‘‘Aparāpi kho maṃ, rājakumāra, dutiyā upamā paṭibhāsi anacchariyā pubbe assutapubbā. Seyyathāpi, rājakumāra, allaṃ kaṭṭhaṃ sasnehaṃ ārakā udakā thale nikkhittaṃ. Atha puriso āgaccheyya uttarāraṇiṃ ādāya – ‘aggiṃ abhinibbattessāmi, tejo pātukarissāmī’ti. Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, api nu so puriso amuṃ allaṃ kaṭṭhaṃ sasnehaṃ ārakā udakā thale nikkhittaṃ uttarāraṇiṃ ādāya abhimanthento aggiṃ abhinibbatteyya , tejo pātukareyyā’’ti? ‘‘No hidaṃ, bhante. Taṃ kissa hetu? Aduñhi, bhante, allaṃ kaṭṭhaṃ sasnehaṃ kiñcāpi ārakā udakā thale nikkhittaṃ, yāvadeva ca pana so puriso kilamathassa vighātassa bhāgī assā’’ti. ‘‘Evameva kho, rājakumāra, ye hi keci samaṇā vā brāhmaṇā vā kāyena ceva cittena ca kāmehi vūpakaṭṭhā viharanti, yo ca nesaṃ kāmesu kāmacchando kāmasneho kāmamucchā kāmapipāsā kāmapariḷāho so ca ajjhattaṃ na suppahīno hoti, na suppaṭippassaddho. Opakkamikā cepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti, abhabbāva te ñāṇāya dassanāya anuttarāya sambodhāya. No cepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā opakkamikā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti, abhabbāva te ñāṇāya dassanāya anuttarāya sambodhāya. Ayaṃ kho maṃ, rājakumāra, dutiyā upamā paṭibhāsi anacchariyā pubbe assutapubbā.

    ๓๓๑. ‘‘อปราปิ โข มํ, ราชกุมาร, ตติยา อุปมา ปฎิภาสิ อนจฺฉริยา ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพาฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, สุกฺขํ กฎฺฐํ โกฬาปํ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย อุตฺตรารณิํ อาทาย – ‘อคฺคิํ อภินิพฺพเตฺตสฺสามิ, เตโช ปาตุกริสฺสามี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส อมุํ สุกฺขํ กฎฺฐํ โกฬาปํ อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตํ อุตฺตรารณิํ อาทาย อภิมเนฺถโนฺต อคฺคิํ อภินิพฺพเตฺตยฺย, เตโช ปาตุกเรยฺยา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อทุญฺหิ, ภเนฺต, สุกฺขํ กฎฺฐํ โกฬาปํ, ตญฺจ ปน อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺต’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, ราชกุมาร, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กาเยน เจว จิเตฺตน จ กาเมหิ วูปกฎฺฐา วิหรนฺติ, โย จ เนสํ กาเมสุ กามจฺฉโนฺท กามเสฺนโห กามมุจฺฉา กามปิปาสา กามปริฬาโห โส จ อชฺฌตฺตํ สุปฺปหีโน โหติ สุปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธฯ โอปกฺกมิกา เจปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติ, ภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายฯ โน เจปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติ, ภพฺพาว เต ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายฯ อยํ โข มํ, ราชกุมาร, ตติยา อุปมา ปฎิภาสิ อนจฺฉริยา ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพาฯ อิมา โข มํ, ราชกุมาร, ติโสฺส อุปมา ปฎิภํสุ อนจฺฉริยา ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพาฯ

    331. ‘‘Aparāpi kho maṃ, rājakumāra, tatiyā upamā paṭibhāsi anacchariyā pubbe assutapubbā. Seyyathāpi, rājakumāra, sukkhaṃ kaṭṭhaṃ koḷāpaṃ ārakā udakā thale nikkhittaṃ. Atha puriso āgaccheyya uttarāraṇiṃ ādāya – ‘aggiṃ abhinibbattessāmi, tejo pātukarissāmī’ti. Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, api nu so puriso amuṃ sukkhaṃ kaṭṭhaṃ koḷāpaṃ ārakā udakā thale nikkhittaṃ uttarāraṇiṃ ādāya abhimanthento aggiṃ abhinibbatteyya, tejo pātukareyyā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. Taṃ kissa hetu? Aduñhi, bhante, sukkhaṃ kaṭṭhaṃ koḷāpaṃ, tañca pana ārakā udakā thale nikkhitta’’nti. ‘‘Evameva kho, rājakumāra, ye hi keci samaṇā vā brāhmaṇā vā kāyena ceva cittena ca kāmehi vūpakaṭṭhā viharanti, yo ca nesaṃ kāmesu kāmacchando kāmasneho kāmamucchā kāmapipāsā kāmapariḷāho so ca ajjhattaṃ suppahīno hoti suppaṭippassaddho. Opakkamikā cepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti, bhabbāva te ñāṇāya dassanāya anuttarāya sambodhāya. No cepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā opakkamikā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti, bhabbāva te ñāṇāya dassanāya anuttarāya sambodhāya. Ayaṃ kho maṃ, rājakumāra, tatiyā upamā paṭibhāsi anacchariyā pubbe assutapubbā. Imā kho maṃ, rājakumāra, tisso upamā paṭibhaṃsu anacchariyā pubbe assutapubbā.

    ๓๓๒. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ ทเนฺตภิทนฺตมาธาย 31, ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ, เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคเณฺหยฺยํ อภินิปฺปีเฬยฺยํ อภิสนฺตาเปยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ทเนฺตภิทนฺตมาธาย, ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ, เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคณฺหามิ อภินิปฺปีเฬมิ อภิสนฺตาเปมิฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, ทเนฺตภิทนฺตมาธาย, ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ, เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคณฺหโต อภินิปฺปีฬยโต อภิสนฺตาปยโต กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, พลวา ปุริโส ทุพฺพลตรํ ปุริสํ สีเส วา คเหตฺวา ขเนฺธ วา คเหตฺวา อภินิคฺคเณฺหยฺย อภินิปฺปีเฬยฺย อภิสนฺตาเปยฺย; เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, ทเนฺตภิทนฺตมาธาย, ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ, เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคณฺหโต อภินิปฺปีฬยโต อภิสนฺตาปยโต กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจนฺติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, สารโทฺธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ

    332. ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ dantebhidantamādhāya 32, jivhāya tāluṃ āhacca, cetasā cittaṃ abhiniggaṇheyyaṃ abhinippīḷeyyaṃ abhisantāpeyya’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, dantebhidantamādhāya, jivhāya tāluṃ āhacca, cetasā cittaṃ abhiniggaṇhāmi abhinippīḷemi abhisantāpemi. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, dantebhidantamādhāya, jivhāya tāluṃ āhacca, cetasā cittaṃ abhiniggaṇhato abhinippīḷayato abhisantāpayato kacchehi sedā muccanti. Seyyathāpi, rājakumāra, balavā puriso dubbalataraṃ purisaṃ sīse vā gahetvā khandhe vā gahetvā abhiniggaṇheyya abhinippīḷeyya abhisantāpeyya; evameva kho me, rājakumāra, dantebhidantamādhāya, jivhāya tāluṃ āhacca, cetasā cittaṃ abhiniggaṇhato abhinippīḷayato abhisantāpayato kacchehi sedā muccanti. Āraddhaṃ kho pana me, rājakumāra, vīriyaṃ hoti asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, sāraddho ca pana me kāyo hoti appaṭippassaddho, teneva dukkhappadhānena padhānābhitunnassa sato.

    ๓๓๓. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธิํฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ กณฺณโสเตหิ วาตานํ นิกฺขมนฺตานํ อธิมโตฺต สโทฺท โหติฯ เสยฺยถาปิ นาม กมฺมารคคฺคริยา ธมมานาย อธิมโตฺต สโทฺท โหติ, เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ กณฺณโสเตหิ วาตานํ นิกฺขมนฺตานํ อธิมโตฺต สโทฺท โหติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, สารโทฺธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ

    333. ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ appāṇakaṃyeva jhānaṃ jhāyeyya’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca assāsapassāse uparundhiṃ. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca assāsapassāsesu uparuddhesu kaṇṇasotehi vātānaṃ nikkhamantānaṃ adhimatto saddo hoti. Seyyathāpi nāma kammāragaggariyā dhamamānāya adhimatto saddo hoti, evameva kho me, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca assāsapassāsesu uparuddhesu kaṇṇasotehi vātānaṃ nikkhamantānaṃ adhimatto saddo hoti. Āraddhaṃ kho pana me, rājakumāra, vīriyaṃ hoti asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, sāraddho ca pana me kāyo hoti appaṭippassaddho, teneva dukkhappadhānena padhānābhitunnassa sato.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธิํฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ อธิมตฺตา วาตา มุทฺธนิ อูหนนฺติ 33ฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, พลวา ปุริโส ติเณฺหน สิขเรน มุทฺธนิ อภิมเตฺถยฺย 34, เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ อธิมตฺตา วาตา มุทฺธนิ อูหนนฺติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, สารโทฺธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ appāṇakaṃyeva jhānaṃ jhāyeyya’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāse uparundhiṃ. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāsesu uparuddhesu adhimattā vātā muddhani ūhananti 35. Seyyathāpi, rājakumāra, balavā puriso tiṇhena sikharena muddhani abhimattheyya 36, evameva kho me, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāsesu uparuddhesu adhimattā vātā muddhani ūhananti. Āraddhaṃ kho pana me, rājakumāra, vīriyaṃ hoti asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, sāraddho ca pana me kāyo hoti appaṭippassaddho, teneva dukkhappadhānena padhānābhitunnassa sato.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธิํฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ อธิมตฺตา สีเส สีสเวทนา โหนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, พลวา ปุริโส ทเฬฺหน วรตฺตกฺขเณฺฑน 37 สีเส สีสเวฐํ ทเทยฺย; เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ อธิมตฺตา สีเส สีสเวทนา โหนฺติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, สารโทฺธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ appāṇakaṃyeva jhānaṃ jhāyeyya’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāse uparundhiṃ. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāsesu uparuddhesu adhimattā sīse sīsavedanā honti. Seyyathāpi, rājakumāra, balavā puriso daḷhena varattakkhaṇḍena 38 sīse sīsaveṭhaṃ dadeyya; evameva kho me, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāsesu uparuddhesu adhimattā sīse sīsavedanā honti. Āraddhaṃ kho pana me, rājakumāra, vīriyaṃ hoti asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, sāraddho ca pana me kāyo hoti appaṭippassaddho, teneva dukkhappadhānena padhānābhitunnassa sato.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธิํฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ อธิมตฺตา วาตา กุจฺฉิํ ปริกนฺตนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, ทโกฺข โคฆาตโก วา โคฆาตกเนฺตวาสี วา ติเณฺหน โควิกนฺตเนน กุจฺฉิํ ปริกเนฺตยฺย, เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ อธิมตฺตา , วาตา กุจฺฉิํ ปริกนฺตนฺติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, สารโทฺธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ appāṇakaṃyeva jhānaṃ jhāyeyya’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāse uparundhiṃ. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāsesu uparuddhesu adhimattā vātā kucchiṃ parikantanti. Seyyathāpi, rājakumāra, dakkho goghātako vā goghātakantevāsī vā tiṇhena govikantanena kucchiṃ parikanteyya, evameva kho me, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāsesu uparuddhesu adhimattā , vātā kucchiṃ parikantanti. Āraddhaṃ kho pana me, rājakumāra, vīriyaṃ hoti asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, sāraddho ca pana me kāyo hoti appaṭippassaddho, teneva dukkhappadhānena padhānābhitunnassa sato.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ อปฺปาณกํเยว ฌานํ ฌาเยยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธิํฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ อธิมโตฺต กายสฺมิํ ฑาโห โหติฯ เสยฺยถาปิ, ราชกุมาร, เทฺว พลวโนฺต ปุริสา ทุพฺพลตรํ ปุริสํ นานาพาหาสุ คเหตฺวา องฺคารกาสุยา สนฺตาเปยฺยุํ สมฺปริตาเปยฺยุํ, เอวเมว โข เม, ราชกุมาร, มุขโต จ นาสโต จ กณฺณโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุเทฺธสุ อธิมโตฺต กายสฺมิํ ฑาโห โหติฯ อารทฺธํ โข ปน เม, ราชกุมาร, วีริยํ โหติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, สารโทฺธ จ ปน เม กาโย โหติ อปฺปฎิปฺปสฺสโทฺธ, เตเนว ทุกฺขปฺปธาเนน ปธานาภิตุนฺนสฺส สโตฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ appāṇakaṃyeva jhānaṃ jhāyeyya’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāse uparundhiṃ. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāsesu uparuddhesu adhimatto kāyasmiṃ ḍāho hoti. Seyyathāpi, rājakumāra, dve balavanto purisā dubbalataraṃ purisaṃ nānābāhāsu gahetvā aṅgārakāsuyā santāpeyyuṃ samparitāpeyyuṃ, evameva kho me, rājakumāra, mukhato ca nāsato ca kaṇṇato ca assāsapassāsesu uparuddhesu adhimatto kāyasmiṃ ḍāho hoti. Āraddhaṃ kho pana me, rājakumāra, vīriyaṃ hoti asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, sāraddho ca pana me kāyo hoti appaṭippassaddho, teneva dukkhappadhānena padhānābhitunnassa sato.

    ‘‘อปิสฺสุ มํ, ราชกุมาร, เทวตา ทิสฺวา เอวมาหํสุ – ‘กาลงฺกโต สมโณ โคตโม’ติฯ เอกจฺจา เทวตา เอวมาหํสุ – ‘น กาลงฺกโต สมโณ โคตโม, อปิ จ กาลงฺกโรตี’ติฯ เอกจฺจา เทวตา เอวมาหํสุ – ‘น กาลงฺกโต สมโณ โคตโม, นาปิ กาลงฺกโรติ ฯ อรหํ สมโณ โคตโมฯ วิหาโรเตฺวว โส 39 อรหโต เอวรูโป โหตี’ติ 40

    ‘‘Apissu maṃ, rājakumāra, devatā disvā evamāhaṃsu – ‘kālaṅkato samaṇo gotamo’ti. Ekaccā devatā evamāhaṃsu – ‘na kālaṅkato samaṇo gotamo, api ca kālaṅkarotī’ti. Ekaccā devatā evamāhaṃsu – ‘na kālaṅkato samaṇo gotamo, nāpi kālaṅkaroti . Arahaṃ samaṇo gotamo. Vihārotveva so 41 arahato evarūpo hotī’ti 42.

    ๓๓๔. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ สพฺพโส อาหารุปเจฺฉทาย ปฎิปเชฺชยฺย’นฺติฯ อถ โข มํ, ราชกุมาร, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจุํ – ‘มา โข ตฺวํ, มาริส, สพฺพโส อาหารุปเจฺฉทาย ปฎิปชฺชิฯ สเจ โข ตฺวํ, มาริส, สพฺพโส อาหารุปเจฺฉทาย ปฎิปชฺชิสฺสสิ, ตสฺส เต มยํ ทิพฺพํ โอชํ โลมกูเปหิ อโชฺฌหาเรสฺสาม 43, ตาย ตฺวํ ยาเปสฺสสี’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘อหเญฺจว โข ปน สพฺพโส อชชฺชิตํ 44 ปฎิชาเนยฺยํฯ อิมา จ เม เทวตา ทิพฺพํ โอชํ โลมกูเปหิ อโชฺฌหาเรยฺยุํ 45, ตาย จาหํ ยาเปยฺยํ, ตํ มมสฺส มุสา’ติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ตา เทวตา ปจฺจาจิกฺขามิฯ ‘หล’นฺติ วทามิฯ

    334. ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ sabbaso āhārupacchedāya paṭipajjeyya’nti. Atha kho maṃ, rājakumāra, devatā upasaṅkamitvā etadavocuṃ – ‘mā kho tvaṃ, mārisa, sabbaso āhārupacchedāya paṭipajji. Sace kho tvaṃ, mārisa, sabbaso āhārupacchedāya paṭipajjissasi, tassa te mayaṃ dibbaṃ ojaṃ lomakūpehi ajjhohāressāma 46, tāya tvaṃ yāpessasī’ti. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘ahañceva kho pana sabbaso ajajjitaṃ 47 paṭijāneyyaṃ. Imā ca me devatā dibbaṃ ojaṃ lomakūpehi ajjhohāreyyuṃ 48, tāya cāhaṃ yāpeyyaṃ, taṃ mamassa musā’ti. So kho ahaṃ, rājakumāra, tā devatā paccācikkhāmi. ‘Hala’nti vadāmi.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ โถกํ โถกํ อาหารํ อาหาเรยฺยํ ปสตํ ปสตํ, ยทิ วา มุคฺคยูสํ ยทิ วา กุลตฺถยูสํ ยทิ วา กฬายยูสํ ยทิ วา หเรณุกยูส’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, โถกํ โถกํ อาหารํ อาหาเรสิํ ปสตํ ปสตํ, ยทิ วา มุคฺคยูสํ ยทิ วา กุลตฺถยูสํ ยทิ วา กฬายยูสํ ยทิ วา หเรณุกยูสํฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, โถกํ โถกํ อาหารํ อาหารยโต ปสตํ ปสตํ, ยทิ วา มุคฺคยูสํ ยทิ วา กุลตฺถยูสํ ยทิ วา กฬายยูสํ ยทิ วา หเรณุกยูสํ, อธิมตฺตกสิมานํ ปโตฺต กาโย โหติฯ เสยฺยถาปิ นาม อาสีติกปพฺพานิ วา กาฬปพฺพานิ วา, เอวเมวสฺสุ เม องฺคปจฺจงฺคานิ ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม โอฎฺฐปทํ, เอวเมวสฺสุ เม อานิสทํ โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม วฎฺฎนาวฬี, เอวเมวสฺสุ เม ปิฎฺฐิกณฺฎโก อุณฺณตาวนโต โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ชรสาลาย โคปานสิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ, เอวเมวสฺสุ เม ผาสุฬิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม คมฺภีเร อุทปาเน อุทกตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ, เอวเมวสฺสุ เม อกฺขิกูเปสุ อกฺขิตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ติตฺตกาลาพุ อามกจฺฉิโนฺน วาตาตเปน สํผุฎิโต 49 โหติ สมฺมิลาโต, เอวเมวสฺสุ เม สีสจฺฉวิ สํผุฎิตา โหติ สมฺมิลาตา ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ‘อุทรจฺฉวิํ ปริมสิสฺสามี’ติ ปิฎฺฐิกณฺฎกํเยว ปริคฺคณฺหามิ, ‘ปิฎฺฐิกณฺฎกํ ปริมสิสฺสามี’ติ อุทรจฺฉวิํเยว ปริคฺคณฺหามิฯ ยาวสฺสุ เม, ราชกุมาร, อุทรจฺฉวิ ปิฎฺฐิกณฺฎกํ อลฺลีนา โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, ‘วจฺจํ วา มุตฺตํ วา กริสฺสามี’ติ ตเตฺถว อวกุโชฺช ปปตามิ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, อิมเมว กายํ อสฺสาเสโนฺต ปาณินา คตฺตานิ อนุมชฺชามิฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, ปาณินา คตฺตานิ อนุมชฺชโต ปูติมูลานิ โลมานิ กายสฺมา ปปตนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ อปิสฺสุ มํ, ราชกุมาร, มนุสฺสา ทิสฺวา เอวมาหํสุ – ‘กาโฬ สมโณ โคตโม’ติ, เอกเจฺจ มนุสฺสา เอวมาหํสุ – ‘น กาโฬ สมโณ โคตโม, สาโม สมโณ โคตโม’ติฯ เอกเจฺจ มนุสฺสา เอวมาหํสุ – ‘น กาโฬ สมโณ โคตโม, นปิ สาโม, มงฺคุรจฺฉวิ สมโณ โคตโม’ติฯ ยาวสฺสุ เม, ราชกุมาร, ตาว ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ ปริโยทาโต อุปหโต โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ thokaṃ thokaṃ āhāraṃ āhāreyyaṃ pasataṃ pasataṃ, yadi vā muggayūsaṃ yadi vā kulatthayūsaṃ yadi vā kaḷāyayūsaṃ yadi vā hareṇukayūsa’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, thokaṃ thokaṃ āhāraṃ āhāresiṃ pasataṃ pasataṃ, yadi vā muggayūsaṃ yadi vā kulatthayūsaṃ yadi vā kaḷāyayūsaṃ yadi vā hareṇukayūsaṃ. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, thokaṃ thokaṃ āhāraṃ āhārayato pasataṃ pasataṃ, yadi vā muggayūsaṃ yadi vā kulatthayūsaṃ yadi vā kaḷāyayūsaṃ yadi vā hareṇukayūsaṃ, adhimattakasimānaṃ patto kāyo hoti. Seyyathāpi nāma āsītikapabbāni vā kāḷapabbāni vā, evamevassu me aṅgapaccaṅgāni bhavanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma oṭṭhapadaṃ, evamevassu me ānisadaṃ hoti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma vaṭṭanāvaḷī, evamevassu me piṭṭhikaṇṭako uṇṇatāvanato hoti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma jarasālāya gopānasiyo oluggaviluggā bhavanti, evamevassu me phāsuḷiyo oluggaviluggā bhavanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma gambhīre udapāne udakatārakā gambhīragatā okkhāyikā dissanti, evamevassu me akkhikūpesu akkhitārakā gambhīragatā okkhāyikā dissanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma tittakālābu āmakacchinno vātātapena saṃphuṭito 50 hoti sammilāto, evamevassu me sīsacchavi saṃphuṭitā hoti sammilātā tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, rājakumāra, ‘udaracchaviṃ parimasissāmī’ti piṭṭhikaṇṭakaṃyeva pariggaṇhāmi, ‘piṭṭhikaṇṭakaṃ parimasissāmī’ti udaracchaviṃyeva pariggaṇhāmi. Yāvassu me, rājakumāra, udaracchavi piṭṭhikaṇṭakaṃ allīnā hoti tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, rājakumāra, ‘vaccaṃ vā muttaṃ vā karissāmī’ti tattheva avakujjo papatāmi tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, rājakumāra, imameva kāyaṃ assāsento pāṇinā gattāni anumajjāmi. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, pāṇinā gattāni anumajjato pūtimūlāni lomāni kāyasmā papatanti tāyevappāhāratāya. Apissu maṃ, rājakumāra, manussā disvā evamāhaṃsu – ‘kāḷo samaṇo gotamo’ti, ekacce manussā evamāhaṃsu – ‘na kāḷo samaṇo gotamo, sāmo samaṇo gotamo’ti. Ekacce manussā evamāhaṃsu – ‘na kāḷo samaṇo gotamo, napi sāmo, maṅguracchavi samaṇo gotamo’ti. Yāvassu me, rājakumāra, tāva parisuddho chavivaṇṇo pariyodāto upahato hoti tāyevappāhāratāya.

    ๓๓๕. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘เย โข เกจิ อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา 51 ขรา กฎุกา เวทนา เวทยิํสุ, เอตาวปรมํ นยิโต ภิโยฺยฯ เยปิ หิ เกจิ อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยิสฺสนฺติ, เอตาวปรมํ นยิโต ภิโยฺยฯ เยปิ หิ เกจิ เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติ, เอตาวปรมํ นยิโต ภิโยฺยฯ น โข ปนาหํ อิมาย กฎุกาย ทุกฺกรการิกาย อธิคจฺฉามิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ; สิยา นุ โข อโญฺญ มโคฺค โพธายา’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘อภิชานามิ โข ปนาหํ ปิตุ สกฺกสฺส กมฺมเนฺต สีตาย ชมฺพุจฺฉายาย นิสิโนฺน วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตา; สิยา นุ โข เอโส มโคฺค โพธายา’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, สตานุสาริ วิญฺญาณํ อโหสิ – ‘เอเสว มโคฺค โพธายา’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘กิํ นุ โข อหํ ตสฺส สุขสฺส ภายามิ ยํ ตํ สุขํ อญฺญเตฺรว กาเมหิ อญฺญตฺร อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติ? ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘น โข อหํ ตสฺส สุขสฺส ภายามิ ยํ ตํ สุขํ อญฺญเตฺรว กาเมหิ อญฺญตฺร อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติฯ

    335. ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘ye kho keci atītamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā opakkamikā dukkhā tibbā 52 kharā kaṭukā vedanā vedayiṃsu, etāvaparamaṃ nayito bhiyyo. Yepi hi keci anāgatamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā opakkamikā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayissanti, etāvaparamaṃ nayito bhiyyo. Yepi hi keci etarahi samaṇā vā brāhmaṇā vā opakkamikā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedayanti, etāvaparamaṃ nayito bhiyyo. Na kho panāhaṃ imāya kaṭukāya dukkarakārikāya adhigacchāmi uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ; siyā nu kho añño maggo bodhāyā’ti. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘abhijānāmi kho panāhaṃ pitu sakkassa kammante sītāya jambucchāyāya nisinno vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharitā; siyā nu kho eso maggo bodhāyā’ti. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, satānusāri viññāṇaṃ ahosi – ‘eseva maggo bodhāyā’ti. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘kiṃ nu kho ahaṃ tassa sukhassa bhāyāmi yaṃ taṃ sukhaṃ aññatreva kāmehi aññatra akusalehi dhammehī’ti? Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘na kho ahaṃ tassa sukhassa bhāyāmi yaṃ taṃ sukhaṃ aññatreva kāmehi aññatra akusalehi dhammehī’ti.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘น โข ตํ สุกรํ สุขํ อธิคนฺตุํ เอวํ อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺตกาเยนฯ ยํนูนาหํ โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรยฺยํ โอทนกุมฺมาส’นฺติฯ โส โข อหํ, ราชกุมาร, โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรสิํ โอทนกุมฺมาสํฯ เตน โข ปน มํ, ราชกุมาร, สมเยน ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ปจฺจุปฎฺฐิตา โหนฺติ – ‘ยํ โข สมโณ โคตโม ธมฺมํ อธิคมิสฺสติ ตํ โน อาโรเจสฺสตี’ติฯ ยโต โข อหํ, ราชกุมาร, โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรสิํ โอทนกุมฺมาสํ, อถ เม เต ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู นิพฺพิชฺช ปกฺกมิํสุ – ‘พาหุลฺลิโก 53 สมโณ โคตโม ปธานวิพฺภโนฺต, อาวโตฺต พาหุลฺลายา’ติฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘na kho taṃ sukaraṃ sukhaṃ adhigantuṃ evaṃ adhimattakasimānaṃ pattakāyena. Yaṃnūnāhaṃ oḷārikaṃ āhāraṃ āhāreyyaṃ odanakummāsa’nti. So kho ahaṃ, rājakumāra, oḷārikaṃ āhāraṃ āhāresiṃ odanakummāsaṃ. Tena kho pana maṃ, rājakumāra, samayena pañcavaggiyā bhikkhū paccupaṭṭhitā honti – ‘yaṃ kho samaṇo gotamo dhammaṃ adhigamissati taṃ no ārocessatī’ti. Yato kho ahaṃ, rājakumāra, oḷārikaṃ āhāraṃ āhāresiṃ odanakummāsaṃ, atha me te pañcavaggiyā bhikkhū nibbijja pakkamiṃsu – ‘bāhulliko 54 samaṇo gotamo padhānavibbhanto, āvatto bāhullāyā’ti.

    ๓๓๖. ‘‘โส โข อหํ, ราชกุมาร, โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรตฺวา พลํ คเหตฺวา วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสิํฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา… ทุติยํ ฌานํ… ตติยํ ฌานํ… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสิํฯ โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมสิํฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรามิ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ อยํ โข เม, ราชกุมาร, รตฺติยา ปฐเม ยาเม ปฐมา วิชฺชา อธิคตา, อวิชฺชา วิหตา, วิชฺชา อุปฺปนฺนา; ตโม วิหโต, อาโลโก อุปฺปโนฺน – ยถา ตํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโตฯ

    336. ‘‘So kho ahaṃ, rājakumāra, oḷārikaṃ āhāraṃ āhāretvā balaṃ gahetvā vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja vihāsiṃ. Vitakkavicārānaṃ vūpasamā… dutiyaṃ jhānaṃ… tatiyaṃ jhānaṃ… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja vihāsiṃ. So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhininnāmesiṃ. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarāmi, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarāmi. Ayaṃ kho me, rājakumāra, rattiyā paṭhame yāme paṭhamā vijjā adhigatā, avijjā vihatā, vijjā uppannā; tamo vihato, āloko uppanno – yathā taṃ appamattassa ātāpino pahitattassa viharato.

    ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมสิํฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสามิ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานามิ …เป.… อยํ โข เม, ราชกุมาร, รตฺติยา มชฺฌิเม ยาเม ทุติยา วิชฺชา อธิคตา, อวิชฺชา วิหตา, วิชฺชา อุปฺปนฺนา; ตโม วิหโต, อาโลโก อุปฺปโนฺน – ยถา ตํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโตฯ

    ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhininnāmesiṃ. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passāmi cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānāmi …pe… ayaṃ kho me, rājakumāra, rattiyā majjhime yāme dutiyā vijjā adhigatā, avijjā vihatā, vijjā uppannā; tamo vihato, āloko uppanno – yathā taṃ appamattassa ātāpino pahitattassa viharato.

    ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมสิํฯ โส ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิํ…เป.… ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิํ; ‘อิเม อาสวา’ติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิํ…เป.… ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสิํฯ ตสฺส เม เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ อโหสิฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ อพฺภญฺญาสิํฯ อยํ โข เม, ราชกุมาร, รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม ตติยา วิชฺชา อธิคตา, อวิชฺชา วิหตา, วิชฺชา อุปฺปนฺนา; ตโม วิหโต, อาโลโก อุปฺปโนฺน – ยถา ตํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโตฯ

    ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhininnāmesiṃ. So ‘idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ abbhaññāsiṃ…pe… ‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ abbhaññāsiṃ; ‘ime āsavā’ti yathābhūtaṃ abbhaññāsiṃ…pe… ‘ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ abbhaññāsiṃ. Tassa me evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccittha, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccittha, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccittha. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ ahosi. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti abbhaññāsiṃ. Ayaṃ kho me, rājakumāra, rattiyā pacchime yāme tatiyā vijjā adhigatā, avijjā vihatā, vijjā uppannā; tamo vihato, āloko uppanno – yathā taṃ appamattassa ātāpino pahitattassa viharato.

    ๓๓๗. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘อธิคโต โข มฺยายํ ธโมฺม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สโนฺต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโยฯ อาลยรามา โข ปนายํ ปชา อาลยรตา อาลยสมฺมุทิตาฯ อาลยรามาย โข ปน ปชาย อาลยรตาย อาลยสมฺมุทิตาย ทุทฺทสํ อิทํ ฐานํ ยทิทํ – อิทปฺปจฺจยตาปฎิจฺจสมุปฺปาโทฯ อิทมฺปิ โข ฐานํ ทุทฺทสํ – ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฎินิสฺสโคฺค ตณฺหากฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํ ฯ อหเญฺจว โข ปน ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ปเร จ เม น อาชาเนยฺยุํ, โส มมสฺส กิลมโถ, สา มมสฺส วิเหสา’ติฯ อปิสฺสุ มํ, ราชกุมาร, อิมา อนจฺฉริยา คาถาโย ปฎิภํสุ ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพา –

    337. ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘adhigato kho myāyaṃ dhammo gambhīro duddaso duranubodho santo paṇīto atakkāvacaro nipuṇo paṇḍitavedanīyo. Ālayarāmā kho panāyaṃ pajā ālayaratā ālayasammuditā. Ālayarāmāya kho pana pajāya ālayaratāya ālayasammuditāya duddasaṃ idaṃ ṭhānaṃ yadidaṃ – idappaccayatāpaṭiccasamuppādo. Idampi kho ṭhānaṃ duddasaṃ – yadidaṃ sabbasaṅkhārasamatho sabbūpadhipaṭinissaggo taṇhākkhayo virāgo nirodho nibbānaṃ . Ahañceva kho pana dhammaṃ deseyyaṃ, pare ca me na ājāneyyuṃ, so mamassa kilamatho, sā mamassa vihesā’ti. Apissu maṃ, rājakumāra, imā anacchariyā gāthāyo paṭibhaṃsu pubbe assutapubbā –

    ‘กิเจฺฉน เม อธิคตํ, หลํ ทานิ ปกาสิตุํ;

    ‘Kicchena me adhigataṃ, halaṃ dāni pakāsituṃ;

    ราคโทสปเรเตหิ, นายํ ธโมฺม สุสมฺพุโธฯ

    Rāgadosaparetehi, nāyaṃ dhammo susambudho.

    ‘ปฎิโสตคามิํ นิปุณํ, คมฺภีรํ ทุทฺทสํ อณุํ;

    ‘Paṭisotagāmiṃ nipuṇaṃ, gambhīraṃ duddasaṃ aṇuṃ;

    ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ, ตโมขเนฺธน อาวุฎา’ 55 ติฯ

    Rāgarattā na dakkhanti, tamokhandhena āvuṭā’ 56 ti.

    ‘‘อิติห เม, ราชกุมาร, ปฎิสญฺจิกฺขโต อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ โน ธมฺมเทสนายฯ

    ‘‘Itiha me, rājakumāra, paṭisañcikkhato appossukkatāya cittaṃ namati no dhammadesanāya.

    ๓๓๘. ‘‘อถ โข, ราชกุมาร, พฺรหฺมุโน สหมฺปติสฺส มม เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เอตทโหสิ – ‘นสฺสติ วต, โภ, โลโก; วินสฺสติ วต, โภ, โลโกฯ ยตฺร หิ นาม ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ 57 โน ธมฺมเทสนายา’ติฯ อถ โข, ราชกุมาร, พฺรหฺมา สหมฺปติ – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมว – พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต มม ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อถ โข, ราชกุมาร, พฺรหฺมา สหมฺปติ เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยนาหํ เตนญฺชลิํ ปณาเมตฺวา มํ เอตทโวจ – ‘เทเสตุ, ภเนฺต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํฯ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา อสฺสวนตาย ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ; ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร’ติ ฯ อิทมโวจ, ราชกุมาร, พฺรหฺมา สหมฺปติ; อิทํ วตฺวา อถาปรํ เอตทโวจ –

    338. ‘‘Atha kho, rājakumāra, brahmuno sahampatissa mama cetasā cetoparivitakkamaññāya etadahosi – ‘nassati vata, bho, loko; vinassati vata, bho, loko. Yatra hi nāma tathāgatassa arahato sammāsambuddhassa appossukkatāya cittaṃ namati 58 no dhammadesanāyā’ti. Atha kho, rājakumāra, brahmā sahampati – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evameva – brahmaloke antarahito mama purato pāturahosi. Atha kho, rājakumāra, brahmā sahampati ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā yenāhaṃ tenañjaliṃ paṇāmetvā maṃ etadavoca – ‘desetu, bhante, bhagavā dhammaṃ, desetu sugato dhammaṃ. Santi sattā apparajakkhajātikā assavanatāya dhammassa parihāyanti; bhavissanti dhammassa aññātāro’ti . Idamavoca, rājakumāra, brahmā sahampati; idaṃ vatvā athāparaṃ etadavoca –

    ‘ปาตุรโหสิ มคเธสุ ปุเพฺพ,

    ‘Pāturahosi magadhesu pubbe,

    ธโมฺม อสุโทฺธ สมเลหิ จินฺติโต;

    Dhammo asuddho samalehi cintito;

    อปาปุเรตํ 59 อมตสฺส ทฺวารํ,

    Apāpuretaṃ 60 amatassa dvāraṃ,

    สุณนฺตุ ธมฺมํ วิมเลนานุพุทฺธํฯ

    Suṇantu dhammaṃ vimalenānubuddhaṃ.

    ‘เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโต,

    ‘Sele yathā pabbatamuddhaniṭṭhito,

    ยถาปิ ปเสฺส ชนตํ สมนฺตโต;

    Yathāpi passe janataṃ samantato;

    ตถูปมํ ธมฺมมยํ สุเมธ,

    Tathūpamaṃ dhammamayaṃ sumedha,

    ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขุฯ

    Pāsādamāruyha samantacakkhu.

    ‘โสกาวติณฺณํ 61 ชนตมเปตโสโก,

    ‘Sokāvatiṇṇaṃ 62 janatamapetasoko,

    อเวกฺขสฺสุ ชาติชราภิภูตํ;

    Avekkhassu jātijarābhibhūtaṃ;

    อุเฎฺฐหิ วีร, วิชิตสงฺคาม,

    Uṭṭhehi vīra, vijitasaṅgāma,

    สตฺถวาห อณณ 63, วิจร โลเก;

    Satthavāha aṇaṇa 64, vicara loke;

    เทสสฺสุ 65 ภควา ธมฺมํ,

    Desassu 66 bhagavā dhammaṃ,

    อญฺญาตาโร ภวิสฺสนฺตี’ติฯ

    Aññātāro bhavissantī’ti.

    ๓๓๙. ‘‘อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, พฺรหฺมุโน จ อเชฺฌสนํ วิทิตฺวา สเตฺตสุ จ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสิํฯ อทฺทสํ โข อหํ, ราชกุมาร, พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต สเตฺต อปฺปรชเกฺข มหารชเกฺข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย สฺวากาเร ทฺวากาเร สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย อเปฺปกเจฺจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน 67 วิหรเนฺต, อเปฺปกเจฺจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรเนฺตฯ เสยฺยถาปิ นาม อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อโนฺตนิมุคฺคโปสีนิ, อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ สโมทกํ ฐิตานิ, อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกา อจฺจุคฺคมฺม ฐิตานิ 68 อนุปลิตฺตานิ อุทเกน, เอวเมว โข อหํ, ราชกุมาร, พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต อทฺทสํ สเตฺต อปฺปรชเกฺข มหารชเกฺข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย สฺวากาเร ทฺวากาเร สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย, อเปฺปกเจฺจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรเนฺต, อเปฺปกเจฺจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรเนฺตฯ อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, พฺรหฺมานํ สหมฺปติํ คาถาย ปจฺจภาสิํ –

    339. ‘‘Atha khvāhaṃ, rājakumāra, brahmuno ca ajjhesanaṃ viditvā sattesu ca kāruññataṃ paṭicca buddhacakkhunā lokaṃ volokesiṃ. Addasaṃ kho ahaṃ, rājakumāra, buddhacakkhunā lokaṃ volokento satte apparajakkhe mahārajakkhe tikkhindriye mudindriye svākāre dvākāre suviññāpaye duviññāpaye appekacce paralokavajjabhayadassāvine 69 viharante, appekacce na paralokavajjabhayadassāvine viharante. Seyyathāpi nāma uppaliniyaṃ vā paduminiyaṃ vā puṇḍarīkiniyaṃ vā appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakānuggatāni antonimuggaposīni, appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakānuggatāni samodakaṃ ṭhitāni, appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakā accuggamma ṭhitāni 70 anupalittāni udakena, evameva kho ahaṃ, rājakumāra, buddhacakkhunā lokaṃ volokento addasaṃ satte apparajakkhe mahārajakkhe tikkhindriye mudindriye svākāre dvākāre suviññāpaye duviññāpaye, appekacce paralokavajjabhayadassāvine viharante, appekacce na paralokavajjabhayadassāvine viharante. Atha khvāhaṃ, rājakumāra, brahmānaṃ sahampatiṃ gāthāya paccabhāsiṃ –

    ‘อปารุตา เตสํ อมตสฺส ทฺวารา,

    ‘Apārutā tesaṃ amatassa dvārā,

    เย โสตวโนฺต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ;

    Ye sotavanto pamuñcantu saddhaṃ;

    วิหิํสสญฺญี ปคุณํ น ภาสิํ,

    Vihiṃsasaññī paguṇaṃ na bhāsiṃ,

    ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม’ติฯ

    Dhammaṃ paṇītaṃ manujesu brahme’ti.

    ๓๔๐. ‘‘อถ โข, ราชกุมาร, พฺรหฺมา สหมฺปติ ‘กตาวกาโส โขมฺหิ ภควตา ธมฺมเทสนายา’ติ มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตเตฺถวนฺตรธายิฯ

    340. ‘‘Atha kho, rājakumāra, brahmā sahampati ‘katāvakāso khomhi bhagavatā dhammadesanāyā’ti maṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā tatthevantaradhāyi.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ? โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติ? ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘อยํ โข อาฬาโร กาลาโม ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติโกฯ ยํนูนาหํ อาฬารสฺส กาลามสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติฯ อถ โข มํ, ราชกุมาร, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘สตฺตาหกาลงฺกโต, ภเนฺต, อาฬาโร กาลาโม’ติฯ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ – ‘สตฺตาหกาลงฺกโต อาฬาโร กาลาโม’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘มหาชานิโย โข อาฬาโร กาลาโมฯ สเจ หิ โส อิมํ ธมฺมํ สุเณยฺย, ขิปฺปเมว อาชาเนยฺยา’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ? โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติ? ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘อยํ โข อุทโก รามปุโตฺต ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติโกฯ ยํนูนาหํ อุทกสฺส รามปุตฺตสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติฯ อถ โข มํ, ราชกุมาร, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘อภิโทสกาลงฺกโต, ภเนฺต, อุทโก รามปุโตฺต’ติฯ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ – ‘อภิโทสกาลงฺกโต อุทโก รามปุโตฺต’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘มหาชานิโย โข อุทโก รามปุโตฺตฯ สเจ หิ โส อิมํ ธมฺมํ สุเณยฺย, ขิปฺปเมว อาชาเนยฺยา’ติฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ? Ko imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti? Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘ayaṃ kho āḷāro kālāmo paṇḍito viyatto medhāvī dīgharattaṃ apparajakkhajātiko. Yaṃnūnāhaṃ āḷārassa kālāmassa paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ; so imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti. Atha kho maṃ, rājakumāra, devatā upasaṅkamitvā etadavoca – ‘sattāhakālaṅkato, bhante, āḷāro kālāmo’ti. Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi – ‘sattāhakālaṅkato āḷāro kālāmo’ti. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘mahājāniyo kho āḷāro kālāmo. Sace hi so imaṃ dhammaṃ suṇeyya, khippameva ājāneyyā’ti. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ? Ko imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti? Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘ayaṃ kho udako rāmaputto paṇḍito viyatto medhāvī dīgharattaṃ apparajakkhajātiko. Yaṃnūnāhaṃ udakassa rāmaputtassa paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ; so imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti. Atha kho maṃ, rājakumāra, devatā upasaṅkamitvā etadavoca – ‘abhidosakālaṅkato, bhante, udako rāmaputto’ti. Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi – ‘abhidosakālaṅkato udako rāmaputto’ti. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘mahājāniyo kho udako rāmaputto. Sace hi so imaṃ dhammaṃ suṇeyya, khippameva ājāneyyā’ti.

    ๓๔๑. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ? โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติ? ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘พหุการา โข เม ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู เย มํ ปธานปหิตตฺตํ อุปฎฺฐหิํสุฯ ยํนูนาหํ ปญฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, ราชกุมาร, เอตทโหสิ – ‘กหํ นุ โข เอตรหิ ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู วิหรนฺตี’ติฯ อทฺทสํ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู พาราณสิยํ วิหรเนฺต อิสิปตเน มิคทาเยฯ อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, อุรุเวลายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เยน พาราณสี เตน จาริกํ ปกฺกมิํฯ

    341. ‘‘Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ? Ko imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti? Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘bahukārā kho me pañcavaggiyā bhikkhū ye maṃ padhānapahitattaṃ upaṭṭhahiṃsu. Yaṃnūnāhaṃ pañcavaggiyānaṃ bhikkhūnaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’nti. Tassa mayhaṃ, rājakumāra, etadahosi – ‘kahaṃ nu kho etarahi pañcavaggiyā bhikkhū viharantī’ti. Addasaṃ khvāhaṃ, rājakumāra, dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena pañcavaggiye bhikkhū bārāṇasiyaṃ viharante isipatane migadāye. Atha khvāhaṃ, rājakumāra, uruvelāyaṃ yathābhirantaṃ viharitvā yena bārāṇasī tena cārikaṃ pakkamiṃ.

    ‘‘อทฺทสา โข มํ, ราชกุมาร, อุปโก อาชีวโก อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธิํ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปนฺนํ ฯ ทิสฺวาน มํ เอตทโวจ – ‘วิปฺปสนฺนานิ โข เต, อาวุโส, อินฺทฺริยานิ, ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ ปริโยทาโตฯ กํสิ ตฺวํ, อาวุโส, อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต? โก วา เต สตฺถา? กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสี’ติ? เอวํ วุเตฺต, อหํ, ราชกุมาร, อุปกํ อาชีวกํ คาถาหิ อชฺฌภาสิํ –

    ‘‘Addasā kho maṃ, rājakumāra, upako ājīvako antarā ca gayaṃ antarā ca bodhiṃ addhānamaggappaṭipannaṃ . Disvāna maṃ etadavoca – ‘vippasannāni kho te, āvuso, indriyāni, parisuddho chavivaṇṇo pariyodāto. Kaṃsi tvaṃ, āvuso, uddissa pabbajito? Ko vā te satthā? Kassa vā tvaṃ dhammaṃ rocesī’ti? Evaṃ vutte, ahaṃ, rājakumāra, upakaṃ ājīvakaṃ gāthāhi ajjhabhāsiṃ –

    ‘สพฺพาภิภู สพฺพวิทูหมสฺมิ,

    ‘Sabbābhibhū sabbavidūhamasmi,

    สเพฺพสุ ธเมฺมสุ อนูปลิโตฺต;

    Sabbesu dhammesu anūpalitto;

    สพฺพญฺชโห ตณฺหากฺขเย วิมุโตฺต,

    Sabbañjaho taṇhākkhaye vimutto,

    สยํ อภิญฺญาย กมุทฺทิเสยฺยํฯ

    Sayaṃ abhiññāya kamuddiseyyaṃ.

    ‘น เม อาจริโย อตฺถิ, สทิโส เม น วิชฺชติ;

    ‘Na me ācariyo atthi, sadiso me na vijjati;

    สเทวกสฺมิํ โลกสฺมิํ, นตฺถิ เม ปฎิปุคฺคโลฯ

    Sadevakasmiṃ lokasmiṃ, natthi me paṭipuggalo.

    ‘อหญฺหิ อรหา โลเก, อหํ สตฺถา อนุตฺตโร;

    ‘Ahañhi arahā loke, ahaṃ satthā anuttaro;

    เอโกมฺหิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโตฯ

    Ekomhi sammāsambuddho, sītibhūtosmi nibbuto.

    ‘ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตุํ, คจฺฉามิ กาสินํ ปุรํ;

    ‘Dhammacakkaṃ pavattetuṃ, gacchāmi kāsinaṃ puraṃ;

    อนฺธีภูตสฺมิํ 71 โลกสฺมิํ, อาหญฺฉํ 72 อมตทุนฺทุภิ’นฺติฯ

    Andhībhūtasmiṃ 73 lokasmiṃ, āhañchaṃ 74 amatadundubhi’nti.

    ‘ยถา โข ตฺวํ, อาวุโส, ปฎิชานาสิ อรหสิ อนนฺตชิโน’ติฯ

    ‘Yathā kho tvaṃ, āvuso, paṭijānāsi arahasi anantajino’ti.

    ‘มาทิสา เว ชินา โหนฺติ, เย ปตฺตา อาสวกฺขยํ;

    ‘Mādisā ve jinā honti, ye pattā āsavakkhayaṃ;

    ชิตา เม ปาปกา ธมฺมา, ตสฺมาหมุปก 75 ชิโน’ติฯ

    Jitā me pāpakā dhammā, tasmāhamupaka 76 jino’ti.

    ‘‘เอวํ วุเตฺต, ราชกุมาร, อุปโก อาชีวโก ‘หุเปยฺยปาวุโส’ติ 77 วตฺวา สีสํ โอกเมฺปตฺวา อุมฺมคฺคํ คเหตฺวา ปกฺกามิฯ

    ‘‘Evaṃ vutte, rājakumāra, upako ājīvako ‘hupeyyapāvuso’ti 78 vatvā sīsaṃ okampetvā ummaggaṃ gahetvā pakkāmi.

    ๓๔๒. ‘‘อถ ขฺวาหํ, ราชกุมาร, อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน พาราณสี อิสิปตนํ มิคทาโย เยน ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิํฯ อทฺทสํสุ โข มํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อญฺญมญฺญํ สณฺฐเปสุํ – ‘อยํ โข, อาวุโส, สมโณ โคตโม อาคจฺฉติ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภโนฺต อาวโตฺต พาหุลฺลายฯ โส เนว อภิวาเทตโพฺพ, น ปจฺจุฎฺฐาตโพฺพ, นาสฺส ปตฺตจีวรํ ปฎิคฺคเหตพฺพํ; อปิ จ โข อาสนํ ฐเปตพฺพํ – สเจ โส อากงฺขิสฺสติ นิสีทิสฺสตี’ติฯ ยถา ยถา โข อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู อุปสงฺกมิํ 79, ตถา ตถา ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู นาสกฺขิํสุ สกาย กติกาย สณฺฐาตุํฯ อเปฺปกเจฺจ มํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรํ ปฎิคฺคเหสุํฯ อเปฺปกเจฺจ อาสนํ ปญฺญเปสุํฯ อเปฺปกเจฺจ ปาโททกํ อุปฎฺฐเปสุํฯ อปิ จ โข มํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรนฺติฯ เอวํ วุเตฺต, อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ – ‘มา, ภิกฺขเว, ตถาคตํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรถ 80; อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํฯ อมตมธิคตํฯ อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฎฺฐํ ตถา ปฎิปชฺชมานา นจิรเสฺสว – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ – ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย 81 ตาย ปฎิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ; กิํ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภโนฺต อาวโตฺต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสส’นฺติ? เอวํ วุเตฺต, อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ – ‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต พาหุลฺลิโก น ปธานวิพฺภโนฺต น อาวโตฺต พาหุลฺลายฯ อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํฯ อมตมธิคตํฯ อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฎฺฐํ ตถา ปฎิปชฺชมานา นจิรเสฺสว – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’ติฯ ทุติยมฺปิ โข, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ – ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฎิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ; กิํ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภโนฺต อาวโตฺต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสส’นฺติ? ทุติยมฺปิ โข อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ – ‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต พาหุลฺลิโก น ปธานวิพฺภโนฺต น อาวโตฺต พาหุลฺลายฯ อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํฯ อมตมธิคตํฯ อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฎฺฐํ ตถา ปฎิปชฺชมานา นจิรเสฺสว – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’ติ ฯ ตติยมฺปิ โข, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ – ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฎิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ; กิํ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภโนฺต อาวโตฺต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสส’นฺติ? เอวํ วุเตฺต , อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ – ‘อภิชานาถ เม โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อิโต ปุเพฺพ เอวรูปํ ปภาวิตเมต’นฺติ 82? ‘โน เหตํ, ภเนฺต’ฯ ‘อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํฯ อมตมธิคตํฯ อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฎฺฐํ ตถา ปฎิปชฺชมานา นจิรเสฺสว – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’ติฯ

    342. ‘‘Atha khvāhaṃ, rājakumāra, anupubbena cārikaṃ caramāno yena bārāṇasī isipatanaṃ migadāyo yena pañcavaggiyā bhikkhū tenupasaṅkamiṃ. Addasaṃsu kho maṃ, rājakumāra, pañcavaggiyā bhikkhū dūratova āgacchantaṃ. Disvāna aññamaññaṃ saṇṭhapesuṃ – ‘ayaṃ kho, āvuso, samaṇo gotamo āgacchati bāhulliko padhānavibbhanto āvatto bāhullāya. So neva abhivādetabbo, na paccuṭṭhātabbo, nāssa pattacīvaraṃ paṭiggahetabbaṃ; api ca kho āsanaṃ ṭhapetabbaṃ – sace so ākaṅkhissati nisīdissatī’ti. Yathā yathā kho ahaṃ, rājakumāra, pañcavaggiye bhikkhū upasaṅkamiṃ 83, tathā tathā pañcavaggiyā bhikkhū nāsakkhiṃsu sakāya katikāya saṇṭhātuṃ. Appekacce maṃ paccuggantvā pattacīvaraṃ paṭiggahesuṃ. Appekacce āsanaṃ paññapesuṃ. Appekacce pādodakaṃ upaṭṭhapesuṃ. Api ca kho maṃ nāmena ca āvusovādena ca samudācaranti. Evaṃ vutte, ahaṃ, rājakumāra, pañcavaggiye bhikkhū etadavocaṃ – ‘mā, bhikkhave, tathāgataṃ nāmena ca āvusovādena ca samudācaratha 84; arahaṃ, bhikkhave, tathāgato sammāsambuddho. Odahatha, bhikkhave, sotaṃ. Amatamadhigataṃ. Ahamanusāsāmi, ahaṃ dhammaṃ desemi. Yathānusiṭṭhaṃ tathā paṭipajjamānā nacirasseva – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissathā’ti. Evaṃ vutte, rājakumāra, pañcavaggiyā bhikkhū maṃ etadavocuṃ – ‘tāyapi kho tvaṃ, āvuso gotama, iriyāya 85 tāya paṭipadāya tāya dukkarakārikāya nājjhagamā uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ; kiṃ pana tvaṃ etarahi bāhulliko padhānavibbhanto āvatto bāhullāya adhigamissasi uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesa’nti? Evaṃ vutte, ahaṃ, rājakumāra, pañcavaggiye bhikkhū etadavocaṃ – ‘na, bhikkhave, tathāgato bāhulliko na padhānavibbhanto na āvatto bāhullāya. Arahaṃ, bhikkhave, tathāgato sammāsambuddho. Odahatha, bhikkhave, sotaṃ. Amatamadhigataṃ. Ahamanusāsāmi, ahaṃ dhammaṃ desemi. Yathānusiṭṭhaṃ tathā paṭipajjamānā nacirasseva – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissathā’ti. Dutiyampi kho, rājakumāra, pañcavaggiyā bhikkhū maṃ etadavocuṃ – ‘tāyapi kho tvaṃ, āvuso gotama, iriyāya tāya paṭipadāya tāya dukkarakārikāya nājjhagamā uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ; kiṃ pana tvaṃ etarahi bāhulliko padhānavibbhanto āvatto bāhullāya adhigamissasi uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesa’nti? Dutiyampi kho ahaṃ, rājakumāra, pañcavaggiye bhikkhū etadavocaṃ – ‘na, bhikkhave, tathāgato bāhulliko na padhānavibbhanto na āvatto bāhullāya. Arahaṃ, bhikkhave, tathāgato sammāsambuddho. Odahatha, bhikkhave, sotaṃ. Amatamadhigataṃ. Ahamanusāsāmi, ahaṃ dhammaṃ desemi. Yathānusiṭṭhaṃ tathā paṭipajjamānā nacirasseva – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissathā’ti . Tatiyampi kho, rājakumāra, pañcavaggiyā bhikkhū maṃ etadavocuṃ – ‘tāyapi kho tvaṃ, āvuso gotama, iriyāya tāya paṭipadāya tāya dukkarakārikāya nājjhagamā uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ; kiṃ pana tvaṃ etarahi bāhulliko padhānavibbhanto āvatto bāhullāya adhigamissasi uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesa’nti? Evaṃ vutte , ahaṃ, rājakumāra, pañcavaggiye bhikkhū etadavocaṃ – ‘abhijānātha me no tumhe, bhikkhave, ito pubbe evarūpaṃ pabhāvitameta’nti 86? ‘No hetaṃ, bhante’. ‘Arahaṃ, bhikkhave, tathāgato sammāsambuddho. Odahatha, bhikkhave, sotaṃ. Amatamadhigataṃ. Ahamanusāsāmi, ahaṃ dhammaṃ desemi. Yathānusiṭṭhaṃ tathā paṭipajjamānā nacirasseva – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissathā’ti.

    ‘‘อสกฺขิํ โข อหํ, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู สญฺญาเปตุํฯ เทฺวปิ สุทํ, ราชกุมาร, ภิกฺขู โอวทามิฯ ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ยํ ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหรนฺติ, เตน ฉพฺพคฺคิยา 87 ยาเปมฯ ตโยปิ สุทํ, ราชกุมาร, ภิกฺขู โอวทามิ, เทฺว ภิกฺขู ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ยํ เทฺว ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหรนฺติ เตน ฉพฺพคฺคิยา ยาเปมฯ

    ‘‘Asakkhiṃ kho ahaṃ, rājakumāra, pañcavaggiye bhikkhū saññāpetuṃ. Dvepi sudaṃ, rājakumāra, bhikkhū ovadāmi. Tayo bhikkhū piṇḍāya caranti. Yaṃ tayo bhikkhū piṇḍāya caritvā āharanti, tena chabbaggiyā 88 yāpema. Tayopi sudaṃ, rājakumāra, bhikkhū ovadāmi, dve bhikkhū piṇḍāya caranti. Yaṃ dve bhikkhū piṇḍāya caritvā āharanti tena chabbaggiyā yāpema.

    ๓๔๓. ‘‘อถ โข, ราชกุมาร, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มยา เอวํ โอวทิยมานา เอวํ อนุสาสิยมานา นจิรเสฺสว – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริํสู’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘กีว จิเรน นุ โข, ภเนฺต, ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ 89 ลภมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’’ติ? ‘‘เตน หิ, ราชกุมาร, ตํเยเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิฯ ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, กุสโล ตฺวํ หตฺถารูเฬฺห 90 องฺกุสคเยฺห 91 สิเปฺป’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต, กุสโล อหํ หตฺถารูเฬฺห องฺกุสคเยฺห สิเปฺป’’ติ ฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อิธ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย – ‘โพธิ ราชกุมาโร หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ ชานาติ; ตสฺสาหํ สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิกฺขิสฺสามี’ติฯ โส จสฺส อสฺสโทฺธ; ยาวตกํ สเทฺธน ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส พหฺวาพาโธ; ยาวตกํ อปฺปาพาเธน ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส สโฐ มายาวี; ยาวตกํ อสเฐน อมายาวินา ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส กุสีโต; ยาวตกํ อารทฺธวีริเยน ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส ทุปฺปโญฺญ; ยาวตกํ ปญฺญวตา ปตฺตพฺพํ ตํ น สมฺปาปุเณยฺยฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส ตว สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิเกฺขยฺยา’’ติ? ‘‘เอกเมเกนาปิ, ภเนฺต, อเงฺคน สมนฺนาคโต โส ปุริโส น มม สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิเกฺขยฺย, โก ปน วาโท ปญฺจหเงฺคหี’’ติ!

    343. ‘‘Atha kho, rājakumāra, pañcavaggiyā bhikkhū mayā evaṃ ovadiyamānā evaṃ anusāsiyamānā nacirasseva – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihariṃsū’’ti. Evaṃ vutte, bodhi rājakumāro bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘kīva cirena nu kho, bhante, bhikkhu tathāgataṃ vināyakaṃ 92 labhamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyyā’’ti? ‘‘Tena hi, rājakumāra, taṃyevettha paṭipucchissāmi. Yathā te khameyya, tathā naṃ byākareyyāsi. Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, kusalo tvaṃ hatthārūḷhe 93 aṅkusagayhe 94 sippe’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante, kusalo ahaṃ hatthārūḷhe aṅkusagayhe sippe’’ti . ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, idha puriso āgaccheyya – ‘bodhi rājakumāro hatthārūḷhaṃ aṅkusagayhaṃ sippaṃ jānāti; tassāhaṃ santike hatthārūḷhaṃ aṅkusagayhaṃ sippaṃ sikkhissāmī’ti. So cassa assaddho; yāvatakaṃ saddhena pattabbaṃ taṃ na sampāpuṇeyya. So cassa bahvābādho; yāvatakaṃ appābādhena pattabbaṃ taṃ na sampāpuṇeyya. So cassa saṭho māyāvī; yāvatakaṃ asaṭhena amāyāvinā pattabbaṃ taṃ na sampāpuṇeyya. So cassa kusīto; yāvatakaṃ āraddhavīriyena pattabbaṃ taṃ na sampāpuṇeyya. So cassa duppañño; yāvatakaṃ paññavatā pattabbaṃ taṃ na sampāpuṇeyya. Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, api nu so puriso tava santike hatthārūḷhaṃ aṅkusagayhaṃ sippaṃ sikkheyyā’’ti? ‘‘Ekamekenāpi, bhante, aṅgena samannāgato so puriso na mama santike hatthārūḷhaṃ aṅkusagayhaṃ sippaṃ sikkheyya, ko pana vādo pañcahaṅgehī’’ti!

    ๓๔๔. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อิธ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย – ‘โพธิ ราชกุมาโร หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ ชานาติ; ตสฺสาหํ สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิกฺขิสฺสามี’ติฯ โส จสฺส สโทฺธ; ยาวตกํ สเทฺธน ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส อปฺปาพาโธ; ยาวตกํ อปฺปาพาเธน ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส อสโฐ อมายาวี; ยาวตกํ อสเฐน อมายาวินา ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส อารทฺธวีริโย; ยาวตกํ อารทฺธวีริเยน ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ โส จสฺส ปญฺญวา; ยาวตกํ ปญฺญวตา ปตฺตพฺพํ ตํ สมฺปาปุเณยฺยฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, อปิ นุ โส ปุริโส ตว สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิเกฺขยฺยา’’ติ? ‘‘เอกเมเกนาปิ, ภเนฺต, อเงฺคน สมนฺนาคโต โส ปุริโส มม สนฺติเก หตฺถารูฬฺหํ องฺกุสคยฺหํ สิปฺปํ สิเกฺขยฺย, โก ปน วาโท ปญฺจหเงฺคหี’’ติ! ‘‘เอวเมว โข, ราชกุมาร, ปญฺจิมานิ ปธานิยงฺคานิฯ กตมานิ ปญฺจ? อิธ, ราชกุมาร, ภิกฺขุ สโทฺธ โหติ; สทฺทหติ ตถาคตสฺส โพธิํ – ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา’ติ; อปฺปาพาโธ โหติ อปฺปาตโงฺก สมเวปากินิยา คหณิยา สมนฺนาคโต นาติสีตาย นาจฺจุณฺหาย มชฺฌิมาย ปธานกฺขมาย; อสโฐ โหติ อมายาวี ยถาภูตํ อตฺตานํ อาวิกตฺตา สตฺถริ วา วิญฺญูสุ วา สพฺรหฺมจารีสุ ; อารทฺธวีริโย วิหรติ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทาย, ถามวา ทฬฺหปรกฺกโม อนิกฺขิตฺตธุโร กุสเลสุ ธเมฺมสุ; ปญฺญวา โหติ อุทยตฺถคามินิยา ปญฺญาย สมนฺนาคโต อริยาย นิเพฺพธิกาย สมฺมาทุกฺขกฺขยคามินิยาฯ อิมานิ โข, ราชกุมาร, ปญฺจ ปธานิยงฺคานิฯ

    344. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, idha puriso āgaccheyya – ‘bodhi rājakumāro hatthārūḷhaṃ aṅkusagayhaṃ sippaṃ jānāti; tassāhaṃ santike hatthārūḷhaṃ aṅkusagayhaṃ sippaṃ sikkhissāmī’ti. So cassa saddho; yāvatakaṃ saddhena pattabbaṃ taṃ sampāpuṇeyya. So cassa appābādho; yāvatakaṃ appābādhena pattabbaṃ taṃ sampāpuṇeyya. So cassa asaṭho amāyāvī; yāvatakaṃ asaṭhena amāyāvinā pattabbaṃ taṃ sampāpuṇeyya. So cassa āraddhavīriyo; yāvatakaṃ āraddhavīriyena pattabbaṃ taṃ sampāpuṇeyya. So cassa paññavā; yāvatakaṃ paññavatā pattabbaṃ taṃ sampāpuṇeyya. Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, api nu so puriso tava santike hatthārūḷhaṃ aṅkusagayhaṃ sippaṃ sikkheyyā’’ti? ‘‘Ekamekenāpi, bhante, aṅgena samannāgato so puriso mama santike hatthārūḷhaṃ aṅkusagayhaṃ sippaṃ sikkheyya, ko pana vādo pañcahaṅgehī’’ti! ‘‘Evameva kho, rājakumāra, pañcimāni padhāniyaṅgāni. Katamāni pañca? Idha, rājakumāra, bhikkhu saddho hoti; saddahati tathāgatassa bodhiṃ – ‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā’ti; appābādho hoti appātaṅko samavepākiniyā gahaṇiyā samannāgato nātisītāya nāccuṇhāya majjhimāya padhānakkhamāya; asaṭho hoti amāyāvī yathābhūtaṃ attānaṃ āvikattā satthari vā viññūsu vā sabrahmacārīsu ; āraddhavīriyo viharati akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadāya, thāmavā daḷhaparakkamo anikkhittadhuro kusalesu dhammesu; paññavā hoti udayatthagāminiyā paññāya samannāgato ariyāya nibbedhikāya sammādukkhakkhayagāminiyā. Imāni kho, rājakumāra, pañca padhāniyaṅgāni.

    ๓๔๕. ‘‘อิเมหิ , ราชกุมาร, ปญฺจหิ ปธานิยเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย สตฺต วสฺสานิฯ ติฎฺฐนฺตุ, ราชกุมาร, สตฺต วสฺสานิฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย ฉพฺพสฺสานิ… ปญฺจ วสฺสานิ… จตฺตาริ วสฺสานิ… ตีณิ วสฺสานิ… เทฺว วสฺสานิ… เอกํ วสฺสํฯ ติฎฺฐตุ, ราชกุมาร, เอกํ วสฺสํฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย สตฺต มาสานิฯ ติฎฺฐนฺตุ, ราชกุมาร, สตฺต มาสานิฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย ฉ มาสานิ… ปญฺจ มาสานิ… จตฺตาริ มาสานิ… ตีณิ มาสานิ… เทฺว มาสานิ… เอกํ มาสํ… อฑฺฒมาสํฯ ติฎฺฐตุ, ราชกุมาร, อฑฺฒมาโสฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย สตฺต รตฺตินฺทิวานิฯ ติฎฺฐนฺตุ, ราชกุมาร, สตฺต รตฺตินฺทิวานิฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย ฉ รตฺตินฺทิวานิ… ปญฺจ รตฺตินฺทิวานิ… จตฺตาริ รตฺตินฺทิวานิ… ตีณิ รตฺตินฺทิวานิ… เทฺว รตฺตินฺทิวานิ… เอกํ รตฺตินฺทิวํฯ ติฎฺฐตุ, ราชกุมาร, เอโก รตฺตินฺทิโวฯ อิเมหิ ปญฺจหิ ปธานิยเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ตถาคตํ วินายกํ ลภมาโน สายมนุสิโฎฺฐ ปาโต วิเสสํ อธิคมิสฺสติ, ปาตมนุสิโฎฺฐ สายํ วิเสสํ อธิคมิสฺสตี’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อโห พุโทฺธ, อโห ธโมฺม, อโห ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตตา! ยตฺร หิ นาม สายมนุสิโฎฺฐ ปาโต วิเสสํ อธิคมิสฺสติ, ปาตมนุสิโฎฺฐ สายํ วิเสสํ อธิคมิสฺสตี’’ติ!

    345. ‘‘Imehi , rājakumāra, pañcahi padhāniyaṅgehi samannāgato bhikkhu tathāgataṃ vināyakaṃ labhamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyya satta vassāni. Tiṭṭhantu, rājakumāra, satta vassāni. Imehi pañcahi padhāniyaṅgehi samannāgato bhikkhu tathāgataṃ vināyakaṃ labhamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyya chabbassāni… pañca vassāni… cattāri vassāni… tīṇi vassāni… dve vassāni… ekaṃ vassaṃ. Tiṭṭhatu, rājakumāra, ekaṃ vassaṃ. Imehi pañcahi padhāniyaṅgehi samannāgato bhikkhu tathāgataṃ vināyakaṃ labhamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyya satta māsāni. Tiṭṭhantu, rājakumāra, satta māsāni. Imehi pañcahi padhāniyaṅgehi samannāgato bhikkhu tathāgataṃ vināyakaṃ labhamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyya cha māsāni… pañca māsāni… cattāri māsāni… tīṇi māsāni… dve māsāni… ekaṃ māsaṃ… aḍḍhamāsaṃ. Tiṭṭhatu, rājakumāra, aḍḍhamāso. Imehi pañcahi padhāniyaṅgehi samannāgato bhikkhu tathāgataṃ vināyakaṃ labhamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyya satta rattindivāni. Tiṭṭhantu, rājakumāra, satta rattindivāni. Imehi pañcahi padhāniyaṅgehi samannāgato bhikkhu tathāgataṃ vināyakaṃ labhamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyya cha rattindivāni… pañca rattindivāni… cattāri rattindivāni… tīṇi rattindivāni… dve rattindivāni… ekaṃ rattindivaṃ. Tiṭṭhatu, rājakumāra, eko rattindivo. Imehi pañcahi padhāniyaṅgehi samannāgato bhikkhu tathāgataṃ vināyakaṃ labhamāno sāyamanusiṭṭho pāto visesaṃ adhigamissati, pātamanusiṭṭho sāyaṃ visesaṃ adhigamissatī’’ti. Evaṃ vutte, bodhi rājakumāro bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘aho buddho, aho dhammo, aho dhammassa svākkhātatā! Yatra hi nāma sāyamanusiṭṭho pāto visesaṃ adhigamissati, pātamanusiṭṭho sāyaṃ visesaṃ adhigamissatī’’ti!

    ๓๔๖. เอวํ วุเตฺต, สญฺชิกาปุโตฺต มาณโว โพธิํ ราชกุมารํ เอตทโวจ – ‘‘เอวเมว ปนายํ ภวํ โพธิ – ‘อโห พุโทฺธ, อโห ธโมฺม, อโห ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตตา’ติ จ วเทติ 95; อถ จ ปน น ตํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉติ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจา’’ติฯ ‘‘มา เหวํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, อวจ; มา เหวํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, อวจฯ สมฺมุขา เมตํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, อยฺยาย สุตํ, สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตํ’’ฯ ‘‘เอกมิทํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, สมยํ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเมฯ อถ โข เม อยฺยา กุจฺฉิมตี เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เม อยฺยา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘โย เม อยํ, ภเนฺต, กุจฺฉิคโต กุมารโก วา กุมาริกา วา โส ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉติ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ ตํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’นฺติฯ เอกมิทํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, สมยํ ภควา อิเธว ภเคฺคสุ วิหรติ สุสุมารคิเร เภสกฬาวเน มิคทาเยฯ อถ โข มํ ธาติ อเงฺกน หริตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข มํ ธาติ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘อยํ , ภเนฺต, โพธิ ราชกุมาโร ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉติ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ ตํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’นฺติฯ เอสาหํ, สมฺม สญฺชิกาปุตฺต, ตติยกมฺปิ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ

    346. Evaṃ vutte, sañjikāputto māṇavo bodhiṃ rājakumāraṃ etadavoca – ‘‘evameva panāyaṃ bhavaṃ bodhi – ‘aho buddho, aho dhammo, aho dhammassa svākkhātatā’ti ca vadeti 96; atha ca pana na taṃ bhavantaṃ gotamaṃ saraṇaṃ gacchati dhammañca bhikkhusaṅghañcā’’ti. ‘‘Mā hevaṃ, samma sañjikāputta, avaca; mā hevaṃ, samma sañjikāputta, avaca. Sammukhā metaṃ, samma sañjikāputta, ayyāya sutaṃ, sammukhā paṭiggahitaṃ’’. ‘‘Ekamidaṃ, samma sañjikāputta, samayaṃ bhagavā kosambiyaṃ viharati ghositārāme. Atha kho me ayyā kucchimatī yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnā kho me ayyā bhagavantaṃ etadavoca – ‘yo me ayaṃ, bhante, kucchigato kumārako vā kumārikā vā so bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchati dhammañca bhikkhusaṅghañca. Upāsakaṃ taṃ bhagavā dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’nti. Ekamidaṃ, samma sañjikāputta, samayaṃ bhagavā idheva bhaggesu viharati susumāragire bhesakaḷāvane migadāye. Atha kho maṃ dhāti aṅkena haritvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhitā kho maṃ dhāti bhagavantaṃ etadavoca – ‘ayaṃ , bhante, bodhi rājakumāro bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchati dhammañca bhikkhusaṅghañca. Upāsakaṃ taṃ bhagavā dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’nti. Esāhaṃ, samma sañjikāputta, tatiyakampi bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchāmi dhammañca bhikkhusaṅghañca. Upāsakaṃ maṃ bhagavā dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.

    โพธิราชกุมารสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปญฺจมํฯ

    Bodhirājakumārasuttaṃ niṭṭhitaṃ pañcamaṃ.







    Footnotes:
    1. โกกนุโท (สฺยา. กํ. ก.)
    2. โพธิ โภ โคตม (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    3. kokanudo (syā. kaṃ. ka.)
    4. bodhi bho gotama (sī. syā. kaṃ. pī.)
    5. กเฬพรา (สี.)
    6. อภิรูหตุ (สฺยา. กํ. ปี.) อกฺกมตุ (จูฬว. ๒๖๘)
    7. kaḷebarā (sī.)
    8. abhirūhatu (syā. kaṃ. pī.) akkamatu (cūḷava. 268)
    9. เจลปตฺติกํ (สี. ปี.)
    10. อปโลเกตีติ (สพฺพตฺถ)
    11. อุปริโกกนเท ปาสาเท (สี. ปี. วินเยจ), อุปริโกกนเท (สฺยา. กํ.)
    12. celapattikaṃ (sī. pī.)
    13. apaloketīti (sabbattha)
    14. uparikokanade pāsāde (sī. pī. vinayeca), uparikokanade (syā. kaṃ.)
    15. กิํกุสลํคเวสี (ก.)
    16. kiṃkusalaṃgavesī (ka.)
    17. อุปสมฺปชฺช ปเวเทสีติ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    18. ( ) นตฺถิ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    19. อตฺตโน (สี. ปี.)
    20. upasampajja pavedesīti (sī. syā. kaṃ. pī.)
    21. ( ) natthi (sī. syā. kaṃ. pī.)
    22. attano (sī. pī.)
    23. อุทฺทโก (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    24. อาวุโส ราม (สี. สฺยา. กํ. ก.) ปสฺส ม. นิ. ๑.๒๗๘ ปาสราสิสุเตฺต
    25. uddako (sī. syā. kaṃ. pī.)
    26. āvuso rāma (sī. syā. kaṃ. ka.) passa ma. ni. 1.278 pāsarāsisutte
    27. สามนฺตา (?) ปุริมปิเฎฺฐปิ
    28. sāmantā (?) purimapiṭṭhepi
    29. อภิมตฺถโนฺต (สฺยา. กํ. ก.)
    30. abhimatthanto (syā. kaṃ. ka.)
    31. ปสฺส ม. นิ. ๑.๒๒๐ วิตกฺกสณฺฐานสุเตฺต
    32. passa ma. ni. 1.220 vitakkasaṇṭhānasutte
    33. อูหนฺติ (สี.), โอหนนฺติ (สฺยา. กํ.), อุหนนฺติ (ก.)
    34. มุทฺธานํ อภิมเนฺถยฺย (สี. ปี.), มุทฺธานํ อภิมเตฺถยฺย (สฺยา. กํ.)
    35. ūhanti (sī.), ohananti (syā. kaṃ.), uhananti (ka.)
    36. muddhānaṃ abhimantheyya (sī. pī.), muddhānaṃ abhimattheyya (syā. kaṃ.)
    37. วรตฺตกพนฺธเนน (สี.)
    38. varattakabandhanena (sī.)
    39. วิหาโรเตฺวเวโส (สี.)
    40. วิหาโรเตฺวเวโส อรหโต’’ติ (?)
    41. vihārotveveso (sī.)
    42. vihārotveveso arahato’’ti (?)
    43. อโชฺฌหริสฺสาม (สฺยา. กํ. ปี. ก.)
    44. อชทฺธุกํ (สี. ปี.), ชทฺธุกํ (สฺยา. กํ.)
    45. อโชฺฌหเรยฺยุํ (สฺยา. กํ. ปี. ก.)
    46. ajjhoharissāma (syā. kaṃ. pī. ka.)
    47. ajaddhukaṃ (sī. pī.), jaddhukaṃ (syā. kaṃ.)
    48. ajjhohareyyuṃ (syā. kaṃ. pī. ka.)
    49. สมฺผุสิโต (สฺยา. กํ.), สํปุฎีโต (ก.) สํผุฎิโตติ เอตฺถ สงฺกุจิโตติ อโตฺถ
    50. samphusito (syā. kaṃ.), saṃpuṭīto (ka.) saṃphuṭitoti ettha saṅkucitoti attho
    51. ติปฺปา (สี. ปี.)
    52. tippā (sī. pī.)
    53. พาหุลิโก (สี. ปี.) สารตฺถฎีกาย สํฆเภทสิกฺขาปทวณฺณนาย สเมติ
    54. bāhuliko (sī. pī.) sāratthaṭīkāya saṃghabhedasikkhāpadavaṇṇanāya sameti
    55. อาวฎา (สี.), อาวุตา (สฺยา. กํ.)
    56. āvaṭā (sī.), āvutā (syā. kaṃ.)
    57. นมิสฺสติ (?)
    58. namissati (?)
    59. อวาปุเรตํ (สี.)
    60. avāpuretaṃ (sī.)
    61. โสกาวกิณฺณํ (สฺยา.)
    62. sokāvakiṇṇaṃ (syā.)
    63. อนณ (สี. สฺยา. กํ. ปี. ก.)
    64. anaṇa (sī. syā. kaṃ. pī. ka.)
    65. เทเสตุ (สฺยา. กํ. ก.)
    66. desetu (syā. kaṃ. ka.)
    67. ทสฺสาวิโน (สฺยา. กํ. ก.)
    68. ติฎฺฐนฺติ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    69. dassāvino (syā. kaṃ. ka.)
    70. tiṭṭhanti (sī. syā. kaṃ. pī.)
    71. อนฺธภูตสฺมิํ (สี. สฺยา. ปี.)
    72. อาหญฺญิํ (สฺยา. กํ. ก.)
    73. andhabhūtasmiṃ (sī. syā. pī.)
    74. āhaññiṃ (syā. kaṃ. ka.)
    75. ตสฺมาหํ อุปกา (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    76. tasmāhaṃ upakā (sī. syā. kaṃ. pī.)
    77. หุเวยฺยปาวุโส (สี. ปี.), หุเวยฺยาวุโส (สฺยา. กํ.)
    78. huveyyapāvuso (sī. pī.), huveyyāvuso (syā. kaṃ.)
    79. อุปสงฺกมามิ (สี. ปี.)
    80. สมุทาจริตฺถ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    81. จริยาย (สฺยา. กํ.)
    82. ภาสิตเมตนฺติ (สี. สฺยา. วินเยปิ)
    83. upasaṅkamāmi (sī. pī.)
    84. samudācarittha (sī. syā. kaṃ. pī.)
    85. cariyāya (syā. kaṃ.)
    86. bhāsitametanti (sī. syā. vinayepi)
    87. ฉพฺพคฺคา (สี. สฺยา. กํ.), ฉพฺพโคฺค (ปี.)
    88. chabbaggā (sī. syā. kaṃ.), chabbaggo (pī.)
    89. นายกํ (?)
    90. หตฺถารูเยฺห (สี. ปี.)
    91. องฺกุสคเณฺห (สฺยา. กํ.)
    92. nāyakaṃ (?)
    93. hatthārūyhe (sī. pī.)
    94. aṅkusagaṇhe (syā. kaṃ.)
    95. วเทสิ (สี.), ปเวเทติ (สฺยา. กํ.)
    96. vadesi (sī.), pavedeti (syā. kaṃ.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. โพธิราชกุมารสุตฺตวณฺณนา • 5. Bodhirājakumārasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. โพธิราชกุมารสุตฺตวณฺณนา • 5. Bodhirājakumārasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact