Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๕. โพธิราชกุมารสุตฺตวณฺณนา
5. Bodhirājakumārasuttavaṇṇanā
๓๒๔. เอวํ เม สุตนฺติ โพธิราชกุมารสุตฺตํฯ ตตฺถ โกกนโทติ โกกนทํ วุจฺจติ ปทุมํฯ โส จ มงฺคลปาสาโท โอโลกนกปทุมํ ทเสฺสตฺวา กโต, ตสฺมา โกกนโทติ สงฺขํ ลภิฯ
324.Evaṃme sutanti bodhirājakumārasuttaṃ. Tattha kokanadoti kokanadaṃ vuccati padumaṃ. So ca maṅgalapāsādo olokanakapadumaṃ dassetvā kato, tasmā kokanadoti saṅkhaṃ labhi.
๓๒๕. ยาว ปจฺฉิมโสปานกเฬวราติ เอตฺถ ปจฺฉิมโสปานกเฬวรนฺติ ปฐมํ โสปานผลกํ วุตฺตํฯ อทฺทสา โขติ โอโลกนตฺถํเยว ทฺวารโกฎฺฐเก ฐิโต อทฺทสฯ ภควา ตุณฺหี อโหสีติ ‘‘กิสฺส นุ โข อตฺถาย ราชกุมาเรน อยํ มหาสกฺกาโร กโต’’ติ อาวชฺชโนฺต ปุตฺตปตฺถนาย กตภาวํ อญฺญาสิฯ โส หิ ราชกุมาโร อปุตฺตโก, สุตญฺจาเนน อโหสิ – ‘‘พุทฺธานํ กิร อธิการํ กตฺวา มนสา อิจฺฉิตํ ลภนฺตี’’ติฯ โส – ‘‘สจาหํ ปุตฺตํ ลภิสฺสามิ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ มม เจลปฺปฎิกํ อกฺกมิสฺสติฯ โน เจ ลภิสฺสามิ, น อกฺกมิสฺสตี’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา สนฺถราเปสิฯ อถ ภควา ‘‘นิพฺพตฺติสฺสติ นุ โข เอตสฺส ปุโตฺต’’ติ อาวเชฺชตฺวา ‘‘น นิพฺพตฺติสฺสตี’’ติ อทฺทสฯ
325.Yāva pacchimasopānakaḷevarāti ettha pacchimasopānakaḷevaranti paṭhamaṃ sopānaphalakaṃ vuttaṃ. Addasākhoti olokanatthaṃyeva dvārakoṭṭhake ṭhito addasa. Bhagavā tuṇhī ahosīti ‘‘kissa nu kho atthāya rājakumārena ayaṃ mahāsakkāro kato’’ti āvajjanto puttapatthanāya katabhāvaṃ aññāsi. So hi rājakumāro aputtako, sutañcānena ahosi – ‘‘buddhānaṃ kira adhikāraṃ katvā manasā icchitaṃ labhantī’’ti. So – ‘‘sacāhaṃ puttaṃ labhissāmi, sammāsambuddho mama celappaṭikaṃ akkamissati. No ce labhissāmi, na akkamissatī’’ti patthanaṃ katvā santharāpesi. Atha bhagavā ‘‘nibbattissati nu kho etassa putto’’ti āvajjetvā ‘‘na nibbattissatī’’ti addasa.
ปุเพฺพ กิร โส เอกสฺมิํ ทีเป วสมาโน สมจฺฉเนฺทน สกุณโปตเก ขาทิฯ สจสฺส มาตุคาโม อโญฺญว ภเวยฺย, ปุตฺตํ ลเภยฺยฯ อุโภหิ ปน สมานจฺฉเนฺทหิ หุตฺวา ปาปกมฺมํ กตํ, เตนสฺส ปุโตฺต น นิพฺพตฺติสฺสตีติ อญฺญาสิฯ ทุเสฺส ปน อกฺกเนฺต – ‘‘พุทฺธานํ อธิการํ กตฺวา ปตฺถิตปตฺถิตํ ลภนฺตีติ โลเก อนุสฺสโว, มยา จ มหาอภินีหาโร กโต, น จ ปุตฺตํ ลภามิ, ตุจฺฉํ อิทํ วจน’’นฺติ มิจฺฉาคหณํ คเณฺหยฺยฯ ติตฺถิยาปิ – ‘‘นตฺถิ สมณานํ อกตฺตพฺพํ นาม, เจลปฺปฎิกํ มทฺทนฺตา อาหิณฺฑนฺตี’’ติ อุชฺฌาเยยฺยุํ ฯ เอตรหิ จ อกฺกมเนฺตสุ พหู ภิกฺขู ปรจิตฺตวิทุโน, เต ภพฺพํ ชานิตฺวา อกฺกมิสฺสนฺติ, อภพฺพํ ชานิตฺวา น อกฺกมิสฺสนฺติฯ อนาคเต ปน อุปนิสฺสโย มโนฺท ภวิสฺสติ, อนาคตํ น ชานิสฺสนฺติฯ เตสุ อกฺกมเนฺตสุ สเจ ปตฺถิตํ อิชฺฌิสฺสติ, อิเจฺจตํ กุสลํ ฯ โน เจ อิชฺฌิสฺสติ, – ‘‘ปุเพฺพ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อภินีหารํ กตฺวา อิจฺฉิติจฺฉิตํ ลภนฺติ, ตํ อิทานิ น ลภนฺติ ฯ เตเยว มเญฺญ ภิกฺขู ปฎิปตฺติปูรกา อเหสุํ, อิเม ปฎิปตฺติํ ปูเรตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติ มนุสฺสา วิปฺปฎิสาริโน ภวิสฺสนฺตีติ อิเมหิ การเณหิ ภควา อกฺกมิตุํ อนิจฺฉโนฺต ตุณฺหี อโหสิฯ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิ ‘‘น, ภิกฺขเว, เจลปฺปฎิกา อกฺกมิตพฺพา’’ติ (จูฬว. ๒๖๘)ฯ มงฺคลตฺถาย ปญฺญตฺตํ อนกฺกมเนฺตสุ ปน อกฺกมนตฺถาย อนุปญฺญตฺติํ ฐเปสิ – ‘‘คิหี, ภิกฺขเว, มงฺคลิกา, อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิหีนํ มงฺคลตฺถายา’’ติ (จูฬว. ๒๖๘)ฯ
Pubbe kira so ekasmiṃ dīpe vasamāno samacchandena sakuṇapotake khādi. Sacassa mātugāmo aññova bhaveyya, puttaṃ labheyya. Ubhohi pana samānacchandehi hutvā pāpakammaṃ kataṃ, tenassa putto na nibbattissatīti aññāsi. Dusse pana akkante – ‘‘buddhānaṃ adhikāraṃ katvā patthitapatthitaṃ labhantīti loke anussavo, mayā ca mahāabhinīhāro kato, na ca puttaṃ labhāmi, tucchaṃ idaṃ vacana’’nti micchāgahaṇaṃ gaṇheyya. Titthiyāpi – ‘‘natthi samaṇānaṃ akattabbaṃ nāma, celappaṭikaṃ maddantā āhiṇḍantī’’ti ujjhāyeyyuṃ . Etarahi ca akkamantesu bahū bhikkhū paracittaviduno, te bhabbaṃ jānitvā akkamissanti, abhabbaṃ jānitvā na akkamissanti. Anāgate pana upanissayo mando bhavissati, anāgataṃ na jānissanti. Tesu akkamantesu sace patthitaṃ ijjhissati, iccetaṃ kusalaṃ . No ce ijjhissati, – ‘‘pubbe bhikkhusaṅghassa abhinīhāraṃ katvā icchiticchitaṃ labhanti, taṃ idāni na labhanti . Teyeva maññe bhikkhū paṭipattipūrakā ahesuṃ, ime paṭipattiṃ pūretuṃ na sakkontī’’ti manussā vippaṭisārino bhavissantīti imehi kāraṇehi bhagavā akkamituṃ anicchanto tuṇhī ahosi. Sikkhāpadaṃ paññapesi ‘‘na, bhikkhave, celappaṭikā akkamitabbā’’ti (cūḷava. 268). Maṅgalatthāya paññattaṃ anakkamantesu pana akkamanatthāya anupaññattiṃ ṭhapesi – ‘‘gihī, bhikkhave, maṅgalikā, anujānāmi, bhikkhave, gihīnaṃ maṅgalatthāyā’’ti (cūḷava. 268).
๓๒๖. ปจฺฉิมํ ชนตํ ตถาคโต อนุกมฺปตีติ อิทํ เถโร วุเตฺตสุ การเณสุ ตติยํ การณํ สนฺธายาหฯ น โข สุเขน สุขนฺติ กสฺมา อาห? กามสุขลฺลิกานุโยคสญฺญี หุตฺวา สมฺมาสมฺพุโทฺธ น อกฺกมิ, ตสฺมา อหมฺปิ สตฺถารา สมานจฺฉโนฺท ภวิสฺสามีติ มญฺญมาโน เอวมาหฯ
326.Pacchimaṃ janataṃ tathāgato anukampatīti idaṃ thero vuttesu kāraṇesu tatiyaṃ kāraṇaṃ sandhāyāha. Na kho sukhena sukhanti kasmā āha? Kāmasukhallikānuyogasaññī hutvā sammāsambuddho na akkami, tasmā ahampi satthārā samānacchando bhavissāmīti maññamāno evamāha.
๓๒๗. โส โข อหนฺติอาทิ ‘‘ยาว รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม’’ติ ตาว มหาสจฺจเก (ม. นิ. ๑.๓๖๔ อาทโย) วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ ตโต ปรํ ยาว ปญฺจวคฺคิยานํ อาสวกฺขยา ปาสราสิสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๒๗๒ อาทโย) วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ
327.So kho ahantiādi ‘‘yāva rattiyā pacchime yāme’’ti tāva mahāsaccake (ma. ni. 1.364 ādayo) vuttanayena veditabbaṃ. Tato paraṃ yāva pañcavaggiyānaṃ āsavakkhayā pāsarāsisutte (ma. ni. 1.272 ādayo) vuttanayena veditabbaṃ.
๓๔๓. องฺกุสคเยฺห สิเปฺปติ องฺกุสคหณสิเปฺปฯ กุสโล อหนฺติ เฉโก อหํฯ กสฺส ปนายํ สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหีติ? ปิตุ สนฺติเก, ปิตาปิสฺส ปิตุ สนฺติเกว อุคฺคณฺหิฯ โกสมฺพิยํ กิร ปรนฺตปราชา นาม รชฺชํ กาเรสิฯ ราชมเหสี ครุภารา อากาสตเล รญฺญา สทฺธิํ พาลาตปํ ตปฺปมานา รตฺตกมฺพลํ ปารุปิตฺวา นิสินฺนา โหติ, เอโก หตฺถิลิงฺคสกุโณ ‘‘มํสเปสี’’ติ มญฺญมาโน คเหตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ สา ‘‘ฉเฑฺฑยฺย ม’’นฺติ ภเยน นิสฺสทฺทา อโหสิ, โส ตํ ปพฺพตปาเท รุกฺขวิฎเป ฐเปสิฯ สา ปาณิสฺสรํ กโรนฺตี มหาสทฺทมกาสิฯ สกุโณ ปลายิ, ตสฺสา ตเตฺถว คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ ติยามรตฺติํ เทเว วสฺสเนฺต กมฺพลํ ปารุปิตฺวา นิสีทิฯ ตโต จ อวิทูเร ตาปโส วสติฯ โส ตสฺสา สเทฺทน อรุเณ อุคฺคเต รุกฺขมูลํ อาคโต ชาติํ ปุจฺฉิตฺวา นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา โอตาเรตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ เนตฺวา ยาคุํ ปาเยสิฯ ทารกสฺส เมฆอุตุญฺจ ปพฺพตอุตุญฺจ คเหตฺวา ชาตตฺตา อุเทโนติ นามํ อกาสิฯ ตาปโส ผลาผลานิ อาหริตฺวา เทฺวปิ ชเน โปเสสิฯ
343.Aṅkusagayhe sippeti aṅkusagahaṇasippe. Kusalo ahanti cheko ahaṃ. Kassa panāyaṃ santike sippaṃ uggaṇhīti? Pitu santike, pitāpissa pitu santikeva uggaṇhi. Kosambiyaṃ kira parantaparājā nāma rajjaṃ kāresi. Rājamahesī garubhārā ākāsatale raññā saddhiṃ bālātapaṃ tappamānā rattakambalaṃ pārupitvā nisinnā hoti, eko hatthiliṅgasakuṇo ‘‘maṃsapesī’’ti maññamāno gahetvā ākāsaṃ pakkhandi. Sā ‘‘chaḍḍeyya ma’’nti bhayena nissaddā ahosi, so taṃ pabbatapāde rukkhaviṭape ṭhapesi. Sā pāṇissaraṃ karontī mahāsaddamakāsi. Sakuṇo palāyi, tassā tattheva gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. Tiyāmarattiṃ deve vassante kambalaṃ pārupitvā nisīdi. Tato ca avidūre tāpaso vasati. So tassā saddena aruṇe uggate rukkhamūlaṃ āgato jātiṃ pucchitvā nisseṇiṃ bandhitvā otāretvā attano vasanaṭṭhānaṃ netvā yāguṃ pāyesi. Dārakassa meghautuñca pabbatautuñca gahetvā jātattā udenoti nāmaṃ akāsi. Tāpaso phalāphalāni āharitvā dvepi jane posesi.
สา เอกทิวสํ ตาปสสฺส อาคมนเวลาย ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา อิตฺถิกุตฺตํ ทเสฺสตฺวา ตาปสํ สีลเภทํ อาปาเทสิฯ เตสํ เอกโต วสนฺตานํ กาเล คจฺฉเนฺต ปรนฺตปราชา กาลํ อกาสิฯ ตาปโส รตฺติภาเค นกฺขตฺตํ โอโลเกตฺวา รโญฺญ มตภาวํ ญตฺวา – ‘‘ตุยฺหํ ราชา มโต, ปุโตฺต เต กิํ อิธ วสิตุํ อิจฺฉติ, อุทาหุ เปตฺติเก รเชฺช ฉตฺตํ อุสฺสาเปตุ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ สา ปุตฺตสฺส อาทิโต ปฎฺฐาย สพฺพํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปตุกามตญฺจสฺส ญตฺวา ตาปสสฺส อาโรเจสิฯ ตาปโส จ หตฺถิคนฺถสิปฺปํ ชานาติ, กุโตเนน ลทฺธํ? สกฺกสฺส สนฺติกาฯ ปุเพฺพ กิรสฺส สโกฺก อุปฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา ‘‘เกน กิลมถา’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘หตฺถิปริสฺสโย อตฺถี’’ติ อาโรเจสิฯ ตสฺส สโกฺก หตฺถิคนฺถเญฺจว วีณกญฺจ ทตฺวา ‘‘ปลาเปตุกามตาย สติ อิมํ ตนฺติํ วาเทตฺวา อิมํ สิโลกํ วเทยฺยาถ, ปโกฺกสิตุกามตาย สติ อิมํ สิโลกํ วเทยฺยาถา’’ติ อาหฯ ตาปโส ตํ สิปฺปํ กุมารสฺส อทาสิฯ โส เอกํ วฎรุกฺขํ อภิรุหิตฺวา หตฺถีสุ อาคเตสุ ตนฺติํ วาเทตฺวา สิโลกํ วทติ, หตฺถี ภีตา ปลายิํสุฯ
Sā ekadivasaṃ tāpasassa āgamanavelāya paccuggamanaṃ katvā itthikuttaṃ dassetvā tāpasaṃ sīlabhedaṃ āpādesi. Tesaṃ ekato vasantānaṃ kāle gacchante parantaparājā kālaṃ akāsi. Tāpaso rattibhāge nakkhattaṃ oloketvā rañño matabhāvaṃ ñatvā – ‘‘tuyhaṃ rājā mato, putto te kiṃ idha vasituṃ icchati, udāhu pettike rajje chattaṃ ussāpetu’’nti pucchi. Sā puttassa ādito paṭṭhāya sabbaṃ pavattiṃ ācikkhitvā chattaṃ ussāpetukāmatañcassa ñatvā tāpasassa ārocesi. Tāpaso ca hatthiganthasippaṃ jānāti, kutonena laddhaṃ? Sakkassa santikā. Pubbe kirassa sakko upaṭṭhānaṃ āgantvā ‘‘kena kilamathā’’ti pucchi. So ‘‘hatthiparissayo atthī’’ti ārocesi. Tassa sakko hatthiganthañceva vīṇakañca datvā ‘‘palāpetukāmatāya sati imaṃ tantiṃ vādetvā imaṃ silokaṃ vadeyyātha, pakkositukāmatāya sati imaṃ silokaṃ vadeyyāthā’’ti āha. Tāpaso taṃ sippaṃ kumārassa adāsi. So ekaṃ vaṭarukkhaṃ abhiruhitvā hatthīsu āgatesu tantiṃ vādetvā silokaṃ vadati, hatthī bhītā palāyiṃsu.
โส สิปฺปสฺส อานุภาวํ ญตฺวา ปุนทิวเส ปโกฺกสนสิปฺปํ ปโยเชสิฯ เชฎฺฐกหตฺถี อาคนฺตฺวา ขนฺธํ อุปนาเมสิฯ โส ตสฺส ขนฺธคโต ยุทฺธสมเตฺถ ตรุณหตฺถี อุจฺจินิตฺวา กมฺพลญฺจ มุทฺทิกญฺจ คเหตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา นิกฺขโนฺต อนุปุเพฺพน ตํ ตํ คามํ ปวิสิตฺวา – ‘‘อหํ รโญฺญ ปุโตฺต, สมฺปตฺติํ อตฺถิกา อาคจฺฉนฺตู’’ติ ชนสงฺคหํ กตฺวา นครํ ปริวาเรตฺวา – ‘‘อหํ รโญฺญ ปุโตฺต, มยฺหํ ฉตฺตํ เทถา’’ติ อสทฺทหนฺตานํ กมฺพลญฺจ มุทฺทิกญฺจ ทเสฺสตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปสิฯ โส หตฺถิวิตฺตโก หุตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐาเน สุนฺทโร หตฺถี อตฺถี’’ติ วุเตฺต คนฺตฺวา คณฺหาติฯ จณฺฑปโชฺชโต ‘‘ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ คณฺหิสฺสามี’’ติ กฎฺฐหตฺถิํ ปโยเชตฺวา ตสฺส อโนฺต โยเธ นิสีทาเปตฺวา ตํ หตฺถิํ คหณตฺถาย อาคตํ คณฺหิตฺวา ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ คหณตฺถาย ธีตรํ อุโยฺยเชสิฯ โส ตาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปตฺวา ตํ คเหตฺวา อตฺตโน นครํเยว อคมาสิฯ ตสฺสา กุจฺฉิยํ อุปฺปโนฺน อยํ โพธิราชกุมาโร อตฺตโน ปิตุ สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหิฯ
So sippassa ānubhāvaṃ ñatvā punadivase pakkosanasippaṃ payojesi. Jeṭṭhakahatthī āgantvā khandhaṃ upanāmesi. So tassa khandhagato yuddhasamatthe taruṇahatthī uccinitvā kambalañca muddikañca gahetvā mātāpitaro vanditvā nikkhanto anupubbena taṃ taṃ gāmaṃ pavisitvā – ‘‘ahaṃ rañño putto, sampattiṃ atthikā āgacchantū’’ti janasaṅgahaṃ katvā nagaraṃ parivāretvā – ‘‘ahaṃ rañño putto, mayhaṃ chattaṃ dethā’’ti asaddahantānaṃ kambalañca muddikañca dassetvā chattaṃ ussāpesi. So hatthivittako hutvā ‘‘asukaṭṭhāne sundaro hatthī atthī’’ti vutte gantvā gaṇhāti. Caṇḍapajjoto ‘‘tassa santike sippaṃ gaṇhissāmī’’ti kaṭṭhahatthiṃ payojetvā tassa anto yodhe nisīdāpetvā taṃ hatthiṃ gahaṇatthāya āgataṃ gaṇhitvā tassa santike sippaṃ gahaṇatthāya dhītaraṃ uyyojesi. So tāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappetvā taṃ gahetvā attano nagaraṃyeva agamāsi. Tassā kucchiyaṃ uppanno ayaṃ bodhirājakumāro attano pitu santike sippaṃ uggaṇhi.
๓๔๔. ปธานิยงฺคานีติ ปธานํ วุจฺจติ ปทหนภาโว, ปธานมสฺส อตฺถีติ ปธานิโยฯ ปธานิยสฺส ภิกฺขุโน องฺคานีติ ปธานิยงฺคานิฯ สโทฺธติ สทฺธาย สมนฺนาคโตฯ สา ปเนสา อาคมนสทฺธา อธิคมสทฺธา โอกปฺปนสทฺธา ปสาทสทฺธาติ จตุพฺพิธาฯ ตตฺถ สพฺพญฺญุโพธิสตฺตานํ สทฺธา อภินีหารโต ปฎฺฐาย อาคตตฺตา อาคมนสทฺธา นามฯ อริยสาวกานํ ปฎิเวเธน อธิคตตฺตา อธิคมสทฺธา นามฯ พุโทฺธ ธโมฺม สโงฺฆติ วุเตฺต อจลภาเวน โอกปฺปนํ โอกปฺปนสทฺธา นามฯ ปสาทุปฺปตฺติ ปสาทสทฺธา นาม, อิธ ปน โอกปฺปนสทฺธา อธิเปฺปตาฯ โพธินฺติ จตุมคฺคญาณํฯ ตํ สุปฺปฎิวิทฺธํ ตถาคเตนาติ สทฺทหติ, เทสนาสีสเมว เจตํ, อิมินา ปน อเงฺคน ตีสุปิ รตเนสุ สทฺธา อธิเปฺปตาฯ ยสฺส หิ พุทฺธาทีสุ ปสาโท พลวา, ตสฺส ปธานํ วีริยํ อิชฺฌติฯ
344.Padhāniyaṅgānīti padhānaṃ vuccati padahanabhāvo, padhānamassa atthīti padhāniyo. Padhāniyassa bhikkhuno aṅgānīti padhāniyaṅgāni. Saddhoti saddhāya samannāgato. Sā panesā āgamanasaddhā adhigamasaddhā okappanasaddhā pasādasaddhāti catubbidhā. Tattha sabbaññubodhisattānaṃ saddhā abhinīhārato paṭṭhāya āgatattā āgamanasaddhā nāma. Ariyasāvakānaṃ paṭivedhena adhigatattā adhigamasaddhā nāma. Buddho dhammo saṅghoti vutte acalabhāvena okappanaṃ okappanasaddhā nāma. Pasāduppatti pasādasaddhā nāma, idha pana okappanasaddhā adhippetā. Bodhinti catumaggañāṇaṃ. Taṃ suppaṭividdhaṃ tathāgatenāti saddahati, desanāsīsameva cetaṃ, iminā pana aṅgena tīsupi ratanesu saddhā adhippetā. Yassa hi buddhādīsu pasādo balavā, tassa padhānaṃ vīriyaṃ ijjhati.
อปฺปาพาโธติ อโรโคฯ อปฺปาตโงฺกติ นิทฺทุโกฺขฯ สมเวปากินิยาติ สมวิปาจนิยาฯ คหณิยาติ กมฺมชเตโชธาตุยาฯ นาติสีตาย นาจฺจุณฺหายาติ อติสีตคหณิโก หิ สีตภีรู โหติ, อจฺจุณฺหคหณิโก อุณฺหภีรู, เตสํ ปธานํ น อิชฺฌติฯ มชฺฌิมคหณิกสฺส อิชฺฌติฯ เตนาห ‘‘มชฺฌิมาย ปธานกฺขมายา’’ติฯ ยถาภูตํ อตฺตานํ อาวิกตฺตาติ ยถาภูตํ อตฺตโน อคุณํ ปกาเสตาฯ อุทยตฺถคามินิยาติ อุทยญฺจ อตฺถญฺจ คนฺตุํ ปริจฺฉินฺทิตุํ สมตฺถาย, เอเตน ปญฺญาสลกฺขณปริคฺคาหิกํ อุทยพฺพยญาณํ วุตฺตํฯ อริยายาติ ปริสุทฺธายฯ นิเพฺพธิกายาติ อนิพฺพิทฺธปุเพฺพ โลภกฺขนฺธาทโย นิพฺพิชฺฌิตุํ สมตฺถายฯ สมฺมาทุกฺขกฺขยคามินิยาติ ตทงฺควเสน กิเลสานํ ปหีนตฺตา ยํ ทุกฺขํ ขียติ, ตสฺส ทุกฺขสฺส ขยคามินิยาฯ อิติ สเพฺพหิปิ อิเมหิ ปเทหิ วิปสฺสนาปญฺญาว กถิตาฯ ทุปฺปญฺญสฺส หิ ปธานํ น อิชฺฌติฯ อิมานิ จ ปญฺจ ปธานิยงฺคานิ โลกิยาเนว เวทิตพฺพานิฯ
Appābādhoti arogo. Appātaṅkoti niddukkho. Samavepākiniyāti samavipācaniyā. Gahaṇiyāti kammajatejodhātuyā. Nātisītāya nāccuṇhāyāti atisītagahaṇiko hi sītabhīrū hoti, accuṇhagahaṇiko uṇhabhīrū, tesaṃ padhānaṃ na ijjhati. Majjhimagahaṇikassa ijjhati. Tenāha ‘‘majjhimāya padhānakkhamāyā’’ti. Yathābhūtaṃ attānaṃ āvikattāti yathābhūtaṃ attano aguṇaṃ pakāsetā. Udayatthagāminiyāti udayañca atthañca gantuṃ paricchindituṃ samatthāya, etena paññāsalakkhaṇapariggāhikaṃ udayabbayañāṇaṃ vuttaṃ. Ariyāyāti parisuddhāya. Nibbedhikāyāti anibbiddhapubbe lobhakkhandhādayo nibbijjhituṃ samatthāya. Sammādukkhakkhayagāminiyāti tadaṅgavasena kilesānaṃ pahīnattā yaṃ dukkhaṃ khīyati, tassa dukkhassa khayagāminiyā. Iti sabbehipi imehi padehi vipassanāpaññāva kathitā. Duppaññassa hi padhānaṃ na ijjhati. Imāni ca pañca padhāniyaṅgāni lokiyāneva veditabbāni.
๓๔๕. สายมนุสิโฎฺฐ ปาโต วิเสสํ อธิคมิสฺสตีติ อตฺถงฺคเต สูริเย อนุสิโฎฺฐ อรุณุคฺคมเน วิเสสํ อธิคมิสฺสติฯ ปาตมนุสิโฎฺฐ สายนฺติ อรุณุคฺคมเน อนุสิโฎฺฐ สูริยตฺถงฺคมนเวลายํฯ อยญฺจ ปน เทสนา เนยฺยปุคฺคลวเสน วุตฺตาฯ ทนฺธปโญฺญ หิ เนยฺยปุคฺคโล สตฺตหิ ทิวเสหิ อรหตฺตํ ปาปุณาติ, ติกฺขปโญฺญ เอกทิวเสน, เสสทิวเส มชฺฌิมปญฺญาวเสน เวทิตพฺพํฯ อโห พุโทฺธ อโห ธโมฺม อโห ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตตาติ ยสฺมา พุทฺธธมฺมานํ อุฬารตาย ธมฺมสฺส จ สฺวากฺขาตตาย ปาโต กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา สายํ อรหตฺตํ ปาปุณาติ, ตสฺมา ปสํสโนฺต เอวมาหฯ ยตฺร หิ นามาติ วิมฺหยเตฺถ นิปาโตฯ
345.Sāyamanusiṭṭhopāto visesaṃ adhigamissatīti atthaṅgate sūriye anusiṭṭho aruṇuggamane visesaṃ adhigamissati. Pātamanusiṭṭho sāyanti aruṇuggamane anusiṭṭho sūriyatthaṅgamanavelāyaṃ. Ayañca pana desanā neyyapuggalavasena vuttā. Dandhapañño hi neyyapuggalo sattahi divasehi arahattaṃ pāpuṇāti, tikkhapañño ekadivasena, sesadivase majjhimapaññāvasena veditabbaṃ. Aho buddho aho dhammo aho dhammassa svākkhātatāti yasmā buddhadhammānaṃ uḷāratāya dhammassa ca svākkhātatāya pāto kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā sāyaṃ arahattaṃ pāpuṇāti, tasmā pasaṃsanto evamāha. Yatra hi nāmāti vimhayatthe nipāto.
๓๔๖. กุจฺฉิมตีติ อาปนฺนสตฺตาฯ โย เม อยํ, ภเนฺต, กุจฺฉิคโตติ กิํ ปเนวํ สรณํ คหิตํ โหตีติฯ น โหติฯ อจิตฺตกสรณคมนํ นาม นตฺถิ, อารโกฺข ปนสฺส ปจฺจุปฎฺฐิโตว โหติฯ อถ นํ ยทา มหลฺลกกาเล มาตาปิตโร, – ‘‘ตาต, กุจฺฉิคตเมว ตํ สรณํ คณฺหาปยิมฺหา’’ติ สาเรนฺติ, โส จ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘อหํ สรณํ คโต อุปาสโก’’ติ สติํ อุปฺปาเทติ, ตทา สรณํ คหิตํ นาม โหติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
346.Kucchimatīti āpannasattā. Yo me ayaṃ, bhante, kucchigatoti kiṃ panevaṃ saraṇaṃ gahitaṃ hotīti. Na hoti. Acittakasaraṇagamanaṃ nāma natthi, ārakkho panassa paccupaṭṭhitova hoti. Atha naṃ yadā mahallakakāle mātāpitaro, – ‘‘tāta, kucchigatameva taṃ saraṇaṃ gaṇhāpayimhā’’ti sārenti, so ca sallakkhetvā ‘‘ahaṃ saraṇaṃ gato upāsako’’ti satiṃ uppādeti, tadā saraṇaṃ gahitaṃ nāma hoti. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
โพธิราชกุมารสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bodhirājakumārasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. โพธิราชกุมารสุตฺตํ • 5. Bodhirājakumārasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. โพธิราชกุมารสุตฺตวณฺณนา • 5. Bodhirājakumārasuttavaṇṇanā