Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๕. พฺรหฺมจริยสุตฺตวณฺณนา
5. Brahmacariyasuttavaṇṇanā
๒๕. ปญฺจเม นยิทนฺติ เอตฺถ น-อิติ ปฎิเสเธ นิปาโต, ตสฺส ‘‘วุสฺสตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธ ‘‘น วุสฺสตี’’ติ, ย-กาโร ปทสนฺธิกโรฯ อิทํ-สโทฺท ‘‘เอกมิทาหํ, ภิกฺขเว, สมยํ อุกฺกฎฺฐายํ วิหรามิ สุภควเน สาลราชมูเล’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๙๑; ม. นิ. ๑.๕๐๑) นิปาตมตฺตํ, ‘‘อิทํ โข ตํ, ภิกฺขเว, อปฺปมตฺตกํ สีลมตฺตก’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๗) ยถาวุเตฺต อาสนฺนปจฺจเกฺข อาคโตฯ
25. Pañcame nayidanti ettha na-iti paṭisedhe nipāto, tassa ‘‘vussatī’’ti iminā sambandho ‘‘na vussatī’’ti, ya-kāro padasandhikaro. Idaṃ-saddo ‘‘ekamidāhaṃ, bhikkhave, samayaṃ ukkaṭṭhāyaṃ viharāmi subhagavane sālarājamūle’’tiādīsu (dī. ni. 2.91; ma. ni. 1.501) nipātamattaṃ, ‘‘idaṃ kho taṃ, bhikkhave, appamattakaṃ sīlamattaka’’ntiādīsu (dī. ni. 1.27) yathāvutte āsannapaccakkhe āgato.
‘‘อิทญฺหิ ตํ เชตวนํ, อิสิสงฺฆนิเสวิตํ;
‘‘Idañhi taṃ jetavanaṃ, isisaṅghanisevitaṃ;
อาวุตฺถํ ธมฺมราเชน, ปีติสญฺชนนํ มมา’’ติฯ (ม. นิ. ๓.๓๘๗-๓๘๘; สํ. นิ. ๑.๔๘, ๑๐๑) –
Āvutthaṃ dhammarājena, pītisañjananaṃ mamā’’ti. (ma. ni. 3.387-388; saṃ. ni. 1.48, 101) –
อาทีสุ วกฺขมาเน อาสนฺนปจฺจเกฺขฯ อิธาปิ วกฺขมาเนเยว อาสนฺนปจฺจเกฺข ทฎฺฐโพฺพฯ
Ādīsu vakkhamāne āsannapaccakkhe. Idhāpi vakkhamāneyeva āsannapaccakkhe daṭṭhabbo.
พฺรหฺมจริย-สโทฺท –
Brahmacariya-saddo –
‘‘กิํ เต วตํ กิํ ปน พฺรหฺมจริยํ,
‘‘Kiṃ te vataṃ kiṃ pana brahmacariyaṃ,
กิสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
Kissa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
อิทฺธี ชุตี พลวีริยูปปตฺติ,
Iddhī jutī balavīriyūpapatti,
อิทญฺจ เต นาค มหาวิมานํฯ
Idañca te nāga mahāvimānaṃ.
‘‘อหญฺจ ภริยา จ มนุสฺสโลเก,
‘‘Ahañca bhariyā ca manussaloke,
สทฺธา อุโภ ทานปตี อหุมฺหา;
Saddhā ubho dānapatī ahumhā;
โอปานภูตํ เม ฆรํ ตทาสิ,
Opānabhūtaṃ me gharaṃ tadāsi,
สนฺตปฺปิตา สมณพฺราหฺมณา จฯ
Santappitā samaṇabrāhmaṇā ca.
‘‘ตํ เม วตํ ตํ ปน พฺรหฺมจริยํ,
‘‘Taṃ me vataṃ taṃ pana brahmacariyaṃ,
ตสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
Tassa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
อิทฺธี ชุตี พลวีริยูปปตฺติ,
Iddhī jutī balavīriyūpapatti,
อิทญฺจ เม วีร มหาวิมาน’’นฺติฯ –
Idañca me vīra mahāvimāna’’nti. –
อิมสฺมิํ ปุณฺณกชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๑๕๙๕) ทาเน อาคโตฯ
Imasmiṃ puṇṇakajātake (jā. 2.22.1595) dāne āgato.
‘‘เกน ปาณิ กามทโท, เกน ปาณิ มธุสฺสโว;
‘‘Kena pāṇi kāmadado, kena pāṇi madhussavo;
เกน เต พฺรหฺมจริเยน, ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌตี’’ติฯ –
Kena te brahmacariyena, puññaṃ pāṇimhi ijjhatī’’ti. –
อิมสฺมิํ องฺกุรเปตวตฺถุสฺมิํ (เป. ว. ๒๗๕, ๒๗๗) เวยฺยาวเจฺจฯ
Imasmiṃ aṅkurapetavatthusmiṃ (pe. va. 275, 277) veyyāvacce.
‘‘เอวํ โข ตํ, ภิกฺขเว, ติตฺติริยํ นาม พฺรหฺมจริยํ อโหสี’’ติ อิมสฺมิํ ติตฺติรชาตเก (จูฬว. ๓๑๑) ปญฺจสิกฺขาปทสีเลฯ
‘‘Evaṃ kho taṃ, bhikkhave, tittiriyaṃ nāma brahmacariyaṃ ahosī’’ti imasmiṃ tittirajātake (cūḷava. 311) pañcasikkhāpadasīle.
‘‘ตํ โข ปน เม, ปญฺจสิข, พฺรหฺมจริยํ เนว นิพฺพิทาย น วิราคาย…เป.… ยาวเทว พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา’’ติ อิมสฺมิํ มหาโควินฺทสุเตฺต (ที. นิ. ๒.๓๒๙) พฺรหฺมวิหาเรฯ
‘‘Taṃ kho pana me, pañcasikha, brahmacariyaṃ neva nibbidāya na virāgāya…pe… yāvadeva brahmalokūpapattiyā’’ti imasmiṃ mahāgovindasutte (dī. ni. 2.329) brahmavihāre.
‘‘ปเร อพฺรหฺมจารี ภวิสฺสนฺติ, มยเมตฺถ พฺรหฺมจารี ภวิสฺสามา’’ติ อิมสฺมิํ สเลฺลขสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๘๓) เมถุนวิรติยํฯ
‘‘Pare abrahmacārī bhavissanti, mayamettha brahmacārī bhavissāmā’’ti imasmiṃ sallekhasutte (ma. ni. 1.83) methunaviratiyaṃ.
‘‘มยญฺจ ภริยา นาติกฺกมาม,
‘‘Mayañca bhariyā nātikkamāma,
อเมฺห จ ภริยา นาติกฺกมนฺติ;
Amhe ca bhariyā nātikkamanti;
อญฺญตฺร ตาหิ พฺรหฺมจริยํ จราม,
Aññatra tāhi brahmacariyaṃ carāma,
ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเร’’ติฯ –
Tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare’’ti. –
อิมสฺมิํ มหาธมฺมปาลชาตเก (ชา. ๑.๑๐.๙๗) สทารสโนฺตเสฯ
Imasmiṃ mahādhammapālajātake (jā. 1.10.97) sadārasantose.
‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมจริยํ จริตา, ตปสฺสี สุทํ โหมี’’ติ โลมหํสสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๑๕๕) วีริเยฯ
‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, caturaṅgasamannāgataṃ brahmacariyaṃ caritā, tapassī sudaṃ homī’’ti lomahaṃsasutte (ma. ni. 1.155) vīriye.
‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;
‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;
มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌตี’’ติฯ –
Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhatī’’ti. –
นิมิชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๔๒๙) อตฺตทมนวเสน กเต อฎฺฐงฺคิเก อุโปสเถฯ
Nimijātake (jā. 2.22.429) attadamanavasena kate aṭṭhaṅgike uposathe.
‘‘อิทํ โข ปน เม, ปญฺจสิข, พฺรหฺมจริยํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย…เป.… อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติ มหาโควินฺทสุเตฺตเยว (ที. นิ. ๒.๓๒๙) อริยมเคฺคฯ
‘‘Idaṃ kho pana me, pañcasikha, brahmacariyaṃ ekantanibbidāya virāgāya…pe… ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti mahāgovindasutteyeva (dī. ni. 2.329) ariyamagge.
‘‘ตยิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิต’’นฺติ ปาสาทิกสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๑๗๔) สิกฺขตฺตยสงฺคหิเต สกลสฺมิํ สาสเนฯ อิธาปิ อริยมเคฺค สาสเน จ วตฺตติฯ
‘‘Tayidaṃ brahmacariyaṃ iddhañceva phītañca vitthārikaṃ bāhujaññaṃ puthubhūtaṃ yāva devamanussehi suppakāsita’’nti pāsādikasutte (dī. ni. 3.174) sikkhattayasaṅgahite sakalasmiṃ sāsane. Idhāpi ariyamagge sāsane ca vattati.
วุสฺสตีติ วุสียติ, จรียตีติ อโตฺถฯ ชนกุหนตฺถนฺติ ‘‘อโห อโยฺย สีลวา วตฺตสมฺปโนฺน อปฺปิโจฺฉ สนฺตุโฎฺฐ มหิทฺธิโก มหานุภาโว’’ติอาทินา ชนสฺส สตฺตโลกสฺส วิมฺหาปนตฺถํฯ เกจิ ปน ‘‘กุหนตฺถนฺติ ปาปิจฺฉสฺส อิจฺฉาปกตสฺส สโต สามนฺตชปฺปนอิริยาปถนิสฺสิตปจฺจยปฎิเสวนสงฺขาเตน ติวิเธน กุหนวตฺถุนา กุหกภาเวน ชนสฺส วิมฺหาปนตฺถ’’นฺติ วทนฺติฯ อิธาปิ อยเมวโตฺถ ทสฺสิโตฯ เตเนวาห ‘‘ตีหิ กุหนวตฺถูหิ ชนสฺส กุหนตฺถายา’’ติ, ชนสฺส วิมฺหาปนตฺถายาติ อโตฺถฯ ชนลาปนตฺถนฺติ ‘‘เอวรูปสฺส นาม อยฺยสฺส ทินฺนํ มหปฺผลํ ภวิสฺสตี’’ติ ปสนฺนจิเตฺตหิ ‘‘เกนโตฺถ, กิํ อาหรียตู’’ติ วทาปนตฺถํฯ ‘‘ชนลปนตฺถ’’นฺติปิ ปฐนฺติ, ตสฺส ปาปิจฺฉสฺส สโต ปจฺจยตฺถํ ปริกโถภาสาทิวเสน ลปนภาเวน อุปลาปกภาเวน ชนสฺส ลปนตฺถนฺติ อโตฺถฯ เตเนวาห ‘‘น ชนลปนตฺถนฺติ น ชนสฺส อุปลาปนตฺถ’’นฺติฯ
Vussatīti vusīyati, carīyatīti attho. Janakuhanatthanti ‘‘aho ayyo sīlavā vattasampanno appiccho santuṭṭho mahiddhiko mahānubhāvo’’tiādinā janassa sattalokassa vimhāpanatthaṃ. Keci pana ‘‘kuhanatthanti pāpicchassa icchāpakatassa sato sāmantajappanairiyāpathanissitapaccayapaṭisevanasaṅkhātena tividhena kuhanavatthunā kuhakabhāvena janassa vimhāpanattha’’nti vadanti. Idhāpi ayamevattho dassito. Tenevāha ‘‘tīhi kuhanavatthūhi janassa kuhanatthāyā’’ti, janassa vimhāpanatthāyāti attho. Janalāpanatthanti ‘‘evarūpassa nāma ayyassa dinnaṃ mahapphalaṃ bhavissatī’’ti pasannacittehi ‘‘kenattho, kiṃ āharīyatū’’ti vadāpanatthaṃ. ‘‘Janalapanattha’’ntipi paṭhanti, tassa pāpicchassa sato paccayatthaṃ parikathobhāsādivasena lapanabhāvena upalāpakabhāvena janassa lapanatthanti attho. Tenevāha ‘‘na janalapanatthanti na janassa upalāpanattha’’nti.
น อิติวาทปฺปโมกฺขานิสํสตฺถนฺติ เอตฺถ ‘‘น ลาภสกฺการสิโลกานิสํสตฺถ’’นฺติปิ ปฐนฺติฯ ตตฺถ ยฺวายํ ‘‘อากเงฺขยฺย เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ‘ลาภี อสฺสํ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราน’นฺติ, สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการี’’ติ (ม. นิ. ๑.๖๕) สีลานิสํสภาเวน วุโตฺต จตุปจฺจยลาโภ จฯ จตุนฺนํ ปจฺจยานํ สกฺกจฺจทานสงฺขาโต อาทรพหุมานครุกรณสงฺขาโต จ สกฺกาโร, โย จ ‘‘สีลสมฺปโนฺน พหุสฺสุโต สุตธโร อารทฺธวีริโย’’ติอาทินา นเยน อุคฺคจฺฉนกถุติโฆสสงฺขาโต สิโลโก พฺรหฺมจริยํ วสนฺตานํ ทิฎฺฐธมฺมิโก อานิสํโส, ตทตฺถนฺติ อโตฺถฯ เกจิ ปน ‘‘ลาภสกฺการสิโลกานิสํสตฺถนฺติ ปาปิจฺฉเสฺสว สโต ลาภาทิครุตาย ลาภสกฺการสิโลกสงฺขาตสฺส อานิสํสสฺส อุทยสฺส นิปฺผาทนตฺถ’’นฺติ เอวมตฺถํ วทนฺติฯ
Na itivādappamokkhānisaṃsatthanti ettha ‘‘na lābhasakkārasilokānisaṃsattha’’ntipi paṭhanti. Tattha yvāyaṃ ‘‘ākaṅkheyya ce, bhikkhave, bhikkhu ‘lābhī assaṃ cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārāna’nti, sīlesvevassa paripūrakārī’’ti (ma. ni. 1.65) sīlānisaṃsabhāvena vutto catupaccayalābho ca. Catunnaṃ paccayānaṃ sakkaccadānasaṅkhāto ādarabahumānagarukaraṇasaṅkhāto ca sakkāro, yo ca ‘‘sīlasampanno bahussuto sutadharo āraddhavīriyo’’tiādinā nayena uggacchanakathutighosasaṅkhāto siloko brahmacariyaṃ vasantānaṃ diṭṭhadhammiko ānisaṃso, tadatthanti attho. Keci pana ‘‘lābhasakkārasilokānisaṃsatthanti pāpicchasseva sato lābhādigarutāya lābhasakkārasilokasaṅkhātassa ānisaṃsassa udayassa nipphādanattha’’nti evamatthaṃ vadanti.
น อิติ มํ ชโน ชานาตูติ เอวํ พฺรหฺมจริยวาเส สติ ‘‘สีลวา กลฺยาณธโมฺม’’ติอาทินา มํ โลโก ชานาตุ สมฺภาเวตูติ อตฺตโน สนฺตคุณวเสน สมฺภาวนตฺถมฺปิ น อิทํ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตีติ สมฺพโนฺธฯ เกจิ ปน ‘‘ปาปิจฺฉสฺส สโต อสนฺตคุณสมฺภาวนาธิปฺปาเยน ‘อิติ เอวํคุโณติ มํ โลโก ชานาตู’ติ น อิทํ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ เอวเมตฺถ อตฺถํ วทนฺติฯ สพฺพตฺถาปิ ปเนตฺถ ปุริโม ปุริโมเยว อตฺถวิกโปฺป สุนฺทรตโรฯ
Naiti maṃ jano jānātūti evaṃ brahmacariyavāse sati ‘‘sīlavā kalyāṇadhammo’’tiādinā maṃ loko jānātu sambhāvetūti attano santaguṇavasena sambhāvanatthampi na idaṃ brahmacariyaṃ vussatīti sambandho. Keci pana ‘‘pāpicchassa sato asantaguṇasambhāvanādhippāyena ‘iti evaṃguṇoti maṃ loko jānātū’ti na idaṃ brahmacariyaṃ vussatī’’ti evamettha atthaṃ vadanti. Sabbatthāpi panettha purimo purimoyeva atthavikappo sundarataro.
อถ โขติ เอตฺถ อถาติ อญฺญเตฺถ นิปาโต, โขติ อวธารเณฯ เตน กุหนาทิโต อญฺญทตฺถํเยว อิทํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตีติ ทเสฺสติฯ อิทานิ ตํ ปโยชนํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สํวรตฺถํ ปหานตฺถ’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ปญฺจวิโธ สํวโร – ปาติโมกฺขสํวโร, สติสํวโร, ญาณสํวโร, ขนฺติสํวโร, วีริยสํวโรติฯ ‘‘อิติ อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต’’ติอาทินา (วิภ. ๕๑๑) นเยน อาคโต อยํ ปาติโมกฺขสํวโร, สีลสํวโรติปิ วุจฺจติฯ ‘‘รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๙๕; สํ. นิ. ๔.๒๓๙; อ. นิ. ๓.๑๖) อาคโต อยํ สติสํวโรฯ
Atha khoti ettha athāti aññatthe nipāto, khoti avadhāraṇe. Tena kuhanādito aññadatthaṃyeva idaṃ, bhikkhave, brahmacariyaṃ vussatīti dasseti. Idāni taṃ payojanaṃ dassento ‘‘saṃvaratthaṃ pahānattha’’nti āha. Tattha pañcavidho saṃvaro – pātimokkhasaṃvaro, satisaṃvaro, ñāṇasaṃvaro, khantisaṃvaro, vīriyasaṃvaroti. ‘‘Iti iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto’’tiādinā (vibha. 511) nayena āgato ayaṃ pātimokkhasaṃvaro, sīlasaṃvarotipi vuccati. ‘‘Rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatī’’ti (ma. ni. 1.295; saṃ. ni. 4.239; a. ni. 3.16) āgato ayaṃ satisaṃvaro.
‘‘ยานิ โสตานิ โลกสฺมิํ, สติ เตสํ นิวารณํ;
‘‘Yāni sotāni lokasmiṃ, sati tesaṃ nivāraṇaṃ;
โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ, ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๔๑; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๔; เนตฺติ. ๔.๑๑, ๔๕) –
Sotānaṃ saṃvaraṃ brūmi, paññāyete pidhīyare’’ti. (su. ni. 1041; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddeso 4; netti. 4.11, 45) –
อาคโต อยํ ญาณสํวโรฯ ‘‘ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสฺสา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๔; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) นเยน อาคโต อยํ ขนฺติสํวโรฯ
Āgato ayaṃ ñāṇasaṃvaro. ‘‘Khamo hoti sītassa uṇhassā’’tiādinā (ma. ni. 1.24; a. ni. 4.114; 6.58) nayena āgato ayaṃ khantisaṃvaro.
‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) นเยน อาคโต อยํ วีริยสํวโรฯ
‘‘Uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’tiādinā (ma. ni. 1.26; a. ni. 4.114; 6.58) nayena āgato ayaṃ vīriyasaṃvaro.
อตฺถโต ปน ปาณาติปาตาทีนํ ปชหนวเสน วตฺตปฺปฎิวตฺตานํ ปูรณวเสน จ ปวตฺตา เจตนา เจว วิรติ จฯ สเงฺขปโต สโพฺพ กายวจีสํยโม, วิตฺถารโต สตฺตนฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานํ อวีติกฺกโม สีลสํวโรฯ สติ เอว สติสํวโร, สติปฺปธานา วา กุสลา ขนฺธาฯ ญาณเมว ญาณสํวโรฯ อธิวาสนวเสน อโทโส, อโทสปฺปธานา วา ตถาปวตฺตา กุสลา ขนฺธา ขนฺติสํวโร, ปญฺญาติ เอเกฯ กามวิตกฺกาทีนํ อภิภวนวเสน ปวตฺตํ วีริยเมว วีริยสํวโรฯ เตสุ ปฐโม กายทุจฺจริตาทีสุ ทุสฺสีลสฺส สํวรณโต สํวโร, ทุติโย มุฎฺฐสฺสจฺจสฺส , ตติโย อญฺญาณสฺส, จตุโตฺถ อกฺขนฺติยา, ปญฺจโม โกสชฺชสฺส สํวรณโต ปิทหนโต สํวโรติ เวทิตโพฺพฯ เอวเมตสฺส สํวรสฺส อตฺถาย สํวรตฺถํ สํวรนิปฺผาทนตฺถนฺติ อโตฺถฯ
Atthato pana pāṇātipātādīnaṃ pajahanavasena vattappaṭivattānaṃ pūraṇavasena ca pavattā cetanā ceva virati ca. Saṅkhepato sabbo kāyavacīsaṃyamo, vitthārato sattannaṃ āpattikkhandhānaṃ avītikkamo sīlasaṃvaro. Sati eva satisaṃvaro, satippadhānā vā kusalā khandhā. Ñāṇameva ñāṇasaṃvaro. Adhivāsanavasena adoso, adosappadhānā vā tathāpavattā kusalā khandhā khantisaṃvaro, paññāti eke. Kāmavitakkādīnaṃ abhibhavanavasena pavattaṃ vīriyameva vīriyasaṃvaro. Tesu paṭhamo kāyaduccaritādīsu dussīlassa saṃvaraṇato saṃvaro, dutiyo muṭṭhassaccassa , tatiyo aññāṇassa, catuttho akkhantiyā, pañcamo kosajjassa saṃvaraṇato pidahanato saṃvaroti veditabbo. Evametassa saṃvarassa atthāya saṃvaratthaṃ saṃvaranipphādanatthanti attho.
ตีหิ ปหาเนหีติ ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทสงฺขาเตหิ ตีหิ ปหาเนหิฯ ปญฺจวิธปฺปหานมฺปิ อิธ วตฺตุํ วฎฺฎติเยวฯ ปญฺจวิธญฺหิ ปหานํ ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทปฺปฎิปฺปสฺสทฺธินิสฺสรณวเสนฯ ตตฺถ ยํ ทีปาโลเกเนว ตมสฺส ปฎิปกฺขภาวโต อโลภาทีหิ โลภาทิกสฺส นามรูปปริเจฺฉทาทิวิปสฺสนาญาเณหิ ตสฺส ตสฺส อนตฺถสฺส ปหานํ, เสยฺยถิทํ – ปริจฺจาเคน โลภาทิมลสฺส, สีเลน ปาณาติปาตาทิทุสฺสีลฺยสฺส, สทฺธาทีหิ อสฺสทฺธิยาทิกสฺส, นามรูปววตฺถาเนน สกฺกายทิฎฺฐิยา, ปจฺจยปริคฺคเหน อเหตุวิสมเหตุทิฎฺฐีนํ, ตเสฺสว อปรภาเคน กงฺขาวิตรเณน กถํกถีภาวสฺส, กลาปสมฺมสเนน อหํมมาติ คาหสฺส, มคฺคามคฺคววตฺถาเนน อมเคฺค มคฺคสญฺญาย, อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา, วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา, ภยทสฺสเนน สภเย อภยสญฺญาย, อาทีนวทสฺสเนน อสฺสาทสญฺญาย, นิพฺพิทานุปสฺสเนน อภิรติสญฺญาย, มุจฺจิตุกมฺยตาญาเณน อมุจฺจิตุกมฺยตาย, อุเปกฺขาญาเณน อนุเปกฺขาย, อนุโลเมน ธมฺมฎฺฐิติยํ นิพฺพาเน จ ปฎิโลมภาวสฺส, โคตฺรภุนา สงฺขารนิมิตฺตคฺคาหสฺส ปหานํ, เอตํ ตทงฺคปฺปหานํ นามฯ
Tīhi pahānehīti tadaṅgavikkhambhanasamucchedasaṅkhātehi tīhi pahānehi. Pañcavidhappahānampi idha vattuṃ vaṭṭatiyeva. Pañcavidhañhi pahānaṃ tadaṅgavikkhambhanasamucchedappaṭippassaddhinissaraṇavasena. Tattha yaṃ dīpālokeneva tamassa paṭipakkhabhāvato alobhādīhi lobhādikassa nāmarūpaparicchedādivipassanāñāṇehi tassa tassa anatthassa pahānaṃ, seyyathidaṃ – pariccāgena lobhādimalassa, sīlena pāṇātipātādidussīlyassa, saddhādīhi assaddhiyādikassa, nāmarūpavavatthānena sakkāyadiṭṭhiyā, paccayapariggahena ahetuvisamahetudiṭṭhīnaṃ, tasseva aparabhāgena kaṅkhāvitaraṇena kathaṃkathībhāvassa, kalāpasammasanena ahaṃmamāti gāhassa, maggāmaggavavatthānena amagge maggasaññāya, udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā, vayadassanena sassatadiṭṭhiyā, bhayadassanena sabhaye abhayasaññāya, ādīnavadassanena assādasaññāya, nibbidānupassanena abhiratisaññāya, muccitukamyatāñāṇena amuccitukamyatāya, upekkhāñāṇena anupekkhāya, anulomena dhammaṭṭhitiyaṃ nibbāne ca paṭilomabhāvassa, gotrabhunā saṅkhāranimittaggāhassa pahānaṃ, etaṃ tadaṅgappahānaṃ nāma.
ยํ ปน อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา ปวตฺติภาวนิวารณโต ฆฎปฺปหาเรเนว อุทกปิเฎฺฐ เสวาลสฺส, เตสํ เตสํ นีวรณาทิธมฺมานํ ปหานํ, เอตํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํ นามฯ ยํ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา ตํตํมคฺควโต อตฺตโน สนฺตาเน ‘‘ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๒๗๗; วิภ. ๖๒๘) นเยน วุตฺตสฺส สมุทยปกฺขิยสฺส กิเลสคหณสฺส อจฺจนฺตํ อปฺปวตฺติภาเวน สมุจฺฉินฺทนํ, เอตํ สมุเจฺฉทปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺถํ กิเลสานํ, เอตํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ นามฯ ยํ สพฺพสงฺขตนิสฺสฎตฺตา ปหีนสพฺพสงฺขตํ นิพฺพานํ, เอตํ นิสฺสรณปฺปหานํ นาม ฯ ตสฺส ปญฺจวิธสฺสปิ ตถา ตถา ราคาทิกิเลสานํ ปฎินิสฺสชฺชนเฎฺฐน สมติกฺกมนเฎฺฐน วา ปหานสฺส อตฺถาย, ปหานสาธนตฺถนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Yaṃ pana upacārappanābhedena samādhinā pavattibhāvanivāraṇato ghaṭappahāreneva udakapiṭṭhe sevālassa, tesaṃ tesaṃ nīvaraṇādidhammānaṃ pahānaṃ, etaṃ vikkhambhanappahānaṃ nāma. Yaṃ catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā taṃtaṃmaggavato attano santāne ‘‘diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādinā (dha. sa. 277; vibha. 628) nayena vuttassa samudayapakkhiyassa kilesagahaṇassa accantaṃ appavattibhāvena samucchindanaṃ, etaṃ samucchedappahānaṃ nāma. Yaṃ pana phalakkhaṇe paṭippassaddhatthaṃ kilesānaṃ, etaṃ paṭippassaddhippahānaṃ nāma. Yaṃ sabbasaṅkhatanissaṭattā pahīnasabbasaṅkhataṃ nibbānaṃ, etaṃ nissaraṇappahānaṃ nāma . Tassa pañcavidhassapi tathā tathā rāgādikilesānaṃ paṭinissajjanaṭṭhena samatikkamanaṭṭhena vā pahānassa atthāya, pahānasādhanatthanti evamettha attho daṭṭhabbo.
ตตฺถ สํวเรน กิเลสานํ จิตฺตสนฺตาเน ปเวสนิวารณํ ปหาเนน จ ปเวสนิวารณเมว สมุคฺฆาโต จาติ วทนฺติฯ อุภเยนปิ ปน ยถารหํ อุภยํ สมฺปชฺชตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ สีลาทิธมฺมา เอว หิ สํวรณโต สํวรํ, ปชหนโต ปหานนฺติฯ
Tattha saṃvarena kilesānaṃ cittasantāne pavesanivāraṇaṃ pahānena ca pavesanivāraṇameva samugghāto cāti vadanti. Ubhayenapi pana yathārahaṃ ubhayaṃ sampajjatīti daṭṭhabbaṃ. Sīlādidhammā eva hi saṃvaraṇato saṃvaraṃ, pajahanato pahānanti.
อนีติหนฺติ อีติโย วุจฺจนฺติ อุปทฺทวา ทิฎฺฐธมฺมิกา สมฺปรายิกา จฯ อีติโย หนฺตีติ อีติหํ, อนุ อีติหนฺติ อนีติหํ, สาสนพฺรหฺมจริยํ มคฺคพฺรหฺมจริยญฺจฯ อถ วา อีตีหิ อนเตฺถหิ สทฺธิํ หนนฺติ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติ อีติหา, ตณฺหาทิอุปกฺกิเลสาฯ นตฺถิ เอตฺถ อีติหาติ อนีติหํฯ อีติหา วา ยถาวุเตฺตนเตฺถน ติตฺถิยสมยา, ตปฺปฎิปกฺขโต อิทํ อนีติหํฯ ‘‘อนิติห’’นฺติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – ‘‘อิติหาย’’นฺติ ธเมฺมสุ อเนกํสคฺคาหภาวโต วิจิกิจฺฉา อิติหํ นาม, สมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิตตฺตา ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชนฺตานํ นิกฺกงฺขภาวสาธนโต จ นตฺถิ เอตฺถ อิติหนฺติ อนิติหํ, อปรปตฺติยนฺติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ปจฺจตฺตํ เวทิตโพฺพ วิญฺญูหี’’ติ, ‘‘อตกฺกาวจโร’’ติ (ที. นิ. ๒.๖๗; ม. นิ. ๑.๒๘๑; ๒.๓๓๗; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๗-๘) จฯ คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปน ‘‘อนีติห’’นฺติ ทีฆํ กตฺวา ปฐนฺติฯ ปจฺฉิมํ ปเนตฺถ อตฺถวิกปฺปํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิติหปริวชฺชิต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Anītihanti ītiyo vuccanti upaddavā diṭṭhadhammikā samparāyikā ca. Ītiyo hantīti ītihaṃ, anu ītihanti anītihaṃ, sāsanabrahmacariyaṃ maggabrahmacariyañca. Atha vā ītīhi anatthehi saddhiṃ hananti gacchanti pavattantīti ītihā, taṇhādiupakkilesā. Natthi ettha ītihāti anītihaṃ. Ītihā vā yathāvuttenatthena titthiyasamayā, tappaṭipakkhato idaṃ anītihaṃ. ‘‘Anitiha’’ntipi pāṭho. Tassattho – ‘‘itihāya’’nti dhammesu anekaṃsaggāhabhāvato vicikicchā itihaṃ nāma, sammāsambuddhappaveditattā yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjantānaṃ nikkaṅkhabhāvasādhanato ca natthi ettha itihanti anitihaṃ, aparapattiyanti attho. Vuttañhetaṃ ‘‘paccattaṃ veditabbo viññūhī’’ti, ‘‘atakkāvacaro’’ti (dī. ni. 2.67; ma. ni. 1.281; 2.337; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 7-8) ca. Gāthābandhasukhatthaṃ pana ‘‘anītiha’’nti dīghaṃ katvā paṭhanti. Pacchimaṃ panettha atthavikappaṃ dassetuṃ ‘‘itihaparivajjita’’ntiādi vuttaṃ.
นิพฺพานสงฺขาตํ โอคธํ ปติฎฺฐํ ปารํ คจฺฉตีติ นิพฺพาโนคธคามี, วิมุตฺติรสตฺตา เอกเนฺตเนว นิพฺพานสมฺปาปโกติ อโตฺถ, ตํ นิพฺพาโนคธคามินํ พฺรหฺมจริยํฯ นิพฺพาโนคโธติ วา อริยมโคฺค วุจฺจติ เตน วินา นิพฺพานาวคาหณสฺส อสมฺภวโต ตสฺส จ นิพฺพานํ อนาลมฺพิตฺวา อปฺปวตฺตนโต, ตเญฺจตํ เอกนฺตสมฺปาทเนน คจฺฉตีติ นิพฺพาโนคธคามีฯ อถ วา นิพฺพาโนคธคามินนฺติ นิพฺพานสฺส อโนฺตคามินํฯ มคฺคพฺรหฺมจริยญฺหิ นิพฺพานํ อารมฺมณํ กริตฺวา ตสฺส อโนฺต เอว ปวตฺตตีติฯ อิมเมว จ อตฺถวิกปฺปํ ทเสฺสตุํ ‘‘นิพฺพานสฺส อโนฺตคามิน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ โสติ โย โส สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพกิเลเส ภญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, โส ภควา อเทสยิ เทเสสิ ฯ มหเนฺตหีติ มหาอาตุเมหิ อุฬารชฺฌาสเยหิฯ มหนฺตํ นิพฺพานํ, มหเนฺต วา สีลกฺขนฺธาทิเก เอสนฺติ คเวสนฺตีติ มเหสิโน, พุทฺธาทโย อริยาฯ เตหิ อนุยาโต ปฎิปโนฺนฯ
Nibbānasaṅkhātaṃ ogadhaṃ patiṭṭhaṃ pāraṃ gacchatīti nibbānogadhagāmī, vimuttirasattā ekanteneva nibbānasampāpakoti attho, taṃ nibbānogadhagāminaṃ brahmacariyaṃ. Nibbānogadhoti vā ariyamaggo vuccati tena vinā nibbānāvagāhaṇassa asambhavato tassa ca nibbānaṃ anālambitvā appavattanato, tañcetaṃ ekantasampādanena gacchatīti nibbānogadhagāmī. Atha vā nibbānogadhagāminanti nibbānassa antogāminaṃ. Maggabrahmacariyañhi nibbānaṃ ārammaṇaṃ karitvā tassa anto eva pavattatīti. Imameva ca atthavikappaṃ dassetuṃ ‘‘nibbānassa antogāmina’’ntiādi vuttaṃ. Soti yo so samatiṃsa pāramiyo pūretvā sabbakilese bhañjitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho, so bhagavā adesayi desesi . Mahantehīti mahāātumehi uḷārajjhāsayehi. Mahantaṃ nibbānaṃ, mahante vā sīlakkhandhādike esanti gavesantīti mahesino, buddhādayo ariyā. Tehi anuyāto paṭipanno.
ยถา พุเทฺธน เทสิตนฺติ ยถา อภิเญฺญยฺยาทิภาเวน สมฺมาสมฺพุเทฺธน มยา เทสิตํ, เอวํ เย เอตํ มคฺคพฺรหฺมจริยํ ตทตฺถํ สาสนพฺรหฺมจริยญฺจ ปฎิปชฺชนฺติฯ เต ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ยถารหํ อนุสาสนฺตสฺส สตฺถุ มยฺหํ สาสนการิโน โอวาทปฺปฎิกรา สกลสฺส วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตํ ปริยนฺตํ อปฺปวตฺติํ กริสฺสนฺติ, ทุกฺขสฺส วา อนฺตํ นิพฺพานํ สจฺฉิกริสฺสนฺตีติฯ
Yathā buddhena desitanti yathā abhiññeyyādibhāvena sammāsambuddhena mayā desitaṃ, evaṃ ye etaṃ maggabrahmacariyaṃ tadatthaṃ sāsanabrahmacariyañca paṭipajjanti. Te diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi yathārahaṃ anusāsantassa satthu mayhaṃ sāsanakārino ovādappaṭikarā sakalassa vaṭṭadukkhassa antaṃ pariyantaṃ appavattiṃ karissanti, dukkhassa vā antaṃ nibbānaṃ sacchikarissantīti.
พฺรหฺมจริยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Brahmacariyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๕. พฺรหฺมจริยสุตฺตํ • 5. Brahmacariyasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๕. พฺรหฺมจริยสุตฺตวณฺณนา • 5. Brahmacariyasuttavaṇṇanā