Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation |
ทีฆ นิกาย ๑
Long Discourses 1
พฺรหฺมชาลสุตฺต
The Divine Net
๑ฯ ปริพฺพาชกกถา
1. Talk on Wanderers
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺโน โหติ มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิฯ สุปฺปิโยปิ โข ปริพฺพาชโก อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺโน โหติ สทฺธึ อนฺเตวาสินา พฺรหฺมทตฺเตน มาณเวนฯ ตตฺร สุทํ สุปฺปิโย ปริพฺพาชโก อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส อวณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส อวณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส อวณฺณํ ภาสติ; สุปฺปิยสฺส ปน ปริพฺพาชกสฺส อนฺเตวาสี พฺรหฺมทตฺโต มาณโว อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส วณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส วณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส วณฺณํ ภาสติฯ อิติห เต อุโภ อาจริยนฺเตวาสี อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา ภควนฺตํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธา โหนฺติ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ
So I have heard. At one time the Buddha was traveling along the road between Rājagaha and Nāḷandā together with a large Saṅgha of five hundred bhikkhus. The wanderer Suppiya was also traveling along the same road, together with his pupil, the brahmin student Brahmadatta. Meanwhile, Suppiya criticized the Buddha, the teaching, and the Saṅgha in many ways, but his pupil Brahmadatta praised them in many ways. And so both teacher and pupil followed behind the Buddha and the Saṅgha of bhikkhus directly contradicting each other.
อถ โข ภควา อมฺพลฏฺฐิกายํ ราชาคารเก เอกรตฺติวาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนฯ สุปฺปิโยปิ โข ปริพฺพาชโก อมฺพลฏฺฐิกายํ ราชาคารเก เอกรตฺติวาสํ อุปคจฺฉิ อนฺเตวาสินา พฺรหฺมทตฺเตน มาณเวนฯ ตตฺรปิ สุทํ สุปฺปิโย ปริพฺพาชโก อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส อวณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส อวณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส อวณฺณํ ภาสติ; สุปฺปิยสฺส ปน ปริพฺพาชกสฺส อนฺเตวาสี พฺรหฺมทตฺโต มาณโว อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส วณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส วณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส วณฺณํ ภาสติฯ อิติห เต อุโภ อาจริยนฺเตวาสี อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา วิหรนฺติฯ
Then the Buddha took up residence for the night in the royal rest-house in Ambalaṭṭhikā together with the Saṅgha of bhikkhus. And Suppiya and Brahmadatta did likewise. There too, Suppiya criticized the Buddha, the teaching, and the Saṅgha in many ways, but his pupil Brahmadatta praised them in many ways. And so both teacher and pupil kept on directly contradicting each other.
อถ โข สมฺพหุลานํ ภิกฺขูนํ รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฏฺฐิตานํ มณฺฑลมาเฬ สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ อยํ สงฺขิยธมฺโม อุทปาทิ:
Then several bhikkhus rose at the crack of dawn and sat together in the pavilion, where the topic of judgmentalism came up:
“อจฺฉริยํ, อาวุโส, อพฺภุตํ, อาวุโส, ยาวญฺจิทํ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตา สุปฺปฏิวิทิตาฯ อยญฺหิ สุปฺปิโย ปริพฺพาชโก อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส อวณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส อวณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส อวณฺณํ ภาสติ; สุปฺปิยสฺส ปน ปริพฺพาชกสฺส อนฺเตวาสี พฺรหฺมทตฺโต มาณโว อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส วณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส วณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส วณฺณํ ภาสติฯ อิติหเม อุโภ อาจริยนฺเตวาสี อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา ภควนฺตํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธา โหนฺติ ภิกฺขุสงฺฆญฺจา”ติฯ
“It’s incredible, friends, it’s amazing how the diverse convictions of sentient beings have been clearly comprehended by the Blessed One, who knows and sees, the perfected one, the fully awakened Buddha. For this Suppiya criticizes the Buddha, the teaching, and the Saṅgha in many ways, while his pupil Brahmadatta praises them in many ways. And so both teacher and pupil followed behind the Buddha and the Saṅgha of bhikkhus directly contradicting each other.”
อถ โข ภควา เตสํ ภิกฺขูนํ อิมํ สงฺขิยธมฺมํ วิทิตฺวา เยน มณฺฑลมาโฬ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา สนฺนิปติตา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?
When the Buddha found out about this discussion on judgmentalism among the bhikkhus, he went to the pavilion, where he sat on the seat spread out and addressed the bhikkhus, “Bhikkhus, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”
เอวํ วุตฺเต, เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อิธ, ภนฺเต, อมฺหากํ รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฏฺฐิตานํ มณฺฑลมาเฬ สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ อยํ สงฺขิยธมฺโม อุทปาทิ: ‘อจฺฉริยํ, อาวุโส, อพฺภุตํ, อาวุโส, ยาวญฺจิทํ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตา สุปฺปฏิวิทิตาฯ อยญฺหิ สุปฺปิโย ปริพฺพาชโก อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส อวณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส อวณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส อวณฺณํ ภาสติ; สุปฺปิยสฺส ปน ปริพฺพาชกสฺส อนฺเตวาสี พฺรหฺมทตฺโต มาณโว อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส วณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส วณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส วณฺณํ ภาสติฯ อิติหเม อุโภ อาจริยนฺเตวาสี อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา ภควนฺตํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธา โหนฺติ ภิกฺขุสงฺฆญฺจา'ติฯ อยํ โข โน, ภนฺเต, อนฺตรากถา วิปฺปกตา, อถ ภควา อนุปฺปตฺโต”ติฯ
The bhikkhus told him what had happened, adding, “This was our conversation that was unfinished when the Buddha arrived.”
“มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ธมฺมสฺส วา อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, สงฺฆสฺส วา อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ตตฺร ตุเมฺหหิ น อาฆาโต น อปฺปจฺจโย น เจตโส อนภิรทฺธิ กรณียาฯ มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ธมฺมสฺส วา อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, สงฺฆสฺส วา อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ตตฺร เจ ตุเมฺห อสฺสถ กุปิตา วา อนตฺตมนา วา, ตุมฺหํ เยวสฺส เตน อนฺตราโยฯ มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ธมฺมสฺส วา อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, สงฺฆสฺส วา อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ตตฺร เจ ตุเมฺห อสฺสถ กุปิตา วา อนตฺตมนา วา, อปิ นุ ตุเมฺห ปเรสํ สุภาสิตํ ทุพฺภาสิตํ อาชาเนยฺยาถา”ติ?
“Bhikkhus, if others criticize me, the teaching, or the Saṅgha, don’t make yourselves resentful, bitter, and exasperated. You’ll get angry and upset, which would be an obstacle for you alone. If others were to criticize me, the teaching, or the Saṅgha, and you got angry and upset, would you be able to understand whether they spoke well or poorly?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ธมฺมสฺส วา อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, สงฺฆสฺส วา อวณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ตตฺร ตุเมฺหหิ อภูตํ อภูตโต นิพฺเพเฐตพฺพํ: ‘อิติเปตํ อภูตํ, อิติเปตํ อตจฺฉํ, นตฺถิ เจตํ อเมฺหสุ, น จ ปเนตํ อเมฺหสุ สํวิชฺชตี'ติฯ
“If others criticize me, the teaching, or the Saṅgha, you should explain that what is untrue is in fact untrue: ‘This is why that’s untrue, this is why that’s false. There’s no such thing in us, it’s not found among us.’
มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ธมฺมสฺส วา วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, สงฺฆสฺส วา วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ตตฺร ตุเมฺหหิ น อานนฺโท น โสมนสฺสํ น เจตโส อุปฺปิลาวิตตฺตํ กรณียํฯ มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ธมฺมสฺส วา วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, สงฺฆสฺส วา วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ตตฺร เจ ตุเมฺห อสฺสถ อานนฺทิโน สุมนา อุปฺปิลาวิตา ตุมฺหํ เยวสฺส เตน อนฺตราโยฯ มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ธมฺมสฺส วา วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, สงฺฆสฺส วา วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ตตฺร ตุเมฺหหิ ภูตํ ภูตโต ปฏิชานิตพฺพํ: ‘อิติเปตํ ภูตํ, อิติเปตํ ตจฺฉํ, อตฺถิ เจตํ อเมฺหสุ, สํวิชฺชติ จ ปเนตํ อเมฺหสู'ติฯ
If others praise me, the teaching, or the Saṅgha, don’t make yourselves thrilled, elated, and excited. You’ll get thrilled, elated, and excited, which would be an obstacle for you alone. If others praise me, the teaching, or the Saṅgha, you should acknowledge that what is true is in fact true: ‘This is why that’s true, this is why that’s correct. There is such a thing in us, it is found among us.’
๒ฯ สีล
2. Ethics
๒ฯ๑ฯ จูฬสีล
2.1. The Shorter Section on Ethics
อปฺปมตฺตกํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, โอรมตฺตกํ สีลมตฺตกํ, เยน ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ กตมญฺจ ตํ, ภิกฺขเว, อปฺปมตฺตกํ โอรมตฺตกํ สีลมตฺตกํ, เยน ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺย?
When an ordinary person speaks praise of the Realized One, they speak only of trivial, insignificant details of mere ethics. And what are the trivial, insignificant details of mere ethics that an ordinary person speaks of?
‘ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม นิหิตทณฺโฑ, นิหิตสตฺโถ, ลชฺชี, ทยาปนฺโน, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรตี'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘The ascetic Gotama has given up killing living creatures. He has renounced the rod and the sword. He’s scrupulous and kind, living full of compassion for all living beings.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม ทินฺนาทายี ทินฺนปาฏิกงฺขี, อเถเนน สุจิภูเตน อตฺตนา วิหรตี'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘The ascetic Gotama has given up stealing. He takes only what’s given, and expects only what’s given. He keeps himself clean by not thieving.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘อพฺรหฺมจริยํ ปหาย พฺรหฺมจารี สมโณ โคตโม อาราจารี วิรโต เมถุนา คามธมฺมา'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘The ascetic Gotama has given up unchastity. He is celibate, set apart, avoiding the vulgar act of sex.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม สจฺจวาที สจฺจสนฺโธ เถโต ปจฺจยิโก อวิสํวาทโก โลกสฺสา'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘The ascetic Gotama has given up lying. He speaks the truth and sticks to the truth. He’s honest and trustworthy, and doesn’t trick the world with his words.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ปิสุณํ วาจํ ปหาย ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม, อิโต สุตฺวา น อมุตฺร อกฺขาตา อิเมสํ เภทาย, อมุตฺร วา สุตฺวา น อิเมสํ อกฺขาตา อมูสํ เภทายฯ อิติ ภินฺนานํ วา สนฺธาตา, สหิตานํ วา อนุปฺปทาตา สมคฺคาราโม สมคฺครโต สมคฺคนนฺที สมคฺคกรณึ วาจํ ภาสิตา'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘The ascetic Gotama has given up divisive speech. He doesn’t repeat in one place what he heard in another so as to divide people against each other. Instead, he reconciles those who are divided, supporting unity, delighting in harmony, loving harmony, speaking words that promote harmony.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม, ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา เปมนียา หทยงฺคมา โปรี พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา ตถารูปึ วาจํ ภาสิตา'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘The ascetic Gotama has given up harsh speech. He speaks in a way that’s mellow, pleasing to the ear, lovely, going to the heart, polite, likable and agreeable to the people.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘สมฺผปฺปลาปํ ปหาย สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม กาลวาที ภูตวาที อตฺถวาที ธมฺมวาที วินยวาที, นิธานวตึ วาจํ ภาสิตา กาเลน สาปเทสํ ปริยนฺตวตึ อตฺถสํหิตนฺ'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘The ascetic Gotama has given up talking nonsense. His words are timely, true, and meaningful, in line with the teaching and training. He says things at the right time which are valuable, reasonable, succinct, and beneficial.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว …เป…ฯ
‘The ascetic Gotama refrains from injuring plants and seeds.’
‘เอกภตฺติโก สมโณ โคตโม รตฺตูปรโต วิรโต วิกาลโภชนา …ฯ
‘He eats in one part of the day, abstaining from eating at night and food at the wrong time.’
นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ
‘He refrains from seeing shows of dancing, singing, and music .’
มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ
‘He refrains from beautifying and adorning himself with garlands, perfumes, and makeup.’
อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ
‘He refrains from high and luxurious beds.’
ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ อามกธญฺญปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ อามกมํสปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ อิตฺถิกุมาริกปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ ทาสิทาสปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ อเชฬกปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ กุกฺกุฏสูกรปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ หตฺถิควสฺสวฬวปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ เขตฺตวตฺถุปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ
‘He refrains from receiving gold and money, raw grains, raw meat, women and girls, male and female bondservants, goats and sheep, chickens and pigs, elephants, cows, horses, and mares, and fields and land.’
ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ กยวิกฺกยา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ ตุลากูฏกํสกูฏมานกูฏา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ อุกฺโกฏนวญฺจนนิกติสาจิโยคา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม …ฯ เฉทนวธพนฺธนวิปราโมสอาโลปสหสาการา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘He refrains from running errands and messages; buying and selling; falsifying weights, metals, or measures; bribery, fraud, cheating, and duplicity; mutilation, murder, abduction, banditry, plunder, and violence.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
จูฬสีลํ นิฏฺฐิตํฯ
The shorter section on ethics is finished.
๒ฯ๒ฯ มชฺฌิมสีล
2.2. The Middle Section on Ethics
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ พีชคามภูตคามสมารมฺภํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—มูลพีชํ ขนฺธพีชํ ผฬุพีชํ อคฺคพีชํ พีชพีชเมว ปญฺจมํ; อิติ เอวรูปา พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in injuring plants and seeds. These include plants propagated from roots, stems, cuttings, or joints; and those from regular seeds as the fifth. The ascetic Gotama refrains from such injury to plants and seeds.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ สนฺนิธิการปริโภคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—อนฺนสนฺนิธึ ปานสนฺนิธึ วตฺถสนฺนิธึ ยานสนฺนิธึ สยนสนฺนิธึ คนฺธสนฺนิธึ อามิสสนฺนิธึ อิติ วา อิติ เอวรูปา สนฺนิธิการปริโภคา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in storing up goods for their own use. This includes such things as food, drink, clothes, vehicles, bedding, fragrance, and things of the flesh. The ascetic Gotama refrains from storing up such goods.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ วิสูกทสฺสนํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—นจฺจํ คีตํ วาทิตํ เปกฺขํ อกฺขานํ ปาณิสฺสรํ เวตาฬํ กุมฺภถูณํ โสภนกํ จณฺฑาลํ วํสํ โธวนํ หตฺถิยุทฺธํ อสฺสยุทฺธํ มหึสยุทฺธํ อุสภยุทฺธํ อชยุทฺธํ เมณฺฑยุทฺธํ กุกฺกุฏยุทฺธํ วฏฺฏกยุทฺธํ ทณฺฑยุทฺธํ มุฏฺฐิยุทฺธํ นิพฺพุทฺธํ อุโยฺยธิกํ พลคฺคํ เสนาพฺยูหํ อนีกทสฺสนํ อิติ วา อิติ เอวรูปา วิสูกทสฺสนา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in seeing shows. This includes such things as dancing, singing, music, performances, and storytelling; clapping, gongs, and kettledrums; beauty pageants and tribal bone-washing ceremonies; battles of elephants, horses, buffaloes, bulls, goats, rams, chickens, and quails; staff-fights, boxing, and wrestling; combat, roll calls of the armed forces, battle-formations, and regimental reviews. The ascetic Gotama refrains from such shows.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ ชูตปฺปมาทฏฺฐานานุโยคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—อฏฺฐปทํ ทสปทํ อากาสํ ปริหารปถํ สนฺติกํ ขลิกํ ฆฏิกํ สลากหตฺถํ อกฺขํ ปงฺคจีรํ วงฺกกํ โมกฺขจิกํ จิงฺคุลิกํ ปตฺตาฬฺหกํ รถกํ ธนุกํ อกฺขริกํ มเนสิกํ ยถาวชฺชํ อิติ วา อิติ เอวรูปา ชูตปฺปมาทฏฺฐานานุโยคา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in gambling that causes negligence. This includes such things as checkers with eight or ten rows, checkers in the air, hopscotch, spillikins, board-games, tip-cat, drawing straws, dice, leaf-flutes, toy plows, somersaults, pinwheels, toy measures, toy carts, toy bows, guessing words from syllables, guessing another’s thoughts, and imitating musical instruments. The ascetic Gotama refrains from such gambling.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ อุจฺจาสยนมหาสยนํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—อาสนฺทึ ปลฺลงฺกํ โคนกํ จิตฺตกํ ปฏิกํ ปฏลิกํ ตูลิกํ วิกติกํ อุทฺทโลมึ เอกนฺตโลมึ กฏฺฏิสฺสํ โกเสยฺยํ กุตฺตกํ หตฺถตฺถรํ อสฺสตฺถรํ รถตฺถรํ อชินปฺปเวณึ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณํ เสาตฺตรจฺฉทํ อุภโตโลหิตกูปธานํ อิติ วา อิติ เอวรูปา อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still make use of high and luxurious bedding. This includes such things as sofas, couches, woolen covers—shag-piled, colorful, white, embroidered with flowers, quilted, embroidered with animals, double- or single-fringed—and silk covers studded with gems, as well as silken sheets, woven carpets, rugs for elephants, horses, or chariots, antelope hide rugs, and spreads of fine deer hide, with a canopy above and red cushions at both ends. The ascetic Gotama refrains from such bedding.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ มณฺฑนวิภูสนฏฺฐานานุโยคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—อุจฺฉาทนํ ปริมทฺทนํ นฺหาปนํ สมฺพาหนํ อาทาสํ อญฺชนํ มาลาคนฺธวิเลปนํ มุขจุณฺณํ มุขเลปนํ หตฺถพนฺธํ สิขาพนฺธํ ทณฺฑํ นาฬิกํ อสึ ฉตฺตํ จิตฺรุปาหนํ อุณฺหีสํ มณึ วาลพีชนึ โอทาตานิ วตฺถานิ ทีฆทสานิ อิติ วา อิติ เอวรูปา มณฺฑนวิภูสนฏฺฐานานุโยคา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in beautifying and adorning themselves with garlands, fragrance, and makeup. This includes such things as applying beauty products by anointing, massaging, bathing, and rubbing; mirrors, ointments, garlands, fragrances, and makeup; face-powder, foundation, bracelets, headbands, fancy walking-sticks or containers, rapiers, parasols, fancy sandals, turbans, jewelry, chowries, and long-fringed white robes. The ascetic Gotama refrains from such beautification and adornment.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ ติรจฺฉานกถํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฏฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานกถาย ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in low talk. This includes such topics as talk about kings, bandits, and ministers; talk about armies, threats, and wars; talk about food, drink, clothes, and beds; talk about garlands and fragrances; talk about family, vehicles, villages, towns, cities, and countries; talk about women and heroes; street talk and well talk; talk about the departed; motley talk; tales of land and sea; and talk about being reborn in this or that state of existence. The ascetic Gotama refrains from such low talk.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ วิคฺคาหิกกถํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสิ, อหํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานามิ, กึ ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานิสฺสสิ, มิจฺฉา ปฏิปนฺโน ตฺวมสิ, อหมสฺมิ สมฺมา ปฏิปนฺโน, สหิตํ เม, อสหิตํ เต, ปุเรวจนียํ ปจฺฉา อวจ, ปจฺฉาวจนียํ ปุเร อวจ, อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตํ, อาโรปิโต เต วาโท, นิคฺคหิโต ตฺวมสิ, จร วาทปฺปโมกฺขาย, นิพฺเพเฐหิ วา สเจ ปโหสีติ อิติ วา อิติ เอวรูปาย วิคฺคาหิกกถาย ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in arguments. They say such things as: “You don’t understand this teaching and training. I understand this teaching and training. What, you understand this teaching and training? You’re practicing wrong. I’m practicing right. I stay on topic, you don’t. You said last what you should have said first. You said first what you should have said last. What you’ve thought so much about has been disproved. Your doctrine is refuted. Go on, save your doctrine! You’re trapped; get yourself out of this—if you can!” The ascetic Gotama refrains from such argumentative talk.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติ, เสยฺยถิทํ—รญฺญํ, ราชมหามตฺตานํ, ขตฺติยานํ, พฺราหฺมณานํ, คหปติกานํ, กุมารานํ “อิธ คจฺฉ, อมุตฺราคจฺฉ, อิทํ หร, อมุตฺร อิทํ อาหรา”ติ อิติ วา อิติ เอวรูปา ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in running errands and messages. This includes running errands for rulers, ministers, aristocrats, brahmins, householders, or princes who say: “Go here, go there. Take this, bring that from there.” The ascetic Gotama refrains from such errands.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต กุหกา จ โหนฺติ, ลปกา จ เนมิตฺติกา จ นิปฺเปสิกา จ, ลาเภน ลาภํ นิชิคีสิตาโร จ อิติ เอวรูปา กุหนลปนา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still engage in deceit, flattery, hinting, and belittling, and using material possessions to chase after other material possessions. The ascetic Gotama refrains from such deceit and flattery.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
มชฺฌิมสีลํ นิฏฺฐิตํฯ
The middle section on ethics is finished.
๒ฯ๓ฯ มหาสีล
2.3. The Large Section on Ethics
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กปฺเปนฺติ, เสยฺยถิทํ—องฺคํ นิมิตฺตํ อุปฺปาตํ สุปินํ ลกฺขณํ มูสิกจฺฉินฺนํ อคฺคิโหมํ ทพฺพิโหมํ ถุสโหมํ กณโหมํ ตณฺฑุลโหมํ สปฺปิโหมํ เตลโหมํ มุขโหมํ โลหิตโหมํ องฺควิชฺชา วตฺถุวิชฺชา ขตฺตวิชฺชา สิววิชฺชา ภูตวิชฺชา ภูริวิชฺชา อหิวิชฺชา วิสวิชฺชา วิจฺฉิกวิชฺชา มูสิกวิชฺชา สกุณวิชฺชา วายสวิชฺชา ปกฺกชฺฌานํ สรปริตฺตาณํ มิคจกฺกํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still earn a living by low lore, by wrong livelihood. This includes such fields as limb-reading, omenology, divining celestial portents, interpreting dreams, divining bodily marks, divining holes in cloth gnawed by mice, fire offerings, ladle offerings, offerings of husks, rice powder, rice, ghee, or oil; offerings from the mouth, blood sacrifices, palmistry; geomancy for building sites, fields, and cemeteries; exorcisms, earth magic, snake charming, poisons; the lore of the scorpion, the rat, the bird, and the crow; prophesying life span, chanting for protection, and divining omens from wild animals. The ascetic Gotama refrains from such low lore, such wrong livelihood.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กปฺเปนฺติ, เสยฺยถิทํ—มณิลกฺขณํ วตฺถลกฺขณํ ทณฺฑลกฺขณํ สตฺถลกฺขณํ อสิลกฺขณํ อุสุลกฺขณํ ธนุลกฺขณํ อาวุธลกฺขณํ อิตฺถิลกฺขณํ ปุริสลกฺขณํ กุมารลกฺขณํ กุมาริลกฺขณํ ทาสลกฺขณํ ทาสิลกฺขณํ หตฺถิลกฺขณํ อสฺสลกฺขณํ มหึสลกฺขณํ อุสภลกฺขณํ โคลกฺขณํ อชลกฺขณํ เมณฺฑลกฺขณํ กุกฺกุฏลกฺขณํ วฏฺฏกลกฺขณํ โคธาลกฺขณํ กณฺณิกาลกฺขณํ กจฺฉปลกฺขณํ มิคลกฺขณํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still earn a living by low lore, by wrong livelihood. This includes reading the marks of gems, cloth, clubs, swords, spears, arrows, weapons, women, men, boys, girls, male and female bondservants, elephants, horses, buffaloes, bulls, cows, goats, rams, chickens, quails, monitor lizards, rabbits, tortoises, or deer. The ascetic Gotama refrains from such low lore, such wrong livelihood.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กปฺเปนฺติ, เสยฺยถิทํ—รญฺญํ นิยฺยานํ ภวิสฺสติ, รญฺญํ อนิยฺยานํ ภวิสฺสติ, อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ อุปยานํ ภวิสฺสติ, พาหิรานํ รญฺญํ อปยานํ ภวิสฺสติ, พาหิรานํ รญฺญํ อุปยานํ ภวิสฺสติ, อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ อปยานํ ภวิสฺสติ, อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ ชโย ภวิสฺสติ, พาหิรานํ รญฺญํ ปราชโย ภวิสฺสติ, พาหิรานํ รญฺญํ ชโย ภวิสฺสติ, อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ ปราชโย ภวิสฺสติ, อิติ อิมสฺส ชโย ภวิสฺสติ, อิมสฺส ปราชโย ภวิสฺสติ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still earn a living by low lore, by wrong livelihood. This includes making predictions that the king will march forth or march back; or that our king will attack and the enemy king will retreat, or vice versa; or that our king will triumph and the enemy king will be defeated, or vice versa; and so there will be victory for one and defeat for the other. The ascetic Gotama refrains from such low lore, such wrong livelihood.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กปฺเปนฺติ, เสยฺยถิทํ—จนฺทคฺคาโห ภวิสฺสติ, สูริยคฺคาโห ภวิสฺสติ, นกฺขตฺตคฺคาโห ภวิสฺสติ, จนฺทิมสูริยานํ ปถคมนํ ภวิสฺสติ, จนฺทิมสูริยานํ อุปฺปถคมนํ ภวิสฺสติ, นกฺขตฺตานํ ปถคมนํ ภวิสฺสติ, นกฺขตฺตานํ อุปฺปถคมนํ ภวิสฺสติ, อุกฺกาปาโต ภวิสฺสติ, ทิสาฑาโห ภวิสฺสติ, ภูมิจาโล ภวิสฺสติ, เทวทุทฺรภิ ภวิสฺสติ, จนฺทิมสูริยนกฺขตฺตานํ อุคฺคมนํ โอคมนํ สงฺกิเลสํ โวทานํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก จนฺทคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก สูริยคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก นกฺขตฺตคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ จนฺทิมสูริยานํ ปถคมนํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ จนฺทิมสูริยานํ อุปฺปถคมนํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ นกฺขตฺตานํ ปถคมนํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ นกฺขตฺตานํ อุปฺปถคมนํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก อุกฺกาปาโต ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก ทิสาฑาโห ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก ภูมิจาโล ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก เทวทุทฺรภิ ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ จนฺทิมสูริยนกฺขตฺตานํ อุคฺคมนํ โอคมนํ สงฺกิเลสํ โวทานํ ภวิสฺสติ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still earn a living by low lore, by wrong livelihood. This includes making predictions that there will be an eclipse of the moon, or sun, or stars; that the sun, moon, and stars will be in conjunction or in opposition; that there will be a meteor shower, a fiery sky, an earthquake, thunder; that there will be a rising, a setting, a darkening, a brightening of the moon, sun, and stars. And it also includes making predictions about the results of all such phenomena. The ascetic Gotama refrains from such low lore, such wrong livelihood.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กปฺเปนฺติ, เสยฺยถิทํ—สุวุฏฺฐิกา ภวิสฺสติ, ทุพฺพุฏฺฐิกา ภวิสฺสติ, สุภิกฺขํ ภวิสฺสติ, ทุพฺภิกฺขํ ภวิสฺสติ, เขมํ ภวิสฺสติ, ภยํ ภวิสฺสติ, โรโค ภวิสฺสติ, อาโรคฺยํ ภวิสฺสติ, มุทฺทา, คณนา, สงฺขานํ, กาเวยฺยํ, โลกายตํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still earn a living by low lore, by wrong livelihood. This includes predicting whether there will be plenty of rain or drought; plenty to eat or famine; an abundant harvest or a bad harvest; security or peril; sickness or health. It also includes such occupations as computing, accounting, calculating, poetry, and cosmology. The ascetic Gotama refrains from such low lore, such wrong livelihood.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กปฺเปนฺติ, เสยฺยถิทํ—อาวาหนํ วิวาหนํ สํวรณํ วิวรณํ สงฺกิรณํ วิกิรณํ สุภคกรณํ ทุพฺภคกรณํ วิรุทฺธคพฺภกรณํ ชิวฺหานิพนฺธนํ หนุสํหนนํ หตฺถาภิชปฺปนํ หนุชปฺปนํ กณฺณชปฺปนํ อาทาสปญฺหํ กุมาริกปญฺหํ เทวปญฺหํ อาทิจฺจุปฏฺฐานํ มหตุปฏฺฐานํ อพฺภุชฺชลนํ สิริวฺหายนํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still earn a living by low lore, by wrong livelihood. This includes making arrangements for giving and taking in marriage; for engagement and divorce; and for scattering rice inwards or outwards at the wedding ceremony. It also includes casting spells for good or bad luck, treating impacted fetuses, binding the tongue, or locking the jaws; charms for the hands and ears; questioning a mirror, a girl, or a god as an oracle; worshiping the sun, worshiping the Great One, breathing fire, and invoking Siri, the goddess of luck. The ascetic Gotama refrains from such low lore, such wrong livelihood.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
‘ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กปฺเปนฺติ, เสยฺยถิทํ—สนฺติกมฺมํ ปณิธิกมฺมํ ภูตกมฺมํ ภูริกมฺมํ วสฺสกมฺมํ โวสฺสกมฺมํ วตฺถุกมฺมํ วตฺถุปริกมฺมํ อาจมนํ นฺหาปนํ ชุหนํ วมนํ วิเรจนํ อุทฺธํวิเรจนํ อโธวิเรจนํ สีสวิเรจนํ กณฺณเตลํ เนตฺตตปฺปนํ นตฺถุกมฺมํ อญฺชนํ ปจฺจญฺชนํ สาลากิยํ สลฺลกตฺติยํ ทารกติกิจฺฉา มูลเภสชฺชานํ อนุปฺปทานํ โอสธีนํ ปฏิโมกฺโข อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฏิวิรโต สมโณ โคตโม'ติ—อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
‘There are some ascetics and brahmins who, while enjoying food given in faith, still earn a living by low lore, by wrong livelihood. This includes rites for propitiation, for granting wishes, for ghosts, for the earth, for rain, for property settlement, and for preparing and consecrating house sites, and rites involving rinsing and bathing, and oblations. It also includes administering emetics, purgatives, expectorants, and phlegmagogues; administering ear-oils, eye restoratives, nasal medicine, ointments, and counter-ointments; surgery with needle and scalpel, treating children, prescribing root medicines, and binding on herbs. The ascetic Gotama refrains from such low lore, such wrong livelihood.’ Such is an ordinary person’s praise of the Realized One.
อิทํ โข, ภิกฺขเว, อปฺปมตฺตกํ โอรมตฺตกํ สีลมตฺตกํ, เยน ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยฯ
These are the trivial, insignificant details of mere ethics that an ordinary person speaks of when they speak praise of the Realized One.
มหาสีลํ นิฏฺฐิตํฯ
The longer section on ethics is finished.
๓ฯ ทิฏฺฐิ
3. Views
๓ฯ๑ฯ ปุพฺพนฺตกปฺปิก
3.1. Theories About the Past
อตฺถิ, ภิกฺขเว, อญฺเญว ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา สนฺตา ปณีตา อตกฺกาวจรา นิปุณา ปณฺฑิตเวทนียา, เย ตถาคโต สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ, เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ กตเม จ เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา สนฺตา ปณีตา อตกฺกาวจรา นิปุณา ปณฺฑิตเวทนียา, เย ตถาคโต สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ, เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํ?
There are other principles—deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute—which the Realized One makes known after realizing them with his own insight. Those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things. And what are these principles?
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐิโน, ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ อฏฺฐารสหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ อฏฺฐารสหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who theorize about the past, and assert various hypotheses concerning the past on eighteen grounds. And what are the eighteen grounds on which they rely?
๓ฯ๑ฯ๑ฯ สสฺสตวาท
3.1.1. Eternalism
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา, สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who are eternalists, who assert that the self and the cosmos are eternal on four grounds. And what are the four grounds on which they rely?
อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต (…) อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ตึสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนกานิปิ ชาติสตานิ อเนกานิปิ ชาติสหสฺสานิ อเนกานิปิ ชาติสตสหสฺสานิ: ‘อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน'ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ
It’s when some ascetic or brahmin—by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind—experiences an immersion of the heart of such a kind that they recollect their many kinds of past lives. That is: one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths. They remember: ‘There, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn somewhere else. There, too, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn here.’ And so they recollect their many kinds of past lives, with features and details.
โส เอวมาห: ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ วญฺโฌ กูฏฏฺโฐ เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิโต; เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺติ สํสรนฺติ จวนฺติ อุปปชฺชนฺติ, อตฺถิ เตฺวว สสฺสติสมํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อหญฺหิ อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสามิ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ตึสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนกานิปิ ชาติสตานิ อเนกานิปิ ชาติสหสฺสานิ อเนกานิปิ ชาติสตสหสฺสานิ: “อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน”ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ
They say: ‘The self and the cosmos are eternal, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They remain the same for all eternity, while these sentient beings wander and transmigrate and pass away and rearise. Why is that? Because by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind I experience an immersion of the heart of such a kind that I recollect my many kinds of past lives, with features and details.
อิมินามหํ เอตํ ชานามิ:
Because of this I know:
“ยถา สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ วญฺโฌ กูฏฏฺโฐ เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิโต; เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺติ สํสรนฺติ จวนฺติ อุปปชฺชนฺติ, อตฺถิ เตฺวว สสฺสติสมนฺ”'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปฐมํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
“The self and the cosmos are eternal, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They remain the same for all eternity, while these sentient beings wander and transmigrate and pass away and rearise.”’ This is the first ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos are eternal.
ทุติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏํ เทฺวปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ ตีณิปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ จตฺตาริปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ ปญฺจปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ ทสปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ: ‘อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน'ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ
And what is the second ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin—by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind—experiences an immersion of the heart of such a kind that they recollect their many kinds of past lives. That is: one eon of the cosmos contracting and expanding; two, three, four, five, or ten eons of the cosmos contracting and expanding. They remember: ‘There, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn somewhere else. There, too, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn here.’ And so they recollect their many kinds of past lives, with features and details.
โส เอวมาห: ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ วญฺโฌ กูฏฏฺโฐ เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิโต; เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺติ สํสรนฺติ จวนฺติ อุปปชฺชนฺติ, อตฺถิ เตฺวว สสฺสติสมํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อหญฺหิ อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสามิ ยถาสมาหิเต จิตฺเต อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏํ เทฺวปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ ตีณิปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ จตฺตาริปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ ปญฺจปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ ทสปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ: “อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน”ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ
They say: ‘The self and the cosmos are eternal, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They remain the same for all eternity, while these sentient beings wander and transmigrate and pass away and rearise. Why is that? Because by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind I experience an immersion of the heart of such a kind that I recollect my many kinds of past lives, with features and details.
อิมินามหํ เอตํ ชานามิ:
Because of this I know:
“ยถา สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ วญฺโฌ กูฏฏฺโฐ เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิโต, เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺติ สํสรนฺติ จวนฺติ อุปปชฺชนฺติ, อตฺถิ เตฺวว สสฺสติสมนฺ”'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ทุติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
“The self and the cosmos are eternal, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They remain the same for all eternity, while these sentient beings wander and transmigrate and pass away and rearise.”’ This is the second ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos are eternal.
ตติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถิทํ—ทสปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ วีสมฺปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ ตึสมฺปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ จตฺตาลีสมฺปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ: ‘อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน'ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ
And what is the third ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin—by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind—experiences an immersion of the heart of such a kind that they recollect their many kinds of past lives. That is: ten eons of the cosmos contracting and expanding; twenty, thirty, or forty eons of the cosmos contracting and expanding. They remember: ‘There, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn somewhere else. There, too, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn here.’ And so they recollect their many kinds of past lives, with features and details.
โส เอวมาห: ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ วญฺโฌ กูฏฏฺโฐ เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิโต; เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺติ สํสรนฺติ จวนฺติ อุปปชฺชนฺติ, อตฺถิ เตฺวว สสฺสติสมํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อหญฺหิ อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสามิ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ เสยฺยถิทํ—ทสปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ วีสมฺปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ ตึสมฺปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ จตฺตาลีสมฺปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏานิ: “อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน”ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ
They say: ‘The self and the cosmos are eternal, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They remain the same for all eternity, while these sentient beings wander and transmigrate and pass away and rearise. Why is that? Because by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind I experience an immersion of the heart of such a kind that I recollect my many kinds of past lives, with features and details.
อิมินามหํ เอตํ ชานามิ:
Because of this I know:
“ยถา สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ วญฺโฌ กูฏฏฺโฐ เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิโต, เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺติ สํสรนฺติ จวนฺติ อุปปชฺชนฺติ, อตฺถิ เตฺวว สสฺสติสมนฺ”'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ตติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
“The self and the cosmos are eternal, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They remain the same for all eternity, while these sentient beings wander and transmigrate and pass away and rearise.”’ This is the third ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos are eternal.
จตุตฺเถ จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ตกฺกี โหติ วีมํสี, โส ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยํ ปฏิภานํ เอวมาห: ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ วญฺโฌ กูฏฏฺโฐ เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิโต; เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺติ สํสรนฺติ จวนฺติ อุปปชฺชนฺติ, อตฺถิ เตฺวว สสฺสติสมนฺ'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, จตุตฺถํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
And what is the fourth ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin relies on logic and inquiry. They speak of what they have worked out by logic, following a line of inquiry, expressing their own perspective: ‘The self and the cosmos are eternal, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They remain the same for all eternity, while these sentient beings wander and transmigrate and pass away and rearise.’ This is the fourth ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos are eternal.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว จตูหิ วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน; นตฺถิ อิโต พหิทฺธาฯ
These are the four grounds on which those ascetics and brahmins assert that the self and the cosmos are eternal. Any ascetics and brahmins who assert that the self and the cosmos are eternal do so on one or other of these four grounds. Outside of this there is none.
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปชานาติ: ‘อิเม ทิฏฺฐิฏฺฐานา เอวงฺคหิตา เอวํปรามฏฺฐา เอวงฺคติกา ภวนฺติ เอวํอภิสมฺปรายา'ติ, ตญฺจ ตถาคโต ปชานาติ, ตโต จ อุตฺตริตรํ ปชานาติ; ตญฺจ ปชานนํ น ปรามสติ, อปรามสโต จสฺส ปจฺจตฺตญฺเญว นิพฺพุติ วิทิตาฯ เวทนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา อนุปาทาวิมุตฺโต, ภิกฺขเว, ตถาคโตฯ
The Realized One understands this: ‘If you hold on to and attach to these grounds for views it leads to such and such a destiny in the next life.’ He understands this, and what goes beyond this. And since he does not misapprehend that understanding, he has realized Nibbana within himself. Having truly understood the origin, ending, gratification, drawback, and escape from feelings, the Realized One is freed through not grasping.
อิเม โข เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา สนฺตา ปณีตา อตกฺกาวจรา นิปุณา ปณฺฑิตเวทนียา, เย ตถาคโต สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ, เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the principles—deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute—which the Realized One makes known after realizing them with his own insight. And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
ปฐมภาณวาโรฯ
The first recitation section.
๓ฯ๑ฯ๒ฯ เอกจฺจสสฺสตวาท
3.1.2. Partial Eternalism
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who are partial eternalists, who assert that the self and the cosmos are partially eternal and partially not eternal on four grounds. And what are the four grounds on which they rely?
โหติ โข โส, ภิกฺขเว, สมโย, ยํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน อยํ โลโก สํวฏฺฏติฯ สํวฏฺฏมาเน โลเก เยภุเยฺยน สตฺตา อาภสฺสรสํวตฺตนิกา โหนฺติฯ เต ตตฺถ โหนฺติ มโนมยา ปีติภกฺขา สยํปภา อนฺตลิกฺขจรา สุภฏฺฐายิโน, จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติฏฺฐนฺติฯ
There comes a time when, after a very long period has passed, this cosmos contracts. As the cosmos contracts, sentient beings are mostly headed for the realm of streaming radiance. There they are mind-made, feeding on rapture, self-luminous, moving through the sky, steadily glorious, and they remain like that for a very long time.
โหติ โข โส, ภิกฺขเว, สมโย, ยํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน อยํ โลโก วิวฏฺฏติฯ วิวฏฺฏมาเน โลเก สุญฺญํ พฺรหฺมวิมานํ ปาตุภวติฯ อถ โข อญฺญตโร สตฺโต อายุกฺขยา วา ปุญฺญกฺขยา วา อาภสฺสรกายา จวิตฺวา สุญฺญํ พฺรหฺมวิมานํ อุปปชฺชติฯ โส ตตฺถ โหติ มโนมโย ปีติภกฺโข สยมฺปโภ อนฺตลิกฺขจโร สุภฏฺฐายี, จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติฏฺฐติฯ
There comes a time when, after a very long period has passed, this cosmos expands. As it expands an empty mansion of Brahmā appears. Then a certain sentient being—due to the running out of their life-span or merit—passes away from that host of radiant deities and is reborn in that empty mansion of Brahmā. There they are mind-made, feeding on rapture, self-luminous, moving through the sky, steadily glorious, and they remain like that for a very long time.
ตสฺส ตตฺถ เอกกสฺส ทีฆรตฺตํ นิวุสิตตฺตา อนภิรติ ปริตสฺสนา อุปฺปชฺชติ: ‘อโห วต อญฺเญปิ สตฺตา อิตฺถตฺตํ อาคจฺเฉยฺยุนฺ'ติฯ อถ อญฺเญปิ สตฺตา อายุกฺขยา วา ปุญฺญกฺขยา วา อาภสฺสรกายา จวิตฺวา พฺรหฺมวิมานํ อุปปชฺชนฺติ ตสฺส สตฺตสฺส สหพฺยตํฯ เตปิ ตตฺถ โหนฺติ มโนมยา ปีติภกฺขา สยํปภา อนฺตลิกฺขจรา สุภฏฺฐายิโน, จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติฏฺฐนฺติฯ
But after staying there all alone for a long time, they become dissatisfied and anxious: ‘Oh, if only another being would come to this state of existence.’ Then other sentient beings—due to the running out of their life-span or merit—pass away from that host of radiant deities and are reborn in that empty mansion of Brahmā in company with that being. There they too are mind-made, feeding on rapture, self-luminous, moving through the sky, steadily glorious, and they remain like that for a very long time.
ตตฺร, ภิกฺขเว, โย โส สตฺโต ปฐมํ อุปปนฺโน ตสฺส เอวํ โหติ: ‘อหมสฺมิ พฺรหฺมา มหาพฺรหฺมา อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุทโส วสวตฺตี อิสฺสโร กตฺตา นิมฺมาตา เสฏฺโฐ สชิตา วสี ปิตา ภูตภพฺยานํฯ มยา อิเม สตฺตา นิมฺมิตาฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มมญฺหิ ปุพฺเพ เอตทโหสิ:
Now, the being who was reborn there first thinks: ‘I am Brahmā, the Great Brahmā, the Vanquisher, the Unvanquished, the Universal Seer, the Wielder of Power, God Almighty, the Maker, the Creator, the First, the Begetter, the Controller, the Father of those who have been born and those yet to be born. These beings were created by me! Why is that? Because first I thought:
“อโห วต อญฺเญปิ สตฺตา อิตฺถตฺตํ อาคจฺเฉยฺยุนฺ”ติฯ อิติ มม จ มโนปณิธิ, อิเม จ สตฺตา อิตฺถตฺตํ อาคตา'ติฯ
“Oh, if only another being would come to this state of existence.” Such was my heart’s wish, and then these creatures came to this state of existence.’
เยปิ เต สตฺตา ปจฺฉา อุปปนฺนา, เตสมฺปิ เอวํ โหติ: ‘อยํ โข ภวํ พฺรหฺมา มหาพฺรหฺมา อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุทโส วสวตฺตี อิสฺสโร กตฺตา นิมฺมาตา เสฏฺโฐ สชิตา วสี ปิตา ภูตภพฺยานํฯ อิมินา มยํ โภตา พฺรหฺมุนา นิมฺมิตาฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อิมญฺหิ มยํ อทฺทสาม อิธ ปฐมํ อุปปนฺนํ, มยํ ปนมฺห ปจฺฉา อุปปนฺนา'ติฯ
And the beings who were reborn there later also think: ‘This must be Brahmā, the Great Brahmā, the Vanquisher, the Unvanquished, the Universal Seer, the Wielder of Power, God Almighty, the Maker, the Creator, the First, the Begetter, the Controller, the Father of those who have been born and those yet to be born. And we were created by him. Why is that? Because we see that he was reborn here first, and we arrived later.’
ตตฺร, ภิกฺขเว, โย โส สตฺโต ปฐมํ อุปปนฺโน, โส ทีฆายุกตโร จ โหติ วณฺณวนฺตตโร จ มเหสกฺขตโร จฯ เย ปน เต สตฺตา ปจฺฉา อุปปนฺนา, เต อปฺปายุกตรา จ โหนฺติ ทุพฺพณฺณตรา จ อปฺเปสกฺขตรา จฯ
And the being who was reborn first is more long-lived, beautiful, and illustrious than those who arrived later.
ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ, ยํ อญฺญตโร สตฺโต ตมฺหา กายา จวิตฺวา อิตฺถตฺตํ อาคจฺฉติฯ อิตฺถตฺตํ อาคโต สมาโน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต ตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, ตโต ปรํ นานุสฺสรติฯ
It’s possible that one of those beings passes away from that host and is reborn in this state of existence. Having done so, they go forth from the lay life to homelessness. By dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind, they experience an immersion of the heart of such a kind that they recollect that past life, but no further.
โส เอวมาห: ‘โย โข โส ภวํ พฺรหฺมา มหาพฺรหฺมา อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุทโส วสวตฺตี อิสฺสโร กตฺตา นิมฺมาตา เสฏฺโฐ สชิตา วสี ปิตา ภูตภพฺยานํ, เยน มยํ โภตา พฺรหฺมุนา นิมฺมิตา, โส นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสติฯ เย ปน มยํ อหุมฺหา เตน โภตา พฺรหฺมุนา นิมฺมิตา, เต มยํ อนิจฺจา อทฺธุวา อปฺปายุกา จวนธมฺมา อิตฺถตฺตํ อาคตา'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปฐมํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
They say: ‘He who is Brahmā—the Great Brahmā, the Vanquisher, the Unvanquished, the Universal Seer, the Wielder of Power, God Almighty, the Maker, the Creator, the First, the Begetter, the Controller, the Father of those who have been born and those yet to be born—by he we were created. He is permanent, everlasting, eternal, imperishable, remaining the same for all eternity. We who were created by that Brahmā are impermanent, not lasting, short-lived, perishable, and have come to this state of existence.’ This is the first ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos are partially eternal.
ทุติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ? สนฺติ, ภิกฺขเว, ขิฑฺฑาปโทสิกา นาม เทวา, เต อติเวลํ หสฺสขิฑฺฑารติธมฺมสมาปนฺนา วิหรนฺติฯ เตสํ อติเวลํ หสฺสขิฑฺฑารติธมฺมสมาปนฺนานํ วิหรตํ สติ สมฺมุสฺสติฯ สติยา สมฺโมสา เต เทวา ตมฺหา กายา จวนฺติฯ
And what is the second ground on which they rely? There are gods named ‘depraved by play.’ They spend too much time laughing, playing, and making merry. And in doing so, they lose their mindfulness, and they pass away from that host of gods.
ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ ยํ อญฺญตโร สตฺโต ตมฺหา กายา จวิตฺวา อิตฺถตฺตํ อาคจฺฉติฯ อิตฺถตฺตํ อาคโต สมาโน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต ตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, ตโต ปรํ นานุสฺสรติฯ
It’s possible that one of those beings passes away from that host and is reborn in this state of existence. Having done so, they go forth from the lay life to homelessness. By dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind, they experience an immersion of the heart of such a kind that they recollect that past life, but no further.
โส เอวมาห: ‘เย โข เต โภนฺโต เทวา น ขิฑฺฑาปโทสิกา, เต น อติเวลํ หสฺสขิฑฺฑารติธมฺมสมาปนฺนา วิหรนฺติฯ เตสํ น อติเวลํ หสฺสขิฑฺฑารติธมฺมสมาปนฺนานํ วิหรตํ สติ น สมฺมุสฺสติฯ สติยา อสมฺโมสา เต เทวา ตมฺหา กายา น จวนฺติ; นิจฺจา ธุวา สสฺสตา อวิปริณามธมฺมา สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสนฺติฯ เย ปน มยํ อหุมฺหา ขิฑฺฑาปโทสิกา, เต มยํ อติเวลํ หสฺสขิฑฺฑารติธมฺมสมาปนฺนา วิหริมฺหาฯ เตสํ โน อติเวลํ หสฺสขิฑฺฑารติธมฺมสมาปนฺนานํ วิหรตํ สติ สมฺมุสฺสติฯ สติยา สมฺโมสา เอวํ มยํ ตมฺหา กายา จุตา อนิจฺจา อทฺธุวา อปฺปายุกา จวนธมฺมา อิตฺถตฺตํ อาคตา'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ทุติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
They say: ‘The gods not depraved by play don’t spend too much time laughing, playing, and making merry. So they don’t lose their mindfulness, and don’t pass away from that host of gods. They are permanent, everlasting, eternal, imperishable, remaining the same for all eternity. But we who were depraved by play spent too much time laughing, playing, and making merry. In doing so, we lost our mindfulness, and passed away from that host of gods. We are impermanent, not lasting, short-lived, perishable, and have come to this state of existence.’ This is the second ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos are partially eternal.
ตติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ? สนฺติ, ภิกฺขเว, มโนปโทสิกา นาม เทวา, เต อติเวลํ อญฺญมญฺญํ อุปนิชฺฌายนฺติฯ เต อติเวลํ อญฺญมญฺญํ อุปนิชฺฌายนฺตา อญฺญมญฺญมฺหิ จิตฺตานิ ปทูเสนฺติฯ เต อญฺญมญฺญํ ปทุฏฺฐจิตฺตา กิลนฺตกายา กิลนฺตจิตฺตาฯ เต เทวา ตมฺหา กายา จวนฺติฯ
And what is the third ground on which they rely? There are gods named ‘malevolent’. They spend too much time gazing at each other, so they grow angry with each other, and their bodies and minds get tired. They pass away from that host of gods.
ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ ยํ อญฺญตโร สตฺโต ตมฺหา กายา จวิตฺวา อิตฺถตฺตํ อาคจฺฉติฯ อิตฺถตฺตํ อาคโต สมาโน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต ตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, ตโต ปรํ นานุสฺสรติฯ
It’s possible that one of those beings passes away from that host and is reborn in this state of existence. Having done so, they go forth from the lay life to homelessness. By dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind, they experience an immersion of the heart of such a kind that they recollect that past life, but no further.
โส เอวมาห: ‘เย โข เต โภนฺโต เทวา น มโนปโทสิกา, เต นาติเวลํ อญฺญมญฺญํ อุปนิชฺฌายนฺติฯ เต นาติเวลํ อญฺญมญฺญํ อุปนิชฺฌายนฺตา อญฺญมญฺญมฺหิ จิตฺตานิ นปฺปทูเสนฺติฯ เต อญฺญมญฺญํ อปฺปทุฏฺฐจิตฺตา อกิลนฺตกายา อกิลนฺตจิตฺตาฯ เต เทวา ตมฺหา กายา น จวนฺติ, นิจฺจา ธุวา สสฺสตา อวิปริณามธมฺมา สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสนฺติฯ เย ปน มยํ อหุมฺหา มโนปโทสิกา, เต มยํ อติเวลํ อญฺญมญฺญํ อุปนิชฺฌายิมฺหาฯ เต มยํ อติเวลํ อญฺญมญฺญํ อุปนิชฺฌายนฺตา อญฺญมญฺญมฺหิ จิตฺตานิ ปทูสิมฺหา, เต มยํ อญฺญมญฺญํ ปทุฏฺฐจิตฺตา กิลนฺตกายา กิลนฺตจิตฺตาฯ เอวํ มยํ ตมฺหา กายา จุตา อนิจฺจา อทฺธุวา อปฺปายุกา จวนธมฺมา อิตฺถตฺตํ อาคตา'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ตติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
They say: ‘The gods who are not malevolent don’t spend too much time gazing at each other, so they don’t grow angry with each other, their bodies and minds don’t get tired, and they don’t pass away from that host of gods. They are permanent, everlasting, eternal, imperishable, remaining the same for all eternity. But we who were malevolent spent too much time gazing at each other, we grew angry with each other, our bodies and minds got tired, and we passed away from that host of gods. We are impermanent, not lasting, short-lived, perishable, and have come to this state of existence.’ This is the third ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos are partially eternal.
จตุตฺเถ จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ตกฺกี โหติ วีมํสีฯ โส ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานํ เอวมาห: ‘ยํ โข อิทํ วุจฺจติ จกฺขุํ อิติปิ โสตํ อิติปิ ฆานํ อิติปิ ชิวฺหา อิติปิ กาโย อิติปิ, อยํ อตฺตา อนิจฺโจ อทฺธุโว อสสฺสโต วิปริณามธมฺโมฯ ยญฺจ โข อิทํ วุจฺจติ จิตฺตนฺติ วา มโนติ วา วิญฺญาณนฺติ วา อยํ อตฺตา นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสตี'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, จตุตฺถํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
And what is the fourth ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin relies on logic and inquiry. They speak of what they have worked out by logic, following a line of inquiry, expressing their own perspective: ‘That which is called “the eye” or “the ear” or “the nose” or “the tongue” or “the body”: that self is impermanent, not lasting, transient, perishable. That which is called “mind” or “sentience” or “consciousness”: that self is permanent, everlasting, eternal, imperishable, remaining the same for all eternity.’ This is the fourth ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos are partially eternal.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว จตูหิ วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน; นตฺถิ อิโต พหิทฺธาฯ
These are the four grounds on which those ascetics and brahmins assert that the self and the cosmos are partially eternal and partially not eternal. Any ascetics and brahmins who assert that the self and the cosmos are partially eternal and partially not eternal do so on one or other of these four grounds. Outside of this there is none.
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปชานาติ: ‘อิเม ทิฏฺฐิฏฺฐานา เอวงฺคหิตา เอวํปรามฏฺฐา เอวงฺคติกา ภวนฺติ เอวํอภิสมฺปรายา'ติฯ ตญฺจ ตถาคโต ปชานาติ, ตโต จ อุตฺตริตรํ ปชานาติ, ตญฺจ ปชานนํ น ปรามสติ, อปรามสโต จสฺส ปจฺจตฺตญฺเญว นิพฺพุติ วิทิตาฯ เวทนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา อนุปาทาวิมุตฺโต, ภิกฺขเว, ตถาคโตฯ
The Realized One understands this: ‘If you hold on to and attach to these grounds for views it leads to such and such a destiny in the next life.’ He understands this, and what goes beyond this. And since he does not misapprehend that understanding, he has realized Nibbana within himself. Having truly understood the origin, ending, gratification, drawback, and escape from feelings, the Realized One is freed through not grasping.
อิเม โข เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา สนฺตา ปณีตา อตกฺกาวจรา นิปุณา ปณฺฑิตเวทนียา, เย ตถาคโต สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ, เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the principles—deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute—which the Realized One makes known after realizing them with his own insight. And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
๓ฯ๑ฯ๓ฯ อนฺตานนฺตวาท
3.1.3. The Cosmos is Finite or Infinite
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who theorize about size, and assert that the cosmos is finite or infinite on four grounds. And what are the four grounds on which they rely?
อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อนฺตสญฺญี โลกสฺมึ วิหรติฯ
It’s when some ascetic or brahmin—by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind—experiences an immersion of the heart of such a kind that they meditate perceiving the cosmos as finite.
โส เอวมาห: ‘อนฺตวา อยํ โลโก ปริวฏุโมฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อหญฺหิ อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสามิ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อนฺตสญฺญี โลกสฺมึ วิหรามิฯ อิมินามหํ เอตํ ชานามิ:
They say: ‘The cosmos is finite and bounded. Why is that? Because by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind I experience an immersion of the heart of such a kind that I meditate perceiving the cosmos as finite. Because of this I know:
“ยถา อนฺตวา อยํ โลโก ปริวฏุโม”'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปฐมํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติฯ
“The cosmos is finite and bounded.”’ This is the first ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the cosmos is finite or infinite.
ทุติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อนนฺตสญฺญี โลกสฺมึ วิหรติฯ
And what is the second ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin—by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind—experiences an immersion of the heart of such a kind that they meditate perceiving the cosmos as infinite.
โส เอวมาห: ‘อนนฺโต อยํ โลโก อปริยนฺโตฯ เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวมาหํสุ: “อนฺตวา อยํ โลโก ปริวฏุโม”ติ, เตสํ มุสาฯ อนนฺโต อยํ โลโก อปริยนฺโตฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อหญฺหิ อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสามิ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อนนฺตสญฺญี โลกสฺมึ วิหรามิฯ อิมินามหํ เอตํ ชานามิ:
They say: ‘The cosmos is infinite and unbounded. The ascetics and brahmins who say that the cosmos is finite are wrong. The cosmos is infinite and unbounded. Why is that? Because by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind I experience an immersion of the heart of such a kind that I meditate perceiving the cosmos as infinite. Because of this I know:
“ยถา อนนฺโต อยํ โลโก อปริยนฺโต”'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ทุติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติฯ
“The cosmos is infinite and unbounded.”’ This is the second ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the cosmos is finite or infinite.
ตติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อุทฺธมโธ อนฺตสญฺญี โลกสฺมึ วิหรติ, ติริยํ อนนฺตสญฺญีฯ
And what is the third ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin—by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind—experiences an immersion of the heart of such a kind that they meditate perceiving the cosmos as finite vertically but infinite horizontally.
โส เอวมาห: ‘อนฺตวา จ อยํ โลโก อนนฺโต จฯ เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวมาหํสุ: “อนฺตวา อยํ โลโก ปริวฏุโม”ติ, เตสํ มุสาฯ เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา เอวมาหํสุ: “อนนฺโต อยํ โลโก อปริยนฺโต”ติ, เตสมฺปิ มุสาฯ อนฺตวา จ อยํ โลโก อนนฺโต จฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อหญฺหิ อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสามิ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต อุทฺธมโธ อนฺตสญฺญี โลกสฺมึ วิหรามิ, ติริยํ อนนฺตสญฺญีฯ อิมินามหํ เอตํ ชานามิ:
They say: ‘The cosmos is both finite and infinite. The ascetics and brahmins who say that the cosmos is finite are wrong, and so are those who say that the cosmos is infinite. The cosmos is both finite and infinite. Why is that? Because by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind I experience an immersion of the heart of such a kind that I meditate perceiving the cosmos as finite vertically but infinite horizontally. Because of this I know:
“ยถา อนฺตวา จ อยํ โลโก อนนฺโต จา”'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ตติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติฯ
“The cosmos is both finite and infinite.”’ This is the third ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the cosmos is finite or infinite.
จตุตฺเถ จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ตกฺกี โหติ วีมํสีฯ โส ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานํ เอวมาห: ‘เนวายํ โลโก อนฺตวา, น ปนานนฺโตฯ เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวมาหํสุ: “อนฺตวา อยํ โลโก ปริวฏุโม”ติ, เตสํ มุสาฯ เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา เอวมาหํสุ: “อนนฺโต อยํ โลโก อปริยนฺโต”ติ, เตสมฺปิ มุสาฯ เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา เอวมาหํสุ: “อนฺตวา จ อยํ โลโก อนนฺโต จา”ติ, เตสมฺปิ มุสาฯ เนวายํ โลโก อนฺตวา, น ปนานนฺโต'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, จตุตฺถํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติฯ
And what is the fourth ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin relies on logic and inquiry. They speak of what they have worked out by logic, following a line of inquiry, expressing their own perspective: ‘The cosmos is neither finite nor infinite. The ascetics and brahmins who say that the cosmos is finite are wrong, as are those who say that the cosmos is infinite, and also those who say that the cosmos is both finite and infinite. The cosmos is neither finite nor infinite.’ This is the fourth ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the cosmos is finite or infinite.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว จตูหิ วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน; นตฺถิ อิโต พหิทฺธาฯ
These are the four grounds on which those ascetics and brahmins assert that the cosmos is finite or infinite. Any ascetics and brahmins who assert that the cosmos is finite or infinite do so on one or other of these four grounds. Outside of this there is none.
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปชานาติ: ‘อิเม ทิฏฺฐิฏฺฐานา เอวงฺคหิตา เอวํปรามฏฺฐา เอวงฺคติกา ภวนฺติ เอวํอภิสมฺปรายา'ติฯ ตญฺจ ตถาคโต ปชานาติ, ตโต จ อุตฺตริตรํ ปชานาติ, ตญฺจ ปชานนํ น ปรามสติ, อปรามสโต จสฺส ปจฺจตฺตญฺเญว นิพฺพุติ วิทิตาฯ เวทนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา อนุปาทาวิมุตฺโต, ภิกฺขเว, ตถาคโตฯ
The Realized One understands this: ‘If you hold on to and attach to these grounds for views it leads to such and such a destiny in the next life.’ He understands this, and what goes beyond this. And since he does not misapprehend that understanding, he has realized Nibbana within himself. Having truly understood the origin, ending, gratification, drawback, and escape from feelings, the Realized One is freed through not grasping.
อิเม โข เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา สนฺตา ปณีตา อตกฺกาวจรา นิปุณา ปณฺฑิตเวทนียา, เย ตถาคโต สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ, เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the principles—deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute—which the Realized One makes known after realizing them with his own insight. And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
๓ฯ๑ฯ๔ฯ อมราวิกฺเขปวาท
3.1.4. Endless Flip-floppers
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา, ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ จตูหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ จตูหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who are endless flip-floppers. Whenever they’re asked a question, they resort to verbal flip-flops and endless flip-flops on four grounds. And what are the four grounds on which they rely?
อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ‘อิทํ กุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, ‘อิทํ อกุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ ตสฺส เอวํ โหติ: ‘อหํ โข “อิทํ กุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ นปฺปชานามิ, “อิทํ อกุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ นปฺปชานามิฯ อหญฺเจ โข ปน “อิทํ กุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ อปฺปชานนฺโต, “อิทํ อกุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ อปฺปชานนฺโต, “อิทํ กุสลนฺ”ติ วา พฺยากเรยฺยํ, “อิทํ อกุสลนฺ”ติ วา พฺยากเรยฺยํ, ตํ มมสฺส มุสาฯ ยํ มมสฺส มุสา, โส มมสฺส วิฆาโตฯ โย มมสฺส วิฆาโต โส มมสฺส อนฺตราโย'ติฯ อิติ โส มุสาวาทภยา มุสาวาทปริเชคุจฺฉา เนวิทํ กุสลนฺติ พฺยากโรติ, น ปนิทํ อกุสลนฺติ พฺยากโรติ, ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺโฐ สมาโน วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชติ อมราวิกฺเขปํ: ‘เอวนฺติปิ เม โน; ตถาติปิ เม โน; อญฺญถาติปิ เม โน; โนติปิ เม โน; โน โนติปิ เม โน'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปฐมํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํฯ
It’s when some ascetic or brahmin doesn’t truly understand what is skillful and what is unskillful. They think: ‘I don’t truly understand what is skillful and what is unskillful. If I were to declare that something was skillful or unskillful I might be wrong. That would be stressful for me, and that stress would be an obstacle.’ So from fear and disgust with false speech they avoid stating whether something is skillful or unskillful. Whenever they’re asked a question, they resort to verbal flip-flops and endless flip-flops: ‘I don’t say it’s like this. I don’t say it’s like that. I don’t say it’s otherwise. I don’t say it’s not so. And I don’t deny it’s not so.’ This is the first ground on which some ascetics and brahmins rely when resorting to verbal flip-flops and endless flip-flops.
ทุติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ‘อิทํ กุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, ‘อิทํ อกุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ ตสฺส เอวํ โหติ: ‘อหํ โข “อิทํ กุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ นปฺปชานามิ, “อิทํ อกุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ นปฺปชานามิฯ อหญฺเจ โข ปน “อิทํ กุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ อปฺปชานนฺโต, “อิทํ อกุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ อปฺปชานนฺโต, “อิทํ กุสลนฺ”ติ วา พฺยากเรยฺยํ, “อิทํ อกุสลนฺ”ติ วา พฺยากเรยฺยํ, ตตฺถ เม อสฺส ฉนฺโท วา ราโค วา โทโส วา ปฏิโฆ วาฯ ยตฺถ เม อสฺส ฉนฺโท วา ราโค วา โทโส วา ปฏิโฆ วา, ตํ มมสฺส อุปาทานํฯ ยํ มมสฺส อุปาทานํ, โส มมสฺส วิฆาโตฯ โย มมสฺส วิฆาโต, โส มมสฺส อนฺตราโย'ติฯ อิติ โส อุปาทานภยา อุปาทานปริเชคุจฺฉา เนวิทํ กุสลนฺติ พฺยากโรติ, น ปนิทํ อกุสลนฺติ พฺยากโรติ, ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺโฐ สมาโน วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชติ อมราวิกฺเขปํ: ‘เอวนฺติปิ เม โน; ตถาติปิ เม โน; อญฺญถาติปิ เม โน; โนติปิ เม โน; โน โนติปิ เม โน'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ทุติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํฯ
And what is the second ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin doesn’t truly understand what is skillful and what is unskillful. They think: ‘I don’t truly understand what is skillful and what is unskillful. If I were to declare that something was skillful or unskillful I might feel desire or greed or hate or repulsion. That would be grasping on my part. That would be stressful for me, and that stress would be an obstacle.’ So from fear and disgust with grasping they avoid stating whether something is skillful or unskillful. Whenever they’re asked a question, they resort to verbal flip-flops and endless flip-flops: ‘I don’t say it’s like this. I don’t say it’s like that. I don’t say it’s otherwise. I don’t say it’s not so. And I don’t deny it’s not so.’ This is the second ground on which some ascetics and brahmins rely when resorting to verbal flip-flops and endless flip-flops.
ตติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ‘อิทํ กุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, ‘อิทํ อกุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ ตสฺส เอวํ โหติ: ‘อหํ โข “อิทํ กุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ นปฺปชานามิ, “อิทํ อกุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ นปฺปชานามิฯ อหญฺเจ โข ปน “อิทํ กุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ อปฺปชานนฺโต “อิทํ อกุสลนฺ”ติ ยถาภูตํ อปฺปชานนฺโต “อิทํ กุสลนฺ”ติ วา พฺยากเรยฺยํ, “อิทํ อกุสลนฺ”ติ วา พฺยากเรยฺยํ; สนฺติ หิ โข สมณพฺราหฺมณา ปณฺฑิตา นิปุณา กตปรปฺปวาทา วาลเวธิรูปา, เต ภินฺทนฺตา มญฺเญ จรนฺติ ปญฺญาคเตน ทิฏฺฐิคตานิ, เต มํ ตตฺถ สมนุยุญฺเชยฺยุํ สมนุคาเหยฺยุํ สมนุภาเสยฺยุํฯ เย มํ ตตฺถ สมนุยุญฺเชยฺยุํ สมนุคาเหยฺยุํ สมนุภาเสยฺยุํ, เตสาหํ น สมฺปาเยยฺยํฯ เยสาหํ น สมฺปาเยยฺยํ, โส มมสฺส วิฆาโตฯ โย มมสฺส วิฆาโต, โส มมสฺส อนฺตราโย'ติฯ อิติ โส อนุโยคภยา อนุโยคปริเชคุจฺฉา เนวิทํ กุสลนฺติ พฺยากโรติ, น ปนิทํ อกุสลนฺติ พฺยากโรติ, ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺโฐ สมาโน วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชติ อมราวิกฺเขปํ: ‘เอวนฺติปิ เม โน; ตถาติปิ เม โน; อญฺญถาติปิ เม โน; โนติปิ เม โน; โน โนติปิ เม โน'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ตติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํฯ
And what is the third ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin doesn’t truly understand what is skillful and what is unskillful. They think: ‘I don’t truly understand what is skillful and what is unskillful. Suppose I were to declare that something was skillful or unskillful. There are clever ascetics and brahmins who are subtle, accomplished in the doctrines of others, hair-splitters. You’d think they live to demolish convictions with their intellect. They might pursue, press, and grill me about that. I’d be stumped by such a grilling. That would be stressful for me, and that stress would be an obstacle.’ So from fear and disgust with examination they avoid stating whether something is skillful or unskillful. Whenever they’re asked a question, they resort to verbal flip-flops and endless flip-flops: ‘I don’t say it’s like this. I don’t say it’s like that. I don’t say it’s otherwise. I don’t say it’s not so. And I don’t deny it’s not so.’ This is the third ground on which some ascetics and brahmins rely when resorting to verbal flip-flops and endless flip-flops.
จตุตฺเถ จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา มนฺโท โหติ โมมูโหฯ โส มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺโฐ สมาโน วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชติ อมราวิกฺเขปํ: ‘อตฺถิ ปโร โลโก'ติ อิติ เจ มํ ปุจฺฉสิ, ‘อตฺถิ ปโร โลโก'ติ อิติ เจ เม อสฺส, ‘อตฺถิ ปโร โลโก'ติ อิติ เต นํ พฺยากเรยฺยํ, ‘เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โน, อญฺญถาติปิ เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โน'ติฯ ‘นตฺถิ ปโร โลโก …เป… ‘อตฺถิ จ นตฺถิ จ ปโร โลโก …เป… ‘เนวตฺถิ น นตฺถิ ปโร โลโก …เป… ‘อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา …เป… ‘นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา …เป… ‘อตฺถิ จ นตฺถิ จ สตฺตา โอปปาติกา …เป… ‘เนวตฺถิ น นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา …เป… ‘อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก …เป… ‘นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก …เป… ‘อตฺถิ จ นตฺถิ จ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก …เป… ‘เนวตฺถิ น นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก …เป… ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา …เป… ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา …เป… ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา …เป… ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ อิติ เจ มํ ปุจฺฉสิ, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ อิติ เจ เม อสฺส, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ อิติ เต นํ พฺยากเรยฺยํ, ‘เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โน, อญฺญถาติปิ เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โน'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, จตุตฺถํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํฯ
And what is the fourth ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin is dull and stupid. Because of that, whenever they’re asked a question, they resort to verbal flip-flops and endless flip-flops: ‘Suppose you were to ask me whether there is another world. If I believed there was, I would say so. But I don’t say it’s like this. I don’t say it’s like that. I don’t say it’s otherwise. I don’t say it’s not so. And I don’t deny it’s not so. Suppose you were to ask me whether there is no other world … whether there both is and is not another world … whether there neither is nor is not another world … whether there are beings who are reborn spontaneously … whether there are not beings who are reborn spontaneously … whether there both are and are not beings who are reborn spontaneously … whether there neither are nor are not beings who are reborn spontaneously … whether there is fruit and result of good and bad deeds … whether there is no fruit and result of good and bad deeds … whether there both is and is not fruit and result of good and bad deeds … whether there neither is nor is not fruit and result of good and bad deeds … whether a Realized One still exists after death … whether A Realized One no longer exists after death … whether a Realized One both still exists and no longer exists after death … whether a Realized One neither still exists nor no longer exists after death. If I believed there was, I would say so. But I don’t say it’s like this. I don’t say it’s like that. I don’t say it’s otherwise. I don’t say it’s not so. And I don’t deny it’s not so.’ This is the fourth ground on which some ascetics and brahmins rely when resorting to verbal flip-flops and endless flip-flops.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ จตูหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ, สพฺเพ เต อิเมเหว จตูหิ วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน, นตฺถิ อิโต พหิทฺธา … เป… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the four grounds on which those ascetics and brahmins who are flip-floppers resort to verbal flip-flops and endless flip-flops whenever they’re asked a question. Any ascetics and brahmins who resort to verbal flip-flops and endless flip-flops do so on one or other of these four grounds. Outside of this there is none. The Realized One understands this … And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
๓ฯ๑ฯ๕ฯ อธิจฺจสมุปฺปนฺนวาท
3.1.5. Doctrines of Origination by Chance
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ ทฺวีหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ ทฺวีหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who theorize about chance. They assert that the self and the cosmos arose by chance on two grounds. And what are the two grounds on which they rely?
สนฺติ, ภิกฺขเว, อสญฺญสตฺตา นาม เทวาฯ สญฺญุปฺปาทา จ ปน เต เทวา ตมฺหา กายา จวนฺติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ, ยํ อญฺญตโร สตฺโต ตมฺหา กายา จวิตฺวา อิตฺถตฺตํ อาคจฺฉติฯ อิตฺถตฺตํ อาคโต สมาโน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ, ยถาสมาหิเต จิตฺเต สญฺญุปฺปาทํ อนุสฺสรติ, ตโต ปรํ นานุสฺสรติฯ โส เอวมาห: ‘อธิจฺจสมุปฺปนฺโน อตฺตา จ โลโก จฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อหญฺหิ ปุพฺเพ นาโหสึ, โสมฺหิ เอตรหิ อหุตฺวา สนฺตตาย ปริณโต'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปฐมํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
There are gods named ‘non-percipient beings’. When perception arises they pass away from that host of gods. It’s possible that one of those beings passes away from that host and is reborn in this state of existence. Having done so, they go forth from the lay life to homelessness. By dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind, they experience an immersion of the heart of such a kind that they recollect the arising of perception, but no further. They say: ‘The self and the cosmos arose by chance. Why is that? Because formerly I didn’t exist. Now, having not existed, I’ve transformed into the state of existence.” This is the first ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos arose by chance.
ทุติเย จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ตกฺกี โหติ วีมํสีฯ โส ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานํ เอวมาห: ‘อธิจฺจสมุปฺปนฺโน อตฺตา จ โลโก จา'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ทุติยํ ฐานํ, ยํ อาคมฺม ยํ อารพฺภ เอเก สมณพฺราหฺมณา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติฯ
And what is the second ground on which they rely? It’s when some ascetic or brahmin relies on logic and inquiry. They speak of what they have worked out by logic, following a line of inquiry, expressing their own perspective: ‘The self and the cosmos arose by chance.’ This is the second ground on which some ascetics and brahmins rely to assert that the self and the cosmos arose by chance.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ ทฺวีหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว ทฺวีหิ วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน, นตฺถิ อิโต พหิทฺธา … เป… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the two grounds on which those ascetics and brahmins who theorize about chance assert that the self and the cosmos arose by chance. Any ascetics and brahmins who theorize about chance do so on one or other of these two grounds. Outside of this there is none. The Realized One understands this … And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ อฏฺฐารสหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตมารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว อฏฺฐารสหิ วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน, นตฺถิ อิโต พหิทฺธาฯ
These are the eighteen grounds on which those ascetics and brahmins who theorize about the past assert various hypotheses concerning the past. Any ascetics and brahmins who theorize about the past do so on one or other of these eighteen grounds. Outside of this there is none.
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปชานาติ: ‘อิเม ทิฏฺฐิฏฺฐานา เอวงฺคหิตา เอวํปรามฏฺฐา เอวงฺคติกา ภวนฺติ เอวํอภิสมฺปรายา'ติฯ ตญฺจ ตถาคโต ปชานาติ, ตโต จ อุตฺตริตรํ ปชานาติ, ตญฺจ ปชานนํ น ปรามสติ, อปรามสโต จสฺส ปจฺจตฺตญฺเญว นิพฺพุติ วิทิตาฯ เวทนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา อนุปาทาวิมุตฺโต, ภิกฺขเว, ตถาคโตฯ
The Realized One understands this: ‘If you hold on to and attach to these grounds for views it leads to such and such a destiny in the next life.’ He understands this, and what goes beyond this. And since he does not misapprehend that understanding, he has realized Nibbana within himself. Having truly understood the origin, ending, gratification, drawback, and escape from feelings, the Realized One is freed through not grasping.
อิเม โข เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา สนฺตา ปณีตา อตกฺกาวจรา นิปุณา ปณฺฑิตเวทนียา, เย ตถาคโต สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ, เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the principles—deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute—which the Realized One makes known after realizing them with his own insight. And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
ทุติยภาณวาโรฯ
The second recitation section.
๓ฯ๒ฯ อปรนฺตกปฺปิก
3.2. Theories About the Future
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน, อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ จตุจตฺตารีสาย วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ จตุจตฺตารีสาย วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who theorize about the future, and assert various hypotheses concerning the future on forty-four grounds. And what are the forty-four grounds on which they rely?
๓ฯ๒ฯ๑ฯ สญฺญีวาท
3.2.1. Percipient Life After Death
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา สญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ โสฬสหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อุทฺธมาฆาตนิกา สญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ โสฬสหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who say there is life after death, and assert that the self lives on after death in a percipient form on sixteen grounds. And what are the sixteen grounds on which they rely?
‘รูปี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา สญฺญี'ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ
They assert: ‘The self is well and percipient after death, and it has form …
‘อรูปี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา สญฺญี'ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ
formless …
‘รูปี จ อรูปี จ อตฺตา โหติ …เป…ฯ
both having form and formless …
‘เนวรูปี นารูปี อตฺตา โหติ …ฯ
neither having form nor formless …
‘อนฺตวา อตฺตา โหติ …ฯ
finite …
‘อนนฺตวา อตฺตา โหติ …ฯ
infinite …
‘อนฺตวา จ อนนฺตวา จ อตฺตา โหติ …ฯ
both finite and infinite …
‘เนวนฺตวา นานนฺตวา อตฺตา โหติ …ฯ
neither finite nor infinite …
‘เอกตฺตสญฺญี อตฺตา โหติ …ฯ
of unified perception …
‘นานตฺตสญฺญี อตฺตา โหติ …ฯ
of diverse perception …
‘ปริตฺตสญฺญี อตฺตา โหติ …ฯ
of limited perception …
‘อปฺปมาณสญฺญี อตฺตา โหติ …ฯ
of limitless perception …
‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ …ฯ
experiences nothing but happiness …
‘เอกนฺตทุกฺขี อตฺตา โหติ …ฯ
experiences nothing but suffering …
‘สุขทุกฺขี อตฺตา โหติ …ฯ
experiences both happiness and suffering …
‘อทุกฺขมสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา สญฺญี'ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ
experiences neither happiness nor suffering.’
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา สญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ โสฬสหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อุทฺธมาฆาตนิกา สญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว โสฬสหิ วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน, นตฺถิ อิโต พหิทฺธา … เป… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the sixteen grounds on which those ascetics and brahmins assert that the self lives on after death in a percipient form. Any ascetics and brahmins who assert that the self lives on after death in a percipient form do so on one or other of these sixteen grounds. Outside of this there is none. The Realized One understands this … And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
๓ฯ๒ฯ๒ฯ อสญฺญีวาท
3.2.2. Non-Percipient Life After Death
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา อสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อุทฺธมาฆาตนิกา อสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who say there is life after death, and assert that the self lives on after death in a non-percipient form on eight grounds. And what are the eight grounds on which they rely?
‘รูปี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา อสญฺญี'ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ
They assert: ‘The self is well and non-percipient after death, and it has form …
‘อรูปี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา อสญฺญี'ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ
formless …
‘รูปี จ อรูปี จ อตฺตา โหติ …เป…ฯ
both having form and formless …
‘เนวรูปี นารูปี อตฺตา โหติ …ฯ
neither having form nor formless …
‘อนฺตวา อตฺตา โหติ …ฯ
finite …
‘อนนฺตวา อตฺตา โหติ …ฯ
infinite …
‘อนฺตวา จ อนนฺตวา จ อตฺตา โหติ …ฯ
both finite and infinite …
‘เนวนฺตวา นานนฺตวา อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา อสญฺญี'ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ
neither finite nor infinite.’
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา อสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อุทฺธมาฆาตนิกา อสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว อฏฺฐหิ วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน, นตฺถิ อิโต พหิทฺธา … เป… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the eight grounds on which those ascetics and brahmins assert that the self lives on after death in a non-percipient form. Any ascetics and brahmins who assert that the self lives on after death in a non-percipient form do so on one or other of these eight grounds. Outside of this there is none. The Realized One understands this … And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
๓ฯ๒ฯ๓ฯ เนวสญฺญีนาสญฺญีวาท
3.2.3. Neither Percipient Nor Non-Percipient Life After Death
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา, อุทฺธมาฆาตนํ เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อุทฺธมาฆาตนิกา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who say there is life after death, and assert that the self lives on after death in a neither percipient nor non-percipient form on eight grounds. And what are the eight grounds on which they rely?
‘รูปี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา เนวสญฺญีนาสญฺญี'ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ
They assert: ‘The self is well and neither percipient nor non-percipient after death, and it has form …
‘อรูปี อตฺตา โหติ …เป…ฯ
formless …
‘รูปี จ อรูปี จ อตฺตา โหติ …ฯ
both having form and formless …
‘เนวรูปี นารูปี อตฺตา โหติ …ฯ
neither having form nor formless …
‘อนฺตวา อตฺตา โหติ …ฯ
finite …
‘อนนฺตวา อตฺตา โหติ …ฯ
infinite …
‘อนฺตวา จ อนนฺตวา จ อตฺตา โหติ …ฯ
both finite and infinite …
‘เนวนฺตวา นานนฺตวา อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา เนวสญฺญีนาสญฺญี'ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ
neither finite nor infinite.’
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อุทฺธมาฆาตนิกา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว อฏฺฐหิ วตฺถูหิ … เป… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the eight grounds on which those ascetics and brahmins assert that the self lives on after death in a neither percipient nor non-percipient form. Any ascetics and brahmins who assert that the self lives on after death in a neither percipient nor non-percipient form do so on one or other of these eight grounds. Outside of this there is none. The Realized One understands this … And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
๓ฯ๒ฯ๔ฯ อุจฺเฉทวาท
3.2.4. Annihilationism
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อุจฺเฉทวาทา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ สตฺตหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ อุจฺเฉทวาทา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ สตฺตหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who are annihilationists. They assert the annihilation, eradication, and obliteration of an existing being on seven grounds. And what are the seven grounds on which they rely?
อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํวาที โหติ เอวํทิฏฺฐิ: ‘ยโต โข, โภ, อยํ อตฺตา รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ, น โหติ ปรํ มรณา, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติฯ
There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘This self has form, made up of the four primary elements, and produced by mother and father. Since it’s annihilated and destroyed when the body breaks up, and doesn’t exist after death, that’s how this self becomes rightly annihilated.’ That is how some assert the annihilation of an existing being.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหติฯ อตฺถิ โข, โภ, อญฺโญ อตฺตา ทิพฺโพ รูปี กามาวจโร กพฬีการาหารภกฺโขฯ ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิฯ ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ โส โข, โภ, อตฺตา ยโต กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ, น โหติ ปรํ มรณา, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self becomes rightly annihilated. There is another self that is divine, having form, sensual, consuming solid food. You don’t know or see that. But I know it and see it. Since this self is annihilated and destroyed when the body breaks up, and doesn’t exist after death, that’s how this self becomes rightly annihilated.’ That is how some assert the annihilation of an existing being.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหติฯ อตฺถิ โข, โภ, อญฺโญ อตฺตา ทิพฺโพ รูปี มโนมโย สพฺพงฺคปจฺจงฺคี อหีนินฺทฺริโยฯ ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิฯ ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ โส โข, โภ, อตฺตา ยโต กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ, น โหติ ปรํ มรณา, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self becomes rightly annihilated. There is another self that is divine, having form, mind-made, complete in all its various parts, not deficient in any faculty. You don’t know or see that. But I know it and see it. Since this self is annihilated and destroyed when the body breaks up, and doesn’t exist after death, that’s how this self becomes rightly annihilated.’ That is how some assert the annihilation of an existing being.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหติฯ อตฺถิ โข, โภ, อญฺโญ อตฺตา สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา “อนนฺโต อากาโส”ติ อากาสานญฺจายตนูปโคฯ ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิฯ ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ โส โข, โภ, อตฺตา ยโต กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ, น โหติ ปรํ มรณา, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self becomes rightly annihilated. There is another self which has gone totally beyond perceptions of form. With the ending of perceptions of impingement, not focusing on perceptions of diversity, aware that “space is infinite”, it’s reborn in the dimension of infinite space. You don’t know or see that. But I know it and see it. Since this self is annihilated and destroyed when the body breaks up, and doesn’t exist after death, that’s how this self becomes rightly annihilated.’ That is how some assert the annihilation of an existing being.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหติฯ อตฺถิ โข, โภ, อญฺโญ อตฺตา สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม “อนนฺตํ วิญฺญาณนฺ”ติ วิญฺญาณญฺจายตนูปโคฯ ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิฯ ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ โส โข, โภ, อตฺตา ยโต กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ, น โหติ ปรํ มรณา, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self becomes rightly annihilated. There is another self which has gone totally beyond the dimension of infinite space. Aware that “consciousness is infinite”, it’s reborn in the dimension of infinite consciousness. You don’t know or see that. But I know it and see it. Since this self is annihilated and destroyed when the body breaks up, and doesn’t exist after death, that’s how this self becomes rightly annihilated.’ That is how some assert the annihilation of an existing being.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, โส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหติฯ อตฺถิ โข, โภ, อญฺโญ อตฺตา สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม “นตฺถิ กิญฺจี”ติ อากิญฺจญฺญายตนูปโคฯ ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิฯ ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ โส โข, โภ, อตฺตา ยโต กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ, น โหติ ปรํ มรณา, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self becomes rightly annihilated. There is another self that has gone totally beyond the dimension of infinite consciousness. Aware that “there is nothing at all”, it’s been reborn in the dimension of nothingness. You don’t know or see that. But I know it and see it. Since this self is annihilated and destroyed when the body breaks up, and doesn’t exist after death, that’s how this self becomes rightly annihilated.’ That is how some assert the annihilation of an existing being.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหติฯ อตฺถิ โข, โภ, อญฺโญ อตฺตา สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม “สนฺตเมตํ ปณีตเมตนฺ”ติ เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปโคฯ ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิฯ ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ โส โข, โภ, อตฺตา ยโต กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ, น โหติ ปรํ มรณา, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉินฺโน โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self becomes rightly annihilated. There is another self that has gone totally beyond the dimension of nothingness. Aware that “this is peaceful, this is sublime”, it’s been reborn in the dimension of neither perception nor non-perception. You don’t know or see that. But I know it and see it. Since this self is annihilated and destroyed when the body breaks up, and doesn’t exist after death, that’s how this self becomes rightly annihilated.’ That is how some assert the annihilation of an existing being.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา อุจฺเฉทวาทา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ สตฺตหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อุจฺเฉทวาทา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว สตฺตหิ วตฺถูหิ … เป… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the seven grounds on which those ascetics and brahmins assert the annihilation, eradication, and obliteration of an existing being. Any ascetics and brahmins who assert the annihilation, eradication, and obliteration of an existing being do so on one or other of these seven grounds. Outside of this there is none. The Realized One understands this … And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
๓ฯ๒ฯ๕ฯ ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาท
3.2.5. Extinguishment in the Present Life
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติ ปญฺจหิ วตฺถูหิฯ เต จ โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา กิมาคมฺม กิมารพฺภ ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติ ปญฺจหิ วตฺถูหิ?
There are some ascetics and brahmins who speak of Nibbana in the present life. They assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life on five grounds. And what are the five grounds on which they rely?
อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํวาที โหติ เอวํทิฏฺฐิ: ‘ยโต โข, โภ, อยํ อตฺตา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติ, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติฯ
There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘When this self amuses itself, supplied and provided with the five kinds of sensual stimulation, that’s how this self attains ultimate Nibbana in the present life.’ That is how some assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? กามา หิ, โภ, อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา, เตสํ วิปริณามญฺญถาภาวา อุปฺปชฺชนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาฯ ยโต โข, โภ, อยํ อตฺตา วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self attains ultimate Nibbana in the present life. Why is that? Because sensual pleasures are impermanent, suffering, and perishable. Their decay and perishing give rise to sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. Quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, this self enters and remains in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. That’s how this self attains ultimate Nibbana in the present life.’ That is how some assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ยเทว ตตฺถ วิตกฺกิตํ วิจาริตํ, เอเตเนตํ โอฬาริกํ อกฺขายติฯ ยโต โข, โภ, อยํ อตฺตา วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self attains ultimate Nibbana in the present life. Why is that? Because the placing of the mind and the keeping it connected there are coarse. But when the placing of the mind and keeping it connected are stilled, this self enters and remains in the second jhāna, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. That’s how this self attains ultimate Nibbana in the present life.’ That is how some assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ยเทว ตตฺถ ปีติคตํ เจตโส อุปฺปิลาวิตตฺตํ, เอเตเนตํ โอฬาริกํ อกฺขายติฯ ยโต โข, โภ, อยํ อตฺตา ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ, สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ “อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี”ติ, ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self attains ultimate Nibbana in the present life. Why is that? Because the rapture and emotional excitement there are coarse. But with the fading away of rapture, this self enters and remains in the third jhāna, where it meditates with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, “Equanimous and mindful, one meditates in bliss”. That’s how this self attains ultimate Nibbana in the present life.’ That is how some assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life.
ตมญฺโญ เอวมาห: ‘อตฺถิ โข, โภ, เอโส อตฺตา, ยํ ตฺวํ วเทสิ, เนโส นตฺถีติ วทามิ; โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ยเทว ตตฺถ สุขมิติ เจตโส อาโภโค, เอเตเนตํ โอฬาริกํ อกฺขายติฯ ยโต โข, โภ, อยํ อตฺตา สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุพฺเพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปตฺโต โหตี'ติฯ อิตฺเถเก สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติฯ
But someone else says to them: ‘That self of which you speak does exist, I don’t deny it. But that’s not how this self attains ultimate Nibbana in the present life. Why is that? Because the bliss and enjoyment there are coarse. But giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, this self enters and remains in the fourth jhāna, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. That’s how this self attains ultimate Nibbana in the present life.’ That is how some assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติ ปญฺจหิ วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว ปญฺจหิ วตฺถูหิ … เป… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the five grounds on which those ascetics and brahmins assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life. Any ascetics and brahmins who assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life do so on one or other of these five grounds. Outside of this there is none. The Realized One understands this … And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ จตุจตฺตารีสาย วตฺถูหิฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว จตุจตฺตารีสาย วตฺถูหิ … เป… เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the forty-four grounds on which those ascetics and brahmins who theorize about the future assert various hypotheses concerning the future. Any ascetics and brahmins who theorize about the future do so on one or other of these forty-four grounds. Outside of this there is none. The Realized One understands this … And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา จ อปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตาปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ ทฺวาสฏฺฐิยา วตฺถูหิฯ
These are the sixty-two grounds on which those ascetics and brahmins who theorize about the past and the future assert various hypotheses concerning the past and the future.
เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา วา อปรนฺตกปฺปิกา วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตาปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว ทฺวาสฏฺฐิยา วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน; นตฺถิ อิโต พหิทฺธาฯ
Any ascetics and brahmins who theorize about the past or the future do so on one or other of these sixty-two grounds. Outside of this there is none.
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปชานาติ: ‘อิเม ทิฏฺฐิฏฺฐานา เอวงฺคหิตา เอวํปรามฏฺฐา เอวงฺคติกา ภวนฺติ เอวํอภิสมฺปรายา'ติฯ ตญฺจ ตถาคโต ปชานาติ, ตโต จ อุตฺตริตรํ ปชานาติ, ตญฺจ ปชานนํ น ปรามสติ, อปรามสโต จสฺส ปจฺจตฺตญฺเญว นิพฺพุติ วิทิตาฯ เวทนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา อนุปาทาวิมุตฺโต, ภิกฺขเว, ตถาคโตฯ
The Realized One understands this: ‘If you hold on to and attach to these grounds for views it leads to such and such a destiny in the next life.’ He understands this, and what goes beyond this. And since he does not misapprehend that understanding, he has realized Nibbana within himself. Having truly understood the origin, ending, gratification, drawback, and escape from feelings, the Realized One is freed through not grasping.
อิเม โข เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา สนฺตา ปณีตา อตกฺกาวจรา นิปุณา ปณฺฑิตเวทนียา, เย ตถาคโต สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ, เยหิ ตถาคตสฺส ยถาภุจฺจํ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุํฯ
These are the principles—deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute—which the Realized One makes known after realizing them with his own insight. And those who genuinely praise the Realized One would rightly speak of these things.
๔ฯ อตฺตาโลกปญฺญตฺติวตฺถุ
4. The Grounds For Assertions About the Self and the Cosmos
๔ฯ๑ฯ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตวาร
4.1. Anxiety and Evasiveness
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
Now, these things are only the feeling of those who do not know or see, the anxiety and evasiveness of those under the sway of craving. Namely, when those ascetics and brahmins assert that the self and the cosmos are eternal on four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
partially eternal on four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
finite or infinite on four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
or they resort to flip-flops on four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ ทฺวีหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
or they assert that the self and the cosmos arose by chance on two grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ อฏฺฐารสหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
they theorize about the past on these eighteen grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา สญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ โสฬสหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
or they assert that the self lives on after death in a percipient form on sixteen grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา อสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
or that the self lives on after death in a non-percipient form on eight grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
or that the self lives on after death in a neither percipient nor non-percipient form on eight grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุจฺเฉทวาทา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ สตฺตหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
or they assert the annihilation of an existing being on seven grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติ ปญฺจหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
or they assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life on five grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ จตุจตฺตารีสาย วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
they theorize about the future on these forty-four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา จ อปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตาปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ ทฺวาสฏฺฐิยา วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ
When those ascetics and brahmins theorize about the past and the future on these sixty-two grounds, these things are only the feeling of those who do not know or see, the anxiety and evasiveness of those under the sway of craving.
๔ฯ๒ฯ ผสฺสปจฺจยาวาร
4.2. Conditioned by Contact
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
Now, these things are conditioned by contact. Namely, when those ascetics and brahmins assert that the self and the cosmos are eternal on four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
partially eternal on four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
finite or infinite on four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
or they resort to flip-flops on four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ ทฺวีหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
or they assert that the self and the cosmos arose by chance on two grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ อฏฺฐารสหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
they theorize about the past on these eighteen grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา สญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ โสฬสหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
or they assert that the self lives on after death in a percipient form on sixteen grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา อสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
or that the self lives on after death in a non-percipient form on eight grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
or that the self lives on after death in a neither percipient nor non-percipient form on eight grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุจฺเฉทวาทา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ สตฺตหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
or they assert the annihilation of an existing being on seven grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติ ปญฺจหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
or they assert the ultimate Nibbana of an existing being in the present life on five grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ จตุจตฺตารีสาย วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
they theorize about the future on these forty-four grounds …
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา จ อปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตาปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ ทฺวาสฏฺฐิยา วตฺถูหิ, ตทปิ ผสฺสปจฺจยาฯ
When those ascetics and brahmins theorize about the past and the future on these sixty-two grounds, that too is conditioned by contact.
๔ฯ๓ฯ เนตํฐานํวิชฺชติวาร
4.3. Not Possible
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา เอกจฺจํ สสฺสตํ เอกจฺจํ อสสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺฐา สมานา วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชนฺติ อมราวิกฺเขปํ จตูหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ ทฺวีหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ อฏฺฐารสหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา สญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ โสฬสหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา อสญฺญีวาทา, อุทฺธมาฆาตนํ อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา อุทฺธมาฆาตนํ เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อฏฺฐหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อุจฺเฉทวาทา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ สตฺตหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปญฺญเปนฺติ ปญฺจหิ วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ จตุจตฺตารีสาย วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา จ อปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตาปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ ทฺวาสฏฺฐิยา วตฺถูหิ, เต วต อญฺญตฺร ผสฺสา ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
Now, when those ascetics and brahmins theorize about the past and the future on these sixty-two grounds, it is not possible that they should experience these things without contact.
๔ฯ๔ฯ ทิฏฺฐิคติกาธิฏฺฐานวฏฺฏกถา
4.4. Dependent Origination
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกา เอกจฺจอสสฺสติกา …เป… เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา อนฺตานนฺติกา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา อมราวิกฺเขปิกา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา สญฺญีวาทา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา อสญฺญีวาทา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธมาฆาตนิกา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา อุจฺเฉทวาทา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา … เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา จ อปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา จ ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตาปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ ทฺวาสฏฺฐิยา วตฺถูหิ, สพฺเพ เต ฉหิ ผสฺสายตเนหิ ผุสฺส ผุสฺส ปฏิสํเวเทนฺติ เตสํ เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ
Now, when those ascetics and brahmins theorize about the past and the future on these sixty-two grounds, all of them experience this by repeated contact through the six fields of contact. Their feeling is a condition for craving. Craving is a condition for grasping. Grasping is a condition for continued existence. Continued existence is a condition for rebirth. Rebirth is a condition for old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress to come to be.
๕ฯ วิวฏฺฏกถาทิ
5. The End of the Round
ยโต โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ อิเมหิ สพฺเพเหว อุตฺตริตรํ ปชานาติฯ
When a bhikkhu truly understands the six fields of contact’s origin, ending, gratification, drawback, and escape, they understand what lies beyond all these things.
เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา วา อปรนฺตกปฺปิกา วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตาปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว ทฺวาสฏฺฐิยา วตฺถูหิ อนฺโตชาลีกตา, เอตฺถ สิตาว อุมฺมุชฺชมานา อุมฺมุชฺชนฺติ, เอตฺถ ปริยาปนฺนา อนฺโตชาลีกตาว อุมฺมุชฺชมานา อุมฺมุชฺชนฺติฯ
All of these ascetics and brahmins who theorize about the past or the future are trapped in the net of these sixty-two grounds, so that wherever they emerge they are caught and trapped in this very net.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทกฺโข เกวฏฺโฏ วา เกวฏฺฏนฺเตวาสี วา สุขุมจฺฉิเกน ชาเลน ปริตฺตํ อุทกทหํ โอตฺถเรยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘เย โข เกจิ อิมสฺมึ อุทกทเห โอฬาริกา ปาณา, สพฺเพ เต อนฺโตชาลีกตาฯ เอตฺถ สิตาว อุมฺมุชฺชมานา อุมฺมุชฺชนฺติ; เอตฺถ ปริยาปนฺนา อนฺโตชาลีกตาว อุมฺมุชฺชมานา อุมฺมุชฺชนฺตี'ติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา วา อปรนฺตกปฺปิกา วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตาปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ, สพฺเพ เต อิเมเหว ทฺวาสฏฺฐิยา วตฺถูหิ อนฺโตชาลีกตา เอตฺถ สิตาว อุมฺมุชฺชมานา อุมฺมุชฺชนฺติ, เอตฺถ ปริยาปนฺนา อนฺโตชาลีกตาว อุมฺมุชฺชมานา อุมฺมุชฺชนฺติฯ
Suppose a deft fisherman or his apprentice were to cast a fine-meshed net over a small pond. They’d think: ‘Any sizable creatures in this pond will be trapped in the net. Wherever they emerge they are caught and trapped in this very net.’ In the same way, all of these ascetics and brahmins who theorize about the past or the future are trapped in the net of these sixty-two grounds, so that wherever they emerge they are caught and trapped in this very net.
อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโก, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส กาโย ติฏฺฐติฯ ยาวสฺส กาโย ฐสฺสติ, ตาว นํ ทกฺขนฺติ เทวมนุสฺสาฯ กายสฺส เภทา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา น นํ ทกฺขนฺติ เทวมนุสฺสาฯ
The Realized One’s body remains, but his conduit to rebirth has been cut off. As long as his body remains he will be seen by gods and humans. But when his body breaks up, after life has ended, gods and humans will see him no more.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อมฺพปิณฺฑิยา วณฺฏจฺฉินฺนาย ยานิ กานิจิ อมฺพานิ วณฺฏปฏิพนฺธานิ, สพฺพานิ ตานิ ตทนฺวยานิ ภวนฺติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโก ตถาคตสฺส กาโย ติฏฺฐติ, ยาวสฺส กาโย ฐสฺสติ, ตาว นํ ทกฺขนฺติ เทวมนุสฺสา, กายสฺส เภทา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา น นํ ทกฺขนฺติ เทวมนุสฺสา”ติฯ
When the stalk of a bunch of mangoes is cut, all the mangoes attached to the stalk will follow along. In the same way, the Realized One’s body remains, but his conduit to rebirth has been cut off. As long as his body remains he will be seen by gods and humans. But when his body breaks up, after life has ended, gods and humans will see him no more.”
เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺฉริยํ, ภนฺเต, อพฺภุตํ, ภนฺเต, โก นาโม อยํ, ภนฺเต, ธมฺมปริยาโย”ติ?
When he had spoken, Venerable Ānanda said to the Buddha, “It’s incredible, sir, it’s amazing! What is the name of this exposition of the teaching?”
“ตสฺมาติห ตฺวํ, อานนฺท, อิมํ ธมฺมปริยายํ อตฺถชาลนฺติปิ นํ ธาเรหิ, ธมฺมชาลนฺติปิ นํ ธาเรหิ, พฺรหฺมชาลนฺติปิ นํ ธาเรหิ, ทิฏฺฐิชาลนฺติปิ นํ ธาเรหิ, อนุตฺตโร สงฺคามวิชโยติปิ นํ ธาเรหี”ติฯ
“Well, then, Ānanda, you may remember this exposition of the teaching as ‘The Net of Meaning’, or else ‘The Net of the Teaching’, or else ‘The Divine Net’, or else ‘The Net of Views’, or else ‘The Supreme Victory in Battle’.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ อิมสฺมิญฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภญฺญมาเน ทสสหสฺสี โลกธาตุ อกมฺปิตฺถาติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said. And while this discourse was being spoken, the galaxy shook.
พฺรหฺมชาลสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปฐมํฯ
The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]