Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๑. พฺรหฺมชาลสุตฺตวณฺณนา

    1. Brahmajālasuttavaṇṇanā

    ปริพฺพาชกกถาวณฺณนา

    Paribbājakakathāvaṇṇanā

    อิมิสฺสา ปฐมมหาสงฺคีติยา วตฺตมานาย วินยสงฺคหาวสาเน สุตฺตนฺตปิฎเก อาทินิกายสฺส อาทิสุตฺตํ พฺรหฺมชาลํ ปุจฺฉเนฺตน อายสฺมตา มหากสฺสเปน – ‘‘พฺรหฺมชาลํ, อาวุโส อานนฺท, กตฺถ ภาสิต’’นฺติ, เอวมาทิวุตฺตวจนปริโยสาเน ยตฺถ จ ภาสิตํ, ยญฺจารพฺภ ภาสิตํ, ตํ สพฺพํ ปกาเสโนฺต อายสฺมา อานโนฺท เอวํ เม สุตนฺติอาทิมาหฯ เตน วุตฺตํ ‘‘พฺรหฺมชาลสฺสาปิ เอวํ เม สุตนฺติอาทิกํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตํ นิทานมาที’’ติฯ

    Imissā paṭhamamahāsaṅgītiyā vattamānāya vinayasaṅgahāvasāne suttantapiṭake ādinikāyassa ādisuttaṃ brahmajālaṃ pucchantena āyasmatā mahākassapena – ‘‘brahmajālaṃ, āvuso ānanda, kattha bhāsita’’nti, evamādivuttavacanapariyosāne yattha ca bhāsitaṃ, yañcārabbha bhāsitaṃ, taṃ sabbaṃ pakāsento āyasmā ānando evaṃ me sutantiādimāha. Tena vuttaṃ ‘‘brahmajālassāpi evaṃ me sutantiādikaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttaṃ nidānamādī’’ti.

    . ตตฺถ เอวนฺติ นิปาตปทํฯ เมติอาทีนิ นามปทานิฯ ปฎิปโนฺน โหตีติ เอตฺถ ปฎีติ อุปสคฺคปทํ, โหตีติ อาขฺยาตปทนฺติฯ อิมินา ตาว นเยน ปทวิภาโค เวทิตโพฺพฯ

    1. Tattha evanti nipātapadaṃ. Metiādīni nāmapadāni. Paṭipanno hotīti ettha paṭīti upasaggapadaṃ, hotīti ākhyātapadanti. Iminā tāva nayena padavibhāgo veditabbo.

    อตฺถโต ปน เอวํ-สโทฺท ตาว อุปมูปเทสสมฺปหํสนครหณวจนสมฺปฎิคฺคหาการนิทสฺสนาวธารณาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถาเหส – ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจน, กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ’’นฺติ (ธ. ป. ๕๓) เอวมาทีสุ อุปมายํ อาคโตฯ ‘‘เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ, เอวํ เต ปฎิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๒๒) อุปเทเสฯ ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) สมฺปหํสเนฯ ‘‘เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๘๗) ครหเณฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺตติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑) วจนสมฺปฎิคฺคเหฯ ‘‘เอวํ พฺยา โข อหํ, ภเนฺต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๙๘) อากาเรฯ ‘‘เอหิ ตฺวํ, มาณวก, เยน สมโณ อานโนฺท เตนุปสงฺกม, อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉฯ ‘‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’’ติฯ ‘‘เอวญฺจ วเทหิ, สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ, เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๕) นิทสฺสเนฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, กาลามา, อิเม ธมฺมา กุสลา วา อกุสลา วาติ? อกุสลา, ภเนฺตฯ สาวชฺชา วา อนวชฺชา วาติ? สาวชฺชา, ภเนฺตฯ วิญฺญุครหิตา วา วิญฺญุปฺปสตฺถา วาติ? วิญฺญุครหิตา, ภเนฺตฯ สมตฺตา สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ โน วา, กถํ โว เอตฺถ โหตีติ? สมตฺตา, ภเนฺต, สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ, เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) อวธารเณฯ สฺวายมิธ อาการนิทสฺสนาวธารเณสุ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Atthato pana evaṃ-saddo tāva upamūpadesasampahaṃsanagarahaṇavacanasampaṭiggahākāranidassanāvadhāraṇādianekatthappabhedo. Tathāhesa – ‘‘evaṃ jātena maccena, kattabbaṃ kusalaṃ bahu’’nti (dha. pa. 53) evamādīsu upamāyaṃ āgato. ‘‘Evaṃ te abhikkamitabbaṃ, evaṃ te paṭikkamitabba’’ntiādīsu (a. ni. 4.122) upadese. ‘‘Evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’tiādīsu (a. ni. 3.66) sampahaṃsane. ‘‘Evamevaṃ panāyaṃ vasalī yasmiṃ vā tasmiṃ vā tassa muṇḍakassa samaṇakassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.187) garahaṇe. ‘‘Evaṃ, bhanteti kho te bhikkhū bhagavato paccassosu’’ntiādīsu (ma. ni. 1.1) vacanasampaṭiggahe. ‘‘Evaṃ byā kho ahaṃ, bhante, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.398) ākāre. ‘‘Ehi tvaṃ, māṇavaka, yena samaṇo ānando tenupasaṅkama, upasaṅkamitvā mama vacanena samaṇaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha. ‘‘Subho māṇavo todeyyaputto bhavantaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchatī’’ti. ‘‘Evañca vadehi, sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ, tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’tiādīsu (dī. ni. 1.445) nidassane. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha, kālāmā, ime dhammā kusalā vā akusalā vāti? Akusalā, bhante. Sāvajjā vā anavajjā vāti? Sāvajjā, bhante. Viññugarahitā vā viññuppasatthā vāti? Viññugarahitā, bhante. Samattā samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti no vā, kathaṃ vo ettha hotīti? Samattā, bhante, samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti, evaṃ no ettha hotī’’tiādīsu (a. ni. 3.66) avadhāraṇe. Svāyamidha ākāranidassanāvadhāraṇesu daṭṭhabbo.

    ตตฺถ อาการเตฺถน เอวํ-สเทฺทน เอตมตฺถํ ทีเปติ, นานานยนิปุณมเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ, อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ, วิวิธปาฎิหาริยํ, ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํ, สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถมาคจฺฉนฺตํ ตสฺส ภควโต วจนํ สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุํ, สพฺพถาเมน ปน โสตุกามตํ ชเนตฺวาปิ ‘เอวํ เม สุตํ’ มยาปิ เอเกนากาเรน สุตนฺติฯ

    Tattha ākāratthena evaṃ-saddena etamatthaṃ dīpeti, nānānayanipuṇamanekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ, atthabyañjanasampannaṃ, vividhapāṭihāriyaṃ, dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ, sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathamāgacchantaṃ tassa bhagavato vacanaṃ sabbappakārena ko samattho viññātuṃ, sabbathāmena pana sotukāmataṃ janetvāpi ‘evaṃ me sutaṃ’ mayāpi ekenākārena sutanti.

    นิทสฺสนเตฺถน – ‘‘นาหํ สยมฺภู, น มยา อิทํ สจฺฉิกต’’นฺติ อตฺตานํ ปริโมเจโนฺต – ‘เอวํ เม สุตํ’, ‘มยาปิ เอวํ สุต’นฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลํ สุตฺตํ นิทเสฺสติฯ

    Nidassanatthena – ‘‘nāhaṃ sayambhū, na mayā idaṃ sacchikata’’nti attānaṃ parimocento – ‘evaṃ me sutaṃ’, ‘mayāpi evaṃ suta’nti idāni vattabbaṃ sakalaṃ suttaṃ nidasseti.

    อวธารณเตฺถน – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท, คติมนฺตานํ, สติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๒๓)ฯ เอวํ ภควตา – ‘‘อายสฺมา อานโนฺท อตฺถกุสโล, ธมฺมกุสโล, พฺยญฺชนกุสโล, นิรุตฺติกุสโล, ปุพฺพาปรกุสโล’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๖๙)ฯ เอวํ ธมฺมเสนาปตินา จ ปสตฺถภาวานุรูปํ อตฺตโน ธารณพลํ ทเสฺสโนฺต สตฺตานํ โสตุกามตํ ชเนติ – ‘เอวํ เม สุตํ’, ตญฺจ โข อตฺถโต วา พฺยญฺชนโต วา อนูนมนธิกํ, เอวเมว น อญฺญถา ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ

    Avadhāraṇatthena – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando, gatimantānaṃ, satimantānaṃ, dhitimantānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.223). Evaṃ bhagavatā – ‘‘āyasmā ānando atthakusalo, dhammakusalo, byañjanakusalo, niruttikusalo, pubbāparakusalo’’ti (a. ni. 5.169). Evaṃ dhammasenāpatinā ca pasatthabhāvānurūpaṃ attano dhāraṇabalaṃ dassento sattānaṃ sotukāmataṃ janeti – ‘evaṃ me sutaṃ’, tañca kho atthato vā byañjanato vā anūnamanadhikaṃ, evameva na aññathā daṭṭhabba’’nti.

    เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิสฺส – ‘‘คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺย’’นฺติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๑) มยาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สงฺขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๘๘) มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว , ภวถา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙) มมาติ อโตฺถฯ อิธ ปน มยา สุตนฺติ จ, มม สุตนฺติ จ อตฺถทฺวเย ยุชฺชติฯ

    Me-saddo tīsu atthesu dissati. Tathā hissa – ‘‘gāthābhigītaṃ me abhojaneyya’’ntiādīsu (su. ni. 81) mayāti attho. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṅkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.88) mayhanti attho. ‘‘Dhammadāyādā me, bhikkhave , bhavathā’’tiādīsu (ma. ni. 1.29) mamāti attho. Idha pana mayā sutanti ca, mama sutanti ca atthadvaye yujjati.

    สุตนฺติ อยํ สุต-สโทฺท สอุปสโคฺค จ อนุปสโคฺค จ – คมนวิสฺสุตกิลินฺน-อุปจิตานุโยค-โสตวิเญฺญยฺย-โสตทฺวารานุสาร-วิญฺญาตาทิอเนกตฺถปฺปเภโท, ตถา หิสฺส ‘‘เสนาย ปสุโต’’ติอาทีสุ คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต’’ติอาทีสุ (อุทา. ๑๑) วิสฺสุตธมฺมสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺสา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๖๕๗) กิลินฺนากิลินฺนสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๗.๑๒) อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เย ฌานปสุตา ธีรา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๘๑) ฌานานุยุตฺตาติ อโตฺถฯ ‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) โสตวิเญฺญยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตธโรติ อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริตนฺติ วา อุปธารณนฺติ วาติ อโตฺถฯ ‘เม’ สทฺทสฺส หิ ‘มยา’ติ อเตฺถ สติ ‘เอวํ มยา สุตํ’ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริตนฺติ ยุชฺชติฯ ‘มมา’ติ อเตฺถ สติ เอวํ มม สุตํ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธารณนฺติ ยุชฺชติฯ

    Sutanti ayaṃ suta-saddo saupasaggo ca anupasaggo ca – gamanavissutakilinna-upacitānuyoga-sotaviññeyya-sotadvārānusāra-viññātādianekatthappabhedo, tathā hissa ‘‘senāya pasuto’’tiādīsu gacchantoti attho. ‘‘Sutadhammassa passato’’tiādīsu (udā. 11) vissutadhammassāti attho. ‘‘Avassutā avassutassā’’tiādīsu (pāci. 657) kilinnākilinnassāti attho. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’ntiādīsu (khu. pā. 7.12) upacitanti attho. ‘‘Ye jhānapasutā dhīrā’’tiādīsu (dha. pa. 181) jhānānuyuttāti attho. ‘Diṭṭhaṃ sutaṃ muta’ntiādīsu (ma. ni. 1.241) sotaviññeyyanti attho. ‘‘Sutadharo sutasannicayo’’tiādīsu (ma. ni. 1.339) sotadvārānusāraviññātadharoti attho. Idha panassa sotadvārānusārena upadhāritanti vā upadhāraṇanti vāti attho. ‘Me’ saddassa hi ‘mayā’ti atthe sati ‘evaṃ mayā sutaṃ’ sotadvārānusārena upadhāritanti yujjati. ‘Mamā’ti atthe sati evaṃ mama sutaṃ sotadvārānusārena upadhāraṇanti yujjati.

    เอวเมเตสุ ตีสุ ปเทสุ เอวนฺติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสนํฯ เมติ วุตฺตวิญฺญาณสมงฺคิปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต อนูนาธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ ตถา เอวนฺติ ตสฺสา โสตทฺวารานุสาเรน ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺติภาวปฺปกาสนํฯ เมติ อตฺตปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนํฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขโป – ‘‘นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา มยา น อญฺญํ กตํ, อิทํ ปน กตํ, อยํ ธโมฺม สุโต’’ติฯ

    Evametesu tīsu padesu evanti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassanaṃ. Meti vuttaviññāṇasamaṅgipuggalanidassanaṃ. Sutanti assavanabhāvapaṭikkhepato anūnādhikāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Tathā evanti tassā sotadvārānusārena pavattāya viññāṇavīthiyā nānappakārena ārammaṇe pavattibhāvappakāsanaṃ. Meti attappakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsanaṃ. Ayañhettha saṅkhepo – ‘‘nānappakārena ārammaṇe pavattāya viññāṇavīthiyā mayā na aññaṃ kataṃ, idaṃ pana kataṃ, ayaṃ dhammo suto’’ti.

    ตถา เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพธมฺมปฺปกาสนํฯ เมติ ปุคฺคลปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิสฺสามิ, ตํ มยา เอวํ สุต’’นฺติฯ

    Tathā evanti niddisitabbadhammappakāsanaṃ. Meti puggalappakāsanaṃ. Sutanti puggalakiccappakāsanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti. ‘‘Yaṃ suttaṃ niddisissāmi, taṃ mayā evaṃ suta’’nti.

    ตถา เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโสฯ เอวนฺติ หิ อยมาการปญฺญตฺติฯ เมติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสฯ เอตฺตาวตา นานาการปฺปวเตฺตน จิตฺตสนฺตาเนน ตํ สมงฺคิโน กตฺตุ วิสยคฺคหณสนฺนิฎฺฐานํ กตํ โหติฯ

    Tathā evanti yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso. Evanti hi ayamākārapaññatti. Meti kattuniddeso. Sutanti visayaniddeso. Ettāvatā nānākārappavattena cittasantānena taṃ samaṅgino kattu visayaggahaṇasanniṭṭhānaṃ kataṃ hoti.

    อถวา เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโสฯ เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโสฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป, ‘‘มยา สวนกิจฺจวิญฺญาณสมงฺคินา ปุคฺคเลน วิญฺญาณวเสน ลทฺธสวนกิจฺจโวหาเรน สุต’’นฺติฯ

    Athavā evanti puggalakiccaniddeso. Sutanti viññāṇakiccaniddeso. Meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso. Ayaṃ panettha saṅkhepo, ‘‘mayā savanakiccaviññāṇasamaṅginā puggalena viññāṇavasena laddhasavanakiccavohārena suta’’nti.

    ตตฺถ เอวนฺติ จ เมติ จ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ กิเญฺหตฺถ ตํ ปรมตฺถโต อตฺถิ, ยํ เอวนฺติ วา เมติ วา นิเทฺทสํ ลเภถ? สุตนฺติ วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ยญฺหิ ตํ เอตฺถ โสเตน อุปลทฺธํ, ตํ ปรมตฺถโต วิชฺชมานนฺติฯ ตถา ‘เอว’นฺติ จ, เมติ จ, ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโต อุปาทาปญฺญตฺติฯ ‘สุต’นฺติ ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต อุปนิธาปญฺญตฺติฯ เอตฺถ จ เอวนฺติ วจเนน อสโมฺมหํ ทีเปติฯ น หิ สมฺมูโฬฺห นานปฺปการปฎิเวธสมโตฺถ โหติฯ ‘สุต’นฺติ วจเนน สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปติฯ ยสฺส หิ สุตํ สมฺมุฎฺฐํ โหติ, น โส กาลนฺตเรน มยา สุตนฺติ ปฎิชานาติฯ อิจฺจสฺส อสโมฺมเหน ปญฺญาสิทฺธิ, อสโมฺมเสน ปน สติสิทฺธิฯ ตตฺถ ปญฺญาปุพฺพงฺคมาย สติยา พฺยญฺชนาวธารณสมตฺถตา, สติปุพฺพงฺคมาย ปญฺญาย อตฺถปฎิเวธสมตฺถตาฯ ตทุภยสมตฺถตาโยเคน อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส ธมฺมโกสสฺส อนุปาลนสมตฺถโต ธมฺมภณฺฑาคาริกตฺตสิทฺธิฯ

    Tattha evanti ca meti ca saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññatti. Kiñhettha taṃ paramatthato atthi, yaṃ evanti vā meti vā niddesaṃ labhetha? Sutanti vijjamānapaññatti. Yañhi taṃ ettha sotena upaladdhaṃ, taṃ paramatthato vijjamānanti. Tathā ‘eva’nti ca, meti ca, taṃ taṃ upādāya vattabbato upādāpaññatti. ‘Suta’nti diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato upanidhāpaññatti. Ettha ca evanti vacanena asammohaṃ dīpeti. Na hi sammūḷho nānappakārapaṭivedhasamattho hoti. ‘Suta’nti vacanena sutassa asammosaṃ dīpeti. Yassa hi sutaṃ sammuṭṭhaṃ hoti, na so kālantarena mayā sutanti paṭijānāti. Iccassa asammohena paññāsiddhi, asammosena pana satisiddhi. Tattha paññāpubbaṅgamāya satiyā byañjanāvadhāraṇasamatthatā, satipubbaṅgamāya paññāya atthapaṭivedhasamatthatā. Tadubhayasamatthatāyogena atthabyañjanasampannassa dhammakosassa anupālanasamatthato dhammabhaṇḍāgārikattasiddhi.

    อปโร นโย, เอวนฺติ วจเนน โยนิโส มนสิการํ ทีเปติฯ อโยนิโส มนสิกโรโต หิ นานปฺปการปฎิเวธาภาวโตฯ สุตนฺติ วจเนน อวิเกฺขปํ ทีเปติ, วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺส สวนาภาวโตฯ ตถา หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต ปุคฺคโล สพฺพสมฺปตฺติยา วุจฺจมาโนปิ ‘‘น มยา สุตํ, ปุน ภณถา’’ติ ภณติฯ โยนิโส มนสิกาเรน เจตฺถ อตฺตสมฺมาปณิธิํ ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตํ สาเธติ, สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตสฺส ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา ตทภาวโตฯ อวิเกฺขเปน สทฺธมฺมสฺสวนํ สปฺปุริสูปนิสฺสยญฺจ สาเธติฯ น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต โสตุํ สโกฺกติ, น จ สปฺปุริเส อนุปสฺสยมานสฺส สวนํ อตฺถีติฯ

    Aparo nayo, evanti vacanena yoniso manasikāraṃ dīpeti. Ayoniso manasikaroto hi nānappakārapaṭivedhābhāvato. Sutanti vacanena avikkhepaṃ dīpeti, vikkhittacittassa savanābhāvato. Tathā hi vikkhittacitto puggalo sabbasampattiyā vuccamānopi ‘‘na mayā sutaṃ, puna bhaṇathā’’ti bhaṇati. Yoniso manasikārena cettha attasammāpaṇidhiṃ pubbe ca katapuññataṃ sādheti, sammā appaṇihitattassa pubbe akatapuññassa vā tadabhāvato. Avikkhepena saddhammassavanaṃ sappurisūpanissayañca sādheti. Na hi vikkhittacitto sotuṃ sakkoti, na ca sappurise anupassayamānassa savanaṃ atthīti.

    อปโร นโย, ยสฺมา เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโสติ วุตฺตํ, โส จ เอวํ ภทฺทโก อากาโร น สมฺมาอปฺปณิหิตตฺตโน ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา โหติ, ตสฺมา เอวนฺติ อิมินา ภทฺทเกนากาเรน ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติมตฺตโน ทีเปติฯ สุตนฺติ สวนโยเคน ปุริมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํฯ น หิ อปฺปติรูปเทเส วสโต สปฺปุริสูปนิสฺสยวิรหิตสฺส วา สวนํ อตฺถิฯ อิจฺจสฺส ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา อาสยสุทฺธิสิทฺธา โหติ, ปุริมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา ปโยคสุทฺธิ, ตาย จ อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธิ, ปโยคสุทฺธิยา อาคมพฺยตฺติสิทฺธิฯ อิติ ปโยคาสยสุทฺธสฺส อาคมาธิคมสมฺปนฺนสฺส วจนํ อรุณุคฺคํ วิย สูริยสฺส อุทยโต โยนิโส มนสิกาโร วิย จ กุสลกมฺมสฺส อรหติ ภควโต วจนสฺส ปุพฺพงฺคมํ ภวิตุนฺติ ฐาเน นิทานํ ฐเปโนฺต – ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิมาหฯ

    Aparo nayo, yasmā evanti yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddesoti vuttaṃ, so ca evaṃ bhaddako ākāro na sammāappaṇihitattano pubbe akatapuññassa vā hoti, tasmā evanti iminā bhaddakenākārena pacchimacakkadvayasampattimattano dīpeti. Sutanti savanayogena purimacakkadvayasampattiṃ. Na hi appatirūpadese vasato sappurisūpanissayavirahitassa vā savanaṃ atthi. Iccassa pacchimacakkadvayasiddhiyā āsayasuddhisiddhā hoti, purimacakkadvayasiddhiyā payogasuddhi, tāya ca āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhi, payogasuddhiyā āgamabyattisiddhi. Iti payogāsayasuddhassa āgamādhigamasampannassa vacanaṃ aruṇuggaṃ viya sūriyassa udayato yoniso manasikāro viya ca kusalakammassa arahati bhagavato vacanassa pubbaṅgamaṃ bhavitunti ṭhāne nidānaṃ ṭhapento – ‘‘evaṃ me suta’’ntiādimāha.

    อปโร นโย, ‘เอว’นฺติ อิมินา นานปฺปการปฎิเวธทีปเกน วจเนน อตฺตโน อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ทีเปติฯ ‘สุต’นฺติ อิมินา โสตพฺพปฺปเภทปฎิเวธทีปเกน ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํฯ ‘เอว’นฺติ จ อิทํ โยนิโส มนสิการทีปกํ วจนํ ภาสมาโน – ‘‘เอเต มยา ธมฺมา มนสานุเปกฺขิตา, ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา’’ติ ทีเปติฯ ‘สุต’นฺติ อิทํ สวนโยคทีปกํ วจนํ ภาสมาโน – ‘‘พหู มยา ธมฺมา สุตา ธาตา วจสา ปริจิตา’’ติ ทีเปติฯ ตทุภเยนาปิ อตฺถพฺยญฺชนปาริปูริํ ทีเปโนฺต สวเน อาทรํ ชเนติฯ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณญฺหิ ธมฺมํ อาทเรน อสฺสุณโนฺต มหตา หิตา ปริพาหิโร โหตีติ, ตสฺมา อาทรํ ชเนตฺวา สกฺกจฺจํ อยํ ธโมฺม โสตโพฺพติฯ

    Aparo nayo, ‘eva’nti iminā nānappakārapaṭivedhadīpakena vacanena attano atthapaṭibhānapaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ dīpeti. ‘Suta’nti iminā sotabbappabhedapaṭivedhadīpakena dhammaniruttipaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ. ‘Eva’nti ca idaṃ yoniso manasikāradīpakaṃ vacanaṃ bhāsamāno – ‘‘ete mayā dhammā manasānupekkhitā, diṭṭhiyā suppaṭividdhā’’ti dīpeti. ‘Suta’nti idaṃ savanayogadīpakaṃ vacanaṃ bhāsamāno – ‘‘bahū mayā dhammā sutā dhātā vacasā paricitā’’ti dīpeti. Tadubhayenāpi atthabyañjanapāripūriṃ dīpento savane ādaraṃ janeti. Atthabyañjanaparipuṇṇañhi dhammaṃ ādarena assuṇanto mahatā hitā paribāhiro hotīti, tasmā ādaraṃ janetvā sakkaccaṃ ayaṃ dhammo sotabboti.

    ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน อายสฺมา อานโนฺท ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมํ อตฺตโน อทหโนฺต อสปฺปุริสภูมิํ อติกฺกมติฯ สาวกตฺตํ ปฎิชานโนฺต สปฺปุริสภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสทฺธมฺมา จิตฺตํ วุฎฺฐาเปติ, สทฺธเมฺม จิตฺตํ ปติฎฺฐาเปติฯ ‘‘เกวลํ สุตเมเวตํ มยา, ตเสฺสว ภควโต วจน’’นฺติ ทีเปโนฺต อตฺตานํ ปริโมเจติ, สตฺถารํ อปทิสติ, ชินวจนํ อเปฺปติ, ธมฺมเนตฺติํ ปติฎฺฐาเปติฯ

    ‘‘Evaṃ me suta’’nti iminā pana sakalena vacanena āyasmā ānando tathāgatappaveditaṃ dhammaṃ attano adahanto asappurisabhūmiṃ atikkamati. Sāvakattaṃ paṭijānanto sappurisabhūmiṃ okkamati. Tathā asaddhammā cittaṃ vuṭṭhāpeti, saddhamme cittaṃ patiṭṭhāpeti. ‘‘Kevalaṃ sutamevetaṃ mayā, tasseva bhagavato vacana’’nti dīpento attānaṃ parimoceti, satthāraṃ apadisati, jinavacanaṃ appeti, dhammanettiṃ patiṭṭhāpeti.

    อปิจ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อตฺตนา อุปฺปาทิตภาวํ อปฺปฎิชานโนฺต ปุริมวจนํ วิวรโนฺต – ‘‘สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตมิทํ มยา ตสฺส ภควโต จตุเวสารชฺชวิสารทสฺส ทสพลธรสฺส อาสภฎฺฐานฎฺฐายิโน สีหนาทนาทิโน สพฺพสตฺตุตฺตมสฺส ธมฺมิสฺสรสฺส ธมฺมราชสฺส ธมฺมาธิปติโน ธมฺมทีปสฺส ธมฺมสรณสฺส สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺติโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนํ, น เอตฺถ อเตฺถ วา ธเมฺม วา ปเท วา พฺยญฺชเน วา กงฺขา วา วิมติ วา กาตพฺพา’’ติ สเพฺพสํ เทวมนุสฺสานํ อิมสฺมิํ ธเมฺม อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ, สทฺธาสมฺปทํ อุปฺปาเทติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Apica ‘‘evaṃ me suta’’nti attanā uppāditabhāvaṃ appaṭijānanto purimavacanaṃ vivaranto – ‘‘sammukhā paṭiggahitamidaṃ mayā tassa bhagavato catuvesārajjavisāradassa dasabaladharassa āsabhaṭṭhānaṭṭhāyino sīhanādanādino sabbasattuttamassa dhammissarassa dhammarājassa dhammādhipatino dhammadīpassa dhammasaraṇassa saddhammavaracakkavattino sammāsambuddhassa vacanaṃ, na ettha atthe vā dhamme vā pade vā byañjane vā kaṅkhā vā vimati vā kātabbā’’ti sabbesaṃ devamanussānaṃ imasmiṃ dhamme assaddhiyaṃ vināseti, saddhāsampadaṃ uppādeti. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘วินาสยติ อสฺสทฺธํ, สทฺธํ วเฑฺฒติ สาสเน;

    ‘‘Vināsayati assaddhaṃ, saddhaṃ vaḍḍheti sāsane;

    เอวํ เม สุตมิเจฺจวํ, วทํ โคตมสาวโก’’ติฯ

    Evaṃ me sutamiccevaṃ, vadaṃ gotamasāvako’’ti.

    เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ สมยนฺติ ปริจฺฉินฺนนิเทฺทโสฯ เอกํ สมยนฺติ อนิยมิตปริทีปนํฯ ตตฺถ สมยสโทฺท –

    Ekanti gaṇanaparicchedaniddeso. Samayanti paricchinnaniddeso. Ekaṃ samayanti aniyamitaparidīpanaṃ. Tattha samayasaddo –

    ‘‘สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุทิฎฺฐิสุ;

    ‘‘Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetudiṭṭhisu;

    ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสติ’’ฯ

    Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissati’’.

    ตถา หิสฺส – ‘‘อเปฺปวนาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) สมวาโย อโตฺถฯ ‘‘เอโกว โข ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) ขโณฯ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๓๕๘) กาโลฯ ‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๓๒) สมูโหฯ ‘‘สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ, ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ, ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข, เต ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๓๕) เหตุฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อุคฺคหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๖๐) ทิฎฺฐิฯ

    Tathā hissa – ‘‘appevanāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti evamādīsu (dī. ni. 1.447) samavāyo attho. ‘‘Ekova kho bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) khaṇo. ‘‘Uṇhasamayo pariḷāhasamayo’’tiādīsu (pāci. 358) kālo. ‘‘Mahāsamayo pavanasmi’’ntiādīsu (dī. ni. 2.332) samūho. ‘‘Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi, bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, bhagavāpi maṃ jānissati, bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho, te bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosī’’tiādīsu (ma. ni. 2.135) hetu. ‘‘Tena kho pana samayena uggahamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasatī’’tiādīsu (ma. ni. 2.260) diṭṭhi.

    ‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก;

    ‘‘Diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko;

    อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๒๘) –

    Atthābhisamayā dhīro, paṇḍitoti pavuccatī’’ti. (saṃ. ni. 1.128) –

    อาทีสุ ปฎิลาโภฯ ‘‘สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๗.๙) ปหานํฯ ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ อภิสมยโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ๑๐๘) ปฎิเวโธฯ อิธ ปนสฺส กาโล อโตฺถฯ เตน สํวจฺฉรอุตุมาสฑฺฒมาสรตฺติทิวปุพฺพณฺหมชฺฌนฺหิกสายนฺหปฐมมชฺฌิ-มปจฺฉิมยามมุหุตฺตาทีสุ กาลปฺปเภทภูเตสุ สมเยสุ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ

    Ādīsu paṭilābho. ‘‘Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassā’’tiādīsu (a. ni. 7.9) pahānaṃ. ‘‘Dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho abhisamayaṭṭho’’tiādīsu (paṭi. 108) paṭivedho. Idha panassa kālo attho. Tena saṃvaccharautumāsaḍḍhamāsarattidivapubbaṇhamajjhanhikasāyanhapaṭhamamajjhi-mapacchimayāmamuhuttādīsu kālappabhedabhūtesu samayesu ekaṃ samayanti dīpeti.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ เอเตสุ สํวจฺฉราทีสุ สมเยสุ ยํ ยํ สุตฺตํ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สํวจฺฉเร อุตุมฺหิ มาเส ปเกฺข รตฺติภาเค วา ทิวสภาเค วา วุตฺตํ, สพฺพํ ตํ เถรสฺส สุวิทิตํ สุววตฺถาปิตํ ปญฺญายฯ ยสฺมา ปน – ‘‘เอวํ เม สุตํ’’ อสุกสํวจฺฉเร อสุกอุตุมฺหิ อสุกมาเส อสุกปเกฺข อสุกรตฺติภาเค อสุกทิวสภาเค วาติ เอวํ วุเตฺต น สกฺกา สุเขน ธาเรตุํ วา อุทฺทิสิตุํ วา อุทฺทิสาเปตุํ วา, พหุ จ วตฺตพฺพํ โหติ, ตสฺมา เอเกเนว ปเทน ตมตฺถํ สโมธาเนตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ เย วา อิเม คโพฺภกฺกนฺติสมโย, ชาติสมโย, สํเวคสมโย, อภินิกฺขมนสมโย, ทุกฺกรการิกสมโย, มารวิชยสมโย, อภิสโมฺพธิสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย, เทสนาสมโย, ปรินิพฺพานสมโยติ, เอวมาทโย ภควโต เทวมนุเสฺสสุ อติวิย ปกาสา อเนกกาลปฺปเภทา เอว สมยาฯ เตสุ สมเยสุ เทสนาสมยสงฺขาตํ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ โย จายํ ญาณกรุณากิจฺจสมเยสุ กรุณากิจฺจสมโย, อตฺตหิตปรหิตปฎิปตฺติสมเยสุ ปรหิตปฎิปตฺติสมโย, สนฺนิปติตานํ กรณียทฺวยสมเยสุ ธมฺมิกถาสมโย เทสนาปฎิปตฺติสมเยสุ เทสนาสมโย, เตสุปิ สมเยสุ อญฺญตรํ สมยํ สนฺธาย ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ

    Tattha kiñcāpi etesu saṃvaccharādīsu samayesu yaṃ yaṃ suttaṃ yasmiṃ yasmiṃ saṃvacchare utumhi māse pakkhe rattibhāge vā divasabhāge vā vuttaṃ, sabbaṃ taṃ therassa suviditaṃ suvavatthāpitaṃ paññāya. Yasmā pana – ‘‘evaṃ me sutaṃ’’ asukasaṃvacchare asukautumhi asukamāse asukapakkhe asukarattibhāge asukadivasabhāge vāti evaṃ vutte na sakkā sukhena dhāretuṃ vā uddisituṃ vā uddisāpetuṃ vā, bahu ca vattabbaṃ hoti, tasmā ekeneva padena tamatthaṃ samodhānetvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha. Ye vā ime gabbhokkantisamayo, jātisamayo, saṃvegasamayo, abhinikkhamanasamayo, dukkarakārikasamayo, māravijayasamayo, abhisambodhisamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo, desanāsamayo, parinibbānasamayoti, evamādayo bhagavato devamanussesu ativiya pakāsā anekakālappabhedā eva samayā. Tesu samayesu desanāsamayasaṅkhātaṃ ekaṃ samayanti dīpeti. Yo cāyaṃ ñāṇakaruṇākiccasamayesu karuṇākiccasamayo, attahitaparahitapaṭipattisamayesu parahitapaṭipattisamayo, sannipatitānaṃ karaṇīyadvayasamayesu dhammikathāsamayo desanāpaṭipattisamayesu desanāsamayo, tesupi samayesu aññataraṃ samayaṃ sandhāya ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.

    กสฺมา ปเนตฺถ ยถา อภิธเมฺม ‘‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจร’’นฺติ (ธ. ส. ๑) จ, อิโต อเญฺญสุ จ สุตฺตปเทสุ – ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหี’’ติ จ ภุมฺมวจนนิเทฺทโส กโต, วินเย จ – ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา’’ติ กรณวจเนน, ตถา อกตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโตติ? ตตฺถ ตถา อิธ จ อญฺญถา อตฺถสมฺภวโตฯ ตตฺถ หิ อภิธเมฺม อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ จ อธิกรณโตฺถ ภาเวน ภาวลกฺขณโตฺถ จ สมฺภวติฯ อธิกรณญฺหิ กาลโตฺถ, สมูหโตฺถ จ สมโย, ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺส จ สมยสฺส ภาเวน เตสํ ภาโว ลกฺขียติ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ ภุมฺมวจนนิเทฺทโส กโตฯ

    Kasmā panettha yathā abhidhamme ‘‘yasmiṃ samaye kāmāvacara’’nti (dha. sa. 1) ca, ito aññesu ca suttapadesu – ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehī’’ti ca bhummavacananiddeso kato, vinaye ca – ‘‘tena samayena buddho bhagavā’’ti karaṇavacanena, tathā akatvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti upayogavacananiddeso katoti? Tattha tathā idha ca aññathā atthasambhavato. Tattha hi abhidhamme ito aññesu suttapadesu ca adhikaraṇattho bhāvena bhāvalakkhaṇattho ca sambhavati. Adhikaraṇañhi kālattho, samūhattho ca samayo, tattha tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ khaṇasamavāyahetusaṅkhātassa ca samayassa bhāvena tesaṃ bhāvo lakkhīyati, tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha bhummavacananiddeso kato.

    วินเย จ เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ โย หิ โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย สาริปุตฺตาทีหิปิ ทุพฺพิเญฺญโยฺย, เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตน จ สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺต สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ

    Vinaye ca hetuattho karaṇattho ca sambhavati. Yo hi so sikkhāpadapaññattisamayo sāriputtādīhipi dubbiññeyyo, tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtena ca sikkhāpadāni paññāpayanto sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno bhagavā tattha tattha vihāsi, tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha karaṇavacanena niddeso kato.

    อิธ ปน อญฺญสฺมิญฺจ เอวํ ชาติเก อจฺจนฺตสํโยคโตฺถ สมฺภวติฯ ยญฺหิ สมยํ ภควา อิมํ อญฺญํ วา สุตฺตนฺตํ เทเสสิ, อจฺจนฺตเมว ตํ สมยํ กรุณาวิหาเรน วิหาสิ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ อิธ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโตติฯ

    Idha pana aññasmiñca evaṃ jātike accantasaṃyogattho sambhavati. Yañhi samayaṃ bhagavā imaṃ aññaṃ vā suttantaṃ desesi, accantameva taṃ samayaṃ karuṇāvihārena vihāsi, tasmā tadatthajotanatthaṃ idha upayogavacananiddeso katoti.

    เตเนตํ วุจฺจติ –

    Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘ตํ ตํ อตฺถมเปกฺขิตฺวา, ภุเมฺมน กรเณน จ;

    ‘‘Taṃ taṃ atthamapekkhitvā, bhummena karaṇena ca;

    อญฺญตฺร สมโย วุโตฺต, อุปโยเคน โส อิธา’’ติฯ

    Aññatra samayo vutto, upayogena so idhā’’ti.

    โปราณา ปน วณฺณยนฺติ – ‘‘ตสฺมิํ สมเย’’ติ วา, ‘‘เตน สมเยนา’’ติ วา, ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วา, อภิลาปมตฺตเภโท เอส, สพฺพตฺถ ภุมฺมเมวโตฺถติฯ ตสฺมา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วุเตฺตปิ ‘‘เอกสฺมิํ สมเย’’ติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Porāṇā pana vaṇṇayanti – ‘‘tasmiṃ samaye’’ti vā, ‘‘tena samayenā’’ti vā, ‘‘ekaṃ samaya’’nti vā, abhilāpamattabhedo esa, sabbattha bhummamevatthoti. Tasmā ‘‘ekaṃ samaya’’nti vuttepi ‘‘ekasmiṃ samaye’’ti attho veditabbo.

    ภควาติ ครุฯ ครุญฺหิ โลเก ภควาติ วทนฺติฯ อยญฺจ สพฺพคุณวิสิฎฺฐตาย สพฺพสตฺตานํ ครุ, ตสฺมา ภควาติ เวทิตโพฺพฯ โปราเณหิปิ วุตฺตํ –

    Bhagavāti garu. Garuñhi loke bhagavāti vadanti. Ayañca sabbaguṇavisiṭṭhatāya sabbasattānaṃ garu, tasmā bhagavāti veditabbo. Porāṇehipi vuttaṃ –

    ‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;

    ‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;

    ครุ คารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ

    Garu gāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti.

    อปิ จ –

    Api ca –

    ‘‘ภาคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;

    ‘‘Bhāgyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;

    ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ

    Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti.

    อิมิสฺสา คาถาย วเสนสฺส ปทสฺส วิตฺถารอโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โส จ วิสุทฺธิมเคฺค พุทฺธานุสฺสตินิเทฺทเส วุโตฺตเยวฯ

    Imissā gāthāya vasenassa padassa vitthāraattho veditabbo. So ca visuddhimagge buddhānussatiniddese vuttoyeva.

    เอตฺตาวตา เจตฺถ เอวํ เม สุตนฺติ วจเนน ยถาสุตํ ธมฺมํ ทเสฺสโนฺต ภควโต ธมฺมกายํ ปจฺจกฺขํ กโรติฯ เตน ‘‘นยิทํ อติกฺกนฺตสตฺถุกํ ปาวจนํ, อยํ โว สตฺถา’’ติ สตฺถุ อทสฺสเนน อุกฺกณฺฐิตํ ชนํ สมสฺสาเสติฯ

    Ettāvatā cettha evaṃ me sutanti vacanena yathāsutaṃ dhammaṃ dassento bhagavato dhammakāyaṃ paccakkhaṃ karoti. Tena ‘‘nayidaṃ atikkantasatthukaṃ pāvacanaṃ, ayaṃ vo satthā’’ti satthu adassanena ukkaṇṭhitaṃ janaṃ samassāseti.

    เอกํ สมยํ ภควาติ วจเนน ตสฺมิํ สมเย ภควโต อวิชฺชมานภาวํ ทเสฺสโนฺต รูปกายปรินิพฺพานํ สาเธติฯ เตน ‘‘เอวํวิธสฺส นาม อริยธมฺมสฺส เทสโก ทสพลธโร วชิรสงฺฆาต สมานกาโย โสปิ ภควา ปรินิพฺพุโต, เกน อเญฺญน ชีวิเต อาสา ชเนตพฺพา’’ติ ชีวิตมทมตฺตํ ชนํ สํเวเชติ, สทฺธเมฺม จสฺส อุสฺสาหํ ชเนติฯ

    Ekaṃ samayaṃ bhagavāti vacanena tasmiṃ samaye bhagavato avijjamānabhāvaṃ dassento rūpakāyaparinibbānaṃ sādheti. Tena ‘‘evaṃvidhassa nāma ariyadhammassa desako dasabaladharo vajirasaṅghāta samānakāyo sopi bhagavā parinibbuto, kena aññena jīvite āsā janetabbā’’ti jīvitamadamattaṃ janaṃ saṃvejeti, saddhamme cassa ussāhaṃ janeti.

    เอวนฺติ จ ภณโนฺต เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติฯ เม สุตนฺติ สาวกสมฺปตฺติํฯ เอกํ สมยนฺติ กาลสมฺปตฺติํฯ ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํฯ

    Evanti ca bhaṇanto desanāsampattiṃ niddisati. Me sutanti sāvakasampattiṃ. Ekaṃ samayanti kālasampattiṃ. Bhagavāti desakasampattiṃ.

    อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทนฺติ อนฺตรา-สโทฺท การณขณจิตฺตเวมชฺฌวิวราทีสุ ทิสฺสติฯ ‘‘ตทนฺตรํ โก ชาเนยฺย อญฺญตฺร ตถาคตา’’ติ (อ. นิ. ๖.๔๔) จ, ‘‘ชนา สงฺคมฺม มเนฺตนฺติ มญฺจ ตญฺจ กิมนฺตร’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๒๘) จ อาทีสุ หิ การเณ อนฺตรา-สโทฺทฯ ‘‘อทฺทส มํ, ภเนฺต, อญฺญตรา อิตฺถี วิชฺชนฺตริกาย ภาชนํ โธวนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๔๙) ขเณฯ ‘‘ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา’’ติอาทีสุ (อุทา. ๒๐) จิเตฺตฯ ‘‘อนฺตรา โวสานมาปาที’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๓๕๐) เวมเชฺฌฯ ‘‘อปิ จายํ, ภิกฺขเว, ตโปทา ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกาย อาคจฺฉตี’’ติอาทีสุ (ปารา. ๒๓๑) วิวเรฯ สฺวายมิธ วิวเร วตฺตติ, ตสฺมา ราชคหสฺส จ นาฬนฺทาย จ วิวเรติ เอวเมตฺถโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อนฺตรา-สเทฺทน ปน ยุตฺตตฺตา อุปโยควจนํ กตํฯ อีทิเสสุ จ ฐาเนสุ อกฺขรจินฺตกา ‘‘อนฺตรา คามญฺจ นทิญฺจ ยาตี’’ติ เอวํ เอกเมว อนฺตราสทฺทํ ปยุชฺชนฺติ, โส ทุติยปเทนปิ โยเชตโพฺพ โหติ, อโยชิยมาเน อุปโยควจนํ น ปาปุณาติฯ อิธ ปน โยเชตฺวาเยว วุโตฺตติฯ

    Antarā ca rājagahaṃ antarā ca nāḷandanti antarā-saddo kāraṇakhaṇacittavemajjhavivarādīsu dissati. ‘‘Tadantaraṃ ko jāneyya aññatra tathāgatā’’ti (a. ni. 6.44) ca, ‘‘janā saṅgamma mantenti mañca tañca kimantara’’nti (saṃ. ni. 1.228) ca ādīsu hi kāraṇe antarā-saddo. ‘‘Addasa maṃ, bhante, aññatarā itthī vijjantarikāya bhājanaṃ dhovantī’’tiādīsu (ma. ni. 2.149) khaṇe. ‘‘Yassantarato na santi kopā’’tiādīsu (udā. 20) citte. ‘‘Antarā vosānamāpādī’’tiādīsu (cūḷava. 350) vemajjhe. ‘‘Api cāyaṃ, bhikkhave, tapodā dvinnaṃ mahānirayānaṃ antarikāya āgacchatī’’tiādīsu (pārā. 231) vivare. Svāyamidha vivare vattati, tasmā rājagahassa ca nāḷandāya ca vivareti evametthattho veditabbo. Antarā-saddena pana yuttattā upayogavacanaṃ kataṃ. Īdisesu ca ṭhānesu akkharacintakā ‘‘antarā gāmañca nadiñca yātī’’ti evaṃ ekameva antarāsaddaṃ payujjanti, so dutiyapadenapi yojetabbo hoti, ayojiyamāne upayogavacanaṃ na pāpuṇāti. Idha pana yojetvāyeva vuttoti.

    อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน โหตีติ อทฺธานสงฺขาตํ มคฺคํ ปฎิปโนฺน โหติ, ‘‘ทีฆมคฺค’’นฺติ อโตฺถฯ อทฺธานคมนสมยสฺส หิ วิภเงฺค ‘‘อฑฺฒโยชนํ คจฺฉิสฺสามีติ ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติอาทิวจนโต (ปาจิ. ๒๑๘) อฑฺฒโยชนมฺปิ อทฺธานมโคฺค โหติฯ ราชคหโต ปน นาฬนฺทา โยชนเมวฯ

    Addhānamaggappaṭipannohotīti addhānasaṅkhātaṃ maggaṃ paṭipanno hoti, ‘‘dīghamagga’’nti attho. Addhānagamanasamayassa hi vibhaṅge ‘‘aḍḍhayojanaṃ gacchissāmīti bhuñjitabba’’ntiādivacanato (pāci. 218) aḍḍhayojanampi addhānamaggo hoti. Rājagahato pana nāḷandā yojanameva.

    มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธินฺติ ‘มหตา’ติ คุณมหเตฺตนปิ มหตา, สงฺขฺยามหเตฺตนปิ มหตาฯ โส หิ ภิกฺขุสโงฺฆ คุเณหิปิ มหา อโหสิ, อปฺปิจฺฉตาทิคุณสมนฺนาคตตฺตาฯ สงฺขฺยายปิ มหา, ปญฺจสตสงฺขฺยตฺตาฯ ภิกฺขูนํ สโงฺฆ ‘ภิกฺขุสโงฺฆ’, เตน ภิกฺขุสเงฺฆนฯ ทิฎฺฐิสีลสามญฺญสงฺฆาตสงฺขาเตน สมณคเณนาติ อโตฺถฯ สทฺธินฺติ เอกโตฯ

    Mahatā bhikkhusaṅghena saddhinti ‘mahatā’ti guṇamahattenapi mahatā, saṅkhyāmahattenapi mahatā. So hi bhikkhusaṅgho guṇehipi mahā ahosi, appicchatādiguṇasamannāgatattā. Saṅkhyāyapi mahā, pañcasatasaṅkhyattā. Bhikkhūnaṃ saṅgho ‘bhikkhusaṅgho’, tena bhikkhusaṅghena. Diṭṭhisīlasāmaññasaṅghātasaṅkhātena samaṇagaṇenāti attho. Saddhinti ekato.

    ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหีติ ปญฺจมตฺตา เอเตสนฺติ ปญฺจมตฺตานิฯ มตฺตาติ ปมาณํ วุจฺจติ, ตสฺมา ยถา ‘‘โภชเน มตฺตญฺญู’’ติ วุเตฺต ‘‘โภชเน มตฺตํ ชานาติ, ปมาณํ ชานาตี’’ติ อโตฺถ โหติ, เอวมิธาปิ – ‘‘เตสํ ภิกฺขุสตานํ ปญฺจมตฺตา ปญฺจปมาณ’’นฺติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ภิกฺขูนํ สตานิ ภิกฺขุสตานิ, เตหิ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิฯ

    Pañcamattehi bhikkhusatehīti pañcamattā etesanti pañcamattāni. Mattāti pamāṇaṃ vuccati, tasmā yathā ‘‘bhojane mattaññū’’ti vutte ‘‘bhojane mattaṃ jānāti, pamāṇaṃ jānātī’’ti attho hoti, evamidhāpi – ‘‘tesaṃ bhikkhusatānaṃ pañcamattā pañcapamāṇa’’nti evamattho daṭṭhabbo. Bhikkhūnaṃ satāni bhikkhusatāni, tehi pañcamattehi bhikkhusatehi.

    สุปฺปิโยปิ โข ปริพฺพาชโกติ สุปฺปิโยติ ตสฺส นามํฯ ปิ-กาโร มคฺคปฺปฎิปนฺนสภาคตาย ปุคฺคลสมฺปิณฺฑนโตฺถฯ โข-กาโร ปทสนฺธิกโร, พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาวเสน วุโตฺตฯ ปริพฺพาชโกติ สญฺชยสฺส อเนฺตวาสี ฉนฺนปริพฺพาชโกฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยทา ภควา ตํ อทฺธานมคฺคํ ปฎิปโนฺน, ตทา สุปฺปิโยปิ ปริพฺพาชโก ปฎิปโนฺน อโหสี’’ติฯ อตีตกาลโตฺถ เหตฺถ โหติ-สโทฺทฯ

    Suppiyopikho paribbājakoti suppiyoti tassa nāmaṃ. Pi-kāro maggappaṭipannasabhāgatāya puggalasampiṇḍanattho. Kho-kāro padasandhikaro, byañjanasiliṭṭhatāvasena vutto. Paribbājakoti sañjayassa antevāsī channaparibbājako. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yadā bhagavā taṃ addhānamaggaṃ paṭipanno, tadā suppiyopi paribbājako paṭipanno ahosī’’ti. Atītakālattho hettha hoti-saddo.

    สทฺธิํ อเนฺตวาสินา พฺรหฺมทเตฺตน มาณเวนาติ – เอตฺถ อเนฺต วสตีติ อเนฺตวาสีฯ สมีปจาโร สนฺติกาวจโร สิโสฺสติ อโตฺถฯ พฺรหฺมทโตฺตติ ตสฺส นามํฯ มาณโวติ สโตฺตปิ โจโรปิ ตรุโณปิ วุจฺจติฯ

    Saddhiṃ antevāsinā brahmadattena māṇavenāti – ettha ante vasatīti antevāsī. Samīpacāro santikāvacaro sissoti attho. Brahmadattoti tassa nāmaṃ. Māṇavoti sattopi coropi taruṇopi vuccati.

    ‘‘โจทิตา เทวทูเตหิ, เย ปมชฺชนฺติ มาณวา;

    ‘‘Coditā devadūtehi, ye pamajjanti māṇavā;

    เต ทีฆรตฺตํ โสจนฺติ, หีนกายูปคา นรา’’ติฯ (ม. นิ. ๓.๒๗๑) –

    Te dīgharattaṃ socanti, hīnakāyūpagā narā’’ti. (ma. ni. 3.271) –

    อาทีสุ หิ สโตฺต มาณโวติ วุโตฺตฯ ‘‘มาณเวหิปิ สมาคจฺฉนฺติ กตกเมฺมหิปิ อกตกเมฺมหิปี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๔๙) โจโรฯ ‘‘อมฺพโฎฺฐ มาณโว, องฺคโก มาณโว’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๓๑๖) ตรุโณ ‘มาณโว’ติ วุโตฺตฯ อิธาปิ อยเมวโตฺถฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – พฺรหฺมทเตฺตน นาม ตรุณเนฺตวาสินา สทฺธินฺติฯ

    Ādīsu hi satto māṇavoti vutto. ‘‘Māṇavehipi samāgacchanti katakammehipi akatakammehipī’’tiādīsu (ma. ni. 2.149) coro. ‘‘Ambaṭṭho māṇavo, aṅgako māṇavo’’tiādīsu (dī. ni. 1.316) taruṇo ‘māṇavo’ti vutto. Idhāpi ayamevattho. Idañhi vuttaṃ hoti – brahmadattena nāma taruṇantevāsinā saddhinti.

    ตตฺราติ ตสฺมิํ อทฺธานมเคฺค, เตสุ วา ทฺวีสุ ชเนสุฯ สุทนฺติ นิปาตมตฺตํฯ อเนกปริยาเยนาติ ปริยาย-สโทฺท ตาว วารเทสนาการเณสุ วตฺตติฯ ‘‘กสฺส นุ โข, อานนฺท, อชฺช ปริยาโย ภิกฺขุนิโย โอวทิตุ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๓๙๘) หิ วาเร ปริยายสโทฺท วตฺตติฯ ‘‘มธุปิณฺฑิกปริยาโยเตฺวว นํ ธาเรหี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๐๕) เทสนายํฯ ‘‘อิมินาปิ โข, เต ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตู’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๔๑๑) การเณฯ สฺวายมิธาปิ การเณ วตฺตติ, ตสฺมา อยเมตฺถ อโตฺถ – ‘‘อเนกวิเธน การเณนา’’ติ, ‘‘พหูหิ การเณหี’’ติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tatrāti tasmiṃ addhānamagge, tesu vā dvīsu janesu. Sudanti nipātamattaṃ. Anekapariyāyenāti pariyāya-saddo tāva vāradesanākāraṇesu vattati. ‘‘Kassa nu kho, ānanda, ajja pariyāyo bhikkhuniyo ovaditu’’ntiādīsu (ma. ni. 3.398) hi vāre pariyāyasaddo vattati. ‘‘Madhupiṇḍikapariyāyotveva naṃ dhārehī’’tiādīsu (ma. ni. 1.205) desanāyaṃ. ‘‘Imināpi kho, te rājañña, pariyāyena evaṃ hotū’’tiādīsu (dī. ni. 2.411) kāraṇe. Svāyamidhāpi kāraṇe vattati, tasmā ayamettha attho – ‘‘anekavidhena kāraṇenā’’ti, ‘‘bahūhi kāraṇehī’’ti vuttaṃ hoti.

    พุทฺธสฺส อวณฺณํ ภาสตีติ อวณฺณวิรหิตสฺส อปริมาณวณฺณสมนฺนาคตสฺสาปิ พุทฺธสฺส ภควโต – ‘‘ยํ โลเก ชาติวุเฑฺฒสุ กตฺตพฺพํ อภิวาทนาทิสามีจิกมฺมํ ‘สามคฺคิรโส’ติ วุจฺจติ, ตํ สมณสฺส โคตมสฺส นตฺถิ ตสฺมา อรสรูโป สมโณ โคตโม, นิโพฺภโค, อกิริยวาโท, อุเจฺฉทวาโท, เชคุจฺฉี, เวนยิโก, ตปสฺสี, อปคโพฺภฯ นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ, วีมํสานุจริตํ, สยํปฎิภานํฯ สมโณ โคตโม น สพฺพญฺญู, น โลกวิทู, น อนุตฺตโร, น อคฺคปุคฺคโล’’ติฯ เอวํ ตํ ตํ อการณเมว การณนฺติ วตฺวา ตถา ตถา อวณฺณํ โทสํ นินฺทํ ภาสติฯ

    Buddhassa avaṇṇaṃ bhāsatīti avaṇṇavirahitassa aparimāṇavaṇṇasamannāgatassāpi buddhassa bhagavato – ‘‘yaṃ loke jātivuḍḍhesu kattabbaṃ abhivādanādisāmīcikammaṃ ‘sāmaggiraso’ti vuccati, taṃ samaṇassa gotamassa natthi tasmā arasarūpo samaṇo gotamo, nibbhogo, akiriyavādo, ucchedavādo, jegucchī, venayiko, tapassī, apagabbho. Natthi samaṇassa gotamassa uttarimanussadhammo alamariyañāṇadassanaviseso. Takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti, vīmaṃsānucaritaṃ, sayaṃpaṭibhānaṃ. Samaṇo gotamo na sabbaññū, na lokavidū, na anuttaro, na aggapuggalo’’ti. Evaṃ taṃ taṃ akāraṇameva kāraṇanti vatvā tathā tathā avaṇṇaṃ dosaṃ nindaṃ bhāsati.

    ยถา จ พุทฺธสฺส, เอวํ ธมฺมสฺสาปิ ตํ ตํ อการณเมว การณโต วตฺวา – ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส ธโมฺม ทุรกฺขาโต, ทุปฺปฎิเวทิโต, อนิยฺยานิโก, อนุปสมสํวตฺตนิโก’’ติ ตถา ตถา อวณฺณํ ภาสติฯ

    Yathā ca buddhassa, evaṃ dhammassāpi taṃ taṃ akāraṇameva kāraṇato vatvā – ‘‘samaṇassa gotamassa dhammo durakkhāto, duppaṭivedito, aniyyāniko, anupasamasaṃvattaniko’’ti tathā tathā avaṇṇaṃ bhāsati.

    ยถา จ ธมฺมสฺส, เอวํ สงฺฆสฺสาปิ ยํ วา ตํ วา อการณเมว การณโต วตฺวา – ‘‘มิจฺฉาปฎิปโนฺน สมณสฺส โคตมสฺส สาวกสโงฺฆ, กุฎิลปฎิปโนฺน, ปจฺจนีกปฎิปทํ อนนุโลมปฎิปทํ อธมฺมานุโลมปฎิปทํ ปฎิปโนฺน’’ติ ตถา ตถา อวณฺณํ ภาสติฯ

    Yathā ca dhammassa, evaṃ saṅghassāpi yaṃ vā taṃ vā akāraṇameva kāraṇato vatvā – ‘‘micchāpaṭipanno samaṇassa gotamassa sāvakasaṅgho, kuṭilapaṭipanno, paccanīkapaṭipadaṃ ananulomapaṭipadaṃ adhammānulomapaṭipadaṃ paṭipanno’’ti tathā tathā avaṇṇaṃ bhāsati.

    อเนฺตวาสี ปนสฺส – ‘‘อมฺหากํ อาจริโย อปรามสิตพฺพํ ปรามสติ, อนกฺกมิตพฺพํ อกฺกมติ, สฺวายํ อคฺคิํ คิลโนฺต วิย, หเตฺถน อสิธารํ ปรามสโนฺต วิย, มุฎฺฐินา สิเนรุํ ปทาเลตุกาโม วิย, กกจทนฺตปนฺติยํ กีฬมาโน วิย, ปภินฺนมทํ จณฺฑหตฺถิํ หเตฺถน คณฺหโนฺต วิย จ วณฺณารหเสฺสว รตนตฺตยสฺส อวณฺณํ ภาสมาโน อนยพฺยสนํ ปาปุณิสฺสติฯ อาจริเย โข ปน คูถํ วา อคฺคิํ วา กณฺฎกํ วา กณฺหสปฺปํ วา อกฺกมเนฺต, สูลํ วา อภิรูหเนฺต, หลาหลํ วา วิสํ ขาทเนฺต, ขาโรทกํ วา ปกฺขลเนฺต, นรกปปาตํ วา ปปตเนฺต, น อเนฺตวาสินา ตํ สพฺพมนุกาตพฺพํ โหติฯ กมฺมสฺสกา หิ สตฺตา อตฺตโน กมฺมานุรูปเมว คติํ คจฺฉนฺติฯ เนว ปิตา ปุตฺตสฺส กเมฺมน คจฺฉติ, น ปุโตฺต ปิตุ กเมฺมน, น มาตา ปุตฺตสฺส, น ปุโตฺต มาตุยา, น ภาตา ภคินิยา, น ภคินี ภาตุ, น อาจริโย อเนฺตวาสิโน, น อเนฺตวาสี อาจริยสฺส กเมฺมน คจฺฉติฯ มยฺหญฺจ อาจริโย ติณฺณํ รตนานํ อวณฺณํ ภาสติ, มหาสาวโชฺช โข ปนาริยูปวาโทติฯ เอวํ โยนิโส อุมฺมุชฺชิตฺวา อาจริยวาทํ มทฺทมาโน สมฺมาการณเมว การณโต อปทิสโนฺต อเนกปริยาเยน ติณฺณํ รตนานํ วณฺณํ ภาสิตุมารโทฺธ, ยถา ตํ ปณฺฑิตชาติโก กุลปุโตฺต’’ฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สุปฺปิยสฺส ปน ปริพฺพาชกสฺส อเนฺตวาสี พฺรหฺมทโตฺต มาณโว อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส วณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส วณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติฯ

    Antevāsī panassa – ‘‘amhākaṃ ācariyo aparāmasitabbaṃ parāmasati, anakkamitabbaṃ akkamati, svāyaṃ aggiṃ gilanto viya, hatthena asidhāraṃ parāmasanto viya, muṭṭhinā sineruṃ padāletukāmo viya, kakacadantapantiyaṃ kīḷamāno viya, pabhinnamadaṃ caṇḍahatthiṃ hatthena gaṇhanto viya ca vaṇṇārahasseva ratanattayassa avaṇṇaṃ bhāsamāno anayabyasanaṃ pāpuṇissati. Ācariye kho pana gūthaṃ vā aggiṃ vā kaṇṭakaṃ vā kaṇhasappaṃ vā akkamante, sūlaṃ vā abhirūhante, halāhalaṃ vā visaṃ khādante, khārodakaṃ vā pakkhalante, narakapapātaṃ vā papatante, na antevāsinā taṃ sabbamanukātabbaṃ hoti. Kammassakā hi sattā attano kammānurūpameva gatiṃ gacchanti. Neva pitā puttassa kammena gacchati, na putto pitu kammena, na mātā puttassa, na putto mātuyā, na bhātā bhaginiyā, na bhaginī bhātu, na ācariyo antevāsino, na antevāsī ācariyassa kammena gacchati. Mayhañca ācariyo tiṇṇaṃ ratanānaṃ avaṇṇaṃ bhāsati, mahāsāvajjo kho panāriyūpavādoti. Evaṃ yoniso ummujjitvā ācariyavādaṃ maddamāno sammākāraṇameva kāraṇato apadisanto anekapariyāyena tiṇṇaṃ ratanānaṃ vaṇṇaṃ bhāsitumāraddho, yathā taṃ paṇḍitajātiko kulaputto’’. Tena vuttaṃ – ‘‘suppiyassa pana paribbājakassa antevāsī brahmadatto māṇavo anekapariyāyena buddhassa vaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa vaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’ti.

    ตตฺถ วณฺณนฺติ วณฺณ-สโทฺท สณฺฐาน-ชาติ-รูปายตน-การณ-ปมาณ-คุณ-ปสํสาทีสุ ทิสฺสติ ฯ ตตฺถ ‘‘มหนฺตํ สปฺปราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๔๒) สณฺฐานํ วุจฺจติฯ ‘‘พฺราหฺมโณว เสโฎฺฐ วโณฺณ, หีโน อโญฺญ วโณฺณ’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๔๐๒) ชาติฯ ‘‘ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๓๐๓) รูปายตนํฯ

    Tattha vaṇṇanti vaṇṇa-saddo saṇṭhāna-jāti-rūpāyatana-kāraṇa-pamāṇa-guṇa-pasaṃsādīsu dissati . Tattha ‘‘mahantaṃ sapparājavaṇṇaṃ abhinimminitvā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.142) saṇṭhānaṃ vuccati. ‘‘Brāhmaṇova seṭṭho vaṇṇo, hīno añño vaṇṇo’’tiādīsu (ma. ni. 2.402) jāti. ‘‘Paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgato’’tiādīsu (dī. ni. 1.303) rūpāyatanaṃ.

    ‘‘น หรามิ น ภญฺชามิ, อารา สิงฺฆามิ วาริชํ;

    ‘‘Na harāmi na bhañjāmi, ārā siṅghāmi vārijaṃ;

    อถ เกน นุ วเณฺณน, คนฺธเตฺถโนติ วุจฺจตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๓๔) –

    Atha kena nu vaṇṇena, gandhatthenoti vuccatī’’ti. (saṃ. ni. 1.234) –

    อาทีสุ การณํฯ ‘‘ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๖๐๒) ปมาณํฯ ‘‘กทา สญฺญูฬฺหา ปน, เต คหปติ, อิเม สมณสฺส โคตมสฺส วณฺณา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๗) คุโณฯ ‘‘วณฺณารหสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๒.๑๓๕) ปสํสาฯ อิธ คุโณปิ ปสํสาปิฯ อยํ กิร ตํ ตํ ภูตเมว การณํ อปทิสโนฺต อเนกปริยาเยน รตนตฺตยสฺส คุณูปสญฺหิตํ ปสํสํ อภาสิฯ ตตฺถ – ‘‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติอาทินา (ปารา. ๑) นเยน, ‘‘เย ภิกฺขเว, พุเทฺธ ปสนฺนา อเคฺค เต ปสนฺนา’’ติอาทินา ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ…เป.… อสโม อสมสโม’’ติอาทินา (อ. นิ. ๑.๑๗๔) จ นเยน พุทฺธสฺส วโณฺณ เวทิตโพฺพฯ ‘‘สฺวากฺขาโต ภควตา ธโมฺม’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๕๙) จ ‘‘อาลยสมุคฺฆาโต วฎฺฎุปเจฺฉโท’’ติ (อิติ. ๙๐, อ. นิ. ๔.๓๔) จ, ‘‘เย ภิกฺขเว, อริเย อฎฺฐงฺคิเก มเคฺค ปสนฺนา, อเคฺค เต ปสนฺนา’’ติ จ เอวมาทีหิ นเยหิ ธมฺมสฺส วโณฺณ เวทิตโพฺพฯ ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน ภควโต สาวกสโงฺฆ’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๕๙) จ, ‘‘เย, ภิกฺขเว, สเงฺฆ ปสนฺนา, อเคฺค เต ปสนฺนา’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔) จ เอวมาทีหิ ปน นเยหิ สงฺฆสฺส วโณฺณ เวทิตโพฺพฯ ปโหเนฺตน ปน ธมฺมกถิเกน ปญฺจนิกาเย นวงฺคํ สตฺถุสาสนํ จตุราสีติธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานิ โอคาหิตฺวา พุทฺธาทีนํ วโณฺณ ปกาเสตโพฺพฯ อิมสฺมิญฺหิ ฐาเน พุทฺธาทีนํ คุเณ ปกาเสโนฺต อติเตฺถน ปกฺขโนฺท ธมฺมกถิโกติ น สกฺกา วตฺตุํฯ อีทิเสสุ หิ ฐาเนสุ ธมฺมกถิกสฺส ถาโม เวทิตโพฺพฯ พฺรหฺมทโตฺต ปน มาณโว อนุสฺสวาทิมตฺตสมฺพนฺธิเตน อตฺตโน ถาเมน รตนตฺตยสฺส วณฺณํ ภาสติฯ

    Ādīsu kāraṇaṃ. ‘‘Tayo pattassa vaṇṇā’’tiādīsu (pārā. 602) pamāṇaṃ. ‘‘Kadā saññūḷhā pana, te gahapati, ime samaṇassa gotamassa vaṇṇā’’tiādīsu (ma. ni. 2.77) guṇo. ‘‘Vaṇṇārahassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’tiādīsu (a. ni. 2.135) pasaṃsā. Idha guṇopi pasaṃsāpi. Ayaṃ kira taṃ taṃ bhūtameva kāraṇaṃ apadisanto anekapariyāyena ratanattayassa guṇūpasañhitaṃ pasaṃsaṃ abhāsi. Tattha – ‘‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho’’tiādinā (pārā. 1) nayena, ‘‘ye bhikkhave, buddhe pasannā agge te pasannā’’tiādinā ‘‘ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati…pe… asamo asamasamo’’tiādinā (a. ni. 1.174) ca nayena buddhassa vaṇṇo veditabbo. ‘‘Svākkhāto bhagavatā dhammo’’ti (dī. ni. 2.159) ca ‘‘ālayasamugghāto vaṭṭupacchedo’’ti (iti. 90, a. ni. 4.34) ca, ‘‘ye bhikkhave, ariye aṭṭhaṅgike magge pasannā, agge te pasannā’’ti ca evamādīhi nayehi dhammassa vaṇṇo veditabbo. ‘‘Suppaṭipanno bhagavato sāvakasaṅgho’’ti (dī. ni. 2.159) ca, ‘‘ye, bhikkhave, saṅghe pasannā, agge te pasannā’’ti (a. ni. 4.34) ca evamādīhi pana nayehi saṅghassa vaṇṇo veditabbo. Pahontena pana dhammakathikena pañcanikāye navaṅgaṃ satthusāsanaṃ caturāsītidhammakkhandhasahassāni ogāhitvā buddhādīnaṃ vaṇṇo pakāsetabbo. Imasmiñhi ṭhāne buddhādīnaṃ guṇe pakāsento atitthena pakkhando dhammakathikoti na sakkā vattuṃ. Īdisesu hi ṭhānesu dhammakathikassa thāmo veditabbo. Brahmadatto pana māṇavo anussavādimattasambandhitena attano thāmena ratanattayassa vaṇṇaṃ bhāsati.

    อิติห เต อุโภ อาจริยเนฺตวาสีติ เอวํ เต เทฺว อาจริยเนฺตวาสิกาฯ อญฺญมญฺญสฺสาติ อโญฺญ อญฺญสฺสฯ อุชุวิปจฺจนีกวาทาติ อีสกมฺปิ อปริหริตฺวา อุชุเมว วิวิธปจฺจนีกวาทา, อเนกวารํ วิรุทฺธวาทา เอว หุตฺวาติ อโตฺถฯ อาจริเยน หิ รตนตฺตยสฺส อวเณฺณ ภาสิเต อเนฺตวาสี วณฺณํ ภาสติ, ปุน อิตโร อวณฺณํ, อิตโร วณฺณนฺติ เอวํ อาจริโย สารผลเก วิสรุกฺขอาณิํ อาโกฎยมาโน วิย ปุนปฺปุนํ รตนตฺตยสฺส อวณฺณํ ภาสติฯ อเนฺตวาสี ปน สุวณฺณรชตมณิมยาย อาณิยา ตํ อาณิํ ปฎิพาหยมาโน วิย ปุนปฺปุนํ รตนตฺตยสฺส วณฺณํ ภาสติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อุชุวิปจฺจนีกวาทา’’ติฯ

    Itiha te ubho ācariyantevāsīti evaṃ te dve ācariyantevāsikā. Aññamaññassāti añño aññassa. Ujuvipaccanīkavādāti īsakampi apariharitvā ujumeva vividhapaccanīkavādā, anekavāraṃ viruddhavādā eva hutvāti attho. Ācariyena hi ratanattayassa avaṇṇe bhāsite antevāsī vaṇṇaṃ bhāsati, puna itaro avaṇṇaṃ, itaro vaṇṇanti evaṃ ācariyo sāraphalake visarukkhaāṇiṃ ākoṭayamāno viya punappunaṃ ratanattayassa avaṇṇaṃ bhāsati. Antevāsī pana suvaṇṇarajatamaṇimayāya āṇiyā taṃ āṇiṃ paṭibāhayamāno viya punappunaṃ ratanattayassa vaṇṇaṃ bhāsati. Tena vuttaṃ – ‘‘ujuvipaccanīkavādā’’ti.

    ภควนฺตํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธา โหนฺติ ภิกฺขุสงฺฆญฺจาติ ภควนฺตญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ ปจฺฉโต ปจฺฉโต ทสฺสนํ อวิชหนฺตา อิริยาปถานุพนฺธเนน อนุพนฺธา โหนฺติ, สีสานุโลกิโน หุตฺวา อนุคตา โหนฺตีติ อโตฺถฯ

    Bhagavantaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandhā honti bhikkhusaṅghañcāti bhagavantañca bhikkhusaṅghañca pacchato pacchato dassanaṃ avijahantā iriyāpathānubandhanena anubandhā honti, sīsānulokino hutvā anugatā hontīti attho.

    กสฺมา ปน ภควา ตํ อทฺธานํ ปฎิปโนฺน? กสฺมา จ สุปฺปิโย อนุพโนฺธ? กสฺมา จ โส รตนตฺตยสฺส อวณฺณํ ภาสตีติ? ภควา ตาว ตสฺมิํ กาเล ราชคหปริวตฺตเกสุ อฎฺฐารสสุ มหาวิหาเรสุ อญฺญตรสฺมิํ วสิตฺวา ปาโตว สรีรปฺปฎิชคฺคนํ กตฺวา ภิกฺขาจารเวลายํ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ราชคเห ปิณฺฑาย จรติฯ โส ตํ ทิวสํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส สุลภปิณฺฑปาตํ กตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ภิกฺขุสงฺฆํ ปตฺตจีวรํ คาหาเปตฺวา – ‘‘นาฬนฺทํ คมิสฺสามี’’ติ, ราชคหโต นิกฺขมิตฺวา ตํ อทฺธานํ ปฎิปโนฺนฯ สุปฺปิโยปิ โข ตสฺมิํ กาเล ราชคหปริวตฺตเก อญฺญตรสฺมิํ ปริพฺพาชการาเม วสิตฺวา ปริพฺพาชกปริวุโต ราชคเห ภิกฺขาย จรติฯ โสปิ ตํ ทิวสํ ปริพฺพาชกปริสาย สุลภภิกฺขํ กตฺวา ภุตฺตปาตราโส ปริพฺพาชเก ปริพฺพาชกปริกฺขารํ คาหาเปตฺวา – นาฬนฺทํ คมิสฺสามิเจฺจว ภควโต ตํ มคฺคํ ปฎิปนฺนภาวํ อชานโนฺตว อนุพโนฺธฯ สเจ ปน ชาเนยฺย นานุพเนฺธยฺยฯ โส อชานิตฺวาว คจฺฉโนฺต คีวํ อุกฺขิปิตฺวา โอโลกยมาโน ภควนฺตํ อทฺทส พุทฺธสิริยา โสภมานํ รตฺตกมฺพลปริกฺขิตฺตมิว ชงฺคมกนกคิริสิขรํฯ

    Kasmā pana bhagavā taṃ addhānaṃ paṭipanno? Kasmā ca suppiyo anubandho? Kasmā ca so ratanattayassa avaṇṇaṃ bhāsatīti? Bhagavā tāva tasmiṃ kāle rājagahaparivattakesu aṭṭhārasasu mahāvihāresu aññatarasmiṃ vasitvā pātova sarīrappaṭijagganaṃ katvā bhikkhācāravelāyaṃ bhikkhusaṅghaparivuto rājagahe piṇḍāya carati. So taṃ divasaṃ bhikkhusaṅghassa sulabhapiṇḍapātaṃ katvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto bhikkhusaṅghaṃ pattacīvaraṃ gāhāpetvā – ‘‘nāḷandaṃ gamissāmī’’ti, rājagahato nikkhamitvā taṃ addhānaṃ paṭipanno. Suppiyopi kho tasmiṃ kāle rājagahaparivattake aññatarasmiṃ paribbājakārāme vasitvā paribbājakaparivuto rājagahe bhikkhāya carati. Sopi taṃ divasaṃ paribbājakaparisāya sulabhabhikkhaṃ katvā bhuttapātarāso paribbājake paribbājakaparikkhāraṃ gāhāpetvā – nāḷandaṃ gamissāmicceva bhagavato taṃ maggaṃ paṭipannabhāvaṃ ajānantova anubandho. Sace pana jāneyya nānubandheyya. So ajānitvāva gacchanto gīvaṃ ukkhipitvā olokayamāno bhagavantaṃ addasa buddhasiriyā sobhamānaṃ rattakambalaparikkhittamiva jaṅgamakanakagirisikharaṃ.

    ตสฺมิํ กิร สมเย ทสพลสฺส สรีรโต นิกฺขมิตฺวา ฉพฺพณฺณรสฺมิโย สมนฺตา อสีติหตฺถปฺปมาเณ ปเทเส อาธาวนฺติ วิธาวนฺติ รตนาเวฬรตนทามรตนจุณฺณวิปฺปกิณฺณํ วิย, ปสาริตรตนจิตฺตกญฺจนปฎมิว, รตฺตสุวณฺณรสนิสิญฺจมานมิว, อุกฺกาสตนิปาตสมากุลมิว, นิรนฺตรวิปฺปกิณฺณกณิการปุปฺผมิว วายุเวคกฺขิตฺตจีนปิฎฺฐจุณฺณมิว, อินฺทธนุวิชฺชุลตาตาราคณปฺปภาวิสรวิปฺผุริตวิจฺฉริตมิว จ ตํ วนนฺตรํ โหติฯ

    Tasmiṃ kira samaye dasabalassa sarīrato nikkhamitvā chabbaṇṇarasmiyo samantā asītihatthappamāṇe padese ādhāvanti vidhāvanti ratanāveḷaratanadāmaratanacuṇṇavippakiṇṇaṃ viya, pasāritaratanacittakañcanapaṭamiva, rattasuvaṇṇarasanisiñcamānamiva, ukkāsatanipātasamākulamiva, nirantaravippakiṇṇakaṇikārapupphamiva vāyuvegakkhittacīnapiṭṭhacuṇṇamiva, indadhanuvijjulatātārāgaṇappabhāvisaravipphuritaviccharitamiva ca taṃ vanantaraṃ hoti.

    อสีติ อนุพฺยญฺชนานุรญฺชิตญฺจ ปน ภควโต สรีรํ วิกสิตกมลุปฺปลมิว, สรํ สพฺพปาลิผุลฺลมิว ปาริจฺฉตฺตกํ, ตารามรีจิวิกสิตมิว, คคนตลํ สิริยา อวหสนฺตมิว, พฺยามปฺปภาปริเกฺขปวิลาสินี จสฺส ทฺวตฺติํสวรลกฺขณมาลา คเนฺถตฺวา ฐปิตทฺวตฺติํสจนฺทมาลาย ทฺวตฺติํสสูริยมาลาย ปฎิปาฎิยา ฐปิตทฺวตฺติํสจกฺกวตฺติทฺวตฺติํสสกฺกเทวราชทฺวตฺติํสมหาพฺรหฺมานํ สิริํ สิริยา อภิภวนฺติมิวฯ ตญฺจ ปน ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา ฐิตา ภิกฺขู สเพฺพว อปฺปิจฺฉา สนฺตุฎฺฐา ปวิวิตฺตา อสํสฎฺฐา โจทกา ปาปครหิโน วตฺตาโร วจนกฺขมา สีลสมฺปนฺนา สมาธิปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญฺญาณทสฺสนสมฺปนฺนาฯ เตสํ มเชฺฌ ภควา รตฺตกมฺพลปาการปริกฺขิโตฺต วิย กญฺจนถโมฺภ, รตฺตปทุมสณฺฑมชฺฌคตา วิย สุวณฺณนาวา, ปวาฬเวทิกาปริกฺขิโตฺต วิย อคฺคิกฺขโนฺธ, ตาราคณปริวาริโต วิย ปุณฺณจโนฺท มิคปกฺขีนมฺปิ จกฺขูนิ ปีณยติ, ปเคว เทวมนุสฺสานํฯ ตสฺมิญฺจ ปน ทิวเส เยภุเยฺยน อสีติมหาเถรา เมฆวณฺณํ ปํสุกูลํ เอกํสํ กริตฺวา กตฺตรทณฺฑํ อาทาย สุวมฺมวมฺมิตา วิย คนฺธหตฺถิโน วิคตโทสา วนฺตโทสา ภินฺนกิเลสา วิชฎิตชฎา ฉินฺนพนฺธนา ภควนฺตํ ปริวารยิํสุฯ โส สยํ วีตราโค วีตราเคหิ, สยํ วีตโทโส วีตโทเสหิ, สยํ วีตโมโห วีตโมเหหิ, สยํ วีตตโณฺห วีตตเณฺหหิ, สยํ นิกฺกิเลโส นิกฺกิเลเสหิ, สยํ พุโทฺธ อนุพุเทฺธหิ ปริวาริโต; ปตฺตปริวาริตํ วิย เกสรํ, เกสรปริวาริตา วิย กณฺณิกา, อฎฺฐนาคสหสฺสปริวาริโต วิย ฉทฺทโนฺต นาคราชา, นวุติหํสสหสฺสปริวาริโต วิย ธตรโฎฺฐ หํสราชา, เสนงฺคปริวาริโต วิย จกฺกวตฺติราชา, เทวคณปริวาริโต วิย สโกฺก เทวราชา, พฺรหฺมคณปริวาริโต วิย หาริโต มหาพฺรหฺมา, อปริมิตกาลสญฺจิตปุญฺญพลนิพฺพตฺตาย อจิเนฺตยฺยาย อโนปมาย พุทฺธลีลาย จโนฺท วิย คคนตลํ ตํ มคฺคํ ปฎิปโนฺน โหติฯ

    Asīti anubyañjanānurañjitañca pana bhagavato sarīraṃ vikasitakamaluppalamiva, saraṃ sabbapāliphullamiva pāricchattakaṃ, tārāmarīcivikasitamiva, gaganatalaṃ siriyā avahasantamiva, byāmappabhāparikkhepavilāsinī cassa dvattiṃsavaralakkhaṇamālā ganthetvā ṭhapitadvattiṃsacandamālāya dvattiṃsasūriyamālāya paṭipāṭiyā ṭhapitadvattiṃsacakkavattidvattiṃsasakkadevarājadvattiṃsamahābrahmānaṃ siriṃ siriyā abhibhavantimiva. Tañca pana bhagavantaṃ parivāretvā ṭhitā bhikkhū sabbeva appicchā santuṭṭhā pavivittā asaṃsaṭṭhā codakā pāpagarahino vattāro vacanakkhamā sīlasampannā samādhipaññāvimuttivimuttiññāṇadassanasampannā. Tesaṃ majjhe bhagavā rattakambalapākāraparikkhitto viya kañcanathambho, rattapadumasaṇḍamajjhagatā viya suvaṇṇanāvā, pavāḷavedikāparikkhitto viya aggikkhandho, tārāgaṇaparivārito viya puṇṇacando migapakkhīnampi cakkhūni pīṇayati, pageva devamanussānaṃ. Tasmiñca pana divase yebhuyyena asītimahātherā meghavaṇṇaṃ paṃsukūlaṃ ekaṃsaṃ karitvā kattaradaṇḍaṃ ādāya suvammavammitā viya gandhahatthino vigatadosā vantadosā bhinnakilesā vijaṭitajaṭā chinnabandhanā bhagavantaṃ parivārayiṃsu. So sayaṃ vītarāgo vītarāgehi, sayaṃ vītadoso vītadosehi, sayaṃ vītamoho vītamohehi, sayaṃ vītataṇho vītataṇhehi, sayaṃ nikkileso nikkilesehi, sayaṃ buddho anubuddhehi parivārito; pattaparivāritaṃ viya kesaraṃ, kesaraparivāritā viya kaṇṇikā, aṭṭhanāgasahassaparivārito viya chaddanto nāgarājā, navutihaṃsasahassaparivārito viya dhataraṭṭho haṃsarājā, senaṅgaparivārito viya cakkavattirājā, devagaṇaparivārito viya sakko devarājā, brahmagaṇaparivārito viya hārito mahābrahmā, aparimitakālasañcitapuññabalanibbattāya acinteyyāya anopamāya buddhalīlāya cando viya gaganatalaṃ taṃ maggaṃ paṭipanno hoti.

    อเถวํ ภควนฺตํ อโนปมาย พุทฺธลีลาย คจฺฉนฺตํ ภิกฺขู จ โอกฺขิตฺตจกฺขู สนฺตินฺทฺริเย สนฺตมานเส อุปรินเภ ฐิตํ ปุณฺณจนฺทํ วิย ภควนฺตํเยว นมสฺสมาเน ทิสฺวาว ปริพฺพาชโก อตฺตโน ปริสํ อวโลเกสิฯ สา โหติ กาชทณฺฑเก โอลเมฺพตฺวา คหิโตลุคฺควิลุคฺคปิฎฺฐกติทณฺฑโมรปิญฺฉมตฺติกาปตฺตปสิพฺพกกุณฺฑิกาทิอเนกปริกฺขารภารภริตา ฯ ‘‘อสุกสฺส หตฺถา โสภณา, อสุกสฺส ปาทา’’ติ เอวมาทินิรตฺถกวจนา มุขรา วิกิณฺณวาจา อทสฺสนียา อปาสาทิกาฯ ตสฺส ตํ ทิสฺวา วิปฺปฎิสาโร อุทปาทิฯ

    Athevaṃ bhagavantaṃ anopamāya buddhalīlāya gacchantaṃ bhikkhū ca okkhittacakkhū santindriye santamānase uparinabhe ṭhitaṃ puṇṇacandaṃ viya bhagavantaṃyeva namassamāne disvāva paribbājako attano parisaṃ avalokesi. Sā hoti kājadaṇḍake olambetvā gahitoluggaviluggapiṭṭhakatidaṇḍamorapiñchamattikāpattapasibbakakuṇḍikādianekaparikkhārabhārabharitā . ‘‘Asukassa hatthā sobhaṇā, asukassa pādā’’ti evamādiniratthakavacanā mukharā vikiṇṇavācā adassanīyā apāsādikā. Tassa taṃ disvā vippaṭisāro udapādi.

    อิทานิ เตน ภควโต วโณฺณ วตฺตโพฺพ ภเวยฺยฯ ยสฺมา ปเนส ลาภสกฺการหานิยา เจว ปกฺขหานิยา จ นิจฺจมฺปิ ภควนฺตํ อุสูยติฯ อญฺญติตฺถิยานญฺหิ ยาว พุโทฺธ โลเก นุปฺปชฺชติ, ตาวเทว ลาภสกฺการา นิพฺพตฺตนฺติ, พุทฺธุปฺปาทโต ปน ปฎฺฐาย ปริหีนลาภสกฺการา โหนฺติ , สูริยุคฺคมเน ขโชฺชปนกา วิย นิสฺสิรีกตํ อาปชฺชนฺติฯ อุปติสฺสโกลิตานญฺจ สญฺชยสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตกาเลเยว ปริพฺพาชกา มหาปริสา อเหสุํ, เตสุ ปน ปกฺกเนฺตสุ สาปิ เตสํ ปริสา ภินฺนาฯ อิติ อิเมหิ ทฺวีหิ การเณหิ อยํ ปริพฺพาชโก ยสฺมา นิจฺจมฺปิ ภควนฺตํ อุสูยติ, ตสฺมา ตํ อุสูยวิสุคฺคารํ อุคฺคิรโนฺต รตนตฺตยสฺส อวณฺณเมว ภาสตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Idāni tena bhagavato vaṇṇo vattabbo bhaveyya. Yasmā panesa lābhasakkārahāniyā ceva pakkhahāniyā ca niccampi bhagavantaṃ usūyati. Aññatitthiyānañhi yāva buddho loke nuppajjati, tāvadeva lābhasakkārā nibbattanti, buddhuppādato pana paṭṭhāya parihīnalābhasakkārā honti , sūriyuggamane khajjopanakā viya nissirīkataṃ āpajjanti. Upatissakolitānañca sañjayassa santike pabbajitakāleyeva paribbājakā mahāparisā ahesuṃ, tesu pana pakkantesu sāpi tesaṃ parisā bhinnā. Iti imehi dvīhi kāraṇehi ayaṃ paribbājako yasmā niccampi bhagavantaṃ usūyati, tasmā taṃ usūyavisuggāraṃ uggiranto ratanattayassa avaṇṇameva bhāsatīti veditabbo.

    . อถ โข ภควา อมฺพลฎฺฐิกายํ ราชาคารเก เอกรตฺติวาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนาติ ภควา ตาย พุทฺธลีลาย คจฺฉมาโน อนุปุเพฺพน อมฺพลฎฺฐิกาทฺวารํ ปาปุณิตฺวา สูริยํ โอโลเกตฺวา – ‘‘อกาโล ทานิ คนฺตุํ, อตฺถสมีปํ คโต สูริโย’’ติ อมฺพลฎฺฐิกายํ ราชาคารเก เอกรตฺติวาสํ อุปคจฺฉิฯ

    2.Atha kho bhagavā ambalaṭṭhikāyaṃ rājāgārake ekarattivāsaṃ upagacchi saddhiṃ bhikkhusaṅghenāti bhagavā tāya buddhalīlāya gacchamāno anupubbena ambalaṭṭhikādvāraṃ pāpuṇitvā sūriyaṃ oloketvā – ‘‘akālo dāni gantuṃ, atthasamīpaṃ gato sūriyo’’ti ambalaṭṭhikāyaṃ rājāgārake ekarattivāsaṃ upagacchi.

    ตตฺถ อมฺพลฎฺฐิกาติ รโญฺญ อุยฺยานํฯ ตสฺส กิร ทฺวารสมีเป ตรุณอมฺพรุโกฺข อตฺถิ, ตํ ‘‘อมฺพลฎฺฐิกา’’ติ วทนฺติฯ ตสฺส อวิทูเร ภวตฺตา อุยฺยานมฺปิ อมฺพลฎฺฐิกา เตฺวว สงฺขฺยํ คตํฯ ตํ ฉายูทกสมฺปนฺนํ ปาการปริกฺขิตฺตํ สุโยชิตทฺวารํ มญฺชุสา วิย สุคุตฺตํฯ ตตฺถ รโญฺญ กีฬนตฺถํ ปฎิภานจิตฺตวิจิตฺตํ อคารํ อกํสุฯ ตํ ‘‘ราชาคารก’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Tattha ambalaṭṭhikāti rañño uyyānaṃ. Tassa kira dvārasamīpe taruṇaambarukkho atthi, taṃ ‘‘ambalaṭṭhikā’’ti vadanti. Tassa avidūre bhavattā uyyānampi ambalaṭṭhikā tveva saṅkhyaṃ gataṃ. Taṃ chāyūdakasampannaṃ pākāraparikkhittaṃ suyojitadvāraṃ mañjusā viya suguttaṃ. Tattha rañño kīḷanatthaṃ paṭibhānacittavicittaṃ agāraṃ akaṃsu. Taṃ ‘‘rājāgāraka’’nti vuccati.

    สุปฺปิโยปิ โขติ สุปฺปิโยปิ ตสฺมิํ ฐาเน สูริยํ โอโลเกตฺวา – ‘‘อกาโล ทานิ คนฺตุํ, พหู ขุทฺทกมหลฺลกา ปริพฺพาชกา, พหุปริสฺสโย จ อยํ มโคฺค โจเรหิปิ วาฬยเกฺขหิปิ วาฬมิเคหิปิฯ อยํ โข ปน สมโณ โคตโม อุยฺยานํ ปวิโฎฺฐ, สมณสฺส จ โคตมสฺส วสนฎฺฐาเน เทวตา อารกฺขํ คณฺหนฺติ, หนฺทาหมฺปิ อิธ เอกรตฺติวาสํ อุปคนฺตฺวา เสฺวว คมิสฺสามี’’ติ ตเทวุยฺยานํ ปาวิสิฯ ตโต ภิกฺขุสโงฺฆ ภควโต วตฺตํ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานํ สลฺลเกฺขสิฯ ปริพฺพาชโกปิ อุยฺยานสฺส เอกปเสฺส ปริพฺพาชกปริกฺขาเร โอตาเรตฺวา วาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธิํ อตฺตโน ปริสายฯ ปาฬิยมารูฬฺหวเสเนว ปน – ‘‘สทฺธิํ อตฺตโน อเนฺตวาสินา พฺรหฺมทเตฺตน มาณเวนา’’ติ วุตฺตํฯ

    Suppiyopi khoti suppiyopi tasmiṃ ṭhāne sūriyaṃ oloketvā – ‘‘akālo dāni gantuṃ, bahū khuddakamahallakā paribbājakā, bahuparissayo ca ayaṃ maggo corehipi vāḷayakkhehipi vāḷamigehipi. Ayaṃ kho pana samaṇo gotamo uyyānaṃ paviṭṭho, samaṇassa ca gotamassa vasanaṭṭhāne devatā ārakkhaṃ gaṇhanti, handāhampi idha ekarattivāsaṃ upagantvā sveva gamissāmī’’ti tadevuyyānaṃ pāvisi. Tato bhikkhusaṅgho bhagavato vattaṃ dassetvā attano attano vasanaṭṭhānaṃ sallakkhesi. Paribbājakopi uyyānassa ekapasse paribbājakaparikkhāre otāretvā vāsaṃ upagacchi saddhiṃ attano parisāya. Pāḷiyamārūḷhavaseneva pana – ‘‘saddhiṃ attano antevāsinā brahmadattena māṇavenā’’ti vuttaṃ.

    เอวํ วาสํ อุปคโต ปน โส ปริพฺพาชโก รตฺติภาเค ทสพลํ โอโลเกสิฯ ตสฺมิญฺจ สมเย สมนฺตา วิปฺปกิณฺณตารกา วิย ปทีปา ชลนฺติ, มเชฺฌ ภควา นิสิโนฺน โหติ, ภิกฺขุสโงฺฆ จ ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวาฯ ตตฺถ เอกภิกฺขุสฺสปิ หตฺถกุกฺกุจฺจํ วา ปาทกุกฺกุจฺจํ วา อุกฺกาสิตสโทฺท วา ขิปิตสโทฺท วา นตฺถิฯ สา หิ ปริสา อตฺตโน จ สิกฺขิตสิกฺขตาย สตฺถริ จ คารเวนาติ ทฺวีหิ การเณหิ นิวาเต ปทีปสิขา วิย นิจฺจลา สนฺนิสินฺนาว อโหสิฯ ปริพฺพาชโก ตํ วิภูติํ ทิสฺวา อตฺตโน ปริสํ โอโลเกสิฯ ตตฺถ เกจิ หตฺถํ ขิปนฺติ, เกจิ ปาทํ, เกจิ วิปฺปลปนฺติ, เกจิ นิลฺลาลิตชิวฺหา ปคฺฆริตเขฬา, ทเนฺต ขาทนฺตา กากจฺฉมานา ฆรุฆรุปสฺสาสิโน สยนฺติฯ โส รตนตฺตยสฺส คุณวเณฺณ วตฺตเพฺพปิ อิสฺสาวเสน ปุน อวณฺณเมว อารภิฯ พฺรหฺมทโตฺต ปน วุตฺตนเยเนว วณฺณํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ตตฺราปิ สุทํ สุปฺปิโย ปริพฺพาชโก’’ติ สพฺพํ วตฺตพฺพํฯ ตตฺถ ตตฺราปีติ ตสฺมิมฺปิ, อมฺพลฎฺฐิกายํ อุยฺยาเนติ อโตฺถฯ

    Evaṃ vāsaṃ upagato pana so paribbājako rattibhāge dasabalaṃ olokesi. Tasmiñca samaye samantā vippakiṇṇatārakā viya padīpā jalanti, majjhe bhagavā nisinno hoti, bhikkhusaṅgho ca bhagavantaṃ parivāretvā. Tattha ekabhikkhussapi hatthakukkuccaṃ vā pādakukkuccaṃ vā ukkāsitasaddo vā khipitasaddo vā natthi. Sā hi parisā attano ca sikkhitasikkhatāya satthari ca gāravenāti dvīhi kāraṇehi nivāte padīpasikhā viya niccalā sannisinnāva ahosi. Paribbājako taṃ vibhūtiṃ disvā attano parisaṃ olokesi. Tattha keci hatthaṃ khipanti, keci pādaṃ, keci vippalapanti, keci nillālitajivhā paggharitakheḷā, dante khādantā kākacchamānā gharugharupassāsino sayanti. So ratanattayassa guṇavaṇṇe vattabbepi issāvasena puna avaṇṇameva ārabhi. Brahmadatto pana vuttanayeneva vaṇṇaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘tatrāpi sudaṃ suppiyo paribbājako’’ti sabbaṃ vattabbaṃ. Tattha tatrāpīti tasmimpi, ambalaṭṭhikāyaṃ uyyāneti attho.

    . สมฺพหุลานนฺติ พหุกานํฯ ตตฺถ วินยปริยาเยน ตโย ชนา ‘‘สมฺพหุลา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตโต ปรํ สโงฺฆฯ สุตฺตนฺตปริยาเยน ปน ตโย ตโยว ตโต ปฎฺฐาย สมฺพหุลาฯ อิธ สุตฺตนฺตปริยาเยน ‘‘สมฺพหุลา’’ติ เวทิตพฺพาฯ มณฺฑลมาเฬติ กตฺถจิ เทฺว กณฺณิกา คเหตฺวา หํสวฎฺฎกจฺฉเนฺนน กตา กูฎาคารสาลาปิ ‘‘มณฺฑลมาโฬ’’ติ วุจฺจติ, กตฺถจิ เอกํ กณฺณิกํ คเหตฺวา ถมฺภปนฺติํ ปริกฺขิปิตฺวา กตา อุปฎฺฐานสาลาปิ ‘‘มณฺฑลมาโฬ’’ติ วุจฺจติฯ อิธ ปน นิสีทนสาลา ‘‘มณฺฑลมาโฬ’’ติ เวทิตโพฺพฯ สนฺนิสินฺนานนฺติ นิสชฺชนวเสนฯ สนฺนิปติตานนฺติ สโมธานวเสนฯ อยํ สงฺขิยธโมฺมติ สงฺขิยา วุจฺจติ กถา , กถาธโมฺมติ อโตฺถฯ อุทปาทีติ อุปฺปโนฺนฯ กตโม ปน โสติ? อจฺฉริยํ อาวุโสติ เอวมาทิฯ ตตฺถ อนฺธสฺส ปพฺพตาโรหณํ วิย นิจฺจํ น โหตีติ อจฺฉริยํฯ อยํ ตาว สทฺทนโยฯ อยํ ปน อฎฺฐกถานโย – อจฺฉราโยคฺคนฺติ อจฺฉริยํฯ อจฺฉรํ ปหริตุํ ยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อภูตปุพฺพํ ภูตนฺติ อพฺภุตํฯ อุภยํ เปตํ วิมฺหยเสฺสวาธิวจนํฯ ยาวญฺจิทนฺติ ยาว จ อิทํ เตน สุปฺปฎิวิทิตตาย อปฺปเมยฺยตฺตํ ทเสฺสติฯ

    3.Sambahulānanti bahukānaṃ. Tattha vinayapariyāyena tayo janā ‘‘sambahulā’’ti vuccanti. Tato paraṃ saṅgho. Suttantapariyāyena pana tayo tayova tato paṭṭhāya sambahulā. Idha suttantapariyāyena ‘‘sambahulā’’ti veditabbā. Maṇḍalamāḷeti katthaci dve kaṇṇikā gahetvā haṃsavaṭṭakacchannena katā kūṭāgārasālāpi ‘‘maṇḍalamāḷo’’ti vuccati, katthaci ekaṃ kaṇṇikaṃ gahetvā thambhapantiṃ parikkhipitvā katā upaṭṭhānasālāpi ‘‘maṇḍalamāḷo’’ti vuccati. Idha pana nisīdanasālā ‘‘maṇḍalamāḷo’’ti veditabbo. Sannisinnānanti nisajjanavasena. Sannipatitānanti samodhānavasena. Ayaṃ saṅkhiyadhammoti saṅkhiyā vuccati kathā , kathādhammoti attho. Udapādīti uppanno. Katamo pana soti? Acchariyaṃ āvusoti evamādi. Tattha andhassa pabbatārohaṇaṃ viya niccaṃ na hotīti acchariyaṃ. Ayaṃ tāva saddanayo. Ayaṃ pana aṭṭhakathānayo – accharāyogganti acchariyaṃ. Accharaṃ paharituṃ yuttanti attho. Abhūtapubbaṃ bhūtanti abbhutaṃ. Ubhayaṃ petaṃ vimhayassevādhivacanaṃ. Yāvañcidanti yāva ca idaṃ tena suppaṭividitatāya appameyyattaṃ dasseti.

    เตน ภควตา ชานตา…เป.… สุปฺปฎิวิทิตาติ เอตฺถายํ สเงฺขปโตฺถฯ โย โส ภควา สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพกิเลเส ภญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, เตน ภควตา เตสํ เตสํ สตฺตานํ อาสยานุสยํ ชานตา, หตฺถตเล ฐปิตํ อามลกํ วิย สพฺพเญยฺยธมฺมํ ปสฺสตา

    Tena bhagavatā jānatā…pe… suppaṭividitāti etthāyaṃ saṅkhepattho. Yo so bhagavā samatiṃsa pāramiyo pūretvā sabbakilese bhañjitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho, tena bhagavatā tesaṃ tesaṃ sattānaṃ āsayānusayaṃ jānatā, hatthatale ṭhapitaṃ āmalakaṃ viya sabbañeyyadhammaṃ passatā.

    อปิ จ ปุเพฺพนิวาสาทีหิ ชานตา, ทิเพฺพน จกฺขุนา ปสฺสตาฯ ตีหิ วิชฺชาหิ ฉหิ วา ปน อภิญฺญาหิ ชานตา, สพฺพตฺถ อปฺปฎิหเตน สมนฺตจกฺขุนา ปสฺสตาฯ สพฺพธมฺมชานนสมตฺถาย วา ปญฺญาย ชานตา, สพฺพสตฺตานํ จกฺขุวิสยาตีตานิ ติโรกุฎฺฎาทิคตานิปิ รูปานิ อติวิสุเทฺธน มํสจกฺขุนา ปสฺสตาฯ อตฺตหิตสาธิกาย วา สมาธิปทฎฺฐานาย ปฎิเวธปญฺญาย ชานตา, ปรหิตสาธิกาย กรุณาปทฎฺฐานาย เทสนาปญฺญาย ปสฺสตาฯ

    Api ca pubbenivāsādīhi jānatā, dibbena cakkhunā passatā. Tīhi vijjāhi chahi vā pana abhiññāhi jānatā, sabbattha appaṭihatena samantacakkhunā passatā. Sabbadhammajānanasamatthāya vā paññāya jānatā, sabbasattānaṃ cakkhuvisayātītāni tirokuṭṭādigatānipi rūpāni ativisuddhena maṃsacakkhunā passatā. Attahitasādhikāya vā samādhipadaṭṭhānāya paṭivedhapaññāya jānatā, parahitasādhikāya karuṇāpadaṭṭhānāya desanāpaññāya passatā.

    อรีนํ หตตฺตา ปจฺจยาทีนญฺจ อรหตฺตา อรหตาฯ สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน อนฺตรายิกธเมฺม วา ชานตา, นิยฺยานิกธเมฺม ปสฺสตา, กิเลสารีนํ หตตฺตา อรหตาฯ สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุเทฺธนาติฯ เอวํ จตูเวสารชฺชวเสน จตูหากาเรหิ โถมิเตน สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตา นานชฺฌาสยตา สุปฺปฎิวิทิตา ยาว จ สุฎฺฐุ ปฎิวิทิตาฯ

    Arīnaṃ hatattā paccayādīnañca arahattā arahatā. Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddhena antarāyikadhamme vā jānatā, niyyānikadhamme passatā, kilesārīnaṃ hatattā arahatā. Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddhenāti. Evaṃ catūvesārajjavasena catūhākārehi thomitena sattānaṃ nānādhimuttikatā nānajjhāsayatā suppaṭividitā yāva ca suṭṭhu paṭividitā.

    อิทานิสฺส สุปฺปฎิวิทิตภาวํ ทเสฺสตุํ อยญฺหีติอาทิมาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ยา จ อยํ ภควตา ‘‘ธาตุโส, ภิกฺขเว, สตฺตา สํสนฺทนฺติ สเมนฺติ, หีนาธิมุตฺติกา หีนาธิมุตฺติเกหิ สทฺธิํ สํสนฺทนฺติ สเมนฺติ, กลฺยาณาธิมุตฺติกา กลฺยาณาธิมุตฺติเกหิ สทฺธิํ สํสนฺทนฺติ สเมนฺติฯ อตีตมฺปิ โข, ภิกฺขเว, อทฺธานํ ธาตุโสว สตฺตา สํสนฺทิํสุ สมิํสุ, หีนาธิมุตฺติกา หีนาธิมุตฺติเกหิ…เป.… กลฺยาณาธิมุตฺติกา กลฺยาณาธิมุตฺติเกหิ สทฺธิํ สํสนฺทิํสุ สมิํสุ, อนาคตมฺปิ โข, ภิกฺขเว, อทฺธานํ…เป.… สํสนฺทิสฺสนฺติ สเมสฺสนฺติ, เอตรหิปิ โข, ภิกฺขเว, ปจฺจุปฺปนฺนํ อทฺธานํ ธาตุโสว สตฺตา สํสนฺทนฺติ สเมนฺติ, หีนาธิมุตฺติกา หีนาธิมุตฺติเกหิ…เป.… กลฺยาณาธิมุตฺติกา กลฺยาณาธิมุตฺติเกหิ สทฺธิํ สํสนฺทนฺติ สเมนฺตี’’ติ เอวํ สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตา, นานชฺฌาสยตา, นานาทิฎฺฐิกตา, นานาขนฺติตา, นานารุจิตา, นาฬิยา มินเนฺตน วิย ตุลาย ตุลยเนฺตน วิย จ นานาธิมุตฺติกตาญาเณน สพฺพญฺญุตญฺญาเณน วิทิตา, สา ยาว สุปฺปฎิวิทิตาฯ เทฺวปิ นาม สตฺตา เอกชฺฌาสยา ทุลฺลภา โลกสฺมิํฯ เอกสฺมิํ คนฺตุกาเม เอโก ฐาตุกาโม โหติ, เอกสฺมิํ ปิวิตุกาเม เอโก ภุญฺชิตุกาโมฯ อิเมสุ จาปิ ทฺวีสุ อาจริยเนฺตวาสีสุ อยญฺหิ ‘‘สุปฺปิโย ปริพฺพาชโก…เป.… ภควนฺตํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธา โหนฺติ ภิกฺขุสงฺฆญฺจา’’ติฯ ตตฺถ อิติหเมติ อิติห อิเม, เอวํ อิเมติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Idānissa suppaṭividitabhāvaṃ dassetuṃ ayañhītiādimāha. Idaṃ vuttaṃ hoti yā ca ayaṃ bhagavatā ‘‘dhātuso, bhikkhave, sattā saṃsandanti samenti, hīnādhimuttikā hīnādhimuttikehi saddhiṃ saṃsandanti samenti, kalyāṇādhimuttikā kalyāṇādhimuttikehi saddhiṃ saṃsandanti samenti. Atītampi kho, bhikkhave, addhānaṃ dhātusova sattā saṃsandiṃsu samiṃsu, hīnādhimuttikā hīnādhimuttikehi…pe… kalyāṇādhimuttikā kalyāṇādhimuttikehi saddhiṃ saṃsandiṃsu samiṃsu, anāgatampi kho, bhikkhave, addhānaṃ…pe… saṃsandissanti samessanti, etarahipi kho, bhikkhave, paccuppannaṃ addhānaṃ dhātusova sattā saṃsandanti samenti, hīnādhimuttikā hīnādhimuttikehi…pe… kalyāṇādhimuttikā kalyāṇādhimuttikehi saddhiṃ saṃsandanti samentī’’ti evaṃ sattānaṃ nānādhimuttikatā, nānajjhāsayatā, nānādiṭṭhikatā, nānākhantitā, nānārucitā, nāḷiyā minantena viya tulāya tulayantena viya ca nānādhimuttikatāñāṇena sabbaññutaññāṇena viditā, sā yāva suppaṭividitā. Dvepi nāma sattā ekajjhāsayā dullabhā lokasmiṃ. Ekasmiṃ gantukāme eko ṭhātukāmo hoti, ekasmiṃ pivitukāme eko bhuñjitukāmo. Imesu cāpi dvīsu ācariyantevāsīsu ayañhi ‘‘suppiyo paribbājako…pe… bhagavantaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandhā honti bhikkhusaṅghañcā’’ti. Tattha itihameti itiha ime, evaṃ imeti attho. Sesaṃ vuttanayameva.

    . อถ โข ภควา เตสํ ภิกฺขูนํ อิมํ สงฺขิยธมฺมํ วิทิตฺวาติ เอตฺถ วิทิตฺวาติ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ชานิตฺวาฯ ภควา หิ กตฺถจิ มํสจกฺขุนา ทิสฺวา ชานาติ – ‘‘อทฺทสา โข ภควา มหนฺตํ ทารุกฺขนฺธํ คงฺคาย นทิยา โสเตน วุยฺหมาน’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) วิยฯ กตฺถจิ ทิพฺพจกฺขุนา ทิสฺวา ชานาติ – ‘‘อทฺทสา โข ภควา ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ตา เทวตาโย สหสฺสเสฺสว ปาฎลิคาเม วตฺถูนิ ปริคณฺหนฺติโย’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๕๒) วิยฯ กตฺถจิ ปกติโสเตน สุตฺวา ชานาติ – ‘‘อโสฺสสิ โข ภควา อายสฺมโต อานนฺทสฺส สุภเทฺทน ปริพฺพาชเกน สทฺธิํ อิมํ กถาสลฺลาป’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๑๓) วิยฯ กตฺถจิ ทิพฺพโสเตน สุตฺวา ชานาติ – ‘‘อโสฺสสิ โข ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย สนฺธานสฺส คหปติสฺส นิโคฺรเธน ปริพฺพาชเกน สทฺธิํ อิมํ กถาสลฺลาป’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๕๔) วิยฯ อิธ ปน สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สุตฺวา อญฺญาสิฯ กิํ กโรโนฺต อญฺญาสิ? ปจฺฉิมยามกิจฺจํ, กิจฺจญฺจ นาเมตํ สาตฺถกํ, นิรตฺถกนฺติ ทุวิธํ โหติฯ ตตฺถ นิรตฺถกกิจฺจํ ภควตา โพธิปลฺลเงฺกเยว อรหตฺตมเคฺคน สมุคฺฆาตํ กตํฯ สาตฺถกํเยว ปน ภควโต กิจฺจํ โหติฯ ตํ ปญฺจวิธํ – ปุเรภตฺตกิจฺจํ, ปจฺฉาภตฺตกิจฺจํ, ปุริมยามกิจฺจํ, มชฺฌิมยามกิจฺจํ, ปจฺฉิมยามกิจฺจนฺติฯ

    4.Atha kho bhagavā tesaṃ bhikkhūnaṃ imaṃ saṅkhiyadhammaṃ viditvāti ettha viditvāti sabbaññutaññāṇena jānitvā. Bhagavā hi katthaci maṃsacakkhunā disvā jānāti – ‘‘addasā kho bhagavā mahantaṃ dārukkhandhaṃ gaṅgāya nadiyā sotena vuyhamāna’’ntiādīsu (saṃ. ni. 4.241) viya. Katthaci dibbacakkhunā disvā jānāti – ‘‘addasā kho bhagavā dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena tā devatāyo sahassasseva pāṭaligāme vatthūni parigaṇhantiyo’’tiādīsu (dī. ni. 2.152) viya. Katthaci pakatisotena sutvā jānāti – ‘‘assosi kho bhagavā āyasmato ānandassa subhaddena paribbājakena saddhiṃ imaṃ kathāsallāpa’’ntiādīsu (dī. ni. 2.213) viya. Katthaci dibbasotena sutvā jānāti – ‘‘assosi kho bhagavā dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya sandhānassa gahapatissa nigrodhena paribbājakena saddhiṃ imaṃ kathāsallāpa’’ntiādīsu (dī. ni. 3.54) viya. Idha pana sabbaññutaññāṇena sutvā aññāsi. Kiṃ karonto aññāsi? Pacchimayāmakiccaṃ, kiccañca nāmetaṃ sātthakaṃ, niratthakanti duvidhaṃ hoti. Tattha niratthakakiccaṃ bhagavatā bodhipallaṅkeyeva arahattamaggena samugghātaṃ kataṃ. Sātthakaṃyeva pana bhagavato kiccaṃ hoti. Taṃ pañcavidhaṃ – purebhattakiccaṃ, pacchābhattakiccaṃ, purimayāmakiccaṃ, majjhimayāmakiccaṃ, pacchimayāmakiccanti.

    ตตฺริทํ ปุเรภตฺตกิจฺจํ –

    Tatridaṃ purebhattakiccaṃ –

    ภควา หิ ปาโตว อุฎฺฐาย อุปฎฺฐากานุคฺคหตฺถํ สรีรผาสุกตฺถญฺจ มุขโธวนาทิสรีรปริกมฺมํ กตฺวา ยาว ภิกฺขาจารเวลา ตาว วิวิตฺตาสเน วีตินาเมตฺวา, ภิกฺขาจารเวลายํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตมาทาย กทาจิ เอกโก, กทาจิ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต, คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ; กทาจิ ปกติยา, กทาจิ อเนเกหิ ปาฎิหาริเยหิ วตฺตมาเนหิฯ เสยฺยถิทํ, ปิณฺฑาย ปวิสโต โลกนาถสฺส ปุรโต ปุรโต คนฺตฺวา มุทุคตวาตา ปถวิํ โสเธนฺติ, วลาหกา อุทกผุสิตานิ มุญฺจนฺตา มเคฺค เรณุํ วูปสเมตฺวา อุปริ วิตานํ หุตฺวา ติฎฺฐนฺติ, อปเร วาตา ปุปฺผานิ อุปสํหริตฺวา มเคฺค โอกิรนฺติ, อุนฺนตา ภูมิปฺปเทสา โอนมนฺติ, โอนตา อุนฺนมนฺติ, ปาทนิเกฺขปสมเย สมาว ภูมิ โหติ, สุขสมฺผสฺสานิ ปทุมปุปฺผานิ วา ปาเท สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ อินฺทขีลสฺส อโนฺต ฐปิตมเตฺต ทกฺขิณปาเท สรีรโต ฉพฺพณฺณรสฺมิโย นิกฺขมิตฺวา สุวณฺณรสปิญฺชรานิ วิย จิตฺรปฎปริกฺขิตฺตานิ วิย จ ปาสาทกูฎาคาราทีนิ อลงฺกโรนฺติโย อิโต จิโต จ ธาวนฺติ, หตฺถิอสฺสวิหงฺคาทโย สกสกฎฺฐาเนสุ ฐิตาเยว มธุเรนากาเรน สทฺทํ กโรนฺติ, ตถา เภริวีณาทีนิ ตูริยานิ มนุสฺสานญฺจ กายูปคานิ อาภรณานิฯ เตน สญฺญาเณน มนุสฺสา ชานนฺติ – ‘‘อชฺช ภควา อิธ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ’’ติฯ เต สุนิวตฺถา สุปารุตา คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย ฆรา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรวีถิํ ปฎิปชฺชิตฺวา ภควนฺตํ คนฺธปุปฺผาทีหิ สกฺกจฺจํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา – ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, ทส ภิกฺขู, อมฺหากํ วีสติ, ปญฺญาสํ…เป.… สตํ เทถา’’ติ ยาจิตฺวา ภควโตปิ ปตฺตํ คเหตฺวา อาสนํ ปญฺญเปตฺวา สกฺกจฺจํ ปิณฺฑปาเตน ปฎิมาเนนฺติฯ ภควา กตภตฺตกิโจฺจ เตสํ สตฺตานํ จิตฺตสนฺตานานิ โอโลเกตฺวา ตถา ธมฺมํ เทเสติ, ยถา เกจิ สรณคมเนสุ ปติฎฺฐหนฺติ, เกจิ ปญฺจสุ สีเลสุ, เกจิ โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลานํ อญฺญตรสฺมิํ; เกจิ ปพฺพชิตฺวา อคฺคผเล อรหเตฺตติฯ เอวํ มหาชนํ อนุคฺคเหตฺวา อุฎฺฐายาสนา วิหารํ คจฺฉติฯ ตตฺถ คนฺตฺวา มณฺฑลมาเฬ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทติ, ภิกฺขูนํ ภตฺตกิจฺจปริโยสานํ อาคมยมาโนฯ ตโต ภิกฺขูนํ ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน อุปฎฺฐาโก ภควโต นิเวเทติฯ อถ ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิสติฯ อิทํ ตาว ปุเรภตฺตกิจฺจํฯ

    Bhagavā hi pātova uṭṭhāya upaṭṭhākānuggahatthaṃ sarīraphāsukatthañca mukhadhovanādisarīraparikammaṃ katvā yāva bhikkhācāravelā tāva vivittāsane vītināmetvā, bhikkhācāravelāyaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā cīvaraṃ pārupitvā pattamādāya kadāci ekako, kadāci bhikkhusaṅghaparivuto, gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati; kadāci pakatiyā, kadāci anekehi pāṭihāriyehi vattamānehi. Seyyathidaṃ, piṇḍāya pavisato lokanāthassa purato purato gantvā mudugatavātā pathaviṃ sodhenti, valāhakā udakaphusitāni muñcantā magge reṇuṃ vūpasametvā upari vitānaṃ hutvā tiṭṭhanti, apare vātā pupphāni upasaṃharitvā magge okiranti, unnatā bhūmippadesā onamanti, onatā unnamanti, pādanikkhepasamaye samāva bhūmi hoti, sukhasamphassāni padumapupphāni vā pāde sampaṭicchanti. Indakhīlassa anto ṭhapitamatte dakkhiṇapāde sarīrato chabbaṇṇarasmiyo nikkhamitvā suvaṇṇarasapiñjarāni viya citrapaṭaparikkhittāni viya ca pāsādakūṭāgārādīni alaṅkarontiyo ito cito ca dhāvanti, hatthiassavihaṅgādayo sakasakaṭṭhānesu ṭhitāyeva madhurenākārena saddaṃ karonti, tathā bherivīṇādīni tūriyāni manussānañca kāyūpagāni ābharaṇāni. Tena saññāṇena manussā jānanti – ‘‘ajja bhagavā idha piṇḍāya paviṭṭho’’ti. Te sunivatthā supārutā gandhapupphādīni ādāya gharā nikkhamitvā antaravīthiṃ paṭipajjitvā bhagavantaṃ gandhapupphādīhi sakkaccaṃ pūjetvā vanditvā – ‘‘amhākaṃ, bhante, dasa bhikkhū, amhākaṃ vīsati, paññāsaṃ…pe… sataṃ dethā’’ti yācitvā bhagavatopi pattaṃ gahetvā āsanaṃ paññapetvā sakkaccaṃ piṇḍapātena paṭimānenti. Bhagavā katabhattakicco tesaṃ sattānaṃ cittasantānāni oloketvā tathā dhammaṃ deseti, yathā keci saraṇagamanesu patiṭṭhahanti, keci pañcasu sīlesu, keci sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalānaṃ aññatarasmiṃ; keci pabbajitvā aggaphale arahatteti. Evaṃ mahājanaṃ anuggahetvā uṭṭhāyāsanā vihāraṃ gacchati. Tattha gantvā maṇḍalamāḷe paññattavarabuddhāsane nisīdati, bhikkhūnaṃ bhattakiccapariyosānaṃ āgamayamāno. Tato bhikkhūnaṃ bhattakiccapariyosāne upaṭṭhāko bhagavato nivedeti. Atha bhagavā gandhakuṭiṃ pavisati. Idaṃ tāva purebhattakiccaṃ.

    อถ ภควา เอวํ กตปุเรภตฺตกิโจฺจ คนฺธกุฎิยา อุปฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา ปาทปีเฐ ฐตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ โอวทติ – ‘‘ภิกฺขเว, อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ, ทุลฺลโภ พุทฺธุปฺปาโท โลกสฺมิํ, ทุลฺลโภ มนุสฺสตฺตปฎิลาโภ, ทุลฺลภา สมฺปตฺติ, ทุลฺลภา ปพฺพชฺชา, ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวน’’นฺติฯ ตตฺถ เกจิ ภควนฺตํ กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉนฺติฯ ภควาปิ เตสํ จริยานุรูปํ กมฺมฎฺฐานํ เทติฯ ตโต สเพฺพปิ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ คจฺฉนฺติฯ เกจิ อรญฺญํ, เกจิ รุกฺขมูลํ, เกจิ ปพฺพตาทีนํ อญฺญตรํ, เกจิ จาตุมหาราชิกภวนํ…เป.… เกจิ วสวตฺติภวนนฺติฯ ตโต ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา สเจ อากงฺขติ, ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน มุหุตฺตํ สีหเสยฺยํ กเปฺปติฯ อถ สมสฺสาสิตกาโย วุฎฺฐหิตฺวา ทุติยภาเค โลกํ โวโลเกติฯ ตติยภาเค ยํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติ ตตฺถ มหาชโน ปุเรภตฺตํ ทานํ ทตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ สุนิวโตฺถ สุปารุโต คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย วิหาเร สนฺนิปตติฯ ตโต ภควา สมฺปตฺตปริสาย อนุรูเปน ปาฎิหาริเยน คนฺตฺวา ธมฺมสภายํ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสชฺช ธมฺมํ เทเสติ กาลยุตฺตํ สมยยุตฺตํ, อถ กาลํ วิทิตฺวา ปริสํ อุโยฺยเชติ, มนุสฺสา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปกฺกมนฺติฯ อิทํ ปจฺฉาภตฺตกิจฺจํฯ

    Atha bhagavā evaṃ katapurebhattakicco gandhakuṭiyā upaṭṭhāne nisīditvā pāde pakkhāletvā pādapīṭhe ṭhatvā bhikkhusaṅghaṃ ovadati – ‘‘bhikkhave, appamādena sampādetha, dullabho buddhuppādo lokasmiṃ, dullabho manussattapaṭilābho, dullabhā sampatti, dullabhā pabbajjā, dullabhaṃ saddhammassavana’’nti. Tattha keci bhagavantaṃ kammaṭṭhānaṃ pucchanti. Bhagavāpi tesaṃ cariyānurūpaṃ kammaṭṭhānaṃ deti. Tato sabbepi bhagavantaṃ vanditvā attano attano rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni gacchanti. Keci araññaṃ, keci rukkhamūlaṃ, keci pabbatādīnaṃ aññataraṃ, keci cātumahārājikabhavanaṃ…pe… keci vasavattibhavananti. Tato bhagavā gandhakuṭiṃ pavisitvā sace ākaṅkhati, dakkhiṇena passena sato sampajāno muhuttaṃ sīhaseyyaṃ kappeti. Atha samassāsitakāyo vuṭṭhahitvā dutiyabhāge lokaṃ voloketi. Tatiyabhāge yaṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati tattha mahājano purebhattaṃ dānaṃ datvā pacchābhattaṃ sunivattho supāruto gandhapupphādīni ādāya vihāre sannipatati. Tato bhagavā sampattaparisāya anurūpena pāṭihāriyena gantvā dhammasabhāyaṃ paññattavarabuddhāsane nisajja dhammaṃ deseti kālayuttaṃ samayayuttaṃ, atha kālaṃ viditvā parisaṃ uyyojeti, manussā bhagavantaṃ vanditvā pakkamanti. Idaṃ pacchābhattakiccaṃ.

    โส เอวํ นิฎฺฐิตปจฺฉาภตฺตกิโจฺจ สเจ คตฺตานิ โอสิญฺจิตุกาโม โหติ, พุทฺธาสนา วุฎฺฐาย นฺหานโกฎฺฐกํ ปวิสิตฺวา อุปฎฺฐาเกน ปฎิยาทิตอุทเกน คตฺตานิ อุตุํ คณฺหาเปติฯ อุปฎฺฐาโกปิ พุทฺธาสนํ อาเนตฺวา คนฺธกุฎิปริเวเณ ปญฺญเปติฯ ภควา สุรตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา อุตฺตราสงฺคํ เอกํสํ กริตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา นิสีทติ เอกโกว มุหุตฺตํ ปฎิสลฺลีโน, อถ ภิกฺขู ตโต ตโต อาคมฺม ภควโต อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺติฯ ตตฺถ เอกเจฺจ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, เอกเจฺจ กมฺมฎฺฐานํ, เอกเจฺจ ธมฺมสฺสวนํ ยาจนฺติฯ ภควา เตสํ อธิปฺปายํ สมฺปาเทโนฺต ปุริมยามํ วีตินาเมติฯ อิทํ ปุริมยามกิจฺจํฯ

    So evaṃ niṭṭhitapacchābhattakicco sace gattāni osiñcitukāmo hoti, buddhāsanā vuṭṭhāya nhānakoṭṭhakaṃ pavisitvā upaṭṭhākena paṭiyāditaudakena gattāni utuṃ gaṇhāpeti. Upaṭṭhākopi buddhāsanaṃ ānetvā gandhakuṭipariveṇe paññapeti. Bhagavā surattadupaṭṭaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā uttarāsaṅgaṃ ekaṃsaṃ karitvā tattha gantvā nisīdati ekakova muhuttaṃ paṭisallīno, atha bhikkhū tato tato āgamma bhagavato upaṭṭhānaṃ āgacchanti. Tattha ekacce pañhaṃ pucchanti, ekacce kammaṭṭhānaṃ, ekacce dhammassavanaṃ yācanti. Bhagavā tesaṃ adhippāyaṃ sampādento purimayāmaṃ vītināmeti. Idaṃ purimayāmakiccaṃ.

    ปุริมยามกิจฺจปริโยสาเน ปน ภิกฺขูสุ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปกฺกเนฺตสุ สกลทสสหสฺสิโลกธาตุเทวตาโย โอกาสํ ลภมานา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, ยถาภิสงฺขตํ อนฺตมโส จตุรกฺขรมฺปิฯ ภควา ตาสํ เทวตานํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต มชฺฌิมยามํ วีตินาเมติฯ อิทํ มชฺฌิมยามกิจฺจํฯ

    Purimayāmakiccapariyosāne pana bhikkhūsu bhagavantaṃ vanditvā pakkantesu sakaladasasahassilokadhātudevatāyo okāsaṃ labhamānā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchanti, yathābhisaṅkhataṃ antamaso caturakkharampi. Bhagavā tāsaṃ devatānaṃ pañhaṃ vissajjento majjhimayāmaṃ vītināmeti. Idaṃ majjhimayāmakiccaṃ.

    ปจฺฉิมยามํ ปน ตโย โกฎฺฐาเส กตฺวา ปุเรภตฺตโต ปฎฺฐาย นิสชฺชาย ปีฬิตสฺส สรีรสฺส กิลาสุภาวโมจนตฺถํ เอกํ โกฎฺฐาสํ จงฺกเมน วีตินาเมติฯ ทุติยโกฎฺฐาเส คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน สีหเสยฺยํ กเปฺปติฯ ตติยโกฎฺฐาเส ปจฺจุฎฺฐาย นิสีทิตฺวา ปุริมพุทฺธานํ สนฺติเก ทานสีลาทิวเสน กตาธิการปุคฺคลทสฺสนตฺถํ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกติฯ อิทํ ปจฺฉิมยามกิจฺจํฯ

    Pacchimayāmaṃ pana tayo koṭṭhāse katvā purebhattato paṭṭhāya nisajjāya pīḷitassa sarīrassa kilāsubhāvamocanatthaṃ ekaṃ koṭṭhāsaṃ caṅkamena vītināmeti. Dutiyakoṭṭhāse gandhakuṭiṃ pavisitvā dakkhiṇena passena sato sampajāno sīhaseyyaṃ kappeti. Tatiyakoṭṭhāse paccuṭṭhāya nisīditvā purimabuddhānaṃ santike dānasīlādivasena katādhikārapuggaladassanatthaṃ buddhacakkhunā lokaṃ voloketi. Idaṃ pacchimayāmakiccaṃ.

    ตสฺมิํ ปน ทิวเส ภควา ปุเรภตฺตกิจฺจํ ราชคเห ปริโยสาเปตฺวา ปจฺฉาภเตฺต มคฺคํ อาคโต, ปุริมยาเม ภิกฺขูนํ กมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา, มชฺฌิมยาเม เทวตานํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา, ปจฺฉิมยาเม จงฺกมํ อารุยฺห จงฺกมมาโน ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ อิมํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อารพฺภ ปวตฺตํ กถํ สพฺพญฺญุตญฺญาเณเนว สุตฺวา อญฺญาสีติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปจฺฉิมยามกิจฺจํ กโรโนฺต อญฺญาสี’’ติฯ

    Tasmiṃ pana divase bhagavā purebhattakiccaṃ rājagahe pariyosāpetvā pacchābhatte maggaṃ āgato, purimayāme bhikkhūnaṃ kammaṭṭhānaṃ kathetvā, majjhimayāme devatānaṃ pañhaṃ vissajjetvā, pacchimayāme caṅkamaṃ āruyha caṅkamamāno pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ imaṃ sabbaññutaññāṇaṃ ārabbha pavattaṃ kathaṃ sabbaññutaññāṇeneva sutvā aññāsīti. Tena vuttaṃ – ‘‘pacchimayāmakiccaṃ karonto aññāsī’’ti.

    ญตฺวา จ ปนสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิเม ภิกฺขู มยฺหํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อารพฺภ คุณํ กเถนฺติ, เอเตสญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณกิจฺจํ น ปากฎํ, มยฺหเมว ปากฎํฯ มยิ ปน คเต เอเต อตฺตโน กถํ นิรนฺตรํ อาโรเจสฺสนฺติ, ตโต เนสํ อหํ ตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ติวิธํ สีลํ วิภชโนฺต, ทฺวาสฎฺฐิยา ฐาเนสุ อปฺปฎิวตฺติยํ สีหนาทํ นทโนฺต, ปจฺจยาการํ สโมธาเนตฺวา พุทฺธคุเณ ปากเฎ กตฺวา, สิเนรุํ อุกฺขิเปโนฺต วิย สุวณฺณกูเฎน นภํ ปหรโนฺต วิย จ ทสสหสฺสิโลกธาตุกมฺปนํ พฺรหฺมชาลสุตฺตนฺตํ อรหตฺตนิกูเฎน นิฎฺฐาเปโนฺต เทเสสฺสามิ, สา เม เทสนา ปรินิพฺพุตสฺสาปิ ปญฺจวสฺสสหสฺสานิ สตฺตานํ อมตมหานิพฺพานํ สมฺปาปิกา ภวิสฺสตี’’ติฯ เอวํ จิเนฺตตฺวา เยน มณฺฑลมาโฬ เตนุปสงฺกมีติ ฯ เยนาติ เยน ทิสาภาเคน, โส อุปสงฺกมิตโพฺพฯ ภุมฺมเตฺถ วา เอตํ กรณวจนํ, ยสฺมิํ ปเทเส โส มณฺฑลมาโฬ, ตตฺถ คโตติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ

    Ñatvā ca panassa etadahosi – ‘‘ime bhikkhū mayhaṃ sabbaññutaññāṇaṃ ārabbha guṇaṃ kathenti, etesañca sabbaññutaññāṇakiccaṃ na pākaṭaṃ, mayhameva pākaṭaṃ. Mayi pana gate ete attano kathaṃ nirantaraṃ ārocessanti, tato nesaṃ ahaṃ taṃ aṭṭhuppattiṃ katvā tividhaṃ sīlaṃ vibhajanto, dvāsaṭṭhiyā ṭhānesu appaṭivattiyaṃ sīhanādaṃ nadanto, paccayākāraṃ samodhānetvā buddhaguṇe pākaṭe katvā, sineruṃ ukkhipento viya suvaṇṇakūṭena nabhaṃ paharanto viya ca dasasahassilokadhātukampanaṃ brahmajālasuttantaṃ arahattanikūṭena niṭṭhāpento desessāmi, sā me desanā parinibbutassāpi pañcavassasahassāni sattānaṃ amatamahānibbānaṃ sampāpikā bhavissatī’’ti. Evaṃ cintetvā yena maṇḍalamāḷo tenupasaṅkamīti . Yenāti yena disābhāgena, so upasaṅkamitabbo. Bhummatthe vā etaṃ karaṇavacanaṃ, yasmiṃ padese so maṇḍalamāḷo, tattha gatoti ayamettha attho.

    ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทีติ พุทฺธกาเล กิร ยตฺถ ยตฺถ เอโกปิ ภิกฺขุ วิหรติ สพฺพตฺถ พุทฺธาสนํ ปญฺญตฺตเมว โหติฯ กสฺมา? ภควา กิร อตฺตโน สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ผาสุกฎฺฐาเน วิหรเนฺต มนสิ กโรติ – ‘‘อสุโก มยฺหํ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คโต, สกฺขิสฺสติ นุ โข วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ โน วา’’ติฯ อถ นํ ปสฺสติ กมฺมฎฺฐานํ วิสฺสเชฺชตฺวา อกุสลวิตกฺกํ วิตกฺกยมานํ, ตโต ‘‘กถญฺหิ นาม มาทิสสฺส สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิหรนฺตํ อิมํ กุลปุตฺตํ อกุสลวิตกฺกา อภิภวิตฺวา อนมตเคฺค วฎฺฎทุเกฺข สํสาเรสฺสนฺตี’’ติ ตสฺส อนุคฺคหตฺถํ ตเตฺถว อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา ตํ กุลปุตฺตํ โอวทิตฺวา อากาสํ อุปฺปติตฺวา ปุน อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คจฺฉติฯ อเถวํ โอวทิยมานา เต ภิกฺขู จินฺตยิํสุ – ‘‘สตฺถา อมฺหากํ มนํ ชานิตฺวา อาคนฺตฺวา อมฺหากํ สมีเป ฐิตํเยว อตฺตานํ ทเสฺสติ’’ฯ ตสฺมิํ ขเณ – ‘‘ภเนฺต, อิธ นิสีทถ, อิธ นิสีทถา’’ติ อาสนปริเยสนํ นาม ภาโรติฯ เต อาสนํ ปญฺญเปตฺวาว วิหรนฺติฯ ยสฺส ปีฐํ อตฺถิ, โส ตํ ปญฺญเปติฯ ยสฺส นตฺถิ, โส มญฺจํ วา ผลกํ วา กฎฺฐํ วา ปาสาณํ วา วาลุกปุญฺชํ วา ปญฺญเปติฯ ตํ อลภมานา ปุราณปณฺณานิปิ สงฺกฑฺฒิตฺวา ตตฺถ ปํสุกูลํ ปตฺถริตฺวา ฐเปนฺติฯ อิธ ปน รโญฺญ นิสีทนาสนเมว อตฺถิ, ตํ ปโปฺผเฎตฺวา ปญฺญเปตฺวา ปริวาเรตฺวา เต ภิกฺขู ภควโต อธิมุตฺติกญาณมารพฺภ คุณํ โถมยมานา นิสีทิํสุฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีที’’ติฯ

    Paññatte āsane nisīdīti buddhakāle kira yattha yattha ekopi bhikkhu viharati sabbattha buddhāsanaṃ paññattameva hoti. Kasmā? Bhagavā kira attano santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā phāsukaṭṭhāne viharante manasi karoti – ‘‘asuko mayhaṃ santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā gato, sakkhissati nu kho visesaṃ nibbattetuṃ no vā’’ti. Atha naṃ passati kammaṭṭhānaṃ vissajjetvā akusalavitakkaṃ vitakkayamānaṃ, tato ‘‘kathañhi nāma mādisassa satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā viharantaṃ imaṃ kulaputtaṃ akusalavitakkā abhibhavitvā anamatagge vaṭṭadukkhe saṃsāressantī’’ti tassa anuggahatthaṃ tattheva attānaṃ dassetvā taṃ kulaputtaṃ ovaditvā ākāsaṃ uppatitvā puna attano vasanaṭṭhānameva gacchati. Athevaṃ ovadiyamānā te bhikkhū cintayiṃsu – ‘‘satthā amhākaṃ manaṃ jānitvā āgantvā amhākaṃ samīpe ṭhitaṃyeva attānaṃ dasseti’’. Tasmiṃ khaṇe – ‘‘bhante, idha nisīdatha, idha nisīdathā’’ti āsanapariyesanaṃ nāma bhāroti. Te āsanaṃ paññapetvāva viharanti. Yassa pīṭhaṃ atthi, so taṃ paññapeti. Yassa natthi, so mañcaṃ vā phalakaṃ vā kaṭṭhaṃ vā pāsāṇaṃ vā vālukapuñjaṃ vā paññapeti. Taṃ alabhamānā purāṇapaṇṇānipi saṅkaḍḍhitvā tattha paṃsukūlaṃ pattharitvā ṭhapenti. Idha pana rañño nisīdanāsanameva atthi, taṃ papphoṭetvā paññapetvā parivāretvā te bhikkhū bhagavato adhimuttikañāṇamārabbha guṇaṃ thomayamānā nisīdiṃsu. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘paññatte āsane nisīdī’’ti.

    เอวํ นิสิโนฺน ปน ชานโนฺตเยว กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ ภิกฺขู ปุจฺฉิฯ เต จสฺส สพฺพํ กถยิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘นิสชฺช โข ภควา’’ติอาทิฯ ตตฺถ กาย นุตฺถาติ กตมาย นุ กถาย สนฺนิสินฺนา ภวถาติ อโตฺถฯ กาย เนตฺถาติปิ ปาฬิ, ตสฺสา กตมาย นุ เอตฺถาติ อโตฺถ กาย โนตฺถาติปิ ปาฬิฯ ตสฺสาปิ ปุริโมเยว อโตฺถฯ

    Evaṃ nisinno pana jānantoyeva kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ bhikkhū pucchi. Te cassa sabbaṃ kathayiṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘nisajja kho bhagavā’’tiādi. Tattha kāya nutthāti katamāya nu kathāya sannisinnā bhavathāti attho. Kāya netthātipi pāḷi, tassā katamāya nu etthāti attho kāya notthātipi pāḷi. Tassāpi purimoyeva attho.

    อนฺตรากถาติ , กมฺมฎฺฐานมนสิการอุเทฺทสปริปุจฺฉาทีนํ อนฺตรา อญฺญา เอกา กถาฯ วิปฺปกตาติ, มม อาคมนปจฺจยา อปรินิฎฺฐิตา สิขํ อปฺปตฺตาฯ เตน กิํ ทเสฺสติ? ‘‘นาหํ ตุมฺหากํ กถาภงฺคตฺถํ อาคโต, อหํ ปน สพฺพญฺญุตาย ตุมฺหากํ กถํ นิฎฺฐาเปตฺวา มตฺถกปฺปตฺตํ กตฺวา ทสฺสามีติ อาคโต’’ติ นิสเชฺชว สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรติฯ อยํ โข โน, ภเนฺต, อนฺตรากถา วิปฺปกตา , อถ ภควา อนุปฺปโตฺตติ เอตฺถาปิ อยมธิปฺปาโยฯ อยํ ภเนฺต อมฺหากํ ภควโต สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อารพฺภ คุณกถา วิปฺปกตา, น ราชกถาทิกา ติรจฺฉานกถา, อถ ภควา อนุปฺปโตฺต; ตํ โน อิทานิ นิฎฺฐาเปตฺวา เทเสถาติฯ

    Antarākathāti , kammaṭṭhānamanasikārauddesaparipucchādīnaṃ antarā aññā ekā kathā. Vippakatāti, mama āgamanapaccayā apariniṭṭhitā sikhaṃ appattā. Tena kiṃ dasseti? ‘‘Nāhaṃ tumhākaṃ kathābhaṅgatthaṃ āgato, ahaṃ pana sabbaññutāya tumhākaṃ kathaṃ niṭṭhāpetvā matthakappattaṃ katvā dassāmīti āgato’’ti nisajjeva sabbaññupavāraṇaṃ pavāreti. Ayaṃ kho no, bhante, antarākathā vippakatā , atha bhagavā anuppattoti etthāpi ayamadhippāyo. Ayaṃ bhante amhākaṃ bhagavato sabbaññutaññāṇaṃ ārabbha guṇakathā vippakatā, na rājakathādikā tiracchānakathā, atha bhagavā anuppatto; taṃ no idāni niṭṭhāpetvā desethāti.

    เอตฺตาวตา จ ยํ อายสฺมตา อานเนฺทน กมลกุวลยุชฺชลวิมลสาธุรสสลิลาย โปกฺขรณิยา สุขาวตรณตฺถํ นิมฺมลสิลาตลรจนวิลาสโสภิตรตนโสปานํ, วิปฺปกิณฺณมุตฺตาตลสทิสวาลุกากิณฺณปณฺฑรภูมิภาคํ ติตฺถํ วิย สุวิภตฺตภิตฺติวิจิตฺรเวทิกาปริกฺขิตฺตสฺส นกฺขตฺตปถํ ผุสิตุกามตาย วิย, วิชมฺภิตสมุสฺสยสฺส ปาสาทวรสฺส สุขาโรหณตฺถํ ทนฺตมยสณฺหมุทุผลกกญฺจนลตาวินทฺธมณิคณปฺปภาสมุทยุชฺชลโสภํ โสปานํ วิย, สุวณฺณวลยนูปุราทิสงฺฆฎฺฎนสทฺทสมฺมิสฺสิตกถิตหสิตมธุรสฺสรเคหชนวิจริตสฺส อุฬาริสฺสริวิภวโสภิตสฺส มหาฆรสฺส สุขปฺปเวสนตฺถํ สุวณฺณรชตมณิมุตฺตปวาฬาทิชุติวิสฺสรวิโชฺชติตสุปฺปติฎฺฐิตวิสาลทฺวารพาหํ มหาทฺวารํ วิย จ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส พุทฺธคุณานุภาวสํสูจกสฺส อิมสฺส สุตฺตสฺส สุขาวคหณตฺถํ กาลเทสเทสกวตฺถุปริสาปเทสปฎิมณฺฑิตํ นิทานํ ภาสิตํ, ตสฺสตฺถวณฺณนา สมตฺตาติฯ

    Ettāvatā ca yaṃ āyasmatā ānandena kamalakuvalayujjalavimalasādhurasasalilāya pokkharaṇiyā sukhāvataraṇatthaṃ nimmalasilātalaracanavilāsasobhitaratanasopānaṃ, vippakiṇṇamuttātalasadisavālukākiṇṇapaṇḍarabhūmibhāgaṃ titthaṃ viya suvibhattabhittivicitravedikāparikkhittassa nakkhattapathaṃ phusitukāmatāya viya, vijambhitasamussayassa pāsādavarassa sukhārohaṇatthaṃ dantamayasaṇhamuduphalakakañcanalatāvinaddhamaṇigaṇappabhāsamudayujjalasobhaṃ sopānaṃ viya, suvaṇṇavalayanūpurādisaṅghaṭṭanasaddasammissitakathitahasitamadhurassaragehajanavicaritassa uḷārissarivibhavasobhitassa mahāgharassa sukhappavesanatthaṃ suvaṇṇarajatamaṇimuttapavāḷādijutivissaravijjotitasuppatiṭṭhitavisāladvārabāhaṃ mahādvāraṃ viya ca atthabyañjanasampannassa buddhaguṇānubhāvasaṃsūcakassa imassa suttassa sukhāvagahaṇatthaṃ kāladesadesakavatthuparisāpadesapaṭimaṇḍitaṃ nidānaṃ bhāsitaṃ, tassatthavaṇṇanā samattāti.

    . อิทานิ – ‘‘มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร อวณฺณํ ภาเสยฺยุ’’นฺติอาทินา นเยน ภควตา นิกฺขิตฺตสฺส สุตฺตสฺส วณฺณนาย โอกาโส อนุปฺปโตฺตฯ สา ปเนสา สุตฺตวณฺณนาฯ ยสฺมา สุตฺตนิเกฺขปํ วิจาเรตฺวา วุจฺจมานา ปากฎา โหติ, ตสฺมา สุตฺตนิเกฺขปํ ตาว วิจารยิสฺสามฯ จตฺตาโร หิ สุตฺตนิเกฺขปา – อตฺตชฺฌาสโย, ปรชฺฌาสโย, ปุจฺฉาวสิโก, อฎฺฐุปฺปตฺติโกติฯ

    5. Idāni – ‘‘mamaṃ vā, bhikkhave, pare avaṇṇaṃ bhāseyyu’’ntiādinā nayena bhagavatā nikkhittassa suttassa vaṇṇanāya okāso anuppatto. Sā panesā suttavaṇṇanā. Yasmā suttanikkhepaṃ vicāretvā vuccamānā pākaṭā hoti, tasmā suttanikkhepaṃ tāva vicārayissāma. Cattāro hi suttanikkhepā – attajjhāsayo, parajjhāsayo, pucchāvasiko, aṭṭhuppattikoti.

    ตตฺถ ยานิ สุตฺตานิ ภควา ปเรหิ อนชฺฌิโฎฺฐ เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว กเถสิ; เสยฺยถิทํ, อากเงฺขยฺยสุตฺตํ, วตฺถสุตฺตํ, มหาสติปฎฺฐานํ, มหาสฬายตนวิภงฺคสุตฺตํ, อริยวํสสุตฺตํ, สมฺมปฺปธานสุตฺตนฺตหารโก, อิทฺธิปาทอินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคงฺคสุตฺตนฺตหารโกติ เอวมาทีนิ; เตสํ อตฺตชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ

    Tattha yāni suttāni bhagavā parehi anajjhiṭṭho kevalaṃ attano ajjhāsayeneva kathesi; seyyathidaṃ, ākaṅkheyyasuttaṃ, vatthasuttaṃ, mahāsatipaṭṭhānaṃ, mahāsaḷāyatanavibhaṅgasuttaṃ, ariyavaṃsasuttaṃ, sammappadhānasuttantahārako, iddhipādaindriyabalabojjhaṅgamaggaṅgasuttantahārakoti evamādīni; tesaṃ attajjhāsayo nikkhepo.

    ยานิ ปน ‘‘ปริปกฺกา โข ราหุลสฺส วิมุตฺติปริปาจนิยา ธมฺมา; ยํนูนาหํ ราหุลํ อุตฺตริํ อาสวานํ ขเย วิเนยฺย’’นฺติ; (สํ. นิ. ๔.๑๒๑) เอวํ ปเรสํ อชฺฌาสยํ ขนฺติํ มนํ อภินีหารํ พุชฺฌนภาวญฺจ อเวกฺขิตฺวา ปรชฺฌาสยวเสน กถิตานิ; เสยฺยถิทํ, จูฬราหุโลวาทสุตฺตํ, มหาราหุโลวาทสุตฺตํ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํ, ธาตุวิภงฺคสุตฺตนฺติ เอวมาทีนิ; เตสํ ปรชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ

    Yāni pana ‘‘paripakkā kho rāhulassa vimuttiparipācaniyā dhammā; yaṃnūnāhaṃ rāhulaṃ uttariṃ āsavānaṃ khaye vineyya’’nti; (saṃ. ni. 4.121) evaṃ paresaṃ ajjhāsayaṃ khantiṃ manaṃ abhinīhāraṃ bujjhanabhāvañca avekkhitvā parajjhāsayavasena kathitāni; seyyathidaṃ, cūḷarāhulovādasuttaṃ, mahārāhulovādasuttaṃ, dhammacakkappavattanaṃ, dhātuvibhaṅgasuttanti evamādīni; tesaṃ parajjhāsayo nikkhepo.

    ภควนฺตํ ปน อุปสงฺกมิตฺวา จตโสฺส ปริสา, จตฺตาโร วณฺณา, นาคา, สุปณฺณา, คนฺธพฺพา, อสุรา, ยกฺขา, มหาราชาโน, ตาวติํสาทโย เทวา, มหาพฺรหฺมาติ เอวมาทโย – ‘‘โพชฺฌงฺคา โพชฺฌงฺคา’’ติ, ภเนฺต, วุจฺจนฺติฯ ‘‘นีวรณา นีวรณา’’ติ, ภเนฺต, วุจฺจนฺติ; ‘‘อิเม นุ โข, ภเนฺต, ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา’’ฯ ‘‘กิํ สูธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฎฺฐ’’นฺติอาทินา นเยน ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติฯ เอวํ ปุเฎฺฐน ภควตา ยานิ กถิตานิ โพชฺฌงฺคสํยุตฺตาทีนิ, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ เทวตาสํยุตฺต-มารสํยุตฺต-พฺรหฺมสํยุตฺต-สกฺกปญฺห-จูฬเวทลฺล-มหาเวทลฺล-สามญฺญผล-อาฬวก-สูจิโลม-ขรโลมสุตฺตาทีนิ; เตสํ ปุจฺฉาวสิโก นิเกฺขโปฯ

    Bhagavantaṃ pana upasaṅkamitvā catasso parisā, cattāro vaṇṇā, nāgā, supaṇṇā, gandhabbā, asurā, yakkhā, mahārājāno, tāvatiṃsādayo devā, mahābrahmāti evamādayo – ‘‘bojjhaṅgā bojjhaṅgā’’ti, bhante, vuccanti. ‘‘Nīvaraṇā nīvaraṇā’’ti, bhante, vuccanti; ‘‘ime nu kho, bhante, pañcupādānakkhandhā’’. ‘‘Kiṃ sūdha vittaṃ purisassa seṭṭha’’ntiādinā nayena pañhaṃ pucchanti. Evaṃ puṭṭhena bhagavatā yāni kathitāni bojjhaṅgasaṃyuttādīni, yāni vā panaññānipi devatāsaṃyutta-mārasaṃyutta-brahmasaṃyutta-sakkapañha-cūḷavedalla-mahāvedalla-sāmaññaphala-āḷavaka-sūciloma-kharalomasuttādīni; tesaṃ pucchāvasiko nikkhepo.

    ยานิ ปน ตานิ อุปฺปนฺนํ การณํ ปฎิจฺจ กถิตานิ, เสยฺยถิทํ – ธมฺมทายาทํ, จูฬสีหนาทํ, จนฺทูปมํ, ปุตฺตมํสูปมํ, ทารุกฺขนฺธูปมํ, อคฺคิกฺขนฺธูปมํ, เผณปิณฺฑูปมํ, ปาริจฺฉตฺตกูปมนฺติ เอวมาทีนิ; เตสํ อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโปฯ

    Yāni pana tāni uppannaṃ kāraṇaṃ paṭicca kathitāni, seyyathidaṃ – dhammadāyādaṃ, cūḷasīhanādaṃ, candūpamaṃ, puttamaṃsūpamaṃ, dārukkhandhūpamaṃ, aggikkhandhūpamaṃ, pheṇapiṇḍūpamaṃ, pāricchattakūpamanti evamādīni; tesaṃ aṭṭhuppattiko nikkhepo.

    เอวเมเตสุ จตูสุ นิเกฺขเปสุ อิมสฺส สุตฺตสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโปฯ อฎฺฐุปฺปตฺติยา หิ อิทํ ภควตา นิกฺขิตฺตํฯ กตราย อฎฺฐุปฺปตฺติยา? วณฺณาวเณฺณฯ อาจริโย รตนตฺตยสฺส อวณฺณํ อภาสิ, อเนฺตวาสี วณฺณํฯ อิติ อิมํ วณฺณาวณฺณํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เทสนากุสโล ภควา – ‘‘มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร อวณฺณํ ภาเสยฺยุ’’นฺติ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ มมนฺติ , สามิวจนํ, มมาติ อโตฺถฯ วาสโทฺท วิกปฺปนโตฺถฯ ปเรติ, ปฎิวิรุทฺธา สตฺตาฯ ตตฺราติ เย อวณฺณํ วทนฺติ เตสุฯ

    Evametesu catūsu nikkhepesu imassa suttassa aṭṭhuppattiko nikkhepo. Aṭṭhuppattiyā hi idaṃ bhagavatā nikkhittaṃ. Katarāya aṭṭhuppattiyā? Vaṇṇāvaṇṇe. Ācariyo ratanattayassa avaṇṇaṃ abhāsi, antevāsī vaṇṇaṃ. Iti imaṃ vaṇṇāvaṇṇaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā desanākusalo bhagavā – ‘‘mamaṃ vā, bhikkhave, pare avaṇṇaṃ bhāseyyu’’nti desanaṃ ārabhi. Tattha mamanti , sāmivacanaṃ, mamāti attho. saddo vikappanattho. Pareti, paṭiviruddhā sattā. Tatrāti ye avaṇṇaṃ vadanti tesu.

    น อาฆาโตติอาทีหิ กิญฺจาปิ เตสํ ภิกฺขูนํ อาฆาโตเยว นตฺถิ, อถ โข อายติํ กุลปุตฺตานํ อีทิเสสุปิ ฐาเนสุ อกุสลุปฺปตฺติํ ปฎิเสเธโนฺต ธมฺมเนตฺติํ ฐเปติฯ ตตฺถ อาหนติ จิตฺตนฺติ ‘อาฆาโต’; โกปเสฺสตํ อธิวจนํฯ อปฺปตีตา โหนฺติ เตน อตุฎฺฐา อโสมนสฺสิกาติ อปฺปจฺจโย; โทมนสฺสเสฺสตํ อธิวจนํฯ เนว อตฺตโน น ปเรสํ หิตํ อภิราธยตีติ อนภิรทฺธิ; โกปเสฺสตํ อธิวจนํฯ เอวเมตฺถ ทฺวีหิ ปเทหิ สงฺขารกฺขโนฺธ, เอเกน เวทนากฺขโนฺธติ เทฺว ขนฺธา วุตฺตาฯ เตสํ วเสน เสสานมฺปิ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ การณํ ปฎิกฺขิตฺตเมวฯ

    Na āghātotiādīhi kiñcāpi tesaṃ bhikkhūnaṃ āghātoyeva natthi, atha kho āyatiṃ kulaputtānaṃ īdisesupi ṭhānesu akusaluppattiṃ paṭisedhento dhammanettiṃ ṭhapeti. Tattha āhanati cittanti ‘āghāto’; kopassetaṃ adhivacanaṃ. Appatītā honti tena atuṭṭhā asomanassikāti appaccayo; domanassassetaṃ adhivacanaṃ. Neva attano na paresaṃ hitaṃ abhirādhayatīti anabhiraddhi; kopassetaṃ adhivacanaṃ. Evamettha dvīhi padehi saṅkhārakkhandho, ekena vedanākkhandhoti dve khandhā vuttā. Tesaṃ vasena sesānampi sampayuttadhammānaṃ kāraṇaṃ paṭikkhittameva.

    เอวํ ปฐเมน นเยน มโนปโทสํ นิวาเรตฺวา, ทุติเยน นเยน ตตฺถ อาทีนวํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ตตฺร เจ ตุเมฺห อสฺสถ กุปิตา วา อนตฺตมนา วา, ตุมฺหํ เยวสฺส เตน อนฺตราโย’’ติฯ ตตฺถ ‘ตตฺร เจ ตุเมฺห อสฺสถา’ติ เตสุ อวณฺณภาสเกสุ, ตสฺมิํ วา อวเณฺณ ตุเมฺห ภเวยฺยาถ เจ; ยทิ ภเวยฺยาถาติ อโตฺถฯ ‘กุปิตา’ โกเปน, อนตฺตมนา โทมนเสฺสนฯ ‘ตุมฺหํ เยวสฺส เตน อนฺตราโย’ติ ตุมฺหากํเยว เตน โกเปน, ตาย จ อนตฺตมนตาย ปฐมชฺฌานาทีนํ อนฺตราโย ภเวยฺยฯ

    Evaṃ paṭhamena nayena manopadosaṃ nivāretvā, dutiyena nayena tattha ādīnavaṃ dassento āha – ‘‘tatra ce tumhe assatha kupitā vā anattamanā vā, tumhaṃ yevassa tena antarāyo’’ti. Tattha ‘tatra ce tumhe assathā’ti tesu avaṇṇabhāsakesu, tasmiṃ vā avaṇṇe tumhe bhaveyyātha ce; yadi bhaveyyāthāti attho. ‘Kupitā’ kopena, anattamanā domanassena. ‘Tumhaṃ yevassa tena antarāyo’ti tumhākaṃyeva tena kopena, tāya ca anattamanatāya paṭhamajjhānādīnaṃ antarāyo bhaveyya.

    เอวํ ทุติเยน นเยน อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา, ตติเยน นเยน วจนตฺถสลฺลกฺขณมเตฺตปิ อสมตฺถตํ ทเสฺสโนฺต – ‘‘อปิ นุ ตุเมฺห ปเรส’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปเรสนฺติ เยสํ เกสํ จิฯ กุปิโต หิ เนว พุทฺธปเจฺจกพุทฺธอริยสาวกานํ, น มาตาปิตูนํ, น ปจฺจตฺถิกานํ สุภาสิตทุพฺภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานาติฯ ยถาห –

    Evaṃ dutiyena nayena ādīnavaṃ dassetvā, tatiyena nayena vacanatthasallakkhaṇamattepi asamatthataṃ dassento – ‘‘api nu tumhe paresa’’ntiādimāha. Tattha paresanti yesaṃ kesaṃ ci. Kupito hi neva buddhapaccekabuddhaariyasāvakānaṃ, na mātāpitūnaṃ, na paccatthikānaṃ subhāsitadubbhāsitassa atthaṃ ājānāti. Yathāha –

    ‘‘กุโทฺธ อตฺถํ น ชานาติ, กุโทฺธ ธมฺมํ น ปสฺสติ;

    ‘‘Kuddho atthaṃ na jānāti, kuddho dhammaṃ na passati;

    อนฺธํ ตมํ ตทา โหติ, ยํ โกโธ สหเต นรํฯ

    Andhaṃ tamaṃ tadā hoti, yaṃ kodho sahate naraṃ.

    อนตฺถชนโน โกโธ, โกโธ จิตฺตปฺปโกปโน;

    Anatthajanano kodho, kodho cittappakopano;

    ภยมนฺตรโต ชาตํ, ตํ ชโน นาวพุชฺฌตี’’ติฯ (อ. นิ. ๗.๖๔);

    Bhayamantarato jātaṃ, taṃ jano nāvabujjhatī’’ti. (a. ni. 7.64);

    เอวํ สพฺพถาปิ อวเณฺณ มโนปโทสํ นิเสเธตฺวา อิทานิ ปฎิปชฺชิตพฺพาการํ ทเสฺสโนฺต – ‘‘ตตฺร ตุเมฺหหิ อภูตํ อภูตโต’’ติอาทิมาหฯ

    Evaṃ sabbathāpi avaṇṇe manopadosaṃ nisedhetvā idāni paṭipajjitabbākāraṃ dassento – ‘‘tatra tumhehi abhūtaṃ abhūtato’’tiādimāha.

    ตตฺถ ตตฺร ตุเมฺหหีติ, ตสฺมิํ อวเณฺณ ตุเมฺหหิฯ อภูตํ อภูตโต นิเพฺพเฐตพฺพนฺติ ยํ อภูตํ, ตํ อภูตภาเวเนว อปเนตพฺพํฯ กถํ? อิติเปตํ อภูตนฺติอาทินา นเยนฯ ตตฺรายํ โยชนา – ‘‘ตุมฺหากํ สตฺถา น สพฺพญฺญู, ธโมฺม ทุรกฺขาโต, สโงฺฆ ทุปฺปฎิปโนฺน’’ติอาทีนิ สุตฺวา น ตุณฺหี ภวิตพฺพํฯ เอวํ ปน วตฺตพฺพํ – ‘‘อิติ เปตํ อภูตํ, ยํ ตุเมฺหหิ วุตฺตํ, ตํ อิมินาปิ การเณน อภูตํ, อิมินาปิ การเณน อตจฺฉํ, ‘นตฺถิ เจตํ อเมฺหสุ’, ‘น จ ปเนตํ อเมฺหสุ สํวิชฺชติ’, สพฺพญฺญูเยว อมฺหากํ สตฺถา, สฺวากฺขาโต ธโมฺม, สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆ, ตตฺร อิทญฺจิทญฺจ การณ’’นฺติฯ เอตฺถ จ ทุติยํ ปทํ ปฐมสฺส, จตุตฺถญฺจ ตติยสฺส เววจนนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทญฺจ อวเณฺณเยว นิเพฺพฐนํ กาตพฺพํ, น สพฺพตฺถฯ ยทิ หิ ‘‘ตฺวํ ทุสฺสีโล, ตวาจริโย ทุสฺสีโล, อิทญฺจิทญฺจ ตยา กตํ, ตวาจริเยน กต’’นฺติ วุเตฺต ตุณฺหีภูโต อธิวาเสติ, อาสงฺกนีโย โหติฯ ตสฺมา มโนปโทสํ อกตฺวา อวโณฺณ นิเพฺพเฐตโพฺพฯ ‘‘โอโฎฺฐสิ, โคโณสี’’ติอาทินา ปน นเยน ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสนฺตํ ปุคฺคลํ อชฺฌุเปกฺขิตฺวา อธิวาสนขนฺติเยว ตตฺถ กาตพฺพาฯ

    Tattha tatra tumhehīti, tasmiṃ avaṇṇe tumhehi. Abhūtaṃ abhūtato nibbeṭhetabbanti yaṃ abhūtaṃ, taṃ abhūtabhāveneva apanetabbaṃ. Kathaṃ? Itipetaṃ abhūtantiādinā nayena. Tatrāyaṃ yojanā – ‘‘tumhākaṃ satthā na sabbaññū, dhammo durakkhāto, saṅgho duppaṭipanno’’tiādīni sutvā na tuṇhī bhavitabbaṃ. Evaṃ pana vattabbaṃ – ‘‘iti petaṃ abhūtaṃ, yaṃ tumhehi vuttaṃ, taṃ imināpi kāraṇena abhūtaṃ, imināpi kāraṇena atacchaṃ, ‘natthi cetaṃ amhesu’, ‘na ca panetaṃ amhesu saṃvijjati’, sabbaññūyeva amhākaṃ satthā, svākkhāto dhammo, suppaṭipanno saṅgho, tatra idañcidañca kāraṇa’’nti. Ettha ca dutiyaṃ padaṃ paṭhamassa, catutthañca tatiyassa vevacananti veditabbaṃ. Idañca avaṇṇeyeva nibbeṭhanaṃ kātabbaṃ, na sabbattha. Yadi hi ‘‘tvaṃ dussīlo, tavācariyo dussīlo, idañcidañca tayā kataṃ, tavācariyena kata’’nti vutte tuṇhībhūto adhivāseti, āsaṅkanīyo hoti. Tasmā manopadosaṃ akatvā avaṇṇo nibbeṭhetabbo. ‘‘Oṭṭhosi, goṇosī’’tiādinā pana nayena dasahi akkosavatthūhi akkosantaṃ puggalaṃ ajjhupekkhitvā adhivāsanakhantiyeva tattha kātabbā.

    . เอวํ อวณฺณภูมิยํ ตาทิลกฺขณํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วณฺณภูมิยํ ทเสฺสตุํ ‘‘มมํ วา, ภิกฺขเว, ปเร วณฺณํ ภาเสยฺยุ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปเรติ เย เกจิ ปสนฺนา เทวมนุสฺสาฯ อานนฺทนฺติ เอเตนาติ อานโนฺท, ปีติยา เอตํ อธิวจนํฯ สุมนสฺส ภาโว โสมนสฺสํ, เจตสิกสุขเสฺสตํ อธิวจนํฯ อุปฺปิลาวิโน ภาโว อุปฺปิลาวิตตฺตํฯ กสฺส อุปฺปิลาวิตตฺตนฺติ? เจตโสติฯ อุทฺธจฺจาวหาย อุปฺปิลาปนปีติยา เอตํ อธิวจนํฯ อิธาปิ ทฺวีหิ ปเทหิ สงฺขารกฺขโนฺธ, เอเกน เวทนากฺขโนฺธ วุโตฺตฯ

    6. Evaṃ avaṇṇabhūmiyaṃ tādilakkhaṇaṃ dassetvā idāni vaṇṇabhūmiyaṃ dassetuṃ ‘‘mamaṃ vā, bhikkhave, pare vaṇṇaṃ bhāseyyu’’ntiādimāha. Tattha pareti ye keci pasannā devamanussā. Ānandanti etenāti ānando, pītiyā etaṃ adhivacanaṃ. Sumanassa bhāvo somanassaṃ, cetasikasukhassetaṃ adhivacanaṃ. Uppilāvino bhāvo uppilāvitattaṃ. Kassa uppilāvitattanti? Cetasoti. Uddhaccāvahāya uppilāpanapītiyā etaṃ adhivacanaṃ. Idhāpi dvīhi padehi saṅkhārakkhandho, ekena vedanākkhandho vutto.

    เอวํ ปฐมนเยน อุปฺปิลาวิตตฺตํ นิวาเรตฺวา, ทุติเยน ตตฺถ อาทีนวํ ทเสฺสโนฺต – ‘‘ตตฺร เจ ตุเมฺห อสฺสถา’’ติอาทิมาหฯ อิธาปิ ตุมฺหํ เยวสฺส เตน อนฺตราโยติ เตน อุปฺปิลาวิตเตฺตน ตุมฺหากํเยว ปฐมชฺฌานาทีนํ อนฺตราโย ภเวยฺยาติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ กสฺมา ปเนตํ วุตฺตํ? นนุ ภควตา –

    Evaṃ paṭhamanayena uppilāvitattaṃ nivāretvā, dutiyena tattha ādīnavaṃ dassento – ‘‘tatra ce tumhe assathā’’tiādimāha. Idhāpi tumhaṃ yevassa tena antarāyoti tena uppilāvitattena tumhākaṃyeva paṭhamajjhānādīnaṃ antarāyo bhaveyyāti attho veditabbo. Kasmā panetaṃ vuttaṃ? Nanu bhagavatā –

    ‘‘พุโทฺธติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ;

    ‘‘Buddhoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti;

    วรเมว หิ สา ปีติ, กสิเณนาปิ ชมฺพุทีปสฺสฯ

    Varameva hi sā pīti, kasiṇenāpi jambudīpassa.

    ธโมฺมติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ;

    Dhammoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti;

    วรเมว หิ สา ปีติ, กสิเณนาปิ ชมฺพุทีปสฺสฯ

    Varameva hi sā pīti, kasiṇenāpi jambudīpassa.

    สโงฺฆติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ;

    Saṅghoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti;

    วรเมว หิ สา ปีติ, กสิเณนาปิ ชมฺพุทีปสฺสา’’ติ จฯ

    Varameva hi sā pīti, kasiṇenāpi jambudīpassā’’ti ca.

    ‘‘เย, ภิกฺขเว, พุเทฺธ ปสนฺนา, อเคฺค เต ปสนฺนา’’ติ จ เอวมาทีหิ อเนกสเตหิ สุเตฺตหิ รตนตฺตเย ปีติโสมนสฺสเมว วณฺณิตนฺติฯ สจฺจํ วณฺณิตํ, ตํ ปน เนกฺขมฺมนิสฺสิตํฯ อิธ – ‘‘อมฺหากํ พุโทฺธ, อมฺหากํ ธโมฺม’’ติอาทินา นเยน อายสฺมโต ฉนฺนสฺส อุปฺปนฺนสทิสํ เคหสฺสิตํ ปีติโสมนสฺสํ อธิเปฺปตํฯ อิทญฺหิ ฌานาทิปฎิลาภาย อนฺตรายกรํ โหติฯ เตเนวายสฺมา ฉโนฺนปิ ยาว พุโทฺธ น ปรินิพฺพายิ, ตาว วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิ, ปรินิพฺพานกาเล ปญฺญเตฺตน ปน พฺรหฺมทเณฺฑน ตชฺชิโต ตํ ปีติโสมนสฺสํ ปหาย วิเสสํ นิพฺพเตฺตสิฯ ตสฺมา อนฺตรายกรํเยว สนฺธาย อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อยญฺหิ โลภสหคตา ปีติฯ โลโภ จ โกธสทิโสวฯ ยถาห –

    ‘‘Ye, bhikkhave, buddhe pasannā, agge te pasannā’’ti ca evamādīhi anekasatehi suttehi ratanattaye pītisomanassameva vaṇṇitanti. Saccaṃ vaṇṇitaṃ, taṃ pana nekkhammanissitaṃ. Idha – ‘‘amhākaṃ buddho, amhākaṃ dhammo’’tiādinā nayena āyasmato channassa uppannasadisaṃ gehassitaṃ pītisomanassaṃ adhippetaṃ. Idañhi jhānādipaṭilābhāya antarāyakaraṃ hoti. Tenevāyasmā channopi yāva buddho na parinibbāyi, tāva visesaṃ nibbattetuṃ nāsakkhi, parinibbānakāle paññattena pana brahmadaṇḍena tajjito taṃ pītisomanassaṃ pahāya visesaṃ nibbattesi. Tasmā antarāyakaraṃyeva sandhāya idaṃ vuttanti veditabbaṃ. Ayañhi lobhasahagatā pīti. Lobho ca kodhasadisova. Yathāha –

    ‘‘ลุโทฺธ อตฺถํ น ชานาติ, ลุโทฺธ ธมฺมํ น ปสฺสติ;

    ‘‘Luddho atthaṃ na jānāti, luddho dhammaṃ na passati;

    อนฺธํ ตมํ ตทา โหติ, ยํ โลโภ สหเต นรํฯ

    Andhaṃ tamaṃ tadā hoti, yaṃ lobho sahate naraṃ.

    อนตฺถชนโน โลโภ, โลโภ จิตฺตปฺปโกปโน;

    Anatthajanano lobho, lobho cittappakopano;

    ภยมนฺตรโต ชาตํ, ตํ ชโน นาวพุชฺฌตี’’ติฯ (อิติวุ. ๘๘);

    Bhayamantarato jātaṃ, taṃ jano nāvabujjhatī’’ti. (itivu. 88);

    ตติยวาโร ปน อิธ อนาคโตปิ อตฺถโต อาคโต เยวาติ เวทิตโพฺพฯ ยเถว หิ กุโทฺธ, เอวํ ลุโทฺธปิ อตฺถํ น ชานาตีติฯ

    Tatiyavāro pana idha anāgatopi atthato āgato yevāti veditabbo. Yatheva hi kuddho, evaṃ luddhopi atthaṃ na jānātīti.

    ปฎิปชฺชิตพฺพาการทสฺสนวาเร ปนายํ โยชนา – ‘‘ตุมฺหากํ สตฺถา สพฺพญฺญู อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, ธโมฺม สฺวากฺขาโต, สโงฺฆ สุปฺปฎิปโนฺน’’ติอาทีนิ สุตฺวา น ตุณฺหี ภวิตพฺพํฯ เอวํ ปน ปฎิชานิตพฺพํ – ‘‘อิติเปตํ ภูตํ , ยํ ตุเมฺหหิ วุตฺตํ, ตํ อิมินาปิ การเณน ภูตํ, อิมินาปิ การเณน ตจฺฉํฯ โส หิ ภควา อิติปิ อรหํ, อิติปิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ; ธโมฺม อิติปิ สฺวากฺขาโต, อิติปิ สนฺทิฎฺฐิโก ; สโงฺฆ อิติปิ สุปฺปฎิปโนฺน, อิติปิ อุชุปฺปฎิปโนฺน’’ติฯ ‘‘ตฺวํ สีลวา’’ติ ปุจฺฉิเตนาปิ สเจ สีลวา, ‘‘สีลวาหมสฺมี’’ติ ปฎิชานิตพฺพเมวฯ ‘‘ตฺวํ ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี…เป.… อรหา’’ติ ปุเฎฺฐนาปิ สภาคานํ ภิกฺขูนํเยว ปฎิชานิตพฺพํฯ เอวญฺหิ ปาปิจฺฉตา เจว ปริวชฺชิตา โหติ, สาสนสฺส จ อโมฆตา ทีปิตา โหตีติฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Paṭipajjitabbākāradassanavāre panāyaṃ yojanā – ‘‘tumhākaṃ satthā sabbaññū arahaṃ sammāsambuddho, dhammo svākkhāto, saṅgho suppaṭipanno’’tiādīni sutvā na tuṇhī bhavitabbaṃ. Evaṃ pana paṭijānitabbaṃ – ‘‘itipetaṃ bhūtaṃ, yaṃ tumhehi vuttaṃ, taṃ imināpi kāraṇena bhūtaṃ, imināpi kāraṇena tacchaṃ. So hi bhagavā itipi arahaṃ, itipi sammāsambuddho; dhammo itipi svākkhāto, itipi sandiṭṭhiko ; saṅgho itipi suppaṭipanno, itipi ujuppaṭipanno’’ti. ‘‘Tvaṃ sīlavā’’ti pucchitenāpi sace sīlavā, ‘‘sīlavāhamasmī’’ti paṭijānitabbameva. ‘‘Tvaṃ paṭhamassa jhānassa lābhī…pe… arahā’’ti puṭṭhenāpi sabhāgānaṃ bhikkhūnaṃyeva paṭijānitabbaṃ. Evañhi pāpicchatā ceva parivajjitā hoti, sāsanassa ca amoghatā dīpitā hotīti. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.

    จูฬสีลวณฺณนา

    Cūḷasīlavaṇṇanā

    . อปฺปมตฺตกํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเวติ โก อนุสนฺธิ? อิทํ สุตฺตํ ทฺวีหิ ปเทหิ อาพทฺธํ วเณฺณน จ อวเณฺณน จฯ ตตฺถ อวโณฺณ – ‘‘อิติ เปตํ อภูตํ อิติ เปตํ อตจฺฉ’’นฺติ, เอเตฺถว อุทกนฺตํ ปตฺวา อคฺคิวิย นิวโตฺตฯ วโณฺณ ปน ภูตํ ภูตโต ปฎิชานิตพฺพํ – ‘‘อิติ เปตํ ภูต’’นฺติ เอวํ อนุวตฺตติเยวฯ โส ปน ทุวิโธ พฺรหฺมทเตฺตน ภาสิตวโณฺณ จ ภิกฺขุสเงฺฆน อจฺฉริยํ อาวุโสติอาทินา นเยน อารทฺธวโณฺณ จฯ เตสุ ภิกฺขุสเงฺฆน วุตฺตวณฺณสฺส อุปริ สุญฺญตาปกาสเน อนุสนฺธิํ ทเสฺสสฺสติฯ อิธ ปน พฺรหฺมทเตฺตน วุตฺตวณฺณสฺส อนุสนฺธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว’’ติ เทสนา อารทฺธาฯ

    7.Appamattakaṃ kho panetaṃ, bhikkhaveti ko anusandhi? Idaṃ suttaṃ dvīhi padehi ābaddhaṃ vaṇṇena ca avaṇṇena ca. Tattha avaṇṇo – ‘‘iti petaṃ abhūtaṃ iti petaṃ ataccha’’nti, ettheva udakantaṃ patvā aggiviya nivatto. Vaṇṇo pana bhūtaṃ bhūtato paṭijānitabbaṃ – ‘‘iti petaṃ bhūta’’nti evaṃ anuvattatiyeva. So pana duvidho brahmadattena bhāsitavaṇṇo ca bhikkhusaṅghena acchariyaṃ āvusotiādinā nayena āraddhavaṇṇo ca. Tesu bhikkhusaṅghena vuttavaṇṇassa upari suññatāpakāsane anusandhiṃ dassessati. Idha pana brahmadattena vuttavaṇṇassa anusandhiṃ dassetuṃ ‘‘appamattakaṃ kho panetaṃ, bhikkhave’’ti desanā āraddhā.

    ตตฺถ อปฺปมตฺตกนฺติ ปริตฺตสฺส นามํฯ โอรมตฺตกนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ มตฺตาติ วุจฺจติ ปมาณํฯ อปฺปํ มตฺตา เอตสฺสาติ อปฺปมตฺตกํฯ โอรํ มตฺตา เอตสฺสาติ โอรมตฺตกํฯ สีลเมว สีลมตฺตกํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘อปฺปมตฺตกํ โข, ปเนตํ ภิกฺขเว, โอรมตฺตกํ สีลมตฺตกํ’ นาม เยน ‘‘ตถาคตสฺส วณฺณํ วทามี’’ติ อุสฺสาหํ กตฺวาปิ วณฺณํ วทมาโน ปุถุชฺชโน วเทยฺยาติฯ ตตฺถ สิยา – นนุ อิทํ สีลํ นาม โยคิโน อคฺควิภูสนํ? ยถาหุ โปราณา –

    Tattha appamattakanti parittassa nāmaṃ. Oramattakanti tasseva vevacanaṃ. Mattāti vuccati pamāṇaṃ. Appaṃ mattā etassāti appamattakaṃ. Oraṃ mattā etassāti oramattakaṃ. Sīlameva sīlamattakaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘appamattakaṃ kho, panetaṃ bhikkhave, oramattakaṃ sīlamattakaṃ’ nāma yena ‘‘tathāgatassa vaṇṇaṃ vadāmī’’ti ussāhaṃ katvāpi vaṇṇaṃ vadamāno puthujjano vadeyyāti. Tattha siyā – nanu idaṃ sīlaṃ nāma yogino aggavibhūsanaṃ? Yathāhu porāṇā –

    ‘‘สีลํ โยคิสฺส’ลงฺกาโร, สีลํ โยคิสฺส มณฺฑนํ;

    ‘‘Sīlaṃ yogissa’laṅkāro, sīlaṃ yogissa maṇḍanaṃ;

    สีเลหิ’ลงฺกโต โยคี, มณฺฑเน อคฺคตํ คโต’’ติฯ

    Sīlehi’laṅkato yogī, maṇḍane aggataṃ gato’’ti.

    ภควตาปิ จ อเนเกสุ สุตฺตสเตสุ สีลํ มหนฺตเมว กตฺวา กถิตํฯ ยถาห – ‘‘อากเงฺขยฺย เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ‘สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จสฺสํ มนาโป จ ครุ จ ภาวนีโย จา’ติ, สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการี’’ติ (ม. นิ. ๑.๖๕) จฯ

    Bhagavatāpi ca anekesu suttasatesu sīlaṃ mahantameva katvā kathitaṃ. Yathāha – ‘‘ākaṅkheyya ce, bhikkhave, bhikkhu ‘sabrahmacārīnaṃ piyo cassaṃ manāpo ca garu ca bhāvanīyo cā’ti, sīlesvevassa paripūrakārī’’ti (ma. ni. 1.65) ca.

    ‘‘กิกีว อณฺฑํ, จมรีว วาลธิํ;

    ‘‘Kikīva aṇḍaṃ, camarīva vāladhiṃ;

    ปิยํว ปุตฺตํ, นยนํว เอกกํฯ

    Piyaṃva puttaṃ, nayanaṃva ekakaṃ.

    ตเถว สีลํ, อนุรกฺขมานา;

    Tatheva sīlaṃ, anurakkhamānā;

    สุเปสลา โหถ, สทา สคารวา’’ติ จฯ

    Supesalā hotha, sadā sagāravā’’ti ca.

    ‘‘น ปุปฺผคโนฺธ ปฎิวาตเมติ;

    ‘‘Na pupphagandho paṭivātameti;

    น จนฺทนํ ตคฺครมลฺลิกา วาฯ

    Na candanaṃ taggaramallikā vā.

    สตญฺจ คโนฺธ ปฎิวาตเมติ;

    Satañca gandho paṭivātameti;

    สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติฯ

    Sabbā disā sappuriso pavāyati.

    จนฺทนํ ตครํ วาปิ, อุปฺปลํ อถ วสฺสิกี;

    Candanaṃ tagaraṃ vāpi, uppalaṃ atha vassikī;

    เอเตสํ คนฺธชาตานํ, สีลคโนฺธ อนุตฺตโรฯ

    Etesaṃ gandhajātānaṃ, sīlagandho anuttaro.

    อปฺปมโตฺต อยํ คโนฺธ, ยฺวายํ ตครจนฺทนํ;

    Appamatto ayaṃ gandho, yvāyaṃ tagaracandanaṃ;

    โย จ สีลวตํ คโนฺธ, วาติ เทเวสุ อุตฺตโมฯ

    Yo ca sīlavataṃ gandho, vāti devesu uttamo.

    เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ, อปฺปมาทวิหารินํ;

    Tesaṃ sampannasīlānaṃ, appamādavihārinaṃ;

    สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ, มาโร มคฺคํ น วินฺทตี’’ติ จฯ (ธ. ป. ๕๗);

    Sammadaññā vimuttānaṃ, māro maggaṃ na vindatī’’ti ca. (dha. pa. 57);

    ‘‘สีเล ปติฎฺฐาย นโร สปโญฺญ, จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ;

    ‘‘Sīle patiṭṭhāya naro sapañño, cittaṃ paññañca bhāvayaṃ;

    อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ, โส อิมํ วิชฎเย ชฎ’’นฺติ จฯ (สํ. นิ. ๑.๒๓);

    Ātāpī nipako bhikkhu, so imaṃ vijaṭaye jaṭa’’nti ca. (saṃ. ni. 1.23);

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, เย เกจิ พีชคามภูตคามา วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ อาปชฺชนฺติ, สเพฺพ เต ปถวิํ นิสฺสาย, ปถวิยํ ปติฎฺฐาย; เอวเมเต พีชคามภูตคามา วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ อาปชฺชนฺติฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สีลํ นิสฺสาย สีเล ปติฎฺฐาย สตฺตโพชฺฌเงฺค ภาเวโนฺต สตฺตโพชฺฌเงฺค พหุลีกโรโนฺต วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ ปาปุณาติ ธเมฺมสู’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๕๐) จฯ เอวํ อญฺญานิปิ อเนกานิ สุตฺตานิ ทฎฺฐพฺพานิฯ เอวมเนเกสุ สุตฺตสเตสุ สีลํ มหนฺตเมว กตฺวา กถิตํฯ ตํ ‘‘กสฺมา อิมสฺมิํ ฐาเน อปฺปมตฺตก’’นฺติ อาหาติ? อุปริ คุเณ อุปนิธายฯ สีลญฺหิ สมาธิํ น ปาปุณาติ, สมาธิ ปญฺญํ น ปาปุณาติ, ตสฺมา อุปริมํ อุปนิธาย เหฎฺฐิมํ โอรมตฺตกํ นาม โหติฯ กถํ สีลํ สมาธิํ น ปาปุณาติ? ภควา หิ อภิสโมฺพธิโต สตฺตเม สํวจฺฉเร สาวตฺถินคร – ทฺวาเร กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล ทฺวาทสโยชเน รตนมณฺฑเป โยชนปฺปมาเณ รตนปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา ติโยชนิเก ทิพฺพเสตจฺฉเตฺต ธาริยมาเน ทฺวาทสโยชนาย ปริสาย อตฺตาทานปริทีปนํ ติตฺถิยมทฺทนํ – ‘‘อุปริมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, เหฎฺฐิมกายโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… เอเกกโลมกูปโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, เอเกกโลมกูปโต อุทกธารา ปวตฺตติ, ฉนฺนํ วณฺณาน’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตํ ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสติฯ ตสฺส สุวณฺณวณฺณสรีรโต สุวณฺณวณฺณา รสฺมิโย อุคฺคนฺตฺวา ยาว ภวคฺคา คจฺฉนฺติ, สกลทสสหสฺสจกฺกวาฬสฺส อลงฺกรณกาโล วิย โหติ, ทุติยา ทุติยา รสฺมิโย ปุริมาย ปุริมาย ยมกยมกา วิย เอกกฺขเณ วิย ปวตฺตนฺติฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, ye keci bījagāmabhūtagāmā vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ āpajjanti, sabbe te pathaviṃ nissāya, pathaviyaṃ patiṭṭhāya; evamete bījagāmabhūtagāmā vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ āpajjanti. Evameva kho, bhikkhave, bhikkhu sīlaṃ nissāya sīle patiṭṭhāya sattabojjhaṅge bhāvento sattabojjhaṅge bahulīkaronto vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ pāpuṇāti dhammesū’’ti (saṃ. ni. 5.150) ca. Evaṃ aññānipi anekāni suttāni daṭṭhabbāni. Evamanekesu suttasatesu sīlaṃ mahantameva katvā kathitaṃ. Taṃ ‘‘kasmā imasmiṃ ṭhāne appamattaka’’nti āhāti? Upari guṇe upanidhāya. Sīlañhi samādhiṃ na pāpuṇāti, samādhi paññaṃ na pāpuṇāti, tasmā uparimaṃ upanidhāya heṭṭhimaṃ oramattakaṃ nāma hoti. Kathaṃ sīlaṃ samādhiṃ na pāpuṇāti? Bhagavā hi abhisambodhito sattame saṃvacchare sāvatthinagara – dvāre kaṇḍambarukkhamūle dvādasayojane ratanamaṇḍape yojanappamāṇe ratanapallaṅke nisīditvā tiyojanike dibbasetacchatte dhāriyamāne dvādasayojanāya parisāya attādānaparidīpanaṃ titthiyamaddanaṃ – ‘‘uparimakāyato aggikkhandho pavattati, heṭṭhimakāyato udakadhārā pavattati…pe… ekekalomakūpato aggikkhandho pavattati, ekekalomakūpato udakadhārā pavattati, channaṃ vaṇṇāna’’ntiādinayappavattaṃ yamakapāṭihāriyaṃ dasseti. Tassa suvaṇṇavaṇṇasarīrato suvaṇṇavaṇṇā rasmiyo uggantvā yāva bhavaggā gacchanti, sakaladasasahassacakkavāḷassa alaṅkaraṇakālo viya hoti, dutiyā dutiyā rasmiyo purimāya purimāya yamakayamakā viya ekakkhaṇe viya pavattanti.

    ทฺวินฺนญฺจ จิตฺตานํ เอกกฺขเณ ปวตฺติ นาม นตฺถิฯ พุทฺธานํ ปน ภควนฺตานํ ภวงฺคปริวาสสฺส ลหุกตาย ปญฺจหากาเรหิ อาจิณฺณวสิตาย จ, ตา เอกกฺขเณ วิย ปวตฺตนฺติฯ ตสฺสา ตสฺสา ปน รสฺมิยา อาวชฺชนปริกมฺมาธิฎฺฐานานิ วิสุํ วิสุํเยวฯ

    Dvinnañca cittānaṃ ekakkhaṇe pavatti nāma natthi. Buddhānaṃ pana bhagavantānaṃ bhavaṅgaparivāsassa lahukatāya pañcahākārehi āciṇṇavasitāya ca, tā ekakkhaṇe viya pavattanti. Tassā tassā pana rasmiyā āvajjanaparikammādhiṭṭhānāni visuṃ visuṃyeva.

    นีลรสฺมิอตฺถาย หิ ภควา นีลกสิณํ สมาปชฺชติ, ปีตรสฺมิอตฺถาย ปีตกสิณํ, โลหิตโอทาตรสฺมิอตฺถาย โลหิตโอทาตกสิณํ, อคฺคิกฺขนฺธตฺถาย เตโชกสิณํ, อุทกธารตฺถาย อาโปกสิณํ สมาปชฺชติฯ สตฺถา จงฺกมติ, นิมฺมิโต ติฎฺฐติ วา นิสีทติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปตีติ สพฺพํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ เอตฺถ เอกมฺปิ สีลสฺส กิจฺจํ นตฺถิ, สพฺพํ สมาธิกิจฺจเมวฯ เอวํ สีลํ สมาธิํ น ปาปุณาติฯ

    Nīlarasmiatthāya hi bhagavā nīlakasiṇaṃ samāpajjati, pītarasmiatthāya pītakasiṇaṃ, lohitaodātarasmiatthāya lohitaodātakasiṇaṃ, aggikkhandhatthāya tejokasiṇaṃ, udakadhāratthāya āpokasiṇaṃ samāpajjati. Satthā caṅkamati, nimmito tiṭṭhati vā nisīdati vā seyyaṃ vā kappetīti sabbaṃ vitthāretabbaṃ. Ettha ekampi sīlassa kiccaṃ natthi, sabbaṃ samādhikiccameva. Evaṃ sīlaṃ samādhiṃ na pāpuṇāti.

    ยํ ปน ภควา กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรตฺวา, เอกูนติํสวสฺสกาเล จกฺกวตฺติสิรีนิวาสภูตา ภวนา นิกฺขมฺม อโนมานทีตีเร ปพฺพชิตฺวา, ฉพฺพสฺสานิ ปธานโยคํ กตฺวา, วิสาขปุณฺณมายํ อุรุเวลคาเม สุชาตาย ทินฺนํ ปกฺขิตฺตทิโพฺพชํ มธุปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา, สายนฺหสมเย ทกฺขิณุตฺตเรน โพธิมณฺฑํ ปวิสิตฺวา อสฺสตฺถทุมราชานํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา, ปุพฺพุตฺตรภาเค ฐิโต ติณสนฺถารํ สนฺถริตฺวา, ติสนฺธิปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ เมตฺตากมฺมฎฺฐานํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา, วีริยาธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐาย, จุทฺทสหตฺถปลฺลงฺกวรคโต สุวณฺณปีเฐ ฐปิตํ รชตกฺขนฺธํ วิย ปญฺญาสหตฺถํ โพธิกฺขนฺธํ ปิฎฺฐิโต กตฺวา, อุปริ มณิฉเตฺตน วิย โพธิสาขาย ธาริยมาโน, สุวณฺณวเณฺณ จีวเร ปวาฬสทิเสสุ โพธิองฺกุเรสุ ปตมาเนสุ, สูริเย อตฺถํ อุปคจฺฉเนฺต มารพลํ วิธมิตฺวา, ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริตฺวา, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา, ปจฺจูสกาเล สพฺพพุทฺธานมาจิเณฺณ ปจฺจยากาเร ญาณํ โอตาเรตฺวา, อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา, ตเทว ปาทกํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา, มคฺคปฎิปาฎิยา อธิคเตน จตุตฺถมเคฺคน สพฺพกิเลเส เขเปตฺวา สพฺพพุทฺธคุเณ ปฎิวิชฺฌิ, อิทมสฺส ปญฺญากิจฺจํฯ เอวํ สมาธิ ปญฺญํ น ปาปุณาติฯ

    Yaṃ pana bhagavā kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūretvā, ekūnatiṃsavassakāle cakkavattisirīnivāsabhūtā bhavanā nikkhamma anomānadītīre pabbajitvā, chabbassāni padhānayogaṃ katvā, visākhapuṇṇamāyaṃ uruvelagāme sujātāya dinnaṃ pakkhittadibbojaṃ madhupāyāsaṃ paribhuñjitvā, sāyanhasamaye dakkhiṇuttarena bodhimaṇḍaṃ pavisitvā assatthadumarājānaṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā, pubbuttarabhāge ṭhito tiṇasanthāraṃ santharitvā, tisandhipallaṅkaṃ ābhujitvā, caturaṅgasamannāgataṃ mettākammaṭṭhānaṃ pubbaṅgamaṃ katvā, vīriyādhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhāya, cuddasahatthapallaṅkavaragato suvaṇṇapīṭhe ṭhapitaṃ rajatakkhandhaṃ viya paññāsahatthaṃ bodhikkhandhaṃ piṭṭhito katvā, upari maṇichattena viya bodhisākhāya dhāriyamāno, suvaṇṇavaṇṇe cīvare pavāḷasadisesu bodhiaṅkuresu patamānesu, sūriye atthaṃ upagacchante mārabalaṃ vidhamitvā, paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussaritvā, majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā, paccūsakāle sabbabuddhānamāciṇṇe paccayākāre ñāṇaṃ otāretvā, ānāpānacatutthajjhānaṃ nibbattetvā, tadeva pādakaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā, maggapaṭipāṭiyā adhigatena catutthamaggena sabbakilese khepetvā sabbabuddhaguṇe paṭivijjhi, idamassa paññākiccaṃ. Evaṃ samādhi paññaṃ na pāpuṇāti.

    ตตฺถ ยถา หเตฺถ อุทกํ ปาติยํ อุทกํ น ปาปุณาติ, ปาติยํ อุทกํ ฆเฎ อุทกํ น ปาปุณาติ, ฆเฎ อุทกํ โกลเมฺพ อุทกํ น ปาปุณาติ, โกลเมฺพ อุทกํ จาฎิยํ อุทกํ น ปาปุณาติ, จาฎิยํ อุทกํ มหากุมฺภิยํ อุทกํ น ปาปุณาติ, มหากุมฺภิยํ อุทกํ กุโสเพฺภ อุทกํ น ปาปุณาติ, กุโสเพฺภ อุทกํ กนฺทเร อุทกํ น ปาปุณาติ, กนฺทเร อุทกํ กุนฺนทิยํ อุทกํ น ปาปุณาติ, กุนฺนทิยํ อุทกํ ปญฺจมหานทิยํ อุทกํ น ปาปุณาติ, ปญฺจมหานทิยํ อุทกํ จกฺกวาฬมหาสมุเทฺท อุทกํ น ปาปุณาติ, จกฺกวาฬมหาสมุเทฺท อุทกํ สิเนรุปาทเก มหาสมุเทฺท อุทกํ น ปาปุณาติฯ ปาติยํ อุทกํ อุปนิธาย หเตฺถ อุทกํ ปริตฺตํ…เป.… สิเนรุปาทกมหาสมุเทฺท อุทกํ อุปนิธาย จกฺกวาฬมหาสมุเทฺท อุทกํ ปริตฺตํฯ อิติ อุปรูปริ อุทกํ พหุกํ อุปาทาย เหฎฺฐา เหฎฺฐา อุทกํ ปริตฺตํ โหติฯ

    Tattha yathā hatthe udakaṃ pātiyaṃ udakaṃ na pāpuṇāti, pātiyaṃ udakaṃ ghaṭe udakaṃ na pāpuṇāti, ghaṭe udakaṃ kolambe udakaṃ na pāpuṇāti, kolambe udakaṃ cāṭiyaṃ udakaṃ na pāpuṇāti, cāṭiyaṃ udakaṃ mahākumbhiyaṃ udakaṃ na pāpuṇāti, mahākumbhiyaṃ udakaṃ kusobbhe udakaṃ na pāpuṇāti, kusobbhe udakaṃ kandare udakaṃ na pāpuṇāti, kandare udakaṃ kunnadiyaṃ udakaṃ na pāpuṇāti, kunnadiyaṃ udakaṃ pañcamahānadiyaṃ udakaṃ na pāpuṇāti, pañcamahānadiyaṃ udakaṃ cakkavāḷamahāsamudde udakaṃ na pāpuṇāti, cakkavāḷamahāsamudde udakaṃ sinerupādake mahāsamudde udakaṃ na pāpuṇāti. Pātiyaṃ udakaṃ upanidhāya hatthe udakaṃ parittaṃ…pe… sinerupādakamahāsamudde udakaṃ upanidhāya cakkavāḷamahāsamudde udakaṃ parittaṃ. Iti uparūpari udakaṃ bahukaṃ upādāya heṭṭhā heṭṭhā udakaṃ parittaṃ hoti.

    เอวเมว อุปริ อุปริ คุเณ อุปาทาย เหฎฺฐา เหฎฺฐา สีลํ อปฺปมตฺตกํ โอรมตฺตกนฺติ เวทิตพฺพํฯ เตนาห – ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, โอรมตฺตกํ สีลมตฺตก’’นฺติฯ

    Evameva upari upari guṇe upādāya heṭṭhā heṭṭhā sīlaṃ appamattakaṃ oramattakanti veditabbaṃ. Tenāha – ‘‘appamattakaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, oramattakaṃ sīlamattaka’’nti.

    เยน ปุถุชฺชโนติ, เอตฺถ –

    Yenaputhujjanoti, ettha –

    ‘‘ทุเว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, พุเทฺธนาทิจฺจพนฺธุนา;

    ‘‘Duve puthujjanā vuttā, buddhenādiccabandhunā;

    อโนฺธ ปุถุชฺชโน เอโก, กลฺยาเณโก ปุถุชฺชโน’’ติฯ

    Andho puthujjano eko, kalyāṇeko puthujjano’’ti.

    ตตฺถ ยสฺส ขนฺธธาตุอายตนาทีสุ อุคฺคหปริปุจฺฉาสวนธารณปจฺจเวกฺขณานิ นตฺถิ, อยํ อนฺธปุถุชฺชโนฯ ยสฺส ตานิ อตฺถิ, โส กลฺยาณปุถุชฺชโนฯ ทุวิโธปิ ปเนส –

    Tattha yassa khandhadhātuāyatanādīsu uggahaparipucchāsavanadhāraṇapaccavekkhaṇāni natthi, ayaṃ andhaputhujjano. Yassa tāni atthi, so kalyāṇaputhujjano. Duvidhopi panesa –

    ‘‘ปุถูนํ ชนนาทีหิ, การเณหิ ปุถุชฺชโน;

    ‘‘Puthūnaṃ jananādīhi, kāraṇehi puthujjano;

    ปุถุชฺชนโนฺตคธตฺตา, ปุถุวายํ ชโน อิติ’’ฯ

    Puthujjanantogadhattā, puthuvāyaṃ jano iti’’.

    โส หิ ปุถูนํ นานปฺปการานํ กิเลสาทีนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโนฯ ยถาห –

    So hi puthūnaṃ nānappakārānaṃ kilesādīnaṃ jananādīhi kāraṇehi puthujjano. Yathāha –

    ‘‘ปุถุ กิเลเส ชเนนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ อวิหตสกฺกายทิฎฺฐิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สตฺถารานํ มุขุโลฺลกิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สพฺพคตีหิ อวุฎฺฐิตาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาภิสงฺขาเร อภิสงฺขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาโอเฆหิ วุยฺหนฺติ, ปุถุ สนฺตาเปหิ สนฺตปฺปนฺติ, ปุถุ ปริฬาเหหิ ปริฑยฺหนฺติ, ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รตฺตา คิทฺธา คถิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌปนฺนา ลคฺคา ลคฺคิตา ปลิพุทฺธาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจหิ นีวรเณหิ อาวุตา นิวุตา โอวุตา ปิหิตา ปฎิจฺฉนฺนา ปฎิกุชฺชิตาติ ปุถุชฺชนา’’ติฯ ปุถูนํ คณนปถมตีตานํ อริยธมฺมปรมฺมุขานํ นีจธมฺมสมาจารานํ ชนานํ อโนฺตคธตฺตาปิ ปุถุชฺชโน, ปุถุวายํ วิสุํเยว สงฺขฺยํ คโต วิสํสโฎฺฐ สีลสุตาทิคุณยุเตฺตหิ อริเยหิ ชเนหีติ ปุถุชฺชโนติฯ

    ‘‘Puthu kilese janentīti puthujjanā, puthu avihatasakkāyadiṭṭhikāti puthujjanā, puthu satthārānaṃ mukhullokikāti puthujjanā, puthu sabbagatīhi avuṭṭhitāti puthujjanā, puthu nānābhisaṅkhāre abhisaṅkharontīti puthujjanā, puthu nānāoghehi vuyhanti, puthu santāpehi santappanti, puthu pariḷāhehi pariḍayhanti, puthu pañcasu kāmaguṇesu rattā giddhā gathitā mucchitā ajjhopannā laggā laggitā palibuddhāti puthujjanā, puthu pañcahi nīvaraṇehi āvutā nivutā ovutā pihitā paṭicchannā paṭikujjitāti puthujjanā’’ti. Puthūnaṃ gaṇanapathamatītānaṃ ariyadhammaparammukhānaṃ nīcadhammasamācārānaṃ janānaṃ antogadhattāpi puthujjano, puthuvāyaṃ visuṃyeva saṅkhyaṃ gato visaṃsaṭṭho sīlasutādiguṇayuttehi ariyehi janehīti puthujjanoti.

    ตถาคตสฺสาติ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโตฯ ตถา อาคโตติ ตถาคโต, ตถา คโตติ ตถาคโต, ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต, ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต, ตถทสฺสิตาย ตถาคโต, ตถวาทิตาย ตถาคโต, ตถาการิตาย ตถาคโต, อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตติฯ

    Tathāgatassāti aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgato. Tathā āgatoti tathāgato, tathā gatoti tathāgato, tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato, tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato, tathadassitāya tathāgato, tathavāditāya tathāgato, tathākāritāya tathāgato, abhibhavanaṭṭhena tathāgatoti.

    กถํ ภควา ตถา อาคโตติ ตถาคโต? ยถา สพฺพโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปนฺนา ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา อาคตา, ยถา วิปสฺสี ภควา อาคโต, ยถา สิขี ภควา, ยถา เวสฺสภู ภควา, ยถา กกุสโนฺธ ภควา, ยถา โกณาคมโน ภควา, ยถา กสฺสโป ภควา อาคโต ฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? เยน อภินีหาเรน เอเต ภควโนฺต อาคตา, เตเนว อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตฯ อถ วา ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… ยถา กสฺสโป ภควา ทานปารมิํ ปูเรตฺวา, สีลเนกฺขมฺมปญฺญาวีริยขนฺติสจฺจอธิฎฺฐานเมตฺตาอุเปกฺขาปารมิํ ปูเรตฺวา, อิมา ทส ปารมิโย, ทส อุปปารมิโย, ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมติํสปารมิโย ปูเรตฺวา องฺคปริจฺจาคํ, นยนธนรชฺชปุตฺตทารปริจฺจาคนฺติ อิเม ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชิตฺวา ปุพฺพโยคปุพฺพจริยธมฺมกฺขานญาตตฺถจริยาทโย ปูเรตฺวา พุทฺธิจริยาย โกฎิํ ปตฺวา อาคโต; ตถา อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตฯ อถ วา ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… กสฺสโป ภควา จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน, จตฺตาโร สมฺมปฺปธาเน, จตฺตาโร อิทฺธิปาเท, ปญฺจินฺทฺริยานิ, ปญฺจ พลานิ, สตฺต โพชฺฌเงฺค, อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวตฺวา พฺรูเหตฺวา อาคโต, ตถา อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตฯ เอวํ ตถา อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Kathaṃ bhagavā tathā āgatoti tathāgato? Yathā sabbalokahitāya ussukkamāpannā purimakā sammāsambuddhā āgatā, yathā vipassī bhagavā āgato, yathā sikhī bhagavā, yathā vessabhū bhagavā, yathā kakusandho bhagavā, yathā koṇāgamano bhagavā, yathā kassapo bhagavā āgato . Kiṃ vuttaṃ hoti? Yena abhinīhārena ete bhagavanto āgatā, teneva amhākampi bhagavā āgato. Atha vā yathā vipassī bhagavā…pe… yathā kassapo bhagavā dānapāramiṃ pūretvā, sīlanekkhammapaññāvīriyakhantisaccaadhiṭṭhānamettāupekkhāpāramiṃ pūretvā, imā dasa pāramiyo, dasa upapāramiyo, dasa paramatthapāramiyoti samatiṃsapāramiyo pūretvā aṅgapariccāgaṃ, nayanadhanarajjaputtadārapariccāganti ime pañca mahāpariccāge pariccajitvā pubbayogapubbacariyadhammakkhānañātatthacariyādayo pūretvā buddhicariyāya koṭiṃ patvā āgato; tathā amhākampi bhagavā āgato. Atha vā yathā vipassī bhagavā…pe… kassapo bhagavā cattāro satipaṭṭhāne, cattāro sammappadhāne, cattāro iddhipāde, pañcindriyāni, pañca balāni, satta bojjhaṅge, ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvetvā brūhetvā āgato, tathā amhākampi bhagavā āgato. Evaṃ tathā āgatoti tathāgato.

    ‘‘ยเถว โลกมฺหิ วิปสฺสิอาทโย,

    ‘‘Yatheva lokamhi vipassiādayo,

    สพฺพญฺญุภาวํ มุนโย อิธาคตา;

    Sabbaññubhāvaṃ munayo idhāgatā;

    ตถา อยํ สกฺยมุนีปิ อาคโต,

    Tathā ayaṃ sakyamunīpi āgato,

    ตถาคโต วุจฺจติ เตน จกฺขุมา’’ติฯ

    Tathāgato vuccati tena cakkhumā’’ti.

    เอวํ ตถา อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Evaṃ tathā āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถา คโตติ ตถาคโต? ยถา สมฺปติชาโต วิปสฺสี ภควา คโต…เป.… กสฺสโป ภควา คโตฯ

    Kathaṃ tathā gatoti tathāgato? Yathā sampatijāto vipassī bhagavā gato…pe… kassapo bhagavā gato.

    กถญฺจ โส ภควา คโต ? โส หิ สมฺปติ ชาโตว สเมหิ ปาเทหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐาย อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คโตฯ ยถาห – ‘‘สมฺปติชาโต โข, อานนฺท, โพธิสโตฺต สเมหิ ปาเทหิ ปติฎฺฐหิตฺวา อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คจฺฉติ, เสตมฺหิ ฉเตฺต อนุธาริยมาเน สพฺพา จ ทิสา อนุวิโลเกติ, อาสภิํ วาจํ ภาสติ – ‘อโคฺคหมสฺมิ โลกสฺส, เชโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว’ติ’’ (ที. นิ. ๒.๓๑)ฯ

    Kathañca so bhagavā gato ? So hi sampati jātova samehi pādehi pathaviyaṃ patiṭṭhāya uttarābhimukho sattapadavītihārena gato. Yathāha – ‘‘sampatijāto kho, ānanda, bodhisatto samehi pādehi patiṭṭhahitvā uttarābhimukho sattapadavītihārena gacchati, setamhi chatte anudhāriyamāne sabbā ca disā anuviloketi, āsabhiṃ vācaṃ bhāsati – ‘aggohamasmi lokassa, jeṭṭhohamasmi lokassa, seṭṭhohamasmi lokassa, ayamantimā jāti, natthidāni punabbhavo’ti’’ (dī. ni. 2.31).

    ตญฺจสฺส คมนํ ตถํ อโหสิ? อวิตถํ อเนเกสํ วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนฯ ยญฺหิ โส สมฺปติชาโตว สเมหิ ปาเทหิ ปติฎฺฐหิฯ อิทมสฺส จตุริทฺธิปาทปฎิลาภสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ

    Tañcassa gamanaṃ tathaṃ ahosi? Avitathaṃ anekesaṃ visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvena. Yañhi so sampatijātova samehi pādehi patiṭṭhahi. Idamassa caturiddhipādapaṭilābhassa pubbanimittaṃ.

    อุตฺตราภิมุขภาโว ปน สพฺพโลกุตฺตรภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ

    Uttarābhimukhabhāvo pana sabbalokuttarabhāvassa pubbanimittaṃ.

    สตฺตปทวีติหาโร, สตฺตโพชฺฌงฺครตนปฎิลาภสฺสฯ

    Sattapadavītihāro, sattabojjhaṅgaratanapaṭilābhassa.

    ‘‘สุวณฺณทณฺฑา วีติปตนฺติ จามรา’’ติ, เอตฺถ วุตฺตจามรุเกฺขโป ปน สพฺพติตฺถิยนิมฺมทฺทนสฺสฯ

    ‘‘Suvaṇṇadaṇḍā vītipatanti cāmarā’’ti, ettha vuttacāmarukkhepo pana sabbatitthiyanimmaddanassa.

    เสตจฺฉตฺตธารณํ, อรหตฺตวิมุตฺติวรวิมลเสตจฺฉตฺตปฎิลาภสฺสฯ

    Setacchattadhāraṇaṃ, arahattavimuttivaravimalasetacchattapaṭilābhassa.

    สตฺตมปทูปริ ฐตฺวา สพฺพทิสานุวิโลกนํ, สพฺพญฺญุตานาวรณญาณปฎิลาภสฺสฯ

    Sattamapadūpari ṭhatvā sabbadisānuvilokanaṃ, sabbaññutānāvaraṇañāṇapaṭilābhassa.

    อาสภิวาจาภาสนํ อปฺปฎิวตฺติยวรธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ

    Āsabhivācābhāsanaṃ appaṭivattiyavaradhammacakkappavattanassa pubbanimittaṃ.

    ตถา อยํ ภควาปิ คโต, ตญฺจสฺส คมนํ ตถํ อโหสิ, อวิตถํ, เตสํเยว วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนฯ

    Tathā ayaṃ bhagavāpi gato, tañcassa gamanaṃ tathaṃ ahosi, avitathaṃ, tesaṃyeva visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvena.

    เตนาหุ โปราณา –

    Tenāhu porāṇā –

    ‘‘มุหุตฺตชาโตว ควมฺปตี ยถา,

    ‘‘Muhuttajātova gavampatī yathā,

    สเมหิ ปาเทหิ ผุสี วสุนฺธรํ;

    Samehi pādehi phusī vasundharaṃ;

    โส วิกฺกมี สตฺต ปทานิ โคตโม,

    So vikkamī satta padāni gotamo,

    เสตญฺจ ฉตฺตํ อนุธารยุํ มรูฯ

    Setañca chattaṃ anudhārayuṃ marū.

    คนฺตฺวาน โส สตฺต ปทานิ โคตโม,

    Gantvāna so satta padāni gotamo,

    ทิสา วิโลเกสิ สมา สมนฺตโต;

    Disā vilokesi samā samantato;

    อฎฺฐงฺคุเปตํ คิรมพฺภุทีรยิ,

    Aṭṭhaṅgupetaṃ giramabbhudīrayi,

    สีโห ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโต’’ติฯ

    Sīho yathā pabbatamuddhaniṭṭhito’’ti.

    เอวํ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ

    Evaṃ tathā gatoti tathāgato.

    อถ วา ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… ยถา กสฺสโป ภควา, อยมฺปิ ภควา ตเถว เนกฺขเมฺมน กามจฺฉนฺทํ ปหาย คโต , อพฺยาปาเทน พฺยาปาทํ, อาโลกสญฺญาย ถินมิทฺธํ, อวิเกฺขเปน อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ, ธมฺมววตฺถาเนน วิจิกิจฺฉํ ปหาย ญาเณน อวิชฺชํ ปทาเลตฺวา, ปาโมเชฺชน อรติํ วิโนเทตฺวา, ปฐมชฺฌาเนน นีวรณกวาฎํ อุคฺฆาเฎตฺวา, ทุติยชฺฌาเนน วิตกฺกวิจารํ วูปสเมตฺวา, ตติยชฺฌาเนน ปีติํ วิราเชตฺวา, จตุตฺถชฺฌาเนน สุขทุกฺขํ ปหาย, อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติยา รูปสญฺญาปฎิฆสญฺญานานตฺตสญฺญาโย สมติกฺกมิตฺวา, วิญฺญาณญฺจายตนสมาปตฺติยา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ, อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติยา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ สมติกฺกมิตฺวา คโตฯ

    Atha vā yathā vipassī bhagavā…pe… yathā kassapo bhagavā, ayampi bhagavā tatheva nekkhammena kāmacchandaṃ pahāya gato , abyāpādena byāpādaṃ, ālokasaññāya thinamiddhaṃ, avikkhepena uddhaccakukkuccaṃ, dhammavavatthānena vicikicchaṃ pahāya ñāṇena avijjaṃ padāletvā, pāmojjena aratiṃ vinodetvā, paṭhamajjhānena nīvaraṇakavāṭaṃ ugghāṭetvā, dutiyajjhānena vitakkavicāraṃ vūpasametvā, tatiyajjhānena pītiṃ virājetvā, catutthajjhānena sukhadukkhaṃ pahāya, ākāsānañcāyatanasamāpattiyā rūpasaññāpaṭighasaññānānattasaññāyo samatikkamitvā, viññāṇañcāyatanasamāpattiyā ākāsānañcāyatanasaññaṃ, ākiñcaññāyatanasamāpattiyā viññāṇañcāyatanasaññaṃ, nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiyā ākiñcaññāyatanasaññaṃ samatikkamitvā gato.

    อนิจฺจานุปสฺสนาย นิจฺจสญฺญํ ปหาย, ทุกฺขานุปสฺสนาย สุขสญฺญํ, อนตฺตานุปสฺสนาย อตฺตสญฺญํ, นิพฺพิทานุปสฺสนาย นนฺทิํ, วิราคานุปสฺสนาย ราคํ, นิโรธานุปสฺสนาย สมุทยํ, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย อาทานํ, ขยานุปสฺสนาย ฆนสญฺญํ, วยานุปสฺสนาย อายูหนํ, วิปริณามานุปสฺสนาย ธุวสญฺญํ, อนิมิตฺตานุปสฺสนาย นิมิตฺตํ, อปฺปณิหิตานุปสฺสนาย ปณิธิํ, สุญฺญตานุปสฺสนาย อภินิเวสํ, อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาย สาราทานาภินิเวสํ, ยถาภูตญาณทสฺสเนน สโมฺมหาภินิเวสํ, อาทีนวานุปสฺสนาย อาลยาภินิเวสํ, ปฎิสงฺขานุปสฺสนาย อปฺปฎิสงฺขํ, วิวฎฺฎานุปสฺสนาย สํโยคาภินิเวสํ, โสตาปตฺติมเคฺคน ทิเฎฺฐกเฎฺฐ กิเลเส ภญฺชิตฺวา, สกทาคามิมเคฺคน โอฬาริเก กิเลเส ปหาย, อนาคามิมเคฺคน อณุสหคเต กิเลเส สมุคฺฆาเฎตฺวา, อรหตฺตมเคฺคน สพฺพกิเลเส สมุจฺฉินฺทิตฺวา คโตฯ เอวมฺปิ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ

    Aniccānupassanāya niccasaññaṃ pahāya, dukkhānupassanāya sukhasaññaṃ, anattānupassanāya attasaññaṃ, nibbidānupassanāya nandiṃ, virāgānupassanāya rāgaṃ, nirodhānupassanāya samudayaṃ, paṭinissaggānupassanāya ādānaṃ, khayānupassanāya ghanasaññaṃ, vayānupassanāya āyūhanaṃ, vipariṇāmānupassanāya dhuvasaññaṃ, animittānupassanāya nimittaṃ, appaṇihitānupassanāya paṇidhiṃ, suññatānupassanāya abhinivesaṃ, adhipaññādhammavipassanāya sārādānābhinivesaṃ, yathābhūtañāṇadassanena sammohābhinivesaṃ, ādīnavānupassanāya ālayābhinivesaṃ, paṭisaṅkhānupassanāya appaṭisaṅkhaṃ, vivaṭṭānupassanāya saṃyogābhinivesaṃ, sotāpattimaggena diṭṭhekaṭṭhe kilese bhañjitvā, sakadāgāmimaggena oḷārike kilese pahāya, anāgāmimaggena aṇusahagate kilese samugghāṭetvā, arahattamaggena sabbakilese samucchinditvā gato. Evampi tathā gatoti tathāgato.

    กถํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต?ปถวีธาตุยา กกฺขฬตฺตลกฺขณํ ตถํ อวิตถํฯ อาโปธาตุยา ปคฺฆรณลกฺขณํฯ เตโชธาตุยา อุณฺหตฺตลกฺขณํฯ วาโยธาตุยา วิตฺถมฺภนลกฺขณํฯ อากาสธาตุยา อสมฺผุฎฺฐลกฺขณํฯ วิญฺญาณธาตุยา วิชานนลกฺขณํฯ

    Kathaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato?Pathavīdhātuyā kakkhaḷattalakkhaṇaṃ tathaṃ avitathaṃ. Āpodhātuyā paggharaṇalakkhaṇaṃ. Tejodhātuyā uṇhattalakkhaṇaṃ. Vāyodhātuyā vitthambhanalakkhaṇaṃ. Ākāsadhātuyā asamphuṭṭhalakkhaṇaṃ. Viññāṇadhātuyā vijānanalakkhaṇaṃ.

    รูปสฺส รุปฺปนลกฺขณํฯ เวทนาย เวทยิตลกฺขณํฯ สญฺญาย สญฺชานนลกฺขณํฯ สงฺขารานํ อภิสงฺขรณลกฺขณํฯ วิญฺญาณสฺส วิชานนลกฺขณํฯ

    Rūpassa ruppanalakkhaṇaṃ. Vedanāya vedayitalakkhaṇaṃ. Saññāya sañjānanalakkhaṇaṃ. Saṅkhārānaṃ abhisaṅkharaṇalakkhaṇaṃ. Viññāṇassa vijānanalakkhaṇaṃ.

    วิตกฺกสฺส อภินิโรปนลกฺขณํฯ วิจารสฺส อนุมชฺชนลกฺขณํ ปีติยา ผรณลกฺขณํฯ สุขสฺส สาตลกฺขณํฯ จิเตฺตกคฺคตาย อวิเกฺขปลกฺขณํฯ ผสฺสสฺส ผุสนลกฺขณํฯ

    Vitakkassa abhiniropanalakkhaṇaṃ. Vicārassa anumajjanalakkhaṇaṃ pītiyā pharaṇalakkhaṇaṃ. Sukhassa sātalakkhaṇaṃ. Cittekaggatāya avikkhepalakkhaṇaṃ. Phassassa phusanalakkhaṇaṃ.

    สทฺธินฺทฺริยสฺส อธิโมกฺขลกฺขณํฯ วีริยินฺทฺริยสฺส ปคฺคหลกฺขณํฯ สตินฺทฺริยสฺส อุปฎฺฐานลกฺขณํฯ สมาธินฺทฺริยสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ ปญฺญินฺทฺริยสฺส ปชานนลกฺขณํฯ

    Saddhindriyassa adhimokkhalakkhaṇaṃ. Vīriyindriyassa paggahalakkhaṇaṃ. Satindriyassa upaṭṭhānalakkhaṇaṃ. Samādhindriyassa avikkhepalakkhaṇaṃ. Paññindriyassa pajānanalakkhaṇaṃ.

    สทฺธาพลสฺส อสฺสทฺธิเย อกมฺปิยลกฺขณํฯ วีริยพลสฺส โกสเชฺช, สติพลสฺส มุฎฺฐสฺสเจฺจฯ สมาธิพลสฺส อุทฺธเจฺจ, ปญฺญาพลสฺส อวิชฺชาย อกมฺปิยลกฺขณํฯ

    Saddhābalassa assaddhiye akampiyalakkhaṇaṃ. Vīriyabalassa kosajje, satibalassa muṭṭhassacce. Samādhibalassa uddhacce, paññābalassa avijjāya akampiyalakkhaṇaṃ.

    สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฎฺฐานลกฺขณํฯ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปวิจยลกฺขณํฯ วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปคฺคหลกฺขณํฯ ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ผรณลกฺขณํฯ ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส วูปสมลกฺขณํฯ สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปฎิสงฺขานลกฺขณํฯ

    Satisambojjhaṅgassa upaṭṭhānalakkhaṇaṃ. Dhammavicayasambojjhaṅgassa pavicayalakkhaṇaṃ. Vīriyasambojjhaṅgassa paggahalakkhaṇaṃ. Pītisambojjhaṅgassa pharaṇalakkhaṇaṃ. Passaddhisambojjhaṅgassa vūpasamalakkhaṇaṃ. Samādhisambojjhaṅgassa avikkhepalakkhaṇaṃ. Upekkhāsambojjhaṅgassa paṭisaṅkhānalakkhaṇaṃ.

    สมฺมาทิฎฺฐิยา ทสฺสนลกฺขณํฯ สมฺมาสงฺกปฺปสฺส อภินิโรปนลกฺขณํฯ สมฺมาวาจาย ปริคฺคหลกฺขณํฯ สมฺมากมฺมนฺตสฺส สมุฎฺฐานลกฺขณํฯ สมฺมาอาชีวสฺส โวทานลกฺขณํฯ สมฺมาวายามสฺส ปคฺคหลกฺขณํฯ สมฺมาสติยา อุปฎฺฐานลกฺขณํฯ สมฺมาสมาธิสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ

    Sammādiṭṭhiyā dassanalakkhaṇaṃ. Sammāsaṅkappassa abhiniropanalakkhaṇaṃ. Sammāvācāya pariggahalakkhaṇaṃ. Sammākammantassa samuṭṭhānalakkhaṇaṃ. Sammāājīvassa vodānalakkhaṇaṃ. Sammāvāyāmassa paggahalakkhaṇaṃ. Sammāsatiyā upaṭṭhānalakkhaṇaṃ. Sammāsamādhissa avikkhepalakkhaṇaṃ.

    อวิชฺชาย อญฺญาณลกฺขณํฯ สงฺขารานํ เจตนาลกฺขณํฯ วิญฺญาณสฺส วิชานนลกฺขณํฯ นามสฺส นมนลกฺขณํฯ รูปสฺส รุปฺปนลกฺขณํฯ สฬายตนสฺส อายตนลกฺขณํฯ ผสฺสสฺส ผุสนลกฺขณํฯ เวทนาย เวทยิตลกฺขณํฯ ตณฺหาย เหตุลกฺขณํฯ อุปาทานสฺส คหณลกฺขณํฯ ภวสฺส อายูหนลกฺขณํฯ ชาติยา นิพฺพตฺติลกฺขณํฯ ชราย ชีรณลกฺขณํฯ มรณสฺส จุติลกฺขณํฯ

    Avijjāya aññāṇalakkhaṇaṃ. Saṅkhārānaṃ cetanālakkhaṇaṃ. Viññāṇassa vijānanalakkhaṇaṃ. Nāmassa namanalakkhaṇaṃ. Rūpassa ruppanalakkhaṇaṃ. Saḷāyatanassa āyatanalakkhaṇaṃ. Phassassa phusanalakkhaṇaṃ. Vedanāya vedayitalakkhaṇaṃ. Taṇhāya hetulakkhaṇaṃ. Upādānassa gahaṇalakkhaṇaṃ. Bhavassa āyūhanalakkhaṇaṃ. Jātiyā nibbattilakkhaṇaṃ. Jarāya jīraṇalakkhaṇaṃ. Maraṇassa cutilakkhaṇaṃ.

    ธาตูนํ สุญฺญตาลกฺขณํฯ อายตนานํ อายตนลกฺขณํฯ สติปฎฺฐานานํ อุปฎฺฐานลกฺขณํฯ สมฺมปฺปธานานํ ปทหนลกฺขณํฯ อิทฺธิปาทานํ อิชฺฌนลกฺขณํฯ อินฺทฺริยานํ อธิปติลกฺขณํฯ พลานํ อกมฺปิยลกฺขณํฯ โพชฺฌงฺคานํ นิยฺยานลกฺขณํฯ มคฺคสฺส เหตุลกฺขณํฯ

    Dhātūnaṃ suññatālakkhaṇaṃ. Āyatanānaṃ āyatanalakkhaṇaṃ. Satipaṭṭhānānaṃ upaṭṭhānalakkhaṇaṃ. Sammappadhānānaṃ padahanalakkhaṇaṃ. Iddhipādānaṃ ijjhanalakkhaṇaṃ. Indriyānaṃ adhipatilakkhaṇaṃ. Balānaṃ akampiyalakkhaṇaṃ. Bojjhaṅgānaṃ niyyānalakkhaṇaṃ. Maggassa hetulakkhaṇaṃ.

    สจฺจานํ ตถลกฺขณํฯ สมถสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ วิปสฺสนาย อนุปสฺสนาลกฺขณํฯ สมถวิปสฺสนานํ เอกรสลกฺขณํฯ ยุคนทฺธานํ อนติวตฺตนลกฺขณํฯ

    Saccānaṃ tathalakkhaṇaṃ. Samathassa avikkhepalakkhaṇaṃ. Vipassanāya anupassanālakkhaṇaṃ. Samathavipassanānaṃ ekarasalakkhaṇaṃ. Yuganaddhānaṃ anativattanalakkhaṇaṃ.

    สีลวิสุทฺธิยา สํวรลกฺขณํฯ จิตฺตวิสุทฺธิยา อวิเกฺขปลกฺขณํฯ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิยา ทสฺสนลกฺขณํฯ

    Sīlavisuddhiyā saṃvaralakkhaṇaṃ. Cittavisuddhiyā avikkhepalakkhaṇaṃ. Diṭṭhivisuddhiyā dassanalakkhaṇaṃ.

    ขเย ญาณสฺส สมุเจฺฉทนลกฺขณํฯ อนุปฺปาเท ญาณสฺส ปสฺสทฺธิลกฺขณํฯ

    Khaye ñāṇassa samucchedanalakkhaṇaṃ. Anuppāde ñāṇassa passaddhilakkhaṇaṃ.

    ฉนฺทสฺส มูลลกฺขณํฯ มนสิการสฺส สมุฎฺฐาปนลกฺขณํฯ ผสฺสสฺส สโมธานลกฺขณํฯ เวทนาย สโมสรณลกฺขณํฯ สมาธิสฺส ปมุขลกฺขณํฯ สติยา อาธิปเตยฺยลกฺขณํฯ ปญฺญาย ตตุตฺตริยลกฺขณํฯ วิมุตฺติยา สารลกฺขณํ… อมโตคธสฺส นิพฺพานสฺส ปริโยสานลกฺขณํ ตถํ อวิตถํฯ เอวํ ตถลกฺขณํ ญาณคติยา อาคโต อวิรชฺฌิตฺวา ปโตฺต อนุปฺปโตฺตติ ตถาคโตฯ เอวํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Chandassa mūlalakkhaṇaṃ. Manasikārassa samuṭṭhāpanalakkhaṇaṃ. Phassassa samodhānalakkhaṇaṃ. Vedanāya samosaraṇalakkhaṇaṃ. Samādhissa pamukhalakkhaṇaṃ. Satiyā ādhipateyyalakkhaṇaṃ. Paññāya tatuttariyalakkhaṇaṃ. Vimuttiyā sāralakkhaṇaṃ… amatogadhassa nibbānassa pariyosānalakkhaṇaṃ tathaṃ avitathaṃ. Evaṃ tathalakkhaṇaṃ ñāṇagatiyā āgato avirajjhitvā patto anuppattoti tathāgato. Evaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต? ตถธมฺมา นาม จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ ยถาห – ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ภิกฺขเว, ตถเมตํ อวิตถเมตํ อนญฺญถเมต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๐) วิตฺถาโรฯ ตานิ จ ภควา อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา ตถานํ ธมฺมานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโตติ วุจฺจติฯ อภิสมฺพุทฺธโตฺถ เหตฺถ คตสโทฺทฯ

    Kathaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato? Tathadhammā nāma cattāri ariyasaccāni. Yathāha – ‘‘cattārimāni, bhikkhave, tathāni avitathāni anaññathāni. Katamāni cattāri? ‘Idaṃ dukkha’nti bhikkhave, tathametaṃ avitathametaṃ anaññathameta’’nti (saṃ. ni. 5.1090) vitthāro. Tāni ca bhagavā abhisambuddho, tasmā tathānaṃ dhammānaṃ abhisambuddhattā tathāgatoti vuccati. Abhisambuddhattho hettha gatasaddo.

    อปิ จ ชรามรณสฺส ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถ…เป.…, สงฺขารานํ อวิชฺชาปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถ…เป.…, ตถา อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐ, สงฺขารานํ วิญฺญาณสฺส ปจฺจยโฎฺฐ…เป.…, ชาติยา ชรามรณสฺส ปจฺจยโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถฯ ตํ สพฺพํ ภควา อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมาปิ ตถานํ ธมฺมานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโตติ วุจฺจติฯ เอวํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโตฯ

    Api ca jarāmaraṇassa jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭho tatho avitatho anaññatho…pe…, saṅkhārānaṃ avijjāpaccayasambhūtasamudāgataṭṭho tatho avitatho anaññatho…pe…, tathā avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭho, saṅkhārānaṃ viññāṇassa paccayaṭṭho…pe…, jātiyā jarāmaraṇassa paccayaṭṭho tatho avitatho anaññatho. Taṃ sabbaṃ bhagavā abhisambuddho, tasmāpi tathānaṃ dhammānaṃ abhisambuddhattā tathāgatoti vuccati. Evaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato.

    กถํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโต? ภควา ยํ สเทวเก โลเก…เป.…, สเทวมนุสฺสาย ปชาย อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉนฺตํ รูปารมฺมณํ นาม อตฺถิ, ตํ สพฺพาการโต ชานาติ ปสฺสติฯ เอวํ ชานตา ปสฺสตา จ, เตน ตํ อิฎฺฐานิฎฺฐาทิวเสน วา ทิฎฺฐสุตมุตวิญฺญาเตสุ ลพฺภมานกปทวเสน วาฯ ‘‘กตมํ ตํ รูปํ รูปายตนํ? ยํ รูปํ จตุนฺนํ มหาภูตานํ อุปาทาย วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ นีลํ ปีตก’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๖๑๖) นเยน อเนเกหิ นาเมหิ เตรสหิ วาเรหิ เทฺวปญฺญาสาย นเยหิ วิภชฺชมานํ ตถเมว โหติ, วิตถํ นตฺถิฯ เอส นโย โสตทฺวาราทีสุปิ อาปาถํ อาคจฺฉเนฺตสุ สทฺทาทีสุฯ วุตฺตเญฺจตํ ภควตา – ‘‘ยํ ภิกฺขเว, สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… สเทวมนุสฺสาย ปชาย ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมหํ ชานามิฯ ตมหํ อพฺภญฺญาสิํ, ตํ ตถาคตสฺส วิทิตํ, ตํ ตถาคโต น อุปฎฺฐาสี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔)ฯ เอวํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโตฯ ตตฺถ ตถทสฺสี อเตฺถ ตถาคโตติ ปทสมฺภโว เวทิตโพฺพฯ

    Kathaṃ tathadassitāya tathāgato? Bhagavā yaṃ sadevake loke…pe…, sadevamanussāya pajāya aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ cakkhudvāre āpāthamāgacchantaṃ rūpārammaṇaṃ nāma atthi, taṃ sabbākārato jānāti passati. Evaṃ jānatā passatā ca, tena taṃ iṭṭhāniṭṭhādivasena vā diṭṭhasutamutaviññātesu labbhamānakapadavasena vā. ‘‘Katamaṃ taṃ rūpaṃ rūpāyatanaṃ? Yaṃ rūpaṃ catunnaṃ mahābhūtānaṃ upādāya vaṇṇanibhā sanidassanaṃ sappaṭighaṃ nīlaṃ pītaka’’ntiādinā (dha. sa. 616) nayena anekehi nāmehi terasahi vārehi dvepaññāsāya nayehi vibhajjamānaṃ tathameva hoti, vitathaṃ natthi. Esa nayo sotadvārādīsupi āpāthaṃ āgacchantesu saddādīsu. Vuttañcetaṃ bhagavatā – ‘‘yaṃ bhikkhave, sadevakassa lokassa…pe… sadevamanussāya pajāya diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tamahaṃ jānāmi. Tamahaṃ abbhaññāsiṃ, taṃ tathāgatassa viditaṃ, taṃ tathāgato na upaṭṭhāsī’’ti (a. ni. 4.24). Evaṃ tathadassitāya tathāgato. Tattha tathadassī atthe tathāgatoti padasambhavo veditabbo.

    กถํ ตถวาทิตาย ตถาคโต? ยํ รตฺติํ ภควา โพธิมเณฺฑ อปราชิตปลฺลเงฺก นิสิโนฺน ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ มทฺทิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, ยญฺจ รตฺติํ ยมกสาลานมนฺตเร อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิ, เอตฺถนฺตเร ปญฺจจตฺตาลีสวสฺสปริมาเณ กาเล ปฐมโพธิยาปิ มชฺฌิมโพธิยาปิ ปจฺฉิมโพธิยาปิ ยํ ภควตา ภาสิตํ – สุตฺตํ, เคยฺยํ…เป.… เวทลฺลํ, ตํ สพฺพํ อตฺถโต จ พฺยญฺชนโต จ อนุปวชฺชํ, อนูนมนธิกํ, สพฺพาการปริปุณฺณํ, ราคมทนิมฺมทนํ, โทสโมหมทนิมฺมทนํฯ นตฺถิ ตตฺถ วาลคฺคมตฺตมฺปิ อวกฺขลิตํ, สพฺพํ ตํ เอกมุทฺทิกาย ลญฺฉิตํ วิย, เอกนาฬิยา มิตํ วิย, เอกตุลาย ตุลิตํ วิย จ, ตถเมว โหติ อวิตถํ อนญฺญถํฯ เตนาห – ‘‘ยญฺจ, จุนฺท, รตฺติํ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌติ, ยญฺจ รตฺติํ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติ, ยํ เอตสฺมิํ อนฺตเร ภาสติ ลปติ นิทฺทิสติ, สพฺพํ ตํ ตเถว โหติ, โน อญฺญถาฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ คทโตฺถ เหตฺถ คตสโทฺทฯ เอวํ ตถวาทิตาย ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathavāditāya tathāgato? Yaṃ rattiṃ bhagavā bodhimaṇḍe aparājitapallaṅke nisinno tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ madditvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho, yañca rattiṃ yamakasālānamantare anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi, etthantare pañcacattālīsavassaparimāṇe kāle paṭhamabodhiyāpi majjhimabodhiyāpi pacchimabodhiyāpi yaṃ bhagavatā bhāsitaṃ – suttaṃ, geyyaṃ…pe… vedallaṃ, taṃ sabbaṃ atthato ca byañjanato ca anupavajjaṃ, anūnamanadhikaṃ, sabbākāraparipuṇṇaṃ, rāgamadanimmadanaṃ, dosamohamadanimmadanaṃ. Natthi tattha vālaggamattampi avakkhalitaṃ, sabbaṃ taṃ ekamuddikāya lañchitaṃ viya, ekanāḷiyā mitaṃ viya, ekatulāya tulitaṃ viya ca, tathameva hoti avitathaṃ anaññathaṃ. Tenāha – ‘‘yañca, cunda, rattiṃ tathāgato anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhati, yañca rattiṃ anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyati, yaṃ etasmiṃ antare bhāsati lapati niddisati, sabbaṃ taṃ tatheva hoti, no aññathā. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23). Gadattho hettha gatasaddo. Evaṃ tathavāditāya tathāgato.

    อปิ จ อาคทนํ อาคโท, วจนนฺติ อโตฺถฯ ตโย อวิปรีโต อาคโท อสฺสาติ, ท-การสฺส ต-การํ กตฺวา ตถาคโตติ เอวเมตสฺมิํ อเตฺถ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    Api ca āgadanaṃ āgado, vacananti attho. Tayo aviparīto āgado assāti, da-kārassa ta-kāraṃ katvā tathāgatoti evametasmiṃ atthe padasiddhi veditabbā.

    กถํ ตถาการิตาย ตถาคโต? ภควโต หิ วาจาย กาโย อนุโลเมติ, กายสฺสปิ วาจา, ตสฺมา ยถาวาที ตถาการี, ยถาการี ตถาวาที จ โหติฯ เอวํภูตสฺส จสฺส ยถาวาจา, กาโยปิ ตถา คโต ปวโตฺตติ อโตฺถฯ ยถา จ กาโย, วาจาปิ ตถา คตา ปวตฺตาติ ตถาคโตฯ เตเนวาห – ‘‘ยถาวาที, ภิกฺขเว, ตถาคโต ตถาการี, ยถาการี ตถาวาที ฯ อิติ ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาทีฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ เอวํ ตถาการิตาย ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathākāritāya tathāgato? Bhagavato hi vācāya kāyo anulometi, kāyassapi vācā, tasmā yathāvādī tathākārī, yathākārī tathāvādī ca hoti. Evaṃbhūtassa cassa yathāvācā, kāyopi tathā gato pavattoti attho. Yathā ca kāyo, vācāpi tathā gatā pavattāti tathāgato. Tenevāha – ‘‘yathāvādī, bhikkhave, tathāgato tathākārī, yathākārī tathāvādī . Iti yathāvādī tathākārī yathākārī tathāvādī. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23). Evaṃ tathākāritāya tathāgato.

    กถํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโต? อุปริ ภวคฺคํ เหฎฺฐา อวีจิํ ปริยนฺตํ กตฺวา ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ สพฺพสเตฺต อภิภวติ สีเลนปิ สมาธินาปิ ปญฺญายปิ วิมุตฺติยาปิ, วิมุตฺติญาณทสฺสเนนปิ น ตสฺส ตุลา วา ปมาณํ วา อตฺถิ; อตุโล อปฺปเมโยฺย อนุตฺตโร ราชาติราชา เทวเทโว สกฺกานํ อติสโกฺก พฺรหฺมานํ อติพฺรหฺมาฯ เตนาห – ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย ปชาย ตถาคโต อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุทโส วสวตฺตี, ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติฯ

    Kathaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato? Upari bhavaggaṃ heṭṭhā avīciṃ pariyantaṃ katvā tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu sabbasatte abhibhavati sīlenapi samādhināpi paññāyapi vimuttiyāpi, vimuttiñāṇadassanenapi na tassa tulā vā pamāṇaṃ vā atthi; atulo appameyyo anuttaro rājātirājā devadevo sakkānaṃ atisakko brahmānaṃ atibrahmā. Tenāha – ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… sadevamanussāya pajāya tathāgato abhibhū anabhibhūto aññadatthudaso vasavattī, tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti.

    ตเตฺรวํ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ อคโท วิย อคโทฯ โก ปเนส? เทสนาวิลาสมโย เจว ปุญฺญุสฺสโย จฯ เตน เหส มหานุภาโว ภิสโกฺก ทิพฺพาคเทน สเปฺป วิย สพฺพปรปฺปวาทิโน สเทวกญฺจ โลกํ อภิภวติฯ อิติ สพฺพาโลกาภิภวเน ตโถ อวิปรีโต เทสนาวิลาสมโย เจว ปุญฺญุสฺสโย จ อคโท อสฺสาติฯ ท-การสฺส ต-การํ กตฺวา ตถาคโตติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตฯ

    Tatrevaṃ padasiddhi veditabbā. Agado viya agado. Ko panesa? Desanāvilāsamayo ceva puññussayo ca. Tena hesa mahānubhāvo bhisakko dibbāgadena sappe viya sabbaparappavādino sadevakañca lokaṃ abhibhavati. Iti sabbālokābhibhavane tatho aviparīto desanāvilāsamayo ceva puññussayo ca agado assāti. Da-kārassa ta-kāraṃ katvā tathāgatoti veditabbo. Evaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato.

    อปิ จ ตถาย คโตติปิ ตถาคโต, ตถํ คโตติปิ ตถาคโตฯ คโตติ อวคโต, อตีโต ปโตฺต ปฎิปโนฺนติ อโตฺถฯ

    Api ca tathāya gatotipi tathāgato, tathaṃ gatotipi tathāgato. Gatoti avagato, atīto patto paṭipannoti attho.

    ตตฺถ สกลโลกํ ตีรณปริญฺญาย ตถาย คโต อวคโตติ ตถาคโตฯ โลกสมุทยํ ปหานปริญฺญาย ตถาย คโต อตีโตติ ตถาคโตฯ โลกนิโรธํ สจฺฉิกิริยาย ตถาย คโต ปโตฺตติ ตถาคโตฯ โลกนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ ตถํ คโต ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตฯ เตน วุตฺตํ ภควตา –

    Tattha sakalalokaṃ tīraṇapariññāya tathāya gato avagatoti tathāgato. Lokasamudayaṃ pahānapariññāya tathāya gato atītoti tathāgato. Lokanirodhaṃ sacchikiriyāya tathāya gato pattoti tathāgato. Lokanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ tathaṃ gato paṭipannoti tathāgato. Tena vuttaṃ bhagavatā –

    ‘‘โลโก, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกสฺมา ตถาคโต วิสํยุโตฺตฯ โลกสมุทโย, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกสมุทโย ตถาคตสฺส ปหีโนฯ โลกนิโรโธ, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกนิโรโธ ตถาคตสฺส สจฺฉิกโตฯ โลกนิโรธคามินี ปฎิปทา, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา, โลกนิโรธคามินี ปฎิปทา ตถาคตสฺส ภาวิตาฯ ยํ ภิกฺขเว, สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… สพฺพํ ตํ ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธํฯ ตสฺมา, ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ

    ‘‘Loko, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokasmā tathāgato visaṃyutto. Lokasamudayo, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokasamudayo tathāgatassa pahīno. Lokanirodho, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokanirodho tathāgatassa sacchikato. Lokanirodhagāminī paṭipadā, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddhā, lokanirodhagāminī paṭipadā tathāgatassa bhāvitā. Yaṃ bhikkhave, sadevakassa lokassa…pe… sabbaṃ taṃ tathāgatena abhisambuddhaṃ. Tasmā, tathāgatoti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23).

    ตสฺสปิ เอวํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิทมฺปิ จ ตถาคตสฺส ตถาคตภาวทีปเน มุขมตฺตเมวฯ สพฺพากาเรน ปน ตถาคโตว ตถาคตสฺส ตถาคตภาวํ วเณฺณยฺยฯ

    Tassapi evaṃ attho veditabbo. Idampi ca tathāgatassa tathāgatabhāvadīpane mukhamattameva. Sabbākārena pana tathāgatova tathāgatassa tathāgatabhāvaṃ vaṇṇeyya.

    กตมญฺจ ตํ ภิกฺขเวติ เยน อปฺปมตฺตเกน โอรมตฺตเกน สีลมตฺตเกน ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺย, ตํ กตมนฺติ ปุจฺฉติ? ตตฺถ ปุจฺฉา นาม อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉา, ทิฎฺฐสํสนฺทนา ปุจฺฉา, วิมติเจฺฉทนา ปุจฺฉา, อนุมติปุจฺฉา, กเถตุกมฺยตา ปุจฺฉาติ ปญฺจวิธา โหติฯ

    Katamañca taṃ bhikkhaveti yena appamattakena oramattakena sīlamattakena puthujjano tathāgatassa vaṇṇaṃ vadamāno vadeyya, taṃ katamanti pucchati? Tattha pucchā nāma adiṭṭhajotanā pucchā, diṭṭhasaṃsandanā pucchā, vimaticchedanā pucchā, anumatipucchā, kathetukamyatā pucchāti pañcavidhā hoti.

    ตตฺถ กตมา อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉา? ปกติยา ลกฺขณํ อญฺญาตํ โหติ, อทิฎฺฐํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อวิภาวิตํ, ตสฺส ญาณาย ทสฺสนาย ตุลนาย ตีรณาย วิภาวนาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉาฯ

    Tattha katamā adiṭṭhajotanā pucchā? Pakatiyā lakkhaṇaṃ aññātaṃ hoti, adiṭṭhaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ avibhāvitaṃ, tassa ñāṇāya dassanāya tulanāya tīraṇāya vibhāvanāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ adiṭṭhajotanā pucchā.

    กตมา ทิฎฺฐสํสนฺทนา ปุจฺฉา? ปกติยา ลกฺขณํ ญาตํ โหติ, ทิฎฺฐํ ตุลิตํ ตีริตํ วิภูตํ วิภาวิตํ, ตสฺส อเญฺญหิ ปณฺฑิเตหิ สทฺธิํ สํสนฺทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ ทิฎฺฐสํสนฺทนา ปุจฺฉาฯ

    Katamā diṭṭhasaṃsandanā pucchā? Pakatiyā lakkhaṇaṃ ñātaṃ hoti, diṭṭhaṃ tulitaṃ tīritaṃ vibhūtaṃ vibhāvitaṃ, tassa aññehi paṇḍitehi saddhiṃ saṃsandanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ diṭṭhasaṃsandanā pucchā.

    กตมา วิมติเจฺฉทนา ปุจฺฉา? ปกติยา สํสยปกฺขโนฺท โหติ, วิมติปกฺขโนฺท, เทฺวฬฺหกชาโต, ‘‘เอวํ นุ โข, น นุ โข, กินฺนุ โข, กถํ นุ โข’’ติฯ โส วิมติเจฺฉทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ อยํ วิมติเจฺฉทนา ปุจฺฉาฯ

    Katamā vimaticchedanā pucchā? Pakatiyā saṃsayapakkhando hoti, vimatipakkhando, dveḷhakajāto, ‘‘evaṃ nu kho, na nu kho, kinnu kho, kathaṃ nu kho’’ti. So vimaticchedanatthāya pañhaṃ pucchati. Ayaṃ vimaticchedanā pucchā.

    กตมา อนุมติปุจฺฉา? ภควา ภิกฺขูนํ อนุมติยา ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติฯ อนิจฺจํ, ภเนฺตฯ ยํ ปนานิจฺจํ , ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ? ทุกฺขํ ภเนฺตติ (มหาว. ๒๑) สพฺพํ วตฺตพฺพํ, อยํ อนุมติปุจฺฉาฯ

    Katamā anumatipucchā? Bhagavā bhikkhūnaṃ anumatiyā pañhaṃ pucchati – ‘‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti. Aniccaṃ, bhante. Yaṃ panāniccaṃ , dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vāti? Dukkhaṃ bhanteti (mahāva. 21) sabbaṃ vattabbaṃ, ayaṃ anumatipucchā.

    กตมา กเถตุกมฺยตา ปุจฺฉา? ภควา ภิกฺขูนํ กเถตุกมฺยตาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, สติปฎฺฐานาฯ กตเม จตฺตาโร?…เป.… อฎฺฐิเม ภิกฺขเว มคฺคงฺคาฯ กตเม อฎฺฐาติ, อยํ กเถตุกมฺยตา ปุจฺฉาฯ

    Katamā kathetukamyatā pucchā? Bhagavā bhikkhūnaṃ kathetukamyatāya pañhaṃ pucchati. Cattārome, bhikkhave, satipaṭṭhānā. Katame cattāro?…Pe… aṭṭhime bhikkhave maggaṅgā. Katame aṭṭhāti, ayaṃ kathetukamyatā pucchā.

    อิติ อิมาสุ ปญฺจสุ ปุจฺฉาสุ อทิฎฺฐสฺส ตาว กสฺสจิ ธมฺมสฺส อภาวโต ตถาคตสฺส อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉา นตฺถิฯ ‘‘อิทํ นาม อเญฺญหิ ปณฺฑิเตหิ สมณพฺราหฺมเณหิ สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา เทเสสฺสามี’’ติ สมนฺนาหารเสฺสว อนุปฺปชฺชนโต ทิฎฺฐสํสนฺทนา ปุจฺฉาปิ นตฺถิฯ ยสฺมา ปน พุทฺธานํ เอกธเมฺมปิ อาสปฺปนา ปริสปฺปนา นตฺถิ, โพธิมเณฺฑเยว สพฺพา กงฺขา ฉินฺนา; ตสฺมา วิมติเจฺฉทนา ปุจฺฉาปิ นตฺถิเยวฯ อวเสสา ปน เทฺว ปุจฺฉา พุทฺธานํ อตฺถิ, ตาสุ อยํ กเถตุกมฺยตา ปุจฺฉา นามฯ

    Iti imāsu pañcasu pucchāsu adiṭṭhassa tāva kassaci dhammassa abhāvato tathāgatassa adiṭṭhajotanā pucchā natthi. ‘‘Idaṃ nāma aññehi paṇḍitehi samaṇabrāhmaṇehi saddhiṃ saṃsanditvā desessāmī’’ti samannāhārasseva anuppajjanato diṭṭhasaṃsandanā pucchāpi natthi. Yasmā pana buddhānaṃ ekadhammepi āsappanā parisappanā natthi, bodhimaṇḍeyeva sabbā kaṅkhā chinnā; tasmā vimaticchedanā pucchāpi natthiyeva. Avasesā pana dve pucchā buddhānaṃ atthi, tāsu ayaṃ kathetukamyatā pucchā nāma.

    . อิทานิ ตํ กเถตุกมฺยตาย ปุจฺฉาย ปุจฺฉิตมตฺถํ กเถตุํ ‘‘ปาณาติปาตํ ปหายา’’ติอาทิมาหฯ

    8. Idāni taṃ kathetukamyatāya pucchāya pucchitamatthaṃ kathetuṃ ‘‘pāṇātipātaṃ pahāyā’’tiādimāha.

    ตตฺถ ปาณสฺส อติปาโต ปาณาติปาโต, ปาณวโธ, ปาณฆาโตติ วุตฺตํ โหติฯ ปาโณติ เจตฺถ โวหารโต สโตฺต, ปรมตฺถโต ชีวิตินฺทฺริยํ, ตสฺมิํ ปน ปาเณ ปาณสญฺญิโน ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกอุปกฺกมสมุฎฺฐาปิกา กายวจีทฺวารานํ อญฺญตรทฺวารปฺปวตฺตา วธกเจตนา ปาณาติปาโตฯ โส คุณวิรหิเตสุ ติรจฺฉานคตาทีสุ ปาเณสุ ขุทฺทเก ปาเณ อปฺปสาวโชฺช, มหาสรีเร มหาสาวโชฺช, กสฺมา? ปโยคมหนฺตตายฯ ปโยคสมเตฺตปิ วตฺถุมหนฺตตายฯ คุณวเนฺตสุ มนุสฺสาทีสุ อปฺปคุเณ ปาเณ อปฺปสาวโชฺช, มหาคุเณ มหาสาวโชฺชฯ สรีรคุณานํ ปน สมภาเว สติ กิเลสานํ อุปกฺกมานญฺจ มุทุตาย อปฺปสาวโชฺช, ติพฺพตาย มหาสาวโชฺชติ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha pāṇassa atipāto pāṇātipāto, pāṇavadho, pāṇaghātoti vuttaṃ hoti. Pāṇoti cettha vohārato satto, paramatthato jīvitindriyaṃ, tasmiṃ pana pāṇe pāṇasaññino jīvitindriyupacchedakaupakkamasamuṭṭhāpikā kāyavacīdvārānaṃ aññataradvārappavattā vadhakacetanā pāṇātipāto. So guṇavirahitesu tiracchānagatādīsu pāṇesu khuddake pāṇe appasāvajjo, mahāsarīre mahāsāvajjo, kasmā? Payogamahantatāya. Payogasamattepi vatthumahantatāya. Guṇavantesu manussādīsu appaguṇe pāṇe appasāvajjo, mahāguṇe mahāsāvajjo. Sarīraguṇānaṃ pana samabhāve sati kilesānaṃ upakkamānañca mudutāya appasāvajjo, tibbatāya mahāsāvajjoti veditabbo.

    ตสฺส ปญฺจ สมฺภารา โหนฺติ – ปาโณ, ปาณสญฺญิตา, วธกจิตฺตํ, อุปกฺกโม, เตน มรณนฺติ ฯ ฉ ปโยคา – สาหตฺถิโก, อาณตฺติโก, นิสฺสคฺคิโย, ถาวโร, วิชฺชามโย, อิทฺธิมโยติฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ วิตฺถาริยมาเน อติวิย ปปโญฺจ โหติ, ตสฺมา ตํ น วิตฺถารยาม, อญฺญญฺจ เอวรูปํฯ อตฺถิเกหิ ปน สมนฺตปาสาทิกํ วินยฎฺฐกถํ โอโลเกตฺวา คเหตพฺพํฯ

    Tassa pañca sambhārā honti – pāṇo, pāṇasaññitā, vadhakacittaṃ, upakkamo, tena maraṇanti . Cha payogā – sāhatthiko, āṇattiko, nissaggiyo, thāvaro, vijjāmayo, iddhimayoti. Imasmiṃ panatthe vitthāriyamāne ativiya papañco hoti, tasmā taṃ na vitthārayāma, aññañca evarūpaṃ. Atthikehi pana samantapāsādikaṃ vinayaṭṭhakathaṃ oloketvā gahetabbaṃ.

    ปหายาติ อิมํ ปาณาติปาตเจตนาสงฺขาตํ ทุสฺสีลฺยํ ปชหิตฺวาฯ ปฎิวิรโตติ ปหีนกาลโต ปฎฺฐาย ตโต ทุสฺสีลฺยโต โอรโต วิรโตวฯ นตฺถิ ตสฺส วีติกฺกมิสฺสามีติ จกฺขุโสตวิเญฺญยฺยา ธมฺมา ปเคว กายิกาติ อิมินาว นเยน อเญฺญสุปิ เอวรูเปสุ ปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Pahāyāti imaṃ pāṇātipātacetanāsaṅkhātaṃ dussīlyaṃ pajahitvā. Paṭiviratoti pahīnakālato paṭṭhāya tato dussīlyato orato viratova. Natthi tassa vītikkamissāmīti cakkhusotaviññeyyā dhammā pageva kāyikāti imināva nayena aññesupi evarūpesu padesu attho veditabbo.

    สมโณติ ภควา สมิตปาปตาย ลทฺธโวหาโรฯ โคตโมติ โคตฺตวเสนฯ น เกวลญฺจ ภควาเยว ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต, ภิกฺขุสโงฺฆปิ ปฎิวิรโต, เทสนา ปน อาทิโต ปฎฺฐาย เอวํ อาคตา, อตฺถํ ปน ทีเปเนฺตน ภิกฺขุสงฺฆวเสนาปิ ทีเปตุํ วฎฺฎติฯ

    Samaṇoti bhagavā samitapāpatāya laddhavohāro. Gotamoti gottavasena. Na kevalañca bhagavāyeva pāṇātipātā paṭivirato, bhikkhusaṅghopi paṭivirato, desanā pana ādito paṭṭhāya evaṃ āgatā, atthaṃ pana dīpentena bhikkhusaṅghavasenāpi dīpetuṃ vaṭṭati.

    นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถติ ปรูปฆาตตฺถาย ทณฺฑํ วา สตฺถํ วา อาทาย อวตฺตนโต นิกฺขิตฺตทโณฺฑ เจว นิกฺขิตฺตสโตฺถ จาติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ฐเปตฺวา ทณฺฑํ สพฺพมฺปิ อวเสสํ อุปกรณํ สตฺตานํ วิเหฐนภาวโต สตฺถนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยํ ปน ภิกฺขู กตฺตรทณฺฑํ วา ทนฺตกฎฺฐํ วา วาสิํ ปิปฺผลิกํ วา คเหตฺวา วิจรนฺติ, น ตํ ปรูปฆาตตฺถายฯ ตสฺมา นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ เตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ

    Nihitadaṇḍo nihitasatthoti parūpaghātatthāya daṇḍaṃ vā satthaṃ vā ādāya avattanato nikkhittadaṇḍo ceva nikkhittasattho cāti attho. Ettha ca ṭhapetvā daṇḍaṃ sabbampi avasesaṃ upakaraṇaṃ sattānaṃ viheṭhanabhāvato satthanti veditabbaṃ. Yaṃ pana bhikkhū kattaradaṇḍaṃ vā dantakaṭṭhaṃ vā vāsiṃ pipphalikaṃ vā gahetvā vicaranti, na taṃ parūpaghātatthāya. Tasmā nihitadaṇḍo nihitasattho tveva saṅkhyaṃ gacchati.

    ลชฺชีติ ปาปชิคุจฺฉนลกฺขณาย ลชฺชาย สมนฺนาคโตฯ ทยาปโนฺนติ ทยํ เมตฺตจิตฺตตํ อาปโนฺนฯ สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปีติ; สเพฺพ ปาณภูเต หิเตน อนุกมฺปโกฯ ตาย ทยาปนฺนตาย สเพฺพสํ ปาณภูตานํ หิตจิตฺตโกติ อโตฺถฯ วิหรตีติ อิริยติ ยเปติ ยาเปติ ปาเลติ ฯ อิติ วา หิ, ภิกฺขเวติ เอวํ วา ภิกฺขเวฯ วา สโทฺท อุปริ ‘‘อทินฺนาทานํ ปหายา’’ติอาทีนิ อเปกฺขิตฺวา วิกปฺปโตฺถ วุโตฺต, เอวํ สพฺพตฺถ ปุริมํ วา ปจฺฉิมํ วา อเปกฺขิตฺวา วิกปฺปภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Lajjīti pāpajigucchanalakkhaṇāya lajjāya samannāgato. Dayāpannoti dayaṃ mettacittataṃ āpanno. Sabbapāṇabhūtahitānukampīti; sabbe pāṇabhūte hitena anukampako. Tāya dayāpannatāya sabbesaṃ pāṇabhūtānaṃ hitacittakoti attho. Viharatīti iriyati yapeti yāpeti pāleti . Iti vā hi, bhikkhaveti evaṃ vā bhikkhave. Vā saddo upari ‘‘adinnādānaṃ pahāyā’’tiādīni apekkhitvā vikappattho vutto, evaṃ sabbattha purimaṃ vā pacchimaṃ vā apekkhitvā vikappabhāvo veditabbo.

    อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน เอวํ วเทยฺย – ‘‘สมโณ โคตโม ปาณํ น หนติ, น ฆาเตติ, น ตตฺถ สมนุโญฺญ โหติ, วิรโต อิมสฺมา ทุสฺสีลฺยา; อโห, วต เร พุทฺธคุณา มหนฺตา’’ติ, อิติ มหนฺตํ อุสฺสาหํ กตฺวา วณฺณํ วตฺตุกาโมปิ อปฺปมตฺตกํ โอรมตฺตกํ อาจารสีลมตฺตกเมว วกฺขติฯ อุปริ อสาธารณภาวํ นิสฺสาย วณฺณํ วตฺตุํ น สกฺขิสฺสติฯ น เกวลญฺจ ปุถุชฺชโนว โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิอรหโนฺตปิ ปเจฺจกพุทฺธาปิ น สโกฺกนฺติเยว; ตถาคโตเยว ปน สโกฺกติ, ตํ โว อุปริ วกฺขามีติ, อยเมตฺถ สาธิปฺปายา อตฺถวณฺณนาฯ อิโต ปรํ ปน อปุพฺพปทเมว วณฺณยิสฺสามฯ

    Ayaṃ panettha saṅkhepo – bhikkhave, puthujjano tathāgatassa vaṇṇaṃ vadamāno evaṃ vadeyya – ‘‘samaṇo gotamo pāṇaṃ na hanati, na ghāteti, na tattha samanuñño hoti, virato imasmā dussīlyā; aho, vata re buddhaguṇā mahantā’’ti, iti mahantaṃ ussāhaṃ katvā vaṇṇaṃ vattukāmopi appamattakaṃ oramattakaṃ ācārasīlamattakameva vakkhati. Upari asādhāraṇabhāvaṃ nissāya vaṇṇaṃ vattuṃ na sakkhissati. Na kevalañca puthujjanova sotāpannasakadāgāmianāgāmiarahantopi paccekabuddhāpi na sakkontiyeva; tathāgatoyeva pana sakkoti, taṃ vo upari vakkhāmīti, ayamettha sādhippāyā atthavaṇṇanā. Ito paraṃ pana apubbapadameva vaṇṇayissāma.

    อทินฺนาทานํ ปหายาติ เอตฺถ อทินฺนสฺส อาทานํ อทินฺนาทานํ, ปรสํหรณํ, เถยฺยํ, โจริกาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ อทินฺนนฺติ ปรปริคฺคหิตํ, ยตฺถ ปโร ยถากามการิตํ อาปชฺชโนฺต อทณฺฑารโห อนุปวโชฺช จ โหติฯ ตสฺมิํ ปรปริคฺคหิเต ปรปริคฺคหิตสญฺญิโน, ตทาทายกอุปกฺกมสมุฎฺฐาปิกา เถยฺยเจตนา อทินฺนาทานํฯ ตํ หีเน ปรสนฺตเก อปฺปสาวชฺชํ, ปณีเต มหาสาวชฺชํ, กสฺมา? วตฺถุปณีตตายฯ วตฺถุสมเตฺต สติ คุณาธิกานํ สนฺตเก วตฺถุสฺมิํ มหาสาวชฺชํ ฯ ตํ ตํ คุณาธิกํ อุปาทาย ตโต ตโต หีนคุณสฺส สนฺตเก วตฺถุสฺมิํ อปฺปสาวชฺชํฯ

    Adinnādānaṃ pahāyāti ettha adinnassa ādānaṃ adinnādānaṃ, parasaṃharaṇaṃ, theyyaṃ, corikāti vuttaṃ hoti. Tattha adinnanti parapariggahitaṃ, yattha paro yathākāmakāritaṃ āpajjanto adaṇḍāraho anupavajjo ca hoti. Tasmiṃ parapariggahite parapariggahitasaññino, tadādāyakaupakkamasamuṭṭhāpikā theyyacetanā adinnādānaṃ. Taṃ hīne parasantake appasāvajjaṃ, paṇīte mahāsāvajjaṃ, kasmā? Vatthupaṇītatāya. Vatthusamatte sati guṇādhikānaṃ santake vatthusmiṃ mahāsāvajjaṃ . Taṃ taṃ guṇādhikaṃ upādāya tato tato hīnaguṇassa santake vatthusmiṃ appasāvajjaṃ.

    ตสฺส ปญฺจ สมฺภารา โหนฺติ – ปรปริคฺคหิตํ, ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา, เถยฺยจิตฺตํ, อุปกฺกโม, เตน หรณนฺติฯ ฉ ปโยคา – สาหตฺถิกาทโยวฯ เต จ โข ยถานุรูปํ เถยฺยาวหาโร, ปสยฺหาวหาโร, ปฎิจฺฉนฺนาวหาโร, ปริกปฺปาวหาโร, กุสาวหาโรติ อิเมสํ อวหารานํ วเสน ปวตฺตา, อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน สมนฺตปาสาทิกายํ วุโตฺตฯ

    Tassa pañca sambhārā honti – parapariggahitaṃ, parapariggahitasaññitā, theyyacittaṃ, upakkamo, tena haraṇanti. Cha payogā – sāhatthikādayova. Te ca kho yathānurūpaṃ theyyāvahāro, pasayhāvahāro, paṭicchannāvahāro, parikappāvahāro, kusāvahāroti imesaṃ avahārānaṃ vasena pavattā, ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana samantapāsādikāyaṃ vutto.

    ทินฺนเมว อาทิยตีติ ทินฺนาทายีฯ จิเตฺตนปิ ทินฺนเมว ปฎิกงฺขตีติ ทินฺนปาฎิกงฺขีฯ เถเนตีติ เถโนฯ น เถเนน อเถเนนฯ อเถนตฺตาเยว สุจิภูเตนฯ อตฺตนาติ อตฺตภาเวนฯ อเถนํ สุจิภูตํ อตฺตานํ กตฺวา วิหรตีติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ ปฐมสิกฺขาปเท วุตฺตนเยเนว โยเชตพฺพํฯ ยถา จ อิธ, เอวํ สพฺพตฺถฯ

    Dinnameva ādiyatīti dinnādāyī. Cittenapi dinnameva paṭikaṅkhatīti dinnapāṭikaṅkhī. Thenetīti theno. Na thenena athenena. Athenattāyeva sucibhūtena. Attanāti attabhāvena. Athenaṃ sucibhūtaṃ attānaṃ katvā viharatīti vuttaṃ hoti. Sesaṃ paṭhamasikkhāpade vuttanayeneva yojetabbaṃ. Yathā ca idha, evaṃ sabbattha.

    อพฺรหฺมจริยนฺติ อเสฎฺฐจริยํฯ พฺรหฺมํ เสฎฺฐํ อาจารํ จรตีติ พฺรหฺมจารีฯ อาราจารีติ อพฺรหฺมจริยโต ทูรจารีฯ เมถุนาติ ราคปริยุฎฺฐานวเสน สทิสตฺตา เมถุนกาติ ลทฺธโวหาเรหิ ปฎิเสวิตพฺพโต เมถุนาติ สงฺขฺยํ คตา อสทฺธมฺมาฯ คามธมฺมาติ คามวาสีนํ ธมฺมาฯ

    Abrahmacariyanti aseṭṭhacariyaṃ. Brahmaṃ seṭṭhaṃ ācāraṃ caratīti brahmacārī. Ārācārīti abrahmacariyato dūracārī. Methunāti rāgapariyuṭṭhānavasena sadisattā methunakāti laddhavohārehi paṭisevitabbato methunāti saṅkhyaṃ gatā asaddhammā. Gāmadhammāti gāmavāsīnaṃ dhammā.

    . มุสาวาทํ ปหายาติ เอตฺถ มุสาติ วิสํวาทนปุเรกฺขารสฺส อตฺถภญฺชนโก วจีปโยโค กายปโยโค, วา วิสํวาทนาธิปฺปาเยน ปนสฺส ปรวิสํวาทกกายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา มุสาวาโทฯ

    9.Musāvādaṃ pahāyāti ettha musāti visaṃvādanapurekkhārassa atthabhañjanako vacīpayogo kāyapayogo, vā visaṃvādanādhippāyena panassa paravisaṃvādakakāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā cetanā musāvādo.

    อปโร นโย, ‘มุสา’ติ อภูตํ อตจฺฉํ วตฺถุฯ ‘วาโท’ติ ตสฺส ภูตโต ตจฺฉโต วิญฺญาปนํฯ ลกฺขณโต ปน อตถํ วตฺถุํ ตถโต ปรํ วิญฺญาเปตุกามสฺส ตถาวิญฺญตฺติสมุฎฺฐาปิกา เจตนา มุสาวาโทฯ โส ยมตฺถํ ภญฺชติ, ตสฺส อปฺปตาย อปฺปสาวโชฺช, มหนฺตตาย มหาสาวโชฺชฯ

    Aparo nayo, ‘musā’ti abhūtaṃ atacchaṃ vatthu. ‘Vādo’ti tassa bhūtato tacchato viññāpanaṃ. Lakkhaṇato pana atathaṃ vatthuṃ tathato paraṃ viññāpetukāmassa tathāviññattisamuṭṭhāpikā cetanā musāvādo. So yamatthaṃ bhañjati, tassa appatāya appasāvajjo, mahantatāya mahāsāvajjo.

    อปิ จ คหฎฺฐานํ อตฺตโน สนฺตกํ อทาตุกามตาย นตฺถีติอาทินยปฺปวโตฺต อปฺปสาวโชฺช, สกฺขินา หุตฺวา อตฺถภญฺชนตฺถํ วุโตฺต มหาสาวโชฺช, ปพฺพชิตานํ อปฺปกมฺปิ เตลํ วา สปฺปิํ วา ลภิตฺวา หสาธิปฺปาเยน – ‘‘อชฺช คาเม เตลํ นที มเญฺญ สนฺทตี’’ติ ปูรณกถานเยน ปวโตฺต อปฺปสาวโชฺช, อทิฎฺฐํเยว ปน ทิฎฺฐนฺติอาทินา นเยน วทนฺตานํ มหาสาวโชฺชฯ

    Api ca gahaṭṭhānaṃ attano santakaṃ adātukāmatāya natthītiādinayappavatto appasāvajjo, sakkhinā hutvā atthabhañjanatthaṃ vutto mahāsāvajjo, pabbajitānaṃ appakampi telaṃ vā sappiṃ vā labhitvā hasādhippāyena – ‘‘ajja gāme telaṃ nadī maññe sandatī’’ti pūraṇakathānayena pavatto appasāvajjo, adiṭṭhaṃyeva pana diṭṭhantiādinā nayena vadantānaṃ mahāsāvajjo.

    ตสฺส จตฺตาโร สมฺภารา โหนฺติ – อตถํ วตฺถุ, วิสํวาทนจิตฺตํ, ตโชฺช วายาโม, ปรสฺส ตทตฺถวิชานนนฺติฯ เอโก ปโยโค สาหตฺถิโกวฯ โส กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วา วาจาย วา ปรวิสํวาทนกิริยากรเณน ทฎฺฐโพฺพฯ ตาย เจ กิริยาย ปโร ตมตฺถํ ชานาติ, อยํ กิริยสมุฎฺฐาปิกเจตนากฺขเณเยว มุสาวาทกมฺมุนา พชฺฌติฯ

    Tassa cattāro sambhārā honti – atathaṃ vatthu, visaṃvādanacittaṃ, tajjo vāyāmo, parassa tadatthavijānananti. Eko payogo sāhatthikova. So kāyena vā kāyapaṭibaddhena vā vācāya vā paravisaṃvādanakiriyākaraṇena daṭṭhabbo. Tāya ce kiriyāya paro tamatthaṃ jānāti, ayaṃ kiriyasamuṭṭhāpikacetanākkhaṇeyeva musāvādakammunā bajjhati.

    ยสฺมา ปน ยถา กายกายปฎิพทฺธวาจาหิ ปรํ วิสํวาเทติ, ตถา ‘‘อิทมสฺส ภณาหี’’ติ อาณาเปโนฺตปิ ปณฺณํ ลิขิตฺวา ปุรโต นิสฺสชฺชโนฺตปิ, ‘‘อยมโตฺถ เอวํ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ กุฑฺฑาทีสุ ลิขิตฺวา ฐเปโนฺตปิฯ ตสฺมา เอตฺถ อาณตฺติกนิสฺสคฺคิยถาวราปิ ปโยคา ยุชฺชนฺติ, อฎฺฐกถาสุ ปน อนาคตตฺตา วีมํสิตฺวา คเหตพฺพาฯ

    Yasmā pana yathā kāyakāyapaṭibaddhavācāhi paraṃ visaṃvādeti, tathā ‘‘idamassa bhaṇāhī’’ti āṇāpentopi paṇṇaṃ likhitvā purato nissajjantopi, ‘‘ayamattho evaṃ daṭṭhabbo’’ti kuḍḍādīsu likhitvā ṭhapentopi. Tasmā ettha āṇattikanissaggiyathāvarāpi payogā yujjanti, aṭṭhakathāsu pana anāgatattā vīmaṃsitvā gahetabbā.

    สจฺจํ วทตีติ สจฺจวาทีฯ สเจฺจน สจฺจํ สนฺทหติ ฆเฎตีติ สจฺจสโนฺธฯ น อนฺตรนฺตรา มุสา วทตีติ อโตฺถฯ โย หิ ปุริโส กทาจิ มุสา วทติ, กทาจิ สจฺจํ, ตสฺส มุสาวาเทน อนฺตริตตฺตา สจฺจํ สเจฺจน น ฆฎียติ; ตสฺมา โส น สจฺจสโนฺธฯ อยํ ปน น ตาทิโส, ชีวิตเหตุปิ มุสา อวตฺวา สเจฺจน สจฺจํ สนฺทหติ เยวาติ สจฺจสโนฺธฯ

    Saccaṃ vadatīti saccavādī. Saccena saccaṃ sandahati ghaṭetīti saccasandho. Na antarantarā musā vadatīti attho. Yo hi puriso kadāci musā vadati, kadāci saccaṃ, tassa musāvādena antaritattā saccaṃ saccena na ghaṭīyati; tasmā so na saccasandho. Ayaṃ pana na tādiso, jīvitahetupi musā avatvā saccena saccaṃ sandahati yevāti saccasandho.

    เถโตติ ถิโร ถิรกโถติ อโตฺถฯ เอโก หิ ปุคฺคโล หลิทฺทิราโค วิย, ถุสราสิมฺหิ นิขาตขาณุ วิย, อสฺสปิเฎฺฐ ฐปิตกุมฺภณฺฑมิว จ น ถิรกโถ โหติ, เอโก ปาสาณเลขา วิย, อินฺทขีโล วิย จ ถิรกโถ โหติ, อสินา สีสํ ฉินฺทเนฺตปิ เทฺว กถา น กเถติ, อยํ วุจฺจติ เถโตฯ

    Thetoti thiro thirakathoti attho. Eko hi puggalo haliddirāgo viya, thusarāsimhi nikhātakhāṇu viya, assapiṭṭhe ṭhapitakumbhaṇḍamiva ca na thirakatho hoti, eko pāsāṇalekhā viya, indakhīlo viya ca thirakatho hoti, asinā sīsaṃ chindantepi dve kathā na katheti, ayaṃ vuccati theto.

    ปจฺจยิโกติ ปตฺติยายิตพฺพโก, สทฺธายิตพฺพโกติ อโตฺถฯ เอกโจฺจ หิ ปุคฺคโล น ปจฺจยิโก โหติ, ‘‘อิทํ เกน วุตฺตํ, อสุเกนา’’ติ วุเตฺต ‘‘มา ตสฺส วจนํ สทฺทหถา’’ติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติฯ เอโก ปจฺจยิโก โหติ, ‘‘อิทํ เกน วุตฺตํ, อสุเกนา’’ติ วุเตฺต ‘‘ยทิ เตน วุตฺตํ, อิทเมว ปมาณํ, อิทานิ อุปปริกฺขิตพฺพํ นตฺถิ, เอวเมว อิท’’นฺติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ, อยํ วุจฺจติ ปจฺจยิโกฯ อวิสํวาทโก โลกสฺสาติ ตาย สจฺจวาทิตาย โลกํ น วิสํวาเทตีติ อโตฺถฯ

    Paccayikoti pattiyāyitabbako, saddhāyitabbakoti attho. Ekacco hi puggalo na paccayiko hoti, ‘‘idaṃ kena vuttaṃ, asukenā’’ti vutte ‘‘mā tassa vacanaṃ saddahathā’’ti vattabbataṃ āpajjati. Eko paccayiko hoti, ‘‘idaṃ kena vuttaṃ, asukenā’’ti vutte ‘‘yadi tena vuttaṃ, idameva pamāṇaṃ, idāni upaparikkhitabbaṃ natthi, evameva ida’’nti vattabbataṃ āpajjati, ayaṃ vuccati paccayiko. Avisaṃvādako lokassāti tāya saccavāditāya lokaṃ na visaṃvādetīti attho.

    ปิสุณํ วาจํ ปหายาติอาทีสุ ยาย วาจาย ยสฺส ตํ วาจํ ภาสติ, ตสฺส หทเย อตฺตโน ปิยภาวํ, ปรสฺส จ สุญฺญภาวํ กโรติ, สา ปิสุณา วาจาฯ

    Pisuṇaṃvācaṃ pahāyātiādīsu yāya vācāya yassa taṃ vācaṃ bhāsati, tassa hadaye attano piyabhāvaṃ, parassa ca suññabhāvaṃ karoti, sā pisuṇā vācā.

    ยาย ปน อตฺตานมฺปิ ปรมฺปิ ผรุสํ กโรติ, ยา วาจา สยมฺปิ ผรุสา, เนว กณฺณสุขา น หทยงฺคมา, อยํ ผรุสา วาจาฯ

    Yāya pana attānampi parampi pharusaṃ karoti, yā vācā sayampi pharusā, neva kaṇṇasukhā na hadayaṅgamā, ayaṃ pharusā vācā.

    เยน สมฺผํ ปลปติ นิรตฺถกํ, โส สมฺผปฺปลาโปฯ

    Yena samphaṃ palapati niratthakaṃ, so samphappalāpo.

    เตสํ มูลภูตา เจตนาปิ ปิสุณวาจาทินาเมว ลภติ, สา เอว จ อิธาธิเปฺปตาติฯ

    Tesaṃ mūlabhūtā cetanāpi pisuṇavācādināmeva labhati, sā eva ca idhādhippetāti.

    ตตฺถ สํกิลิฎฺฐจิตฺตสฺส ปเรสํ วา เภทาย อตฺตโน ปิยกมฺยตาย วา กายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา ปิสุณวาจาฯ สา ยสฺส เภทํ กโรติ, ตสฺส อปฺปคุณตาย อปฺปสาวชฺชา, มหาคุณตาย มหาสาวชฺชาฯ

    Tattha saṃkiliṭṭhacittassa paresaṃ vā bhedāya attano piyakamyatāya vā kāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā cetanā pisuṇavācā. Sā yassa bhedaṃ karoti, tassa appaguṇatāya appasāvajjā, mahāguṇatāya mahāsāvajjā.

    ตสฺสา จตฺตาโร สมฺภารา – ภินฺทิตโพฺพ ปโร, ‘‘อิติ อิเม นานา ภวิสฺสนฺติ, วินา ภวิสฺสนฺตี’’ติ เภทปุเรกฺขารตา วา, ‘‘อิติ อหํ ปิโย ภวิสฺสามิ วิสฺสาสิโก’’ติ ปิยกมฺยตา วา, ตโชฺช วายาโม, ตสฺส ตทตฺถวิชานนนฺติฯ อิเมสํ เภทายาติ, เยสํ อิโตติ วุตฺตานํ สนฺติเก สุตํ เตสํ เภทายฯ

    Tassā cattāro sambhārā – bhinditabbo paro, ‘‘iti ime nānā bhavissanti, vinā bhavissantī’’ti bhedapurekkhāratā vā, ‘‘iti ahaṃ piyo bhavissāmi vissāsiko’’ti piyakamyatā vā, tajjo vāyāmo, tassa tadatthavijānananti. Imesaṃ bhedāyāti, yesaṃ itoti vuttānaṃ santike sutaṃ tesaṃ bhedāya.

    ภินฺนานํ วา สนฺธาตาติ ทฺวินฺนํ มิตฺตานํ วา สมานุปชฺฌายกาทีนํ วา เกนจิเทว การเณน ภินฺนานํ เอกเมกํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ อีทิเส กุเล ชาตานํ เอวํ พหุสฺสุตานํ อิทํ น ยุตฺต’’นฺติอาทีนิ วตฺวา สนฺธานํ กตฺตา อนุกตฺตาฯ อนุปฺปทาตาติ สนฺธานานุปฺปทาตาฯ เทฺว ชเน สมเคฺค ทิสฺวา – ‘‘ตุมฺหากํ เอวรูเป กุเล ชาตานํ เอวรูเปหิ คุเณหิ สมนฺนาคตานํ อนุจฺฉวิกเมต’’นฺติอาทีนิ วตฺวา ทฬฺหีกมฺมํ กตฺตาติ อโตฺถฯ สมโคฺค อาราโม อสฺสาติ สมคฺคาราโมฯ ยตฺถ สมคฺคา นตฺถิ, ตตฺถ วสิตุมฺปิ น อิจฺฉตีติ อโตฺถฯ สมคฺคราโมติปิ ปาฬิ, อยเมเวตฺถ อโตฺถฯ สมคฺครโตติ สมเคฺคสุ รโต, เต ปหาย อญฺญตฺถ คนฺตุมฺปิ น อิจฺฉตีติ อโตฺถฯ สมเคฺค ทิสฺวาปิ สุตฺวาปิ นนฺทตีติ สมคฺคนนฺที, สมคฺคกรณิํ วาจํ ภาสิตาติ ยา วาจา สเตฺต สมเคฺคเยว กโรติ , ตํ สามคฺคิคุณปริทีปิกเมว วาจํ ภาสติ, น อิตรนฺติฯ

    Bhinnānaṃ vā sandhātāti dvinnaṃ mittānaṃ vā samānupajjhāyakādīnaṃ vā kenacideva kāraṇena bhinnānaṃ ekamekaṃ upasaṅkamitvā ‘‘tumhākaṃ īdise kule jātānaṃ evaṃ bahussutānaṃ idaṃ na yutta’’ntiādīni vatvā sandhānaṃ kattā anukattā. Anuppadātāti sandhānānuppadātā. Dve jane samagge disvā – ‘‘tumhākaṃ evarūpe kule jātānaṃ evarūpehi guṇehi samannāgatānaṃ anucchavikameta’’ntiādīni vatvā daḷhīkammaṃ kattāti attho. Samaggo ārāmo assāti samaggārāmo. Yattha samaggā natthi, tattha vasitumpi na icchatīti attho. Samaggarāmotipi pāḷi, ayamevettha attho. Samaggaratoti samaggesu rato, te pahāya aññattha gantumpi na icchatīti attho. Samagge disvāpi sutvāpi nandatīti samagganandī,samaggakaraṇiṃ vācaṃ bhāsitāti yā vācā satte samaggeyeva karoti , taṃ sāmaggiguṇaparidīpikameva vācaṃ bhāsati, na itaranti.

    ปรสฺส มมฺมเจฺฉทกกายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา เอกนฺตผรุสเจตนา ผรุสาวาจาฯ ตสฺสา อาวิภาวตฺถมิทํ วตฺถุ – เอโก กิร ทารโก มาตุวจนํ อนาทิยิตฺวา อรญฺญํ คจฺฉติ, ตํ มาตา นิวเตฺตตุมสโกฺกนฺตี – ‘‘จณฺฑา ตํ มหิํสี อนุพนฺธตู’’ติ อโกฺกสิฯ อถสฺส ตเถว อรเญฺญ มหิํสี อุฎฺฐาสิฯ ทารโก ‘‘ยํ มม มาตา มุเขน กเถสิ, ตํ มา โหตุ, ยํ จิเตฺตน จิเนฺตสิ ตํ โหตู’’ติ, สจฺจกิริยมกาสิฯ มหิํสี ตเตฺถว พทฺธา วิย อฎฺฐาสิฯ เอวํ มมฺมเจฺฉทโกปิ ปโยโค จิตฺตสณฺหตาย น ผรุสา วาจา โหติฯ มาตาปิตโร หิ กทาจิ ปุตฺตเก เอวํ วทนฺติ – ‘‘โจรา โว ขณฺฑาขณฺฑํ กโรนฺตู’’ติ, อุปฺปลปตฺตมฺปิ จ เนสํ อุปริ ปตนฺตํ น อิจฺฉนฺติฯ อาจริยุปชฺฌายา จ กทาจิ นิสฺสิตเก เอวํ วทนฺติ – ‘‘กิํ อิเม อหิรีกา อโนตฺตปฺปิโน จรนฺติ, นิทฺธมถ เน’’ติ, อถ จ เนสํ อาคมาธิคมสมฺปตฺติํ อิจฺฉนฺติฯ ยถา จ จิตฺตสณฺหตาย ผรุสา วาจา น โหติ, เอวํ วจนสณฺหตาย อผรุสา วาจา น โหติฯ น หิ มาราเปตุกามสฺส – ‘‘อิมํ สุขํ สยาเปถา’’ติ วจนํ อผรุสา วาจา โหติ, จิตฺตผรุสตาย ปเนสา ผรุสา วาจาวฯ สา ยํ สนฺธาย ปวตฺติตา, ตสฺส อปฺปคุณตาย อปฺปสาวชฺชา, มหาคุณตาย มหาสาวชฺชาฯ ตสฺสา ตโย สมฺภารา – อโกฺกสิตโพฺพ ปโร, กุปิตจิตฺตํ, อโกฺกสนาติฯ

    Parassa mammacchedakakāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā ekantapharusacetanā pharusāvācā. Tassā āvibhāvatthamidaṃ vatthu – eko kira dārako mātuvacanaṃ anādiyitvā araññaṃ gacchati, taṃ mātā nivattetumasakkontī – ‘‘caṇḍā taṃ mahiṃsī anubandhatū’’ti akkosi. Athassa tatheva araññe mahiṃsī uṭṭhāsi. Dārako ‘‘yaṃ mama mātā mukhena kathesi, taṃ mā hotu, yaṃ cittena cintesi taṃ hotū’’ti, saccakiriyamakāsi. Mahiṃsī tattheva baddhā viya aṭṭhāsi. Evaṃ mammacchedakopi payogo cittasaṇhatāya na pharusā vācā hoti. Mātāpitaro hi kadāci puttake evaṃ vadanti – ‘‘corā vo khaṇḍākhaṇḍaṃ karontū’’ti, uppalapattampi ca nesaṃ upari patantaṃ na icchanti. Ācariyupajjhāyā ca kadāci nissitake evaṃ vadanti – ‘‘kiṃ ime ahirīkā anottappino caranti, niddhamatha ne’’ti, atha ca nesaṃ āgamādhigamasampattiṃ icchanti. Yathā ca cittasaṇhatāya pharusā vācā na hoti, evaṃ vacanasaṇhatāya apharusā vācā na hoti. Na hi mārāpetukāmassa – ‘‘imaṃ sukhaṃ sayāpethā’’ti vacanaṃ apharusā vācā hoti, cittapharusatāya panesā pharusā vācāva. Sā yaṃ sandhāya pavattitā, tassa appaguṇatāya appasāvajjā, mahāguṇatāya mahāsāvajjā. Tassā tayo sambhārā – akkositabbo paro, kupitacittaṃ, akkosanāti.

    เนลาติ เอลํ วุจฺจติ โทโส, นาสฺสา เอลนฺติ เนลา, นิโทฺทสาติ อโตฺถฯ ‘‘เนลโงฺค เสตปจฺฉาโท’’ติ, (อุทา. ๖๕) เอตฺถ วุตฺตเนลํ วิยฯ กณฺณสุขาติ พฺยญฺชนมธุรตาย กณฺณานํ สุขา, สูจิวิชฺฌนํ วิย กณฺณสูลํ น ชเนติฯ อตฺถมธุรตาย สกลสรีเร โกปํ อชเนตฺวา เปมํ ชเนตีติ เปมนียาฯ หทยํ คจฺฉติ, อปฺปฎิหญฺญมานา สุเขน จิตฺตํ ปวิสตีติ หทยงฺคมาฯ คุณปริปุณฺณตาย ปุเร ภวาติ โปรี ปุเร สํวฑฺฒนารี วิย สุกุมาราติปิ โปรีฯ ปุรสฺส เอสาติปิ โปรีฯ นครวาสีนํ กถาติ อโตฺถฯ นครวาสิโน หิ ยุตฺตกถา โหนฺติฯ ปิติมตฺตํ ปิตาติ วทนฺติ, ภาติมตฺตํ ภาตาติ วทนฺติ, มาติมตฺตํ มาตาติ วทนฺติฯ เอวรูปี กถา พหุโน ชนสฺส กนฺตา โหตีติ พหุชนกนฺตาฯ กนฺตภาเวเนว พหุโน ชนสฺส มนาปา จิตฺตวุฑฺฒิกราติ พหุชนมนาปาฯ

    Nelāti elaṃ vuccati doso, nāssā elanti nelā, niddosāti attho. ‘‘Nelaṅgo setapacchādo’’ti, (udā. 65) ettha vuttanelaṃ viya. Kaṇṇasukhāti byañjanamadhuratāya kaṇṇānaṃ sukhā, sūcivijjhanaṃ viya kaṇṇasūlaṃ na janeti. Atthamadhuratāya sakalasarīre kopaṃ ajanetvā pemaṃ janetīti pemanīyā. Hadayaṃ gacchati, appaṭihaññamānā sukhena cittaṃ pavisatīti hadayaṅgamā. Guṇaparipuṇṇatāya pure bhavāti porī pure saṃvaḍḍhanārī viya sukumārātipi porī. Purassa esātipi porī. Nagaravāsīnaṃ kathāti attho. Nagaravāsino hi yuttakathā honti. Pitimattaṃ pitāti vadanti, bhātimattaṃ bhātāti vadanti, mātimattaṃ mātāti vadanti. Evarūpī kathā bahuno janassa kantā hotīti bahujanakantā. Kantabhāveneva bahuno janassa manāpā cittavuḍḍhikarāti bahujanamanāpā.

    อนตฺถวิญฺญาปิกา กายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา อกุสลเจตนา สมฺผปฺปลาโปฯ โส อาเสวนมนฺทตาย อปฺปสาวโชฺช, อาเสวนมหนฺตตาย มหาสาวโชฺช, ตสฺส เทฺว สมฺภารา – ภารตยุทฺธสีตาหรณาทินิรตฺถกกถาปุเรกฺขารตา, ตถารูปี กถา กถนญฺจฯ

    Anatthaviññāpikā kāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā akusalacetanā samphappalāpo. So āsevanamandatāya appasāvajjo, āsevanamahantatāya mahāsāvajjo, tassa dve sambhārā – bhāratayuddhasītāharaṇādiniratthakakathāpurekkhāratā, tathārūpī kathā kathanañca.

    กาเลน วทตีติ กาลวาที วตฺตพฺพยุตฺตกาลํ สลฺลเกฺขตฺวา วทตีติ อโตฺถฯ ภูตํ ตถํ ตจฺฉํ สภาวเมว วทตีติ ภูตวาทีฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกตฺถสนฺนิสฺสิตเมว กตฺวา วทตีติ อตฺถวาทีฯ นวโลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิตํ กตฺวา วทตีติ ธมฺมวาที สํวรวินยปหานวินยสนฺนิสฺสิตํ กตฺวา วทตีติ วินยวาทีฯ

    Kālena vadatīti kālavādī vattabbayuttakālaṃ sallakkhetvā vadatīti attho. Bhūtaṃ tathaṃ tacchaṃ sabhāvameva vadatīti bhūtavādī. Diṭṭhadhammikasamparāyikatthasannissitameva katvā vadatīti atthavādī. Navalokuttaradhammasannissitaṃ katvā vadatīti dhammavādī saṃvaravinayapahānavinayasannissitaṃ katvā vadatīti vinayavādī.

    นิธานํ วุจฺจติ ฐปโนกาโส, นิธานมสฺสา อตฺถีติ นิธานวตีฯ หทเย นิธาตพฺพยุตฺตกํ วาจํ ภาสิตาติ อโตฺถฯ กาเลนาติ เอวรูปิํ ภาสมาโนปิ จ – ‘‘อหํ นิธานวติํ วาจํ ภาสิสฺสามี’’ติ น อกาเลน ภาสติ, ยุตฺตกาลํ ปน อเปกฺขิตฺวาว ภาสตีติ อโตฺถฯ สาปเทสนฺติ สอุปมํ, สการณนฺติ อโตฺถฯ ปริยนฺตวตินฺติ ปริเจฺฉทํ ทเสฺสตฺวา ยถาสฺสา ปริเจฺฉโท ปญฺญายติ, เอวํ ภาสตีติ อโตฺถฯ อตฺถสํหิตนฺติ อเนเกหิปิ นเยหิ วิภชเนฺตน ปริยาทาตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อตฺถสมฺปนฺนํ ภาสติฯ ยํ วา โส อตฺถวาที อตฺถํ วทติ, เตน อเตฺถน สหิตตฺตา อตฺถสํหิตํ วาจํ ภาสติ, น อญฺญํ นิกฺขิปิตฺวา อญฺญํ ภาสตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Nidhānaṃ vuccati ṭhapanokāso, nidhānamassā atthīti nidhānavatī. Hadaye nidhātabbayuttakaṃ vācaṃ bhāsitāti attho. Kālenāti evarūpiṃ bhāsamānopi ca – ‘‘ahaṃ nidhānavatiṃ vācaṃ bhāsissāmī’’ti na akālena bhāsati, yuttakālaṃ pana apekkhitvāva bhāsatīti attho. Sāpadesanti saupamaṃ, sakāraṇanti attho. Pariyantavatinti paricchedaṃ dassetvā yathāssā paricchedo paññāyati, evaṃ bhāsatīti attho. Atthasaṃhitanti anekehipi nayehi vibhajantena pariyādātuṃ asakkuṇeyyatāya atthasampannaṃ bhāsati. Yaṃ vā so atthavādī atthaṃ vadati, tena atthena sahitattā atthasaṃhitaṃ vācaṃ bhāsati, na aññaṃ nikkhipitvā aññaṃ bhāsatīti vuttaṃ hoti.

    ๑๐. พีชคามภูตคามสมารมฺภาติ มูลพีชํ ขนฺธพีชํ ผฬุพีชํ อคฺคพีชํ พีชพีชนฺติ ปญฺจวิธสฺส พีชคามสฺส เจว, ยสฺส กสฺสจิ นีลติณรุกฺขาทิกสฺส ภูตคามสฺส จ สมารมฺภา, เฉทนเภทนปจนาทิภาเวน วิโกปนา ปฎิวิรโตติ อโตฺถฯ

    10.Bījagāmabhūtagāmasamārambhāti mūlabījaṃ khandhabījaṃ phaḷubījaṃ aggabījaṃ bījabījanti pañcavidhassa bījagāmassa ceva, yassa kassaci nīlatiṇarukkhādikassa bhūtagāmassa ca samārambhā, chedanabhedanapacanādibhāvena vikopanā paṭiviratoti attho.

    เอกภตฺติโกติ ปาตราสภตฺตํ สายมาสภตฺตนฺติ เทฺว ภตฺตานิ, เตสุ ปาตราสภตฺตํ อโนฺตมชฺฌนฺหิเกน ปริจฺฉินฺนํ, อิตรํ มชฺฌนฺหิกโต อุทฺธํ อโนฺต อรุเณนฯ ตสฺมา อโนฺตมชฺฌนฺหิเก ทสกฺขตฺตุํ ภุญฺชมาโนปิ เอกภตฺติโกว โหติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘เอกภตฺติโก’’ติฯ

    Ekabhattikoti pātarāsabhattaṃ sāyamāsabhattanti dve bhattāni, tesu pātarāsabhattaṃ antomajjhanhikena paricchinnaṃ, itaraṃ majjhanhikato uddhaṃ anto aruṇena. Tasmā antomajjhanhike dasakkhattuṃ bhuñjamānopi ekabhattikova hoti. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘ekabhattiko’’ti.

    รตฺติยา โภชนํ รตฺติ, ตโต อุปรโตติ รตฺตูปรโตฯ อติกฺกเนฺต มชฺฌนฺหิเก ยาว สูริยตฺถงฺคมนา โภชนํ วิกาลโภชนํ นามฯ ตโต วิรตตฺตา วิรโต วิกาลโภชนาฯ กทา วิรโต? อโนมานทีตีเร ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐายฯ

    Rattiyā bhojanaṃ ratti, tato uparatoti rattūparato. Atikkante majjhanhike yāva sūriyatthaṅgamanā bhojanaṃ vikālabhojanaṃ nāma. Tato viratattā virato vikālabhojanā. Kadā virato? Anomānadītīre pabbajitadivasato paṭṭhāya.

    สาสนสฺส อนนุโลมตฺตา วิสูกํ ปฎาณีภูตํ ทสฺสนนฺติ วิสูกทสฺสนํฯ อตฺตนา นจฺจนนจฺจาปนาทิวเสน นจฺจา จ คีตา จ วาทิตา จ อนฺตมโส มยูรนจฺจาทิวเสนปิ ปวตฺตานํ นจฺจาทีนํ วิสูกภูตา ทสฺสนา จาติ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนาฯ นจฺจาทีนิ หิ อตฺตนา ปโยเชตุํ วา ปเรหิ ปโยชาเปตุํ วา ปยุตฺตานิ ปสฺสิตุํ วา เนว ภิกฺขูนํ น ภิกฺขุนีนญฺจ วฎฺฎนฺติฯ

    Sāsanassa ananulomattā visūkaṃ paṭāṇībhūtaṃ dassananti visūkadassanaṃ. Attanā naccananaccāpanādivasena naccā ca gītā ca vāditā ca antamaso mayūranaccādivasenapi pavattānaṃ naccādīnaṃ visūkabhūtā dassanā cāti naccagītavāditavisūkadassanā. Naccādīni hi attanā payojetuṃ vā parehi payojāpetuṃ vā payuttāni passituṃ vā neva bhikkhūnaṃ na bhikkhunīnañca vaṭṭanti.

    มาลาทีสุ มาลาติ ยํ กิญฺจิ ปุปฺผํฯ คนฺธนฺติ ยํ กิญฺจิ คนฺธชาตํฯ วิเลปนนฺติ ฉวิราคกรณํฯ ตตฺถ ปิฬนฺธโนฺต ธาเรติ นาม, อูนฎฺฐานํ ปูเรโนฺต มเณฺฑติ นาม, คนฺธวเสน ฉวิราควเสน จ สาทิยโนฺต วิภูเสติ นามฯ ฐานํ วุจฺจติ การณํฯ ตสฺมา ยาย ทุสฺสีลฺยเจตนาย ตานิ มาลาธารณาทีนิ มหาชโน กโรติ, ตโต ปฎิวิรโตติ อโตฺถฯ

    Mālādīsu mālāti yaṃ kiñci pupphaṃ. Gandhanti yaṃ kiñci gandhajātaṃ. Vilepananti chavirāgakaraṇaṃ. Tattha piḷandhanto dhāreti nāma, ūnaṭṭhānaṃ pūrento maṇḍeti nāma, gandhavasena chavirāgavasena ca sādiyanto vibhūseti nāma. Ṭhānaṃ vuccati kāraṇaṃ. Tasmā yāya dussīlyacetanāya tāni mālādhāraṇādīni mahājano karoti, tato paṭiviratoti attho.

    อุจฺจาสยนํ วุจฺจติ ปมาณาติกฺกนฺตํฯ มหาสยนนฺติ อกปฺปิยปจฺจตฺถรณํฯ ตโต วิรโตติ อโตฺถฯ

    Uccāsayanaṃ vuccati pamāṇātikkantaṃ. Mahāsayananti akappiyapaccattharaṇaṃ. Tato viratoti attho.

    ชาตรูปนฺติ สุวณฺณํฯ รชตนฺติ กหาปโณ, โลหมาสโก, ชตุมาสโก, ทารุมาสโกติ เย โวหารํ คจฺฉนฺติฯ ตสฺส อุภยสฺสาปิ ปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต, เนว นํ อุคฺคณฺหาติ, น อุคฺคณฺหาเปติ, น อุปนิกฺขิตฺตํ สาทิยตีติ อโตฺถฯ

    Jātarūpanti suvaṇṇaṃ. Rajatanti kahāpaṇo, lohamāsako, jatumāsako, dārumāsakoti ye vohāraṃ gacchanti. Tassa ubhayassāpi paṭiggahaṇā paṭivirato, neva naṃ uggaṇhāti, na uggaṇhāpeti, na upanikkhittaṃ sādiyatīti attho.

    อามกธญฺญปฎิคฺคหณาติ, สาลิวีหิยวโคธูมกงฺคุวรกกุทฺรูสกสงฺขาตสฺส สตฺตวิธสฺสาปิ อามกธญฺญสฺส ปฎิคฺคหณาฯ น เกวลญฺจ เอเตสํ ปฎิคฺคหณเมว, อามสนมฺปิ ภิกฺขูนํ น วฎฺฎติเยวฯ อามกมํสปฎิคฺคหณาติ เอตฺถ อญฺญตฺร โอทิสฺส อนุญฺญาตา อามกมํสมจฺฉานํ ปฎิคฺคหณเมว ภิกฺขูนํ น วฎฺฎติ, โน อามสนํฯ

    Āmakadhaññapaṭiggahaṇāti, sālivīhiyavagodhūmakaṅguvarakakudrūsakasaṅkhātassa sattavidhassāpi āmakadhaññassa paṭiggahaṇā. Na kevalañca etesaṃ paṭiggahaṇameva, āmasanampi bhikkhūnaṃ na vaṭṭatiyeva. Āmakamaṃsapaṭiggahaṇāti ettha aññatra odissa anuññātā āmakamaṃsamacchānaṃ paṭiggahaṇameva bhikkhūnaṃ na vaṭṭati, no āmasanaṃ.

    อิตฺถิกุมาริกปฎิคฺคหณาติ เอตฺถ อิตฺถีติ ปุริสนฺตรคตา, อิตรา กุมาริกา นาม, ตาสํ ปฎิคฺคหณมฺปิ อามสนมฺปิ อกปฺปิยเมวฯ

    Itthikumārikapaṭiggahaṇāti ettha itthīti purisantaragatā, itarā kumārikā nāma, tāsaṃ paṭiggahaṇampi āmasanampi akappiyameva.

    ทาสิทาสปฎิคฺคหณาติ เอตฺถ ทาสิทาสวเสเนว เตสํ ปฎิคฺคหณํ น วฎฺฎติฯ ‘‘กปฺปิยการกํ ทมฺมิ, อารามิกํ ทมฺมี’’ติ เอวํ วุเตฺต ปน วฎฺฎติฯ

    Dāsidāsapaṭiggahaṇāti ettha dāsidāsavaseneva tesaṃ paṭiggahaṇaṃ na vaṭṭati. ‘‘Kappiyakārakaṃ dammi, ārāmikaṃ dammī’’ti evaṃ vutte pana vaṭṭati.

    อเชฬกาทีสุ เขตฺตวตฺถุปริโยสาเนสุ กปฺปิยากปฺปิยนโย วินยวเสน อุปปริกฺขิตโพฺพฯ ตตฺถ เขตฺตํ นาม ยสฺมิํ ปุพฺพณฺณํ รุหติฯ วตฺถุ นาม ยสฺมิํ อปรณฺณํ รุหติฯ ยตฺถ วา อุภยมฺปิ รุหติ, ตํ เขตฺตํฯ ตทตฺถาย อกตภูมิภาโค วตฺถุฯ เขตฺตวตฺถุสีเสน เจตฺถ วาปิตฬากาทีนิปิ สงฺคหิตาเนวฯ

    Ajeḷakādīsu khettavatthupariyosānesu kappiyākappiyanayo vinayavasena upaparikkhitabbo. Tattha khettaṃ nāma yasmiṃ pubbaṇṇaṃ ruhati. Vatthu nāma yasmiṃ aparaṇṇaṃ ruhati. Yattha vā ubhayampi ruhati, taṃ khettaṃ. Tadatthāya akatabhūmibhāgo vatthu. Khettavatthusīsena cettha vāpitaḷākādīnipi saṅgahitāneva.

    ทูเตยฺยํ วุจฺจติ ทูตกมฺมํ, คิหีนํ ปหิตํ ปณฺณํ วา สาสนํ วา คเหตฺวา ตตฺถ ตตฺถ คมนํฯ ปหิณคมนํ วุจฺจติ ฆรา ฆรํ เปสิตสฺส ขุทฺทกคมนํฯ อนุโยโค นาม ตทุภยกรณํฯ ตสฺมา ทูเตยฺยปหิณคมนานํ อนุโยคาติฯ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Dūteyyaṃ vuccati dūtakammaṃ, gihīnaṃ pahitaṃ paṇṇaṃ vā sāsanaṃ vā gahetvā tattha tattha gamanaṃ. Pahiṇagamanaṃ vuccati gharā gharaṃ pesitassa khuddakagamanaṃ. Anuyogo nāma tadubhayakaraṇaṃ. Tasmā dūteyyapahiṇagamanānaṃ anuyogāti. Evamettha attho veditabbo.

    กยวิกฺกยาติ กยา จ วิกฺกยา จฯ ตุลากูฎาทีสุ กูฎนฺติ วญฺจนํฯ ตตฺถ ตุลากูฎํ นาม รูปกูฎํ องฺคกูฎํ, คหณกูฎํ, ปฎิจฺฉนฺนกูฎนฺติ จตุพฺพิธํ โหติฯ ตตฺถ รูปกูฎํ นาม เทฺว ตุลา สมรูปา กตฺวา คณฺหโนฺต มหติยา คณฺหาติ, ททโนฺต ขุทฺทิกาย เทติฯ องฺคกูฎํ นาม คณฺหโนฺต ปจฺฉาภาเค หเตฺถน ตุลํ อกฺกมติ, ททโนฺต ปุพฺพภาเคฯ คหณกูฎํ นาม คณฺหโนฺต มูเล รชฺชุํ คณฺหาติ, ททโนฺต อเคฺคฯ ปฎิจฺฉนฺนกูฎํ นาม ตุลํ สุสิรํ กตฺวา อโนฺต อยจุณฺณํ ปกฺขิปิตฺวา คณฺหโนฺต ตํ ปจฺฉาภาเค กโรติ, ททโนฺต อคฺคภาเคฯ

    Kayavikkayāti kayā ca vikkayā ca. Tulākūṭādīsu kūṭanti vañcanaṃ. Tattha tulākūṭaṃ nāma rūpakūṭaṃ aṅgakūṭaṃ, gahaṇakūṭaṃ, paṭicchannakūṭanti catubbidhaṃ hoti. Tattha rūpakūṭaṃ nāma dve tulā samarūpā katvā gaṇhanto mahatiyā gaṇhāti, dadanto khuddikāya deti. Aṅgakūṭaṃ nāma gaṇhanto pacchābhāge hatthena tulaṃ akkamati, dadanto pubbabhāge. Gahaṇakūṭaṃ nāma gaṇhanto mūle rajjuṃ gaṇhāti, dadanto agge. Paṭicchannakūṭaṃ nāma tulaṃ susiraṃ katvā anto ayacuṇṇaṃ pakkhipitvā gaṇhanto taṃ pacchābhāge karoti, dadanto aggabhāge.

    กํโส วุจฺจติ สุวณฺณปาติ, ตาย วญฺจนํ กํสกูฎํฯ กถํ? เอกํ สุวณฺณปาติํ กตฺวา อญฺญา เทฺว ติโสฺส โลหปาติโย สุวณฺณวเณฺณ กโรติ, ตโต ชนปทํ คนฺตฺวา กิญฺจิเทว อฑฺฒํ กุลํ ปวิสิตฺวา – ‘‘สุวณฺณภาชนานิ กิณถา’’ติ วตฺวา อเคฺฆ ปุจฺฉิเต สมคฺฆตรํ ทาตุกามา โหนฺติฯ ตโต เตหิ – ‘‘กถํ อิเมสํ สุวณฺณภาโว ชานิตโพฺพ’’ติ วุเตฺต, ‘‘วีมํสิตฺวา คณฺหถา’’ติ สุวณฺณปาติํ ปาสาเณ ฆํสิตฺวา สพฺพา ปาติโย ทตฺวา คจฺฉติฯ

    Kaṃso vuccati suvaṇṇapāti, tāya vañcanaṃ kaṃsakūṭaṃ. Kathaṃ? Ekaṃ suvaṇṇapātiṃ katvā aññā dve tisso lohapātiyo suvaṇṇavaṇṇe karoti, tato janapadaṃ gantvā kiñcideva aḍḍhaṃ kulaṃ pavisitvā – ‘‘suvaṇṇabhājanāni kiṇathā’’ti vatvā agghe pucchite samagghataraṃ dātukāmā honti. Tato tehi – ‘‘kathaṃ imesaṃ suvaṇṇabhāvo jānitabbo’’ti vutte, ‘‘vīmaṃsitvā gaṇhathā’’ti suvaṇṇapātiṃ pāsāṇe ghaṃsitvā sabbā pātiyo datvā gacchati.

    มานกูฎํ นาม หทยเภทสิขาเภทรชฺชุเภทวเสน ติวิธํ โหติฯ ตตฺถ หทยเภโท สปฺปิเตลาทิมินนกาเล ลพฺภติฯ ตานิ หิ คณฺหโนฺต เหฎฺฐาฉิเทฺทน มาเนน – ‘‘สณิกํ อาสิญฺจา’’ติ วตฺวา อโนฺตภาชเน พหุํ ปคฺฆราเปตฺวา คณฺหาติ, ททโนฺต ฉิทฺทํ ปิธาย สีฆํ ปูเรตฺวา เทติฯ

    Mānakūṭaṃ nāma hadayabhedasikhābhedarajjubhedavasena tividhaṃ hoti. Tattha hadayabhedo sappitelādiminanakāle labbhati. Tāni hi gaṇhanto heṭṭhāchiddena mānena – ‘‘saṇikaṃ āsiñcā’’ti vatvā antobhājane bahuṃ paggharāpetvā gaṇhāti, dadanto chiddaṃ pidhāya sīghaṃ pūretvā deti.

    สิขาเภโท ติลตณฺฑุลาทิมินนกาเล ลพฺภติฯ ตานิ หิ คณฺหโนฺต สณิกํ สิขํ อุสฺสาเปตฺวา คณฺหาติ, ททโนฺต เวเคน ปูเรตฺวา สิขํ ฉินฺทโนฺต เทติฯ

    Sikhābhedo tilataṇḍulādiminanakāle labbhati. Tāni hi gaṇhanto saṇikaṃ sikhaṃ ussāpetvā gaṇhāti, dadanto vegena pūretvā sikhaṃ chindanto deti.

    รชฺชุเภโท เขตฺตวตฺถุมินนกาเล ลพฺภติฯ ลญฺชํ อลภนฺตา หิ เขตฺตํ อมหนฺตมฺปิ มหนฺตํ กตฺวา มินนฺติฯ

    Rajjubhedo khettavatthuminanakāle labbhati. Lañjaṃ alabhantā hi khettaṃ amahantampi mahantaṃ katvā minanti.

    อุโกฺกฎนาทีสุ อุโกฺกฎนนฺติ อสฺสามิเก สามิเก กาตุํ ลญฺชคฺคหณํฯ วญฺจนนฺติ เตหิ เตหิ อุปาเยหิ ปเรสํ วญฺจนํฯ ตตฺริทเมกํ วตฺถุ – เอโก กิร ลุทฺทโก มิคญฺจ มิคโปตกญฺจ คเหตฺวา อาคจฺฉติ , ตเมโก ธุโตฺต – ‘‘กิํ โภ, มิโค อคฺฆติ, กิํ มิคโปตโก’’ติ อาหฯ ‘‘มิโค เทฺว กหาปเณ, มิคโปตโก เอก’’นฺติ จ วุเตฺต เอกํ กหาปณํ ทตฺวา มิคโปตกํ คเหตฺวา โถกํ คนฺตฺวา นิวโตฺต – ‘‘น เม โภ, มิคโปตเกน อโตฺถ, มิคํ เม เทหี’’ติ อาหฯ เตน หิ – เทฺว กหาปเณ เทหีติฯ โส อาห – ‘‘นนุ เต โภ, มยา ปฐมํ เอโก กหาปโณ ทิโนฺน’’ติ? ‘‘อาม, ทิโนฺน’’ติฯ ‘‘อิทํ มิคโปตกํ คณฺห, เอวํ โส จ กหาปโณ, อยญฺจ กหาปณคฺฆนโก มิคโปตโกติ เทฺว กหาปณา ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ โส ‘‘การณํ วทตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา มิคโปตกํ คเหตฺวา มิคํ อทาสีติฯ นิกตีติ โยควเสน วา มายาวเสน วา อปามงฺคํ ปามงฺคนฺติ, อมณิํ มณินฺติ, อสุวณฺณํ สุวณฺณนฺติ กตฺวา ปติรูปเกน วญฺจนํฯ สาจิโยโคติ กุฎิลโยโค, เอเตสํเยว อุโกฺกฎนาทีนเมตํ นามํฯ ตสฺมา – อุโกฺกฎนสาจิโยโค, วญฺจนสาจิโยโค, นิกติสาจิโยโคติ, เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เกจิ อญฺญํ ทเสฺสตฺวา อญฺญสฺส ปริวตฺตนํ สาจิโยโคติ วทนฺติฯ ตํ ปน วญฺจเนเนว สงฺคหิตํฯ

    Ukkoṭanādīsu ukkoṭananti assāmike sāmike kātuṃ lañjaggahaṇaṃ. Vañcananti tehi tehi upāyehi paresaṃ vañcanaṃ. Tatridamekaṃ vatthu – eko kira luddako migañca migapotakañca gahetvā āgacchati , tameko dhutto – ‘‘kiṃ bho, migo agghati, kiṃ migapotako’’ti āha. ‘‘Migo dve kahāpaṇe, migapotako eka’’nti ca vutte ekaṃ kahāpaṇaṃ datvā migapotakaṃ gahetvā thokaṃ gantvā nivatto – ‘‘na me bho, migapotakena attho, migaṃ me dehī’’ti āha. Tena hi – dve kahāpaṇe dehīti. So āha – ‘‘nanu te bho, mayā paṭhamaṃ eko kahāpaṇo dinno’’ti? ‘‘Āma, dinno’’ti. ‘‘Idaṃ migapotakaṃ gaṇha, evaṃ so ca kahāpaṇo, ayañca kahāpaṇagghanako migapotakoti dve kahāpaṇā bhavissantī’’ti. So ‘‘kāraṇaṃ vadatī’’ti sallakkhetvā migapotakaṃ gahetvā migaṃ adāsīti. Nikatīti yogavasena vā māyāvasena vā apāmaṅgaṃ pāmaṅganti, amaṇiṃ maṇinti, asuvaṇṇaṃ suvaṇṇanti katvā patirūpakena vañcanaṃ. Sāciyogoti kuṭilayogo, etesaṃyeva ukkoṭanādīnametaṃ nāmaṃ. Tasmā – ukkoṭanasāciyogo, vañcanasāciyogo, nikatisāciyogoti, evamettha attho daṭṭhabbo. Keci aññaṃ dassetvā aññassa parivattanaṃ sāciyogoti vadanti. Taṃ pana vañcaneneva saṅgahitaṃ.

    เฉทนาทีสุ เฉทนนฺติ หตฺถเจฺฉทนาทิฯ วโธติ มารณํฯ พโนฺธติ รชฺชุพนฺธนาทีหิ พนฺธนํฯ วิปราโมโสติ หิมวิปราโมโส, คุมฺพวิปราโมโสติ ทุวิโธฯ ยํ หิมปาตสมเย หิเมน ปฎิจฺฉนฺนา หุตฺวา มคฺคปฺปฎิปนฺนํ ชนํ มุสนฺติ, อยํ หิมวิปราโมโสฯ ยํ คุมฺพาทีหิ ปฎิจฺฉนฺนา มุสนฺติ, อยํ คุมฺพวิปราโมโสฯ อาโลโป วุจฺจติ คามนิคมาทีนํ วิโลปกรณํฯ สหสากาโรติ สาหสิกกิริยาฯ เคหํ ปวิสิตฺวา มนุสฺสานํ อุเร สตฺถํ ฐเปตฺวา อิจฺฉิตภณฺฑานํ คหณํฯ เอวเมตสฺมา เฉทน…เป.… สหสาการา ปฎิวิรโต สมโณ โคตโมติฯ อิติ วา หิ, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยาติฯ

    Chedanādīsu chedananti hatthacchedanādi. Vadhoti māraṇaṃ. Bandhoti rajjubandhanādīhi bandhanaṃ. Viparāmosoti himaviparāmoso, gumbaviparāmosoti duvidho. Yaṃ himapātasamaye himena paṭicchannā hutvā maggappaṭipannaṃ janaṃ musanti, ayaṃ himaviparāmoso. Yaṃ gumbādīhi paṭicchannā musanti, ayaṃ gumbaviparāmoso. Ālopo vuccati gāmanigamādīnaṃ vilopakaraṇaṃ. Sahasākāroti sāhasikakiriyā. Gehaṃ pavisitvā manussānaṃ ure satthaṃ ṭhapetvā icchitabhaṇḍānaṃ gahaṇaṃ. Evametasmā chedana…pe… sahasākārā paṭivirato samaṇo gotamoti. Iti vā hi, bhikkhave, puthujjano tathāgatassa vaṇṇaṃ vadamāno vadeyyāti.

    เอตฺตาวตา จูฬสีลํ นิฎฺฐิตํ โหติฯ

    Ettāvatā cūḷasīlaṃ niṭṭhitaṃ hoti.

    มชฺฌิมสีลวณฺณนา

    Majjhimasīlavaṇṇanā

    ๑๑. อิทานิ มชฺฌิมสีลํ วิตฺถาเรโนฺต ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ อนุตฺตานปทวณฺณนาฯ สทฺธาเทยฺยานีติ กมฺมญฺจ ผลญฺจ อิธโลกญฺจ ปรโลกญฺจ สทฺทหิตฺวา ทินฺนานิฯ ‘อยํ เม ญาตี’ติ วา, ‘มิโตฺต’ติ วา, อิทํ ปฎิกริสฺสติ, อิทํ วา เตน กตปุพฺพนฺติ วา, เอวํ น ทินฺนานีติ อโตฺถฯ เอวํ ทินฺนานิ หิ น สทฺธาเทยฺยานิ นาม โหนฺติ ฯ โภชนานีติ เทสนาสีสมตฺตเมตํ, อตฺถโต ปน สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา จีวรานิ ปารุปิตฺวา เสนาสนานิ เสวมานา คิลานเภสชฺชํ ปริภุญฺชมานาติ สพฺพเมตํ วุตฺตเมว โหติฯ

    11. Idāni majjhimasīlaṃ vitthārento ‘‘yathā vā paneke bhonto’’tiādimāha. Tatrāyaṃ anuttānapadavaṇṇanā. Saddhādeyyānīti kammañca phalañca idhalokañca paralokañca saddahitvā dinnāni. ‘Ayaṃ me ñātī’ti vā, ‘mitto’ti vā, idaṃ paṭikarissati, idaṃ vā tena katapubbanti vā, evaṃ na dinnānīti attho. Evaṃ dinnāni hi na saddhādeyyāni nāma honti . Bhojanānīti desanāsīsamattametaṃ, atthato pana saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā cīvarāni pārupitvā senāsanāni sevamānā gilānabhesajjaṃ paribhuñjamānāti sabbametaṃ vuttameva hoti.

    เสยฺยถิทนฺติ นิปาโตฯ ตสฺสโตฺถ กตโม โส พีชคามภูตคาโม, ยสฺส สมารมฺภํ อนุยุตฺตา วิหรนฺตีติฯ ตโต ตํ ทเสฺสโนฺต มูลพีชนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ มูลพีชํ นาม หลิทฺทิ, สิงฺคิเวรํ, วจา, วจตฺตํ, อติวิสา, กฎุกโรหิณี, อุสีรํ, ภทฺทมุตฺตกนฺติ เอวมาทิฯ ขนฺธพีชํ นาม อสฺสโตฺถ, นิโคฺรโธ, ปิลโกฺข, อุทุมฺพโร, กจฺฉโก, กปิตฺถโนติ เอวมาทิฯ ผฬุพีชํ นาม อุจฺฉุ, นโฬ, เวฬูติ เอวมาทิฯ อคฺคพีชํ นาม อชฺชกํ, ผณิชฺชกํ, หิริเวรนฺติ เอวมาทิฯ พีชพีชํ นาม ปุพฺพณฺณํ อปรณฺณนฺติ เอวมาทิฯ สพฺพเญฺหตํ รุกฺขโต วิโยชิตํ วิรุหนสมตฺถเมว ‘‘พีชคาโม’’ติ วุจฺจติฯ รุกฺขโต ปน อวิโยชิตํ อสุกฺขํ ‘‘ภูตคาโม’’ติ วุจฺจติฯ ตตฺถ ภูตคามสมารโมฺภ ปาจิตฺติยวตฺถุ, พีชคามสมารโมฺภ ทุกฺกฎวตฺถูติ เวทิตโพฺพฯ

    Seyyathidanti nipāto. Tassattho katamo so bījagāmabhūtagāmo, yassa samārambhaṃ anuyuttā viharantīti. Tato taṃ dassento mūlabījantiādimāha. Tattha mūlabījaṃ nāma haliddi, siṅgiveraṃ, vacā, vacattaṃ, ativisā, kaṭukarohiṇī, usīraṃ, bhaddamuttakanti evamādi. Khandhabījaṃ nāma assattho, nigrodho, pilakkho, udumbaro, kacchako, kapitthanoti evamādi. Phaḷubījaṃ nāma ucchu, naḷo, veḷūti evamādi. Aggabījaṃ nāma ajjakaṃ, phaṇijjakaṃ, hiriveranti evamādi. Bījabījaṃ nāma pubbaṇṇaṃ aparaṇṇanti evamādi. Sabbañhetaṃ rukkhato viyojitaṃ viruhanasamatthameva ‘‘bījagāmo’’ti vuccati. Rukkhato pana aviyojitaṃ asukkhaṃ ‘‘bhūtagāmo’’ti vuccati. Tattha bhūtagāmasamārambho pācittiyavatthu, bījagāmasamārambho dukkaṭavatthūti veditabbo.

    ๑๒. สนฺนิธิการปริโภคนฺติ สนฺนิธิกตสฺส ปริโภคํฯ ตตฺถ ทุวิธา กถา, วินยวเสน จ สเลฺลขวเสน จฯ วินยวเสน ตาว ยํ กิญฺจิ อนฺนํ อชฺช ปฎิคฺคหิตํ อปรชฺชุ สนฺนิธิการกํ โหติ, ตสฺส ปริโภเค ปาจิตฺติยํ ฯ อตฺตนา ลทฺธํ ปน สามเณรานํ ทตฺวา, เตหิ ลทฺธํ ฐปาเปตฺวา ทุติยทิวเส ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, สเลฺลโข ปน น โหติฯ

    12.Sannidhikāraparibhoganti sannidhikatassa paribhogaṃ. Tattha duvidhā kathā, vinayavasena ca sallekhavasena ca. Vinayavasena tāva yaṃ kiñci annaṃ ajja paṭiggahitaṃ aparajju sannidhikārakaṃ hoti, tassa paribhoge pācittiyaṃ . Attanā laddhaṃ pana sāmaṇerānaṃ datvā, tehi laddhaṃ ṭhapāpetvā dutiyadivase bhuñjituṃ vaṭṭati, sallekho pana na hoti.

    ปานสนฺนิธิมฺหิปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ ปานํ นาม อมฺพปานาทีนิ อฎฺฐ ปานานิ, ยานิ จ เตสํ อนุโลมานิฯ เตสํ วินิจฺฉโย สมนฺตปาสาทิกายํ วุโตฺตฯ

    Pānasannidhimhipi eseva nayo. Tattha pānaṃ nāma ambapānādīni aṭṭha pānāni, yāni ca tesaṃ anulomāni. Tesaṃ vinicchayo samantapāsādikāyaṃ vutto.

    วตฺถสนฺนิธิมฺหิ อนธิฎฺฐิตํ อวิกปฺปิตํ สนฺนิธิ จ โหติ, สเลฺลขญฺจ โกเปติ, อยํ ปริยายกถาฯ นิปฺปริยายโต ปน ติจีวรสนฺตุเฎฺฐน ภวิตพฺพํ, จตุตฺถํ ลภิตฺวา อญฺญสฺส ทาตพฺพํฯ สเจ ยสฺส กสฺสจิ ทาตุํ น สโกฺกติ, ยสฺส ปน ทาตุกาโม โหติ, โส อุเทฺทสตฺถาย วา ปริปุจฺฉตฺถาย วา คโต, อาคตมเตฺต ทาตพฺพํ, อทาตุํ น วฎฺฎติฯ จีวเร ปน อปฺปโหเนฺต สติยา ปจฺจาสาย อนุญฺญาตกาลํ ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ สูจิสุตฺตจีวรการกานํ อลาเภน ตโต ปรมฺปิ วินยกมฺมํ กตฺวา ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อิมสฺมิํ ชิเณฺณ ปุน อีทิสํ กุโต ลภิสฺสามี’’ติ ปน ฐเปตุํ น วฎฺฎติ, สนฺนิธิ จ โหติ, สเลฺลขญฺจ โกเปติฯ

    Vatthasannidhimhi anadhiṭṭhitaṃ avikappitaṃ sannidhi ca hoti, sallekhañca kopeti, ayaṃ pariyāyakathā. Nippariyāyato pana ticīvarasantuṭṭhena bhavitabbaṃ, catutthaṃ labhitvā aññassa dātabbaṃ. Sace yassa kassaci dātuṃ na sakkoti, yassa pana dātukāmo hoti, so uddesatthāya vā paripucchatthāya vā gato, āgatamatte dātabbaṃ, adātuṃ na vaṭṭati. Cīvare pana appahonte satiyā paccāsāya anuññātakālaṃ ṭhapetuṃ vaṭṭati. Sūcisuttacīvarakārakānaṃ alābhena tato parampi vinayakammaṃ katvā ṭhapetuṃ vaṭṭati. ‘‘Imasmiṃ jiṇṇe puna īdisaṃ kuto labhissāmī’’ti pana ṭhapetuṃ na vaṭṭati, sannidhi ca hoti, sallekhañca kopeti.

    ยานสนฺนิธิมฺหิ ยานํ นาม วยฺหํ, รโถ, สกฎํ, สนฺทมานิกา, สิวิกา, ปาฎงฺกีติ; เนตํ ปพฺพชิตสฺส ยานํฯ อุปาหนา ปน ปพฺพชิตสฺส ยานํเยวฯ เอกภิกฺขุสฺส หิ เอโก อรญฺญตฺถาย, เอโก โธตปาทกตฺถายาติ, อุกฺกํสโต เทฺว อุปาหนสงฺฆาฎา วฎฺฎนฺติฯ ตติยํ ลภิตฺวา อญฺญสฺส ทาตโพฺพฯ ‘‘อิมสฺมิํ ชิเณฺณ อญฺญํ กุโต ลภิสฺสามี’’ติ หิ ฐเปตุํ น วฎฺฎติ, สนฺนิธิ จ โหติ, สเลฺลขญฺจ โกเปติฯ

    Yānasannidhimhi yānaṃ nāma vayhaṃ, ratho, sakaṭaṃ, sandamānikā, sivikā, pāṭaṅkīti; netaṃ pabbajitassa yānaṃ. Upāhanā pana pabbajitassa yānaṃyeva. Ekabhikkhussa hi eko araññatthāya, eko dhotapādakatthāyāti, ukkaṃsato dve upāhanasaṅghāṭā vaṭṭanti. Tatiyaṃ labhitvā aññassa dātabbo. ‘‘Imasmiṃ jiṇṇe aññaṃ kuto labhissāmī’’ti hi ṭhapetuṃ na vaṭṭati, sannidhi ca hoti, sallekhañca kopeti.

    สยนสนฺนิธิมฺหิ สยนนฺติ มโญฺจฯ เอกสฺส ภิกฺขุโน เอโก คเพฺภ, เอโก ทิวาฐาเนติ อุกฺกํสโต เทฺว มญฺจา วฎฺฎนฺติฯ ตโต อุตฺตริ ลภิตฺวา อญฺญสฺส ภิกฺขุโน วา คณสฺส วา ทาตโพฺพ; อทาตุํ น วฎฺฎติฯ สนฺนิธิ จ โหติ, สเลฺลขญฺจ โกเปติฯ

    Sayanasannidhimhi sayananti mañco. Ekassa bhikkhuno eko gabbhe, eko divāṭhāneti ukkaṃsato dve mañcā vaṭṭanti. Tato uttari labhitvā aññassa bhikkhuno vā gaṇassa vā dātabbo; adātuṃ na vaṭṭati. Sannidhi ca hoti, sallekhañca kopeti.

    คนฺธสนฺนิธิมฺหิ ภิกฺขุโน กณฺฑุกจฺฉุฉวิโทสาทิอาพาเธ สติ คนฺธา วฎฺฎนฺติฯ เต คเนฺธ อาหราเปตฺวา ตสฺมิํ โรเค วูปสเนฺต อเญฺญสํ วา อาพาธิกานํ ทาตพฺพา, ทฺวาเร ปญฺจงฺคุลิฆรธูปนาทีสุ วา อุปเนตพฺพาฯ ‘‘ปุน โรเค สติ ภวิสฺสนฺตี’’ติ ปน ฐเปตุํ น วฎฺฎติ, สนฺนิธิ จ โหติ, สเลฺลขญฺจ โกเปติฯ

    Gandhasannidhimhi bhikkhuno kaṇḍukacchuchavidosādiābādhe sati gandhā vaṭṭanti. Te gandhe āharāpetvā tasmiṃ roge vūpasante aññesaṃ vā ābādhikānaṃ dātabbā, dvāre pañcaṅguligharadhūpanādīsu vā upanetabbā. ‘‘Puna roge sati bhavissantī’’ti pana ṭhapetuṃ na vaṭṭati, sannidhi ca hoti, sallekhañca kopeti.

    อามิสนฺติ วุตฺตาวเสสํ ทฎฺฐพฺพํฯ เสยฺยถิทํ, อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ – ‘‘ตถารูเป กาเล อุปการาย ภวิสฺสตี’’ติ ติลตณฺฑุลมุคฺคมาสนาฬิเกรโลณมจฺฉมํสวลฺลูรสปฺปิเตลคุฬภาชนาทีนิ อาหราเปตฺวา ฐเปติฯ โส วสฺสกาเล กาลเสฺสว สามเณเรหิ ยาคุํ ปจาเปตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา ‘‘สามเณร, อุทกกทฺทเม ทุกฺขํ คามํ ปวิสิตุํ, คจฺฉ อสุกํ กุลํ คนฺตฺวา มยฺหํ วิหาเร นิสินฺนภาวํ อาโรเจหิ; อสุกกุลโต ทธิอาทีนิ อาหรา’’ติ เปเสติฯ ภิกฺขูหิ – ‘‘กิํ, ภเนฺต, คามํ ปวิสิสฺสถา’’ติ วุเตฺตปิ, ‘‘ทุปฺปเวโส, อาวุโส, อิทานิ คาโม’’ติ วทติฯ เต – ‘‘โหตุ, ภเนฺต, อจฺฉถ ตุเมฺห, มยํ ภิกฺขํ ปริเยสิตฺวา อาหริสฺสามา’’ติ คจฺฉนฺติฯ อถ สามเณโรปิ ทธิอาทีนิ อาหริตฺวา ภตฺตญฺจ พฺยญฺชนญฺจ สมฺปาเทตฺวา อุปเนติ, ตํ ภุญฺชนฺตเสฺสว อุปฎฺฐากา ภตฺตํ ปหิณนฺติ, ตโตปิ มนาปํ มนาปํ ภุญฺชติฯ อถ ภิกฺขู ปิณฺฑปาตํ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺติ, ตโตปิ มนาปํ มนาปํ คีวายามกํ ภุญฺชติเยวฯ เอวํ จตุมาสมฺปิ วีตินาเมติฯ อยํ วุจฺจติ – ‘‘ภิกฺขุ มุณฺฑกุฎุมฺพิกชีวิกํ ชีวติ, น สมณชีวิก’’นฺติฯ เอวรูโป อามิสสนฺนิธิ นาม โหติฯ

    Āmisanti vuttāvasesaṃ daṭṭhabbaṃ. Seyyathidaṃ, idhekacco bhikkhu – ‘‘tathārūpe kāle upakārāya bhavissatī’’ti tilataṇḍulamuggamāsanāḷikeraloṇamacchamaṃsavallūrasappitelaguḷabhājanādīni āharāpetvā ṭhapeti. So vassakāle kālasseva sāmaṇerehi yāguṃ pacāpetvā paribhuñjitvā ‘‘sāmaṇera, udakakaddame dukkhaṃ gāmaṃ pavisituṃ, gaccha asukaṃ kulaṃ gantvā mayhaṃ vihāre nisinnabhāvaṃ ārocehi; asukakulato dadhiādīni āharā’’ti peseti. Bhikkhūhi – ‘‘kiṃ, bhante, gāmaṃ pavisissathā’’ti vuttepi, ‘‘duppaveso, āvuso, idāni gāmo’’ti vadati. Te – ‘‘hotu, bhante, acchatha tumhe, mayaṃ bhikkhaṃ pariyesitvā āharissāmā’’ti gacchanti. Atha sāmaṇeropi dadhiādīni āharitvā bhattañca byañjanañca sampādetvā upaneti, taṃ bhuñjantasseva upaṭṭhākā bhattaṃ pahiṇanti, tatopi manāpaṃ manāpaṃ bhuñjati. Atha bhikkhū piṇḍapātaṃ gahetvā āgacchanti, tatopi manāpaṃ manāpaṃ gīvāyāmakaṃ bhuñjatiyeva. Evaṃ catumāsampi vītināmeti. Ayaṃ vuccati – ‘‘bhikkhu muṇḍakuṭumbikajīvikaṃ jīvati, na samaṇajīvika’’nti. Evarūpo āmisasannidhi nāma hoti.

    ภิกฺขุโน ปน วสนฎฺฐาเน เอกา ตณฺฑุลนาฬิ, เอโก คุฬปิโณฺฑ, จตุภาคมตฺตํ สปฺปีติ เอตฺตกํ นิเธตุํ วฎฺฎติ, อกาเล สมฺปตฺตโจรานํ อตฺถายฯ เต หิ เอตฺตกมฺปิ อามิสปฎิสนฺถารํ อลภนฺตา ชีวิตาปิ โวโรเปยฺยุํ, ตสฺมา สเจ เอตฺตกํ นตฺถิ, อาหราเปตฺวาปิ ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ อผาสุกกาเล จ ยเทตฺถ กปฺปิยํ, ตํ อตฺตนาปิ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ กปฺปิยกุฎิยํ ปน พหุํ ฐเปนฺตสฺสาปิ สนฺนิธิ นาม นตฺถิฯ ตถาคตสฺส ปน ตณฺฑุลนาฬิอาทีสุ วา ยํ กิญฺจิ จตุรตนมตฺตํ วา ปิโลติกขณฺฑํ ‘‘อิทํ เม อชฺช วา เสฺว วา ภวิสฺสตี’’ติ ฐปิตํ นาม นตฺถิฯ

    Bhikkhuno pana vasanaṭṭhāne ekā taṇḍulanāḷi, eko guḷapiṇḍo, catubhāgamattaṃ sappīti ettakaṃ nidhetuṃ vaṭṭati, akāle sampattacorānaṃ atthāya. Te hi ettakampi āmisapaṭisanthāraṃ alabhantā jīvitāpi voropeyyuṃ, tasmā sace ettakaṃ natthi, āharāpetvāpi ṭhapetuṃ vaṭṭati. Aphāsukakāle ca yadettha kappiyaṃ, taṃ attanāpi paribhuñjituṃ vaṭṭati. Kappiyakuṭiyaṃ pana bahuṃ ṭhapentassāpi sannidhi nāma natthi. Tathāgatassa pana taṇḍulanāḷiādīsu vā yaṃ kiñci caturatanamattaṃ vā pilotikakhaṇḍaṃ ‘‘idaṃ me ajja vā sve vā bhavissatī’’ti ṭhapitaṃ nāma natthi.

    ๑๓. วิสูกทสฺสเนสุ นจฺจํ นาม ยํ กิญฺจิ นจฺจํ, ตํ มคฺคํ คจฺฉเนฺตนาปิ คีวํ ปสาเรตฺวา ทฎฺฐุํ น วฎฺฎติฯ วิตฺถารวินิจฺฉโย ปเนตฺถ สมนฺตปาสาทิกายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ สเพฺพสุ สิกฺขาปทปฎิสํยุเตฺตสุ สุตฺตปเทสุฯ อิโต ปรญฺหิ เอตฺตกมฺปิ อวตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ปโยชนมตฺตเมว วณฺณยิสฺสามาติฯ

    13. Visūkadassanesu naccaṃ nāma yaṃ kiñci naccaṃ, taṃ maggaṃ gacchantenāpi gīvaṃ pasāretvā daṭṭhuṃ na vaṭṭati. Vitthāravinicchayo panettha samantapāsādikāyaṃ vuttanayeneva veditabbo. Yathā cettha, evaṃ sabbesu sikkhāpadapaṭisaṃyuttesu suttapadesu. Ito parañhi ettakampi avatvā tattha tattha payojanamattameva vaṇṇayissāmāti.

    เปกฺขนฺติ นฎสมชฺชํฯ อกฺขานนฺติ ภารตยุชฺฌนาทิกํฯ ยสฺมิํ ฐาเน กถียติ, ตตฺถ คนฺตุมฺปิ น วฎฺฎติฯ ปาณิสฺสรนฺติ กํสตาฬํ, ปาณิตาฬนฺติปิ วทนฺติฯ เวตาฬนฺติ ฆนตาฬํ, มเนฺตน มตสรีรุฎฺฐาปนนฺติปิ เอเกฯ กุมฺภถูณนฺติ จตุรสฺสอมฺพณกตาฬํ, กุมฺภสทฺทนฺติปิ เอเกฯ โสภนกนฺติ นฎานํ อโพฺภกฺกิรณํ, โสภนกรํ วา, ปฎิภานจิตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ จณฺฑาลนฺติ อโยคุฬกีฬา, จณฺฑาลานํ สาณโธวนกีฬาติปิ วทนฺติฯ วํสนฺติ เวฬุํ อุสฺสาเปตฺวา กีฬนํฯ

    Pekkhanti naṭasamajjaṃ. Akkhānanti bhāratayujjhanādikaṃ. Yasmiṃ ṭhāne kathīyati, tattha gantumpi na vaṭṭati. Pāṇissaranti kaṃsatāḷaṃ, pāṇitāḷantipi vadanti. Vetāḷanti ghanatāḷaṃ, mantena matasarīruṭṭhāpanantipi eke. Kumbhathūṇanti caturassaambaṇakatāḷaṃ, kumbhasaddantipi eke. Sobhanakanti naṭānaṃ abbhokkiraṇaṃ, sobhanakaraṃ vā, paṭibhānacittanti vuttaṃ hoti. Caṇḍālanti ayoguḷakīḷā, caṇḍālānaṃ sāṇadhovanakīḷātipi vadanti. Vaṃsanti veḷuṃ ussāpetvā kīḷanaṃ.

    โธวนนฺติ อฎฺฐิโธวนํ, เอกเจฺจสุ กิร ชนปเทสุ กาลงฺกเต ญาตเก น ฌาเปนฺติ, นิขณิตฺวา ฐเปนฺติฯ อถ เนสํ ปูติภูตํ กายํ ญตฺวา นีหริตฺวา อฎฺฐีนิ โธวิตฺวา คเนฺธหิ มเกฺขตฺวา ฐเปนฺติฯ เต นกฺขตฺตกาเล เอกสฺมิํ ฐาเน อฎฺฐีนิ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน สุราทีนิ ฐเปตฺวา โรทนฺตา ปริเทวนฺตา สุรํ ปิวนฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว , ทกฺขิเณสุ ชนปเทสุ อฎฺฐิโธวนํ นาม, ตตฺถ โหติ อนฺนมฺปิ ปานมฺปิ ขชฺชมฺปิ โภชฺชมฺปิ เลยฺยมฺปิ เปยฺยมฺปิ นจฺจมฺปิ คีตมฺปิ วาทิตมฺปิฯ อเตฺถตํ, ภิกฺขเว, โธวนํ, เนตํ นตฺถีติ วทามี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๐๗)ฯ เอกเจฺจ ปน อินฺทชาเลน อฎฺฐิโธวนํ โธวนนฺติปิ วทนฺติฯ

    Dhovananti aṭṭhidhovanaṃ, ekaccesu kira janapadesu kālaṅkate ñātake na jhāpenti, nikhaṇitvā ṭhapenti. Atha nesaṃ pūtibhūtaṃ kāyaṃ ñatvā nīharitvā aṭṭhīni dhovitvā gandhehi makkhetvā ṭhapenti. Te nakkhattakāle ekasmiṃ ṭhāne aṭṭhīni ṭhapetvā ekasmiṃ ṭhāne surādīni ṭhapetvā rodantā paridevantā suraṃ pivanti. Vuttampi cetaṃ – ‘‘atthi, bhikkhave , dakkhiṇesu janapadesu aṭṭhidhovanaṃ nāma, tattha hoti annampi pānampi khajjampi bhojjampi leyyampi peyyampi naccampi gītampi vāditampi. Atthetaṃ, bhikkhave, dhovanaṃ, netaṃ natthīti vadāmī’’ti (a. ni. 10.107). Ekacce pana indajālena aṭṭhidhovanaṃ dhovanantipi vadanti.

    หตฺถิยุทฺธาทีสุ ภิกฺขุโน เนว หตฺถิอาทีหิ สทฺธิํ ยุชฺฌิตุํ, น เต ยุชฺฌาเปตุํ, น ยุชฺฌเนฺต ทฎฺฐุํ วฎฺฎติฯ นิพฺพุทฺธนฺติ มลฺลยุทฺธํฯ อุโยฺยธิกนฺติ ยตฺถ สมฺปหาโร ทิสฺสติฯ พลคฺคนฺติ พลคณนฎฺฐานํฯ เสนาพฺยูหนฺติ เสนานิเวโส, สกฎพฺยูหาทิวเสน เสนาย นิเวสนํฯ อนีกทสฺสนนฺติ – ‘‘ตโย หตฺถี ปจฺฉิมํ หตฺถานีก’’นฺติอาทินา (ปาจิ. ๓๒๔) นเยน วุตฺตสฺส อนีกสฺส ทสฺสนํฯ

    Hatthiyuddhādīsu bhikkhuno neva hatthiādīhi saddhiṃ yujjhituṃ, na te yujjhāpetuṃ, na yujjhante daṭṭhuṃ vaṭṭati. Nibbuddhanti mallayuddhaṃ. Uyyodhikanti yattha sampahāro dissati. Balagganti balagaṇanaṭṭhānaṃ. Senābyūhanti senāniveso, sakaṭabyūhādivasena senāya nivesanaṃ. Anīkadassananti – ‘‘tayo hatthī pacchimaṃ hatthānīka’’ntiādinā (pāci. 324) nayena vuttassa anīkassa dassanaṃ.

    ๑๔. ปมาโท เอตฺถ ติฎฺฐตีติ ปมาทฎฺฐานํฯ ชูตญฺจ ตํ ปมาทฎฺฐานญฺจาติ ชูตปฺปมาทฎฺฐานํฯ เอเกกาย ปนฺติยา อฎฺฐ อฎฺฐ ปทานิ อสฺสาติ อฎฺฐปทํ ทสปเทปิ เอเสว นโยฯ อากาสนฺติ อฎฺฐปททสปเทสุ วิย อากาเสเยว กีฬนํฯ ปริหารปถนฺติ ภูมิยํ นานาปถมณฺฑลํ กตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ปริหริตพฺพํ, ปถํ ปริหรนฺตานํ กีฬนํฯ สนฺติกนฺติ สนฺติกกีฬนํฯ เอกชฺฌํ ฐปิตา สาริโย วา สกฺขราโย วา อจาเลนฺตา นเขเนว อปเนนฺติ จ อุปเนนฺติ จ, สเจ ตตฺถ กาจิ จลติ, ปราชโย โหติ, เอวรูปาย กีฬาเยตํ อธิวจนํฯ ขลิกนฺติ ชูตผลเก ปาสกกีฬนํฯ ฆฎิกา วุจฺจติ ทีฆทณฺฑเกน รสฺสทณฺฑกํ ปหรณกีฬนํฯ สลากหตฺถนฺติ ลาขาย วา มญฺชิฎฺฐิกาย วา ปิโฎฺฐทเกน วา สลากหตฺถํ เตเมตฺวา – ‘‘กิํ โหตู’’ติ ภูมิยํ วา ภิตฺติยํ วา ตํ ปหริตฺวา หตฺถิอสฺสาทิรูปทสฺสนกีฬนํฯ อกฺขนฺติ คุฬกีฬาฯ ปงฺคจีรํ วุจฺจติ ปณฺณนาฬิกํ, ตํ ธมนฺตา กีฬนฺติฯ วงฺกกนฺติ คามทารกานํ กีฬนกํ ขุทฺทกนงฺคลํฯ โมกฺขจิกา วุจฺจติ สมฺปริวตฺตนกีฬา, อากาเส วา ทณฺฑกํ คเหตฺวา ภูมิยํ วา สีสํ ฐเปตฺวา เหฎฺฐุปริยภาเวน ปริวตฺตนกีฬาติ วุตฺตํ โหติฯ จิงฺคุลิกํ วุจฺจติ ตาลปณฺณาทีหิ กตํ วาตปฺปหาเรน ปริพฺภมนจกฺกํฯ ปตฺตาฬฺหกํ วุจฺจติ ปณฺณนาฬิกาฯ ตาย วาลุกาทีนิ มินนฺตา กีฬนฺติฯ รถกนฺติ ขุทฺทกรถํฯ ธนุกนฺติ ขุทฺทกธนุเมวฯ อกฺขริกา วุจฺจติ อากาเส วา ปิฎฺฐิยํ วา อกฺขรชานนกีฬาฯ มเนสิกา นาม มนสา จินฺติตชานนกีฬาฯ ยถาวชฺชํ นาม กาณกุณิขุชฺชาทีนํ ยํ ยํ วชฺชํ, ตํ ตํ ปโยเชตฺวา ทสฺสนกีฬาฯ

    14. Pamādo ettha tiṭṭhatīti pamādaṭṭhānaṃ. Jūtañca taṃ pamādaṭṭhānañcāti jūtappamādaṭṭhānaṃ. Ekekāya pantiyā aṭṭha aṭṭha padāni assāti aṭṭhapadaṃ dasapadepi eseva nayo. Ākāsanti aṭṭhapadadasapadesu viya ākāseyeva kīḷanaṃ. Parihārapathanti bhūmiyaṃ nānāpathamaṇḍalaṃ katvā tattha tattha pariharitabbaṃ, pathaṃ pariharantānaṃ kīḷanaṃ. Santikanti santikakīḷanaṃ. Ekajjhaṃ ṭhapitā sāriyo vā sakkharāyo vā acālentā nakheneva apanenti ca upanenti ca, sace tattha kāci calati, parājayo hoti, evarūpāya kīḷāyetaṃ adhivacanaṃ. Khalikanti jūtaphalake pāsakakīḷanaṃ. Ghaṭikā vuccati dīghadaṇḍakena rassadaṇḍakaṃ paharaṇakīḷanaṃ. Salākahatthanti lākhāya vā mañjiṭṭhikāya vā piṭṭhodakena vā salākahatthaṃ temetvā – ‘‘kiṃ hotū’’ti bhūmiyaṃ vā bhittiyaṃ vā taṃ paharitvā hatthiassādirūpadassanakīḷanaṃ. Akkhanti guḷakīḷā. Paṅgacīraṃ vuccati paṇṇanāḷikaṃ, taṃ dhamantā kīḷanti. Vaṅkakanti gāmadārakānaṃ kīḷanakaṃ khuddakanaṅgalaṃ. Mokkhacikā vuccati samparivattanakīḷā, ākāse vā daṇḍakaṃ gahetvā bhūmiyaṃ vā sīsaṃ ṭhapetvā heṭṭhupariyabhāvena parivattanakīḷāti vuttaṃ hoti. Ciṅgulikaṃ vuccati tālapaṇṇādīhi kataṃ vātappahārena paribbhamanacakkaṃ. Pattāḷhakaṃ vuccati paṇṇanāḷikā. Tāya vālukādīni minantā kīḷanti. Rathakanti khuddakarathaṃ. Dhanukanti khuddakadhanumeva. Akkharikā vuccati ākāse vā piṭṭhiyaṃ vā akkharajānanakīḷā. Manesikā nāma manasā cintitajānanakīḷā. Yathāvajjaṃ nāma kāṇakuṇikhujjādīnaṃ yaṃ yaṃ vajjaṃ, taṃ taṃ payojetvā dassanakīḷā.

    ๑๕. อาสนฺทินฺติ ปมาณาติกฺกนฺตาสนํฯ อนุยุตฺตา วิหรนฺตีติ อิทํ อเปกฺขิตฺวา ปน สพฺพปเทสุ อุปโยควจนํ กตํฯ ปลฺลโงฺกติ ปาเทสุ วาฬรูปานิ ฐเปตฺวา กโตฯ โคนโกติ ทีฆโลมโก มหาโกชโว, จตุรงฺคุลาธิกานิ กิร ตสฺส โลมานิฯ จิตฺตกนฺติ วานวิจิตฺตํ อุณฺณามยตฺถรณํฯ ปฎิกาติ อุณฺณามโย เสตตฺถรโณฯ ปฎลิกาติ ฆนปุปฺผโก อุณฺณามยตฺถรโณฯ โย อามลกปโตฺตติปิ วุจฺจติฯ ตูลิกาติ ติณฺณํ ตูลานํ อญฺญตรปุณฺณา ตูลิกาฯ วิกติกาติ สีหพฺยคฺฆาทิรูปวิจิโตฺร อุณฺณามยตฺถรโณฯ อุทฺทโลมีติ อุภยโตทสํ อุณฺณามยตฺถรณํ, เกจิ ‘‘เอกโตอุคฺคตปุปฺผ’’นฺติ วทนฺติฯ เอกนฺตโลมีติ เอกโตทสํ อุณฺณามยตฺถรณํฯ เกจิ ‘‘อุภโตอุคฺคตปุปฺผ’’นฺติ วทนฺติฯ กฎฺฎิสฺสนฺติ รตนปริสิพฺพิตํ โกเสยฺยกฎฺฎิสฺสมยปจฺจตฺถรณํฯ โกเสยฺยนฺติ รตนปริสิพฺพิตเมว โกสิยสุตฺตมยปจฺจตฺถรณํฯ สุทฺธโกเสยฺยํ ปน วฎฺฎตีติ วินเย วุตฺตํฯ ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ ปน ‘‘ฐเปตฺวา ตูลิกํ สพฺพาเนว โคนกาทีนิ รตนปริสิพฺพิตานิ น วฎฺฎนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ

    15.Āsandinti pamāṇātikkantāsanaṃ. Anuyuttā viharantīti idaṃ apekkhitvā pana sabbapadesu upayogavacanaṃ kataṃ. Pallaṅkoti pādesu vāḷarūpāni ṭhapetvā kato. Gonakoti dīghalomako mahākojavo, caturaṅgulādhikāni kira tassa lomāni. Cittakanti vānavicittaṃ uṇṇāmayattharaṇaṃ. Paṭikāti uṇṇāmayo setattharaṇo. Paṭalikāti ghanapupphako uṇṇāmayattharaṇo. Yo āmalakapattotipi vuccati. Tūlikāti tiṇṇaṃ tūlānaṃ aññatarapuṇṇā tūlikā. Vikatikāti sīhabyagghādirūpavicitro uṇṇāmayattharaṇo. Uddalomīti ubhayatodasaṃ uṇṇāmayattharaṇaṃ, keci ‘‘ekatouggatapuppha’’nti vadanti. Ekantalomīti ekatodasaṃ uṇṇāmayattharaṇaṃ. Keci ‘‘ubhatouggatapuppha’’nti vadanti. Kaṭṭissanti ratanaparisibbitaṃ koseyyakaṭṭissamayapaccattharaṇaṃ. Koseyyanti ratanaparisibbitameva kosiyasuttamayapaccattharaṇaṃ. Suddhakoseyyaṃ pana vaṭṭatīti vinaye vuttaṃ. Dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘ṭhapetvā tūlikaṃ sabbāneva gonakādīni ratanaparisibbitāni na vaṭṭantī’’ti vuttaṃ.

    กุตฺตกนฺติ โสฬสนฺนํ นาฎกิตฺถีนํ ฐตฺวา นจฺจนโยคฺคํ อุณฺณามยตฺถรณํฯ หตฺถตฺถรํ อสฺสตฺถรนฺติ หตฺถิอสฺสปิฎฺฐีสุ อตฺถรณอตฺถรกาเยวฯ รถตฺถเรปิ เอเสว นโยฯ อชินปฺปเวณีติ อชินจเมฺมหิ มญฺจปฺปมาเณน สิพฺพิตฺวา กตา ปเวณีฯ กทลีมิคปวรปจฺจตฺถรณนฺติ กทลีมิคจมฺมํ นาม อตฺถิ, เตน กตํ ปวรปจฺจตฺถรณํ; อุตฺตมปจฺจตฺถรณนฺติ อโตฺถฯ ตํ กิร เสตวตฺถสฺส อุปริ กทลีมิคจมฺมํ ปตฺถริตฺวา สิเพฺพตฺวา กโรนฺติฯ สอุตฺตรจฺฉทนฺติ สห อุตฺตรจฺฉเทน, อุปริพเทฺธน รตฺตวิตาเนน สทฺธินฺติ อโตฺถฯ เสตวิตานมฺปิ เหฎฺฐา อกปฺปิยปจฺจตฺถรเณ สติ น วฎฺฎติ, อสติ ปน วฎฺฎติฯ อุภโตโลหิตกูปธานนฺติ สีสูปธานญฺจ ปาทูปธานญฺจาติ มญฺจสฺส อุภโตโลหิตกํ อุปธานํ, เอตํ น กปฺปติฯ ยํ ปน เอกเมว อุปธานํ อุโภสุ ปเสฺสสุ รตฺตํ วา โหติ ปทุมวณฺณํ วา วิจิตฺรํ วา, สเจ ปมาณยุตฺตํ, วฎฺฎติฯ มหาอุปธานํ ปน ปฎิกฺขิตฺตํฯ อโลหิตกานิ เทฺวปิ วฎฺฎนฺติเยวฯ ตโต อุตฺตริ ลภิตฺวา อเญฺญสํ ทาตพฺพานิฯ ทาตุํ อสโกฺกโนฺต มเญฺจ ติริยํ อตฺถริตฺวา อุปริ ปจฺจตฺถรณํ ทตฺวา นิปชฺชิตุมฺปิ ลภติฯ อาสนฺทีอาทีสุ ปน วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาสนฺทิยา ปาเท ฉินฺทิตฺวา ปริภุญฺชิตุํ, ปลฺลงฺกสฺส วาเฬ ภินฺทิตฺวา ปริภุญฺชิตุํ, ตูลิกํ วิชเฎตฺวา พิโมฺพหนํ กาตุํ, อวเสสํ ภุมฺมตฺถรณํ กาตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗)ฯ

    Kuttakanti soḷasannaṃ nāṭakitthīnaṃ ṭhatvā naccanayoggaṃ uṇṇāmayattharaṇaṃ. Hatthattharaṃ assattharanti hatthiassapiṭṭhīsu attharaṇaattharakāyeva. Rathattharepi eseva nayo. Ajinappaveṇīti ajinacammehi mañcappamāṇena sibbitvā katā paveṇī. Kadalīmigapavarapaccattharaṇanti kadalīmigacammaṃ nāma atthi, tena kataṃ pavarapaccattharaṇaṃ; uttamapaccattharaṇanti attho. Taṃ kira setavatthassa upari kadalīmigacammaṃ pattharitvā sibbetvā karonti. Sauttaracchadanti saha uttaracchadena, uparibaddhena rattavitānena saddhinti attho. Setavitānampi heṭṭhā akappiyapaccattharaṇe sati na vaṭṭati, asati pana vaṭṭati. Ubhatolohitakūpadhānanti sīsūpadhānañca pādūpadhānañcāti mañcassa ubhatolohitakaṃ upadhānaṃ, etaṃ na kappati. Yaṃ pana ekameva upadhānaṃ ubhosu passesu rattaṃ vā hoti padumavaṇṇaṃ vā vicitraṃ vā, sace pamāṇayuttaṃ, vaṭṭati. Mahāupadhānaṃ pana paṭikkhittaṃ. Alohitakāni dvepi vaṭṭantiyeva. Tato uttari labhitvā aññesaṃ dātabbāni. Dātuṃ asakkonto mañce tiriyaṃ attharitvā upari paccattharaṇaṃ datvā nipajjitumpi labhati. Āsandīādīsu pana vuttanayeneva paṭipajjitabbaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, āsandiyā pāde chinditvā paribhuñjituṃ, pallaṅkassa vāḷe bhinditvā paribhuñjituṃ, tūlikaṃ vijaṭetvā bimbohanaṃ kātuṃ, avasesaṃ bhummattharaṇaṃ kātu’’nti (cūḷava. 297).

    ๑๖. อุจฺฉาทนาทีสุ มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตทารกานํ สรีรคโนฺธ ทฺวาทสวสฺสปตฺตกาเล นสฺสติ, เตสํ สรีรทุคฺคนฺธหรณตฺถาย คนฺธจุณฺณาทีหิ อุจฺฉาเทนฺติ, เอวรูปํ อุจฺฉาทนํ น วฎฺฎติฯ ปุญฺญวเนฺต ปน ทารเก อูรูสุ นิปชฺชาเปตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา หตฺถปาทอูรุนาภิอาทีนํ สณฺฐานสมฺปาทนตฺถํ ปริมทฺทนฺติ, เอวรูปํ ปริมทฺทนํ น วฎฺฎติฯ

    16. Ucchādanādīsu mātukucchito nikkhantadārakānaṃ sarīragandho dvādasavassapattakāle nassati, tesaṃ sarīraduggandhaharaṇatthāya gandhacuṇṇādīhi ucchādenti, evarūpaṃ ucchādanaṃ na vaṭṭati. Puññavante pana dārake ūrūsu nipajjāpetvā telena makkhetvā hatthapādaūrunābhiādīnaṃ saṇṭhānasampādanatthaṃ parimaddanti, evarūpaṃ parimaddanaṃ na vaṭṭati.

    นฺหาปนนฺติ เตสํเยว ทารกานํ คนฺธาทีหิ นฺหาปนํฯ สมฺพาหนนฺติ มหามลฺลานํ วิย หตฺถปาเท มุคฺคราทีหิ ปหริตฺวา พาหุวฑฺฒนํฯ อาทาสนฺติ ยํ กิญฺจิ อาทาสํ ปริหริตุํ น วฎฺฎติฯ อญฺชนนฺติ อลงฺการญฺชนเมวฯ มาลาติ พทฺธมาลา วา อพทฺธมาลา วาฯ วิเลปนนฺติ ยํ กิญฺจิ ฉวิราคกรณํฯ มุขจุณฺณํ มุขเลปนนฺติ มุเข กาฬปีฬกาทีนํ หรณตฺถาย มตฺติกกกฺกํ เทนฺติ, เตน โลหิเต จลิเต สาสปกกฺกํ เทนฺติ, เตน โทเส ขาทิเต ติลกกฺกํ เทนฺติ, เตน โลหิเต สนฺนิสิเนฺน หลิทฺทิกกฺกํ เทนฺติ, เตน ฉวิวเณฺณ อารูเฬฺห มุขจุณฺณเกน มุขํ จุเณฺณนฺติ, ตํ สพฺพํ น วฎฺฎติฯ

    Nhāpananti tesaṃyeva dārakānaṃ gandhādīhi nhāpanaṃ. Sambāhananti mahāmallānaṃ viya hatthapāde muggarādīhi paharitvā bāhuvaḍḍhanaṃ. Ādāsanti yaṃ kiñci ādāsaṃ pariharituṃ na vaṭṭati. Añjananti alaṅkārañjanameva. Mālāti baddhamālā vā abaddhamālā vā. Vilepananti yaṃ kiñci chavirāgakaraṇaṃ. Mukhacuṇṇaṃ mukhalepananti mukhe kāḷapīḷakādīnaṃ haraṇatthāya mattikakakkaṃ denti, tena lohite calite sāsapakakkaṃ denti, tena dose khādite tilakakkaṃ denti, tena lohite sannisinne haliddikakkaṃ denti, tena chavivaṇṇe ārūḷhe mukhacuṇṇakena mukhaṃ cuṇṇenti, taṃ sabbaṃ na vaṭṭati.

    หตฺถพนฺธาทีสุ หเตฺถ วิจิตฺรสงฺขกปาลาทีนิ พนฺธิตฺวา วิจรนฺติ, ตํ วา อญฺญํ วา สพฺพมฺปิ หตฺถาภรณํ น วฎฺฎติ, อปเร สิขํ พนฺธิตฺวา วิจรนฺติฯ สุวณฺณจีรกมุตฺตลตาทีหิ จ ตํ ปริกฺขิปนฺติ; ตํ สพฺพํ น วฎฺฎติฯ อปเร จตุหตฺถทณฺฑํ วา อญฺญํ วา ปน อลงฺกตทณฺฑกํ คเหตฺวา วิจรนฺติ, ตถา อิตฺถิปุริสรูปาทิวิจิตฺตํ เภสชฺชนาฬิกํ สุปริกฺขิตฺตํ วามปเสฺส โอลคฺคิตํ; อปเร กณฺณิกรตนปริกฺขิตฺตโกสํ อติติขิณํ อสิํ, ปญฺจวณฺณสุตฺตสิพฺพิตํ มกรทนฺตกาทิวิจิตฺตํ ฉตฺตํ, สุวณฺณรชตาทิวิจิตฺรา โมรปิญฺฉาทิปริกฺขิตฺตา อุปาหนา, เกจิ รตนมตฺตายามํ จตุรงฺคุลวิตฺถตํ เกสนฺตปริเจฺฉทํ ทเสฺสตฺวา เมฆมุเข วิชฺชุลตํ วิย นลาเฎ อุณฺหีสปฎฺฎํ พนฺธนฺติ, จูฬามณิํ ธาเรนฺติ, จามรวาลพีชนิํ ธาเรนฺติ, ตํ สพฺพํ น วฎฺฎติฯ

    Hatthabandhādīsu hatthe vicitrasaṅkhakapālādīni bandhitvā vicaranti, taṃ vā aññaṃ vā sabbampi hatthābharaṇaṃ na vaṭṭati, apare sikhaṃ bandhitvā vicaranti. Suvaṇṇacīrakamuttalatādīhi ca taṃ parikkhipanti; taṃ sabbaṃ na vaṭṭati. Apare catuhatthadaṇḍaṃ vā aññaṃ vā pana alaṅkatadaṇḍakaṃ gahetvā vicaranti, tathā itthipurisarūpādivicittaṃ bhesajjanāḷikaṃ suparikkhittaṃ vāmapasse olaggitaṃ; apare kaṇṇikaratanaparikkhittakosaṃ atitikhiṇaṃ asiṃ, pañcavaṇṇasuttasibbitaṃ makaradantakādivicittaṃ chattaṃ, suvaṇṇarajatādivicitrā morapiñchādiparikkhittā upāhanā, keci ratanamattāyāmaṃ caturaṅgulavitthataṃ kesantaparicchedaṃ dassetvā meghamukhe vijjulataṃ viya nalāṭe uṇhīsapaṭṭaṃ bandhanti, cūḷāmaṇiṃ dhārenti, cāmaravālabījaniṃ dhārenti, taṃ sabbaṃ na vaṭṭati.

    ๑๗. อนิยฺยานิกตฺตา สคฺคโมกฺขมคฺคานํ ติรจฺฉานภูตา กถาติ ติรจฺฉานกถาฯ ตตฺถ ราชานํ อารพฺภ มหาสมฺมโต มนฺธาตา ธมฺมาโสโก เอวํ มหานุภาโวติอาทินา นเยน ปวตฺตา กถา ราชกถาฯ เอส นโย โจรกถาทีสุฯ เตสุ อสุโก ราชา อภิรูโป ทสฺสนีโยติอาทินา นเยน เคหสฺสิตกถาว ติรจฺฉานกถา โหติฯ โสปิ นาม เอวํ มหานุภาโว ขยํ คโตติ เอวํ ปวตฺตา ปน กมฺมฎฺฐานภาเว ติฎฺฐติฯ โจเรสุ มูลเทโว เอวํ มหานุภาโว, เมฆมาโล เอวํ มหานุภาโวติ เตสํ กมฺมํ ปฎิจฺจ อโห สูราติ เคหสฺสิตกถาว ติรจฺฉานกถาฯ ยุเทฺธปิ ภารตยุทฺธาทีสุ อสุเกน อสุโก เอวํ มาริโต, เอวํ วิโทฺธติ กามสฺสาทวเสเนว กถา ติรจฺฉานกถาฯ เตปิ นาม ขยํ คตาติ เอวํ ปวตฺตา ปน สพฺพตฺถ กมฺมฎฺฐานเมว โหติฯ อปิ จ อนฺนาทีสุ เอวํ วณฺณวนฺตํ คนฺธวนฺตํ รสวนฺตํ ผสฺสสมฺปนฺนํ ขาทิมฺห ภุญฺชิมฺหาติ กามสฺสาทวเสน กเถตุํ น วฎฺฎติฯ สาตฺถกํ ปน กตฺวา ปุเพฺพ เอวํ วณฺณาทิสมฺปนฺนํ อนฺนํ ปานํ วตฺถํ สยนํ มาลํ คนฺธํ สีลวนฺตานํ อทมฺห, เจติเย ปูชํ กริมฺหาติ กเถตุํ วฎฺฎติฯ ญาติกถาทีสุ ปน ‘‘อมฺหากํ ญาตกา สูรา สมตฺถา’’ติ วา ‘‘ปุเพฺพ มยํ เอวํ วิจิเตฺรหิ ยาเนหิ วิจริมฺหา’’ติ วา อสฺสาทวเสน วตฺตุํ น วฎฺฎติฯ สาตฺถกํ ปน กตฺวา ‘‘เตปิ โน ญาตกา ขยํ คตา’’ติ วา ‘‘ปุเพฺพ มยํ เอวรูปา อุปาหนา สงฺฆสฺส อทมฺหา’’ติ วา กเถตุํ วฎฺฎติฯ คามกถาปิ สุนิวิฎฺฐทุนฺนิวิฎฺฐสุภิกฺขทุพฺภิกฺขาทิวเสน วา ‘‘อสุกคามวาสิโน สูรา สมตฺถา’’ติ วา เอวํ อสฺสาทวเสน น วฎฺฎติฯ สาตฺถกํ ปน กตฺวา ‘‘สทฺธา ปสนฺนา’’ติ วา ‘‘ขยวยํ คตา’’ติ วา วตฺตุํ วฎฺฎติฯ นิคมนครชนปทกถาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    17. Aniyyānikattā saggamokkhamaggānaṃ tiracchānabhūtā kathāti tiracchānakathā. Tattha rājānaṃ ārabbha mahāsammato mandhātā dhammāsoko evaṃ mahānubhāvotiādinā nayena pavattā kathā rājakathā. Esa nayo corakathādīsu. Tesu asuko rājā abhirūpo dassanīyotiādinā nayena gehassitakathāva tiracchānakathā hoti. Sopi nāma evaṃ mahānubhāvo khayaṃ gatoti evaṃ pavattā pana kammaṭṭhānabhāve tiṭṭhati. Coresu mūladevo evaṃ mahānubhāvo, meghamālo evaṃ mahānubhāvoti tesaṃ kammaṃ paṭicca aho sūrāti gehassitakathāva tiracchānakathā. Yuddhepi bhāratayuddhādīsu asukena asuko evaṃ mārito, evaṃ viddhoti kāmassādavaseneva kathā tiracchānakathā. Tepi nāma khayaṃ gatāti evaṃ pavattā pana sabbattha kammaṭṭhānameva hoti. Api ca annādīsu evaṃ vaṇṇavantaṃ gandhavantaṃ rasavantaṃ phassasampannaṃ khādimha bhuñjimhāti kāmassādavasena kathetuṃ na vaṭṭati. Sātthakaṃ pana katvā pubbe evaṃ vaṇṇādisampannaṃ annaṃ pānaṃ vatthaṃ sayanaṃ mālaṃ gandhaṃ sīlavantānaṃ adamha, cetiye pūjaṃ karimhāti kathetuṃ vaṭṭati. Ñātikathādīsu pana ‘‘amhākaṃ ñātakā sūrā samatthā’’ti vā ‘‘pubbe mayaṃ evaṃ vicitrehi yānehi vicarimhā’’ti vā assādavasena vattuṃ na vaṭṭati. Sātthakaṃ pana katvā ‘‘tepi no ñātakā khayaṃ gatā’’ti vā ‘‘pubbe mayaṃ evarūpā upāhanā saṅghassa adamhā’’ti vā kathetuṃ vaṭṭati. Gāmakathāpi suniviṭṭhadunniviṭṭhasubhikkhadubbhikkhādivasena vā ‘‘asukagāmavāsino sūrā samatthā’’ti vā evaṃ assādavasena na vaṭṭati. Sātthakaṃ pana katvā ‘‘saddhā pasannā’’ti vā ‘‘khayavayaṃ gatā’’ti vā vattuṃ vaṭṭati. Nigamanagarajanapadakathādīsupi eseva nayo.

    อิตฺถิกถาปิ วณฺณสณฺฐานาทีนิ ปฎิจฺจ อสฺสาทวเสน น วฎฺฎติ, สทฺธา ปสนฺนา ขยวยํ คตาติ เอวเมว วฎฺฎติฯ สูรกถาปิ ‘นนฺทิมิโตฺต นาม โยโธ สูโร อโหสี’ติ อสฺสาทวเสน น วฎฺฎติฯ สโทฺธ อโหสิ ขยํ คโตติ เอวเมว วฎฺฎติฯ วิสิขากถาปิ ‘‘อสุกา วิสิขา สุนิวิฎฺฐา ทุนฺนิวิฎฺฐา สูรา สมตฺถา’’ติ อสฺสาทวเสน น วฎฺฎติฯ สทฺธา ปสนฺนา ขยวยํ คตาติ เอวเมว วฎฺฎติฯ

    Itthikathāpi vaṇṇasaṇṭhānādīni paṭicca assādavasena na vaṭṭati, saddhā pasannā khayavayaṃ gatāti evameva vaṭṭati. Sūrakathāpi ‘nandimitto nāma yodho sūro ahosī’ti assādavasena na vaṭṭati. Saddho ahosi khayaṃ gatoti evameva vaṭṭati. Visikhākathāpi ‘‘asukā visikhā suniviṭṭhā dunniviṭṭhā sūrā samatthā’’ti assādavasena na vaṭṭati. Saddhā pasannā khayavayaṃ gatāti evameva vaṭṭati.

    กุมฺภฎฺฐานกถาติ อุทกฎฺฐานกถา, อุทกติตฺถกถาติปิ วุจฺจติ, กุมฺภทาสิกถา วา, สาปิ ‘‘ปาสาทิกา นจฺจิตุํ คายิตุํ เฉกา’’ติ อสฺสาทวเสน น วฎฺฎติ; สทฺธา ปสนฺนาติอาทินา นเยเนว วฎฺฎติฯ ปุพฺพเปตกถาติ อตีตญาติกถาฯ ตตฺถ วตฺตมานญาติกถาสทิโส วินิจฺฉโยฯ

    Kumbhaṭṭhānakathāti udakaṭṭhānakathā, udakatitthakathātipi vuccati, kumbhadāsikathā vā, sāpi ‘‘pāsādikā naccituṃ gāyituṃ chekā’’ti assādavasena na vaṭṭati; saddhā pasannātiādinā nayeneva vaṭṭati. Pubbapetakathāti atītañātikathā. Tattha vattamānañātikathāsadiso vinicchayo.

    นานตฺตกถาติ ปุริมปจฺฉิมกถาหิ วิมุตฺตา อวเสสา นานาสภาวา นิรตฺถกกถาฯ โลกกฺขายิกาติ อยํ โลโก เกน นิมฺมิโต, อสุเกน นาม นิมฺมิโตฯ กาโก เสโต, อฎฺฐีนํ เสตตฺตา; พลากา รตฺตาฯ โลหิตสฺส รตฺตตฺตาติ เอวมาทิกา โลกายตวิตณฺฑสลฺลาปกถาฯ

    Nānattakathāti purimapacchimakathāhi vimuttā avasesā nānāsabhāvā niratthakakathā. Lokakkhāyikāti ayaṃ loko kena nimmito, asukena nāma nimmito. Kāko seto, aṭṭhīnaṃ setattā; balākā rattā. Lohitassa rattattāti evamādikā lokāyatavitaṇḍasallāpakathā.

    สมุทฺทกฺขายิกา นาม กสฺมา สมุโทฺท สาคโร? สาครเทเวน ขโต, ตสฺมา สาคโรฯ ขโต เมติ หตฺถมุทฺทาย สยํ นิเวทิตตฺตา ‘‘สมุโทฺท’’ติ เอวมาทิกา นิรตฺถกา สมุทฺทกฺขายนกถาฯ ภโวติ วุฑฺฒิฯ อภโวติ หานิฯ อิติ ภโว, อิติ อภโวติ ยํ วา ตํ วา นิรตฺถกการณํ วตฺวา ปวตฺติตกถา อิติภวาภวกถาฯ

    Samuddakkhāyikā nāma kasmā samuddo sāgaro? Sāgaradevena khato, tasmā sāgaro. Khato meti hatthamuddāya sayaṃ niveditattā ‘‘samuddo’’ti evamādikā niratthakā samuddakkhāyanakathā. Bhavoti vuḍḍhi. Abhavoti hāni. Iti bhavo, iti abhavoti yaṃ vā taṃ vā niratthakakāraṇaṃ vatvā pavattitakathā itibhavābhavakathā.

    ๑๘. วิคฺคาหิกกถาติ วิคฺคหกถา, สารมฺภกถาฯ ตตฺถ สหิตํ เมติ มยฺหํ วจนํ สหิตํ สิลิฎฺฐํ อตฺถยุตฺตํ การณยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อสหิตํ เตติ ตุยฺหํ วจนํ อสหิตํ อสิลิฎฺฐํฯ อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตนฺติ ยํ ตุยฺหํ ทีฆรตฺตาจิณฺณวเสน สุปฺปคุณํ, ตํ มยฺหํ เอกวจเนเนว วิปราวตฺตํ ปริวตฺติตฺวา ฐิตํ, น กิญฺจิ ชานาสีติ อโตฺถฯ

    18.Viggāhikakathāti viggahakathā, sārambhakathā. Tattha sahitaṃ meti mayhaṃ vacanaṃ sahitaṃ siliṭṭhaṃ atthayuttaṃ kāraṇayuttanti attho. Asahitaṃ teti tuyhaṃ vacanaṃ asahitaṃ asiliṭṭhaṃ. Adhiciṇṇaṃ te viparāvattanti yaṃ tuyhaṃ dīgharattāciṇṇavasena suppaguṇaṃ, taṃ mayhaṃ ekavacaneneva viparāvattaṃ parivattitvā ṭhitaṃ, na kiñci jānāsīti attho.

    อาโรปิโต เต วาโทติ มยา ตว โทโส อาโรปิโตฯ จร วาทปฺปโมกฺขายาติ โทสโมจนตฺถํ จร, วิจร; ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา สิกฺขาติ อโตฺถฯ นิเพฺพเฐหิ วา สเจ ปโหสีติ อถ สยํ ปโหสิ, อิทานิเมว นิเพฺพเฐหีติฯ

    Āropitote vādoti mayā tava doso āropito. Cara vādappamokkhāyāti dosamocanatthaṃ cara, vicara; tattha tattha gantvā sikkhāti attho. Nibbeṭhehi vā sace pahosīti atha sayaṃ pahosi, idānimeva nibbeṭhehīti.

    ๑๙. ทูเตยฺยกถายํ อิธ คจฺฉาติ อิโต อสุกํ นาม ฐานํ คจฺฉฯ อมุตฺราคจฺฉาติ ตโต อสุกํ นาม ฐานํ อาคจฺฉฯ อิทํ หราติ อิโต อิทํ นาม หรฯ อมุตฺร อิทํ อาหราติ อสุกฎฺฐานโต อิทํ นาม อิธ อาหรฯ สเงฺขปโต ปน อิทํ ทูเตยฺยํ นาม ฐเปตฺวา ปญฺจ สหธมฺมิเก รตนตฺตยสฺส อุปการปฎิสํยุตฺตญฺจ คิหีสาสนํ อเญฺญสํ น วฎฺฎติฯ

    19. Dūteyyakathāyaṃ idha gacchāti ito asukaṃ nāma ṭhānaṃ gaccha. Amutrāgacchāti tato asukaṃ nāma ṭhānaṃ āgaccha. Idaṃ harāti ito idaṃ nāma hara. Amutra idaṃ āharāti asukaṭṭhānato idaṃ nāma idha āhara. Saṅkhepato pana idaṃ dūteyyaṃ nāma ṭhapetvā pañca sahadhammike ratanattayassa upakārapaṭisaṃyuttañca gihīsāsanaṃ aññesaṃ na vaṭṭati.

    ๒๐. กุหกาติอาทีสุ ติวิเธน กุหนวตฺถุนา โลกํ กุหยนฺติ, วิมฺหาปยนฺตีติ กุหกาฯ ลาภสกฺการตฺถิกา หุตฺวา ลปนฺตีติ ลปกาฯ นิมิตฺตํ สีลเมเตสนฺติ เนมิตฺติกาฯ นิเปฺปโส สีลเมเตสนฺติ นิเปฺปสิกาฯ ลาเภน ลาภํ นิชิคีสนฺติ มคฺคนฺติ ปริเยสนฺตฺตีติ ลาเภน ลาภํ นิชิคีสิตาโรฯ กุหนา, ลปนา, เนมิตฺติกตา, นิเปฺปสิกตา, ลาเภน ลาภํ นิชิคีสนตาติ เอตาหิ สมนฺนาคตานํ ปุคฺคลานํ เอตํ อธิวจนํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาเรน ปเนตา กุหนาทิกา วิสุทฺธิมเคฺค สีลนิเทฺทเสเยว ปาฬิญฺจ อฎฺฐกถญฺจ อาหริตฺวา ปกาสิตาติฯ

    20.Kuhakātiādīsu tividhena kuhanavatthunā lokaṃ kuhayanti, vimhāpayantīti kuhakā. Lābhasakkāratthikā hutvā lapantīti lapakā. Nimittaṃ sīlametesanti nemittikā. Nippeso sīlametesanti nippesikā. Lābhena lābhaṃ nijigīsanti magganti pariyesanttīti lābhena lābhaṃ nijigīsitāro. Kuhanā, lapanā, nemittikatā, nippesikatā, lābhena lābhaṃ nijigīsanatāti etāhi samannāgatānaṃ puggalānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Ayamettha saṅkhepo. Vitthārena panetā kuhanādikā visuddhimagge sīlaniddeseyeva pāḷiñca aṭṭhakathañca āharitvā pakāsitāti.

    เอตฺตาวตา มชฺฌิมสีลํ นิฎฺฐิตํ โหติฯ

    Ettāvatā majjhimasīlaṃ niṭṭhitaṃ hoti.

    มหาสีลวณฺณนา

    Mahāsīlavaṇṇanā

    ๒๑. อิโต ปรํ มหาสีลํ โหติฯ องฺคนฺติ หตฺถปาทาทีสุ เยน เกนจิ เอวรูเปน อเงฺคน สมนฺนาคโต ทีฆายุ ยสวา โหตีติอาทินยปฺปวตฺตํ องฺคสตฺถํฯ นิมิตฺตนฺติ นิมิตฺตสตฺถํฯ ปณฺฑุราชา กิร ติโสฺส มุตฺตาโย มุฎฺฐิยํ กตฺวา เนมิตฺติกํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ เม หเตฺถ’’ติ? โส อิโต จิโต จ วิโลเกสิ, ตสฺมิญฺจ สมเย ฆรโคลิกาย มกฺขิกา คยฺหนฺตี มุตฺตา, โส ‘‘มุตฺตา’’ติ อาหฯ ปุน ‘‘กตี’’ติ ปุโฎฺฐ กุกฺกุฎสฺส ติกฺขตฺตุํ รวนฺตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ‘‘ติโสฺส’’ติ อาหฯ เอวํ ตํ ตํ อาทิสิตฺวา นิมิตฺตมนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ

    21. Ito paraṃ mahāsīlaṃ hoti. Aṅganti hatthapādādīsu yena kenaci evarūpena aṅgena samannāgato dīghāyu yasavā hotītiādinayappavattaṃ aṅgasatthaṃ. Nimittanti nimittasatthaṃ. Paṇḍurājā kira tisso muttāyo muṭṭhiyaṃ katvā nemittikaṃ pucchi – ‘‘kiṃ me hatthe’’ti? So ito cito ca vilokesi, tasmiñca samaye gharagolikāya makkhikā gayhantī muttā, so ‘‘muttā’’ti āha. Puna ‘‘katī’’ti puṭṭho kukkuṭassa tikkhattuṃ ravantassa saddaṃ sutvā ‘‘tisso’’ti āha. Evaṃ taṃ taṃ ādisitvā nimittamanuyuttā viharanti.

    อุปฺปาตนฺติ อสนิปาตาทีนํ มหนฺตานํ อุปฺปติตํ, ตญฺหิ ทิสฺวา ‘‘อิทํ ภวิสฺสติ, เอวํ ภวิสฺสตี’’ติ อาทิสนฺติฯ สุปินนฺติ โย ปุพฺพณฺหสมเย สุปินํ ปสฺสติ, เอวํ วิปาโก โหติ; โย อิทํ นาม ปสฺสติ, ตสฺส อิทํ นาม โหตีติอาทินา นเยน สุปินกํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ ลกฺขณนฺติ อิมินา ลกฺขเณน สมนฺนาคโต ราชา โหติ, อิมินา อุปราชาติอาทิกํฯ มูสิกจฺฉินฺนนฺติ อุนฺทูรขายิตํฯ เตนาปิ หิ อหเต วา วเตฺถ อนหเต วา วเตฺถ อิโต ปฎฺฐาย เอวํ ฉิเนฺน อิทํ นาม โหตีติ อาทิสนฺติฯ อคฺคิโหมนฺติ เอวรูเปน ทารุนา เอวํ หุเต อิทํ นาม โหตีติ อคฺคิชุหนํฯ ทพฺพิโหมาทีนิปิ อคฺคิโหมาเนว, เอวรูปาย ทพฺพิยา อีทิเสหิ กณาทีหิ หุเต อิทํ นาม โหตีติ เอวํ ปวตฺติวเสน ปน วิสุํ วุตฺตานิฯ

    Uppātanti asanipātādīnaṃ mahantānaṃ uppatitaṃ, tañhi disvā ‘‘idaṃ bhavissati, evaṃ bhavissatī’’ti ādisanti. Supinanti yo pubbaṇhasamaye supinaṃ passati, evaṃ vipāko hoti; yo idaṃ nāma passati, tassa idaṃ nāma hotītiādinā nayena supinakaṃ anuyuttā viharanti. Lakkhaṇanti iminā lakkhaṇena samannāgato rājā hoti, iminā uparājātiādikaṃ. Mūsikacchinnanti undūrakhāyitaṃ. Tenāpi hi ahate vā vatthe anahate vā vatthe ito paṭṭhāya evaṃ chinne idaṃ nāma hotīti ādisanti. Aggihomanti evarūpena dārunā evaṃ hute idaṃ nāma hotīti aggijuhanaṃ. Dabbihomādīnipi aggihomāneva, evarūpāya dabbiyā īdisehi kaṇādīhi hute idaṃ nāma hotīti evaṃ pavattivasena pana visuṃ vuttāni.

    ตตฺถ กโณติ กุณฺฑโกฯ ตณฺฑุลาติ สาลิอาทีนเญฺจว ติณชาตีนญฺจ ตณฺฑุลาฯ สปฺปีติ โคสปฺปิอาทิกํฯ เตลนฺติ ติลเตลาทิกํฯ สาสปาทีนิ ปน มุเขน คเหตฺวา อคฺคิมฺหิ ปกฺขิปนํ, วิชฺชํ ปริชปฺปิตฺวา ชุหนํ วา มุขโหมํฯ ทกฺขิณกฺขกชณฺณุโลหิตาทีหิ ชุหนํ โลหิตโหมํฯ องฺควิชฺชาติ ปุเพฺพ องฺคเมว ทิสฺวา พฺยากรณวเสน องฺคํ วุตฺตํ, อิธ องฺคุลฎฺฐิํ ทิสฺวา วิชฺชํ ปริชปฺปิตฺวา อยํ กุลปุโตฺต วา โน วา, สิรีสมฺปโนฺน วา โน วาติอาทิพฺยากรณวเสน องฺควิชฺชา วุตฺตาฯ วตฺถุวิชฺชาติ ฆรวตฺถุอารามวตฺถาทีนํ คุณโทสสลฺลกฺขณวิชฺชาฯ มตฺติกาทิวิเสสํ ทิสฺวาปิ หิ วิชฺชํ ปริชปฺปิตฺวา เหฎฺฐา ปถวิยํ ติํสรตนมเตฺต, อากาเส จ อสีติรตนมเตฺต ปเทเส คุณโทสํ ปสฺสนฺติฯ ขตฺตวิชฺชาติ อเพฺภยฺยมาสุรกฺขราชสตฺถาทิสตฺถํฯ สิววิชฺชาติ สุสาเน ปวิสิตฺวา สนฺติกรณวิชฺชา, สิงฺคาลรุตวิชฺชาติปิ วทนฺติฯ ภูตวิชฺชาติ ภูตเวชฺชมโนฺตฯ ภูริวิชฺชาติ ภูริฆเร วสเนฺตน อุคฺคเหตพฺพมโนฺตฯ อหิวิชฺชาติ สปฺปทฎฺฐติกิจฺฉนวิชฺชา เจว สปฺปาวฺหายนวิชฺชา จฯ วิสวิชฺชาติ ยาย, ปุราณวิสํ วา รกฺขนฺติ, นววิสํ วา กโรนฺติ วิสวนฺตเมว วาฯ วิจฺฉิกวิชฺชาติ วิจฺฉิกทฎฺฐติกิจฺฉนวิชฺชาฯ มูสิกวิชฺชายปิ เอเสว นโยฯ สกุณวิชฺชาติ สปกฺขกอปกฺขกทฺวิปทจตุปฺปทานํ รุตคตาทิวเสน สกุณญาณํฯ วายสวิชฺชาติ กากรุตญาณํ, ตํ วิสุเญฺญว สตฺถํ, ตสฺมา วิสุํ วุตฺตํฯ

    Tattha kaṇoti kuṇḍako. Taṇḍulāti sāliādīnañceva tiṇajātīnañca taṇḍulā. Sappīti gosappiādikaṃ. Telanti tilatelādikaṃ. Sāsapādīni pana mukhena gahetvā aggimhi pakkhipanaṃ, vijjaṃ parijappitvā juhanaṃ vā mukhahomaṃ. Dakkhiṇakkhakajaṇṇulohitādīhi juhanaṃ lohitahomaṃ. Aṅgavijjāti pubbe aṅgameva disvā byākaraṇavasena aṅgaṃ vuttaṃ, idha aṅgulaṭṭhiṃ disvā vijjaṃ parijappitvā ayaṃ kulaputto vā no vā, sirīsampanno vā no vātiādibyākaraṇavasena aṅgavijjā vuttā. Vatthuvijjāti gharavatthuārāmavatthādīnaṃ guṇadosasallakkhaṇavijjā. Mattikādivisesaṃ disvāpi hi vijjaṃ parijappitvā heṭṭhā pathaviyaṃ tiṃsaratanamatte, ākāse ca asītiratanamatte padese guṇadosaṃ passanti. Khattavijjāti abbheyyamāsurakkharājasatthādisatthaṃ. Sivavijjāti susāne pavisitvā santikaraṇavijjā, siṅgālarutavijjātipi vadanti. Bhūtavijjāti bhūtavejjamanto. Bhūrivijjāti bhūrighare vasantena uggahetabbamanto. Ahivijjāti sappadaṭṭhatikicchanavijjā ceva sappāvhāyanavijjā ca. Visavijjāti yāya, purāṇavisaṃ vā rakkhanti, navavisaṃ vā karonti visavantameva vā. Vicchikavijjāti vicchikadaṭṭhatikicchanavijjā. Mūsikavijjāyapi eseva nayo. Sakuṇavijjāti sapakkhakaapakkhakadvipadacatuppadānaṃ rutagatādivasena sakuṇañāṇaṃ. Vāyasavijjāti kākarutañāṇaṃ, taṃ visuññeva satthaṃ, tasmā visuṃ vuttaṃ.

    ปกฺกชฺฌานนฺติ ปริปากคตจินฺตาฯ อิทานิ ‘‘อยํ เอตฺตกํ ชีวิสฺสติ, อยํ เอตฺตก’’นฺติ เอวํ ปวตฺตํ อาทิฎฺฐญาณนฺติ อโตฺถฯ สรปริตฺตาณนฺติ สรรกฺขณํ, ยถา อตฺตโน อุปริ น อาคจฺฉติ, เอวํ กรณวิชฺชาฯ มิคจกฺกนฺติ อิทํ สพฺพสงฺคาหิกํ สพฺพสกุณจตุปฺปทานํ รุตญาณวเสน วุตฺตํฯ

    Pakkajjhānanti paripākagatacintā. Idāni ‘‘ayaṃ ettakaṃ jīvissati, ayaṃ ettaka’’nti evaṃ pavattaṃ ādiṭṭhañāṇanti attho. Saraparittāṇanti sararakkhaṇaṃ, yathā attano upari na āgacchati, evaṃ karaṇavijjā. Migacakkanti idaṃ sabbasaṅgāhikaṃ sabbasakuṇacatuppadānaṃ rutañāṇavasena vuttaṃ.

    ๒๒. มณิลกฺขณาทีสุ เอวรูโป มณิ ปสโตฺถ, เอวรูโป อปสโตฺถ, สามิโน อาโรคฺยอิสฺสริยาทีนํ เหตุ โหติ, น โหตีติ, เอวํ วณฺณสณฺฐานาทิวเสน มณิอาทีนํ ลกฺขณํ อนุยุตฺตา วิหรนฺตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ อาวุธนฺติ ฐเปตฺวา อสิอาทีนิ อวเสสํ อาวุธํฯ อิตฺถิลกฺขณาทีนิปิ ยมฺหิ กุเล เต อิตฺถิปุริสาทโย วสนฺติ, ตสฺส วุฑฺฒิหานิวเสเนว เวทิตพฺพานิฯ อชลกฺขณาทีสุ ปน เอวรูปานํ อชาทีนํ มํสํ ขาทิตพฺพํ, เอวรูปานํ น ขาทิตพฺพนฺติ อยํ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ

    22.Maṇilakkhaṇādīsu evarūpo maṇi pasattho, evarūpo apasattho, sāmino ārogyaissariyādīnaṃ hetu hoti, na hotīti, evaṃ vaṇṇasaṇṭhānādivasena maṇiādīnaṃ lakkhaṇaṃ anuyuttā viharantīti attho. Tattha āvudhanti ṭhapetvā asiādīni avasesaṃ āvudhaṃ. Itthilakkhaṇādīnipi yamhi kule te itthipurisādayo vasanti, tassa vuḍḍhihānivaseneva veditabbāni. Ajalakkhaṇādīsu pana evarūpānaṃ ajādīnaṃ maṃsaṃ khāditabbaṃ, evarūpānaṃ na khāditabbanti ayaṃ viseso veditabbo.

    อปิ เจตฺถ โคธาย ลกฺขเณ จิตฺตกมฺมปิฬนฺธนาทีสุปิ เอวรูปาย โคธาย สติ อิทํ นาม โหตีติ อยํ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ อิทเญฺจตฺถ วตฺถุ – เอกสฺมิํ กิร วิหาเร จิตฺตกเมฺม โคธํ อคฺคิํ ธมมานํ อกํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย ภิกฺขูนํ มหาวิวาโท ชาโตฯ เอโก อาคนฺตุกภิกฺขุ ตํ ทิสฺวา มเกฺขสิฯ ตโต ปฎฺฐาย วิวาโท มนฺทีภูโต โหติฯ กณฺณิกลกฺขณํ ปิฬนฺธนกณฺณิกายปิ เคหกณฺณิกายปิ วเสน เวทิตพฺพํฯ กจฺฉปลกฺขณํ โคธาลกฺขณสทิสเมวฯ มิคลกฺขณํ สพฺพสงฺคาหิกํ สพฺพจตุปฺปทานํ ลกฺขณวเสน วุตฺตํฯ

    Api cettha godhāya lakkhaṇe cittakammapiḷandhanādīsupi evarūpāya godhāya sati idaṃ nāma hotīti ayaṃ viseso veditabbo. Idañcettha vatthu – ekasmiṃ kira vihāre cittakamme godhaṃ aggiṃ dhamamānaṃ akaṃsu. Tato paṭṭhāya bhikkhūnaṃ mahāvivādo jāto. Eko āgantukabhikkhu taṃ disvā makkhesi. Tato paṭṭhāya vivādo mandībhūto hoti. Kaṇṇikalakkhaṇaṃ piḷandhanakaṇṇikāyapi gehakaṇṇikāyapi vasena veditabbaṃ. Kacchapalakkhaṇaṃ godhālakkhaṇasadisameva. Migalakkhaṇaṃ sabbasaṅgāhikaṃ sabbacatuppadānaṃ lakkhaṇavasena vuttaṃ.

    ๒๓. รญฺญํ นิยฺยานํ ภวิสฺสตีติ อสุกทิวเส อสุกนกฺขเตฺตน อสุกสฺส นาม รโญฺญ นิคฺคมนํ ภวิสฺสตีติ เอวํ ราชูนํ ปวาสคมนํ พฺยากโรติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ เกวลํ ปเนตฺถ อนิยฺยานนฺติ วิปฺปวุตฺถานํ ปุน อาคมนํฯ อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ อุปยานํ ภวิสฺสติ , พาหิรานํ รญฺญํ อปยานนฺติ อโนฺตนคเร อมฺหากํ ราชา ปฎิวิรุทฺธํ พหิราชานํ อุปสงฺกมิสฺสติ, ตโต ตสฺส ปฎิกฺกมนํ ภวิสฺสตีติ เอวํ รญฺญํ อุปยานาปยานํ พฺยากโรติฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ ชยปราชยา ปากฎาเยวฯ

    23.Raññaṃ niyyānaṃ bhavissatīti asukadivase asukanakkhattena asukassa nāma rañño niggamanaṃ bhavissatīti evaṃ rājūnaṃ pavāsagamanaṃ byākaroti. Esa nayo sabbattha. Kevalaṃ panettha aniyyānanti vippavutthānaṃ puna āgamanaṃ. Abbhantarānaṃ raññaṃ upayānaṃ bhavissati, bāhirānaṃ raññaṃ apayānanti antonagare amhākaṃ rājā paṭiviruddhaṃ bahirājānaṃ upasaṅkamissati, tato tassa paṭikkamanaṃ bhavissatīti evaṃ raññaṃ upayānāpayānaṃ byākaroti. Dutiyapadepi eseva nayo. Jayaparājayā pākaṭāyeva.

    ๒๔. จนฺทคฺคาหาทโย อสุกทิวเส ราหุ จนฺทํ คเหสฺสตีติ พฺยากรณวเสเนว เวทิตพฺพาฯ อปิ จ นกฺขตฺตสฺส องฺคารกาทิคาหสมาโยโคปิ นกฺขตฺตคาโหเยวฯ อุกฺกาปาโตติ อากาสโต อุกฺกานํ ปตนํฯ ทิสาฑาโหติ ทิสากาลุสิยํ อคฺคิสิขธูมสิขาทีหิ อากุลภาโว วิยฯ เทวทุทฺรภีติ สุกฺขวลาหกคชฺชนํฯ อุคฺคมนนฺติ อุทยนํฯ โอกฺกมนนฺติ อตฺถงฺคมนํฯ สํกิเลสนฺติ อวิสุทฺธตาฯ โวทานนฺติ วิสุทฺธตาฯ เอวํ วิปาโกติ โลกสฺส เอวํ วิวิธสุขทุกฺขาวโหฯ

    24.Candaggāhādayo asukadivase rāhu candaṃ gahessatīti byākaraṇavaseneva veditabbā. Api ca nakkhattassa aṅgārakādigāhasamāyogopi nakkhattagāhoyeva. Ukkāpātoti ākāsato ukkānaṃ patanaṃ. Disāḍāhoti disākālusiyaṃ aggisikhadhūmasikhādīhi ākulabhāvo viya. Devadudrabhīti sukkhavalāhakagajjanaṃ. Uggamananti udayanaṃ. Okkamananti atthaṅgamanaṃ. Saṃkilesanti avisuddhatā. Vodānanti visuddhatā. Evaṃ vipākoti lokassa evaṃ vividhasukhadukkhāvaho.

    ๒๕. สุวุฎฺฐิกาติ เทวสฺส สมฺมาธารานุปฺปเวจฺฉนํฯ ทุพฺพุฎฺฐิกาติ อวคฺคาโห, วสฺสวิพโนฺธติ วุตฺตํ โหติฯ มุทฺทาติ หตฺถมุทฺทาฯ คณนา วุจฺจติ อจฺฉิทฺทกคณนาฯ สงฺขานนฺติ สงฺกลนสฎุปฺปาทนาทิวเสน ปิณฺฑคณนาฯ ยสฺส สา ปคุณา โหติ, โส รุกฺขมฺปิ ทิสฺวา เอตฺตกานิ เอตฺถ ปณฺณานีติ ชานาติฯ กาเวยฺยนฺติ ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, กวีฯ กตเม จตฺตาโร? จินฺตากวิ, สุตกวิ, อตฺถกวิ, ปฎิภานกวี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓๑)ฯ อิเมสํ จตุนฺนํ กวีนํ อตฺตโน จินฺตาวเสน วา; ‘‘เวสฺสนฺตโร นาม ราชา อโหสี’’ติอาทีนิ สุตฺวา สุตวเสน วา; อิมสฺส อยํ อโตฺถ, เอวํ ตํ โยเชสฺสามีติ เอวํ อตฺถวเสน วา; กิญฺจิเทว ทิสฺวา ตปฺปฎิภาคํ กตฺตพฺพํ กริสฺสามีติ เอวํ ฐานุปฺปตฺติกปฎิภานวเสน วา; ชีวิกตฺถาย กพฺยกรณํฯ โลกายตํ วุตฺตเมวฯ

    25.Suvuṭṭhikāti devassa sammādhārānuppavecchanaṃ. Dubbuṭṭhikāti avaggāho, vassavibandhoti vuttaṃ hoti. Muddāti hatthamuddā. Gaṇanā vuccati acchiddakagaṇanā. Saṅkhānanti saṅkalanasaṭuppādanādivasena piṇḍagaṇanā. Yassa sā paguṇā hoti, so rukkhampi disvā ettakāni ettha paṇṇānīti jānāti. Kāveyyanti ‘‘cattārome, bhikkhave, kavī. Katame cattāro? Cintākavi, sutakavi, atthakavi, paṭibhānakavī’’ti (a. ni. 4.231). Imesaṃ catunnaṃ kavīnaṃ attano cintāvasena vā; ‘‘vessantaro nāma rājā ahosī’’tiādīni sutvā sutavasena vā; imassa ayaṃ attho, evaṃ taṃ yojessāmīti evaṃ atthavasena vā; kiñcideva disvā tappaṭibhāgaṃ kattabbaṃ karissāmīti evaṃ ṭhānuppattikapaṭibhānavasena vā; jīvikatthāya kabyakaraṇaṃ. Lokāyataṃ vuttameva.

    ๒๖. อาวาหนํ นาม อิมสฺส ทารกสฺส อสุกกุลโต อสุกนกฺขเตฺตน ทาริกํ อาเนถาติ อาวาหกรณํฯ วิวาหนนฺติ อิมํ ทาริกํ อสุกสฺส นาม ทารกสฺส อสุกนกฺขเตฺตน เทถ, เอวมสฺสา วุฑฺฒิ ภวิสฺสตีติ วิวาหกรณํฯ สํวรณนฺติ สํวรณํ นาม ‘อชฺช นกฺขตฺตํ สุนฺทรํ, อเชฺชว สมคฺคา โหถ, อิติ โว วิโยโค น ภวิสฺสตี’ติ เอวํ สมคฺคกรณํฯ วิวรณํ นาม ‘สเจ วิยุชฺชิตุกามตฺถ, อเชฺชว วิยุชฺชถ , อิติ โว ปุน สํโยโค น ภวิสฺสตี’ติ เอวํ วิสํโยคกรณํฯ สงฺกิรณนฺติ ‘อุฎฺฐานํ วา อิณํ วา ทินฺนํ ธนํ อชฺช สงฺกฑฺฒถ, อชฺช สงฺกฑฺฒิตญฺหิ ตํ ถาวรํ โหตี’ติ เอวํ ธนปิณฺฑาปนํฯ วิกิรณนฺติ ‘สเจ ปโยคอุทฺธาราทิวเสน ธนํ ปโยชิตุกามตฺถ, อชฺช ปโยชิตํ ทิคุณจตุคฺคุณํ โหตี’ติ เอวํ ธนปโยชาปนํฯ สุภคกรณนฺติ ปิยมนาปกรณํ วา สสฺสิรีกกรณํ วาฯ ทุพฺภคกรณนฺติ ตพฺพิปรีตํฯ วิรุทฺธคพฺภกรณนฺติ วิรุทฺธสฺส วิลีนสฺส อฎฺฐิตสฺส มตสฺส คพฺภสฺส กรณํฯ ปุน อวินาสาย เภสชฺชทานนฺติ อโตฺถฯ คโพฺภ หิ วาเตน, ปาณเกหิ, กมฺมุนา จาติ ตีหิ การเณหิ วินสฺสติฯ ตตฺถ วาเตน วินสฺสเนฺต นิพฺพาปนียํ สีตลํ เภสชฺชํ เทติ, ปาณเกหิ วินสฺสเนฺต ปาณกานํ ปฎิกมฺมํ กโรติ, กมฺมุนา วินสฺสเนฺต ปน พุทฺธาปิ ปฎิพาหิตุํ น สโกฺกนฺติฯ

    26.Āvāhanaṃ nāma imassa dārakassa asukakulato asukanakkhattena dārikaṃ ānethāti āvāhakaraṇaṃ. Vivāhananti imaṃ dārikaṃ asukassa nāma dārakassa asukanakkhattena detha, evamassā vuḍḍhi bhavissatīti vivāhakaraṇaṃ. Saṃvaraṇanti saṃvaraṇaṃ nāma ‘ajja nakkhattaṃ sundaraṃ, ajjeva samaggā hotha, iti vo viyogo na bhavissatī’ti evaṃ samaggakaraṇaṃ. Vivaraṇaṃ nāma ‘sace viyujjitukāmattha, ajjeva viyujjatha , iti vo puna saṃyogo na bhavissatī’ti evaṃ visaṃyogakaraṇaṃ. Saṅkiraṇanti ‘uṭṭhānaṃ vā iṇaṃ vā dinnaṃ dhanaṃ ajja saṅkaḍḍhatha, ajja saṅkaḍḍhitañhi taṃ thāvaraṃ hotī’ti evaṃ dhanapiṇḍāpanaṃ. Vikiraṇanti ‘sace payogauddhārādivasena dhanaṃ payojitukāmattha, ajja payojitaṃ diguṇacatugguṇaṃ hotī’ti evaṃ dhanapayojāpanaṃ. Subhagakaraṇanti piyamanāpakaraṇaṃ vā sassirīkakaraṇaṃ vā. Dubbhagakaraṇanti tabbiparītaṃ. Viruddhagabbhakaraṇanti viruddhassa vilīnassa aṭṭhitassa matassa gabbhassa karaṇaṃ. Puna avināsāya bhesajjadānanti attho. Gabbho hi vātena, pāṇakehi, kammunā cāti tīhi kāraṇehi vinassati. Tattha vātena vinassante nibbāpanīyaṃ sītalaṃ bhesajjaṃ deti, pāṇakehi vinassante pāṇakānaṃ paṭikammaṃ karoti, kammunā vinassante pana buddhāpi paṭibāhituṃ na sakkonti.

    ชิวฺหานิพนฺธนนฺติ มเนฺตน ชิวฺหาย พนฺธกรณํฯ หนุสํหนนนฺติ มุขพนฺธมเนฺตน ยถา หนุกํ จาเลตุํ น สโกฺกนฺติ, เอวํ พนฺธกรณํฯ หตฺถาภิชปฺปนนฺติ หตฺถานํ ปริวตฺตนตฺถํ มนฺตชปฺปนํฯ ตสฺมิํ กิร มเนฺต สตฺตปทนฺตเร ฐตฺวา ชปฺปิเต อิตโร หเตฺถ ปริวเตฺตตฺวา ขิปติฯ กณฺณชปฺปนนฺติ กเณฺณหิ สทฺทํ อสฺสวนตฺถาย วิชฺชาย ชปฺปนํฯ ตํ กิร ชปฺปิตฺวา วินิจฺฉยฎฺฐาเน ยํ อิจฺฉติ, ตํ ภณติ, ปจฺจตฺถิโก ตํ น สุณาติ, ตโต ปฎิวจนํ สมฺปาเทตุํ น สโกฺกติฯ อาทาสปญฺหนฺติ อาทาเส เทวตํ โอตาเรตฺวา ปญฺหปุจฺฉนํฯ กุมาริกปญฺหนฺติ กุมาริกาย สรีเร เทวตํ โอตาเรตฺวา ปญฺหปุจฺฉนํฯ เทวปญฺหนฺติ ทาสิยา สรีเร เทวตํ โอตาเรตฺวา ปญฺหปุจฺฉนํฯ อาทิจฺจุปฎฺฐานนฺติ ชีวิกตฺถาย อาทิจฺจปาริจริยาฯ มหตุปฎฺฐานนฺติ ตเถว มหาพฺรหฺมปาริจริยาฯ อพฺภุชฺชลนนฺติ มเนฺตน มุขโต อคฺคิชาลานีหรณํฯ สิริวฺหายนนฺติ ‘‘เอหิ สิริ, มยฺหํ สิเร ปติฎฺฐาหี’’ติ เอวํ สิเรน สิริยา อวฺหายนํฯ

    Jivhānibandhananti mantena jivhāya bandhakaraṇaṃ. Hanusaṃhanananti mukhabandhamantena yathā hanukaṃ cāletuṃ na sakkonti, evaṃ bandhakaraṇaṃ. Hatthābhijappananti hatthānaṃ parivattanatthaṃ mantajappanaṃ. Tasmiṃ kira mante sattapadantare ṭhatvā jappite itaro hatthe parivattetvā khipati. Kaṇṇajappananti kaṇṇehi saddaṃ assavanatthāya vijjāya jappanaṃ. Taṃ kira jappitvā vinicchayaṭṭhāne yaṃ icchati, taṃ bhaṇati, paccatthiko taṃ na suṇāti, tato paṭivacanaṃ sampādetuṃ na sakkoti. Ādāsapañhanti ādāse devataṃ otāretvā pañhapucchanaṃ. Kumārikapañhanti kumārikāya sarīre devataṃ otāretvā pañhapucchanaṃ. Devapañhanti dāsiyā sarīre devataṃ otāretvā pañhapucchanaṃ. Ādiccupaṭṭhānanti jīvikatthāya ādiccapāricariyā. Mahatupaṭṭhānanti tatheva mahābrahmapāricariyā. Abbhujjalananti mantena mukhato aggijālānīharaṇaṃ. Sirivhāyananti ‘‘ehi siri, mayhaṃ sire patiṭṭhāhī’’ti evaṃ sirena siriyā avhāyanaṃ.

    ๒๗. สนฺติกมฺมนฺติ เทวฎฺฐานํ คนฺตฺวา สเจ เม อิทํ นาม สมิชฺฌิสฺสติ, ตุมฺหากํ อิมินา จ อิมินา จ อุปหารํ กริสฺสามีติ สมิทฺธิกาเล กตฺตพฺพํ สนฺติปฎิสฺสวกมฺมํฯ ตสฺมิํ ปน สมิเทฺธ ตสฺส กรณํ ปณิธิกมฺมํ นามฯ ภูริกมฺมนฺติ ภูริฆเร วสิตฺวา คหิตมนฺตสฺส ปโยคกรณํฯ วสฺสกมฺมํ โวสฺสกมฺมนฺติ เอตฺถ วโสฺสติ ปุริโส, โวโสฺสติ ปณฺฑโก ฯ อิติ โวสฺสสฺส วสฺสกรณํ วสฺสกมฺมํ, วสฺสสฺส โวสฺสกรณํ โวสฺสกมฺมํฯ ตํ ปน กโรโนฺต อจฺฉนฺทิกภาวมตฺตํ ปาเปติ, น ลิงฺคํ อนฺตรธาเปตุํ สโกฺกติฯ วตฺถุกมฺมนฺติ อกตวตฺถุสฺมิํ เคหปติฎฺฐาปนํฯ วตฺถุปริกมฺมนฺติ ‘‘อิทญฺจิทญฺจาหรถา’’ติ วตฺวา วตฺถุพลิกมฺมกรณํฯ อาจมนนฺติ อุทเกน มุขสุทฺธิกรณํฯ นฺหาปนนฺติ อเญฺญสํ นฺหาปนํฯ ชุหนนฺติ เตสํ อตฺถาย อคฺคิชุหนํฯ วมนนฺติ โยคํ ทตฺวา วมนกรณํฯ วิเรจเนปิ เอเสว นโยฯ อุทฺธํวิเรจนนฺติ อุทฺธํ โทสานํ นีหรณํฯ อโธวิเรจนนฺติ อโธ โทสานํ นีหรณํฯ สีสวิเรจนนฺติ สิโรวิเรจนํฯ กณฺณเตลนฺติ กณฺณานํ พนฺธนตฺถํ วา วณหรณตฺถํ วา เภสชฺชเตลปจนํฯ เนตฺตตปฺปนนฺติ อกฺขิตปฺปนเตลํฯ นตฺถุกมฺมนฺติ เตเลน โยเชตฺวา นตฺถุกรณํฯ อญฺชนนฺติ เทฺว วา ตีณิ วา ปฎลานิ นีหรณสมตฺถํ ขารญฺชนํฯ ปจฺจญฺชนนฺติ นิพฺพาปนียํ สีตลเภสชฺชญฺชนํฯ สาลากิยนฺติ สลากเวชฺชกมฺมํฯ สลฺลกตฺติยนฺติ สลฺลกตฺตเวชฺชกมฺมํฯ ทารกติกิจฺฉา วุจฺจติ โกมารภจฺจเวชฺชกมฺมํฯ มูลเภสชฺชานํ อนุปฺปาทนนฺติ อิมินา กายติกิจฺฉนํ ทเสฺสติฯ โอสธีนํ ปฎิโมโกฺขติ ขาราทีนิ ทตฺวา ตทนุรูเป วเณ คเต เตสํ อปนยนํฯ

    27.Santikammanti devaṭṭhānaṃ gantvā sace me idaṃ nāma samijjhissati, tumhākaṃ iminā ca iminā ca upahāraṃ karissāmīti samiddhikāle kattabbaṃ santipaṭissavakammaṃ. Tasmiṃ pana samiddhe tassa karaṇaṃ paṇidhikammaṃ nāma. Bhūrikammanti bhūrighare vasitvā gahitamantassa payogakaraṇaṃ. Vassakammaṃ vossakammanti ettha vassoti puriso, vossoti paṇḍako . Iti vossassa vassakaraṇaṃ vassakammaṃ, vassassa vossakaraṇaṃ vossakammaṃ. Taṃ pana karonto acchandikabhāvamattaṃ pāpeti, na liṅgaṃ antaradhāpetuṃ sakkoti. Vatthukammanti akatavatthusmiṃ gehapatiṭṭhāpanaṃ. Vatthuparikammanti ‘‘idañcidañcāharathā’’ti vatvā vatthubalikammakaraṇaṃ. Ācamananti udakena mukhasuddhikaraṇaṃ. Nhāpananti aññesaṃ nhāpanaṃ. Juhananti tesaṃ atthāya aggijuhanaṃ. Vamananti yogaṃ datvā vamanakaraṇaṃ. Virecanepi eseva nayo. Uddhaṃvirecananti uddhaṃ dosānaṃ nīharaṇaṃ. Adhovirecananti adho dosānaṃ nīharaṇaṃ. Sīsavirecananti sirovirecanaṃ. Kaṇṇatelanti kaṇṇānaṃ bandhanatthaṃ vā vaṇaharaṇatthaṃ vā bhesajjatelapacanaṃ. Nettatappananti akkhitappanatelaṃ. Natthukammanti telena yojetvā natthukaraṇaṃ. Añjananti dve vā tīṇi vā paṭalāni nīharaṇasamatthaṃ khārañjanaṃ. Paccañjananti nibbāpanīyaṃ sītalabhesajjañjanaṃ. Sālākiyanti salākavejjakammaṃ. Sallakattiyanti sallakattavejjakammaṃ. Dārakatikicchā vuccati komārabhaccavejjakammaṃ. Mūlabhesajjānaṃ anuppādananti iminā kāyatikicchanaṃ dasseti. Osadhīnaṃ paṭimokkhoti khārādīni datvā tadanurūpe vaṇe gate tesaṃ apanayanaṃ.

    เอตฺตาวตา มหาสีลํ นิฎฺฐิตํ โหติฯ

    Ettāvatā mahāsīlaṃ niṭṭhitaṃ hoti.

    ปุพฺพนฺตกปฺปิกสสฺสตวาทวณฺณนา

    Pubbantakappikasassatavādavaṇṇanā

    ๒๘. เอวํ พฺรหฺมทเตฺตน วุตฺตวณฺณสฺส อนุสนฺธิวเสน ติวิธํ สีลํ วิตฺถาเรตฺวา อิทานิ ภิกฺขุสเงฺฆน วุตฺตวณฺณสฺส อนุสนฺธิวเสน – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อเญฺญว ธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา’’ติอาทินา นเยน สุญฺญตาปกาสนํ อารภิฯ ตตฺถ ธมฺมาติ คุเณ, เทสนายํ, ปริยตฺติยํ, นิสฺสเตฺตติ เอวมาทีสุ ธมฺมสโทฺท วตฺตติฯ

    28. Evaṃ brahmadattena vuttavaṇṇassa anusandhivasena tividhaṃ sīlaṃ vitthāretvā idāni bhikkhusaṅghena vuttavaṇṇassa anusandhivasena – ‘‘atthi, bhikkhave, aññeva dhammā gambhīrā duddasā’’tiādinā nayena suññatāpakāsanaṃ ārabhi. Tattha dhammāti guṇe, desanāyaṃ, pariyattiyaṃ, nissatteti evamādīsu dhammasaddo vattati.

    ‘‘น หิ ธโมฺม อธโมฺม จ, อุโภ สมวิปากิโน;

    ‘‘Na hi dhammo adhammo ca, ubho samavipākino;

    อธโมฺม นิรยํ เนติ, ธโมฺม ปาเปติ สุคฺคติ’’นฺติฯ (เถรคา. ๓๐๔);

    Adhammo nirayaṃ neti, dhammo pāpeti suggati’’nti. (theragā. 304);

    อาทีสุ หิ คุเณ ธมฺมสโทฺทฯ ‘‘ธมฺมํ, โว ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ อาทิกลฺยาณ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๔๒๐) เทสนายํฯ ‘‘อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ , เคยฺย’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๗๓) ปริยตฺติยํฯ ‘‘ตสฺมิํ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ, ขนฺธา โหนฺตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๒๑) นิสฺสเตฺตฯ อิธ ปน คุเณ วตฺตติฯ ตสฺมา อตฺถิ, ภิกฺขเว, อเญฺญว ตถาคตสฺส คุณาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Ādīsu hi guṇe dhammasaddo. ‘‘Dhammaṃ, vo bhikkhave, desessāmi ādikalyāṇa’’ntiādīsu (ma. ni. 3.420) desanāyaṃ. ‘‘Idha bhikkhu dhammaṃ pariyāpuṇāti suttaṃ , geyya’’ntiādīsu (a. ni. 5.73) pariyattiyaṃ. ‘‘Tasmiṃ kho pana samaye dhammā honti, khandhā hontī’’tiādīsu (dha. sa. 121) nissatte. Idha pana guṇe vattati. Tasmā atthi, bhikkhave, aññeva tathāgatassa guṇāti evamettha attho daṭṭhabbo.

    คมฺภีราติ มหาสมุโทฺท วิย มกสตุณฺฑสูจิยา อญฺญตฺร ตถาคตา อเญฺญสํ ญาเณน อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐา, คมฺภีรตฺตาเยว ทุทฺทสาฯ ทุทฺทสตฺตาเยว ทุรนุโพธาฯ นิพฺพุตสพฺพปริฬาหตฺตา สนฺตา, สนฺตารมฺมเณสุ ปวตฺตนโตปิ สนฺตาฯ อติตฺติกรณเฎฺฐน ปณีตา, สาทุรสโภชนํ วิยฯ อุตฺตมญาณวิสยตฺตา น ตเกฺกน อวจริตพฺพาติ อตกฺกาวจราฯ นิปุณาติ สณฺหสุขุมสภาวตฺตาฯ พาลานํ อวิสยตฺตา, ปณฺฑิเตหิเยว เวทิตพฺพาติ ปณฺฑิตเวทนียาฯ

    Gambhīrāti mahāsamuddo viya makasatuṇḍasūciyā aññatra tathāgatā aññesaṃ ñāṇena alabbhaneyyapatiṭṭhā, gambhīrattāyeva duddasā. Duddasattāyeva duranubodhā. Nibbutasabbapariḷāhattā santā, santārammaṇesu pavattanatopi santā. Atittikaraṇaṭṭhena paṇītā, sādurasabhojanaṃ viya. Uttamañāṇavisayattā na takkena avacaritabbāti atakkāvacarā. Nipuṇāti saṇhasukhumasabhāvattā. Bālānaṃ avisayattā, paṇḍitehiyeva veditabbāti paṇḍitavedanīyā.

    เย ตถาคโต สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทตีติ เย ธเมฺม ตถาคโต อนญฺญเนโยฺย หุตฺวา สยเมว อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน ปจฺจกฺขํ กตฺวา ปเวเทติ, ทีเปติ, กเถติ, ปกาเสตีติ อโตฺถฯ เยหีติ เยหิ คุณธเมฺมหิฯ ยถาภุจฺจนฺติ ยถาภูตํฯ วณฺณํ สมฺมา วทมานา วเทยฺยุนฺติ ตถาคตสฺส วณฺณํ วตฺตุกามา สมฺมา วเทยฺยุํ, อหาเปตฺวา วตฺตุํ สกฺกุเณยฺยุนฺติ อโตฺถฯ กตเม จ ปน เต ธมฺมา ภควตา เอวํ โถมิตาติ? สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ยทิ เอวํ, กสฺมา พหุวจนนิเทฺทโส กโตติ? ปุถุจิตฺตสมาโยคโต เจว, ปุถุอารมฺมณโต จฯ ตญฺหิ จตูสุ ญาณสมฺปยุตฺตมหากิริยจิเตฺตสุ ลพฺภติ, น จสฺส โกจิ ธโมฺม อารมฺมณํ นาม น โหติฯ ยถาห – ‘‘อตีตํ สพฺพํ ชานาตีติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ตตฺถ อาวรณํ นตฺถีติ อนาวรณญาณ’’นฺติอาทิ (ปฎิ. ม. ๑.๑๒๐)ฯ อิติ ปุถุจิตฺตสมาโยคโต ปุนปฺปุนํ อุปฺปตฺติวเสน ปุถุอารมฺมณโต จ พหุวจนนิเทฺทโส กโตติฯ

    Ye tathāgato sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedetīti ye dhamme tathāgato anaññaneyyo hutvā sayameva abhivisiṭṭhena ñāṇena paccakkhaṃ katvā pavedeti, dīpeti, katheti, pakāsetīti attho. Yehīti yehi guṇadhammehi. Yathābhuccanti yathābhūtaṃ. Vaṇṇaṃ sammā vadamānā vadeyyunti tathāgatassa vaṇṇaṃ vattukāmā sammā vadeyyuṃ, ahāpetvā vattuṃ sakkuṇeyyunti attho. Katame ca pana te dhammā bhagavatā evaṃ thomitāti? Sabbaññutaññāṇaṃ. Yadi evaṃ, kasmā bahuvacananiddeso katoti? Puthucittasamāyogato ceva, puthuārammaṇato ca. Tañhi catūsu ñāṇasampayuttamahākiriyacittesu labbhati, na cassa koci dhammo ārammaṇaṃ nāma na hoti. Yathāha – ‘‘atītaṃ sabbaṃ jānātīti sabbaññutaññāṇaṃ, tattha āvaraṇaṃ natthīti anāvaraṇañāṇa’’ntiādi (paṭi. ma. 1.120). Iti puthucittasamāyogato punappunaṃ uppattivasena puthuārammaṇato ca bahuvacananiddeso katoti.

    ‘‘อเญฺญวา’’ติ อิทํ ปเนตฺถ ววตฺถาปนวจนํ, ‘‘อเญฺญว, น ปาณาติปาตา เวรมณิอาทโยฯ คมฺภีราว น อุตฺตานา’’ติ เอวํ สพฺพปเทหิ โยเชตพฺพํฯ สาวกปารมีญาณญฺหิ คมฺภีรํ, ปเจฺจกโพธิญาณํ ปน ตโต คมฺภีรตรนฺติ ตตฺถ ววตฺถานํ นตฺถิ, สพฺพญฺญุตญฺญาณญฺจ ตโตปิ คมฺภีรตรนฺติ ตตฺถาปิ ววตฺถานํ นตฺถิ, อิโต ปนญฺญํ คมฺภีรตรํ นตฺถิ; ตสฺมา คมฺภีรา วาติ ววตฺถานํ ลพฺภติฯ ตถา ทุทฺทสาว ทุรนุโพธา วาติ สพฺพํ เวทิตพฺพํฯ

    ‘‘Aññevā’’ti idaṃ panettha vavatthāpanavacanaṃ, ‘‘aññeva, na pāṇātipātā veramaṇiādayo. Gambhīrāva na uttānā’’ti evaṃ sabbapadehi yojetabbaṃ. Sāvakapāramīñāṇañhi gambhīraṃ, paccekabodhiñāṇaṃ pana tato gambhīrataranti tattha vavatthānaṃ natthi, sabbaññutaññāṇañca tatopi gambhīrataranti tatthāpi vavatthānaṃ natthi, ito panaññaṃ gambhīrataraṃ natthi; tasmā gambhīrā vāti vavatthānaṃ labbhati. Tathā duddasāva duranubodhā vāti sabbaṃ veditabbaṃ.

    กตเม จ เต ภิกฺขเวติ อยํ ปน เตสํ ธมฺมานํ กเถตุกมฺยตา ปุจฺฉาฯ สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณาติอาทิ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนํฯ กสฺมา ปเนตํ เอวํ อารทฺธนฺติ เจ? พุทฺธานญฺหิ จตฺตาริ ฐานานิ ปตฺวา คชฺชิตํ มหนฺตํ โหติ, ญาณํ อนุปวิสติ, พุทฺธญาณสฺส มหนฺตภาโว ปญฺญายติ, เทสนา คมฺภีรา โหติ, ติลกฺขณาหตา, สุญฺญตาปฎิสํยุตฺตาฯ กตมานิ จตฺตาริ? วินยปญฺญตฺติํ, ภูมนฺตรํ, ปจฺจยาการํ, สมยนฺตรนฺติฯ ตสฺมา – ‘‘อิทํ ลหุกํ, อิทํ ครุกํ, อิทํ สเตกิจฺฉํ, อิทํ อเตกิจฺฉํ, อยํ อาปตฺติ, อยํ อนาปตฺติ, อยํ เฉชฺชคามินี, อยํ วุฎฺฐานคามินี, อยํ เทสนาคามินี, อยํ โลกวชฺชา, อยํ ปณฺณตฺติวชฺชา, อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ อิทํ ปญฺญเปตพฺพ’’นฺติ ยํ เอวํ โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ สิกฺขาปทปญฺญาปนํ นาม, ตตฺถ อเญฺญสํ ถาโม วา พลํ วา นตฺถิ; อวิสโย เอส อเญฺญสํ, ตถาคตเสฺสว วิสโยฯ อิติ วินยปญฺญตฺติํ ปตฺวา พุทฺธานํ คชฺชิตํ มหนฺตํ โหติ, ญาณํ อนุปวิสติ…เป.… สุญฺญตาปฎิสํยุตฺตาติฯ

    Katameca te bhikkhaveti ayaṃ pana tesaṃ dhammānaṃ kathetukamyatā pucchā. Santi, bhikkhave, eke samaṇabrāhmaṇātiādi pucchāvissajjanaṃ. Kasmā panetaṃ evaṃ āraddhanti ce? Buddhānañhi cattāri ṭhānāni patvā gajjitaṃ mahantaṃ hoti, ñāṇaṃ anupavisati, buddhañāṇassa mahantabhāvo paññāyati, desanā gambhīrā hoti, tilakkhaṇāhatā, suññatāpaṭisaṃyuttā. Katamāni cattāri? Vinayapaññattiṃ, bhūmantaraṃ, paccayākāraṃ, samayantaranti. Tasmā – ‘‘idaṃ lahukaṃ, idaṃ garukaṃ, idaṃ satekicchaṃ, idaṃ atekicchaṃ, ayaṃ āpatti, ayaṃ anāpatti, ayaṃ chejjagāminī, ayaṃ vuṭṭhānagāminī, ayaṃ desanāgāminī, ayaṃ lokavajjā, ayaṃ paṇṇattivajjā, imasmiṃ vatthusmiṃ idaṃ paññapetabba’’nti yaṃ evaṃ otiṇṇe vatthusmiṃ sikkhāpadapaññāpanaṃ nāma, tattha aññesaṃ thāmo vā balaṃ vā natthi; avisayo esa aññesaṃ, tathāgatasseva visayo. Iti vinayapaññattiṃ patvā buddhānaṃ gajjitaṃ mahantaṃ hoti, ñāṇaṃ anupavisati…pe… suññatāpaṭisaṃyuttāti.

    ตถา อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา นาม…เป.… อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค นาม, ปญฺจ ขนฺธา นาม, ทฺวาทส อายตนานิ นาม, อฎฺฐารส ธาตุโย นาม, จตฺตาริ อริยสจฺจานิ นาม, พาวีสตินฺทฺริยานิ นาม, นว เหตู นาม, จตฺตาโร อาหารา นาม, สตฺต ผสฺสา นาม, สตฺต เวทนา นาม, สตฺต สญฺญา นาม, สตฺต เจตนา นาม, สตฺต จิตฺตานิ นามฯ เอเตสุ เอตฺตกา กามาวจรา ธมฺมา นาม, เอตฺตกา รูปาวจรอรูปาวจรปริยาปนฺนา ธมฺมา นาม, เอตฺตกา โลกิยา ธมฺมา นาม, เอตฺตกา โลกุตฺตรา ธมฺมา นามาติ จตุวีสติสมนฺตปฎฺฐานํ อนนฺตนยํ อภิธมฺมปิฎกํ วิภชิตฺวา กเถตุํ อเญฺญสํ ถาโม วา พลํ วา นตฺถิ, อวิสโย เอส อเญฺญสํ, ตถาคตเสฺสว วิสโยฯ อิติ ภูมนฺตรปริเจฺฉทํ ปตฺวา พุทฺธานํ คชฺชิตํ มหนฺตํ โหติ, ญาณํ อนุปวิสติ…เป.… สุญฺญตาปฎิสํยุตฺตาติฯ

    Tathā ime cattāro satipaṭṭhānā nāma…pe… ariyo aṭṭhaṅgiko maggo nāma, pañca khandhā nāma, dvādasa āyatanāni nāma, aṭṭhārasa dhātuyo nāma, cattāri ariyasaccāni nāma, bāvīsatindriyāni nāma, nava hetū nāma, cattāro āhārā nāma, satta phassā nāma, satta vedanā nāma, satta saññā nāma, satta cetanā nāma, satta cittāni nāma. Etesu ettakā kāmāvacarā dhammā nāma, ettakā rūpāvacaraarūpāvacarapariyāpannā dhammā nāma, ettakā lokiyā dhammā nāma, ettakā lokuttarā dhammā nāmāti catuvīsatisamantapaṭṭhānaṃ anantanayaṃ abhidhammapiṭakaṃ vibhajitvā kathetuṃ aññesaṃ thāmo vā balaṃ vā natthi, avisayo esa aññesaṃ, tathāgatasseva visayo. Iti bhūmantaraparicchedaṃ patvā buddhānaṃ gajjitaṃ mahantaṃ hoti, ñāṇaṃ anupavisati…pe… suññatāpaṭisaṃyuttāti.

    ตถา อยํ อวิชฺชา สงฺขารานํ นวหากาเรหิ ปจฺจโย โหติ, อุปฺปาโท หุตฺวา ปจฺจโย โหติ, ปวตฺตํ หุตฺวา, นิมิตฺตํ, อายูหนํ, สํโยโค, ปลิโพโธ, สมุทโย, เหตุ, ปจฺจโย หุตฺวา ปจฺจโย โหติ, ตถา สงฺขาราทโย วิญฺญาณาทีนํฯ ยถาห – ‘‘กถํ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา ธมฺมฎฺฐิติญาณํ? อวิชฺชา สงฺขารานํ อุปฺปาทฎฺฐิติ จ ปวตฺตฎฺฐิติ จ, นิมิตฺตฎฺฐิติ จ, อายูหนฎฺฐิติ จ, สํโยคฎฺฐิติ จ, ปลิโพธฎฺฐิติ จ, สมุทยฎฺฐิติ จ, เหตุฎฺฐิติ จ, ปจฺจยฎฺฐิติ จ, อิเมหิ นวหากาเรหิ อวิชฺชา ปจฺจโย, สงฺขารา ปจฺจยสมุปฺปนฺนา, อุโภเปเต ธมฺมา ปจฺจยสมุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา ธมฺมฎฺฐิติญาณํฯ อตีตมฺปิ อทฺธานํ, อนาคตมฺปิ อทฺธานํ อวิชฺชา สงฺขารานํ อุปฺปาทฎฺฐิติ จ…เป.… ชาติ ชรามรณสฺส อุปฺปาทฎฺฐิติ จ…เป.… ปจฺจยฎฺฐิติ จ, อิเมหิ นวหากาเรหิ ชาติ ปจฺจโย, ชรามรณํ ปจฺจยสมุปฺปนฺนํ, อุโภเปเต ธมฺมา ปจฺจยสมุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา ธมฺมฎฺฐิติญาณ’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๔๕)ฯ เอวมิมํ ตสฺส ตสฺส ธมฺมสฺส ตถา ตถา ปจฺจยภาเวน ปวตฺตํ ติวฎฺฎํ ติยทฺธํ ติสนฺธิํ จตุสเงฺขปํ วีสตาการํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ วิภชิตฺวา กเถตุํ อเญฺญสํ ถาโม วา พลํ วา นตฺถิ, อวิสโย เอส อเญฺญสํ, ตถาคตเสฺสว วิสโย, อิติ ปจฺจยาการํ ปตฺวา พุทฺธานํ คชฺชิตํ มหนฺตํ โหติ, ญาณํ อนุปวิสติ…เป.… สุญฺญตาปฎิสํยุตฺตาติฯ

    Tathā ayaṃ avijjā saṅkhārānaṃ navahākārehi paccayo hoti, uppādo hutvā paccayo hoti, pavattaṃ hutvā, nimittaṃ, āyūhanaṃ, saṃyogo, palibodho, samudayo, hetu, paccayo hutvā paccayo hoti, tathā saṅkhārādayo viññāṇādīnaṃ. Yathāha – ‘‘kathaṃ paccayapariggahe paññā dhammaṭṭhitiñāṇaṃ? Avijjā saṅkhārānaṃ uppādaṭṭhiti ca pavattaṭṭhiti ca, nimittaṭṭhiti ca, āyūhanaṭṭhiti ca, saṃyogaṭṭhiti ca, palibodhaṭṭhiti ca, samudayaṭṭhiti ca, hetuṭṭhiti ca, paccayaṭṭhiti ca, imehi navahākārehi avijjā paccayo, saṅkhārā paccayasamuppannā, ubhopete dhammā paccayasamuppannāti paccayapariggahe paññā dhammaṭṭhitiñāṇaṃ. Atītampi addhānaṃ, anāgatampi addhānaṃ avijjā saṅkhārānaṃ uppādaṭṭhiti ca…pe… jāti jarāmaraṇassa uppādaṭṭhiti ca…pe… paccayaṭṭhiti ca, imehi navahākārehi jāti paccayo, jarāmaraṇaṃ paccayasamuppannaṃ, ubhopete dhammā paccayasamuppannāti paccayapariggahe paññā dhammaṭṭhitiñāṇa’’nti (paṭi. ma. 1.45). Evamimaṃ tassa tassa dhammassa tathā tathā paccayabhāvena pavattaṃ tivaṭṭaṃ tiyaddhaṃ tisandhiṃ catusaṅkhepaṃ vīsatākāraṃ paṭiccasamuppādaṃ vibhajitvā kathetuṃ aññesaṃ thāmo vā balaṃ vā natthi, avisayo esa aññesaṃ, tathāgatasseva visayo, iti paccayākāraṃ patvā buddhānaṃ gajjitaṃ mahantaṃ hoti, ñāṇaṃ anupavisati…pe… suññatāpaṭisaṃyuttāti.

    ตถา จตฺตาโร ชนา สสฺสตวาทา นาม, จตฺตาโร เอกจฺจสสฺสตวาทา, จตฺตาโร อนฺตานนฺติกา, จตฺตาโร อมราวิเกฺขปิกา, เทฺว อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา, โสฬส สญฺญีวาทา, อฎฺฐ อสญฺญีวาทา, อฎฺฐ เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา, สตฺต อุเจฺฉทวาทา, ปญฺจ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา นามฯ เต อิทํ นิสฺสาย อิทํ คณฺหนฺตีติ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิ ภินฺทิตฺวา นิชฺชฎํ นิคฺคุมฺพํ กตฺวา กเถตุํ อเญฺญสํ ถาโม วา พลํ วา นตฺถิ, อวิสโย เอส อเญฺญสํ, ตถาคตเสฺสว วิสโยฯ อิติ สมยนฺตรํ ปตฺวา พุทฺธานํ คชฺชิตํ มหนฺตํ โหติ, ญาณํ อนุปวิสติ, พุทฺธญาณสฺส มหนฺตตา ปญฺญายติ, เทสนา คมฺภีรา โหติ, ติลกฺขณาหตา, สุญฺญตาปฎิสํยุตฺตาติฯ

    Tathā cattāro janā sassatavādā nāma, cattāro ekaccasassatavādā, cattāro antānantikā, cattāro amarāvikkhepikā, dve adhiccasamuppannikā, soḷasa saññīvādā, aṭṭha asaññīvādā, aṭṭha nevasaññīnāsaññīvādā, satta ucchedavādā, pañca diṭṭhadhammanibbānavādā nāma. Te idaṃ nissāya idaṃ gaṇhantīti dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni bhinditvā nijjaṭaṃ niggumbaṃ katvā kathetuṃ aññesaṃ thāmo vā balaṃ vā natthi, avisayo esa aññesaṃ, tathāgatasseva visayo. Iti samayantaraṃ patvā buddhānaṃ gajjitaṃ mahantaṃ hoti, ñāṇaṃ anupavisati, buddhañāṇassa mahantatā paññāyati, desanā gambhīrā hoti, tilakkhaṇāhatā, suññatāpaṭisaṃyuttāti.

    อิมสฺมิํ ปน ฐาเน สมยนฺตรํ ลพฺภติ, ตสฺมา สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส มหนฺตภาวทสฺสนตฺถํ เทสนาย จ สุญฺญตาปกาสนวิภาวนตฺถํ สมยนฺตรํ อนุปวิสโนฺต ธมฺมราชา – ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา’’ติ เอวํ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนํ อารภิฯ

    Imasmiṃ pana ṭhāne samayantaraṃ labbhati, tasmā sabbaññutaññāṇassa mahantabhāvadassanatthaṃ desanāya ca suññatāpakāsanavibhāvanatthaṃ samayantaraṃ anupavisanto dhammarājā – ‘‘santi, bhikkhave, eke samaṇabrāhmaṇā’’ti evaṃ pucchāvissajjanaṃ ārabhi.

    ๒๙. ตตฺถ สนฺตีติ อตฺถิ สํวิชฺชนฺติ อุปลพฺภนฺติฯ ภิกฺขเวติ อาลปนวจนํฯ เอเกติ เอกเจฺจฯ สมณพฺราหฺมณาติ ปพฺพชฺชูปคตภาเวน สมณา, ชาติยา พฺราหฺมณาฯ โลเกน วา สมณาติ จ พฺราหฺมณาติ จ เอวํ สมฺมตาฯ ปุพฺพนฺตํ กเปฺปตฺวา วิกเปฺปตฺวา คณฺหนฺตีติ ปุพฺพนฺตกปฺปิกาฯ ปุพฺพนฺตกโปฺป วา เอเตสํ อตฺถีติ ปุพฺพนฺตกปฺปิกาฯ ตตฺถ อโนฺตติ อยํ สโทฺท อนฺตอพฺภนฺตรมริยาทลามกปรภาคโกฎฺฐาเสสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อนฺตปูโร อุทรปูโร’’ติอาทีสุ หิ อเนฺต อนฺตสโทฺทฯ ‘‘จรนฺติ โลเก ปริวารฉนฺนา อโนฺต อสุทฺธา พหิ โสภมานา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๒๒) อพฺภนฺตเรฯ ‘‘กายพนฺธนสฺส อโนฺต ชีรติ (จูฬว. ๒๗๘)ฯ ‘‘สา หริตนฺตํ วา ปนฺถนฺตํ วา เสลนฺตํ วา อุทกนฺตํ วา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๐๔) มริยาทายํฯ ‘‘อนฺตมิทํ, ภิกฺขเว, ชีวิกานํ ยทิทํ ปิโณฺฑลฺย’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๘๐) ลามเกฯ ‘‘เอเสวโนฺต ทุกฺขสฺสา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๕๑) ปรภาเคฯ สพฺพปจฺจยสงฺขโย หิ ทุกฺขสฺส ปรภาโค โกฎีติ วุจฺจติฯ ‘‘สกฺกาโย โข, อาวุโส, เอโก อโนฺต’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๖.๖๑) โกฎฺฐาเสฯ สฺวายํ อิธาปิ โกฎฺฐาเส วตฺตติฯ

    29. Tattha santīti atthi saṃvijjanti upalabbhanti. Bhikkhaveti ālapanavacanaṃ. Eketi ekacce. Samaṇabrāhmaṇāti pabbajjūpagatabhāvena samaṇā, jātiyā brāhmaṇā. Lokena vā samaṇāti ca brāhmaṇāti ca evaṃ sammatā. Pubbantaṃ kappetvā vikappetvā gaṇhantīti pubbantakappikā. Pubbantakappo vā etesaṃ atthīti pubbantakappikā. Tattha antoti ayaṃ saddo antaabbhantaramariyādalāmakaparabhāgakoṭṭhāsesu dissati. ‘‘Antapūro udarapūro’’tiādīsu hi ante antasaddo. ‘‘Caranti loke parivārachannā anto asuddhā bahi sobhamānā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.122) abbhantare. ‘‘Kāyabandhanassa anto jīrati (cūḷava. 278). ‘‘Sā haritantaṃ vā panthantaṃ vā selantaṃ vā udakantaṃ vā’’tiādīsu (ma. ni. 1.304) mariyādāyaṃ. ‘‘Antamidaṃ, bhikkhave, jīvikānaṃ yadidaṃ piṇḍolya’’ntiādīsu (saṃ. ni. 3.80) lāmake. ‘‘Esevanto dukkhassā’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.51) parabhāge. Sabbapaccayasaṅkhayo hi dukkhassa parabhāgo koṭīti vuccati. ‘‘Sakkāyo kho, āvuso, eko anto’’tiādīsu (a. ni. 6.61) koṭṭhāse. Svāyaṃ idhāpi koṭṭhāse vattati.

    กปฺปสโทฺทปิ – ‘‘ติฎฺฐตุ, ภเนฺต ภควา กปฺปํ’’ (ที. นิ. ๒.๑๖๗), ‘‘อตฺถิ กโปฺป นิปชฺชิตุํ’’ (อ. นิ. ๘.๘๐), ‘‘กปฺปกเตน อกปฺปกตํ สํสิพฺพิตํ โหตี’’ติ, (ปาจิ. ๓๗๑) เอวํ อายุกปฺปเลสกปฺปวินยกปฺปาทีสุ สมฺพหุเลสุ อเตฺถสุ วตฺตติฯ อิธ ตณฺหาทิฎฺฐีสุ วตฺตตีติ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘กปฺปาติ เทฺว กปฺปา, ตณฺหากโปฺป จ ทิฎฺฐิกโปฺป จา’’ติ (มหานิ. ๒๘)ฯ ตสฺมา ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน อตีตํ ขนฺธโกฎฺฐาสํ กเปฺปตฺวา ปกเปฺปตฺวา ฐิตาติ ปุพฺพนฺตกปฺปิกาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เตสํ เอวํ ปุพฺพนฺตํ กเปฺปตฺวา ฐิตานํ ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชนวเสน ปุพฺพนฺตเมว อนุคตา ทิฎฺฐีติ ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐิโนฯ เต เอวํทิฎฺฐิโน ตํ ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อาคมฺม ปฎิจฺจ อญฺญมฺปิ ชนํ ทิฎฺฐิคติกํ กโรนฺตา อเนกวิหิตานิ อธิมุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ อฎฺฐารสหิ วตฺถูหิฯ

    Kappasaddopi – ‘‘tiṭṭhatu, bhante bhagavā kappaṃ’’ (dī. ni. 2.167), ‘‘atthi kappo nipajjituṃ’’ (a. ni. 8.80), ‘‘kappakatena akappakataṃ saṃsibbitaṃ hotī’’ti, (pāci. 371) evaṃ āyukappalesakappavinayakappādīsu sambahulesu atthesu vattati. Idha taṇhādiṭṭhīsu vattatīti veditabbo. Vuttampi cetaṃ – ‘‘kappāti dve kappā, taṇhākappo ca diṭṭhikappo cā’’ti (mahāni. 28). Tasmā taṇhādiṭṭhivasena atītaṃ khandhakoṭṭhāsaṃ kappetvā pakappetvā ṭhitāti pubbantakappikāti evamettha attho veditabbo. Tesaṃ evaṃ pubbantaṃ kappetvā ṭhitānaṃ punappunaṃ uppajjanavasena pubbantameva anugatā diṭṭhīti pubbantānudiṭṭhino. Te evaṃdiṭṭhino taṃ pubbantaṃ ārabbha āgamma paṭicca aññampi janaṃ diṭṭhigatikaṃ karontā anekavihitāni adhimuttipadāni abhivadanti aṭṭhārasahi vatthūhi.

    ตตฺถ อเนกวิหิตานีติ อเนกวิธานิฯ อธิมุตฺติปทานีติ อธิวจนปทานิฯ อถ วา ภูตํ อตฺถํ อภิภวิตฺวา ยถาสภาวโต อคฺคเหตฺวา ปวตฺตนโต อธิมุตฺติโยติ ทิฎฺฐิโย วุจฺจนฺติฯ อธิมุตฺตีนํ ปทานิ อธิมุตฺติปทานิ, ทิฎฺฐิทีปกานิ วจนานีติ อโตฺถฯ อฎฺฐารสหิ วตฺถูหีติ อฎฺฐารสหิ การเณหิฯ

    Tattha anekavihitānīti anekavidhāni. Adhimuttipadānīti adhivacanapadāni. Atha vā bhūtaṃ atthaṃ abhibhavitvā yathāsabhāvato aggahetvā pavattanato adhimuttiyoti diṭṭhiyo vuccanti. Adhimuttīnaṃ padāni adhimuttipadāni, diṭṭhidīpakāni vacanānīti attho. Aṭṭhārasahi vatthūhīti aṭṭhārasahi kāraṇehi.

    ๓๐. อิทานิ เยหิ อฎฺฐารสหิ วตฺถูหิ อภิวทนฺติ, เตสํ กเถตุกมฺยตาย ปุจฺฉาย ‘‘เต จ โข โภโนฺต’’ติอาทินา นเยน ปุจฺฉิตฺวา ตานิ วตฺถูนิ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ วทนฺติ เอเตนาติ วาโท, ทิฎฺฐิคตเสฺสตํ อธิวจนํฯ สสฺสโต วาโท เอเตสนฺติ สสฺสตวาทา, สสฺสตทิฎฺฐิโนติ อโตฺถฯ เอเตเนว นเยน อิโต ปเรสมฺปิ เอวรูปานํ ปทานํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจาติ รูปาทีสุ อญฺญตรํ อตฺตาติ จ โลโกติ จ คเหตฺวา ตํ สสฺสตํ อมรํ นิจฺจํ ธุวํ ปญฺญเปนฺติฯ ยถาห – ‘‘รูปํ อตฺตา เจว โลโก จ สสฺสโต จาติ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ ตถา เวทนํ, สญฺญํ, สงฺขาเร, วิญฺญาณํ อตฺตา เจว โลโก จ สสฺสโต จาติ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺตี’’ติฯ

    30. Idāni yehi aṭṭhārasahi vatthūhi abhivadanti, tesaṃ kathetukamyatāya pucchāya ‘‘te ca kho bhonto’’tiādinā nayena pucchitvā tāni vatthūni vibhajitvā dassetuṃ ‘‘santi, bhikkhave’’tiādimāha. Tattha vadanti etenāti vādo, diṭṭhigatassetaṃ adhivacanaṃ. Sassato vādo etesanti sassatavādā, sassatadiṭṭhinoti attho. Eteneva nayena ito paresampi evarūpānaṃ padānaṃ attho veditabbo. Sassataṃ attānañca lokañcāti rūpādīsu aññataraṃ attāti ca lokoti ca gahetvā taṃ sassataṃ amaraṃ niccaṃ dhuvaṃ paññapenti. Yathāha – ‘‘rūpaṃ attā ceva loko ca sassato cāti attānañca lokañca paññapenti tathā vedanaṃ, saññaṃ, saṅkhāre, viññāṇaṃ attā ceva loko ca sassato cāti attānañca lokañca paññapentī’’ti.

    ๓๑. อาตปฺปมนฺวายาติอาทีสุ วีริยํ กิเลสานํ อาตาปนภาเวน อาตปฺปนฺติ วุตฺตํฯ ตเทว ปทหนวเสน ปธานํฯ ปุนปฺปุนํ ยุตฺตวเสน อนุโยโคติฯ เอวํ ติปฺปเภทํ วีริยํ อนฺวาย อาคมฺม ปฎิจฺจาติ อโตฺถฯ อปฺปมาโท วุจฺจติ สติยา อวิปฺปวาโสฯ สมฺมา มนสิกาโรติ อุปายมนสิกาโร, ปถมนสิกาโร, อตฺถโต ญาณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยสฺมิญฺหิ มนสิกาเร ฐิตสฺส ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติ ญาณํ อิชฺฌติ, อยํ อิมสฺมิํ ฐาเน มนสิกาโรติ อธิเปฺปโตฯ ตสฺมา วีริยญฺจ สติญฺจ ญาณญฺจ อาคมฺมาติ อยเมตฺถ สเงฺขปโตฺถฯ ตถารูปนฺติ ตถาชาติกํฯ เจโตสมาธินฺติ จิตฺตสมาธิํฯ ผุสตีติ วินฺทติ ปฎิลภติฯ ยถา สมาหิเต จิเตฺตติ เยน สมาธินา สมฺมา อาหิเต สุฎฺฐุ ฐปิเต จิตฺตมฺหิ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสนฺติอาทีนํ อโตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตฯ

    31.Ātappamanvāyātiādīsu vīriyaṃ kilesānaṃ ātāpanabhāvena ātappanti vuttaṃ. Tadeva padahanavasena padhānaṃ. Punappunaṃ yuttavasena anuyogoti. Evaṃ tippabhedaṃ vīriyaṃ anvāya āgamma paṭiccāti attho. Appamādo vuccati satiyā avippavāso. Sammā manasikāroti upāyamanasikāro, pathamanasikāro, atthato ñāṇanti vuttaṃ hoti. Yasmiñhi manasikāre ṭhitassa pubbenivāsānussati ñāṇaṃ ijjhati, ayaṃ imasmiṃ ṭhāne manasikāroti adhippeto. Tasmā vīriyañca satiñca ñāṇañca āgammāti ayamettha saṅkhepattho. Tathārūpanti tathājātikaṃ. Cetosamādhinti cittasamādhiṃ. Phusatīti vindati paṭilabhati. Yathā samāhite citteti yena samādhinā sammā āhite suṭṭhu ṭhapite cittamhi anekavihitaṃpubbenivāsantiādīnaṃ attho visuddhimagge vutto.

    โส เอวมาหาติ โส เอวํ ฌานานุภาวสมฺปโนฺน หุตฺวา ทิฎฺฐิคติโก เอวํ วทติฯ วโญฺฌติ วญฺฌปสุวญฺฌตาลาทโย วิย อผโล กสฺสจิ อชนโกติฯ เอเตน ‘‘อตฺตา’’ติ จ ‘‘โลโก’’ติ จ คหิตานํ ฌานาทีนํ รูปาทิชนกภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ ปพฺพตกูฎํ วิย ฐิโตติ กูฎโฎฺฐฯ เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิโตติ เอสิกฎฺฐายี วิย หุตฺวา ฐิโตติ เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิโตฯ ยถา สุนิขาโต เอสิกตฺถโมฺภ นิจฺจโล ติฎฺฐติ, เอวํ ฐิโตติ อโตฺถฯ อุภเยนปิ โลกสฺส วินาสาภาวํ ทีเปติฯ เกจิ ปน อีสิกฎฺฐายิฎฺฐิโตติ ปาฬิํ วตฺวา มุเญฺช อีสิกา วิย ฐิโตติ วทนฺติ ฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – ยทิทํ ชายตีติ วุจฺจติ, ตํ มุญฺชโต อีสิกา วิย วิชฺชมานเมว นิกฺขมติฯ ยสฺมา จ อีสิกฎฺฐายิฎฺฐิโต, ตสฺมา เตว สตฺตา สนฺธาวนฺติ, อิโต อญฺญตฺถ คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ

    So evamāhāti so evaṃ jhānānubhāvasampanno hutvā diṭṭhigatiko evaṃ vadati. Vañjhoti vañjhapasuvañjhatālādayo viya aphalo kassaci ajanakoti. Etena ‘‘attā’’ti ca ‘‘loko’’ti ca gahitānaṃ jhānādīnaṃ rūpādijanakabhāvaṃ paṭikkhipati. Pabbatakūṭaṃ viya ṭhitoti kūṭaṭṭho. Esikaṭṭhāyiṭṭhitoti esikaṭṭhāyī viya hutvā ṭhitoti esikaṭṭhāyiṭṭhito. Yathā sunikhāto esikatthambho niccalo tiṭṭhati, evaṃ ṭhitoti attho. Ubhayenapi lokassa vināsābhāvaṃ dīpeti. Keci pana īsikaṭṭhāyiṭṭhitoti pāḷiṃ vatvā muñje īsikā viya ṭhitoti vadanti . Tatrāyamadhippāyo – yadidaṃ jāyatīti vuccati, taṃ muñjato īsikā viya vijjamānameva nikkhamati. Yasmā ca īsikaṭṭhāyiṭṭhito, tasmā teva sattā sandhāvanti, ito aññattha gacchantīti attho.

    สํสรนฺตีติ อปราปรํ สญฺจรนฺติฯ จวนฺตีติ เอวํ สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ ตถา อุปปชฺชนฺตีติฯ อฎฺฐกถายํ ปน ปุเพฺพ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ วตฺวา อิทานิ เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺตีติอาทินา วจเนน อยํ ทิฎฺฐิคติโก อตฺตนาเยว อตฺตโน วาทํ ภินฺทติ, ทิฎฺฐิคติกสฺส ทสฺสนํ นาม น นิพทฺธํ, ถุสราสิมฺหิ นิขาตขาณุ วิย จญฺจลํ, อุมฺมตฺตกปจฺฉิยํ ปูวขณฺฑคูถโคมยาทีนิ วิย เจตฺถ สุนฺทรมฺปิ อสุนฺทรมฺปิ โหติ เยวาติ วุตฺตํฯ อตฺถิเตฺวว สสฺสติสมนฺติ เอตฺถ สสฺสตีติ นิจฺจํ วิชฺชมานตาย มหาปถวิํว มญฺญติ, ตถา สิเนรุปพฺพตจนฺทิมสูริเยฯ ตโต เตหิ สมํ อตฺตานํ มญฺญมานา อตฺถิ เตฺวว สสฺสติสมนฺติ วทนฺติฯ

    Saṃsarantīti aparāparaṃ sañcaranti. Cavantīti evaṃ saṅkhyaṃ gacchanti. Tathā upapajjantīti. Aṭṭhakathāyaṃ pana pubbe ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti vatvā idāni te ca sattā sandhāvantītiādinā vacanena ayaṃ diṭṭhigatiko attanāyeva attano vādaṃ bhindati, diṭṭhigatikassa dassanaṃ nāma na nibaddhaṃ, thusarāsimhi nikhātakhāṇu viya cañcalaṃ, ummattakapacchiyaṃ pūvakhaṇḍagūthagomayādīni viya cettha sundarampi asundarampi hoti yevāti vuttaṃ. Atthitveva sassatisamanti ettha sassatīti niccaṃ vijjamānatāya mahāpathaviṃva maññati, tathā sinerupabbatacandimasūriye. Tato tehi samaṃ attānaṃ maññamānā atthi tveva sassatisamanti vadanti.

    อิทานิ สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จาติอาทิกาย ปฎิญฺญาย สาธนตฺถํ เหตุํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ? อหญฺหิ อาตปฺปมนฺวายา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิมินามหํ เอตํ ชานามีติ อิมินา วิเสสาธิคเมน อหํ เอตํ ปจฺจกฺขโต ชานามิ, น เกวลํ สทฺธามตฺตเกเนว วทามีติ ทเสฺสติ, มกาโร ปเนตฺถ ปทสนฺธิกรณตฺถํ วุโตฺตฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปฐมํ ฐานนฺติ จตูหิ วตฺถูหีติ วตฺถุสเทฺทน วุเตฺตสุ จตูสุ ฐาเนสุ อิทํ ปฐมํ ฐานํ, อิทํ ชาติสตสหสฺสมตฺตานุสฺสรณํ ปฐมํ การณนฺติ อโตฺถฯ

    Idāni sassato attā ca loko cātiādikāya paṭiññāya sādhanatthaṃ hetuṃ dassento ‘‘taṃ kissa hetu? Ahañhi ātappamanvāyā’’tiādimāha. Tattha imināmahaṃ etaṃ jānāmīti iminā visesādhigamena ahaṃ etaṃ paccakkhato jānāmi, na kevalaṃ saddhāmattakeneva vadāmīti dasseti, makāro panettha padasandhikaraṇatthaṃ vutto. Idaṃ, bhikkhave, paṭhamaṃ ṭhānanti catūhi vatthūhīti vatthusaddena vuttesu catūsu ṭhānesu idaṃ paṭhamaṃ ṭhānaṃ, idaṃ jātisatasahassamattānussaraṇaṃ paṭhamaṃ kāraṇanti attho.

    ๓๒-๓๓. อุปริ วารทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ เกวลญฺหิ อยํ วาโร อเนกชาติสตสหสฺสานุสฺสรณวเสน วุโตฺตฯ อิตเร ทสจตฺตาลีสสํวฎฺฎวิวฎฺฎกปฺปานุสฺสรณวเสนฯ มนฺทปโญฺญ หิ ติตฺถิโย อเนกชาติสตสหสฺสมตฺตํ อนุสฺสรติ, มชฺฌิมปโญฺญ ทสสํวฎฺฎวิวฎฺฎกปฺปานิ, ติกฺขปโญฺญ จตฺตาลีสํ, น ตโต อุทฺธํฯ

    32-33. Upari vāradvayepi eseva nayo. Kevalañhi ayaṃ vāro anekajātisatasahassānussaraṇavasena vutto. Itare dasacattālīsasaṃvaṭṭavivaṭṭakappānussaraṇavasena. Mandapañño hi titthiyo anekajātisatasahassamattaṃ anussarati, majjhimapañño dasasaṃvaṭṭavivaṭṭakappāni, tikkhapañño cattālīsaṃ, na tato uddhaṃ.

    ๓๔. จตุตฺถวาเร ตกฺกยตีติ ตกฺกี, ตโกฺก วา อสฺส อตฺถีติ ตกฺกีฯ ตเกฺกตฺวา วิตเกฺกตฺวา ทิฎฺฐิคาหิโน เอตํ อธิวจนํฯ วีมํสาย สมนฺนาคโตติ วีมํสีฯ วีมํสา นาม ตุลนา รุจฺจนา ขมนาฯ ยถา หิ ปุริโส ยฎฺฐิยา อุทกํ วีมํสิตฺวา โอตรติ, เอวเมว โย ตุลยิตฺวา รุจฺจิตฺวา ขมาเปตฺวา ทิฎฺฐิํ คณฺหาติ, โส ‘‘วีมํสี’’ติ เวทิตโพฺพฯ ตกฺกปริยาหตนฺติ ตเกฺกน ปริยาหตํ, เตน เตน ปริยาเยน ตเกฺกตฺวาติ อโตฺถฯ วีมํสานุจริตนฺติ ตาย วุตฺตปฺปการาย วีมํสาย อนุจริตํฯ สยํปฎิภานนฺติ อตฺตโน ปฎิภานมตฺตสญฺชาตํฯ เอวมาหาติ สสฺสตทิฎฺฐิํ คเหตฺวา เอวํ วทติฯ

    34. Catutthavāre takkayatīti takkī, takko vā assa atthīti takkī. Takketvā vitakketvā diṭṭhigāhino etaṃ adhivacanaṃ. Vīmaṃsāya samannāgatoti vīmaṃsī. Vīmaṃsā nāma tulanā ruccanā khamanā. Yathā hi puriso yaṭṭhiyā udakaṃ vīmaṃsitvā otarati, evameva yo tulayitvā ruccitvā khamāpetvā diṭṭhiṃ gaṇhāti, so ‘‘vīmaṃsī’’ti veditabbo. Takkapariyāhatanti takkena pariyāhataṃ, tena tena pariyāyena takketvāti attho. Vīmaṃsānucaritanti tāya vuttappakārāya vīmaṃsāya anucaritaṃ. Sayaṃpaṭibhānanti attano paṭibhānamattasañjātaṃ. Evamāhāti sassatadiṭṭhiṃ gahetvā evaṃ vadati.

    ตตฺถ จตุพฺพิโธ ตกฺกี – อนุสฺสุติโก, ชาติสฺสโร, ลาภี, สุทฺธตกฺกิโกติฯ ตตฺถ โย ‘‘เวสฺสนฺตโร นาม ราชา อโหสี’’ติอาทีนิ สุตฺวา ‘‘เตน หิ ยทิ เวสฺสนฺตโรว ภควา, สสฺสโต อตฺตา’’ติ ตกฺกยโนฺต ทิฎฺฐิํ คณฺหาติ, อยํ อนุสฺสุติโก นามฯ เทฺว ติโสฺส ชาติโย สริตฺวา – ‘‘อหเมว ปุเพฺพ อสุกสฺมิํ นาม อโหสิํ, ตสฺมา สสฺสโต อตฺตา’’ติ ตกฺกยโนฺต ชาติสฺสรตกฺกิโก นามฯ โย ปน ลาภิตาย ‘‘ยถา เม อิทานิ อตฺตา สุขี โหติ, อตีเตปิ เอวํ อโหสิ, อนาคเตปิ ภวิสฺสตี’’ติ ตกฺกยิตฺวา ทิฎฺฐิํ คณฺหาติ, อยํ ลาภีตกฺกิโก นามฯ ‘‘เอวํ สติ อิทํ โหตี’’ติ ตกฺกมเตฺตเนว คณฺหโนฺต ปน สุทฺธตกฺกิโก นามฯ

    Tattha catubbidho takkī – anussutiko, jātissaro, lābhī, suddhatakkikoti. Tattha yo ‘‘vessantaro nāma rājā ahosī’’tiādīni sutvā ‘‘tena hi yadi vessantarova bhagavā, sassato attā’’ti takkayanto diṭṭhiṃ gaṇhāti, ayaṃ anussutiko nāma. Dve tisso jātiyo saritvā – ‘‘ahameva pubbe asukasmiṃ nāma ahosiṃ, tasmā sassato attā’’ti takkayanto jātissaratakkiko nāma. Yo pana lābhitāya ‘‘yathā me idāni attā sukhī hoti, atītepi evaṃ ahosi, anāgatepi bhavissatī’’ti takkayitvā diṭṭhiṃ gaṇhāti, ayaṃ lābhītakkiko nāma. ‘‘Evaṃ sati idaṃ hotī’’ti takkamatteneva gaṇhanto pana suddhatakkiko nāma.

    ๓๕. เอเตสํ วา อญฺญตเรนาติ เอเตสํเยว จตุนฺนํ วตฺถูนํ อญฺญตเรน เอเกน วา ทฺวีหิ วา ตีหิ วาฯ นตฺถิ อิโต พหิทฺธาติ อิเมหิ ปน วตฺถูหิ พหิ อญฺญํ เอกํ การณมฺปิ สสฺสตปญฺญตฺติยา นตฺถีติ อปฺปฎิวตฺติยํ สีหนาทํ นทติฯ

    35.Etesaṃ vā aññatarenāti etesaṃyeva catunnaṃ vatthūnaṃ aññatarena ekena vā dvīhi vā tīhi vā. Natthi ito bahiddhāti imehi pana vatthūhi bahi aññaṃ ekaṃ kāraṇampi sassatapaññattiyā natthīti appaṭivattiyaṃ sīhanādaṃ nadati.

    ๓๖. ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปชานาตีติ ภิกฺขเว, ตํ อิทํ จตุพฺพิธมฺปิ ทิฎฺฐิคตํ ตถาคโต นานปฺปการโต ชานาติฯ ตโต ตํ ปชานนาการํ ทเสฺสโนฺต อิเม ทิฎฺฐิฎฺฐานาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทิฎฺฐิโยว ทิฎฺฐิฎฺฐานา นามฯ อปิ จ ทิฎฺฐีนํ การณมฺปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานเมวฯ ยถาห ‘‘กตมานิ อฎฺฐ ทิฎฺฐิฎฺฐานานิ? ขนฺธาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ, อวิชฺชาปิ, ผโสฺสปิ , สญฺญาปิ, วิตโกฺกปิ, อโยนิโสมนสิกาโรปิ, ปาปมิโตฺตปิ, ปรโตโฆโสปิ ทิฎฺฐิฎฺฐาน’’นฺติฯ ‘‘ขนฺธา เหตุ, ขนฺธา ปจฺจโย ทิฎฺฐิฎฺฐานํ อุปาทาย สมุฎฺฐานเฎฺฐน, เอวํ ขนฺธาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ อวิชฺชา เหตุ…เป.… ปาปมิโตฺต เหตุฯ ปรโตโฆโส เหตุ, ปรโตโฆโส ปจฺจโย ทิฎฺฐิฎฺฐานํ อุปาทาย สมุฎฺฐานเฎฺฐน, เอวํ ปรโตโฆโสปิ ทิฎฺฐิฎฺฐาน’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๒๔)ฯ เอวํคหิตาติ ทิฎฺฐิสงฺขาตา ตาว ทิฎฺฐิฎฺฐานา – ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ เอวํคหิตา อาทินฺนา, ปวตฺติตาติ อโตฺถฯ เอวํปรามฎฺฐาติ นิราสงฺกจิตฺตตาย ปุนปฺปุนํ อามฎฺฐา ปรามฎฺฐา, ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญ’นฺติ ปรินิฎฺฐาปิตา ฯ การณสงฺขาตา ปน ทิฎฺฐิฎฺฐานา ยถา คยฺหมานา ทิฎฺฐิโย สมุฎฺฐาเปนฺติ, เอวํ อารมฺมณวเสน จ ปวตฺตนวเสน จ อาเสวนวเสน จ คหิตาฯ อนาทีนวทสฺสิตาย ปุนปฺปุนํ คหณวเสน ปรามฎฺฐาฯ เอวํคติกาติ เอวํ นิรยติรจฺฉานเปตฺติวิสยคติกานํ อญฺญตรคติกาฯ เอวํ อภิสมฺปรายาติ อิทํ ปุริมปทเสฺสว เววจนํ, เอวํวิธปรโลกาติ วุตฺตํ โหติฯ

    36.Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato pajānātīti bhikkhave, taṃ idaṃ catubbidhampi diṭṭhigataṃ tathāgato nānappakārato jānāti. Tato taṃ pajānanākāraṃ dassento ime diṭṭhiṭṭhānātiādimāha. Tattha diṭṭhiyova diṭṭhiṭṭhānā nāma. Api ca diṭṭhīnaṃ kāraṇampi diṭṭhiṭṭhānameva. Yathāha ‘‘katamāni aṭṭha diṭṭhiṭṭhānāni? Khandhāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ, avijjāpi, phassopi , saññāpi, vitakkopi, ayonisomanasikāropi, pāpamittopi, paratoghosopi diṭṭhiṭṭhāna’’nti. ‘‘Khandhā hetu, khandhā paccayo diṭṭhiṭṭhānaṃ upādāya samuṭṭhānaṭṭhena, evaṃ khandhāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Avijjā hetu…pe… pāpamitto hetu. Paratoghoso hetu, paratoghoso paccayo diṭṭhiṭṭhānaṃ upādāya samuṭṭhānaṭṭhena, evaṃ paratoghosopi diṭṭhiṭṭhāna’’nti (paṭi. ma. 1.124). Evaṃgahitāti diṭṭhisaṅkhātā tāva diṭṭhiṭṭhānā – ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti evaṃgahitā ādinnā, pavattitāti attho. Evaṃparāmaṭṭhāti nirāsaṅkacittatāya punappunaṃ āmaṭṭhā parāmaṭṭhā, ‘idameva saccaṃ, moghamañña’nti pariniṭṭhāpitā . Kāraṇasaṅkhātā pana diṭṭhiṭṭhānā yathā gayhamānā diṭṭhiyo samuṭṭhāpenti, evaṃ ārammaṇavasena ca pavattanavasena ca āsevanavasena ca gahitā. Anādīnavadassitāya punappunaṃ gahaṇavasena parāmaṭṭhā. Evaṃgatikāti evaṃ nirayatiracchānapettivisayagatikānaṃ aññataragatikā. Evaṃ abhisamparāyāti idaṃ purimapadasseva vevacanaṃ, evaṃvidhaparalokāti vuttaṃ hoti.

    ตญฺจ ตถาคโต ปชานาตีติ น เกวลญฺจ ตถาคโต สการณํ สคติกํ ทิฎฺฐิคตเมว ปชานาติ, อถ โข ตญฺจ สพฺพํ ปชานาติ, ตโต จ อุตฺตริตรํ สีลเญฺจว สมาธิญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณญฺจ ปชานาติฯ ตญฺจ ปชานนํ น ปรามสตีติ ตญฺจ เอวํวิธํ อนุตฺตรํ วิเสสํ ปชานโนฺตปิ อหํ ปชานามีติ ตณฺหาทิฎฺฐิมานปรามาสวเสน ตญฺจ น ปรามสติฯ อปรามสโต จสฺส ปจฺจตฺตเญฺญว นิพฺพุติ วิทิตาติ เอวํ อปรามสโต จสฺส อปรามาสปจฺจยา สยเมว อตฺตนาเยว เตสํ ปรามาสกิเลสานํ นิพฺพุติ วิทิตาฯ ปากฎํ, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส นิพฺพานนฺติ ทเสฺสติฯ

    Tañca tathāgato pajānātīti na kevalañca tathāgato sakāraṇaṃ sagatikaṃ diṭṭhigatameva pajānāti, atha kho tañca sabbaṃ pajānāti, tato ca uttaritaraṃ sīlañceva samādhiñca sabbaññutaññāṇañca pajānāti. Tañca pajānanaṃ na parāmasatīti tañca evaṃvidhaṃ anuttaraṃ visesaṃ pajānantopi ahaṃ pajānāmīti taṇhādiṭṭhimānaparāmāsavasena tañca na parāmasati. Aparāmasato cassa paccattaññeva nibbuti viditāti evaṃ aparāmasato cassa aparāmāsapaccayā sayameva attanāyeva tesaṃ parāmāsakilesānaṃ nibbuti viditā. Pākaṭaṃ, bhikkhave, tathāgatassa nibbānanti dasseti.

    อิทานิ ยถาปฎิปเนฺนน ตถาคเตน สา นิพฺพุติ อธิคตา, ตํ ปฎิปตฺติํ ทเสฺสตุํ ยาสุ เวทนาสุ รตฺตา ติตฺถิยา ‘‘อิธ สุขิโน ภวิสฺสาม, เอตฺถ สุขิโน ภวิสฺสามา’’ติ ทิฎฺฐิคหนํ ปวิสนฺติ, ตาสํเยว เวทนานํ วเสน กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขโนฺต เวทนานํ สมุทยญฺจาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถาภูตํ วิทิตฺวาติ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา เวทนาสมุทโยติ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติ, ตณฺหาสมุทยา เวทนาสมุทโยติ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติ, กมฺมสมุทยา เวทนาสมุทโยติ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติ, ผสฺสสมุทยา เวทนาสมุทโยติ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติ (ปฎิ. ม. ๑.๕๐)ฯ นิพฺพตฺติลกฺขณํ ปสฺสโนฺตปิ เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสตี’’ติ อิเมสํ ปญฺจนฺนํ ลกฺขณานํ วเสน เวทนานํ สมุทยํ ยถาภูตํ วิทิตฺวา; ‘‘อวิชฺชานิโรธา เวทนานิโรโธติ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติ, ตณฺหานิโรธา เวทนานิโรโธติ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติ , กมฺมนิโรธา เวทนานิโรโธติ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติ, ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธติ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติฯ วิปริณามลกฺขณํ ปสฺสโนฺตปิ เวทนากฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๕๐) อิเมสํ ปญฺจนฺนํ ลกฺขณานํ วเสน เวทนานํ อตฺถงฺคมํ ยถาภูตํ วิทิตฺวา, ‘‘ยํ เวทนํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ, อยํ เวทนาย อสฺสาโท’’ติ (สํ. นิ. ๓.๒๖) เอวํ อสฺสาทญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา, ‘‘ยํ เวทนา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา, อยํ เวทนาย อาทีนโว’’ติ เอวํ อาทีนวญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา, ‘‘โย เวทนาย ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ, อิทํ เวทนาย นิสฺสรณ’’นฺติ เอวํ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา วิคตฉนฺทราคตาย อนุปาทาโน อนุปาทาวิมุโตฺต, ภิกฺขเว, ตถาคโต; ยสฺมิํ อุปาทาเน สติ กิญฺจิ อุปาทิเยยฺย, อุปาทินฺนตฺตา จ ขโนฺธ ภเวยฺย, ตสฺส อภาวา กิญฺจิ ธมฺมํ อนุปาทิยิตฺวาว วิมุโตฺต ภิกฺขเว ตถาคโตติฯ

    Idāni yathāpaṭipannena tathāgatena sā nibbuti adhigatā, taṃ paṭipattiṃ dassetuṃ yāsu vedanāsu rattā titthiyā ‘‘idha sukhino bhavissāma, ettha sukhino bhavissāmā’’ti diṭṭhigahanaṃ pavisanti, tāsaṃyeva vedanānaṃ vasena kammaṭṭhānaṃ ācikkhanto vedanānaṃ samudayañcātiādimāha. Tattha yathābhūtaṃ viditvāti ‘‘avijjāsamudayā vedanāsamudayoti paccayasamudayaṭṭhena vedanākkhandhassa udayaṃ passati, taṇhāsamudayā vedanāsamudayoti paccayasamudayaṭṭhena vedanākkhandhassa udayaṃ passati, kammasamudayā vedanāsamudayoti paccayasamudayaṭṭhena vedanākkhandhassa udayaṃ passati, phassasamudayā vedanāsamudayoti paccayasamudayaṭṭhena vedanākkhandhassa udayaṃ passati (paṭi. ma. 1.50). Nibbattilakkhaṇaṃ passantopi vedanākkhandhassa udayaṃ passatī’’ti imesaṃ pañcannaṃ lakkhaṇānaṃ vasena vedanānaṃ samudayaṃ yathābhūtaṃ viditvā; ‘‘avijjānirodhā vedanānirodhoti paccayanirodhaṭṭhena vedanākkhandhassa vayaṃ passati, taṇhānirodhā vedanānirodhoti paccayanirodhaṭṭhena vedanākkhandhassa vayaṃ passati , kammanirodhā vedanānirodhoti paccayanirodhaṭṭhena vedanākkhandhassa vayaṃ passati, phassanirodhā vedanānirodhoti paccayanirodhaṭṭhena vedanākkhandhassa vayaṃ passati. Vipariṇāmalakkhaṇaṃ passantopi vedanākkhandhassa vayaṃ passatī’’ti (paṭi. ma. 1.50) imesaṃ pañcannaṃ lakkhaṇānaṃ vasena vedanānaṃ atthaṅgamaṃ yathābhūtaṃ viditvā, ‘‘yaṃ vedanaṃ paṭicca uppajjati sukhaṃ somanassaṃ, ayaṃ vedanāya assādo’’ti (saṃ. ni. 3.26) evaṃ assādañca yathābhūtaṃ viditvā, ‘‘yaṃ vedanā aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā, ayaṃ vedanāya ādīnavo’’ti evaṃ ādīnavañca yathābhūtaṃ viditvā, ‘‘yo vedanāya chandarāgavinayo chandarāgappahānaṃ, idaṃ vedanāya nissaraṇa’’nti evaṃ nissaraṇañca yathābhūtaṃ viditvā vigatachandarāgatāya anupādāno anupādāvimutto, bhikkhave, tathāgato; yasmiṃ upādāne sati kiñci upādiyeyya, upādinnattā ca khandho bhaveyya, tassa abhāvā kiñci dhammaṃ anupādiyitvāva vimutto bhikkhave tathāgatoti.

    ๓๗. อิเม โข เต, ภิกฺขเวติ เย เต อหํ – ‘‘กตเม, จ เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา คมฺภีรา’’ติ อปุจฺฉิํ, ‘‘อิเม โข เต, ภิกฺขเว, ตญฺจ ตถาคโต ปชานาติ ตโต จ อุตฺตริตรํ ปชานาตี’’ติ เอวํ นิทฺทิฎฺฐา สพฺพญฺญุตญฺญาณธมฺมา คมฺภีรา ทุทฺทสา…เป.… ปณฺฑิตเวทนียาติ เวทิตพฺพาฯ เยหิ ตถาคตสฺส เนว ปุถุชฺชโน, น โสตาปนฺนาทีสุ อญฺญตโร วณฺณํ ยถาภูตํ วตฺตุํ สโกฺกติ, อถ โข ตถาคโตว ยถาภูตํ วณฺณํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺยาติ เอวํ ปุจฺฉมาเนนาปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว ปุฎฺฐํ, นิยฺยาเตเนฺตนาปิ ตเทว นิยฺยาติตํ, อนฺตรา ปน ทิฎฺฐิโย วิภตฺตาติฯ

    37.Ime kho te, bhikkhaveti ye te ahaṃ – ‘‘katame, ca te, bhikkhave, dhammā gambhīrā’’ti apucchiṃ, ‘‘ime kho te, bhikkhave, tañca tathāgato pajānāti tato ca uttaritaraṃ pajānātī’’ti evaṃ niddiṭṭhā sabbaññutaññāṇadhammā gambhīrā duddasā…pe… paṇḍitavedanīyāti veditabbā. Yehi tathāgatassa neva puthujjano, na sotāpannādīsu aññataro vaṇṇaṃ yathābhūtaṃ vattuṃ sakkoti, atha kho tathāgatova yathābhūtaṃ vaṇṇaṃ sammā vadamāno vadeyyāti evaṃ pucchamānenāpi sabbaññutaññāṇameva puṭṭhaṃ, niyyātentenāpi tadeva niyyātitaṃ, antarā pana diṭṭhiyo vibhattāti.

    ปฐมภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    เอกจฺจสสฺสตวาทวณฺณนา

    Ekaccasassatavādavaṇṇanā

    ๓๘. เอกจฺจสสฺสติกาติ เอกจฺจสสฺสตวาทาฯ เต ทุวิธา โหนฺติ – สเตฺตกจฺจสสฺสติกา, สงฺขาเรกจฺจสสฺสติกาติฯ ทุวิธาปิ อิธ คหิตาเยวฯ

    38.Ekaccasassatikāti ekaccasassatavādā. Te duvidhā honti – sattekaccasassatikā, saṅkhārekaccasassatikāti. Duvidhāpi idha gahitāyeva.

    ๓๙. นฺติ นิปาตมตฺตํฯ กทาจีติ กิสฺมิญฺจิ กาเลฯ กรหจีติ ตเสฺสว เววจนํฯ ทีฆสฺส อทฺธุโนติ ทีฆสฺส กาลสฺสฯ อจฺจเยนาติ อติกฺกเมน ฯ สํวฎฺฎตีติ วินสฺสติฯ เยภุเยฺยนาติ เย อุปริพฺรหฺมโลเกสุ วา อรูเปสุ วา นิพฺพตฺตนฺติ, ตทวเสเส สนฺธาย วุตฺตํฯ ฌานมเนน นิพฺพตฺตตฺตา มโนมยาฯ ปีติ เตสํ ภโกฺข อาหาโรติ ปีติภกฺขาฯ อตฺตโนว เตสํ ปภาติ สยํปภาฯ อนฺตลิเกฺข จรนฺตีติ อนฺตลิกฺขจราฯ สุเภสุ อุยฺยานวิมานกปฺปรุกฺขาทีสุ ติฎฺฐนฺตีติ, สุภฎฺฐายิโน สุภา วา มโนรมฺมวตฺถาภรณา หุตฺวา ติฎฺฐนฺตีติ สุภฎฺฐายิโนฯ จิรํ ทีฆมทฺธานนฺติ อุกฺกํเสน อฎฺฐ กเปฺปฯ

    39.Yanti nipātamattaṃ. Kadācīti kismiñci kāle. Karahacīti tasseva vevacanaṃ. Dīghassaaddhunoti dīghassa kālassa. Accayenāti atikkamena . Saṃvaṭṭatīti vinassati. Yebhuyyenāti ye uparibrahmalokesu vā arūpesu vā nibbattanti, tadavasese sandhāya vuttaṃ. Jhānamanena nibbattattā manomayā. Pīti tesaṃ bhakkho āhāroti pītibhakkhā. Attanova tesaṃ pabhāti sayaṃpabhā. Antalikkhe carantīti antalikkhacarā. Subhesu uyyānavimānakapparukkhādīsu tiṭṭhantīti, subhaṭṭhāyino subhā vā manorammavatthābharaṇā hutvā tiṭṭhantīti subhaṭṭhāyino. Ciraṃ dīghamaddhānanti ukkaṃsena aṭṭha kappe.

    ๔๐. วิวฎฺฎตีติ สณฺฐาติฯ สุญฺญํ พฺรหฺมวิมานนฺติ ปกติยา นิพฺพตฺตสตฺตานํ นตฺถิตาย สุญฺญํ, พฺรหฺมกายิกภูมิ นิพฺพตฺตตีติ อโตฺถฯ ตสฺส กตฺตา วา กาเรตา วา นตฺถิ, วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนเยน ปน กมฺมปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานา รตนภูมิ นิพฺพตฺตติฯ ปกตินิพฺพตฺติฎฺฐาเนสุเยว เจตฺถ อุยฺยานกปฺปรุกฺขาทโย นิพฺพตฺตนฺติฯ อถ สตฺตานํ ปกติยา วสิตฎฺฐาเน นิกนฺติ อุปฺปชฺชติ, เต ปฐมชฺฌานํ ภาเวตฺวา ตโต โอตรนฺติ, ตสฺมา อถ โข อญฺญตโร สโตฺตติอาทิมาหฯ อายุกฺขยา วา ปุญฺญกฺขยา วาติ เย อุฬารํ ปุญฺญกมฺมํ กตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ อปฺปายุเก เทวโลเก นิพฺพตฺตนฺติ, เต อตฺตโน ปุญฺญพเลน ฐาตุํ น สโกฺกนฺติ, ตสฺส ปน เทวโลกสฺส อายุปฺปมาเณเนว จวนฺตีติ อายุกฺขยา จวนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ เย ปน ปริตฺตํ ปุญฺญกมฺมํ กตฺวา ทีฆายุกเทวโลเก นิพฺพตฺตนฺติ, เต ยาวตายุกํ ฐาตุํ น สโกฺกนฺติ, อนฺตราว จวนฺตีติ ปุญฺญกฺขยา จวนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ ทีฆมทฺธานํ ติฎฺฐตีติ กปฺปํ วา อุปฑฺฒกปฺปํ วาฯ

    40.Vivaṭṭatīti saṇṭhāti. Suññaṃ brahmavimānanti pakatiyā nibbattasattānaṃ natthitāya suññaṃ, brahmakāyikabhūmi nibbattatīti attho. Tassa kattā vā kāretā vā natthi, visuddhimagge vuttanayena pana kammapaccayautusamuṭṭhānā ratanabhūmi nibbattati. Pakatinibbattiṭṭhānesuyeva cettha uyyānakapparukkhādayo nibbattanti. Atha sattānaṃ pakatiyā vasitaṭṭhāne nikanti uppajjati, te paṭhamajjhānaṃ bhāvetvā tato otaranti, tasmā atha kho aññataro sattotiādimāha. Āyukkhayā vā puññakkhayā vāti ye uḷāraṃ puññakammaṃ katvā yattha katthaci appāyuke devaloke nibbattanti, te attano puññabalena ṭhātuṃ na sakkonti, tassa pana devalokassa āyuppamāṇeneva cavantīti āyukkhayā cavantīti vuccanti. Ye pana parittaṃ puññakammaṃ katvā dīghāyukadevaloke nibbattanti, te yāvatāyukaṃ ṭhātuṃ na sakkonti, antarāva cavantīti puññakkhayā cavantīti vuccanti. Dīghamaddhānaṃ tiṭṭhatīti kappaṃ vā upaḍḍhakappaṃ vā.

    ๔๑. อนภิรตีติ อปรสฺสาปิ สตฺตสฺส อาคมนปตฺถนาฯ ยา ปน ปฎิฆสมฺปยุตฺตา อุกฺกณฺฐิตา, สา พฺรหฺมโลเก นตฺถิฯ ปริตสฺสนาติ อุพฺพิชฺชนา ผนฺทนา, สา ปเนสา ตาสตสฺสนา, ตณฺหาตสฺสนา, ทิฎฺฐิตสฺสนา, ญาณตสฺสนาติ จตุพฺพิธา โหติฯ ตตฺถ ‘‘ชาติํ ปฎิจฺจ ภยํ ภยานกํ ฉมฺภิตตฺตํ โลมหํโส เจตโส อุตฺราโสฯ ชรํ… พฺยาธิํ… มรณํ ปฎิจฺจ…เป.… อุตฺราโส’’ติ (วิภ. ๙๒๑) อยํ ตาสตสฺสนา นามฯ ‘‘อโห วต อเญฺญปิ สตฺตา อิตฺถตฺตํ อาคเจฺฉยฺยุ’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๓๘) อยํ ตณฺหาตสฺสนา นามฯ ‘‘ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวา’’ติ อยํ ทิฎฺฐิตสฺสนา นามฯ ‘‘เตปิ ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เยภุเยฺยน ภยํ สํเวคํ สนฺตาสํ อาปชฺชนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๓) อยํ ญาณตสฺสนา นามฯ อิธ ปน ตณฺหาตสฺสนาปิ ทิฎฺฐิตสฺสนาปิ วฎฺฎติฯ พฺรหฺมวิมานนฺติ อิธ ปน ปฐมาภินิพฺพตฺตสฺส อตฺถิตาย สุญฺญนฺติ น วุตฺตํฯ อุปปชฺชนฺตีติ อุปปตฺติวเสน อุปคจฺฉนฺติฯ สหพฺยตนฺติ สหภาวํฯ

    41.Anabhiratīti aparassāpi sattassa āgamanapatthanā. Yā pana paṭighasampayuttā ukkaṇṭhitā, sā brahmaloke natthi. Paritassanāti ubbijjanā phandanā, sā panesā tāsatassanā, taṇhātassanā, diṭṭhitassanā, ñāṇatassanāti catubbidhā hoti. Tattha ‘‘jātiṃ paṭicca bhayaṃ bhayānakaṃ chambhitattaṃ lomahaṃso cetaso utrāso. Jaraṃ… byādhiṃ… maraṇaṃ paṭicca…pe… utrāso’’ti (vibha. 921) ayaṃ tāsatassanā nāma. ‘‘Aho vata aññepi sattā itthattaṃ āgaccheyyu’’nti (dī. ni. 3.38) ayaṃ taṇhātassanā nāma. ‘‘Paritassitavipphanditamevā’’ti ayaṃ diṭṭhitassanā nāma. ‘‘Tepi tathāgatassa dhammadesanaṃ sutvā yebhuyyena bhayaṃ saṃvegaṃ santāsaṃ āpajjantī’’ti (a. ni. 4.33) ayaṃ ñāṇatassanā nāma. Idha pana taṇhātassanāpi diṭṭhitassanāpi vaṭṭati. Brahmavimānanti idha pana paṭhamābhinibbattassa atthitāya suññanti na vuttaṃ. Upapajjantīti upapattivasena upagacchanti. Sahabyatanti sahabhāvaṃ.

    ๔๒. อภิภูติ อภิภวิตฺวา ฐิโต เชฎฺฐโกหมสฺมีติฯ อนภิภูโตติ อเญฺญหิ อนภิภูโตฯ อญฺญทตฺถูติ เอกํสวจเน นิปาโตฯ ทสฺสนวเสน ทโส, สพฺพํ ปสฺสามีติ อโตฺถฯ วสวตฺตีติ สพฺพํ ชนํ วเส วเตฺตมิฯ อิสฺสโร กตฺตา นิมฺมาตาติ อหํ โลเก อิสฺสโร, อหํ โลกสฺส กตฺตา จ นิมฺมาตา จ, ปถวี – หิมวนฺต-สิเนรุ-จกฺกวาฬ-มหาสมุทฺท-จนฺทิม-สูริยา มยา นิมฺมิตาติฯ เสโฎฺฐ สชิตาติ อหํ โลกสฺส อุตฺตโม จ สชิตา จ, ‘‘ตฺวํ ขตฺติโย นาม โหหิ, ตฺวํ พฺราหฺมโณ, เวโสฺส, สุโทฺท, คหโฎฺฐ, ปพฺพชิโต นามฯ อนฺตมโส ตฺวํ โอโฎฺฐ โหหิ, โคโณ โหหี’’ติ ‘‘เอวํ สตฺตานํ สํวิสเชตา อห’’นฺติ มญฺญติฯ วสี ปิตา ภูตภพฺยานนฺติ (ที. นิ. ๑.๑๗) อหมสฺมิ จิณฺณวสิตาย วสี, อหํ ปิตา ภูตานญฺจ ภพฺยานญฺจาติ มญฺญติฯ ตตฺถ อณฺฑชชลาพุชา สตฺตา อโนฺตอณฺฑโกเส เจว อโนฺตวตฺถิมฺหิ จ ภพฺยา นาม, พหิ นิกฺขนฺตกาลโต ปฎฺฐาย ภูตา นามฯ สํเสทชา ปฐมจิตฺตกฺขเณ ภพฺยา, ทุติยโต ปฎฺฐาย ภูตาฯ โอปปาติกา ปฐมอิริยาปเถ ภพฺยา, ทุติยโต ปฎฺฐาย ภูตาติ เวทิตพฺพาฯ เต สเพฺพปิ มยฺหํ ปุตฺตาติ สญฺญาย ‘‘อหํ ปิตา ภูตภพฺยาน’’นฺติ มญฺญติฯ

    42.Abhibhūti abhibhavitvā ṭhito jeṭṭhakohamasmīti. Anabhibhūtoti aññehi anabhibhūto. Aññadatthūti ekaṃsavacane nipāto. Dassanavasena daso, sabbaṃ passāmīti attho. Vasavattīti sabbaṃ janaṃ vase vattemi. Issaro kattā nimmātāti ahaṃ loke issaro, ahaṃ lokassa kattā ca nimmātā ca, pathavī – himavanta-sineru-cakkavāḷa-mahāsamudda-candima-sūriyā mayā nimmitāti. Seṭṭho sajitāti ahaṃ lokassa uttamo ca sajitā ca, ‘‘tvaṃ khattiyo nāma hohi, tvaṃ brāhmaṇo, vesso, suddo, gahaṭṭho, pabbajito nāma. Antamaso tvaṃ oṭṭho hohi, goṇo hohī’’ti ‘‘evaṃ sattānaṃ saṃvisajetā aha’’nti maññati. Vasī pitā bhūtabhabyānanti (dī. ni. 1.17) ahamasmi ciṇṇavasitāya vasī, ahaṃ pitā bhūtānañca bhabyānañcāti maññati. Tattha aṇḍajajalābujā sattā antoaṇḍakose ceva antovatthimhi ca bhabyā nāma, bahi nikkhantakālato paṭṭhāya bhūtā nāma. Saṃsedajā paṭhamacittakkhaṇe bhabyā, dutiyato paṭṭhāya bhūtā. Opapātikā paṭhamairiyāpathe bhabyā, dutiyato paṭṭhāya bhūtāti veditabbā. Te sabbepi mayhaṃ puttāti saññāya ‘‘ahaṃ pitā bhūtabhabyāna’’nti maññati.

    อิทานิ การณโต สาเธตุกาโม – ‘‘มยา อิเม สตฺตา นิมฺมิตา’’ติ ปฎิญฺญํ กตฺวา ‘‘ตํ กิสฺส เหตู’’ติอาทิมาหฯ อิตฺถตฺตนฺติ อิตฺถภาวํ, พฺรหฺมภาวนฺติ อโตฺถฯ อิมินา มยนฺติ อตฺตโน กมฺมวเสน จุตาปิ อุปปนฺนาปิ จ เกวลํ มญฺญนามเตฺตเนว ‘‘อิมินา มยํ นิมฺมิตา’’ติ มญฺญมานา วงฺกจฺฉิเทฺท วงฺกอาณี วิย โอนมิตฺวา ตเสฺสว ปาทมูลํ คจฺฉนฺตีติฯ

    Idāni kāraṇato sādhetukāmo – ‘‘mayā ime sattā nimmitā’’ti paṭiññaṃ katvā ‘‘taṃ kissa hetū’’tiādimāha. Itthattanti itthabhāvaṃ, brahmabhāvanti attho. Iminā mayanti attano kammavasena cutāpi upapannāpi ca kevalaṃ maññanāmatteneva ‘‘iminā mayaṃ nimmitā’’ti maññamānā vaṅkacchidde vaṅkaāṇī viya onamitvā tasseva pādamūlaṃ gacchantīti.

    ๔๓. วณฺณวนฺตตโร จาติ วณฺณวนฺตตโร, อภิรูโป ปาสาทิโกติ อโตฺถฯ มเหสกฺขตโรติ อิสฺสริยปริวารวเสน มหายสตโรฯ

    43.Vaṇṇavantataro cāti vaṇṇavantataro, abhirūpo pāsādikoti attho. Mahesakkhataroti issariyaparivāravasena mahāyasataro.

    ๔๔. ฐานํ โข ปเนตนฺติ การณํ โข ปเนตํฯ โส ตโต จวิตฺวา อญฺญตฺร น คจฺฉติ, อิเธว อาคจฺฉติ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ อคารสฺมาติ เคหาฯ อนคาริยนฺติ ปพฺพชฺชํฯ ปพฺพชฺชา หิ ยสฺมา อคารสฺส หิ ตํ กสิโครกฺขาทิกมฺมํ ตตฺถ นตฺถิ, ตสฺมา อนคาริยนฺติ วุจฺจติฯ ปพฺพชตีติ อุปคจฺฉติฯ ตโต ปรํ นานุสฺสรตีติ ตโต ปุเพฺพนิวาสา ปรํ น สรติ, สริตุํ อสโกฺกโนฺต ตตฺถ ฐตฺวา ทิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ

    44.Ṭhānaṃkho panetanti kāraṇaṃ kho panetaṃ. So tato cavitvā aññatra na gacchati, idheva āgacchati, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Agārasmāti gehā. Anagāriyanti pabbajjaṃ. Pabbajjā hi yasmā agārassa hi taṃ kasigorakkhādikammaṃ tattha natthi, tasmā anagāriyanti vuccati. Pabbajatīti upagacchati. Tato paraṃ nānussaratīti tato pubbenivāsā paraṃ na sarati, sarituṃ asakkonto tattha ṭhatvā diṭṭhiṃ gaṇhāti.

    นิโจฺจติอาทีสุ ตสฺส อุปปตฺติํ อปสฺสโนฺต นิโจฺจติ วทติ, มรณํ อปสฺสโนฺต ธุโวติ, สทาภาวโต สสฺสโตติ, ชราวเสนาปิ วิปริณามสฺส อภาวโต อวิปริณามธโมฺมติฯ เสสเมตฺถ ปฐมวาเร อุตฺตานเมวาติฯ

    Niccotiādīsu tassa upapattiṃ apassanto niccoti vadati, maraṇaṃ apassanto dhuvoti, sadābhāvato sassatoti, jarāvasenāpi vipariṇāmassa abhāvato avipariṇāmadhammoti. Sesamettha paṭhamavāre uttānamevāti.

    ๔๕-๔๖. ทุติยวาเร ขิฑฺฑาย ปทุสฺสนฺติ วินสฺสนฺตีติ ขิฑฺฑาปโทสิกา, ปทูสิกาติปิ ปาฬิํ ลิขนฺติ, สา อฎฺฐกถายํ นตฺถิฯ อติเวลนฺติ อติกาลํ, อติจิรนฺติ อโตฺถฯ หสฺสขิฑฺฑารติธมฺมสมาปนฺนาติ หสฺสรติ ธมฺมเญฺจว ขิฑฺฑารติธมฺมญฺจ สมาปนฺนา อนุยุตฺตา, เกฬิหสฺสสุขเญฺจว กายิกวาจสิกกีฬาสุขญฺจ อนุยุตฺตา, วุตฺตปฺปการรติธมฺมสมงฺคิโน หุตฺวา วิหรนฺตีติ อโตฺถฯ

    45-46. Dutiyavāre khiḍḍāya padussanti vinassantīti khiḍḍāpadosikā, padūsikātipi pāḷiṃ likhanti, sā aṭṭhakathāyaṃ natthi. Ativelanti atikālaṃ, aticiranti attho. Hassakhiḍḍāratidhammasamāpannāti hassarati dhammañceva khiḍḍāratidhammañca samāpannā anuyuttā, keḷihassasukhañceva kāyikavācasikakīḷāsukhañca anuyuttā, vuttappakāraratidhammasamaṅgino hutvā viharantīti attho.

    สติ สมฺมุสฺสตีติ ขาทนียโภชนีเยสุ สติ สมฺมุสฺสติฯ เต กิร ปุญฺญวิเสสาธิคเตน มหเนฺตน อตฺตโน สิริวิภเวน นกฺขตฺตํ กีฬนฺตา ตาย สมฺปตฺติมหนฺตตาย – ‘‘อาหารํ ปริภุญฺชิมฺห, น ปริภุญฺชิมฺหา’’ติปิ น ชานนฺติฯ อถ เอกาหาราติกฺกมนโต ปฎฺฐาย นิรนฺตรํ ขาทนฺตาปิ ปิวนฺตาปิ จวนฺติเยว, น ติฎฺฐนฺติฯ กสฺมา? กมฺมชเตชสฺส พลวตาย, กรชกายสฺส มนฺทตาย, มนุสฺสานญฺหิ กมฺมชเตโช มโนฺท, กรชกาโย พลวาฯ เตสํ เตชสฺส มนฺทตาย กรชกายสฺส พลวตาย สตฺตาหมฺปิ อติกฺกมิตฺวา อุโณฺหทกอจฺฉยาคุอาทีหิ สกฺกา วตฺถุํ อุปตฺถเมฺภตุํฯ เทวานํ ปน เตโช พลวา โหติ, กรชํ มนฺทํฯ เต เอกํ อาหารเวลํ อติกฺกมิตฺวาว สณฺฐาตุํ น สโกฺกนฺติฯ ยถา นาม คิมฺหานํ มชฺฌนฺหิเก ตตฺตปาสาเณ ฐปิตํ ปทุมํ วา อุปฺปลํ วา สายนฺหสมเย ฆฎสเตนาปิ สิญฺจิยมานํ ปากติกํ น โหติ, วินสฺสติเยวฯ เอวเมว ปจฺฉา นิรนฺตรํ ขาทนฺตาปิ ปิวนฺตาปิ จวนฺติเยว, น ติฎฺฐนฺติฯ เตนาห ‘‘สติยา สโมฺมสา เต เทวา ตมฺหา กายา จวนฺตี’’ติฯ กตเม ปน เต เทวาติ? อิเม เทวาติ อฎฺฐกถายํ วิจารณา นตฺถิ, ‘‘เทวานํ กมฺมชเตโช พลวา โหติ, กรชํ มนฺท’’นฺติ อวิเสเสน วุตฺตตฺตา ปน เย เกจิ กพฬีการาหารูปชีวิโน เทวา เอวํ กโรนฺติ, เตเยว จวนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ เกจิ ปนาหุ – ‘‘นิมฺมานรติปรนิมฺมิตวสวตฺติโน เต เทวา’’ติฯ ขิฑฺฑาปทุสฺสนมเตฺตเนว เหเต ขิฑฺฑาปโทสิกาติ วุตฺตาฯ เสสเมตฺถ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Sati sammussatīti khādanīyabhojanīyesu sati sammussati. Te kira puññavisesādhigatena mahantena attano sirivibhavena nakkhattaṃ kīḷantā tāya sampattimahantatāya – ‘‘āhāraṃ paribhuñjimha, na paribhuñjimhā’’tipi na jānanti. Atha ekāhārātikkamanato paṭṭhāya nirantaraṃ khādantāpi pivantāpi cavantiyeva, na tiṭṭhanti. Kasmā? Kammajatejassa balavatāya, karajakāyassa mandatāya, manussānañhi kammajatejo mando, karajakāyo balavā. Tesaṃ tejassa mandatāya karajakāyassa balavatāya sattāhampi atikkamitvā uṇhodakaacchayāguādīhi sakkā vatthuṃ upatthambhetuṃ. Devānaṃ pana tejo balavā hoti, karajaṃ mandaṃ. Te ekaṃ āhāravelaṃ atikkamitvāva saṇṭhātuṃ na sakkonti. Yathā nāma gimhānaṃ majjhanhike tattapāsāṇe ṭhapitaṃ padumaṃ vā uppalaṃ vā sāyanhasamaye ghaṭasatenāpi siñciyamānaṃ pākatikaṃ na hoti, vinassatiyeva. Evameva pacchā nirantaraṃ khādantāpi pivantāpi cavantiyeva, na tiṭṭhanti. Tenāha ‘‘satiyā sammosā te devā tamhā kāyā cavantī’’ti. Katame pana te devāti? Ime devāti aṭṭhakathāyaṃ vicāraṇā natthi, ‘‘devānaṃ kammajatejo balavā hoti, karajaṃ manda’’nti avisesena vuttattā pana ye keci kabaḷīkārāhārūpajīvino devā evaṃ karonti, teyeva cavantīti veditabbā. Keci panāhu – ‘‘nimmānaratiparanimmitavasavattino te devā’’ti. Khiḍḍāpadussanamatteneva hete khiḍḍāpadosikāti vuttā. Sesamettha purimanayeneva veditabbaṃ.

    ๔๗-๔๘. ตติยวาเร มเนน ปทุสฺสนฺติ วินสฺสนฺตีติ มโนปโทสิกา, เอเต จาตุมหาราชิกาฯ เตสุ กิร เอโก เทวปุโตฺต – นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามีติ สปริวาโร รเถน วีถิํ ปฎิปชฺชติ, อถโญฺญ นิกฺขมโนฺต ตํ ปุรโต คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา – ‘โภ อยํ กปโณ’, อทิฎฺฐปุพฺพํ วิย เอตํ ทิสฺวา – ‘‘ปีติยา อุทฺธุมาโต วิย ภิชฺชมาโน วิย จ คจฺฉตี’’ติ กุชฺฌติฯ ปุรโต คจฺฉโนฺตปิ นิวตฺติตฺวา ตํ กุทฺธํ ทิสฺวา – กุทฺธา นาม สุวิทิตา โหนฺตีติ กุทฺธภาวมสฺส ญตฺวา – ‘‘ตฺวํ กุโทฺธ, มยฺหํ กิํ กริสฺสสิ, อยํ สมฺปตฺติ มยา ทานสีลาทีนํ วเสน ลทฺธา, น ตุยฺหํ วเสนา’’ติ ปฎิกุชฺฌติฯ เอกสฺมิญฺหิ กุเทฺธ อิตโร อกุโทฺธ รกฺขติ, อุโภสุ ปน กุเทฺธสุ เอกสฺส โกโธ อิตรสฺส ปจฺจโย โหติฯ ตสฺสปิ โกโธ อิตรสฺส ปจฺจโย โหตีติ อุโภ กนฺทนฺตานํเยว โอโรธานํ จวนฺติฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    47-48. Tatiyavāre manena padussanti vinassantīti manopadosikā, ete cātumahārājikā. Tesu kira eko devaputto – nakkhattaṃ kīḷissāmīti saparivāro rathena vīthiṃ paṭipajjati, athañño nikkhamanto taṃ purato gacchantaṃ disvā – ‘bho ayaṃ kapaṇo’, adiṭṭhapubbaṃ viya etaṃ disvā – ‘‘pītiyā uddhumāto viya bhijjamāno viya ca gacchatī’’ti kujjhati. Purato gacchantopi nivattitvā taṃ kuddhaṃ disvā – kuddhā nāma suviditā hontīti kuddhabhāvamassa ñatvā – ‘‘tvaṃ kuddho, mayhaṃ kiṃ karissasi, ayaṃ sampatti mayā dānasīlādīnaṃ vasena laddhā, na tuyhaṃ vasenā’’ti paṭikujjhati. Ekasmiñhi kuddhe itaro akuddho rakkhati, ubhosu pana kuddhesu ekassa kodho itarassa paccayo hoti. Tassapi kodho itarassa paccayo hotīti ubho kandantānaṃyeva orodhānaṃ cavanti. Ayamettha dhammatā. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ๔๙-๕๒. ตกฺกีวาเท อยํ จกฺขาทีนํ เภทํ ปสฺสติ, จิตฺตํ ปน ยสฺมา ปุริมํ ปุริมํ ปจฺฉิมสฺส ปจฺฉิมสฺส ปจฺจยํ ทตฺวาว นิรุชฺฌติ, ตสฺมา จกฺขาทีนํ เภทโต พลวตรมฺปิ จิตฺตสฺส เภทํ น ปสฺสติฯ โส ตํ อปสฺสโนฺต ยถา นาม สกุโณ เอกํ รุกฺขํ ชหิตฺวา อญฺญสฺมิํ นิลียติ, เอวเมว อิมสฺมิํ อตฺตภาเว ภิเนฺน จิตฺตํ อญฺญตฺร คจฺฉตีติ คเหตฺวา เอวมาหฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    49-52. Takkīvāde ayaṃ cakkhādīnaṃ bhedaṃ passati, cittaṃ pana yasmā purimaṃ purimaṃ pacchimassa pacchimassa paccayaṃ datvāva nirujjhati, tasmā cakkhādīnaṃ bhedato balavatarampi cittassa bhedaṃ na passati. So taṃ apassanto yathā nāma sakuṇo ekaṃ rukkhaṃ jahitvā aññasmiṃ nilīyati, evameva imasmiṃ attabhāve bhinne cittaṃ aññatra gacchatīti gahetvā evamāha. Sesamettha vuttanayeneva veditabbaṃ.

    อนฺตานนฺตวาทวณฺณนา

    Antānantavādavaṇṇanā

    ๕๓. อนฺตานนฺติกาติ อนฺตานนฺตวาทา, อนฺตํ วา อนนฺตํ วา อนฺตานนฺตํ วา เนวนฺตานานนฺตํ วา อารพฺภ ปวตฺตวาทาติ อโตฺถฯ

    53.Antānantikāti antānantavādā, antaṃ vā anantaṃ vā antānantaṃ vā nevantānānantaṃ vā ārabbha pavattavādāti attho.

    ๕๔-๖๐. อนฺตสญฺญี โลกสฺมิํ วิหรตีติ ปฎิภาคนิมิตฺตํ จกฺกวาฬปริยนฺตํ อวเฑฺฒตฺวา ตํ – ‘‘โลโก’’ติ คเหตฺวา อนฺตสญฺญี โลกสฺมิํ วิหรติ, จกฺกวาฬปริยนฺตํ กตฺวา วฑฺฒิตกสิโณ ปน อนนฺตสญฺญี โหติ, อุทฺธมโธ อวเฑฺฒตฺวา ปน ติริยํ วเฑฺฒตฺวา อุทฺธมโธ อนฺตสญฺญี, ติริยํ อนนฺตสญฺญีฯ ตกฺกีวาโท วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิเม จตฺตาโรปิ อตฺตนา ทิฎฺฐปุพฺพานุสาเรเนว ทิฎฺฐิยา คหิตตฺตา ปุพฺพนฺตกปฺปิเกสุ ปวิฎฺฐาฯ

    54-60.Antasaññīlokasmiṃ viharatīti paṭibhāganimittaṃ cakkavāḷapariyantaṃ avaḍḍhetvā taṃ – ‘‘loko’’ti gahetvā antasaññī lokasmiṃ viharati, cakkavāḷapariyantaṃ katvā vaḍḍhitakasiṇo pana anantasaññī hoti, uddhamadho avaḍḍhetvā pana tiriyaṃ vaḍḍhetvā uddhamadho antasaññī, tiriyaṃ anantasaññī. Takkīvādo vuttanayeneva veditabbo. Ime cattāropi attanā diṭṭhapubbānusāreneva diṭṭhiyā gahitattā pubbantakappikesu paviṭṭhā.

    อมราวิเกฺขปวาทวณฺณนา

    Amarāvikkhepavādavaṇṇanā

    ๖๑. น มรตีติ อมราฯ กา สา? เอวนฺติปิ เม โนติอาทินา นเยน ปริยนฺตรหิตา ทิฎฺฐิคติกสฺส ทิฎฺฐิ เจว วาจา จฯ วิวิโธ เขโปติ วิเกฺขโป, อมราย ทิฎฺฐิยา วาจาย จ วิเกฺขโปติ อมราวิเกฺขโป, โส เอเตสํ อตฺถีติ อมราวิเกฺขปิกา, อปโร นโย – อมรา นาม เอกา มจฺฉชาติ, สา อุมฺมุชฺชนนิมุชฺชนาทิวเสน อุทเก สนฺธาวมานา คเหตุํ น สกฺกาติ, เอวเมว อยมฺปิ วาโท อิโตจิโต จ สนฺธาวติ, คาหํ น อุปคจฺฉตีติ อมราวิเกฺขโปติ วุจฺจติฯ โส เอเตสํ อตฺถีติ อมราวิเกฺขปิกาฯ

    61. Na maratīti amarā. Kā sā? Evantipi me notiādinā nayena pariyantarahitā diṭṭhigatikassa diṭṭhi ceva vācā ca. Vividho khepoti vikkhepo, amarāya diṭṭhiyā vācāya ca vikkhepoti amarāvikkhepo, so etesaṃ atthīti amarāvikkhepikā, aparo nayo – amarā nāma ekā macchajāti, sā ummujjananimujjanādivasena udake sandhāvamānā gahetuṃ na sakkāti, evameva ayampi vādo itocito ca sandhāvati, gāhaṃ na upagacchatīti amarāvikkhepoti vuccati. So etesaṃ atthīti amarāvikkhepikā.

    ๖๒. ‘‘อิทํ กุสล’’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาตีติ ทส กุสลกมฺมปเถ ยถาภูตํ นปฺปชานาตีติ อโตฺถฯ อกุสเลปิ ทส อกุสลกมฺมปถาว อธิเปฺปตาฯ โส มมสฺส วิฆาโตติ ‘‘มุสา มยา ภณิต’’นฺติ วิปฺปฎิสารุปฺปตฺติยา มม วิฆาโต อสฺส, ทุกฺขํ ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ โส มมสฺส อนฺตราโยติ โส มม สคฺคสฺส เจว มคฺคสฺส จ อนฺตราโย อสฺสฯ มุสาวาทภยา มุสาวาทปริเชคุจฺฉาติ มุสาวาเท โอตฺตเปฺปน เจว หิริยา จฯ วาจาวิเกฺขปํ อาปชฺชตีติ วาจาย วิเกฺขปํ อาปชฺชติฯ กีทิสํ? อมราวิเกฺขปํ, อปริยนฺตวิเกฺขปนฺติ อโตฺถฯ

    62.‘‘Idaṃkusala’’nti yathābhūtaṃ nappajānātīti dasa kusalakammapathe yathābhūtaṃ nappajānātīti attho. Akusalepi dasa akusalakammapathāva adhippetā. So mamassa vighātoti ‘‘musā mayā bhaṇita’’nti vippaṭisāruppattiyā mama vighāto assa, dukkhaṃ bhaveyyāti attho. So mamassa antarāyoti so mama saggassa ceva maggassa ca antarāyo assa. Musāvādabhayā musāvādaparijegucchāti musāvāde ottappena ceva hiriyā ca. Vācāvikkhepaṃ āpajjatīti vācāya vikkhepaṃ āpajjati. Kīdisaṃ? Amarāvikkhepaṃ, apariyantavikkhepanti attho.

    เอวนฺติปิ เม โนติอาทีสุ เอวนฺติปิ เม โนติ อนิยมิตวิเกฺขโป ฯ ตถาติปิ เม โนติ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ วุตฺตํ สสฺสตวาทํ ปฎิกฺขิปติฯ อญฺญถาติปิ เม โนติ สสฺสตโต อญฺญถา วุตฺตํ เอกจฺจสสฺสตํ ปฎิกฺขิปติฯ โนติปิ เม โนติ – ‘‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ วุตฺตํ อุเจฺฉทํ ปฎิกฺขิปติฯ โน โนติปิ เม โนติ ‘‘เนว โหติ น น โหตี’’ติ วุตฺตํ ตกฺกีวาทํ ปฎิกฺขิปติฯ สยํ ปน ‘‘อิทํ กุสล’’นฺติ วา ‘‘อกุสล’’นฺติ วา ปุโฎฺฐ น กิญฺจิ พฺยากโรติฯ ‘‘อิทํ กุสล’’นฺติ ปุโฎฺฐ ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติ วทติฯ ตโต ‘‘กิํ อกุสล’’นฺติ วุเตฺต ‘‘ตถาติปิ เม โน’’ติ วทติฯ ‘‘กิํ อุภยโต อญฺญถา’’ติ วุเตฺต ‘‘อญฺญถาติปิ เม โน’’ติ วทติฯ ตโต ‘‘ติวิเธนาปิ น โหติ, กิํ เต ลทฺธี’’ติ วุเตฺต ‘‘โนติปิ เม โน’’ติ วทติฯ ตโต ‘‘กิํ โน โนติ เต ลทฺธี’’ติ วุเตฺต ‘‘โน โนติปิ เม โน’’ติ เอวํ วิเกฺขปเมว อาปชฺชติ, เอกสฺมิมฺปิ ปเกฺข น ติฎฺฐติฯ

    Evantipi me notiādīsu evantipi me noti aniyamitavikkhepo . Tathātipi me noti ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti vuttaṃ sassatavādaṃ paṭikkhipati. Aññathātipi me noti sassatato aññathā vuttaṃ ekaccasassataṃ paṭikkhipati. Notipi me noti – ‘‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti vuttaṃ ucchedaṃ paṭikkhipati. No notipi me noti ‘‘neva hoti na na hotī’’ti vuttaṃ takkīvādaṃ paṭikkhipati. Sayaṃ pana ‘‘idaṃ kusala’’nti vā ‘‘akusala’’nti vā puṭṭho na kiñci byākaroti. ‘‘Idaṃ kusala’’nti puṭṭho ‘‘evantipi me no’’ti vadati. Tato ‘‘kiṃ akusala’’nti vutte ‘‘tathātipi me no’’ti vadati. ‘‘Kiṃ ubhayato aññathā’’ti vutte ‘‘aññathātipi me no’’ti vadati. Tato ‘‘tividhenāpi na hoti, kiṃ te laddhī’’ti vutte ‘‘notipi me no’’ti vadati. Tato ‘‘kiṃ no noti te laddhī’’ti vutte ‘‘no notipi me no’’ti evaṃ vikkhepameva āpajjati, ekasmimpi pakkhe na tiṭṭhati.

    ๖๓. ฉโนฺท วา ราโค วาติ อชานโนฺตปิ สหสา กุสลเมว ‘‘กุสล’’นฺติ วตฺวา อกุสลเมว ‘‘อกุสล’’นฺติ วตฺวา มยา อสุกสฺส นาม เอวํ พฺยากตํ, กิํ ตํ สุพฺยากตนฺติ อเญฺญ ปณฺฑิเต ปุจฺฉิตฺวา เตหิ – ‘‘สุพฺยากตํ, ภทฺรมุข, กุสลเมว ตยา กุสลํ, อกุสลเมว อกุสลนฺติ พฺยากต’’นฺติ วุเตฺต นตฺถิ มยา สทิโส ปณฺฑิโตติ เอวํ เม ตตฺถ ฉโนฺท วา ราโค วา อสฺสาติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ฉโนฺท ทุพฺพลราโค, ราโค พลวราโคฯ โทโส วา ปฎิโฆ วาติ กุสลํ ปน ‘‘อกุสล’’นฺติ, อกุสลํ วา ‘‘กุสล’’นฺติ วตฺวา อเญฺญ ปณฺฑิเต ปุจฺฉิตฺวา เตหิ – ‘‘ทุพฺยากตํ ตยา’’ติ วุเตฺต เอตฺตกมฺปิ นาม น ชานามีติ ตตฺถ เม อสฺส โทโส วา ปฎิโฆ วาติ อโตฺถฯ อิธาปิ โทโส ทุพฺพลโกโธ, ปฎิโฆ พลวโกโธฯ

    63.Chando vā rāgo vāti ajānantopi sahasā kusalameva ‘‘kusala’’nti vatvā akusalameva ‘‘akusala’’nti vatvā mayā asukassa nāma evaṃ byākataṃ, kiṃ taṃ subyākatanti aññe paṇḍite pucchitvā tehi – ‘‘subyākataṃ, bhadramukha, kusalameva tayā kusalaṃ, akusalameva akusalanti byākata’’nti vutte natthi mayā sadiso paṇḍitoti evaṃ me tattha chando vā rāgo vā assāti attho. Ettha ca chando dubbalarāgo, rāgo balavarāgo. Doso vā paṭigho vāti kusalaṃ pana ‘‘akusala’’nti, akusalaṃ vā ‘‘kusala’’nti vatvā aññe paṇḍite pucchitvā tehi – ‘‘dubyākataṃ tayā’’ti vutte ettakampi nāma na jānāmīti tattha me assa doso vā paṭigho vāti attho. Idhāpi doso dubbalakodho, paṭigho balavakodho.

    ตํ มมสฺส อุปาทานํ, โส มมสฺส วิฆาโตติ ตํ ฉนฺทราคทฺวยํ มม อุปาทานํ อสฺส, โทสปฎิฆทฺวยํ วิฆาโตฯ อุภยมฺปิ วา ทฬฺหคฺคหณวเสน อุปาทานํ , วิหนนวเสน วิฆาโตฯ ราโค หิ อมุญฺจิตุกามตาย อารมฺมณํ คณฺหาติ ชลูกา วิยฯ โทโส วินาเสตุกามตาย อาสีวิโส วิยฯ อุโภปิ เจเต สนฺตาปกเฎฺฐน วิหนนฺติ เยวาติ ‘‘อุปาทาน’’นฺติ จ ‘‘วิฆาโต’’ติ จ วุตฺตาฯ เสสํ ปฐมวารสทิสเมวฯ

    Taṃmamassa upādānaṃ, so mamassa vighātoti taṃ chandarāgadvayaṃ mama upādānaṃ assa, dosapaṭighadvayaṃ vighāto. Ubhayampi vā daḷhaggahaṇavasena upādānaṃ , vihananavasena vighāto. Rāgo hi amuñcitukāmatāya ārammaṇaṃ gaṇhāti jalūkā viya. Doso vināsetukāmatāya āsīviso viya. Ubhopi cete santāpakaṭṭhena vihananti yevāti ‘‘upādāna’’nti ca ‘‘vighāto’’ti ca vuttā. Sesaṃ paṭhamavārasadisameva.

    ๖๔. ปณฺฑิตาติ ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคตาฯ นิปุณาติ สณฺหสุขุมพุทฺธิโน สุขุมอตฺถนฺตรํ ปฎิวิชฺฌนสมตฺถาฯ กตปรปฺปวาทาติ วิญฺญาตปรปฺปวาทา เจว ปเรหิ สทฺธิํ กตวาทปริจยา จฯ วาลเวธิรูปาติ วาลเวธิธนุคฺคหสทิสาฯ เต ภินฺทนฺตา มเญฺญติ วาลเวธิ วิย วาลํ สุขุมานิปิ ปเรสํ ทิฎฺฐิคตานิ อตฺตโน ปญฺญาคเตน ภินฺทนฺตา วิย จรนฺตีติ อโตฺถฯ เต มํ ตตฺถาติ เต สมณพฺราหฺมณา มํ เตสุ กุสลากุสเลสุฯ สมนุยุเญฺชยฺยุนฺติ ‘‘กิํ กุสลํ, กิํ อกุสลนฺติ อตฺตโน ลทฺธิํ วทา’’ติ ลทฺธิํ ปุเจฺฉยฺยุํฯ สมนุคาเหยฺยุนฺติ ‘‘อิทํ นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘เกน การเณน เอตมตฺถํ คาเหยฺยุ’’นฺติ การณํ ปุเจฺฉยฺยุํฯ สมนุภาเสยฺยุนฺติ ‘‘อิมินา นาม การเณนา’’ติ วุเตฺต การเณ โทสํ ทเสฺสตฺวา ‘‘น ตฺวํ อิทํ ชานาสิ, อิทํ ปน คณฺห, อิทํ วิสฺสเชฺชหี’’ติ เอวํ สมนุยุเญฺชยฺยุํฯ น สมฺปาเยยฺยนฺติ น สมฺปาเทยฺยํ, สมฺปาเทตฺวา กเถตุํ น สกฺกุเณยฺยนฺติ อโตฺถฯ โส มมสฺส วิฆาโตติ ยํ ตํ ปุนปฺปุนํ วตฺวาปิ อสมฺปายนํ นาม, โส มม วิฆาโต อสฺส, โอฎฺฐตาลุชิวฺหาคลโสสนทุกฺขเมว อสฺสาติ อโตฺถฯ เสสเมตฺถาปิ ปฐมวารสทิสเมวฯ

    64.Paṇḍitāti paṇḍiccena samannāgatā. Nipuṇāti saṇhasukhumabuddhino sukhumaatthantaraṃ paṭivijjhanasamatthā. Kataparappavādāti viññātaparappavādā ceva parehi saddhiṃ katavādaparicayā ca. Vālavedhirūpāti vālavedhidhanuggahasadisā. Te bhindantā maññeti vālavedhi viya vālaṃ sukhumānipi paresaṃ diṭṭhigatāni attano paññāgatena bhindantā viya carantīti attho. Te maṃ tatthāti te samaṇabrāhmaṇā maṃ tesu kusalākusalesu. Samanuyuñjeyyunti ‘‘kiṃ kusalaṃ, kiṃ akusalanti attano laddhiṃ vadā’’ti laddhiṃ puccheyyuṃ. Samanugāheyyunti ‘‘idaṃ nāmā’’ti vutte ‘‘kena kāraṇena etamatthaṃ gāheyyu’’nti kāraṇaṃ puccheyyuṃ. Samanubhāseyyunti ‘‘iminā nāma kāraṇenā’’ti vutte kāraṇe dosaṃ dassetvā ‘‘na tvaṃ idaṃ jānāsi, idaṃ pana gaṇha, idaṃ vissajjehī’’ti evaṃ samanuyuñjeyyuṃ. Na sampāyeyyanti na sampādeyyaṃ, sampādetvā kathetuṃ na sakkuṇeyyanti attho. So mamassa vighātoti yaṃ taṃ punappunaṃ vatvāpi asampāyanaṃ nāma, so mama vighāto assa, oṭṭhatālujivhāgalasosanadukkhameva assāti attho. Sesametthāpi paṭhamavārasadisameva.

    ๖๕-๖๖. มโนฺทติ มนฺทปโญฺญ อปญฺญเสฺสเวตํ นามํฯ โมมูโหติ อติสมฺมูโฬฺหฯ โหติ ตถาคโตติอาทีสุ สโตฺต ‘‘ตถาคโต’’ติ อธิเปฺปโตฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ อิเมปิ จตฺตาโร ปุเพฺพ ปวตฺตธมฺมานุสาเรเนว ทิฎฺฐิยา คหิตตฺตา ปุพฺพนฺตกปฺปิเกสุ ปวิฎฺฐาฯ

    65-66.Mandoti mandapañño apaññassevetaṃ nāmaṃ. Momūhoti atisammūḷho. Hotitathāgatotiādīsu satto ‘‘tathāgato’’ti adhippeto. Sesamettha uttānameva. Imepi cattāro pubbe pavattadhammānusāreneva diṭṭhiyā gahitattā pubbantakappikesu paviṭṭhā.

    อธิจฺจสมุปฺปนฺนวาทวณฺณนา

    Adhiccasamuppannavādavaṇṇanā

    ๖๗. ‘‘อธิจฺจสมุปฺปโนฺน อตฺตา จ โลโก จา’’ติ ทสฺสนํ อธิจฺจสมุปฺปนฺนํฯ ตํ เอเตสํ อตฺถีติ อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกาฯ อธิจฺจสมุปฺปนฺนนฺติ อการณสมุปฺปนฺนํฯ

    67. ‘‘Adhiccasamuppanno attā ca loko cā’’ti dassanaṃ adhiccasamuppannaṃ. Taṃ etesaṃ atthīti adhiccasamuppannikā. Adhiccasamuppannanti akāraṇasamuppannaṃ.

    ๖๘-๗๓. อสญฺญสตฺตาติ เทสนาสีสเมตํ, อจิตฺตุปฺปาทา รูปมตฺตกอตฺตภาวาติ อโตฺถฯ เตสํ เอวํ อุปฺปตฺติ เวทิตพฺพา – เอกโจฺจ หิ ติตฺถายตเน ปพฺพชิตฺวา วาโยกสิเณ ปริกมฺมํ กตฺวา จตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานา วุฎฺฐาย – ‘‘จิเตฺต โทสํ ปสฺสติ, จิเตฺต สติ หตฺถเจฺฉทาทิทุกฺขเญฺจว สพฺพภยานิ จ โหนฺติ, อลํ อิมินา จิเตฺตน, อจิตฺตกภาโวว สโนฺต’’ติ, เอวํ จิเตฺต โทสํ ปสฺสิตฺวา อปริหีนชฺฌาโน กาลํ กตฺวา อสญฺญสเตฺตสุ นิพฺพตฺตติ, จิตฺตมสฺส จุติจิตฺตนิโรเธน อิเธว นิวตฺตติ, รูปกฺขนฺธมตฺตเมว ตตฺถ ปาตุภวติฯ เต ตตฺถ ยถา นาม ชิยาเวคกฺขิโตฺต สโร ยตฺตโก ชิยาเวโค, ตตฺตกเมว อากาเส คจฺฉติฯ เอวเมว ฌานเวคกฺขิตฺตา อุปปชฺชิตฺวา ยตฺตโก ฌานเวโค, ตตฺตกเมว กาลํ ติฎฺฐนฺติ, ฌานเวเค ปน ปริหีเน ตตฺถ รูปกฺขโนฺธ อนฺตรธายติ, อิธ ปน ปฎิสนฺธิสญฺญา อุปฺปชฺชติฯ ยสฺมา ปน ตาย อิธ อุปฺปนฺนสญฺญาย เตสํ ตตฺถ จุติ ปญฺญายติ, ตสฺมา ‘‘สญฺญุปฺปาทา จ ปน เต เทวา ตมฺหา กายา จวนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ สนฺตตายาติ สนฺตภาวายฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ ตกฺกีวาโทปิ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพติฯ

    68-73.Asaññasattāti desanāsīsametaṃ, acittuppādā rūpamattakaattabhāvāti attho. Tesaṃ evaṃ uppatti veditabbā – ekacco hi titthāyatane pabbajitvā vāyokasiṇe parikammaṃ katvā catutthajjhānaṃ nibbattetvā jhānā vuṭṭhāya – ‘‘citte dosaṃ passati, citte sati hatthacchedādidukkhañceva sabbabhayāni ca honti, alaṃ iminā cittena, acittakabhāvova santo’’ti, evaṃ citte dosaṃ passitvā aparihīnajjhāno kālaṃ katvā asaññasattesu nibbattati, cittamassa cuticittanirodhena idheva nivattati, rūpakkhandhamattameva tattha pātubhavati. Te tattha yathā nāma jiyāvegakkhitto saro yattako jiyāvego, tattakameva ākāse gacchati. Evameva jhānavegakkhittā upapajjitvā yattako jhānavego, tattakameva kālaṃ tiṭṭhanti, jhānavege pana parihīne tattha rūpakkhandho antaradhāyati, idha pana paṭisandhisaññā uppajjati. Yasmā pana tāya idha uppannasaññāya tesaṃ tattha cuti paññāyati, tasmā ‘‘saññuppādā ca pana te devā tamhā kāyā cavantī’’ti vuttaṃ. Santatāyāti santabhāvāya. Sesamettha uttānameva. Takkīvādopi vuttanayeneva veditabboti.

    อปรนฺตกปฺปิกวณฺณนา

    Aparantakappikavaṇṇanā

    ๗๔. เอวํ อฎฺฐารส ปุพฺพนฺตกปฺปิเก ทเสฺสตฺวา อิทานิ จตุจตฺตารีสํ อปรนฺตกปฺปิเก ทเสฺสตุํ – ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนาคตโกฎฺฐาสสงฺขาตํ อปรนฺตํ กเปฺปตฺวา คณฺหนฺตีติ อปรนฺตกปฺปิกา, อปรนฺตกโปฺป วา เอเตสํ อตฺถีติ อปรนฺตกปฺปิกาฯ เอวํ เสสมฺปิ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    74. Evaṃ aṭṭhārasa pubbantakappike dassetvā idāni catucattārīsaṃ aparantakappike dassetuṃ – ‘‘santi, bhikkhave’’tiādimāha. Tattha anāgatakoṭṭhāsasaṅkhātaṃ aparantaṃ kappetvā gaṇhantīti aparantakappikā, aparantakappo vā etesaṃ atthīti aparantakappikā. Evaṃ sesampi pubbe vuttappakāranayeneva veditabbaṃ.

    สญฺญีวาทวณฺณนา

    Saññīvādavaṇṇanā

    ๗๕. อุทฺธมาฆาตนิกาติ อาฆาตนํ วุจฺจติ มรณํ, อุทฺธมาฆาตนา อตฺตานํ วทนฺตีติ อุทฺธมาฆาตนิกาฯ สญฺญีติ ปวโตฺต วาโท, สญฺญีวาโท, โส เอเตสํ อตฺถีติ สญฺญีวาทาฯ

    75.Uddhamāghātanikāti āghātanaṃ vuccati maraṇaṃ, uddhamāghātanā attānaṃ vadantīti uddhamāghātanikā. Saññīti pavatto vādo, saññīvādo, so etesaṃ atthīti saññīvādā.

    ๗๖-๗๗. รูปี อตฺตาติอาทีสุ กสิณรูปํ ‘‘อตฺตา’’ติ ตตฺถ ปวตฺตสญฺญญฺจสฺส ‘‘สญฺญา’’ติ คเหตฺวา วา อาชีวกาทโย วิย ตกฺกมเตฺตเนว วา ‘‘รูปี อตฺตา โหติ, อโรโค ปรํ มรณา สญฺญี’’ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ ตตฺถ อโรโคติ นิโจฺจฯ อรูปสมาปตฺตินิมิตฺตํ ปน ‘‘อตฺตา’’ติ สมาปตฺติสญฺญญฺจสฺส ‘‘สญฺญา’’ติ คเหตฺวา วา นิคณฺฐาทโย วิย ตกฺกมเตฺตเนว วา ‘‘อรูปี อตฺตา โหติ, อโรโค ปรํ มรณา สญฺญี’’ติ นํ ปญฺญเปนฺติฯ ตติยา ปน มิสฺสกคาหวเสน ปวตฺตา ทิฎฺฐิฯ จตุตฺถา ตกฺกคาเหเนวฯ ทุติยจตุกฺกํ อนฺตานนฺติกวาเท วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ตติยจตุเกฺก สมาปนฺนกวเสน เอกตฺตสญฺญี , อสมาปนฺนกวเสน นานตฺตสญฺญี, ปริตฺตกสิณวเสน ปริตฺตสญฺญี, วิปุลกสิณวเสน อปฺปมาณสญฺญีติ เวทิตพฺพาฯ จตุตฺถจตุเกฺก ปน ทิเพฺพน จกฺขุนา ติกจตุกฺกชฺฌานภูมิยํ นิพฺพตฺตมานํ ทิสฺวา ‘‘เอกนฺตสุขี’’ติ คณฺหาติฯ นิรเย นิพฺพตฺตมานํ ทิสฺวา ‘‘เอกนฺตทุกฺขี’’ติฯ มนุเสฺสสุ นิพฺพตฺตมานํ ทิสฺวา ‘‘สุขทุกฺขี’’ติฯ เวหปฺผลเทเวสุ นิพฺพตฺตมานํ ทิสฺวา ‘‘อทุกฺขมสุขี’’ติ คณฺหาติฯ วิเสสโต หิ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณลาภิโน ปุพฺพนฺตกปฺปิกา โหนฺติ, ทิพฺพจกฺขุกา อปรนฺตกปฺปิกาติฯ

    76-77.Rūpī attātiādīsu kasiṇarūpaṃ ‘‘attā’’ti tattha pavattasaññañcassa ‘‘saññā’’ti gahetvā vā ājīvakādayo viya takkamatteneva vā ‘‘rūpī attā hoti, arogo paraṃ maraṇā saññī’’ti naṃ paññapenti. Tattha arogoti nicco. Arūpasamāpattinimittaṃ pana ‘‘attā’’ti samāpattisaññañcassa ‘‘saññā’’ti gahetvā vā nigaṇṭhādayo viya takkamatteneva vā ‘‘arūpī attā hoti, arogo paraṃ maraṇā saññī’’ti naṃ paññapenti. Tatiyā pana missakagāhavasena pavattā diṭṭhi. Catutthā takkagāheneva. Dutiyacatukkaṃ antānantikavāde vuttanayeneva veditabbaṃ. Tatiyacatukke samāpannakavasena ekattasaññī , asamāpannakavasena nānattasaññī, parittakasiṇavasena parittasaññī, vipulakasiṇavasena appamāṇasaññīti veditabbā. Catutthacatukke pana dibbena cakkhunā tikacatukkajjhānabhūmiyaṃ nibbattamānaṃ disvā ‘‘ekantasukhī’’ti gaṇhāti. Niraye nibbattamānaṃ disvā ‘‘ekantadukkhī’’ti. Manussesu nibbattamānaṃ disvā ‘‘sukhadukkhī’’ti. Vehapphaladevesu nibbattamānaṃ disvā ‘‘adukkhamasukhī’’ti gaṇhāti. Visesato hi pubbenivāsānussatiñāṇalābhino pubbantakappikā honti, dibbacakkhukā aparantakappikāti.

    อสญฺญีวาทวณฺณนา

    Asaññīvādavaṇṇanā

    ๗๘-๘๓. อสญฺญีวาโท สญฺญีวาเท อาทิมฺหิ วุตฺตานํ ทฺวินฺนํ จตุกฺกานํ วเสน เวทิตโพฺพฯ ตถา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาโทฯ เกวลญฺหิ ตตฺถ ‘‘สญฺญี อตฺตา’’ติ คณฺหนฺตานํ ตา ทิฎฺฐิโย, อิธ ‘‘อสญฺญี’’ติ จ ‘‘เนวสญฺญีนาสญฺญี’’ติ จฯ ตตฺถ น เอกเนฺตน การณํ ปริเยสิตพฺพํฯ ทิฎฺฐิคติกสฺส หิ คาโห อุมฺมตฺตกปจฺฉิสทิโสติ วุตฺตเมตํฯ

    78-83. Asaññīvādo saññīvāde ādimhi vuttānaṃ dvinnaṃ catukkānaṃ vasena veditabbo. Tathā nevasaññīnāsaññīvādo. Kevalañhi tattha ‘‘saññī attā’’ti gaṇhantānaṃ tā diṭṭhiyo, idha ‘‘asaññī’’ti ca ‘‘nevasaññīnāsaññī’’ti ca. Tattha na ekantena kāraṇaṃ pariyesitabbaṃ. Diṭṭhigatikassa hi gāho ummattakapacchisadisoti vuttametaṃ.

    อุเจฺฉทวาทวณฺณนา

    Ucchedavādavaṇṇanā

    ๘๔. อุเจฺฉทวาเท สโตติ วิชฺชมานสฺสฯ อุเจฺฉทนฺติ อุปเจฺฉทํ ฯ วินาสนฺติ อทสฺสนํฯ วิภวนฺติ ภาววิคมํฯ สพฺพาเนตานิ อญฺญมญฺญเววจนาเนวฯ ตตฺถ เทฺว ชนา อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหนฺติ, ลาภี จ อลาภี จฯ ลาภี อรหโต ทิเพฺพน จกฺขุนา จุติํ ทิสฺวา อุปปตฺติํ อปสฺสโนฺต, โย วา จุติมตฺตเมว ทฎฺฐุํ สโกฺกติ, น อุปปาตํ; โส อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ อลาภี จ ‘‘โก ปรโลกํ น ชานาตี’’ติ กามสุขคิทฺธตาย วาฯ ‘‘ยถา รุกฺขโต ปณฺณานิ ปติตานิ น ปุน วิรุหนฺติ, เอวเมว สตฺตา’’ติอาทินา ตเกฺกน วา อุเจฺฉทํ คณฺหาติฯ อิธ ปน ตณฺหาทิฎฺฐีนํ วเสน ตถา จ อญฺญถา จ วิกเปฺปตฺวาว อิมา สตฺต ทิฎฺฐิโย อุปฺปนฺนาติ เวทิตพฺพาฯ

    84. Ucchedavāde satoti vijjamānassa. Ucchedanti upacchedaṃ . Vināsanti adassanaṃ. Vibhavanti bhāvavigamaṃ. Sabbānetāni aññamaññavevacanāneva. Tattha dve janā ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhanti, lābhī ca alābhī ca. Lābhī arahato dibbena cakkhunā cutiṃ disvā upapattiṃ apassanto, yo vā cutimattameva daṭṭhuṃ sakkoti, na upapātaṃ; so ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Alābhī ca ‘‘ko paralokaṃ na jānātī’’ti kāmasukhagiddhatāya vā. ‘‘Yathā rukkhato paṇṇāni patitāni na puna viruhanti, evameva sattā’’tiādinā takkena vā ucchedaṃ gaṇhāti. Idha pana taṇhādiṭṭhīnaṃ vasena tathā ca aññathā ca vikappetvāva imā satta diṭṭhiyo uppannāti veditabbā.

    ๘๕. ตตฺถ รูปีติ รูปวาฯ จาตุมหาภูติโกติ จตุมหาภูตมโยฯ มาตาปิตูนํ เอตนฺติ มาตาเปตฺติกํฯ กิํ ตํ? สุกฺกโสณิตํฯ มาตาเปตฺติเก สมฺภูโต ชาโตติ มาตาเปตฺติกสมฺภโวฯ อิติ รูปกายสีเสน มนุสฺสตฺตภาวํ ‘‘อตฺตา’’ติ วทติฯ อิเตฺถเกติ อิตฺถํ เอเก เอวเมเกติ อโตฺถฯ

    85. Tattha rūpīti rūpavā. Cātumahābhūtikoti catumahābhūtamayo. Mātāpitūnaṃ etanti mātāpettikaṃ. Kiṃ taṃ? Sukkasoṇitaṃ. Mātāpettike sambhūto jātoti mātāpettikasambhavo. Iti rūpakāyasīsena manussattabhāvaṃ ‘‘attā’’ti vadati. Ittheketi itthaṃ eke evameketi attho.

    ๘๖. ทุติโย ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ทิพฺพตฺตภาวํ วทติฯ ทิโพฺพติ เทวโลเก สมฺภูโตฯ กามาวจโรติ ฉ กามาวจรเทวปริยาปโนฺนฯ กพฬีการํ อาหารํ ภกฺขตีติ กพฬีการาหารภโกฺขฯ

    86. Dutiyo taṃ paṭikkhipitvā dibbattabhāvaṃ vadati. Dibboti devaloke sambhūto. Kāmāvacaroti cha kāmāvacaradevapariyāpanno. Kabaḷīkāraṃ āhāraṃ bhakkhatīti kabaḷīkārāhārabhakkho.

    ๘๗. มโนมโยติ ฌานมเนน นิพฺพโตฺตฯ สพฺพงฺคปจฺจงฺคีติ สพฺพงฺคปจฺจงฺคยุโตฺตฯ อหีนินฺทฺริโยติ ปริปุณฺณินฺทฺริโยฯ ยานิ พฺรหฺมโลเก อตฺถิ, เตสํ วเสน อิตเรสญฺจ สณฺฐานวเสเนตํ วุตฺตํฯ

    87.Manomayoti jhānamanena nibbatto. Sabbaṅgapaccaṅgīti sabbaṅgapaccaṅgayutto. Ahīnindriyoti paripuṇṇindriyo. Yāni brahmaloke atthi, tesaṃ vasena itaresañca saṇṭhānavasenetaṃ vuttaṃ.

    ๘๘-๙๒. สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมาติอาทีนํ อโตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตฯ อากาสานญฺจายตนูปโคติอาทีสุ ปน อากาสานญฺจายตนภวํ อุปคโตติ, เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    88-92.Sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamātiādīnaṃ attho visuddhimagge vutto. Ākāsānañcāyatanūpagotiādīsu pana ākāsānañcāyatanabhavaṃ upagatoti, evamattho veditabbo. Sesamettha uttānamevāti.

    ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทวณฺณนา

    Diṭṭhadhammanibbānavādavaṇṇanā

    ๙๓. ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาเท ทิฎฺฐธโมฺมติ ปจฺจกฺขธโมฺม วุจฺจติ, ตตฺถ ตตฺถ ปฎิลทฺธตฺตภาวเสฺสตํ อธิวจนํฯ ทิฎฺฐธเมฺม นิพฺพานํ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ, อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว ทุกฺขวูปสมนนฺติ อโตฺถฯ ตํ วทนฺตีติ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทาฯ ปรมทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานนฺติ ปรมํ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ อุตฺตมนฺติ อโตฺถฯ

    93. Diṭṭhadhammanibbānavāde diṭṭhadhammoti paccakkhadhammo vuccati, tattha tattha paṭiladdhattabhāvassetaṃ adhivacanaṃ. Diṭṭhadhamme nibbānaṃ diṭṭhadhammanibbānaṃ, imasmiṃyeva attabhāve dukkhavūpasamananti attho. Taṃ vadantīti diṭṭhadhammanibbānavādā. Paramadiṭṭhadhammanibbānanti paramaṃ diṭṭhadhammanibbānaṃ uttamanti attho.

    ๙๔. ปญฺจหิ กามคุเณหีติ มนาปิยรูปาทีหิ ปญฺจหิ กามโกฎฺฐาเสหิ พนฺธเนหิ วาฯ สมปฺปิโตติ สุฎฺฐุ อปฺปิโต อลฺลีโน หุตฺวาฯ สมงฺคีภูโตติ สมนฺนาคโตฯ ปริจาเรตีติ เตสุ กามคุเณสุ ยถาสุขํ อินฺทฺริยานิ จาเรติ สญฺจาเรติ อิโตจิโต จ อุปเนติฯ อถ วา ลฬติ รมติ กีฬติฯ เอตฺถ จ ทุวิธา กามคุณา – มานุสกา เจว ทิพฺพา จฯ มานุสกา มนฺธาตุกามคุณสทิสา ทฎฺฐพฺพา, ทิพฺพา ปรนิมฺมิตวสวตฺติเทวราชสฺส กามคุณสทิสาติฯ เอวรูเป กาเม อุปคตานญฺหิ เต ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานสมฺปตฺติํ ปญฺญเปนฺติฯ

    94.Pañcahi kāmaguṇehīti manāpiyarūpādīhi pañcahi kāmakoṭṭhāsehi bandhanehi vā. Samappitoti suṭṭhu appito allīno hutvā. Samaṅgībhūtoti samannāgato. Paricāretīti tesu kāmaguṇesu yathāsukhaṃ indriyāni cāreti sañcāreti itocito ca upaneti. Atha vā laḷati ramati kīḷati. Ettha ca duvidhā kāmaguṇā – mānusakā ceva dibbā ca. Mānusakā mandhātukāmaguṇasadisā daṭṭhabbā, dibbā paranimmitavasavattidevarājassa kāmaguṇasadisāti. Evarūpe kāme upagatānañhi te diṭṭhadhammanibbānasampattiṃ paññapenti.

    ๙๕. ทุติยวาเร หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจา ปฎิปีฬนเฎฺฐน ทุกฺขา, ปกติชหนเฎฺฐน วิปริณามธมฺมาติ เวทิตพฺพาฯ เตสํ วิปริณามญฺญถาภาวาติ เตสํ กามานํ วิปริณามสงฺขาตา อญฺญถาภาวา, ยมฺปิ เม อโหสิ, ตมฺปิ เม นตฺถีติ วุตฺตนเยน อุปฺปชฺชนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาฯ ตตฺถ อโนฺตนิชฺฌายนลกฺขโณ โสโก, ตนฺนิสฺสิตลาลปฺปนลกฺขโณ ปริเทโว, กายปฺปฎิปีฬนลกฺขณํ ทุกฺขํ, มโนวิฆาตลกฺขณํ โทมนสฺสํ, วิสาทลกฺขโณ อุปายาโส, วิวิเจฺจว กาเมหีติอาทีนมโตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตฯ

    95. Dutiyavāre hutvā abhāvaṭṭhena aniccā paṭipīḷanaṭṭhena dukkhā, pakatijahanaṭṭhena vipariṇāmadhammāti veditabbā. Tesaṃ vipariṇāmaññathābhāvāti tesaṃ kāmānaṃ vipariṇāmasaṅkhātā aññathābhāvā, yampi me ahosi, tampi me natthīti vuttanayena uppajjanti sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā. Tattha antonijjhāyanalakkhaṇo soko, tannissitalālappanalakkhaṇo paridevo, kāyappaṭipīḷanalakkhaṇaṃ dukkhaṃ, manovighātalakkhaṇaṃ domanassaṃ, visādalakkhaṇo upāyāso, vivicceva kāmehītiādīnamattho visuddhimagge vutto.

    ๙๖. วิตกฺกิตนฺติ อภินิโรปนวเสน ปวโตฺต วิตโกฺกฯ วิจาริตนฺติ อนุมชฺชนวเสน ปวโตฺต วิจาโรฯ เอเตเนตนฺติ เอเตน วิตกฺกิเตน จ วิจาริเตน จ เอตํ ปฐมชฺฌานํ โอฬาริกํ สกณฺฑกํ วิย ขายติฯ

    96.Vitakkitanti abhiniropanavasena pavatto vitakko. Vicāritanti anumajjanavasena pavatto vicāro. Etenetanti etena vitakkitena ca vicāritena ca etaṃ paṭhamajjhānaṃ oḷārikaṃ sakaṇḍakaṃ viya khāyati.

    ๙๗-๙๘. ปีติคตนฺติ ปีติเยวฯ เจตโส อุปฺปิลาวิตตฺตนฺติ จิตฺตสฺส อุปฺปิลภาวกรณํฯ เจตโส อาโภโคติ ฌานา วุฎฺฐาย ตสฺมิํ สุเข ปุนปฺปุนํ จิตฺตสฺส อาโภโค มนสิกาโร สมนฺนาหาโรติฯ เสสเมตฺถ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาเท อุตฺตานเมวฯ

    97-98.Pītigatanti pītiyeva. Cetaso uppilāvitattanti cittassa uppilabhāvakaraṇaṃ. Cetaso ābhogoti jhānā vuṭṭhāya tasmiṃ sukhe punappunaṃ cittassa ābhogo manasikāro samannāhāroti. Sesamettha diṭṭhadhammanibbānavāde uttānameva.

    เอตฺตาวตา สพฺพาปิ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิโย กถิตา โหนฺติฯ ยาสํ สเตฺตว อุเจฺฉททิฎฺฐิโย, เสสา สสฺสตทิฎฺฐิโยฯ

    Ettāvatā sabbāpi dvāsaṭṭhidiṭṭhiyo kathitā honti. Yāsaṃ satteva ucchedadiṭṭhiyo, sesā sassatadiṭṭhiyo.

    ๑๐๐-๑๐๔. อิทานิ – ‘‘อิเมหิ โข เต, ภิกฺขเว’’ติ อิมินา วาเรน สเพฺพปิ เต อปรนฺตกปฺปิเก เอกชฺฌํ นิยฺยาเตตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วิสฺสเชฺชติฯ ปุน – ‘‘อิเมหิ, โข เต ภิกฺขเว’’ติอาทินา วาเรน สเพฺพปิ เต ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิเก เอกชฺฌํ นิยฺยาเตตฺวา ตเทว ญาณํ วิสฺสเชฺชติฯ อิติ ‘‘กตเม จ เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา’’ติอาทิมฺหิ ปุจฺฉมาโนปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสชฺชมาโนปิ สตฺตานํ อชฺฌาสยํ ตุลาย ตุลยโนฺต วิย สิเนรุปาทโต วาลุกํ อุทฺธรโนฺต วิย ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิ อุทฺธริตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว วิสฺสเชฺชติฯ เอวมยํ ยถานุสนฺธิวเสน เทสนา อาคตาฯ

    100-104. Idāni – ‘‘imehi kho te, bhikkhave’’ti iminā vārena sabbepi te aparantakappike ekajjhaṃ niyyātetvā sabbaññutaññāṇaṃ vissajjeti. Puna – ‘‘imehi, kho te bhikkhave’’tiādinā vārena sabbepi te pubbantāparantakappike ekajjhaṃ niyyātetvā tadeva ñāṇaṃ vissajjeti. Iti ‘‘katame ca te, bhikkhave, dhammā’’tiādimhi pucchamānopi sabbaññutaññāṇameva pucchitvā vissajjamānopi sattānaṃ ajjhāsayaṃ tulāya tulayanto viya sinerupādato vālukaṃ uddharanto viya dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni uddharitvā sabbaññutaññāṇameva vissajjeti. Evamayaṃ yathānusandhivasena desanā āgatā.

    ตโย หิ สุตฺตสฺส อนุสนฺธี – ปุจฺฉานุสนฺธิ, อชฺฌาสยานุสนฺธิ, ยถานุสนฺธีติฯ ตตฺถ ‘‘เอวํ วุเตฺต อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – กิํ นุ โข, ภเนฺต, โอริมํ ตีรํ, กิํ ปาริมํ ตีรํ, โก มเชฺฌ สํสีโท, โก ถเล อุสฺสาโท, โก มนุสฺสคฺคาโห, โก อมนุสฺสคฺคาโห, โก อาวฎฺฎคฺคาโห, โก อโนฺตปูติภาโว’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) เอวํ ปุจฺฉนฺตานํ ภควตา วิสฺสชฺชิตสุตฺตวเสน ปุจฺฉานุสนฺธิ เวทิตโพฺพฯ

    Tayo hi suttassa anusandhī – pucchānusandhi, ajjhāsayānusandhi, yathānusandhīti. Tattha ‘‘evaṃ vutte aññataro bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – kiṃ nu kho, bhante, orimaṃ tīraṃ, kiṃ pārimaṃ tīraṃ, ko majjhe saṃsīdo, ko thale ussādo, ko manussaggāho, ko amanussaggāho, ko āvaṭṭaggāho, ko antopūtibhāvo’’ti (saṃ. ni. 4.241) evaṃ pucchantānaṃ bhagavatā vissajjitasuttavasena pucchānusandhi veditabbo.

    อถ โข อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘‘อิติ กิร โภ รูปํ อนตฺตา…, เวทนา…, สญฺญา…, สงฺขารา …, วิญฺญาณํ อนตฺตา, อนตฺตกตานิ กิร กมฺมานิ กมตฺตานํ ผุสิสฺสนฺตี’’ติฯ อถ โข ภควา ตสฺส ภิกฺขุโน เจตสา เจโต ปริวิตกฺกมญฺญาย ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ, ยํ อิเธกโจฺจ โมฆปุริโส อวิทฺวา อวิชฺชาคโต ตณฺหาธิปเตเยฺยน เจตสา สตฺถุสาสนํ อติธาวิตพฺพํ มเญฺญยฺย – ‘‘อิติ กิร โภ รูปํ อนตฺตา…เป.… ผุสิสฺสนฺตี’’ติฯ ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๐)ฯ เอวํ ปเรสํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ภควตา วุตฺตสุตฺตวเสน อชฺฌาสยานุสนฺธิ เวทิตโพฺพฯ

    Atha kho aññatarassa bhikkhuno evaṃ cetaso parivitakko udapādi – ‘‘iti kira bho rūpaṃ anattā…, vedanā…, saññā…, saṅkhārā …, viññāṇaṃ anattā, anattakatāni kira kammāni kamattānaṃ phusissantī’’ti. Atha kho bhagavā tassa bhikkhuno cetasā ceto parivitakkamaññāya bhikkhū āmantesi – ‘‘ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati, yaṃ idhekacco moghapuriso avidvā avijjāgato taṇhādhipateyyena cetasā satthusāsanaṃ atidhāvitabbaṃ maññeyya – ‘‘iti kira bho rūpaṃ anattā…pe… phusissantī’’ti. Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti (ma. ni. 3.10). Evaṃ paresaṃ ajjhāsayaṃ viditvā bhagavatā vuttasuttavasena ajjhāsayānusandhi veditabbo.

    เยน ปน ธเมฺมน อาทิมฺหิ เทสนา อุฎฺฐิตา, ตสฺส ธมฺมสฺส อนุรูปธมฺมวเสน วา ปฎิปกฺขวเสน วา เยสุ สุเตฺตสุ อุปริ เทสนา อาคจฺฉติ, เตสํ วเสน ยถานุสนฺธิ เวทิตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ, อากเงฺขยฺยสุเตฺต เหฎฺฐา สีเลน เทสนา อุฎฺฐิตา, อุปริ ฉ อภิญฺญา อาคตาฯ วตฺถสุเตฺต เหฎฺฐา กิเลเสน เทสนา อุฎฺฐิตา, อุปริ พฺรหฺมวิหารา อาคตาฯ โกสมฺพกสุเตฺต เหฎฺฐา ภณฺฑเนน อุฎฺฐิตา, อุปริ สารณียธมฺมา อาคตาฯ กกจูปเม เหฎฺฐา อกฺขนฺติยา อุฎฺฐิตา, อุปริ กกจูปมา อาคตาฯ อิมสฺมิมฺปิ พฺรหฺมชาเล เหฎฺฐา ทิฎฺฐิวเสน เทสนา อุฎฺฐิตา, อุปริ สุญฺญตาปกาสนํ อาคตํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอวมยํ ยถานุสนฺธิวเสน เทสนา อาคตา’’ติฯ

    Yena pana dhammena ādimhi desanā uṭṭhitā, tassa dhammassa anurūpadhammavasena vā paṭipakkhavasena vā yesu suttesu upari desanā āgacchati, tesaṃ vasena yathānusandhi veditabbo. Seyyathidaṃ, ākaṅkheyyasutte heṭṭhā sīlena desanā uṭṭhitā, upari cha abhiññā āgatā. Vatthasutte heṭṭhā kilesena desanā uṭṭhitā, upari brahmavihārā āgatā. Kosambakasutte heṭṭhā bhaṇḍanena uṭṭhitā, upari sāraṇīyadhammā āgatā. Kakacūpame heṭṭhā akkhantiyā uṭṭhitā, upari kakacūpamā āgatā. Imasmimpi brahmajāle heṭṭhā diṭṭhivasena desanā uṭṭhitā, upari suññatāpakāsanaṃ āgataṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘evamayaṃ yathānusandhivasena desanā āgatā’’ti.

    ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตวารวณฺณนา

    Paritassitavipphanditavāravaṇṇanā

    ๑๐๕-๑๑๗. อิทานิ มริยาทวิภาคทสฺสนตฺถํ – ‘‘ตตฺร ภิกฺขเว’’ติอาทิกา เทสนา อารทฺธาฯ ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวาติ เยน ทิฎฺฐิอสฺสาเทน ทิฎฺฐิสุเขน ทิฎฺฐิเวทยิเตน เต โสมนสฺสชาตา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ เตสํ ภวนฺตานํ สมณพฺราหฺมณานํ ยถาภูตํ ธมฺมานํ สภาวํ อชานนฺตานํ อปสฺสนฺตานํ เวทยิตํ ตณฺหาคตานํ เกวลํ ตณฺหาคตานํเยว ตํ เวทยิตํ, ตญฺจ โข ปเนตํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตเมวฯ ทิฎฺฐิสงฺขาเตน เจว ตณฺหาสงฺขาเตน จ ปริตสฺสิเตน วิปฺผนฺทิตเมว จลิตเมว กมฺปิตเมว ถุสราสิมฺหิ นิขาตขาณุสทิสํ, น โสตาปนฺนสฺส ทสฺสนมิว นิจฺจลนฺติ ทเสฺสติฯ เอส นโย เอกจฺจสสฺสตวาทาทีสุปิฯ

    105-117. Idāni mariyādavibhāgadassanatthaṃ – ‘‘tatra bhikkhave’’tiādikā desanā āraddhā. Tadapi tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ ajānataṃ apassataṃ vedayitaṃ taṇhāgatānaṃ paritassitavipphanditamevāti yena diṭṭhiassādena diṭṭhisukhena diṭṭhivedayitena te somanassajātā sassataṃ attānañca lokañca paññapenti catūhi vatthūhi, tadapi tesaṃ bhavantānaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ yathābhūtaṃ dhammānaṃ sabhāvaṃ ajānantānaṃ apassantānaṃ vedayitaṃ taṇhāgatānaṃ kevalaṃ taṇhāgatānaṃyeva taṃ vedayitaṃ, tañca kho panetaṃ paritassitavipphanditameva. Diṭṭhisaṅkhātena ceva taṇhāsaṅkhātena ca paritassitena vipphanditameva calitameva kampitameva thusarāsimhi nikhātakhāṇusadisaṃ, na sotāpannassa dassanamiva niccalanti dasseti. Esa nayo ekaccasassatavādādīsupi.

    ผสฺสปจฺจยวารวณฺณนา

    Phassapaccayavāravaṇṇanā

    ๑๑๘-๑๓๐. ปุน – ‘‘ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา’’ติอาทิ ปรมฺปรปจฺจยทสฺสนตฺถํ อารทฺธํ ฯ ตตฺถ ตทปิ ผสฺสปจฺจยาติ เยน ทิฎฺฐิอสฺสาเทน ทิฎฺฐิสุเขน ทิฎฺฐิเวทยิเตน เต โสมนสฺสชาตา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, ตทปิ ตณฺหาทิฎฺฐิปริผนฺทิตํ เวทยิตํ ผสฺสปจฺจยาติ ทเสฺสติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    118-130. Puna – ‘‘tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā sassatavādā’’tiādi paramparapaccayadassanatthaṃ āraddhaṃ . Tattha tadapi phassapaccayāti yena diṭṭhiassādena diṭṭhisukhena diṭṭhivedayitena te somanassajātā sassataṃ attānañca lokañca paññapenti catūhi vatthūhi, tadapi taṇhādiṭṭhipariphanditaṃ vedayitaṃ phassapaccayāti dasseti. Esa nayo sabbattha.

    ๑๓๑-๑๔๓. อิทานิ ตสฺส ปจฺจยสฺส ทิฎฺฐิเวทยิเต พลวภาวทสฺสนตฺถํ ปุน – ‘‘ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เต วต อญฺญตฺร ผสฺสาติ เต วต สมณพฺราหฺมณา ตํ เวทยิตํ วินา ผเสฺสน ปฎิสํเวทิสฺสนฺตีติ การณเมตํ นตฺถีติฯ ยถา หิ ปตโต เคหสฺส อุปตฺถมฺภนตฺถาย ถูณา นาม พลวปจฺจโย โหติ, น ตํ ถูณาย อนุปตฺถมฺภิตํ ฐาตุํ สโกฺกติ, เอวเมว ผโสฺสปิ เวทนาย พลวปจฺจโย, ตํ วินา อิทํ ทิฎฺฐิเวทยิตํ นตฺถีติ ทเสฺสติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    131-143. Idāni tassa paccayassa diṭṭhivedayite balavabhāvadassanatthaṃ puna – ‘‘tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā sassatavādā’’tiādimāha. Tattha te vata aññatra phassāti te vata samaṇabrāhmaṇā taṃ vedayitaṃ vinā phassena paṭisaṃvedissantīti kāraṇametaṃ natthīti. Yathā hi patato gehassa upatthambhanatthāya thūṇā nāma balavapaccayo hoti, na taṃ thūṇāya anupatthambhitaṃ ṭhātuṃ sakkoti, evameva phassopi vedanāya balavapaccayo, taṃ vinā idaṃ diṭṭhivedayitaṃ natthīti dasseti. Esa nayo sabbattha.

    ทิฎฺฐิคติกาธิฎฺฐานวฎฺฎกถาวณฺณนา

    Diṭṭhigatikādhiṭṭhānavaṭṭakathāvaṇṇanā

    ๑๔๔. อิทานิ ตตฺร ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สสฺสตวาทา สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหิ, เยปิ เต สมณพฺราหฺมณา เอกจฺจสสฺสติกาติอาทินา นเยน สพฺพทิฎฺฐิเวทยิตานิ สมฺปิเณฺฑติฯ กสฺมา? อุปริ ผเสฺส ปกฺขิปนตฺถายฯ กถํ? สเพฺพ เต ฉหิ ผสฺสายตเนหิ ผุสฺส ผุสฺส ปฎิสํเวเทนฺตีติฯ ตตฺถ ฉ ผสฺสายตนานิ นาม – จกฺขุผสฺสายตนํ, โสตผสฺสายตนํ, ฆานผสฺสายตนํ, ชิวฺหาผสฺสายตนํ, กายผสฺสายตนํ, มโนผสฺสายตนนฺติ อิมานิ ฉฯ สญฺชาติ-สโมสรณ-การณ-ปณฺณตฺติมตฺตเตฺถสุ หิ อยํ อายตนสโทฺท ปวตฺตติฯ ตตฺถ – ‘‘กโมฺพโช อสฺสานํ อายตนํ, คุนฺนํ ทกฺขิณาปโถ’’ติ สญฺชาติยํ ปวตฺตติ, สญฺชาติฎฺฐาเนติ อโตฺถฯ ‘‘มโนรเม อายตเน, เสวนฺติ นํ วิหงฺคมา’’ติ (อ. นิ. ๕.๓๘) สโมสรเณฯ ‘‘สติ สติอายตเน’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๐๒) การเณฯ ‘‘อรญฺญายตเน ปณฺณกุฎีสุ สมฺมนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๕๕) ปณฺณตฺติมเตฺตฯ สฺวายมิธ สญฺชาติอาทิอตฺถตฺตเยปิ ยุชฺชติฯ จกฺขาทีสุ หิ ผสฺสปญฺจมกา ธมฺมา สญฺชายนฺติ สโมสรนฺติ, ตานิ จ เตสํ การณนฺติ อายตนานิฯ อิธ ปน ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ, ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส’’ติ (สํ. นิ. ๒.๔๓) อิมินา นเยน ผสฺสสีเสเนว เทสนํ อาโรเปตฺวา ผสฺสํ อาทิํ กตฺวา ปจฺจยปรมฺปรํ ทเสฺสตุํ ผสฺสายตนาทีนิ วุตฺตานิฯ

    144. Idāni tatra bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā sassatavādā sassataṃ attānañca lokañca paññapenti catūhi vatthūhi, yepi te samaṇabrāhmaṇā ekaccasassatikātiādinā nayena sabbadiṭṭhivedayitāni sampiṇḍeti. Kasmā? Upari phasse pakkhipanatthāya. Kathaṃ? Sabbe te chahi phassāyatanehi phussa phussa paṭisaṃvedentīti. Tattha cha phassāyatanāni nāma – cakkhuphassāyatanaṃ, sotaphassāyatanaṃ, ghānaphassāyatanaṃ, jivhāphassāyatanaṃ, kāyaphassāyatanaṃ, manophassāyatananti imāni cha. Sañjāti-samosaraṇa-kāraṇa-paṇṇattimattatthesu hi ayaṃ āyatanasaddo pavattati. Tattha – ‘‘kambojo assānaṃ āyatanaṃ, gunnaṃ dakkhiṇāpatho’’ti sañjātiyaṃ pavattati, sañjātiṭṭhāneti attho. ‘‘Manorame āyatane, sevanti naṃ vihaṅgamā’’ti (a. ni. 5.38) samosaraṇe. ‘‘Sati satiāyatane’’ti (a. ni. 3.102) kāraṇe. ‘‘Araññāyatane paṇṇakuṭīsu sammantī’’ti (saṃ. ni. 1.255) paṇṇattimatte. Svāyamidha sañjātiādiatthattayepi yujjati. Cakkhādīsu hi phassapañcamakā dhammā sañjāyanti samosaranti, tāni ca tesaṃ kāraṇanti āyatanāni. Idha pana ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇaṃ, tiṇṇaṃ saṅgati phasso’’ti (saṃ. ni. 2.43) iminā nayena phassasīseneva desanaṃ āropetvā phassaṃ ādiṃ katvā paccayaparamparaṃ dassetuṃ phassāyatanādīni vuttāni.

    ผุสฺส ผุสฺส ปฎิสํเวเทนฺตีติ ผุสิตฺวา ผุสิตฺวา ปฎิสํเวเทนฺติฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ อายตนานํ ผุสนกิจฺจํ วิย วุตฺตํ, ตถาปิ น เตสํ ผุสนกิจฺจตา เวทิตพฺพาฯ น หิ อายตนานิ ผุสนฺติ, ผโสฺสว ตํ ตํ อารมฺมณํ ผุสติ, อายตนานิ ปน ผเสฺส อุปนิกฺขิปิตฺวา ทสฺสิตานิ; ตสฺมา สเพฺพ เต ฉ ผสฺสายตนสมฺภเวน ผเสฺสน รูปาทีนิ อารมฺมณานิ ผุสิตฺวา ตํ ทิฎฺฐิเวทนํ ปฎิสํเวทยนฺตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Phussa phussa paṭisaṃvedentīti phusitvā phusitvā paṭisaṃvedenti. Ettha ca kiñcāpi āyatanānaṃ phusanakiccaṃ viya vuttaṃ, tathāpi na tesaṃ phusanakiccatā veditabbā. Na hi āyatanāni phusanti, phassova taṃ taṃ ārammaṇaṃ phusati, āyatanāni pana phasse upanikkhipitvā dassitāni; tasmā sabbe te cha phassāyatanasambhavena phassena rūpādīni ārammaṇāni phusitvā taṃ diṭṭhivedanaṃ paṭisaṃvedayantīti evamettha attho veditabbo.

    เตสํ เวทนาปจฺจยา ตณฺหาติอาทีสุ เวทนาติ ฉ ผสฺสายตนสมฺภวา เวทนาฯ สา รูปตณฺหาทิเภทาย ตณฺหาย อุปนิสฺสยโกฎิยา ปจฺจโย โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตสํ เวทนาปจฺจยา ตณฺหา’’ติฯ สา ปน จตุพฺพิธสฺส อุปาทานสฺส อุปนิสฺสยโกฎิยา เจว สหชาตโกฎิยา จ ปจฺจโย โหติฯ ตถา อุปาทานํ ภวสฺสฯ ภโว ชาติยา อุปนิสฺสยโกฎิยา ปจฺจโย โหติฯ

    Tesaṃ vedanāpaccayā taṇhātiādīsu vedanāti cha phassāyatanasambhavā vedanā. Sā rūpataṇhādibhedāya taṇhāya upanissayakoṭiyā paccayo hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘tesaṃ vedanāpaccayā taṇhā’’ti. Sā pana catubbidhassa upādānassa upanissayakoṭiyā ceva sahajātakoṭiyā ca paccayo hoti. Tathā upādānaṃ bhavassa. Bhavo jātiyā upanissayakoṭiyā paccayo hoti.

    ชาตีติ ปเนตฺถ สวิการา ปญฺจกฺขนฺธา ทฎฺฐพฺพา, ชาติ ชรามรณสฺส เจว โสกาทีนญฺจ อุปนิสฺสยโกฎิยา ปจฺจโย โหติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปน ปฎิจฺจสมุปฺปาทกถา วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตาฯ อิธ ปนสฺส ปโยชนมตฺตเมว เวทิตพฺพํฯ ภควา หิ วฎฺฎกถํ กเถโนฺต – ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย, ‘อิโต ปุเพฺพ อวิชฺชา นาโหสิ, อถ ปจฺฉา สมภวี’ติ เอวเญฺจตํ, ภิกฺขเว, วุจฺจติ, อถ จ ปน ปญฺญายติ ‘‘อิทปฺปจฺจยา อวิชฺชา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๑) เอวํ อวิชฺชาสีเสน วา, ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ ภวตณฺหาย…เป.… ‘‘อิทปฺปจฺจยา ภวตณฺหา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๒) เอวํ ตณฺหาสีเสน วา, ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ ภวทิฎฺฐิยา…เป.… ‘‘อิทปฺปจฺจยา ภวทิฎฺฐี’’ติ เอวํ ทิฎฺฐิสีเสน วา กเถสิ’’ฯ อิธ ปน ทิฎฺฐิสีเสน กเถโนฺต เวทนาราเคน อุปฺปชฺชมานา ทิฎฺฐิโย กเถตฺวา เวทนามูลกํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ กเถสิฯ เตน อิทํ ทเสฺสติ – ‘‘เอวเมเต ทิฎฺฐิคติกา, อิทํ ทสฺสนํ คเหตฺวา ตีสุ ภเวสุ จตูสุ โยนีสุ ปญฺจสุ คตีสุ สตฺตสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ นวสุ สตฺตาวาเสสุ อิโต เอตฺถ เอโตฺต อิธาติ สนฺธาวนฺตา สํสรนฺตา ยเนฺต ยุตฺตโคโณ วิย, ถเมฺภ อุปนิพทฺธกุกฺกุโร วิย, วาเตน วิปฺปนฺนฎฺฐนาวา วิย จ วฎฺฎทุกฺขเมว อนุปริวตฺตนฺติ, วฎฺฎทุกฺขโต สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติฯ

    Jātīti panettha savikārā pañcakkhandhā daṭṭhabbā, jāti jarāmaraṇassa ceva sokādīnañca upanissayakoṭiyā paccayo hoti. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato pana paṭiccasamuppādakathā visuddhimagge vuttā. Idha panassa payojanamattameva veditabbaṃ. Bhagavā hi vaṭṭakathaṃ kathento – ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati avijjāya, ‘ito pubbe avijjā nāhosi, atha pacchā samabhavī’ti evañcetaṃ, bhikkhave, vuccati, atha ca pana paññāyati ‘‘idappaccayā avijjā’’ti (a. ni. 10.61) evaṃ avijjāsīsena vā, purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati bhavataṇhāya…pe… ‘‘idappaccayā bhavataṇhā’’ti (a. ni. 10.62) evaṃ taṇhāsīsena vā, purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati bhavadiṭṭhiyā…pe… ‘‘idappaccayā bhavadiṭṭhī’’ti evaṃ diṭṭhisīsena vā kathesi’’. Idha pana diṭṭhisīsena kathento vedanārāgena uppajjamānā diṭṭhiyo kathetvā vedanāmūlakaṃ paṭiccasamuppādaṃ kathesi. Tena idaṃ dasseti – ‘‘evamete diṭṭhigatikā, idaṃ dassanaṃ gahetvā tīsu bhavesu catūsu yonīsu pañcasu gatīsu sattasu viññāṇaṭṭhitīsu navasu sattāvāsesu ito ettha etto idhāti sandhāvantā saṃsarantā yante yuttagoṇo viya, thambhe upanibaddhakukkuro viya, vātena vippannaṭṭhanāvā viya ca vaṭṭadukkhameva anuparivattanti, vaṭṭadukkhato sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkontī’’ti.

    วิวฎฺฎกถาทิวณฺณนา

    Vivaṭṭakathādivaṇṇanā

    ๑๔๕. เอวํ ทิฎฺฐิคติกาธิฎฺฐานํ วฎฺฎํ กเถตฺวา อิทานิ ยุตฺตโยคภิกฺขุอธิฎฺฐานํ กตฺวา วิวฎฺฎํ ทเสฺสโนฺต – ‘‘ยโต โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขู’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยโตติ ยทาฯ ฉนฺนํ ผสฺสายตนานนฺติ เยหิ ฉหิ ผสฺสายตเนหิ ผุสิตฺวา ปฎิสํเวทยมานานํ ทิฎฺฐิคติกานํ วฎฺฎํ วตฺตติ, เตสํเยว ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํฯ สมุทยนฺติอาทีสุ อวิชฺชาสมุทยา จกฺขุสมุทโยติอาทินา เวทนากมฺมฎฺฐาเน วุตฺตนเยน ผสฺสายตนานํ สมุทยาทโย เวทิตพฺพาฯ ยถา ปน ตตฺถ ‘‘ผสฺสสมุทยา ผสฺสนิโรธา’’ติ วุตฺตํ, เอวมิธ, ตํ จกฺขาทีสุ – ‘‘อาหารสมุทยา อาหารนิโรธา’’ติ เวทิตพฺพํฯ มนายตเน ‘‘นามรูปสมุทยา นามรูปนิโรธา’’ติฯ

    145. Evaṃ diṭṭhigatikādhiṭṭhānaṃ vaṭṭaṃ kathetvā idāni yuttayogabhikkhuadhiṭṭhānaṃ katvā vivaṭṭaṃ dassento – ‘‘yato kho, bhikkhave, bhikkhū’’tiādimāha. Tattha yatoti yadā. Channaṃ phassāyatanānanti yehi chahi phassāyatanehi phusitvā paṭisaṃvedayamānānaṃ diṭṭhigatikānaṃ vaṭṭaṃ vattati, tesaṃyeva channaṃ phassāyatanānaṃ. Samudayantiādīsu avijjāsamudayā cakkhusamudayotiādinā vedanākammaṭṭhāne vuttanayena phassāyatanānaṃ samudayādayo veditabbā. Yathā pana tattha ‘‘phassasamudayā phassanirodhā’’ti vuttaṃ, evamidha, taṃ cakkhādīsu – ‘‘āhārasamudayā āhāranirodhā’’ti veditabbaṃ. Manāyatane ‘‘nāmarūpasamudayā nāmarūpanirodhā’’ti.

    อุตฺตริตรํ ปชานาตีติ ทิฎฺฐิคติโก ทิฎฺฐิเมว ชานาติฯ อยํ ปน ทิฎฺฐิญฺจ ทิฎฺฐิโต จ อุตฺตริตรํ สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺตินฺติ ยาว อรหตฺตา ชานาติฯ โก เอวํ ชานาตีติ? ขีณาสโว ชานาติ, อนาคามี, สกทาคามี, โสตาปโนฺน, พหุสฺสุโต, คนฺถธโร ภิกฺขุ ชานาติ, อารทฺธวิปสฺสโก ชานาติฯ เทสนา ปน อรหตฺตนิกูเฎเนว นิฎฺฐาปิตาติฯ

    Uttaritaraṃ pajānātīti diṭṭhigatiko diṭṭhimeva jānāti. Ayaṃ pana diṭṭhiñca diṭṭhito ca uttaritaraṃ sīlasamādhipaññāvimuttinti yāva arahattā jānāti. Ko evaṃ jānātīti? Khīṇāsavo jānāti, anāgāmī, sakadāgāmī, sotāpanno, bahussuto, ganthadharo bhikkhu jānāti, āraddhavipassako jānāti. Desanā pana arahattanikūṭeneva niṭṭhāpitāti.

    ๑๔๖. เอวํ วิวฎฺฎํ กเถตฺวา อิทานิ ‘‘เทสนาชาลวิมุโตฺต ทิฎฺฐิคติโก นาม นตฺถี’’ติ ทสฺสนตฺถํ ปุน – ‘‘เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว’’ติ อารภิฯ ตตฺถ อโนฺตชาลีกตาติ อิมสฺส มยฺหํ เทสนาชาลสฺส อโนฺตเยว กตาฯ เอตฺถ สิตา วาติ เอตสฺมิํ มม เทสนาชาเล สิตา นิสฺสิตา อวสิตาวฯ อุมฺมุชฺชมานา อุมฺมุชฺชนฺตีติ กิํ วุตฺตํ โหติ? เต อโธ โอสีทนฺตาปิ อุทฺธํ อุคฺคจฺฉนฺตาปิ มม เทสนาชาเล สิตาว หุตฺวา โอสีทนฺติ จ อุคฺคจฺฉนฺติ จฯ เอตฺถ ปริยาปนฺนาติ เอตฺถ มยฺหํ เทสนาชาเล ปริยาปนฺนา, เอเตน อาพทฺธา อโนฺตชาลีกตา จ หุตฺวา อุมฺมุชฺชมานา อุมฺมุชฺชนฺติ, น เหตฺถ อสงฺคหิโต ทิฎฺฐิคติโก นาม อตฺถีติฯ

    146. Evaṃ vivaṭṭaṃ kathetvā idāni ‘‘desanājālavimutto diṭṭhigatiko nāma natthī’’ti dassanatthaṃ puna – ‘‘ye hi keci, bhikkhave’’ti ārabhi. Tattha antojālīkatāti imassa mayhaṃ desanājālassa antoyeva katā. Ettha sitā vāti etasmiṃ mama desanājāle sitā nissitā avasitāva. Ummujjamānā ummujjantīti kiṃ vuttaṃ hoti? Te adho osīdantāpi uddhaṃ uggacchantāpi mama desanājāle sitāva hutvā osīdanti ca uggacchanti ca. Ettha pariyāpannāti ettha mayhaṃ desanājāle pariyāpannā, etena ābaddhā antojālīkatā ca hutvā ummujjamānā ummujjanti, na hettha asaṅgahito diṭṭhigatiko nāma atthīti.

    สุขุมจฺฉิเกนาติ สณฺหอจฺฉิเกน สุขุมจฺฉิเทฺทนาติ อโตฺถฯ เกวโฎฺฎ วิย หิ ภควา, ชาลํ วิย เทสนา, ปริตฺตอุทกํ วิย ทสสหสฺสิโลกธาตุ, โอฬาริกา ปาณา วิย ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคติกาฯ ตสฺส ตีเร ฐตฺวา โอโลเกนฺตสฺส โอฬาริกานํ ปาณานํ อโนฺตชาลีกตภาวทสฺสนํ วิย ภควโต สพฺพทิฎฺฐิคตานํ เทสนาชาลสฺส อโนฺตกตภาวทสฺสนนฺติ เอวเมตฺถ โอปมฺมสํสนฺทนํ เวทิตพฺพํฯ

    Sukhumacchikenāti saṇhaacchikena sukhumacchiddenāti attho. Kevaṭṭo viya hi bhagavā, jālaṃ viya desanā, parittaudakaṃ viya dasasahassilokadhātu, oḷārikā pāṇā viya dvāsaṭṭhidiṭṭhigatikā. Tassa tīre ṭhatvā olokentassa oḷārikānaṃ pāṇānaṃ antojālīkatabhāvadassanaṃ viya bhagavato sabbadiṭṭhigatānaṃ desanājālassa antokatabhāvadassananti evamettha opammasaṃsandanaṃ veditabbaṃ.

    ๑๔๗. เอวํ อิมาหิ ทฺวาสฎฺฐิยา ทิฎฺฐีหิ สพฺพทิฎฺฐีนํ สงฺคหิตตฺตา สเพฺพสํ ทิฎฺฐิคติกานํ เอตสฺมิํ เทสนาชาเล ปริยาปนฺนภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อตฺตโน กตฺถจิ อปริยาปนฺนภาวํ ทเสฺสโนฺต – ‘‘อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโก, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส กาโย’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ นยนฺติ เอตายาติ เนตฺติฯ นยนฺตีติ คีวาย พนฺธิตฺวา อากฑฺฒนฺติ, รชฺชุยา เอตํ นามํฯ อิธ ปน เนตฺติสทิสตาย ภวตณฺหา เนตฺตีติ อธิเปฺปตาฯ สา หิ มหาชนํ คีวาย พนฺธิตฺวา ตํ ตํ ภวํ เนติ อุปเนตีติ ภวเนตฺติฯ อรหตฺตมคฺคสเตฺถน อุจฺฉินฺนา ภวเนตฺติ อสฺสาติ อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโกฯ

    147. Evaṃ imāhi dvāsaṭṭhiyā diṭṭhīhi sabbadiṭṭhīnaṃ saṅgahitattā sabbesaṃ diṭṭhigatikānaṃ etasmiṃ desanājāle pariyāpannabhāvaṃ dassetvā idāni attano katthaci apariyāpannabhāvaṃ dassento – ‘‘ucchinnabhavanettiko, bhikkhave, tathāgatassa kāyo’’tiādimāha. Tattha nayanti etāyāti netti. Nayantīti gīvāya bandhitvā ākaḍḍhanti, rajjuyā etaṃ nāmaṃ. Idha pana nettisadisatāya bhavataṇhā nettīti adhippetā. Sā hi mahājanaṃ gīvāya bandhitvā taṃ taṃ bhavaṃ neti upanetīti bhavanetti. Arahattamaggasatthena ucchinnā bhavanetti assāti ucchinnabhavanettiko.

    กายสฺส เภทา อุทฺธนฺติ กายสฺส เภทโต อุทฺธํฯ ชีวิตปริยาทานาติ ชีวิตสฺส สพฺพโส ปริยาทินฺนตฺตา ปริกฺขีณตฺตา, ปุน อปฺปฎิสนฺธิกภาวาติ อโตฺถฯ น ตํ ทกฺขนฺตีติ ตํ ตถาคตํฯ เทวา วา มนุสฺสา วา น ทกฺขิสฺสนฺติ, อปณฺณตฺติกภาวํ คมิสฺสตีติ อโตฺถฯ

    Kāyassa bhedā uddhanti kāyassa bhedato uddhaṃ. Jīvitapariyādānāti jīvitassa sabbaso pariyādinnattā parikkhīṇattā, puna appaṭisandhikabhāvāti attho. Na taṃ dakkhantīti taṃ tathāgataṃ. Devā vā manussā vā na dakkhissanti, apaṇṇattikabhāvaṃ gamissatīti attho.

    เสยฺยถาปิ , ภิกฺขเวติ, อุปมายํ ปน อิทํ สํสนฺทนํฯ อมฺพรุโกฺข วิย หิ ตถาคตสฺส กาโย, รุเกฺข ชาตมหาวโณฺฎ วิย ตํ นิสฺสาย ปุเพฺพ ปวตฺตตณฺหาฯ ตสฺมิํ วเณฺฎ อุปนิพทฺธา ปญฺจปกฺกทฺวาทสปกฺกอฎฺฐารสปกฺกปริมาณา อมฺพปิณฺฑี วิย ตณฺหาย สติ ตณฺหูปนิพนฺธนา หุตฺวา อายติํ นิพฺพตฺตนกา ปญฺจกฺขนฺธา ทฺวาทสายตนานิ อฎฺฐารส ธาตุโยฯ ยถา ปน ตสฺมิํ วเณฺฎ ฉิเนฺน สพฺพานิ ตานิ อมฺพานิ ตทนฺวยานิ โหนฺติ, ตํเยว วณฺฎํ อนุคตานิ, วณฺฎเจฺฉทา ฉินฺนานิ เยวาติ อโตฺถ; เอวเมว เย ภวเนตฺติวณฺฎสฺส อนุปจฺฉินฺนตฺตา อายติํ อุปฺปเชฺชยฺยุํ ปญฺจกฺขนฺธา ทฺวาทสายตนานิ อฎฺฐารสธาตุโย, สเพฺพ เต ธมฺมา ตทนฺวยา โหนฺติ ภวเนตฺติํ อนุคตา, ตาย ฉินฺนาย ฉินฺนา เยวาติ อโตฺถฯ

    Seyyathāpi, bhikkhaveti, upamāyaṃ pana idaṃ saṃsandanaṃ. Ambarukkho viya hi tathāgatassa kāyo, rukkhe jātamahāvaṇṭo viya taṃ nissāya pubbe pavattataṇhā. Tasmiṃ vaṇṭe upanibaddhā pañcapakkadvādasapakkaaṭṭhārasapakkaparimāṇā ambapiṇḍī viya taṇhāya sati taṇhūpanibandhanā hutvā āyatiṃ nibbattanakā pañcakkhandhā dvādasāyatanāni aṭṭhārasa dhātuyo. Yathā pana tasmiṃ vaṇṭe chinne sabbāni tāni ambāni tadanvayāni honti, taṃyeva vaṇṭaṃ anugatāni, vaṇṭacchedā chinnāni yevāti attho; evameva ye bhavanettivaṇṭassa anupacchinnattā āyatiṃ uppajjeyyuṃ pañcakkhandhā dvādasāyatanāni aṭṭhārasadhātuyo, sabbe te dhammā tadanvayā honti bhavanettiṃ anugatā, tāya chinnāya chinnā yevāti attho.

    ยถา ปน ตสฺมิมฺปิ รุเกฺข มณฺฑูกกณฺฎกวิสสมฺผสฺสํ อาคมฺม อนุปุเพฺพน สุสฺสิตฺวา มเต – ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน เอวรูโป นาม รุโกฺข อโหสี’’ติ โวหารมตฺตเมว โหติ, น ตํ รุกฺขํ โกจิ ปสฺสติ, เอวํ อริยมคฺคสมฺผสฺสํ อาคมฺม ตณฺหาสิเนหสฺส ปริยาทินฺนตฺตา อนุปุเพฺพน สุสฺสิตฺวา วิย ภิเนฺน อิมสฺมิํ กาเย, กายสฺส เภทา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา น ตํ ทกฺขนฺติ, ตถาคตมฺปิ เทวมนุสฺสา น ทกฺขิสฺสนฺติ, เอวรูปสฺส นาม กิร สตฺถุโน อิทํ สาสนนฺติ โวหารมตฺตเมว ภวิสฺสตีติ อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุํ ปาเปตฺวา เทสนํ นิฎฺฐเปสิฯ

    Yathā pana tasmimpi rukkhe maṇḍūkakaṇṭakavisasamphassaṃ āgamma anupubbena sussitvā mate – ‘‘imasmiṃ ṭhāne evarūpo nāma rukkho ahosī’’ti vohāramattameva hoti, na taṃ rukkhaṃ koci passati, evaṃ ariyamaggasamphassaṃ āgamma taṇhāsinehassa pariyādinnattā anupubbena sussitvā viya bhinne imasmiṃ kāye, kāyassa bhedā uddhaṃ jīvitapariyādānā na taṃ dakkhanti, tathāgatampi devamanussā na dakkhissanti, evarūpassa nāma kira satthuno idaṃ sāsananti vohāramattameva bhavissatīti anupādisesanibbānadhātuṃ pāpetvā desanaṃ niṭṭhapesi.

    ๑๔๘. เอวํ วุเตฺต อายสฺมา อานโนฺทติ เอวํ ภควตา อิมสฺมิํ สุเตฺต วุเตฺต เถโร อาทิโต ปฎฺฐาย สพฺพํ สุตฺตํ สมนฺนาหริตฺวา เอวํ พุทฺธพลํ ทีเปตฺวา กถิตสุตฺตสฺส น ภควตา นามํ คหิตํ, หนฺทสฺส นามํ คณฺหาเปสฺสามีติ จิเนฺตตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจฯ

    148.Evaṃvutte āyasmā ānandoti evaṃ bhagavatā imasmiṃ sutte vutte thero ādito paṭṭhāya sabbaṃ suttaṃ samannāharitvā evaṃ buddhabalaṃ dīpetvā kathitasuttassa na bhagavatā nāmaṃ gahitaṃ, handassa nāmaṃ gaṇhāpessāmīti cintetvā bhagavantaṃ etadavoca.

    ตสฺมาติห ตฺวนฺติอาทีสุ อยมตฺถโยชนา – อานนฺท, ยสฺมา อิมสฺมิํ ธมฺมปริยาเย อิธโตฺถปิ ปรโตฺถปิ วิภโตฺต, ตสฺมาติห ตฺวํ อิมํ ธมฺมปริยายํ ‘‘อตฺถชาล’’นฺติปิ นํ ธาเรหิ; ยสฺมา ปเนตฺถ พหู ตนฺติธมฺมา กถิตา, ตสฺมา ‘‘ธมฺมชาล’’นฺติปิ นํ ธาเรหิ; ยสฺมา จ เอตฺถ เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วิภตฺตํ, ตสฺมา ‘‘พฺรหฺมชาล’’นฺติปิ นํ ธาเรหิ; ยสฺมา เอตฺถ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิโย วิภตฺตา, ตสฺมา ‘‘ทิฎฺฐิชาล’’นฺติปิ นํ ธาเรหิ; ยสฺมา ปน อิมํ ธมฺมปริยายํ สุตฺวา เทวปุตฺตมารมฺปิ ขนฺธมารมฺปิ มจฺจุมารมฺปิ กิเลสมารมฺปิ สกฺกา มทฺทิตุํ, ตสฺมา ‘‘อนุตฺตโร สงฺคามวิชโยติปิ นํ ธาเรหี’’ติฯ

    Tasmātiha tvantiādīsu ayamatthayojanā – ānanda, yasmā imasmiṃ dhammapariyāye idhatthopi paratthopi vibhatto, tasmātiha tvaṃ imaṃ dhammapariyāyaṃ ‘‘atthajāla’’ntipi naṃ dhārehi; yasmā panettha bahū tantidhammā kathitā, tasmā ‘‘dhammajāla’’ntipi naṃ dhārehi; yasmā ca ettha seṭṭhaṭṭhena brahmaṃ sabbaññutaññāṇaṃ vibhattaṃ, tasmā ‘‘brahmajāla’’ntipi naṃ dhārehi; yasmā ettha dvāsaṭṭhidiṭṭhiyo vibhattā, tasmā ‘‘diṭṭhijāla’’ntipi naṃ dhārehi; yasmā pana imaṃ dhammapariyāyaṃ sutvā devaputtamārampi khandhamārampi maccumārampi kilesamārampi sakkā maddituṃ, tasmā ‘‘anuttaro saṅgāmavijayotipi naṃ dhārehī’’ti.

    อิทมโวจ ภควาติ อิทํ นิทานาวสานโต ปภุติ ยาว ‘‘อนุตฺตโร สงฺคามวิชโยติปิ นํ ธาเรหี’’ติ สกลํ สุตฺตนฺตํ ภควา ปเรสํ ปญฺญาย อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐํ ปรมคมฺภีรํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปกาเสโนฺต สูริโย วิย อนฺธการํ ทิฎฺฐิคตมหนฺธการํ วิธมโนฺต อโวจฯ

    Idamavoca bhagavāti idaṃ nidānāvasānato pabhuti yāva ‘‘anuttaro saṅgāmavijayotipi naṃ dhārehī’’ti sakalaṃ suttantaṃ bhagavā paresaṃ paññāya alabbhaneyyapatiṭṭhaṃ paramagambhīraṃ sabbaññutaññāṇaṃ pakāsento sūriyo viya andhakāraṃ diṭṭhigatamahandhakāraṃ vidhamanto avoca.

    ๑๔๙. อตฺตมนา เต ภิกฺขูติ เต ภิกฺขู อตฺตมนา สกมนา, พุทฺธคตาย ปีติยา อุทคฺคจิตฺตา หุตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ภควโต ภาสิตนฺติ เอวํ วิจิตฺรนยเทสนาวิลาสยุตฺตํ อิทํ สุตฺตํ กรวีกรุตมญฺชุนา กณฺณสุเขน ปณฺฑิตชนหทยานํ อมตาภิเสกสทิเสน พฺรหฺมสฺสเรน ภาสมานสฺส ภควโต วจนํฯ อภินนฺทุนฺติ อนุโมทิํสุ เจว สมฺปฎิจฺฉิํสุ จฯ อยญฺหิ อภินนฺทสโทฺท – ‘‘อภินนฺทติ อภิวทตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๕) ตณฺหายมฺปิ อาคโตฯ ‘‘อนฺนเมวาภินนฺทนฺติ, อุภเย เทวมานุสา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๔๓) อุปคมเนปิฯ

    149.Attamanā te bhikkhūti te bhikkhū attamanā sakamanā, buddhagatāya pītiyā udaggacittā hutvāti vuttaṃ hoti. Bhagavato bhāsitanti evaṃ vicitranayadesanāvilāsayuttaṃ idaṃ suttaṃ karavīkarutamañjunā kaṇṇasukhena paṇḍitajanahadayānaṃ amatābhisekasadisena brahmassarena bhāsamānassa bhagavato vacanaṃ. Abhinandunti anumodiṃsu ceva sampaṭicchiṃsu ca. Ayañhi abhinandasaddo – ‘‘abhinandati abhivadatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.5) taṇhāyampi āgato. ‘‘Annamevābhinandanti, ubhaye devamānusā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.43) upagamanepi.

    ‘‘จิรปฺปวาสิํ ปุริสํ, ทูรโต โสตฺถิมาคตํ;

    ‘‘Cirappavāsiṃ purisaṃ, dūrato sotthimāgataṃ;

    ญาติมิตฺตา สุหชฺชา จ, อภินนฺทนฺติ อาคต’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๑๙);

    Ñātimittā suhajjā ca, abhinandanti āgata’’nti. (dha. pa. 219);

    อาทีสุ สมฺปฎิจฺฉเนปิฯ ‘‘อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๐๕) อนุโมทเนปิฯ สฺวายมิธ อนุโมทนสมฺปฎิจฺฉเนสุ ยุชฺชติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อภินนฺทุนฺติ อนุโมทิํสุ เจว สมฺปฎิจฺฉิํสุ จา’’ติฯ

    Ādīsu sampaṭicchanepi. ‘‘Abhinanditvā anumoditvā’’tiādīsu (ma. ni. 1.205) anumodanepi. Svāyamidha anumodanasampaṭicchanesu yujjati. Tena vuttaṃ – ‘‘abhinandunti anumodiṃsu ceva sampaṭicchiṃsu cā’’ti.

    สุภาสิตํ สุลปิตํ, ‘‘สาธุ สาธู’’ติ ตาทิโน;

    Subhāsitaṃ sulapitaṃ, ‘‘sādhu sādhū’’ti tādino;

    อนุโมทมานา สิรสา, สมฺปฎิจฺฉิํสุ ภิกฺขโวติฯ

    Anumodamānā sirasā, sampaṭicchiṃsu bhikkhavoti.

    อิมสฺมิญฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมินฺติ อิมสฺมิํ นิคฺคาถกสุเตฺตฯ นิคฺคาถกตฺตา หิ อิทํ เวยฺยากรณนฺติ วุตฺตํฯ

    Imasmiñca pana veyyākaraṇasminti imasmiṃ niggāthakasutte. Niggāthakattā hi idaṃ veyyākaraṇanti vuttaṃ.

    ทสสหสฺสี โลกธาตูติ ทสสหสฺสจกฺกวาฬปริมาณา โลกธาตุฯ อกมฺปิตฺถาติ น สุตฺตปริโยสาเนเยว อกมฺปิตฺถาติ เวทิตพฺพาฯ ภญฺญมาเนติ หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา ทฺวาสฎฺฐิยา ทิฎฺฐิคเตสุ วินิเวเฐตฺวา เทสิยมาเนสุ ตสฺส ตสฺส ทิฎฺฐิคตสฺส ปริโยสาเน ปริโยสาเนติ ทฺวาสฎฺฐิยา ฐาเนสุ อกมฺปิตฺถาติ เวทิตพฺพาฯ

    Dasasahassīlokadhātūti dasasahassacakkavāḷaparimāṇā lokadhātu. Akampitthāti na suttapariyosāneyeva akampitthāti veditabbā. Bhaññamāneti hi vuttaṃ. Tasmā dvāsaṭṭhiyā diṭṭhigatesu viniveṭhetvā desiyamānesu tassa tassa diṭṭhigatassa pariyosāne pariyosāneti dvāsaṭṭhiyā ṭhānesu akampitthāti veditabbā.

    ตตฺถ อฎฺฐหิ การเณหิ ปถวีกโมฺป เวทิตโพฺพ – ธาตุโกฺขเภน, อิทฺธิมโต อานุภาเวน, โพธิสตฺตสฺส คโพฺภกฺกนฺติยา, มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมเนน, สโมฺพธิปฺปตฺติยา, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเนน, อายุสงฺขาโรสฺสชฺชเนน, ปรินิพฺพาเนนาติฯ เตสํ วินิจฺฉยํ – ‘‘อฎฺฐ โข อิเม, อานนฺท, เหตู อฎฺฐ ปจฺจยา มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายา’’ติ เอวํ มหาปรินิพฺพาเน อาคตาย ตนฺติยา วณฺณนากาเล วกฺขามฯ อยํ ปน มหาปถวี อปเรสุปิ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ อกมฺปิตฺถ – มหาภินิกฺขมเน, โพธิมณฺฑูปสงฺกมเน, ปํสุกูลคฺคหเณ, ปํสุกูลโธวเน, กาฬการามสุเตฺต, โคตมกสุเตฺต, เวสฺสนฺตรชาตเก, อิมสฺมิํ พฺรหฺมชาเลติฯ ตตฺถ มหาภินิกฺขมนโพธิมณฺฑูปสงฺกมเนสุ วีริยพเลน อกมฺปิตฺถฯ ปํสุกูลคฺคหเณ ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเร จตฺตาโร มหาทีเป ปหาย ปพฺพชิตฺวา สุสานํ คนฺตฺวา ปํสุกูลํ คณฺหเนฺตน ทุกฺกรํ ภควตา กตนฺติ อจฺฉริยเวคาภิหตา อกมฺปิตฺถฯ ปํสุกูลโธวนเวสฺสนฺตรชาตเกสุ อกาลกมฺปเนน อกมฺปิตฺถฯ กาฬการามโคตมกสุเตฺตสุ – ‘‘อหํ สกฺขี ภควา’’ติ สกฺขิภาเวน อกมฺปิตฺถฯ อิมสฺมิํ ปน พฺรหฺมชาเล ทฺวาสฎฺฐิยา ทิฎฺฐิคเตสุ วิชเฎตฺวา นิคฺคุมฺพํ กตฺวา เทสิยมาเนสุ สาธุการทานวเสน อกมฺปิตฺถาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha aṭṭhahi kāraṇehi pathavīkampo veditabbo – dhātukkhobhena, iddhimato ānubhāvena, bodhisattassa gabbhokkantiyā, mātukucchito nikkhamanena, sambodhippattiyā, dhammacakkappavattanena, āyusaṅkhārossajjanena, parinibbānenāti. Tesaṃ vinicchayaṃ – ‘‘aṭṭha kho ime, ānanda, hetū aṭṭha paccayā mahato bhūmicālassa pātubhāvāyā’’ti evaṃ mahāparinibbāne āgatāya tantiyā vaṇṇanākāle vakkhāma. Ayaṃ pana mahāpathavī aparesupi aṭṭhasu ṭhānesu akampittha – mahābhinikkhamane, bodhimaṇḍūpasaṅkamane, paṃsukūlaggahaṇe, paṃsukūladhovane, kāḷakārāmasutte, gotamakasutte, vessantarajātake, imasmiṃ brahmajāleti. Tattha mahābhinikkhamanabodhimaṇḍūpasaṅkamanesu vīriyabalena akampittha. Paṃsukūlaggahaṇe dvisahassadīpaparivāre cattāro mahādīpe pahāya pabbajitvā susānaṃ gantvā paṃsukūlaṃ gaṇhantena dukkaraṃ bhagavatā katanti acchariyavegābhihatā akampittha. Paṃsukūladhovanavessantarajātakesu akālakampanena akampittha. Kāḷakārāmagotamakasuttesu – ‘‘ahaṃ sakkhī bhagavā’’ti sakkhibhāvena akampittha. Imasmiṃ pana brahmajāle dvāsaṭṭhiyā diṭṭhigatesu vijaṭetvā niggumbaṃ katvā desiyamānesu sādhukāradānavasena akampitthāti veditabbā.

    น เกวลญฺจ เอเตสุ ฐาเนสุเยว ปถวี อกมฺปิตฺถ, อถ โข ตีสุ สงฺคเหสุปิ มหามหินฺทเตฺถรสฺส อิมํ ทีปํ อาคนฺตฺวา โชติวเน นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทสิตทิวเสปิ อกมฺปิตฺถฯ กลฺยาณิยวิหาเร จ ปิณฺฑปาติยเตฺถรสฺส เจติยงฺคณํ สมฺมชฺชิตฺวา ตเตฺถว นิสีทิตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา อิมํ สุตฺตนฺตํ อารทฺธสฺส สุตฺตปริโยสาเน อุทกปริยนฺตํ กตฺวา อกมฺปิตฺถฯ โลหปาสาทสฺส ปาจีนอมฺพลฎฺฐิกฎฺฐานํ นาม อโหสิฯ ตตฺถ นิสีทิตฺวา ทีฆภาณกเตฺถรา พฺรหฺมชาลสุตฺตํ อารภิํสุ, เตสํ สชฺฌายปริโยสาเนปิ อุทกปริยนฺตเมว กตฺวา ปถวี อกมฺปิตฺถาติฯ

    Na kevalañca etesu ṭhānesuyeva pathavī akampittha, atha kho tīsu saṅgahesupi mahāmahindattherassa imaṃ dīpaṃ āgantvā jotivane nisīditvā dhammaṃ desitadivasepi akampittha. Kalyāṇiyavihāre ca piṇḍapātiyattherassa cetiyaṅgaṇaṃ sammajjitvā tattheva nisīditvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā imaṃ suttantaṃ āraddhassa suttapariyosāne udakapariyantaṃ katvā akampittha. Lohapāsādassa pācīnaambalaṭṭhikaṭṭhānaṃ nāma ahosi. Tattha nisīditvā dīghabhāṇakattherā brahmajālasuttaṃ ārabhiṃsu, tesaṃ sajjhāyapariyosānepi udakapariyantameva katvā pathavī akampitthāti.

    เอวํ ยสฺสานุภาเวน, อกมฺปิตฺถ อเนกโส;

    Evaṃ yassānubhāvena, akampittha anekaso;

    เมทนี สุตฺตเสฎฺฐสฺส, เทสิตสฺส สยมฺภุนาฯ

    Medanī suttaseṭṭhassa, desitassa sayambhunā.

    พฺรหฺมชาลสฺส ตสฺสีธ, ธมฺมํ อตฺถญฺจ ปณฺฑิตา;

    Brahmajālassa tassīdha, dhammaṃ atthañca paṇḍitā;

    สกฺกจฺจํ อุคฺคเหตฺวาน, ปฎิปชฺชนฺตุ โยนิโสติฯ

    Sakkaccaṃ uggahetvāna, paṭipajjantu yonisoti.

    อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ

    Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ

    พฺรหฺมชาลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Brahmajālasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๑. พฺรหฺมชาลสุตฺตํ • 1. Brahmajālasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๑. พฺรหฺมชาลสุตฺตวณฺณนา • 1. Brahmajālasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact