Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā)

    ๑. พฺรหฺมชาลสุตฺตวณฺณนา

    1. Brahmajālasuttavaṇṇanā

    ปริพฺพาชกกถาวณฺณนา

    Paribbājakakathāvaṇṇanā

    เอวํ ปฐมมหาสงฺคีติํ ทเสฺสตฺวา ยทตฺถํ สา อิธ ทสฺสิตา, อิทานิ ตํ นิคมนวเสน ทเสฺสตุํ ‘‘อิมิสฺสา’’ติอาทิมาหฯ

    Evaṃ paṭhamamahāsaṅgītiṃ dassetvā yadatthaṃ sā idha dassitā, idāni taṃ nigamanavasena dassetuṃ ‘‘imissā’’tiādimāha.

    . เอตฺตาวตา จ พฺรหฺมชาลสฺส สาธารณโต พาหิรนิทานํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อพฺภนฺตรนิทานํ สํวเณฺณตุํ ‘‘ตตฺถ เอว’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อถ วา ฉหิ อากาเรหิ สํวณฺณนา กาตพฺพา สมฺพนฺธโต ปทโต ปทวิภาคโต ปทตฺถโต อนุโยคโต ปริหารโต จาติฯ ตตฺถ สมฺพโนฺธ นาม เทสนาสมฺพโนฺธฯ ยํ โลกิยา ‘‘อุมฺมุคฺฆาโต’’ติ วทนฺติฯ โส ปน ปาฬิยา นิทานปาฬิวเสน, นิทานปาฬิยา ปน สงฺคีติวเสน เวทิตโพฺพติ ปฐมมหาสงฺคีติํ ทเสฺสเนฺตน นิทานปาฬิยา สมฺพนฺธสฺส ทสฺสิตตฺตา ปทาทิวเสน สํวณฺณนํ กโรโนฺต ‘‘เอวนฺติ นิปาตปท’’นฺติอาทิมาหฯ ‘‘เมติอาทีนี’’ติ เอตฺถ อนฺตรา-สทฺท-จ-สทฺทานํ นิปาตปทภาโว, วตฺตโพฺพ, น วา วตฺตโพฺพ เตสํ นยคฺคหเณน คหิตตฺตา, ตทวสิฎฺฐานํ อาปฎิ-สทฺทานํ อาทิ-สเทฺทน สงฺคณฺหนโตฯ ‘‘ปทวิภาโค’’ติ ปทานํ วิเสโส, น ปน ปทวิคฺคโหฯ อถ วา ปทานิ จ ปทวิภาโค จ ปทวิภาโค, ปทวิคฺคโห จ ปทวิภาโค จ ปทวิภาโคติ วา เอกเสสวเสน ปทปทวิคฺคหาปิ ปทวิภาค สเทฺทน วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ปทวิคฺคโห ‘‘ภิกฺขูนํ สโงฺฆ’’ติอาทิเภเทสุ ปเทสุ ทฎฺฐโพฺพฯ

    1. Ettāvatā ca brahmajālassa sādhāraṇato bāhiranidānaṃ dassetvā idāni abbhantaranidānaṃ saṃvaṇṇetuṃ ‘‘tattha eva’’ntiādi vuttaṃ. Atha vā chahi ākārehi saṃvaṇṇanā kātabbā sambandhato padato padavibhāgato padatthato anuyogato parihārato cāti. Tattha sambandho nāma desanāsambandho. Yaṃ lokiyā ‘‘ummugghāto’’ti vadanti. So pana pāḷiyā nidānapāḷivasena, nidānapāḷiyā pana saṅgītivasena veditabboti paṭhamamahāsaṅgītiṃ dassentena nidānapāḷiyā sambandhassa dassitattā padādivasena saṃvaṇṇanaṃ karonto ‘‘evanti nipātapada’’ntiādimāha. ‘‘Metiādīnī’’ti ettha antarā-sadda-ca-saddānaṃ nipātapadabhāvo, vattabbo, na vā vattabbo tesaṃ nayaggahaṇena gahitattā, tadavasiṭṭhānaṃ āpaṭi-saddānaṃ ādi-saddena saṅgaṇhanato. ‘‘Padavibhāgo’’ti padānaṃ viseso, na pana padaviggaho. Atha vā padāni ca padavibhāgo ca padavibhāgo, padaviggaho ca padavibhāgo ca padavibhāgoti vā ekasesavasena padapadaviggahāpi padavibhāga saddena vuttāti veditabbaṃ. Tattha padaviggaho ‘‘bhikkhūnaṃ saṅgho’’tiādibhedesu padesu daṭṭhabbo.

    อตฺถโตติ ปทตฺถโตฯ ตํ ปน ปทตฺถํ อตฺถุทฺธารกฺกเมน ปฐมํ เอวํ-สทฺทสฺส ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวํสโทฺท ตาวา’’ติอาทิมาหฯ อวธารณาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อิทมตฺถปุจฺฉาปริมาณาทิอตฺถานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ ‘‘เอวํคตานิ, เอวํวิโธ, เอวมากาโร’’ติอาทีสุ อิทํ-สทฺทสฺส อเตฺถ เอวํ-สโทฺทฯ คต-สโทฺท หิ ปการปริยาโย, ตถา วิธาการ-สทฺทา จฯ ตถา หิ วิธยุตฺตคต-สเทฺท โลกิยา ปการเตฺถ วทนฺติฯ ‘‘เอวํ นุ โข, น นุ โข, กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’’ติ, ‘‘เอวํ สุ เต สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา กปฺปิตเกสมสฺสุ, อามุตฺตมาลาภรณา โอทาตวตฺถวสนา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตา สมงฺคีภูตา ปริจาเรนฺติ, เสยฺยถาปิ ตฺวํ เอตรหิ สาจริยโกติ? โน หิทํ โภ โคตมา’’ติ จ อาทีสุ ปุจฺฉายํฯ ‘‘เอวํ ลหุปริวตฺตํ, เอวํ อายุปริยโนฺต’’ติ จ อาทีสุ ปริมาเณฯ นนุ จ ‘‘เอวํ นุ โข, เอวํ สุ เต, เอวํ อายุปริยโนฺต’’ติ เอตฺถ เอวํ-สเทฺทน ปุจฺฉนาการปริมาณาการานํ วุตฺตตฺตา อาการโตฺถ เอว เอวํ-สโทฺท ติ? น, วิเสสสพฺภาวโตฯ อาการมตฺตวาจโก เหตฺถ อาการโตฺถติ อธิเปฺปโต, ยถา ‘‘เอวํ พฺยาโขติอาทีสุ ปน น อาการวิเสสวาจโก เอวญฺจ กตฺวา ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจนา’’ติอาทีนิ อุปมาทีสุ อุทาหรณานิ อุปปนฺนานิ โหนฺติฯ ตถา หิ ‘‘ยถาปิ…เป.… พหุ’’นฺติ? เอตฺถ ปุปฺผราสิฎฺฐานิยโต มนุสฺสุปปตฺติสปฺปุริสูปนิสฺสยสทฺธมฺมสวนโยนิโสมนสิการโภคสมฺปตฺติอาทิทานาทิปุญฺญกิริยาเหตุสมุทายโต โสภาสุคนฺธตาทิคุณโยคโต มาลาคุณสทิสิโย ปหูตา ปุญฺญกิริยา มริตพฺพสภาวตาย มเจฺจน สเตฺตน กตฺตพฺพาติ โชทิตตฺตา ปุปฺผราสิมาลาคุณาว อุปมา, เตสํ อุปมากาโร ยถา-สเทฺทน อนิยมโต วุโตฺตติ เอวํ-สโทฺท อุปมาการนิคมนโตฺถติ วตฺตุํ ยุตฺตํฯ โส ปน อุปมากาโร นิยมิยมาโน อตฺถโต อุปมาว โหตีติ อาห ‘‘อุปมายํ อาคโต’’ติฯ

    Atthatoti padatthato. Taṃ pana padatthaṃ atthuddhārakkamena paṭhamaṃ evaṃ-saddassa dassento ‘‘evaṃsaddo tāvā’’tiādimāha. Avadhāraṇādīti ettha ādi-saddena idamatthapucchāparimāṇādiatthānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tathā hi ‘‘evaṃgatāni, evaṃvidho, evamākāro’’tiādīsu idaṃ-saddassa atthe evaṃ-saddo. Gata-saddo hi pakārapariyāyo, tathā vidhākāra-saddā ca. Tathā hi vidhayuttagata-sadde lokiyā pakāratthe vadanti. ‘‘Evaṃ nu kho, na nu kho, kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’’ti, ‘‘evaṃ su te sunhātā suvilittā kappitakesamassu, āmuttamālābharaṇā odātavatthavasanā pañcahi kāmaguṇehi samappitā samaṅgībhūtā paricārenti, seyyathāpi tvaṃ etarahi sācariyakoti? No hidaṃ bho gotamā’’ti ca ādīsu pucchāyaṃ. ‘‘Evaṃ lahuparivattaṃ, evaṃ āyupariyanto’’ti ca ādīsu parimāṇe. Nanu ca ‘‘evaṃ nu kho, evaṃ su te, evaṃ āyupariyanto’’ti ettha evaṃ-saddena pucchanākāraparimāṇākārānaṃ vuttattā ākārattho eva evaṃ-saddo ti? Na, visesasabbhāvato. Ākāramattavācako hettha ākāratthoti adhippeto, yathā ‘‘evaṃ byākhotiādīsu pana na ākāravisesavācako evañca katvā ‘‘evaṃ jātena maccenā’’tiādīni upamādīsu udāharaṇāni upapannāni honti. Tathā hi ‘‘yathāpi…pe… bahu’’nti? Ettha puppharāsiṭṭhāniyato manussupapattisappurisūpanissayasaddhammasavanayonisomanasikārabhogasampattiādidānādipuññakiriyāhetusamudāyato sobhāsugandhatādiguṇayogato mālāguṇasadisiyo pahūtā puññakiriyā maritabbasabhāvatāya maccena sattena kattabbāti joditattā puppharāsimālāguṇāva upamā, tesaṃ upamākāro yathā-saddena aniyamato vuttoti evaṃ-saddo upamākāranigamanatthoti vattuṃ yuttaṃ. So pana upamākāro niyamiyamāno atthato upamāva hotīti āha ‘‘upamāyaṃ āgato’’ti.

    ตถา เอวํ อิมินา อากาเรน ‘‘อภิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทินา อุปทิสิยมานาย สมณสารุปฺปาย อากปฺปสมฺปตฺติยา โย ตตฺถ อุปทิสนากาโร, โส อตฺถโต อุปเทโสเยวาติ วุตฺตํ ‘‘เอวํ เต…เป.… อุปเทเส’’ติฯ ตถา เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตาติ เอตฺถ จ ภควตา ยถาวุตฺตมตฺถํ อวิปรีตโต ชานเนฺตหิ กตํ ตตฺถ สํวิชฺชมานคุณานํ ปกาเรหิ หํสนํ อุทคฺคตากรณํ สมฺปหํสนํ, โย ตตฺถ สมฺปหํสนากาโรติ โยเชตพฺพํฯ เอวเมวํ ปนายนฺติ เอตฺถ ครหณากาโรติ โยเชตพฺพํฯ โส จ ครหณากาโร ‘‘วสลี’’ติอาทิ ขุํสนสทฺทสนฺนิธานโต อิธ เอวํ-สเทฺทน ปกาสิโตติ วิญฺญายติฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อุปมาการาทโยปิ อุปมาทิวเสน วุตฺตานํ ปุปฺผราสิอาทิสทฺทานํ สนฺนิธานโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวญฺจ วเทหีติ ‘‘ยถาหํ วทามิ, เอวํ สมณํ อานนฺทํ วเทหี’’ติ วทนากาโร อิทานิ วตฺตโพฺพ เอวํ-สเทฺทน นิทสฺสียตีติ นิทสฺสนโตฺถ วุโตฺตฯ เอวํ โนติ เอตฺถาปิ เตสํ ยถาวุตฺตธมฺมานํ อหิตทุกฺขาวหภาเว สนฺนิฎฺฐานชนนตฺถํ อนุมติคฺคหณวเสน ‘‘สํวตฺตนฺติ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ ปุจฺฉาย กตาย ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติ วุตฺตตฺตา ตทาการสนฺนิฎฺฐานํ เอวํ-สเทฺทน วิภาวิตนฺติ วิญฺญายติ, โส ปน เตสํ ธมฺมานํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนากาโร นิยมิยมาโน อวธารณโตฺถ โหตีติ อาห ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตีติ อาทีสุ อวธารเณ’’ติฯ เอวํ ภเนฺตติ ปน ธมฺมสฺส สาธุกํ สวนมนสิกาเร สนฺนิโยชิเตหิ ภิกฺขูหิ อตฺตโน ตตฺถ ฐิตภาวสฺส ปฎิชานนวเสน วุตฺตตฺตา เอตฺถ เอวํ-สโทฺท วจนสมฺปฎิจฺฉนโตฺถ วุโตฺต, เตน เอวํ ภเนฺต, สาธุ ภเนฺต, สุฎฺฐุ ภเนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tathā evaṃ iminā ākārena ‘‘abhikkamitabba’’ntiādinā upadisiyamānāya samaṇasāruppāya ākappasampattiyā yo tattha upadisanākāro, so atthato upadesoyevāti vuttaṃ ‘‘evaṃ te…pe… upadese’’ti. Tathā evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatāti ettha ca bhagavatā yathāvuttamatthaṃ aviparītato jānantehi kataṃ tattha saṃvijjamānaguṇānaṃ pakārehi haṃsanaṃ udaggatākaraṇaṃ sampahaṃsanaṃ, yo tattha sampahaṃsanākāroti yojetabbaṃ. Evamevaṃ panāyanti ettha garahaṇākāroti yojetabbaṃ. So ca garahaṇākāro ‘‘vasalī’’tiādi khuṃsanasaddasannidhānato idha evaṃ-saddena pakāsitoti viññāyati. Yathā cettha, evaṃ upamākārādayopi upamādivasena vuttānaṃ puppharāsiādisaddānaṃ sannidhānatoti daṭṭhabbaṃ. Evañca vadehīti ‘‘yathāhaṃ vadāmi, evaṃ samaṇaṃ ānandaṃ vadehī’’ti vadanākāro idāni vattabbo evaṃ-saddena nidassīyatīti nidassanattho vutto. Evaṃ noti etthāpi tesaṃ yathāvuttadhammānaṃ ahitadukkhāvahabhāve sanniṭṭhānajananatthaṃ anumatiggahaṇavasena ‘‘saṃvattanti, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti pucchāya katāya ‘‘evaṃ no ettha hotī’’ti vuttattā tadākārasanniṭṭhānaṃ evaṃ-saddena vibhāvitanti viññāyati, so pana tesaṃ dhammānaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanākāro niyamiyamāno avadhāraṇattho hotīti āha ‘‘evaṃ no ettha hotīti ādīsu avadhāraṇe’’ti. Evaṃ bhanteti pana dhammassa sādhukaṃ savanamanasikāre sanniyojitehi bhikkhūhi attano tattha ṭhitabhāvassa paṭijānanavasena vuttattā ettha evaṃ-saddo vacanasampaṭicchanattho vutto, tena evaṃ bhante, sādhu bhante, suṭṭhu bhanteti vuttaṃ hoti.

    นานานยนิปุณนฺติ เอกตฺตนานตฺตอพฺยาปารเอวํธมฺมตาสงฺขาตา, นนฺทิยาวฎฺฎ ติปุกฺขลสีหวิกฺกีฬิตองฺกุสทิสาโลจนสงฺขาตา วา อาธาราทิเภทวเสน นานาวิธา นยา นานานยา, นยา วา ปาฬิคติโย, ตา จ ปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺติอาทิวเสน สํกิเลภาคิยาทิโลกิยาทิตทุภยโวมิสฺสตาทิวเสน กุสลาทิวเสน ขนฺธาทิวเสน สงฺคหาทิวเสน สมยวิมุตฺตาทิวเสน ฐปนาทิวเสน กุสลมูลาทิวเสน ติกปฎฺฐานาทิวเสน จ นานปฺปการาติ นานานยา, เตหิ นิปุณํ สณฺหสุขุมนฺติ นานานยนิปุณํฯ อาสโยว อชฺฌาสโย, เต จ สสฺสตาทิเภเทน, ตตฺถ จ อปฺปรชกฺขตาทิวเสน อเนกา, อตฺตชฺฌาสยาทโย เอว วา สมุฎฺฐานํ อุปฺปตฺติเหตุ เอตสฺสาติ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํฯ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนนฺติ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณํ อุปเนตพฺพาภาวโต, สงฺกาสนปกาสนวิวรณวิภชนอุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ, อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตนฺติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Nānānayanipuṇanti ekattanānattaabyāpāraevaṃdhammatāsaṅkhātā, nandiyāvaṭṭa tipukkhalasīhavikkīḷitaaṅkusadisālocanasaṅkhātā vā ādhārādibhedavasena nānāvidhā nayā nānānayā, nayā vā pāḷigatiyo, tā ca paññattianupaññattiādivasena saṃkilebhāgiyādilokiyāditadubhayavomissatādivasena kusalādivasena khandhādivasena saṅgahādivasena samayavimuttādivasena ṭhapanādivasena kusalamūlādivasena tikapaṭṭhānādivasena ca nānappakārāti nānānayā, tehi nipuṇaṃ saṇhasukhumanti nānānayanipuṇaṃ. Āsayova ajjhāsayo, te ca sassatādibhedena, tattha ca apparajakkhatādivasena anekā, attajjhāsayādayo eva vā samuṭṭhānaṃ uppattihetu etassāti anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ. Atthabyañjanasampannanti atthabyañjanaparipuṇṇaṃ upanetabbābhāvato, saṅkāsanapakāsanavivaraṇavibhajanauttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi, akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatanti vā attho daṭṭhabbo.

    วิวิธปาฎิหาริยนฺติ เอตฺถ ปาฎิหาริยปทสฺส วจนตฺถํ ‘‘ปฎิปกฺขหรณโต ราคาทิกิเลสาปนยนโต ปาฎิหาริย’’นฺติ วทนฺติฯ ภควโต ปน ปฎิปกฺขา ราคาทโย น สนฺติ, เย หริตพฺพาฯ ปุถุชฺชนานมฺปิ วิคตูปกฺกิเลเส อฎฺฐคุณสมนฺนาคเต จิเตฺต หตปฎิปเกฺข อิทฺธิวิธํ ปวตฺตติ, ตสฺมา ตตฺถ ปวตฺตโวหาเรน จ น สกฺกา อิธ ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วตฺตุํฯ สเจ ปน มหาการุณิกสฺส ภควโต เวเนยฺยคตา จ กิเลสา ปฎิปกฺขา, เตสํ หรณโต ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ สติ ยุตฺตเมตํฯ อถ วา ภควโต จ สาสนสฺส จ ปฎิปกฺขา ติตฺถิยา, เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยํฯ เต หิ ทิฎฺฐิหรณวเสน, ทิฎฺฐิปฺปกาสเน อสมตฺถภาเวน จ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีหิ หริตา อปนีตา โหนฺตีติฯ ‘‘ปฎี’’ติ วา อยํ สโทฺท ‘‘ปจฺฉา’’ติ เอตสฺส อตฺถํ โพเธติ ‘‘ตสฺมิํ ปฎิปวิฎฺฐมฺหิ, อโญฺญ อาคญฺฉิ พฺราหฺมโณ’’ติอาทีสุ วิย, ตสฺมา สมาหิเต จิเตฺต, วิคตูปกฺกิเลเส จ กตกิเจฺจน ปจฺฉา หริตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ ปฎิหาริยํ, อตฺตโน วา อุปกฺกิเลเสสุ จตุตฺถชฺฌานมเคฺคหิ หริเตสุ ปจฺฉา หรณํ ปฎิหาริยํฯ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิโย จ วิคตูปกฺกิเลเสน, กตกิเจฺจน จ สตฺตหิตตฺถํ ปุน ปวเตฺตตพฺพา, หริเตสุ จ อตฺตโน อุปกฺกิเลเสสุ ปรสตฺตานํ อุปกฺกิเลสหรณานิ โหนฺตีติ ปฎิหาริยานิ ภวนฺติฯ ปฎิหาริยเมว ปาฎิหาริยํฯ ปฎิหาริเย วา อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีสมุทาเย ภวํ เอเกกํ ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วุจฺจติฯ ปฎิหาริยํ วา จตุตฺถชฺฌานํ มโคฺค จ ปฎิปกฺขหรณโต, ตตฺถ ชาตํ, ตสฺมิํ วา นิมิตฺตภูเต, ตโต วา อาคตนฺติ ปาฎิหาริยํฯ ตสฺส ปน อิทฺธิอาทิเภเทน วิสยเภเทน จ พหุวิธสฺส ภควโต เทสนาย ลพฺภมานตฺตา อาห ‘‘วิวิธปาฎิหาริย’’นฺติฯ

    Vividhapāṭihāriyanti ettha pāṭihāriyapadassa vacanatthaṃ ‘‘paṭipakkhaharaṇato rāgādikilesāpanayanato pāṭihāriya’’nti vadanti. Bhagavato pana paṭipakkhā rāgādayo na santi, ye haritabbā. Puthujjanānampi vigatūpakkilese aṭṭhaguṇasamannāgate citte hatapaṭipakkhe iddhividhaṃ pavattati, tasmā tattha pavattavohārena ca na sakkā idha ‘‘pāṭihāriya’’nti vattuṃ. Sace pana mahākāruṇikassa bhagavato veneyyagatā ca kilesā paṭipakkhā, tesaṃ haraṇato ‘‘pāṭihāriya’’nti vuttaṃ, evaṃ sati yuttametaṃ. Atha vā bhagavato ca sāsanassa ca paṭipakkhā titthiyā, tesaṃ haraṇato pāṭihāriyaṃ. Te hi diṭṭhiharaṇavasena, diṭṭhippakāsane asamatthabhāvena ca iddhiādesanānusāsanīhi haritā apanītā hontīti. ‘‘Paṭī’’ti vā ayaṃ saddo ‘‘pacchā’’ti etassa atthaṃ bodheti ‘‘tasmiṃ paṭipaviṭṭhamhi, añño āgañchi brāhmaṇo’’tiādīsu viya, tasmā samāhite citte, vigatūpakkilese ca katakiccena pacchā haritabbaṃ pavattetabbanti paṭihāriyaṃ, attano vā upakkilesesu catutthajjhānamaggehi haritesu pacchā haraṇaṃ paṭihāriyaṃ. Iddhiādesanānusāsaniyo ca vigatūpakkilesena, katakiccena ca sattahitatthaṃ puna pavattetabbā, haritesu ca attano upakkilesesu parasattānaṃ upakkilesaharaṇāni hontīti paṭihāriyāni bhavanti. Paṭihāriyameva pāṭihāriyaṃ. Paṭihāriye vā iddhiādesanānusāsanīsamudāye bhavaṃ ekekaṃ ‘‘pāṭihāriya’’nti vuccati. Paṭihāriyaṃ vā catutthajjhānaṃ maggo ca paṭipakkhaharaṇato, tattha jātaṃ, tasmiṃ vā nimittabhūte, tato vā āgatanti pāṭihāriyaṃ. Tassa pana iddhiādibhedena visayabhedena ca bahuvidhassa bhagavato desanāya labbhamānattā āha ‘‘vividhapāṭihāriya’’nti.

    น อญฺญถาติ ภควโต สมฺมุขา สุตาการโต น อญฺญถาติ อโตฺถ, น ปน ภควโต เทสิตาการโตฯ อจิเนฺตยฺยานุภาวา หิ ภควโต เทสนาฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุ’’นฺติ อิทํ วจนํ สมตฺถิตํ โหติฯ ธารณพลทสฺสนญฺจ น วิรุชฺฌติ สุตาการาวิรชฺฌนสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ น เหตฺถ อตฺถนฺตรตาปริหาโร ทฺวินฺนมฺปิ อตฺถานํ เอกวิสยตฺตา, อิตรถา เถโร ภควโต เทสนาย สพฺพถา ปฎิคฺคหเณ สมโตฺถ อสมโตฺถ จาติ อาปเชฺชยฺยาติฯ

    Na aññathāti bhagavato sammukhā sutākārato na aññathāti attho, na pana bhagavato desitākārato. Acinteyyānubhāvā hi bhagavato desanā. Evañca katvā ‘‘sabbappakārena ko samattho viññātu’’nti idaṃ vacanaṃ samatthitaṃ hoti. Dhāraṇabaladassanañca na virujjhati sutākārāvirajjhanassa adhippetattā. Na hettha atthantaratāparihāro dvinnampi atthānaṃ ekavisayattā, itarathā thero bhagavato desanāya sabbathā paṭiggahaṇe samattho asamattho cāti āpajjeyyāti.

    ‘‘โย ปโร น โหติ, โส อตฺตา’’ติ เอวํ วุตฺตาย นิยกชฺฌตฺตสงฺขาตาย สสนฺตติยํ วตฺตนโต ติวิโธปิ เม-สโทฺท กิญฺจาปิ เอกสฺมิํเยว อเตฺถ ทิสฺสติ, กรณสมฺปทานสามินิเทฺทสวเสน ปน วิชฺชมานเภทํ สนฺธายาห ‘‘เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสตี’’ติฯ

    ‘‘Yo paro na hoti, so attā’’ti evaṃ vuttāya niyakajjhattasaṅkhātāya sasantatiyaṃ vattanato tividhopi me-saddo kiñcāpi ekasmiṃyeva atthe dissati, karaṇasampadānasāminiddesavasena pana vijjamānabhedaṃ sandhāyāha ‘‘me-saddo tīsu atthesu dissatī’’ti.

    กิญฺจาปิ อุปสโคฺค กิริยํ วิเสเสติ, โชตกภาวโต ปน สติปิ ตสฺมิํ สุต-สโทฺท เอว ตํ ตมตฺถํ อนุวทตีติ อนุปสคฺคสฺส สุต-สทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร สอุปสคฺคสฺส คหณํ น วิรุชฺฌตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สอุปสโคฺค จ อนุปสโคฺค จา’’ติ อาหฯ อสฺสาติ สุต-สทฺทสฺสฯ กมฺมภาวสาธนานิ อิธ สุต-สเทฺท สมฺภวนฺตีติ วุตฺตํ ‘‘อุปธาริตนฺติ วา อุปธารณนฺติ วา อโตฺถ’’ติฯ มยาติ อเตฺถ สตีติ ยทา เมสทฺทสฺส กตฺตุวเสน กรณนิเทฺทโส, ตทาติ อโตฺถฯ มมาติ อเตฺถ สตีติ ยทา สมฺพนฺธวเสน สามินิเทฺทโส, ตทาฯ

    Kiñcāpi upasaggo kiriyaṃ viseseti, jotakabhāvato pana satipi tasmiṃ suta-saddo eva taṃ tamatthaṃ anuvadatīti anupasaggassa suta-saddassa atthuddhāre saupasaggassa gahaṇaṃ na virujjhatīti dassento ‘‘saupasaggo ca anupasaggo cā’’ti āha. Assāti suta-saddassa. Kammabhāvasādhanāni idha suta-sadde sambhavantīti vuttaṃ ‘‘upadhāritanti vā upadhāraṇanti vā attho’’ti. Mayāti atthe satīti yadā mesaddassa kattuvasena karaṇaniddeso, tadāti attho. Mamāti atthe satīti yadā sambandhavasena sāminiddeso, tadā.

    สุตสทฺทสนฺนิธาเน ปยุเตฺตน เอวํสเทฺทน สวนกิริยาโชตเกน ภวิตพฺพนฺติ วุตฺตํ ‘‘เอวนฺติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสน’’นฺติฯ อาทิ-สเทฺทน สมฺปฎิจฺฉนาทีนํ ปญฺจทฺวาริกวิญฺญาณานํ ตทภินิหฎานญฺจ มโนทฺวาริกวิญฺญาณานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ สเพฺพสมฺปิ วากฺยานํ เอวการตฺถสหิตตฺตา ‘‘สุต’’นฺติ เอตสฺส สุตํ เอวาติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติ, เอเตน อวธารเณน นิรากตํ ทเสฺสติฯ ยถา จ สุตํ สุตํ เอวาติ นิยเมตพฺพํ, ตํ สมฺมา สุตํ โหตีติ อาห ‘‘อนูนาธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ อถ วา ‘‘สทฺทนฺตรตฺถาโปหนวเสน สโทฺท อตฺถํ วทตี’’ติ สุตนฺติ อสุตํ น โหตีติ อยเมตสฺส อโตฺถติ วุตฺตํ ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติ, อิมินา ทิฎฺฐาทิวินิวตฺตนํ กโรติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติฯ น อิทํ มยา ทิฎฺฐํ, น สยมฺภุญาเณน สจฺฉิกตํ, อถ โข สุตํ, ตญฺจ โข สมฺมเทวาติฯ เตเนวาห ‘‘อนูนาธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ อวธารณเตฺถ วา เอวํ-สเทฺท อยํ อตฺถโยชนา กรียตีติ ตทเปกฺขสฺส สุต-สทฺทสฺส อยมโตฺถ วุโตฺต ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติฯ เตเนว อาห ‘‘อนูนาธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ สวนสโทฺท เจตฺถ กมฺมโตฺถ เวทิตโพฺพ สุยฺยตีติฯ

    Sutasaddasannidhāne payuttena evaṃsaddena savanakiriyājotakena bhavitabbanti vuttaṃ ‘‘evanti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassana’’nti. Ādi-saddena sampaṭicchanādīnaṃ pañcadvārikaviññāṇānaṃ tadabhinihaṭānañca manodvārikaviññāṇānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Sabbesampi vākyānaṃ evakāratthasahitattā ‘‘suta’’nti etassa sutaṃ evāti ayamattho labbhatīti āha ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti, etena avadhāraṇena nirākataṃ dasseti. Yathā ca sutaṃ sutaṃ evāti niyametabbaṃ, taṃ sammā sutaṃ hotīti āha ‘‘anūnādhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Atha vā ‘‘saddantaratthāpohanavasena saddo atthaṃ vadatī’’ti sutanti asutaṃ na hotīti ayametassa atthoti vuttaṃ ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti, iminā diṭṭhādivinivattanaṃ karoti. Idaṃ vuttaṃ hoti. Na idaṃ mayā diṭṭhaṃ, na sayambhuñāṇena sacchikataṃ, atha kho sutaṃ, tañca kho sammadevāti. Tenevāha ‘‘anūnādhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Avadhāraṇatthe vā evaṃ-sadde ayaṃ atthayojanā karīyatīti tadapekkhassa suta-saddassa ayamattho vutto ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti. Teneva āha ‘‘anūnādhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Savanasaddo cettha kammattho veditabbo suyyatīti.

    เอวํ สวนเหตุสุณนฺตปุคฺคลสวนวิเสสวเสน ปทตฺตยสฺส เอเกน ปกาเรน อตฺถโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปการนฺตเรหิปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตถา เอว’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตสฺสาติ ยา สา ภควโต สมฺมุขา ธมฺมสฺสวนากาเรน ปวตฺตา มโนทฺวารวิญฺญาณวีถิ, ตสฺสาฯ สา หิ นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺติตุํ สมตฺถาฯ ตถา จ วุตฺตํ ‘‘โสตทฺวารานุสาเรนา’’ติฯ นานปฺปกาเรนาติ วกฺขมานานํ อเนกวิหิตานํ พฺยญฺชนตฺถคฺคหณานานากาเรน, เอเตน อิมิสฺสา โยชนาย อาการโตฺถ เอวํ-สโทฺท คหิโตติ ทีเปติฯ ปวตฺติภาวปฺปกาสนนฺติ ปวตฺติยา อตฺถิภาวปฺปกาสนํฯ ‘‘สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสน’’นฺติ ยสฺมิํ อารมฺมเณ วุตฺตปฺปการา วิญฺญาณวีถิ นานปฺปกาเรน ปวตฺตา, ตสฺส ธมฺมตฺตา วุตฺตํ, น สุตสทฺทสฺส ธมฺมตฺถตฺตาฯ วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส ปากฎีกรณํ ‘‘อยเญฺหตฺถา’’ติอาทิฯ ตตฺถ วิญฺญาณวีถิยาติ กรณเตฺถ กรณวจนํฯ มยาติ กตฺถุอเตฺถฯ

    Evaṃ savanahetusuṇantapuggalasavanavisesavasena padattayassa ekena pakārena atthayojanaṃ dassetvā idāni pakārantarehipi taṃ dassetuṃ ‘‘tathā eva’’ntiādi vuttaṃ. Tattha tassāti yā sā bhagavato sammukhā dhammassavanākārena pavattā manodvāraviññāṇavīthi, tassā. Sā hi nānappakārena ārammaṇe pavattituṃ samatthā. Tathā ca vuttaṃ ‘‘sotadvārānusārenā’’ti. Nānappakārenāti vakkhamānānaṃ anekavihitānaṃ byañjanatthaggahaṇānānākārena, etena imissā yojanāya ākārattho evaṃ-saddo gahitoti dīpeti. Pavattibhāvappakāsananti pavattiyā atthibhāvappakāsanaṃ. ‘‘Sutanti dhammappakāsana’’nti yasmiṃ ārammaṇe vuttappakārā viññāṇavīthi nānappakārena pavattā, tassa dhammattā vuttaṃ, na sutasaddassa dhammatthattā. Vuttassevatthassa pākaṭīkaraṇaṃ ‘‘ayañhetthā’’tiādi. Tattha viññāṇavīthiyāti karaṇatthe karaṇavacanaṃ. Mayāti katthuatthe.

    ‘‘เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพปฺปกาสน’’นฺติ นิทสฺสนตฺถํ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา วุตฺตํ นิทเสฺสตพฺพสฺส นิทฺทิสิตพฺพตฺตาภาวาภาวโต, เตน เอวํ-สเทฺทน สกลมฺปิ สุตฺตํ ปจฺจามฎฺฐนฺติ ทเสฺสติฯ สุต-สทฺทสฺส กิริยาสทฺทตฺตา, สวนกิริยาย จ สาธารณวิญฺญาณปฺปพนฺธปฎิพทฺธตฺตา ตตฺถ จ ปุคฺคลโวหาโรติ วุตฺตํ ‘‘สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสน’’นฺติฯ น หิ ปุคฺคลโวหารรหิเต ธมฺมปฺปพเนฺธ สวนกิริยา ลพฺภตีติฯ

    ‘‘Evanti niddisitabbappakāsana’’nti nidassanatthaṃ evaṃ-saddaṃ gahetvā vuttaṃ nidassetabbassa niddisitabbattābhāvābhāvato, tena evaṃ-saddena sakalampi suttaṃ paccāmaṭṭhanti dasseti. Suta-saddassa kiriyāsaddattā, savanakiriyāya ca sādhāraṇaviññāṇappabandhapaṭibaddhattā tattha ca puggalavohāroti vuttaṃ ‘‘sutanti puggalakiccappakāsana’’nti. Na hi puggalavohārarahite dhammappabandhe savanakiriyā labbhatīti.

    ‘‘ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺสา’’ติอาทิปิ อาการตฺถเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา ปุริมโยชนาย อญฺญถา อตฺถโยชนํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ อาการปญฺญตฺตีติ อุปาทาปญฺญตฺติ เอว, ธมฺมานํ ปวตฺติอาการุปาทานวเสน ตถา วุตฺตาฯ ‘‘สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโส’’ติ โสตพฺพภูโต ธโมฺม สวนกิริยากตฺตุปุคฺคลสฺส สวนกิริยาวเสน ปวตฺติฎฺฐานนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ จิตฺตสนฺตานวินิมุตฺตสฺส ปรมตฺถโต กสฺสจิ กตฺตุ อภาเวปิ สทฺทโวหาเรน พุทฺธิปริกปฺปิตเภทวจนิจฺฉาย จิตฺตสนฺตานโต อญฺญํ วิย ตํสมงฺคิํ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคิโน’’ติฯ สวนกิริยาวิสโยปิ โสตพฺพธโมฺม สวนกิริยาวเสน ปวตฺตจิตฺตสนฺตานสฺส อิธ ปรมตฺถโต กตฺตุภาวโต, สวนวเสน จิตฺตปฺปวตฺติยา เอว วา สวนกิริยาภาวโต ตํกิริยากตฺตุ จ วิสโย โหตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ตํสมงฺคิโน กตฺตุ วิสเย’’ติฯ สุตาการสฺส จ เถรสฺส สมฺมานิจฺฉิตภาวโต อาห ‘‘คหณสนฺนิฎฺฐาน’’นฺติ, เอเตน วา อวธารณตฺถํ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา อยํ อตฺถโยชนา กตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    ‘‘Yassa cittasantānassā’’tiādipi ākāratthameva evaṃ-saddaṃ gahetvā purimayojanāya aññathā atthayojanaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tattha ākārapaññattīti upādāpaññatti eva, dhammānaṃ pavattiākārupādānavasena tathā vuttā. ‘‘Sutanti visayaniddeso’’ti sotabbabhūto dhammo savanakiriyākattupuggalassa savanakiriyāvasena pavattiṭṭhānanti katvā vuttaṃ. Cittasantānavinimuttassa paramatthato kassaci kattu abhāvepi saddavohārena buddhiparikappitabhedavacanicchāya cittasantānato aññaṃ viya taṃsamaṅgiṃ katvā vuttaṃ ‘‘cittasantānena taṃsamaṅgino’’ti. Savanakiriyāvisayopi sotabbadhammo savanakiriyāvasena pavattacittasantānassa idha paramatthato kattubhāvato, savanavasena cittappavattiyā eva vā savanakiriyābhāvato taṃkiriyākattu ca visayo hotīti katvā vuttaṃ ‘‘taṃsamaṅgino kattu visaye’’ti. Sutākārassa ca therassa sammānicchitabhāvato āha ‘‘gahaṇasanniṭṭhāna’’nti, etena vā avadhāraṇatthaṃ evaṃ-saddaṃ gahetvā ayaṃ atthayojanā katāti daṭṭhabbaṃ.

    ปุเพฺพ สุตานํ นานาวิหิตานํ สุตฺตสงฺขาตานํ อตฺถพฺยญฺชนานํ อุปธาริตรูปสฺส อาการสฺส นิทสฺสนสฺส อวธารณสฺส วา ปกาสนสภาโว เอวํ-สโทฺทติ ตทาการาทิอุปธารณสฺส ปุคฺคลปญฺญตฺติยา อุปาทานภูตธมฺมปฺปพนฺธพฺยาปารตาย วุตฺตํ ‘‘เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ สวนกิริยา ปน ปุคฺคลวาทิโนปิ วิญฺญาณนิรเปกฺขา นตฺถีติ วิเสสโต วิญฺญาณพฺยาปาโรติ อาห ‘‘สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ เมติ สทฺทปฺปวตฺติยา เอกเนฺตเนว สตฺตวิสยตฺตา, วิญฺญาณกิจฺจสฺส จ ตเตฺถว สโมทหิตพฺพโต ‘‘เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโส’’ติ วุตฺตํฯ อวิชฺชมานปญฺญตฺติวิชฺชมานปญฺญตฺติสภาวา ยถากฺกมํ เอวํ-สทฺท สุต-สทฺทานํ อตฺถาติ เต ตถารูปปญฺญตฺติอุปาทานพฺยาปารภาเวน ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ เอตฺถ จ กรณกิริยากตฺตุกมฺมวิเสสปฺปกาสนวเสน ปุคฺคลพฺยาปาวิสยปุคฺคลพฺยาปารนิทสฺสนวเสน คหณาการคาหกตพฺพิสยวิเสสนิเทฺทสวเสน กตฺตุกรณ พฺยาปารกตฺตุนิเทฺทสวเสน จ ทุติยาทโย จตโสฺส อตฺถโยชนา ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Pubbe sutānaṃ nānāvihitānaṃ suttasaṅkhātānaṃ atthabyañjanānaṃ upadhāritarūpassa ākārassa nidassanassa avadhāraṇassa vā pakāsanasabhāvo evaṃ-saddoti tadākārādiupadhāraṇassa puggalapaññattiyā upādānabhūtadhammappabandhabyāpāratāya vuttaṃ ‘‘evanti puggalakiccaniddeso’’ti. Savanakiriyā pana puggalavādinopi viññāṇanirapekkhā natthīti visesato viññāṇabyāpāroti āha ‘‘sutanti viññāṇakiccaniddeso’’ti. Meti saddappavattiyā ekanteneva sattavisayattā, viññāṇakiccassa ca tattheva samodahitabbato ‘‘meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso’’ti vuttaṃ. Avijjamānapaññattivijjamānapaññattisabhāvā yathākkamaṃ evaṃ-sadda suta-saddānaṃ atthāti te tathārūpapaññattiupādānabyāpārabhāvena dassento āha ‘‘evanti puggalakiccaniddeso. Sutanti viññāṇakiccaniddeso’’ti. Ettha ca karaṇakiriyākattukammavisesappakāsanavasena puggalabyāpāvisayapuggalabyāpāranidassanavasena gahaṇākāragāhakatabbisayavisesaniddesavasena kattukaraṇa byāpārakattuniddesavasena ca dutiyādayo catasso atthayojanā dassitāti daṭṭhabbaṃ.

    สพฺพสฺสาปิ สทฺทาธิคมนียสฺส อตฺถสฺส ปญฺญตฺติมุเขเนว ปฎิปชฺชิตพฺพตฺตา, สพฺพปญฺญตฺตีนญฺจ วิชฺชมานาทิวเสน ฉสุ ปญฺญตฺติเภเทสุ อโนฺตคธตฺตา เตสุ ‘‘เอว’’นฺติอาทีนํ ปญฺญตฺตีนํ สรูปํ นิทฺธาเรโนฺต อาห ‘‘เอวนฺติ จ เมติ จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ เอวนฺติ จ เมติ จ วุจฺจมานสฺส อตฺถสฺส อาการาทิโน, ธมฺมานญฺจ อสลฺลกฺขณภาวโต อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาโวติ อาห ‘‘สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ ตตฺถ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสนาติ ภูตตฺถอุตฺตมตฺถวเสนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติโย มายามรีจิอาทโย วิย อภูตโตฺถ, อนุสฺสวาทีหิ คเหตโพฺพ วิย อนุตฺตมโตฺถ จ น โหติ, โส รูปสทฺทาทิสภาโว รุปฺปนานุภวนาทิสภาโว วา อโตฺถ ‘‘สจฺจิกโฎฺฐ, ปรมตฺถ จา’’ติ วุจฺจติ, น ตถา เอวํ เมติ ปทานมโตฺถติ, เอตเมวตฺถํ ปากฎตรํ กาตุํ ‘‘กิเญฺหตฺถ ต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ สุตนฺติ ปน สทฺทายตนํ สนฺธายาห ‘‘วิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ เตเนว หิ ‘‘ยญฺหิ ตเมตฺถ โสเตน อุปลทฺธ’’นฺติ วุตฺตํ , ‘‘โสตทฺวารานุสาเรน อุปลทฺธ’’นฺติ ปน วุเตฺต อตฺถพฺยญฺชนาทิสพฺพํ ลพฺภติฯ ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโตติ โสตปถํ อาคเต ธเมฺม อุปาทาย เตสํ อุปธาริตาการาทิโน ปจฺจามสนวเสน ‘‘เอว’’นฺติ, สสนฺตติปริยาปเนฺน ขเนฺธ อุปาทาย ‘‘เม’’ติ วตฺตพฺพตฺตาติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐาทิสภาวรหิเต สทฺทายตเน ปวตฺตมาโนปิ สุตโวหาโร ‘‘ทุติยํ ตติย’’นฺติอาทิโก วิย ปฐมาทีนิ ทิฎฺฐมุตวิญฺญาเต อเปกฺขิตฺวา ปวโตฺตติ อาห ‘‘ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต’’ติฯ อสุตํ น โหตีติ หิ ‘‘สุต’’นฺติ ปกาสิโต ยมโตฺถติฯ

    Sabbassāpi saddādhigamanīyassa atthassa paññattimukheneva paṭipajjitabbattā, sabbapaññattīnañca vijjamānādivasena chasu paññattibhedesu antogadhattā tesu ‘‘eva’’ntiādīnaṃ paññattīnaṃ sarūpaṃ niddhārento āha ‘‘evanti ca meti cā’’tiādi. Tattha evanti ca meti ca vuccamānassa atthassa ākārādino, dhammānañca asallakkhaṇabhāvato avijjamānapaññattibhāvoti āha ‘‘saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññattī’’ti. Tattha saccikaṭṭhaparamatthavasenāti bhūtatthauttamatthavasena. Idaṃ vuttaṃ hotiyo māyāmarīciādayo viya abhūtattho, anussavādīhi gahetabbo viya anuttamattho ca na hoti, so rūpasaddādisabhāvo ruppanānubhavanādisabhāvo vā attho ‘‘saccikaṭṭho, paramattha cā’’ti vuccati, na tathā evaṃ meti padānamatthoti, etamevatthaṃ pākaṭataraṃ kātuṃ ‘‘kiñhettha ta’’ntiādi vuttaṃ. Sutanti pana saddāyatanaṃ sandhāyāha ‘‘vijjamānapaññattī’’ti. Teneva hi ‘‘yañhi tamettha sotena upaladdha’’nti vuttaṃ , ‘‘sotadvārānusārena upaladdha’’nti pana vutte atthabyañjanādisabbaṃ labbhati. Taṃ taṃ upādāya vattabbatoti sotapathaṃ āgate dhamme upādāya tesaṃ upadhāritākārādino paccāmasanavasena ‘‘eva’’nti, sasantatipariyāpanne khandhe upādāya ‘‘me’’ti vattabbattāti attho. Diṭṭhādisabhāvarahite saddāyatane pavattamānopi sutavohāro ‘‘dutiyaṃ tatiya’’ntiādiko viya paṭhamādīni diṭṭhamutaviññāte apekkhitvā pavattoti āha ‘‘diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato’’ti. Asutaṃ na hotīti hi ‘‘suta’’nti pakāsito yamatthoti.

    อตฺตนา ปฎิวิทฺธา สุตฺตสฺส ปการวิเสสา ‘‘เอว’’นฺติ เถเรน ปจฺจามฎฺฐาติ อาห ‘‘อสโมฺมหํ ทีเปตี’’ติฯ ‘‘นานปฺปการปฎิเวธสมโตฺถ โหตี’’ติ เอเตน วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส นานปฺปการตํ ทุปฺปฎิวิชฺฌตญฺจ ทเสฺสติฯ ‘‘สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปตี’’ติ สุตาการสฺส ยาถาวโต ทสฺสิยมานตฺตา วุตฺตํฯ อสโมฺมเหนาติ สโมฺมหาภาเวน, ปญฺญาย เอว วา สวนกาลสมฺภูตาย ตทุตฺตรกาลปญฺญาสิทฺธิ, เอวํ อสโมฺมเสนาติ เอตฺถาปิ วตฺตพฺพํฯ พฺยญฺชนานํ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ อากาโร นาติคมฺภีโร, ยถาสุตธารณเมว ตตฺถ กรณียนฺติ สติยา พฺยาปาโร อธิโก, ปญฺญา ตตฺถ คุณีภูตาติ วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปุพฺพงฺคมายา’’ติอาทิ ปญฺญาย ปุพฺพงฺคมาติ กตฺวาฯ ปุพฺพงฺคมตา เจตฺถ ปธานภาโว ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา’’ติอาทีสุ วิย, ปุพฺพงฺคมตาย วา จกฺขุวิญฺญาณาทีสุ อาวชฺชนาทีนํ วิย อปฺปธานเตฺต ปญฺญา ปุพฺพงฺคมา เอติสฺสาติ อยมฺปิ อโตฺถ ยุชฺชติ, เอวํ ‘‘สติปุพฺพงฺคมายา’’ติ เอตฺถาปิ วุตฺตนยานุสาเรน ยถาสมฺภวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺสาติ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณสฺส, สงฺกาสนปกาสนวิวรณวิภชนอุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ, อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตสฺสาติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Attanā paṭividdhā suttassa pakāravisesā ‘‘eva’’nti therena paccāmaṭṭhāti āha ‘‘asammohaṃ dīpetī’’ti. ‘‘Nānappakārapaṭivedhasamattho hotī’’ti etena vakkhamānassa suttassa nānappakārataṃ duppaṭivijjhatañca dasseti. ‘‘Sutassa asammosaṃ dīpetī’’ti sutākārassa yāthāvato dassiyamānattā vuttaṃ. Asammohenāti sammohābhāvena, paññāya eva vā savanakālasambhūtāya taduttarakālapaññāsiddhi, evaṃ asammosenāti etthāpi vattabbaṃ. Byañjanānaṃ paṭivijjhitabbo ākāro nātigambhīro, yathāsutadhāraṇameva tattha karaṇīyanti satiyā byāpāro adhiko, paññā tattha guṇībhūtāti vuttaṃ ‘‘paññāpubbaṅgamāyā’’tiādi paññāya pubbaṅgamāti katvā. Pubbaṅgamatā cettha padhānabhāvo ‘‘manopubbaṅgamā’’tiādīsu viya, pubbaṅgamatāya vā cakkhuviññāṇādīsu āvajjanādīnaṃ viya appadhānatte paññā pubbaṅgamā etissāti ayampi attho yujjati, evaṃ ‘‘satipubbaṅgamāyā’’ti etthāpi vuttanayānusārena yathāsambhavamattho veditabbo. Atthabyañjanasampannassāti atthabyañjanaparipuṇṇassa, saṅkāsanapakāsanavivaraṇavibhajanauttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi, akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatassāti vā attho daṭṭhabbo.

    โยนิโสมนสิการํ ทีเปตีติ เอวํ-สเทฺทน วุจฺจมานานํ อาการนิทสฺสนาวธารณตฺถานํ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสยตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อวิเกฺขปํ ทีเปตี’’ติ ‘‘พฺรหฺมชาลํ กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทิ ปุจฺฉาวเสน ปกรณปฺปตฺตสฺส วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส สวนํ สมาธานมนฺตเรน น สมฺภวตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ ‘‘วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺสา’’ติอาทิ ตเสฺสวตฺถสฺส สมตฺถนวเสน วุตฺตํฯ สพฺพสมฺปตฺติยาติ อตฺถพฺยญฺชนเทสกปโยชนาทิสมฺปตฺติยาฯ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสเยหิ วิย อาการนิทสฺสนาวธารณเตฺถหิ โยนิโสมนสิการสฺส, สทฺธมฺมสฺสวเนน วิย จ อวิเกฺขปสฺส ยถา โยนิโสมนสิกาเรน ผลภูเตน อตฺตสมฺมาปณิธิปุเพฺพกตปุญฺญตานํ สิทฺธิ วุตฺตา ตทวินาภาวโต, เอวํ อวิเกฺขเปน ผลภูเตน การณภูตานํ สทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปนิสฺสยานํ สิทฺธิ ทเสฺสตพฺพา สิยา อสฺสุตวโต, สปฺปุริสูปนิสฺสยรหิตสฺส จ ตทภาวโตฯ

    Yonisomanasikāraṃ dīpetīti evaṃ-saddena vuccamānānaṃ ākāranidassanāvadhāraṇatthānaṃ aviparītasaddhammavisayattāti adhippāyo. ‘‘Avikkhepaṃ dīpetī’’ti ‘‘brahmajālaṃ kattha bhāsita’’ntiādi pucchāvasena pakaraṇappattassa vakkhamānassa suttassa savanaṃ samādhānamantarena na sambhavatīti katvā vuttaṃ. ‘‘Vikkhittacittassā’’tiādi tassevatthassa samatthanavasena vuttaṃ. Sabbasampattiyāti atthabyañjanadesakapayojanādisampattiyā. Aviparītasaddhammavisayehi viya ākāranidassanāvadhāraṇatthehi yonisomanasikārassa, saddhammassavanena viya ca avikkhepassa yathā yonisomanasikārena phalabhūtena attasammāpaṇidhipubbekatapuññatānaṃ siddhi vuttā tadavinābhāvato, evaṃ avikkhepena phalabhūtena kāraṇabhūtānaṃ saddhammassavanasappurisūpanissayānaṃ siddhi dassetabbā siyā assutavato, sappurisūpanissayarahitassa ca tadabhāvato.

    ‘‘น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต’’ติอาทินา สมตฺถนวจเนน ปน อวิเกฺขเปน การณภูเตน สปฺปุริสูปนิสฺสเยน จ ผลภูตสฺส สทฺธมฺมสฺสวนสฺส สิทฺธิ ทสฺสิตาฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย ยุโตฺต สิยาสทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปนิสฺสยา น เอกเนฺตน อวิเกฺขปสฺส การณํ พาหิรงฺคตฺตา, อวิเกฺขโป ปน สปฺปุริสูปนิสฺสโย วิย สทฺธมฺมสฺสวนสฺส เอกนฺตการณนฺติฯ เอวมฺปิ อวิเกฺขเปน สปฺปุริสูปนิสฺสยสิทฺธิโชตนา น สมตฺถิตาว, โน น สมตฺถิตา วิกฺขิตฺตจิตฺตานํ สปฺปุริสปยิรุปาสนาภาวสฺส อตฺถสิทฺธตฺตาฯ เอตฺถ จ ปุริมํ ผเลน การณสฺส สิทฺธิทสฺสนํ นทีปูเรน วิย อุปริ วุฎฺฐิสพฺภาวสฺส, ทุติยํ การเณน ผลสฺส สิทฺธิทสฺสนํ ทฎฺฐพฺพํ เอกเนฺตน วสฺสินา วิย เมฆวุฎฺฐาเนน วุฎฺฐิปฺปวตฺติยาฯ

    ‘‘Nahi vikkhittacitto’’tiādinā samatthanavacanena pana avikkhepena kāraṇabhūtena sappurisūpanissayena ca phalabhūtassa saddhammassavanassa siddhi dassitā. Ayaṃ panettha adhippāyo yutto siyāsaddhammassavanasappurisūpanissayā na ekantena avikkhepassa kāraṇaṃ bāhiraṅgattā, avikkhepo pana sappurisūpanissayo viya saddhammassavanassa ekantakāraṇanti. Evampi avikkhepena sappurisūpanissayasiddhijotanā na samatthitāva, no na samatthitā vikkhittacittānaṃ sappurisapayirupāsanābhāvassa atthasiddhattā. Ettha ca purimaṃ phalena kāraṇassa siddhidassanaṃ nadīpūrena viya upari vuṭṭhisabbhāvassa, dutiyaṃ kāraṇena phalassa siddhidassanaṃ daṭṭhabbaṃ ekantena vassinā viya meghavuṭṭhānena vuṭṭhippavattiyā.

    ภควโต วจนสฺส อตฺถพฺยญฺชนปเภทปริเจฺฉทวเสน สกลสาสนสมฺปตฺติโอคาหนากาโร นิรวเสสปรหิตปาริปูริการณนฺติ วุตฺตํ ‘‘เอวํ ภทฺทโก อากาโร’’ติฯ ยสฺมา น โหตีติ สมฺพโนฺธฯ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺตินฺติ อตฺตสมฺมาปณิธิปุเพฺพกตปุญฺญตาสงฺขาตํ คุณทฺวยํฯ อปราปรํ วุตฺติยา เจตฺถ จกฺกภาโว, จรนฺติ เอเตหิ สตฺตา สมฺปตฺติภเวสูติ วาฯ เย สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘จตฺตาริมานิ ภิกฺขเว จกฺกานิ, เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสานํ จตุจกฺกํ วตฺตตี’’ติอาทิ ฯ ปุริมปจฺฉิมภาโว เจตฺถ เทสนากฺกมวเสน ทฎฺฐโพฺพฯ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยาติ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสฺส อตฺถิตายฯ สมฺมาปณิหิตโตฺต ปุเพฺพ จ กตปุโญฺญ สุทฺธาสโย โหติ ตทสุทฺธิเหตูนํ กิเลสานํ ทูรีภาวโตติ อาห ‘‘อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหตี’’ติฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ, เสยฺยโส นํ ตโต กเร’’ติ, ‘‘กตปุโญฺญสิ ตฺวํ อานนฺท, ปธานํ อนุยุญฺช ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโวติ จฯ เตเนวาห ‘‘อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธี’’ติฯ ปโยคสุทฺธิยาติ โยนิโสมนสิการปุพฺพงฺคมสฺส ธมฺมสฺสวนปโยคสฺส วิสทภาเวนฯ ตถา จาห ‘‘อาคมพฺยตฺติสิทฺธี’’ติฯ สพฺพสฺส วา กายวจีปโยคสฺส นิโทฺทสภาเวนฯ ปริสุทฺธกายวจีปโยโค หิ วิปฺปฎิสาราภาวโต อวิกฺขิตฺตจิโตฺต ปริยตฺติยํ วิสารโท โหตีติฯ

    Bhagavato vacanassa atthabyañjanapabhedaparicchedavasena sakalasāsanasampattiogāhanākāro niravasesaparahitapāripūrikāraṇanti vuttaṃ ‘‘evaṃ bhaddako ākāro’’ti. Yasmā na hotīti sambandho. Pacchimacakkadvayasampattinti attasammāpaṇidhipubbekatapuññatāsaṅkhātaṃ guṇadvayaṃ. Aparāparaṃ vuttiyā cettha cakkabhāvo, caranti etehi sattā sampattibhavesūti vā. Ye sandhāya vuttaṃ ‘‘cattārimāni bhikkhave cakkāni, yehi samannāgatānaṃ devamanussānaṃ catucakkaṃ vattatī’’tiādi . Purimapacchimabhāvo cettha desanākkamavasena daṭṭhabbo. Pacchimacakkadvayasiddhiyāti pacchimacakkadvayassa atthitāya. Sammāpaṇihitatto pubbe ca katapuñño suddhāsayo hoti tadasuddhihetūnaṃ kilesānaṃ dūrībhāvatoti āha ‘‘āsayasuddhi siddhā hotī’’ti. Tathā hi vuttaṃ ‘‘sammāpaṇihitaṃ cittaṃ, seyyaso naṃ tato kare’’ti, ‘‘katapuññosi tvaṃ ānanda, padhānaṃ anuyuñja khippaṃ hohisi anāsavoti ca. Tenevāha ‘‘āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhī’’ti. Payogasuddhiyāti yonisomanasikārapubbaṅgamassa dhammassavanapayogassa visadabhāvena. Tathā cāha ‘‘āgamabyattisiddhī’’ti. Sabbassa vā kāyavacīpayogassa niddosabhāvena. Parisuddhakāyavacīpayogo hi vippaṭisārābhāvato avikkhittacitto pariyattiyaṃ visārado hotīti.

    ‘‘นานปฺปการปฎิเวธทีปเกนา’’ติอาทินา อตฺถพฺยญฺชเนสุ เถรสฺส เอวํ-สทฺท สุต-สทฺทานํ อสโมฺมหาสโมฺมสทีปนโต จตุปฎิสมฺภิทาวเสน อตฺถโยชนํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ ‘‘โสตพฺพปฺปเภทปฎิเวธทีปเกนา’’ติ เอเตน อยํ สุต-สโทฺท เอวํ-สทฺทสนฺนิธานโต, วกฺขมานาเปกฺขาย วา สามเญฺญเนว โสตพฺพธมฺมวิเสสํ อามสตีติ ทเสฺสติฯ มโนทิฎฺฐิกรณาปริยตฺติธมฺมานํ อนุเปกฺขนสุปฺปฎิเวธา วิเสสโต มนสิการปฎิพทฺธาติ เต วุตฺตนเยน โยนิโสมนสิการทีปเกน เอวํ-สเทฺทน โยเชตฺวา, สวนธารณวจีปริจยา ปริยตฺติธมฺมานํ วิเสเสน โสตาวธานปฎิพทฺธาติ เต อวิเกฺขปทีปเกน สุต-สเทฺทน โยเชตฺวา ทเสฺสโนฺต สาสนสมฺปตฺติยา ธมฺมสฺสวเน อุสฺสาหํ ชเนติฯ ตตฺถ ธมฺมาติ ปริยตฺติธมฺมาฯ มนสานุเปกฺขิตาติ ‘‘อิธ สีลํ กถิตํ, อิธ สมาธิ, อิธ ปญฺญา, เอตฺตกา เอตฺถ อนุสนฺธิโย’’ติอาทินา นเยน มนสา อนุเปกฺขิตาฯ ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธาติ นิชฺฌานกฺขนฺติภูตาย, ญาตปริญฺญาสงฺขาตาย วา ทิฎฺฐิยา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตรูปารูปธเมฺม ‘‘อิติ รูปํ, เอตฺตกํ รูป’’นฺติอาทินา สุฎฺฐุ ววตฺถเปตฺวา ปฎิวิทฺธาฯ

    ‘‘Nānappakārapaṭivedhadīpakenā’’tiādinā atthabyañjanesu therassa evaṃ-sadda suta-saddānaṃ asammohāsammosadīpanato catupaṭisambhidāvasena atthayojanaṃ dasseti. Tattha ‘‘sotabbappabhedapaṭivedhadīpakenā’’ti etena ayaṃ suta-saddo evaṃ-saddasannidhānato, vakkhamānāpekkhāya vā sāmaññeneva sotabbadhammavisesaṃ āmasatīti dasseti. Manodiṭṭhikaraṇāpariyattidhammānaṃ anupekkhanasuppaṭivedhā visesato manasikārapaṭibaddhāti te vuttanayena yonisomanasikāradīpakena evaṃ-saddena yojetvā, savanadhāraṇavacīparicayā pariyattidhammānaṃ visesena sotāvadhānapaṭibaddhāti te avikkhepadīpakena suta-saddena yojetvā dassento sāsanasampattiyā dhammassavane ussāhaṃ janeti. Tattha dhammāti pariyattidhammā. Manasānupekkhitāti ‘‘idha sīlaṃ kathitaṃ, idha samādhi, idha paññā, ettakā ettha anusandhiyo’’tiādinā nayena manasā anupekkhitā. Diṭṭhiyā suppaṭividdhāti nijjhānakkhantibhūtāya, ñātapariññāsaṅkhātāya vā diṭṭhiyā tattha tattha vuttarūpārūpadhamme ‘‘iti rūpaṃ, ettakaṃ rūpa’’ntiādinā suṭṭhu vavatthapetvā paṭividdhā.

    ‘‘สกเลน วจเนนา’’ติ ปุเพฺพ ตีหิ ปเทหิ วิสุํ วิสุํ โยชิตตฺตา วุตฺตํฯ อสปฺปุริสภูมินฺติ อกตญฺญุตํ ‘‘อิเธกโจฺจ ปาปภิกฺขุ ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ ปริยาปุณิตฺวา อตฺตโน ทหตี’’ติ เอวํ วุตฺตํ อนริยโวหาราวตฺถํฯ สา เอว อนริยโวหาราวตฺถา อสทฺธโมฺมฯ นนุ จ อานนฺทเตฺถรสฺส ‘‘มเมทํ วจน’’นฺติ อธิมานสฺส, มหากสฺสปเตฺถราทีนญฺจ ตทาสงฺกาย อภาวโต อสปฺปุริสภูมิสมติกฺกมาทิวจนํ นิรตฺถกํ ติ? นยิทํ เอวํ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ วทเนฺตน อยมฺปิ อโตฺถ วิภาวิโตติ ทสฺสนโตฯ เกจิ ปน ‘‘เทวตานํ ปริวิตกฺกาเปกฺขํ ตถาวจนนฺติ เอทิสี โจทนา อนวกาสา’’ติ วทนฺติฯ ตสฺมิํ กิร ขเณ เอกจฺจานํ เทวตานํ เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘‘ตถาคโต จ ปรินิพฺพุโต, อยญฺจ อายสฺมา เทสนากุสโล, อิทานิ ธมฺมํ เทเสติ, สกฺยกุลปฺปสุโต ตถาคตสฺส ภาตา จูฬปิตุปุโตฺต, กิํ นุ โข สยํ สจฺฉิกต ธมฺมํ เทเสติ, อุทาหุ ภควโตเยว วจนํ ยถาสุต’’นฺติฯ เอวํ ตทาสงฺกิตปฺปการโต อสปฺปุริสภูมิสโมกฺกมาทิโต อติกฺกมาทิ วิภาวิตนฺติฯ อตฺตโน อทหโนฺตติ ‘‘มเมต’’นฺติ อตฺตนิ อฎฺฐเปโนฺตฯ อเปฺปตีติ นิทเสฺสติฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถสุ ยถารหํ สเตฺต เนตีติ เนตฺติ, ธโมฺมเยว เนตฺติ ธมฺมเนตฺติฯ

    ‘‘Sakalena vacanenā’’ti pubbe tīhi padehi visuṃ visuṃ yojitattā vuttaṃ. Asappurisabhūminti akataññutaṃ ‘‘idhekacco pāpabhikkhu tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ pariyāpuṇitvā attano dahatī’’ti evaṃ vuttaṃ anariyavohārāvatthaṃ. Sā eva anariyavohārāvatthā asaddhammo. Nanu ca ānandattherassa ‘‘mamedaṃ vacana’’nti adhimānassa, mahākassapattherādīnañca tadāsaṅkāya abhāvato asappurisabhūmisamatikkamādivacanaṃ niratthakaṃ ti? Nayidaṃ evaṃ ‘‘evaṃ me suta’’nti vadantena ayampi attho vibhāvitoti dassanato. Keci pana ‘‘devatānaṃ parivitakkāpekkhaṃ tathāvacananti edisī codanā anavakāsā’’ti vadanti. Tasmiṃ kira khaṇe ekaccānaṃ devatānaṃ evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘‘tathāgato ca parinibbuto, ayañca āyasmā desanākusalo, idāni dhammaṃ deseti, sakyakulappasuto tathāgatassa bhātā cūḷapituputto, kiṃ nu kho sayaṃ sacchikata dhammaṃ deseti, udāhu bhagavatoyeva vacanaṃ yathāsuta’’nti. Evaṃ tadāsaṅkitappakārato asappurisabhūmisamokkamādito atikkamādi vibhāvitanti. Attano adahantoti ‘‘mameta’’nti attani aṭṭhapento. Appetīti nidasseti. Diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthesu yathārahaṃ satte netīti netti, dhammoyeva netti dhammanetti.

    ทฬฺหตรนิวิฎฺฐา วิจิกิจฺฉา กงฺขาฯ นาติสํสปฺปนํ มติเภทมตฺตํ วิมติฯ อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ ภควโต เทสิตตฺตา, สมฺมุขา จสฺส ปฎิคฺคหิตตฺตา, ขลิตทุรุตฺตาทิคฺคหณโทสาภาวโต จฯ เอตฺถ จ ปฐมาทโย ติโสฺส อตฺถโยชนา อาการาทิอเตฺถสุ อคฺคหิตวิเสสเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา ทสฺสิตา, ตโต ปรา ติโสฺส อาการตฺถเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา วิภาวิตาฯ ปจฺฉิมา ปน ติโสฺส ยถากฺกมํ อาการตฺถํ นิทสฺสนตฺถํ อวธารณตฺถญฺจ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา โยชิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Daḷhataraniviṭṭhā vicikicchā kaṅkhā. Nātisaṃsappanaṃ matibhedamattaṃ vimati. Assaddhiyaṃ vināseti bhagavato desitattā, sammukhā cassa paṭiggahitattā, khalitaduruttādiggahaṇadosābhāvato ca. Ettha ca paṭhamādayo tisso atthayojanā ākārādiatthesu aggahitavisesameva evaṃ-saddaṃ gahetvā dassitā, tato parā tisso ākāratthameva evaṃ-saddaṃ gahetvā vibhāvitā. Pacchimā pana tisso yathākkamaṃ ākāratthaṃ nidassanatthaṃ avadhāraṇatthañca evaṃ-saddaṃ gahetvā yojitāti daṭṭhabbaṃ.

    เอก-สโทฺท อญฺญเสฎฺฐาสหายสงฺขฺยทีสุ ทิสฺสติฯ ตถาเหส ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ , อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ อิเตฺถเก อภิวทนฺตี’’ติอาทีสุ อญฺญเตฺถ ทิสฺสติ, ‘‘เจตโส เอโกทิภาว’’นฺติอาทีสุ เสฎฺฐเตฺถ, ‘‘เอโก วูปกโฎฺฐ’’ติอาทีสุ อสหาเย, ‘‘เอโกว โข ภิกฺขเว ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ สงฺขฺยยํ, อิธาปิ สงฺขฺยยนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโส’’ติฯ กาลญฺจ สมยญฺจาติ ยุตฺตกาลญฺจ ปจฺจยสามคฺคิญฺจฯ ขโณติ โอกาโสฯ ตถาคตุปฺปาทาทิโก หิ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส โอกาโส ตปฺปจฺจยปฎิลาภเหตุตฺตาฯ ขโณ เอว จ สมโยฯ โย ‘‘ขโณ’’ติ จ ‘‘สมโย’’ติ จ วุจฺจติ, โส เอโก วาติ หิ อโตฺถฯ มหาสมโยติ มหาสมูโหฯ สมโยปิ โขติ สิกฺขาปทปูรณสฺส เหตุปิฯ สมยปฺปวาทเกติ ทิฎฺฐิปฺปวาทเกฯ ตตฺถ หิ นิสินฺนา ติตฺถิยา อตฺตโน อตฺตโน สมยํ ปวทนฺตีติฯ อตฺถาภิสมยาติ หิตปฎิลาภาฯ อภิสเมตโพฺพติ อภิสมโย, อภิสมโย อโตฺถติ อภิสมยโฎฺฐติ ปีฬน อาทีนิ อภิสเมตพฺพภาเวน เอกีภาวํ อุปเนตฺวา วุตฺตานิฯ อภิสมยสฺส วา ปฎิเวธสฺส วิสยภูตภาโว อภิสมยโฎฺฐติ ตาเนว ตถา เอกเตฺตน วุตฺตานิฯ ตตฺถ ปีฬนํ ทุกฺขสจฺจสฺส ตํ สมงฺคีโน หิํสนํ อวิปฺผาริกตากรณํฯ สนฺตาโปทุกฺขทุกฺขตาทิวเสน สนฺตาปนํ ปริทหณํฯ

    Eka-saddo aññaseṭṭhāsahāyasaṅkhyadīsu dissati. Tathāhesa ‘‘sassato attā ca loko ca , idameva saccaṃ moghamaññanti ittheke abhivadantī’’tiādīsu aññatthe dissati, ‘‘cetaso ekodibhāva’’ntiādīsu seṭṭhatthe, ‘‘eko vūpakaṭṭho’’tiādīsu asahāye, ‘‘ekova kho bhikkhave khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu saṅkhyayaṃ, idhāpi saṅkhyayanti dassento āha ‘‘ekanti gaṇanaparicchedaniddeso’’ti. Kālañca samayañcāti yuttakālañca paccayasāmaggiñca. Khaṇoti okāso. Tathāgatuppādādiko hi maggabrahmacariyassa okāso tappaccayapaṭilābhahetuttā. Khaṇo eva ca samayo. Yo ‘‘khaṇo’’ti ca ‘‘samayo’’ti ca vuccati, so eko vāti hi attho. Mahāsamayoti mahāsamūho. Samayopi khoti sikkhāpadapūraṇassa hetupi. Samayappavādaketi diṭṭhippavādake. Tattha hi nisinnā titthiyā attano attano samayaṃ pavadantīti. Atthābhisamayāti hitapaṭilābhā. Abhisametabboti abhisamayo, abhisamayo atthoti abhisamayaṭṭhoti pīḷana ādīni abhisametabbabhāvena ekībhāvaṃ upanetvā vuttāni. Abhisamayassa vā paṭivedhassa visayabhūtabhāvo abhisamayaṭṭhoti tāneva tathā ekattena vuttāni. Tattha pīḷanaṃ dukkhasaccassa taṃ samaṅgīno hiṃsanaṃ avipphārikatākaraṇaṃ. Santāpodukkhadukkhatādivasena santāpanaṃ paridahaṇaṃ.

    ตตฺถ สหการีการณํ สนฺนิชฺฌ สเมติ สมเวตีติ สมโย, สมวาโยฯ สเมติ สมาคจฺฉติ มคฺคพฺรหฺมจริยเมตฺถ ตทาธารปุคฺคเลหีติ สมโย, ขโณฯ สเมติ เอตฺถ, เอเตนว สํคจฺฉติ สโตฺต, สภาวธโมฺม วา สหชาตาทีหิ, อุปฺปาทาทีหิ วาติ สมโย, กาโลฯ ธมฺมปฺปวตฺติมตฺตตาย อตฺถโต อภูโตปิ หิ กาโล ธมฺมปฺปวตฺติยา อธิกรณํ, กรณํ วิย จ กปฺปนามตฺตสิเทฺธน รูเปน โวหรียตีติฯ สมํ, สห วา อวยวานํ อยนํ ปวตฺติ อวฎฺฐานนฺติ สมโย, สมูโห, ยถา ‘‘สมุทาโย’’ติฯ อวยวสหาวฎฺฐานเมว หิ สมูโหติฯ อวเสสปจฺจยานํ สมาคเม เอติ ผลํ เอตสฺมา อุปฺปชฺชติ ปวตฺตติ จาติ สมโย, เหตุ ยถา ‘‘สมุทโย’’ติฯ สเมติ สํโยชนภาวโต สมฺพโนฺธ เอติ อตฺตโน วิสเย ปวตฺตติ, ทฬฺหคฺคหณภาวโต วา สํยุตฺตา อยนฺติ ปวตฺตนฺติ สตฺตา ยถาภินิเวสํ เอเตนาติ สมโย, ทิฎฺฐิฯ ทิฎฺฐิสํโยชเนน หิ สตฺตา อติวิย พชฺฌนฺตีติฯ สมิติ สงฺคติ สโมธานนฺติ สมโย, ปฎิลาโภฯ สมสฺส ยานํ, สมฺมา วา ยานํ อปคโมติ สมโย, ปหานํฯ อภิมุขํ ญาเณน เอตโพฺพ อภิสเมตโพฺพติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีโต สภาโวฯ อภิมุขภาเวน สมฺมา เอติ คจฺฉติ พุชฺฌตีติ อภิสมโย, ธมฺมานํ ยถาภูตสภาวาวโพโธฯ เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ สมย-สทฺทสฺส ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ สมย-สทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร อภิสมย-สทฺทสฺส อุทาหรณํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อสฺสาติ สมย-สทฺทสฺสฯ กาโล อโตฺถ สมวายาทีนํ อตฺถานํ อิธ อสมฺภวโต เทสเทสกปริสานํ วิย สุตฺตสฺส นิทานภาเวน กาลสฺส อปทิสิตพฺพโต จฯ

    Tattha sahakārīkāraṇaṃ sannijjha sameti samavetīti samayo, samavāyo. Sameti samāgacchati maggabrahmacariyamettha tadādhārapuggalehīti samayo, khaṇo. Sameti ettha, etenava saṃgacchati satto, sabhāvadhammo vā sahajātādīhi, uppādādīhi vāti samayo, kālo. Dhammappavattimattatāya atthato abhūtopi hi kālo dhammappavattiyā adhikaraṇaṃ, karaṇaṃ viya ca kappanāmattasiddhena rūpena voharīyatīti. Samaṃ, saha vā avayavānaṃ ayanaṃ pavatti avaṭṭhānanti samayo, samūho, yathā ‘‘samudāyo’’ti. Avayavasahāvaṭṭhānameva hi samūhoti. Avasesapaccayānaṃ samāgame eti phalaṃ etasmā uppajjati pavattati cāti samayo, hetu yathā ‘‘samudayo’’ti. Sameti saṃyojanabhāvato sambandho eti attano visaye pavattati, daḷhaggahaṇabhāvato vā saṃyuttā ayanti pavattanti sattā yathābhinivesaṃ etenāti samayo, diṭṭhi. Diṭṭhisaṃyojanena hi sattā ativiya bajjhantīti. Samiti saṅgati samodhānanti samayo, paṭilābho. Samassa yānaṃ, sammā vā yānaṃ apagamoti samayo, pahānaṃ. Abhimukhaṃ ñāṇena etabbo abhisametabboti abhisamayo, dhammānaṃ aviparīto sabhāvo. Abhimukhabhāvena sammā eti gacchati bujjhatīti abhisamayo, dhammānaṃ yathābhūtasabhāvāvabodho. Evaṃ tasmiṃ tasmiṃ atthe samaya-saddassa pavatti veditabbā. Samaya-saddassa atthuddhāre abhisamaya-saddassa udāharaṇaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Assāti samaya-saddassa. Kālo attho samavāyādīnaṃ atthānaṃ idha asambhavato desadesakaparisānaṃ viya suttassa nidānabhāvena kālassa apadisitabbato ca.

    กสฺมา ปเนตฺถ อนิยามิตวเสเนว กาโล นิทฺทิโฎฺฐ, น อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยเมตฺวาติ อาห ‘‘ตตฺถ กิญฺจาปี’’ติอาทิฯ อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยมํ อกตฺวา สมย-สทฺทสฺส วจเน อยมฺปิ คุโณ ลโทฺธ โหตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เย วา อิเม’’ติอาทิมาหฯ สามญฺญโชตนา หิ วิเสเส อวติฎฺฐตีติฯ ตตฺถ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทวสิกํ ฌานสมาปตฺตีหิ วีตินามนกาโล, วิเสสโต สตฺตสตฺตาหานิฯ ปกาสาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุยา ปกมฺปนโอภาสปาตุภาวาทีหิ ปากฎาฯ ยถาวุตฺตปฺปเภเทสุเยว สมเยสุ เอกเทสํ ปการนฺตเรหิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘โย จาย’’นฺติอาทิมาหฯ ตถา หิ ญาณกิจฺจสมโย อตฺตหิตปฎิปตฺติสมโย จ อภิสโมฺพธิสมโยฯ อริยตุณฺหิภาวสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโยฯ กรุณากิจฺจปรหิตปฎิปตฺติธมฺมิกถาสมโย เทสนาสมเยวฯ

    Kasmā panettha aniyāmitavaseneva kālo niddiṭṭho, na utusaṃvaccharādivasena niyametvāti āha ‘‘tattha kiñcāpī’’tiādi. Utusaṃvaccharādivasena niyamaṃ akatvā samaya-saddassa vacane ayampi guṇo laddho hotīti dassento ‘‘ye vā ime’’tiādimāha. Sāmaññajotanā hi visese avatiṭṭhatīti. Tattha diṭṭhadhammasukhavihārasamayo devasikaṃ jhānasamāpattīhi vītināmanakālo, visesato sattasattāhāni. Pakāsāti dasasahassilokadhātuyā pakampanaobhāsapātubhāvādīhi pākaṭā. Yathāvuttappabhedesuyeva samayesu ekadesaṃ pakārantarehi saṅgahetvā dassetuṃ ‘‘yo cāya’’ntiādimāha. Tathā hi ñāṇakiccasamayo attahitapaṭipattisamayo ca abhisambodhisamayo. Ariyatuṇhibhāvasamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo. Karuṇākiccaparahitapaṭipattidhammikathāsamayo desanāsamayeva.

    กรณวจเนน นิเทฺทโส กโต ยถาติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถาติ อภิธมฺมวินเยสุฯ ตถาติ ภุมฺมกรเณหิฯ อธิกรณตฺถ อาธารโตฺถฯ ภาโว นาม กิริยา, กิริยาย กิริยนฺตรลกฺขณํ ภาเวนภาวลกฺขณํฯ ตตฺถ ยถา กาโล สภาวธมฺมปริจฺฉิโนฺน สยํ ปรมตฺถโต อวิชฺชมาโนปิ อาธารภาเวน ปญฺญาโต ตงฺขณปฺปวตฺตานํ ตโต ปุเพฺพ ปรโต จ อภาวโต ‘‘ปุพฺพเณฺห ชาโต, สายเนฺห คจฺฉตี’’ติ, จ อาทีสุ, สมูโห จ อวยววินิมุโตฺต อวิชฺชมาโนปิ กปฺปนามตฺตสิโทฺธ อวยวานํ อาธารภาเวน ปญฺญาปียติ ‘‘รุเกฺข สาขา, ยวราสิยํ สมฺภูโต’’ติอาทีสุ, เอวํ อิธาปีติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อธิกรณญฺหิ…เป.… ธมฺมาน’’นฺติฯ ยสฺมิํ กาเล, ธมฺมปุเญฺช วา กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว กาเล, ธมฺมปุเญฺช จ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อยญฺหิ ตตฺถ อโตฺถฯ ยถา จ คาวีสุ ทุยฺหมานาสุ คโต, ทุทฺธาสุ อาคโตติ โทหนกิริยาย คมนกิริยา ลกฺขียติ, เอวํ อิธาปิ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ตสฺมิํ สมเย’’ติ จ วุเตฺต สตีติ อยมโตฺถ วิญฺญายมาโน เอว โหติ ปทตฺถสฺส สตฺตาวิรหาภวโตติ สมยสฺส สตฺตากิริยาย จิตฺตสฺส อุปฺปาทกิริยา, ผสฺสาทีนํ ภวนกิริยา จ ลกฺขียติฯ ยสฺมิํ สมเยติ ยสฺมิํ นวเม ขเณ, โยนิโสมนสิการาทิเหตุมฺหิ, ปจฺจยสมวาเย วา สติ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว ขเณ, เหตุมฺหิ, ปจฺจยสมวาเย จ สติ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อุภยตฺถ สมย-สเทฺท ภุมฺมนิเทฺทโส กโต ลกฺขณภูตภาวยุโตฺตติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ขณ…เป.… ลกฺขียตี’’ติฯ

    Karaṇavacanena niddeso kato yathāti sambandho. Tatthāti abhidhammavinayesu. Tathāti bhummakaraṇehi. Adhikaraṇattha ādhārattho. Bhāvo nāma kiriyā, kiriyāya kiriyantaralakkhaṇaṃ bhāvenabhāvalakkhaṇaṃ. Tattha yathā kālo sabhāvadhammaparicchinno sayaṃ paramatthato avijjamānopi ādhārabhāvena paññāto taṅkhaṇappavattānaṃ tato pubbe parato ca abhāvato ‘‘pubbaṇhe jāto, sāyanhe gacchatī’’ti, ca ādīsu, samūho ca avayavavinimutto avijjamānopi kappanāmattasiddho avayavānaṃ ādhārabhāvena paññāpīyati ‘‘rukkhe sākhā, yavarāsiyaṃ sambhūto’’tiādīsu, evaṃ idhāpīti dassento āha ‘‘adhikaraṇañhi…pe… dhammāna’’nti. Yasmiṃ kāle, dhammapuñje vā kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva kāle, dhammapuñje ca phassādayopi hontīti ayañhi tattha attho. Yathā ca gāvīsu duyhamānāsu gato, duddhāsu āgatoti dohanakiriyāya gamanakiriyā lakkhīyati, evaṃ idhāpi ‘‘yasmiṃ samaye, tasmiṃ samaye’’ti ca vutte satīti ayamattho viññāyamāno eva hoti padatthassa sattāvirahābhavatoti samayassa sattākiriyāya cittassa uppādakiriyā, phassādīnaṃ bhavanakiriyā ca lakkhīyati. Yasmiṃ samayeti yasmiṃ navame khaṇe, yonisomanasikārādihetumhi, paccayasamavāye vā sati kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva khaṇe, hetumhi, paccayasamavāye ca sati phassādayopi hontīti ubhayattha samaya-sadde bhummaniddeso kato lakkhaṇabhūtabhāvayuttoti dassento āha ‘‘khaṇa…pe… lakkhīyatī’’ti.

    เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติ ‘‘อเนฺนน วสติ, อเชฺฌเนน วสติ, ผรสุนา ฉินฺทติ, กุทาเลน ขณตี’’ติอาทีสุ วิยฯ วีติกฺกมญฺหิ สุตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา โอติณฺณวตฺถุกํ ปุคฺคลํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา, วิครหิตฺวา จ ตํ ตํ วตฺถุํ โอติณฺณกาลํ อนติกฺกมิตฺวา เตเนว กาเลน สิกฺขาปทานิ ปญฺญเปโนฺต ภควา วิหรติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ตติยปาราชิกาทีสุ วิยาติฯ

    Hetuatthokaraṇattho ca sambhavati ‘‘annena vasati, ajjhenena vasati, pharasunā chindati, kudālena khaṇatī’’tiādīsu viya. Vītikkamañhi sutvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā otiṇṇavatthukaṃ puggalaṃ paṭipucchitvā, vigarahitvā ca taṃ taṃ vatthuṃ otiṇṇakālaṃ anatikkamitvā teneva kālena sikkhāpadāni paññapento bhagavā viharati sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno tatiyapārājikādīsu viyāti.

    อจฺจนฺตเมว อารมฺภโต ปฎฺฐาย ยาว เทสนานิฎฺฐานํ ปรหิตปฎิปตฺติสงฺขาเตน กรุณาวิหาเรนฯ ตทตฺถโชตนตฺถนฺติ อจฺจนฺตสํโยคตฺถโชตนตฺถํฯ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโต ยถา ‘‘มาสํ อเชฺฌตี’’ติฯ

    Accantameva ārambhato paṭṭhāya yāva desanāniṭṭhānaṃ parahitapaṭipattisaṅkhātena karuṇāvihārena. Tadatthajotanatthanti accantasaṃyogatthajotanatthaṃ. Upayogavacananiddeso kato yathā ‘‘māsaṃ ajjhetī’’ti.

    โปราณาติ อฎฺฐกถาจริยาฯ อภิลาปมตฺตเภโทติ วจนมเตฺตน วิเสโสฯ เตน สุตฺตวินเยสุ วิภตฺติพฺยตโย กโตติ ทเสฺสติฯ

    Porāṇāti aṭṭhakathācariyā. Abhilāpamattabhedoti vacanamattena viseso. Tena suttavinayesu vibhattibyatayo katoti dasseti.

    เสฎฺฐนฺติ เสฎฺฐวาจกํ วจนํ เสฎฺฐนฺติ วุตฺตํ เสฎฺฐคุณสหจรณโตฯ ตถา อุตฺตมนฺติ เอตฺถาปิฯ คารวยุโตฺตติ ครุภาวยุโตฺต ครุคุณโยคโต, ครุกรณารหตาย วา คารวยุโตฺตฯ

    Seṭṭhanti seṭṭhavācakaṃ vacanaṃ seṭṭhanti vuttaṃ seṭṭhaguṇasahacaraṇato. Tathā uttamanti etthāpi. Gāravayuttoti garubhāvayutto garuguṇayogato, garukaraṇārahatāya vā gāravayutto.

    วุโตฺตเยว น ปน อิธ วตฺตโพฺพ วิสุทฺธิมคฺคสฺส อิมิสฺสา อฎฺฐกถาย เอกเทสภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    Vuttoyeva na pana idha vattabbo visuddhimaggassa imissā aṭṭhakathāya ekadesabhāvatoti adhippāyo.

    อปิจ ภเค วนิ, วมีติ วา ภควา, ภเค สีลาทิคุเณ วนิ ภชิ เสวิ, เต วา วิเนยฺยสนฺตาเนสุ ‘‘กถํ นุ โข อุปฺปเชฺชยฺยุ’’นฺติ วนิ ยาจิ ปตฺถยีติ ภควา, ภคํ วา สิริํ, อิสฺสริยํ, ยสญฺจ วมิ เขลปิณฺฑํ วิย ฉฑฺฑยีติ ภควาฯ ตถา หิ ภควา หตฺถคตํ สิริํ, จตุทฺทีปิสฺสริยํ, จกฺกวตฺติสมฺปตฺติสนฺนิสฺสยญฺจ สตฺตรตนสมุชฺชลํ ยสํ อนเปโกฺข ปริจฺจชีติฯ อถ วา ภานิ นาม นกฺขตฺตานิ, เตหิ สมํ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติ ภคา, สิเนรุยุคนฺธราทิคตา ภาชนโลกโสภาฯ เต ภควา วมิ ตปฺปฎิพทฺธฉนฺทราคปฺปหาเนน ปชหตีติ เอวมฺปิ ภเค วมีติ ภควาฯ

    Apica bhage vani, vamīti vā bhagavā, bhage sīlādiguṇe vani bhaji sevi, te vā vineyyasantānesu ‘‘kathaṃ nu kho uppajjeyyu’’nti vani yāci patthayīti bhagavā, bhagaṃ vā siriṃ, issariyaṃ, yasañca vami khelapiṇḍaṃ viya chaḍḍayīti bhagavā. Tathā hi bhagavā hatthagataṃ siriṃ, catuddīpissariyaṃ, cakkavattisampattisannissayañca sattaratanasamujjalaṃ yasaṃ anapekkho pariccajīti. Atha vā bhāni nāma nakkhattāni, tehi samaṃ gacchanti pavattantīti bhagā, sineruyugandharādigatā bhājanalokasobhā. Te bhagavā vami tappaṭibaddhachandarāgappahānena pajahatīti evampi bhage vamīti bhagavā.

    ‘‘ธมฺมสรีรํ ปจฺจกฺขํ กโรตี’’ติ ‘‘โย โว อานนฺท มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ วจนโต ธมฺมสฺส สตฺถุภาวปริยาโย วิชฺชตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ

    ‘‘Dhammasarīraṃ paccakkhaṃ karotī’’ti ‘‘yo vo ānanda mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’’ti vacanato dhammassa satthubhāvapariyāyo vijjatīti katvā vuttaṃ.

    วชิรสงฺฆาตสมานกาโย ปเรหิ อเภชฺชสรีรตฺตาฯ น หิ ภควโต รูปกาเย เกนจิ อนฺตราโย สกฺกา กาตุนฺติฯ เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ วกฺขมานสฺส สกลสุตฺตสฺส ‘‘เอว’’นฺติ นิทฺทิสนโตฯ สาวกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ปฎิสมฺภิทาปฺปเตฺตน ปญฺจสุ ฐาเนสุ ภควตา เอตทเคฺค ฐปิเตน มยา มหาสาวเกน สุตํ, ตญฺจ โข มยาว สุตํ, น อนุสฺสวิตํ, น ปรมฺปราภตนฺติ อิมสฺสตฺถสฺส ทีปนโตฯ กาลสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ‘‘ภควา’’ติ ปทสฺส สนฺนิธาเน ปยุตฺตสฺส สมย-สทฺทสฺส กาลสฺส พุทฺธุปฺปาทปฎิมณฺฑิตภาวทีปนโตฯ พุทฺธุปฺปาทปรมา หิ กาลสมฺปทาฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Vajirasaṅghātasamānakāyo parehi abhejjasarīrattā. Na hi bhagavato rūpakāye kenaci antarāyo sakkā kātunti. Desanāsampattiṃ niddisati vakkhamānassa sakalasuttassa ‘‘eva’’nti niddisanato. Sāvakasampattiṃ niddisati paṭisambhidāppattena pañcasu ṭhānesu bhagavatā etadagge ṭhapitena mayā mahāsāvakena sutaṃ, tañca kho mayāva sutaṃ, na anussavitaṃ, na paramparābhatanti imassatthassa dīpanato. Kālasampattiṃ niddisati ‘‘bhagavā’’ti padassa sannidhāne payuttassa samaya-saddassa kālassa buddhuppādapaṭimaṇḍitabhāvadīpanato. Buddhuppādaparamā hi kālasampadā. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘กปฺปกสาเย กลิยุเค, พุทฺธุปฺปาโท อโห มหจฺฉริยํ;

    ‘‘Kappakasāye kaliyuge, buddhuppādo aho mahacchariyaṃ;

    หุตาวหมเชฺฌ ชาตํ, สมุทิตมกรนฺทมรวินฺท’’นฺติฯ

    Hutāvahamajjhe jātaṃ, samuditamakarandamaravinda’’nti.

    ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมคารวาธิวจนโตฯ

    Bhagavāti desakasampattiṃ niddisati guṇavisiṭṭhasattuttamagāravādhivacanato.

    วิชฺชนฺตริกายาติ วิชฺชุนิจฺฉรณกฺขเณฯ อนฺตรโตติ หทเยฯ อนฺตราติ อารพฺภ นิปฺผตฺตีนํ เวมเชฺฌฯ อนฺตริกายาติ อนฺตราเฬฯ เอตฺถ จ ‘‘ตทนฺตรํ โก ชาเนยฺย, เอเตสํ อนฺตรา กปฺปา, คณนาโต อสงฺขิยา, อนฺตรนฺตรา กถํ โอปาเตตี’’ติ จ อาทีสุ วิย การณเวมเชฺฌสุ วตฺตมานา อนฺตรา-สทฺทา เอว อุทาหริตพฺพา สิยุํ, น ปน จิตฺตขณวิวเรสุ วตฺตมานา อนฺตรนฺตริกา-สทฺทาฯ อนฺตรา-สทฺทสฺส หิ อยํ อตฺถุทฺธาโรติฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย สิยา – เยสุ อเตฺถสุ อนฺตรา-สโทฺท วตฺตติ, เตสุ อนฺตรสโทฺทปิ วตฺตตีติ สมานตฺถตฺตา อนฺตรา-สทฺทเตฺถ วตฺตมาโน อนฺตร-สโทฺท อุทาหโฎ, อนฺตรา-สโทฺท เอว วา ‘‘ยสฺสนฺตรโต’’ติ เอตฺถ คาถาสุขตฺถํ รสฺสํ กตฺวา วุโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อนฺตรา-สโทฺท เอว ปน อิก-สเทฺทน ปทํ วเฑฺฒตฺวา ‘‘อนฺตริกา’’ติ วุโตฺตติ เอวเมตฺถ อุทาหรโณทาหริตพฺพานํ วิโรธาภาโว ทฎฺฐโพฺพฯ อโยชิยมาเน อุปโยควจนํ น ปาปุณาติ สามิวจนสฺส ปสเงฺค อนฺตรา-สทฺทโยเคน อุปโยควจนสฺส อิจฺฉิตตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘อนฺตราสเทฺทน ยุตฺตตฺตา อุปโยควจนํ กต’’นฺติฯ

    Vijjantarikāyāti vijjuniccharaṇakkhaṇe. Antaratoti hadaye. Antarāti ārabbha nipphattīnaṃ vemajjhe. Antarikāyāti antarāḷe. Ettha ca ‘‘tadantaraṃ ko jāneyya, etesaṃ antarā kappā, gaṇanāto asaṅkhiyā, antarantarā kathaṃ opātetī’’ti ca ādīsu viya kāraṇavemajjhesu vattamānā antarā-saddā eva udāharitabbā siyuṃ, na pana cittakhaṇavivaresu vattamānā antarantarikā-saddā. Antarā-saddassa hi ayaṃ atthuddhāroti. Ayaṃ panettha adhippāyo siyā – yesu atthesu antarā-saddo vattati, tesu antarasaddopi vattatīti samānatthattā antarā-saddatthe vattamāno antara-saddo udāhaṭo, antarā-saddo eva vā ‘‘yassantarato’’ti ettha gāthāsukhatthaṃ rassaṃ katvā vuttoti daṭṭhabbaṃ. Antarā-saddo eva pana ika-saddena padaṃ vaḍḍhetvā ‘‘antarikā’’ti vuttoti evamettha udāharaṇodāharitabbānaṃ virodhābhāvo daṭṭhabbo. Ayojiyamāne upayogavacanaṃ na pāpuṇāti sāmivacanassa pasaṅge antarā-saddayogena upayogavacanassa icchitattā. Tenevāha ‘‘antarāsaddena yuttattā upayogavacanaṃ kata’’nti.

    ‘‘นิยโต สโมฺพธิปรายโณ, อฎฺฐานเมตํ ภิกฺขเว อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, ‘‘เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ ติอาทิวจนโต ทิฎฺฐิสีลานํ นิยตสภาวตฺตา โสตาปนฺนาปิ อญฺญมญฺญํ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตา, ปเคว สกทาคามิอาทโยฯ ‘‘ตถารูปาย ทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิสามญฺญคโต วิหรติ, ตถารูเปสุ สีเลสุ สีลสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ วจนโต ปุถุชฺชนานมฺปิ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตภาโว ลพฺภติเยวฯ

    ‘‘Niyato sambodhiparāyaṇo, aṭṭhānametaṃ bhikkhave anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo sañcicca pāṇaṃ jīvitā voropeyya, ‘‘netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ tiādivacanato diṭṭhisīlānaṃ niyatasabhāvattā sotāpannāpi aññamaññaṃ diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatā, pageva sakadāgāmiādayo. ‘‘Tathārūpāya diṭṭhiyā diṭṭhisāmaññagato viharati, tathārūpesu sīlesu sīlasāmaññagato viharatī’’ti vacanato puthujjanānampi diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatabhāvo labbhatiyeva.

    สุปฺปิโยปิ โขติ เอตฺถ โข-สโทฺท อวธารณโตฺถ ‘‘อโสฺสสิ โข’’ติอาทีสุ วิยฯ เตน อทฺธานมคฺคปฎิปโนฺน อโหสิเยว, นาสฺส มคฺคปฎิปตฺติยา โกจิ อนฺตราโย อโหสีติ อยมโตฺถ ทีปิโต โหติฯ ตตฺราติ วา กาลสฺส ปฎินิเทฺทโสฯ โสปิ หิ ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ ปุเพฺพ อธิกโตฯ ยญฺหิ สมยํ ภควา อนฺตรา ราชคหญฺจ นาฬนฺทญฺจ อทฺธานมคฺคปฎิปโนฺน, ตสฺมิํเยว สมเย สุปฺปิโยปิ ตํ มคฺคํ ปฎิปโนฺน อวณฺณํ ภาสติ, พฺรหฺมทโตฺต จ วณฺณํ ภาสตีติฯ ปริยายติ ปริวตฺตตีติ ปริยาโย, วาโรฯ ปริยาเยติ เทเสตพฺพมตฺถํ ปฎิปาเทตีติ ปริยาโย, เทสนาฯ ปริยายติ อตฺตโน ผลํ ปริคฺคเหตฺวา ปวตฺตตีติ ปริยาโย, การณนฺติ เอวํ ปริยาย-สทฺทสฺส วาราทีสุ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ การเณนาติ การณปติรูปเกนฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘อการณเมว การณนฺติ วตฺวา’’ติฯ กสฺมา ปเนตฺถ ‘‘อวณฺณํ ภาสตี’’ติ, ‘‘วณฺณํ ภาสตี’’ติ จ วตฺตมานกาลนิเทฺทโส กโต, นนุ สงฺคีติกาลโต โส อวณฺณวณฺณานํ ภาสิตกาโล อตีโตติ? สจฺจเมตํ, ‘‘อทฺธานมคฺคปฎิปโนฺน โหตี’’ติ เอตฺถ โหติ-สโทฺท วิย อตีตกาลโตฺถ ภาสติ-สโทฺท จ ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา ยสฺมิํ กาเล เตหิ อวโณฺณ วโณฺณ จ ภาสียติ, ตํ อเปกฺขิตฺวา เอวํ วุตฺตํฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘ตตฺราติ กาลสฺส ปฎินิเทฺทโส’’ติ อิทญฺจ วจนํ สมตฺถิตํ โหติฯ

    Suppiyopi khoti ettha kho-saddo avadhāraṇattho ‘‘assosi kho’’tiādīsu viya. Tena addhānamaggapaṭipanno ahosiyeva, nāssa maggapaṭipattiyā koci antarāyo ahosīti ayamattho dīpito hoti. Tatrāti vā kālassa paṭiniddeso. Sopi hi ‘‘ekaṃ samaya’’nti pubbe adhikato. Yañhi samayaṃ bhagavā antarā rājagahañca nāḷandañca addhānamaggapaṭipanno, tasmiṃyeva samaye suppiyopi taṃ maggaṃ paṭipanno avaṇṇaṃ bhāsati, brahmadatto ca vaṇṇaṃ bhāsatīti. Pariyāyati parivattatīti pariyāyo, vāro. Pariyāyeti desetabbamatthaṃ paṭipādetīti pariyāyo, desanā. Pariyāyati attano phalaṃ pariggahetvā pavattatīti pariyāyo, kāraṇanti evaṃ pariyāya-saddassa vārādīsu pavatti veditabbā. Kāraṇenāti kāraṇapatirūpakena. Tathā hi vakkhati ‘‘akāraṇameva kāraṇanti vatvā’’ti. Kasmā panettha ‘‘avaṇṇaṃ bhāsatī’’ti, ‘‘vaṇṇaṃ bhāsatī’’ti ca vattamānakālaniddeso kato, nanu saṅgītikālato so avaṇṇavaṇṇānaṃ bhāsitakālo atītoti? Saccametaṃ, ‘‘addhānamaggapaṭipanno hotī’’ti ettha hoti-saddo viya atītakālattho bhāsati-saddo ca daṭṭhabbo. Atha vā yasmiṃ kāle tehi avaṇṇo vaṇṇo ca bhāsīyati, taṃ apekkhitvā evaṃ vuttaṃ. Evañca katvā ‘‘tatrāti kālassa paṭiniddeso’’ti idañca vacanaṃ samatthitaṃ hoti.

    อการณนฺติ อยุตฺติํ, อนุปปตฺตินฺติ อโตฺถฯ น หิ อรสรูปตาทโย โทสา ภควติ สํวิชฺชนฺติ, ธมฺมสงฺฆานญฺจ ทุรกฺขาตทุปฺปฎิปนฺนตาทโยติฯ อการณนฺติ วา ยุตฺตการณรหิตํ, ปฎิญฺญามตฺตนฺติ อธิปฺปาโย ฯ อิมสฺมิญฺจ อเตฺถ การณนฺติ วตฺวาติ การณํ วาติ วตฺวาติ อโตฺถฯ อรสรูปาทีนเญฺจตฺถ ชาติวุเฑฺฒสุ อภิวาทนาทิสามีจิกมฺมากรณํ การณํ, ตถา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาลมริยญาณทสฺสนาภาวสฺส สุนฺทริกามคุณาทินวโพโธ, สํสารสฺส อาทิโกฎิยา อปญฺญายนปฎิญฺญา, อพฺยากตวตฺถุพฺยากรณนฺติ เอวมาทโย, ตถา อสพฺพญฺญุตาทีนํ กมาวโพธาทโย ยถารหํ นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา ตถาติ ชาติวุฑฺฒานํ อนภิวาทนาทิอากาเรนฯ

    Akāraṇanti ayuttiṃ, anupapattinti attho. Na hi arasarūpatādayo dosā bhagavati saṃvijjanti, dhammasaṅghānañca durakkhātaduppaṭipannatādayoti. Akāraṇanti vā yuttakāraṇarahitaṃ, paṭiññāmattanti adhippāyo . Imasmiñca atthe kāraṇanti vatvāti kāraṇaṃ vāti vatvāti attho. Arasarūpādīnañcettha jātivuḍḍhesu abhivādanādisāmīcikammākaraṇaṃ kāraṇaṃ, tathā uttarimanussadhammālamariyañāṇadassanābhāvassa sundarikāmaguṇādinavabodho, saṃsārassa ādikoṭiyā apaññāyanapaṭiññā, abyākatavatthubyākaraṇanti evamādayo, tathā asabbaññutādīnaṃ kamāvabodhādayo yathārahaṃ niddhāretabbā. Tathā tathāti jātivuḍḍhānaṃ anabhivādanādiākārena.

    อวณฺณํ ภาสมาโนติ อวณฺณํภาสนเหตุฯ เหตุอโตฺถ หิ อยํ มาน-สโทฺทฯ อนยพฺยสนํ ปาปุณิสฺสติ เอกนฺตมหาสาวชฺชตฺตา รตนตฺตโยปวาทสฺสฯ เตเนวาห –

    Avaṇṇaṃ bhāsamānoti avaṇṇaṃbhāsanahetu. Hetuattho hi ayaṃ māna-saddo. Anayabyasanaṃ pāpuṇissati ekantamahāsāvajjattā ratanattayopavādassa. Tenevāha –

    ‘‘โย นินฺทิยํ ปสํสติ,

    ‘‘Yo nindiyaṃ pasaṃsati,

    ตํ วา นินฺทติ โย ปสํสิโย;

    Taṃ vā nindati yo pasaṃsiyo;

    วิจินาติ มุเขน โส กลิํ,

    Vicināti mukhena so kaliṃ,

    กลินา เตน สุขํ น วินฺทตี’’ติฯ

    Kalinā tena sukhaṃ na vindatī’’ti.

    ‘‘อมฺหากํ อาจริโย’’ติอาทินา พฺรหฺมทตฺตสฺส สํเวคุปฺปตฺติํ, อตฺตโน อาจริเย การุญฺญปฺปวตฺติญฺจ ทเสฺสตฺวา กิญฺจาปิ อเนฺตวาสินา อาจริยสฺส อนุกูเลน ภวิตพฺพํ, อยํ ปน ปณฺฑิตชาติกตฺตา น เอทิเสสุ ตํ อนุวตฺตตีติ, อิทานิ ตสฺส กมฺมสฺสกตญฺญาณปฺปวตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อาจริเย โข ปนา’’ติอาทิมาหฯ วณฺณํ ภาสิตุํ อารโทฺธ ‘‘อปินามายํ เอตฺตเกนาปิ รตนตฺตยาวณฺณโต โอรเมยฺยา’’ติฯ วณฺณียตีติ วโณฺณ, คุโณฯ วณฺณนํ คุณสงฺกิตฺตนนฺติ วโณฺณ, ปสํสาฯ สํญฺญูฬฺหาติ คนฺถิตา, นิพนฺธิตาติ อโตฺถฯ อติเตฺถน ปกฺขโนฺท ธมฺมกถิโกติ น วตฺตโพฺพ อปริมาณคุณตฺตา พุทฺธาทีนํ , นิรวเสสานญฺจ เตสํ อิธ ปกาสนํ ปาฬิสํวณฺณนาเยว สมฺปชฺชตีติฯ อนุสฺสวาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อาการปริวิตกฺกทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติโย สงฺคณฺหาติฯ อตฺตโน ถาเมน วณฺณํ อภาสิ, น ปน พุทฺธาทีนํ คุณานุรูปนฺติ อธิปฺปาโยฯ อสงฺขฺยยฺยาปริมิตปฺปเภทา หิ พุทฺธาทีนํ คุณาฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    ‘‘Amhākaṃ ācariyo’’tiādinā brahmadattassa saṃveguppattiṃ, attano ācariye kāruññappavattiñca dassetvā kiñcāpi antevāsinā ācariyassa anukūlena bhavitabbaṃ, ayaṃ pana paṇḍitajātikattā na edisesu taṃ anuvattatīti, idāni tassa kammassakataññāṇappavattiṃ dassento ‘‘ācariye kho panā’’tiādimāha. Vaṇṇaṃ bhāsituṃ āraddho ‘‘apināmāyaṃ ettakenāpi ratanattayāvaṇṇato orameyyā’’ti. Vaṇṇīyatīti vaṇṇo, guṇo. Vaṇṇanaṃ guṇasaṅkittananti vaṇṇo, pasaṃsā. Saṃññūḷhāti ganthitā, nibandhitāti attho. Atitthena pakkhando dhammakathikoti na vattabbo aparimāṇaguṇattā buddhādīnaṃ , niravasesānañca tesaṃ idha pakāsanaṃ pāḷisaṃvaṇṇanāyeva sampajjatīti. Anussavādīti ettha ādi-saddena ākāraparivitakkadiṭṭhinijjhānakkhantiyo saṅgaṇhāti. Attano thāmena vaṇṇaṃ abhāsi, na pana buddhādīnaṃ guṇānurūpanti adhippāyo. Asaṅkhyayyāparimitappabhedā hi buddhādīnaṃ guṇā. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ,

    ‘‘Buddhopi buddhassa bhaṇeyya vaṇṇaṃ,

    กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน;

    Kappampi ce aññamabhāsamāno;

    ขีเยถ กโปฺป จิรทีฆมนฺตเร,

    Khīyetha kappo ciradīghamantare,

    วโณฺณ น ขีเยถ ตถาคตสฺสา’’ติฯ

    Vaṇṇo na khīyetha tathāgatassā’’ti.

    อิธาปิ วกฺขติ ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนต’’นฺติอาทิฯ

    Idhāpi vakkhati ‘‘appamattakaṃ kho paneta’’ntiādi.

    อิติ ห เตติ เอตฺถ อิตีติ วุตฺตปฺปการปรามสนํฯ -กาโร นิปาตมตฺตนฺติ อาห ‘‘เอวํ เต’’ติฯ

    Iti ha teti ettha itīti vuttappakāraparāmasanaṃ. Ha-kāro nipātamattanti āha ‘‘evaṃ te’’ti.

    อิริยาปถานุพนฺธเนน อนุพนฺธา โหนฺติ, น ปน สมฺมาปฎิปตฺติอนุพนฺธเนนาติ อธิปฺปาโยฯ ตสฺมิํ กาเลติ ยสฺมิํ สํวจฺฉเร อุตุมฺหิ มาเส ปเกฺข วา ภควา ตํ อทฺธานมคฺคํ ปฎิปโนฺน, ตสฺมิํ กาเลฯ เตเนว หิ กิริยาวิเจฺฉททสฺสนวเสน ‘‘ราชคเห ปิณฺฑาย จรตี’’ติ วตฺตมานกาลนิเทฺทโส กโตฯ โสติ เอวํ ราชคเห วสมาโน ภควาฯ ตํ ทิวสนฺติ ยํ ทิวสํ อทฺธานมคฺคปฎิปโนฺน, ตํ ทิวสํฯ ตํ อทฺธานํ ปฎิปโนฺน นาฬนฺทายํ เวเนยฺยานํ วิวิธ หิตสุขนิปฺผตฺติํ อากงฺขมาโน อิมิสฺสา จ อฎฺฐุปฺปตฺติยา ติวิธสีลาลงฺกตํ นานาวิธกุหนลปนาทิมิจฺฉาชีววิทฺธํสนํ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิชาลวินิเวฐนํ ทสสหสฺสิโลกธาตุปกมฺปนํ พฺรหฺมชาลสุตฺตนฺตํ เทเสสฺสามีติฯ เอตฺตาวตา ‘‘กสฺมา ปน ภควา ตํ อทฺธานํ ปฎิปโนฺน’’ติ โจทนา วิโสธิตา โหติฯ ‘‘กสฺมา จ สุปฺปิโย อนุพโนฺธ’’ติ อยํ ปน โจทนา ‘‘ภควโต ตํ มคฺคํ ปฎิปนฺนภาวํ อชานโนฺต’’ติ เอเตน วิโสธิตา โหติฯ น หิ โส ภควนฺตํ ทฎฺฐุเมว อิจฺฉตีติฯ เตเนวาห ‘‘สเจ ปน ชาเนยฺย, นานุพเนฺธยฺยา’’ติฯ

    Iriyāpathānubandhanena anubandhā honti, na pana sammāpaṭipattianubandhanenāti adhippāyo. Tasmiṃ kāleti yasmiṃ saṃvacchare utumhi māse pakkhe vā bhagavā taṃ addhānamaggaṃ paṭipanno, tasmiṃ kāle. Teneva hi kiriyāvicchedadassanavasena ‘‘rājagahe piṇḍāya caratī’’ti vattamānakālaniddeso kato. Soti evaṃ rājagahe vasamāno bhagavā. Taṃ divasanti yaṃ divasaṃ addhānamaggapaṭipanno, taṃ divasaṃ. Taṃ addhānaṃ paṭipanno nāḷandāyaṃ veneyyānaṃ vividha hitasukhanipphattiṃ ākaṅkhamāno imissā ca aṭṭhuppattiyā tividhasīlālaṅkataṃ nānāvidhakuhanalapanādimicchājīvaviddhaṃsanaṃ dvāsaṭṭhidiṭṭhijālaviniveṭhanaṃ dasasahassilokadhātupakampanaṃ brahmajālasuttantaṃ desessāmīti. Ettāvatā ‘‘kasmā pana bhagavā taṃ addhānaṃ paṭipanno’’ti codanā visodhitā hoti. ‘‘Kasmā ca suppiyo anubandho’’ti ayaṃ pana codanā ‘‘bhagavato taṃ maggaṃ paṭipannabhāvaṃ ajānanto’’ti etena visodhitā hoti. Na hi so bhagavantaṃ daṭṭhumeva icchatīti. Tenevāha ‘‘sace pana jāneyya, nānubandheyyā’’ti.

    นีลปีตโลหิโตทาตมญฺชิฎฺฐปภสฺสรวเสน ‘‘ฉพฺพณฺณรสฺมิโยฯ ‘‘สมนฺตา อสีติหตฺถปฺปมาเณ’’ติ ตาสํ รสฺมีนํ ปกติยา ปวตฺติฎฺฐานวเสน วุตฺตํฯ ‘‘ตสฺมิํ กิร สมเย’’ติ จ ตสฺมิํ อทฺธานคมนสมเย พุทฺธสิริยา อนิคูหิตภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ น หิ ตทา ตสฺสา นิคูหเน ปกฺกุสาติอภิคมนาทีสุ วิย กิญฺจิปิ การณํ อตฺถีติฯ รตนาเวฬํ รตนวฎํสกํฯ จีนปิฎฺฐจุณฺณํ สินฺธนจุณฺณํฯ

    Nīlapītalohitodātamañjiṭṭhapabhassaravasena ‘‘chabbaṇṇarasmiyo. ‘‘Samantā asītihatthappamāṇe’’ti tāsaṃ rasmīnaṃ pakatiyā pavattiṭṭhānavasena vuttaṃ. ‘‘Tasmiṃ kira samaye’’ti ca tasmiṃ addhānagamanasamaye buddhasiriyā anigūhitabhāvadassanatthaṃ vuttaṃ. Na hi tadā tassā nigūhane pakkusātiabhigamanādīsu viya kiñcipi kāraṇaṃ atthīti. Ratanāveḷaṃ ratanavaṭaṃsakaṃ. Cīnapiṭṭhacuṇṇaṃ sindhanacuṇṇaṃ.

    พฺยามปฺปภาปริเกฺขปวิลาสินี จ อสฺส ภควโต ลกฺขณมาลาติ มหาปุริสลกฺขณานิ อญฺญมญฺญปฎิพทฺธตฺตา เอวมาหฯ ทฺวตฺติํสาย จนฺทมณฺฑลานํ มาลา เกนจิ คเนฺถตฺวา ฐปิตา ยทิ สิยาติ ปริกปฺปนวเสนาห ‘‘คเนฺถตฺวา ฐปิตทฺวตฺติํสจนฺทมาลายา’’ติฯ สิริํ อภิภวนฺตี อิวาติ สมฺพโนฺธฯ เอส นโย สูริยมาลายาติอาทีสุปิฯ มหาเถราติ มหาสาวเก สนฺธายาหฯ เอวํ คจฺฉนฺตํ ภควนฺตํ ภิกฺขู จ ทิสฺวา อถ อตฺตโน ปริสํ อวโลเกสีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ยสฺมา ปเนสา’’ติอาทินา ‘‘กสฺมา จ โส รตนตฺตยสฺส อวณฺณํ ภาสตี’’ติ โจทนํ วิโสเธติฯ อิตีติ เอวํ, วุตฺตปฺปกาเรนาติ อโตฺถฯ อิเมหิ ทฺวีหีติ ลาภปริวารหานิํ นิคมนวเสน ทเสฺสติฯ ภควโต วิโรธานุนยาภาววีมํสนตฺถํ เอเต อวณฺณํ วณฺณญฺจ ภาสนฺตีติ อปเรฯ ‘‘มาเรน อนฺวาวิฎฺฐา เอวํ กโรนฺตี’’ติ จ วทนฺติฯ

    Byāmappabhāparikkhepavilāsinī ca assa bhagavato lakkhaṇamālāti mahāpurisalakkhaṇāni aññamaññapaṭibaddhattā evamāha. Dvattiṃsāya candamaṇḍalānaṃ mālā kenaci ganthetvā ṭhapitā yadi siyāti parikappanavasenāha ‘‘ganthetvā ṭhapitadvattiṃsacandamālāyā’’ti. Siriṃ abhibhavantī ivāti sambandho. Esa nayo sūriyamālāyātiādīsupi. Mahātherāti mahāsāvake sandhāyāha. Evaṃ gacchantaṃ bhagavantaṃ bhikkhū ca disvā atha attano parisaṃ avalokesīti sambandho. ‘‘Yasmā panesā’’tiādinā ‘‘kasmā ca so ratanattayassa avaṇṇaṃ bhāsatī’’ti codanaṃ visodheti. Itīti evaṃ, vuttappakārenāti attho. Imehi dvīhīti lābhaparivārahāniṃ nigamanavasena dasseti. Bhagavato virodhānunayābhāvavīmaṃsanatthaṃ ete avaṇṇaṃ vaṇṇañca bhāsantīti apare. ‘‘Mārena anvāviṭṭhā evaṃ karontī’’ti ca vadanti.

    . อมฺพลฎฺฐิกาย อวิทูเร ภวตฺตา อุยฺยานํ อมฺพลฎฺฐิกา ยถา ‘‘วรุณานครํ, โคทาคาโม’’ติฯ เกจิ ปน ‘‘อมฺพลฎฺฐิกาติ ยถาวุตฺตนเยเนว เอกคาโม’’ติ วทนฺติ ฯ เตสํ มเต อมฺพลฎฺฐิกายนฺติ สมีปเตฺถ ภุมฺมวจนํฯ ราชาคารกํ เวสฺสวณมหาราชเทวายตนนฺติ เอเกฯ พหุปริสฺสโยติ พหุปทฺทโวฯ ‘‘สทฺธิํ อเนฺตวาสินา พฺรหฺมทเตฺตน มาณเวนา’’ติ วุตฺตํ สีหฬฎฺฐกถายํฯ ตญฺจ โข ปาฬิ อารุฬฺหวเสเนว, น ปน ตทา สุปฺปิยสฺส ปริสาย อภาวโตฯ กสฺมา ปเนตฺถ พฺรหฺมทโตฺตเยว ปาฬิ อารุโฬฺห, น สุปฺปิยสฺส ปริสาติ? ปโยชนาภาวโตฯ ยถา เจตํ, เอวํ อญฺญมฺปิ เอทิสํ ปโยชนาภาวโต สงฺคีติกาเรหิ น สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เกจิ ปน ‘‘วุตฺตนฺติ ปาฬิยํ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น ยุชฺชติ ปาฬิอารุฬฺหวเสน ปาฬิยํ วุตฺตนฺติ อาปชฺชนโตฯ ตสฺมา ยถาวุตฺตนเยเนเวตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ปริวาเรตฺวา นิสิโนฺน โหตีติ สมฺพโนฺธฯ

    2. Ambalaṭṭhikāya avidūre bhavattā uyyānaṃ ambalaṭṭhikā yathā ‘‘varuṇānagaraṃ, godāgāmo’’ti. Keci pana ‘‘ambalaṭṭhikāti yathāvuttanayeneva ekagāmo’’ti vadanti . Tesaṃ mate ambalaṭṭhikāyanti samīpatthe bhummavacanaṃ. Rājāgārakaṃ vessavaṇamahārājadevāyatananti eke. Bahuparissayoti bahupaddavo. ‘‘Saddhiṃ antevāsinā brahmadattena māṇavenā’’ti vuttaṃ sīhaḷaṭṭhakathāyaṃ. Tañca kho pāḷi āruḷhavaseneva, na pana tadā suppiyassa parisāya abhāvato. Kasmā panettha brahmadattoyeva pāḷi āruḷho, na suppiyassa parisāti? Payojanābhāvato. Yathā cetaṃ, evaṃ aññampi edisaṃ payojanābhāvato saṅgītikārehi na saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ. Keci pana ‘‘vuttanti pāḷiyaṃ vutta’’nti vadanti, taṃ na yujjati pāḷiāruḷhavasena pāḷiyaṃ vuttanti āpajjanato. Tasmā yathāvuttanayenevettha attho gahetabbo. Parivāretvā nisinno hotīti sambandho.

    . กถาธโมฺมติ กถาสภาโว, กถาธโมฺม อุปปริกฺขาวิธีติ เกจิฯ นียตีติ นโย, อโตฺถฯ สทฺทสตฺถํ อนุคโต นโย สทฺทนโยฯ ตตฺถ หิ อนภิณฺหวุตฺติเก อจฺฉริย-สโทฺท อิจฺฉิโตฯ เตเนวาห ‘‘อนฺธสฺส ปพฺพตาโรหณํ วิยา’’ติฯ อจฺฉราโยคฺคนฺติ อจฺฉริยนฺติ นิรุตฺตินโย , โส ปน ยสฺมา โปราณฎฺฐกถายํ อาคโต, ตสฺมา อาห ‘‘อฎฺฐกถานโยติฯ ยาวญฺจิทํ สุปฺปฎิวิทิตาติ สมฺพโนฺธ, ตสฺส ยตฺตกํ สุฎฺฐุ ปฎิวิทิตา, ตํ เอตฺตกนฺติ น สกฺกา อเมฺหหิ ปฎิวิชฺฌิตุํ, อกฺขาตุํ วาติ อโตฺถฯ เตเนวาห ‘‘เตน สุปฺปฎิวิทิตตาย อปฺปเมยฺยตํ ทเสฺสตี’’ติฯ

    3.Kathādhammoti kathāsabhāvo, kathādhammo upaparikkhāvidhīti keci. Nīyatīti nayo, attho. Saddasatthaṃ anugato nayo saddanayo. Tattha hi anabhiṇhavuttike acchariya-saddo icchito. Tenevāha ‘‘andhassa pabbatārohaṇaṃ viyā’’ti. Accharāyoggantiacchariyanti niruttinayo , so pana yasmā porāṇaṭṭhakathāyaṃ āgato, tasmā āha ‘‘aṭṭhakathānayoti. Yāvañcidaṃ suppaṭividitāti sambandho, tassa yattakaṃ suṭṭhu paṭividitā, taṃ ettakanti na sakkā amhehi paṭivijjhituṃ, akkhātuṃ vāti attho. Tenevāha ‘‘tena suppaṭividitatāya appameyyataṃ dassetī’’ti.

    ปกตตฺถปฎินิเทฺทโส ตํ-สโทฺทติ ตสฺส ‘‘ภควตา’’ติอาทีหิ ปเทหิ สมานาธิกรณภาเวน วุตฺตสฺส เยน อภิสมฺพุทฺธภาเวน ภควา ปกโต สุปากโฎ จ โหติ, ตํ อภิสมฺพุทฺธภาวํ สทฺธิํ อาคมนปฎิปทาย อตฺถภาเวน ทเสฺสโนฺต ‘‘โย โส…เป.… อภิสมฺพุโทฺธ’’ติ อาหฯ สติปิ ญาณทสฺสน-สทฺทานํ อิธ ปญฺญาเววจนภาเว เตน เตน วิเสเสน เนสํ สวิสยวิเสสปฺปวตฺติทสฺสนตฺถํ อสาธารณญาณวิเสสวเสน วิชฺชตฺตยวเสน วิชฺชาภิญฺญานาวรณวเสน สพฺพญฺญุตญฺญาณมํสจกฺขุวเสน ปฎิเวธเทสนาญาณวเสน จ ตทตฺถํ โยเชตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘เตสํ เตส’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาสยานุสยํ ชานตาอาสยานุสยญาเณนฯ สพฺพเญยฺยธมฺมํ ปสฺสตา สพฺพญฺญุตานาวรณญาเณหิฯ

    Pakatatthapaṭiniddeso taṃ-saddoti tassa ‘‘bhagavatā’’tiādīhi padehi samānādhikaraṇabhāvena vuttassa yena abhisambuddhabhāvena bhagavā pakato supākaṭo ca hoti, taṃ abhisambuddhabhāvaṃ saddhiṃ āgamanapaṭipadāya atthabhāvena dassento ‘‘yo so…pe… abhisambuddho’’ti āha. Satipi ñāṇadassana-saddānaṃ idha paññāvevacanabhāve tena tena visesena nesaṃ savisayavisesappavattidassanatthaṃ asādhāraṇañāṇavisesavasena vijjattayavasena vijjābhiññānāvaraṇavasena sabbaññutaññāṇamaṃsacakkhuvasena paṭivedhadesanāñāṇavasena ca tadatthaṃ yojetvā dassento ‘‘tesaṃ tesa’’ntiādimāha. Tattha āsayānusayaṃ jānatāāsayānusayañāṇena. Sabbañeyyadhammaṃ passatā sabbaññutānāvaraṇañāṇehi.

    ปุเพฺพนิวาสาทีหีติ ปุเพฺพนิวาสาสวกฺขยญาเณหิฯ ปฎิเวธปญฺญายาติ อริยมคฺคปญฺญายฯ อรีนนฺติ กิเลสารีนํ, ปญฺจวิธมารานํ วา, สาสนปจฺจตฺถิกานํ วา อญฺญติตฺถิยานํ, เตสํ หนนํ ปาฎิหาริเยหิ อภิภวนํ, อปฺปฎิภานตากรณํ, อชฺฌุเปกฺขนญฺจฯ เกสิวินยสุตฺตเญฺจตฺถ นิทสฺสนํฯ

    Pubbenivāsādīhīti pubbenivāsāsavakkhayañāṇehi. Paṭivedhapaññāyāti ariyamaggapaññāya. Arīnanti kilesārīnaṃ, pañcavidhamārānaṃ vā, sāsanapaccatthikānaṃ vā aññatitthiyānaṃ, tesaṃ hananaṃ pāṭihāriyehi abhibhavanaṃ, appaṭibhānatākaraṇaṃ, ajjhupekkhanañca. Kesivinayasuttañcettha nidassanaṃ.

    ตถา ฐานาฐานาทีนิ ชานตา, ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปสฺสตา, สวาสนานํ อาสวานํ ขีณตฺตา อรหตา, อภิเญฺญยฺยาทิเภเท ธเมฺม อภิเญฺญยฺยาทิโต อวิปรีตาวโพธโต สมฺมาสมฺพุเทฺธน ฯ อถ วา ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณตาย ชานตา, ติณฺณมฺปิ กมฺมานํ ญาณานุปริวตฺติโต นิสมฺมการิตาย ปสฺสตา, ทวาทีนมฺปิ อภาวสาธิกาย ปหานสมฺปทาย อรหตา, ฉนฺทาทีนํ อหานิเหตุภูตาย อปริกฺขยปฎิภานสาธิกาย สพฺพญฺญุตาย สมฺมาสมฺพุเทฺธนาติ เอวํ ทสพลฎฺฐารสาเวณิกพุทฺธธเมฺมหิปิ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Tathā ṭhānāṭhānādīni jānatā, yathākammūpage satte passatā, savāsanānaṃ āsavānaṃ khīṇattā arahatā, abhiññeyyādibhede dhamme abhiññeyyādito aviparītāvabodhato sammāsambuddhena. Atha vā tīsu kālesu appaṭihatañāṇatāya jānatā, tiṇṇampi kammānaṃ ñāṇānuparivattito nisammakāritāya passatā, davādīnampi abhāvasādhikāya pahānasampadāya arahatā, chandādīnaṃ ahānihetubhūtāya aparikkhayapaṭibhānasādhikāya sabbaññutāya sammāsambuddhenāti evaṃ dasabalaṭṭhārasāveṇikabuddhadhammehipi yojanā veditabbā.

    ยทิปิ หีนกลฺยาณเภเทน ทุวิธาว อธิมุตฺติ ปาฬิยํ วุตฺตา, ปวตฺติอาการวเสน ปน อเนกเภทภินฺนาติ อาห ‘‘นานาธิมุตฺติกตา’’ติฯ สา ปน อธิมุตฺติ อชฺฌาสยธาตุ, ตทปิ ตถา ตถา ทสฺสนํ ขมนํ โรจนญฺจาติ อาห ‘‘นานาชฺฌาสยตา…เป.… รุจิตา’’ติฯ นานาธิมุตฺติกตญาเณนาติ เจตฺถ สพฺพญฺญุตญาณํ อธิเปฺปตํ, น ทสพลญาณนฺติ อาห ‘‘สพฺพญฺญุตญาเณนา’’ติฯ อิติ ห เมติ เอตฺถ เอวํ-สทฺทโตฺถ อิติ-สโทฺท, -กาโร นิปาตมตฺตํ สรโลโป จ กโตติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํ ‘‘เอวํ อิเม’’ติฯ

    Yadipi hīnakalyāṇabhedena duvidhāva adhimutti pāḷiyaṃ vuttā, pavattiākāravasena pana anekabhedabhinnāti āha ‘‘nānādhimuttikatā’’ti. Sā pana adhimutti ajjhāsayadhātu, tadapi tathā tathā dassanaṃ khamanaṃ rocanañcāti āha ‘‘nānājjhāsayatā…pe… rucitā’’ti. Nānādhimuttikatañāṇenāti cettha sabbaññutañāṇaṃ adhippetaṃ, na dasabalañāṇanti āha ‘‘sabbaññutañāṇenā’’ti. Iti ha meti ettha evaṃ-saddattho iti-saddo, ha-kāro nipātamattaṃ saralopo ca katoti dassetuṃ vuttaṃ ‘‘evaṃ ime’’ti.

    . อรหตฺตมเคฺคน สมุคฺฆาตํ กตํ, ยโต ‘‘นตฺถิ อพฺยาวฎมโน’’ติ พุทฺธธเมฺมสุ วุจฺจติฯ วีตินาเมตฺวา ผลสมาปตฺตีหิฯ นิวาเสตฺวา วิหารนิวาสนปริวตฺตนวเสนฯ ‘‘กทาจิ เอกโก’’ติอาทิ เตสํ เตสํ วิเนยฺยานํ วินยนานุกูลํ ภควโต อุปสงฺกมทสฺสนํฯ ปาทนิเกฺขปสมเย ภูมิยา สมภาวาปตฺติ สุปฺปติฎฺฐิตปาทตาย นิสฺสนฺทผลํ, น อิทฺธินิมฺมานํฯ ‘‘ฐปิตมเตฺต ทกฺขิณปาเท’’ติ พุทฺธานํ สพฺพทกฺขิณตาย วุตฺตํฯ อรหเตฺต ปติฎฺฐหนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ

    4.Arahattamaggena samugghātaṃ kataṃ, yato ‘‘natthi abyāvaṭamano’’ti buddhadhammesu vuccati. Vītināmetvā phalasamāpattīhi. Nivāsetvā vihāranivāsanaparivattanavasena. ‘‘Kadāci ekako’’tiādi tesaṃ tesaṃ vineyyānaṃ vinayanānukūlaṃ bhagavato upasaṅkamadassanaṃ. Pādanikkhepasamaye bhūmiyā samabhāvāpatti suppatiṭṭhitapādatāya nissandaphalaṃ, na iddhinimmānaṃ. ‘‘Ṭhapitamatte dakkhiṇapāde’’ti buddhānaṃ sabbadakkhiṇatāya vuttaṃ. Arahatte patiṭṭhahantīti sambandho.

    ทุลฺลภา สมฺปตฺตีติ สติปิ มนุสฺสตฺตปฎิลาเภ ปติรูปเทสวาสอินฺทฺริยาเวกลฺลสทฺธาปฎิลาภาทโย คุณา ทุลฺลภาติ อโตฺถฯ จาตุมหาราชิกภวนนฺติ จาตุมหาราชิกเทวโลเก สุญฺญวิมานานิ คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ เอส นโย ตาวติํสภวนาทีสุปิฯ กาลยุตฺตนฺติ อิมิสฺสา เวลาย อิมสฺส เอวํ วตฺตพฺพนฺติ ตํตํกาลานุรูปํฯ สมยยุตฺตนฺติ ตเสฺสว เววจนํ, อฎฺฐุปฺปตฺติอนุรูปํ วาฯ อถ วา สมยยุตฺตนฺติ เหตูทาหรณสหิตํฯ กาเลน สาปเทสญฺหิ ภควา ธมฺมํ เทเสติฯ อุตุํ คณฺหเปติ, น ปน มลํ ปกฺขาเลตีติ อธิปฺปาโยฯ น หิ ภควโต กาเย รโชชลฺลํ อุปลิมฺปตีติฯ

    Dullabhā sampattīti satipi manussattapaṭilābhe patirūpadesavāsaindriyāvekallasaddhāpaṭilābhādayo guṇā dullabhāti attho. Cātumahārājikabhavananti cātumahārājikadevaloke suññavimānāni gacchantīti attho. Esa nayo tāvatiṃsabhavanādīsupi. Kālayuttanti imissā velāya imassa evaṃ vattabbanti taṃtaṃkālānurūpaṃ. Samayayuttanti tasseva vevacanaṃ, aṭṭhuppattianurūpaṃ vā. Atha vā samayayuttanti hetūdāharaṇasahitaṃ. Kālena sāpadesañhi bhagavā dhammaṃ deseti. Utuṃ gaṇhapeti, na pana malaṃ pakkhāletīti adhippāyo. Na hi bhagavato kāye rajojallaṃ upalimpatīti.

    กิลาสุภาโว กิลมโถฯ สีหเสยฺยํ กเปฺปติ สรีรสฺส กิลาสุภาวโมจนตฺถนฺติ โยเชตพฺพํฯ ‘‘พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกตี’’ติ อิทํ ปจฺฉิมยาเม ภควโต พหุลอาจิณฺณวเสน วุตฺตํฯ อเปฺปกทา อวสิฎฺฐพลญาเณหิ สพฺพญฺญุตญาเณน จ ภควา ตมตฺถํ สาเธตีติฯ ‘‘อิเม ทิฎฺฐิฎฺฐานา’’ติอาทิเทสนา สีหนาโทฯ เตสํ ‘‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหา’’ ติอาทินา ปจฺจยาการํ สโมธาเนตฺวาฯ ‘‘สิเนรุํ อุกฺขิปโนฺต วิย นภํ ปหรโนฺต วิย จา’’ติ อิทํ พฺรหฺมชาลเทสนาย อนญฺญสาธารณตฺตา สุทุกฺกรตาทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ เอตนฺติ ‘‘เยน, เตนา’’ติ เอตํ ปททฺวยํฯ เยนาติ วา เหตุมฺหิ กรณวจนํ, เยน การเณน โส มณฺฑลมาโฬ อุปสงฺกมิตโพฺพ, เตน การเณน อุปสงฺกมีติ อโตฺถ, การณํ ปน ‘‘อิเม ภิกฺขู’’ติอาทินา อฎฺฐกถายํ วุตฺตํเอวฯ กฎฺฐนฺติ นิสีทนโยคฺยํ ทารุกฺขนฺธํฯ

    Kilāsubhāvo kilamatho. Sīhaseyyaṃ kappeti sarīrassa kilāsubhāvamocanatthanti yojetabbaṃ. ‘‘Buddhacakkhunā lokaṃ voloketī’’ti idaṃ pacchimayāme bhagavato bahulaāciṇṇavasena vuttaṃ. Appekadā avasiṭṭhabalañāṇehi sabbaññutañāṇena ca bhagavā tamatthaṃ sādhetīti. ‘‘Ime diṭṭhiṭṭhānā’’tiādidesanā sīhanādo. Tesaṃ ‘‘vedanāpaccayā taṇhā’’ tiādinā paccayākāraṃ samodhānetvā. ‘‘Sineruṃ ukkhipanto viya nabhaṃ paharanto viya cā’’ti idaṃ brahmajāladesanāya anaññasādhāraṇattā sudukkaratādassanatthaṃ vuttaṃ. Etanti ‘‘yena, tenā’’ti etaṃ padadvayaṃ. Yenāti vā hetumhi karaṇavacanaṃ, yena kāraṇena so maṇḍalamāḷo upasaṅkamitabbo, tena kāraṇena upasaṅkamīti attho, kāraṇaṃ pana ‘‘ime bhikkhū’’tiādinā aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃeva. Kaṭṭhanti nisīdanayogyaṃ dārukkhandhaṃ.

    ปุริโมติ ‘‘กตมาย นุ ภวถา’’ติ เอวํ วุโตฺต อโตฺถฯ กา จ ปน โวติ เอตฺถ -สโทฺท พฺยติเรเกฯ เตน ยถาปุจฺฉิตาย กถาย วกฺขมานํ วิปฺปกตภาวํ โชเตติฯ ปน-สโทฺท วจนาลงฺกาโรฯ ยาย หิ กถาย เต ภิกฺขู สนฺนิสินฺนา, สา เอว อนฺตรากถาภูตา วิปฺปกตา วิเสเสน ปุน ปุจฺฉียตีติฯ อญฺญาติ อนฺตราสทฺทสฺส อตฺถมาหฯ อญฺญเตฺถ หิ อยํ อนฺตรา-สโทฺท ‘‘ภูมนฺตรํ สมยนฺตร’’นฺติอาทีสุ วิยฯ อนฺตราติ วา เวมเชฺฌติ อโตฺถฯ นนุ จ เตหิ ภิกฺขูหิ สา กถา ยถาธิปฺปายํ ‘‘อิติ ห เม’’ติอาทินา นิฎฺฐปิตา เยวาติ? น นิฎฺฐาปิตา ภควโต อุปสงฺกมเนน อุปจฺฉินฺนตฺตาฯ ยทิ หิ ภควา ตสฺมิํ ขเณ น อุปสงฺกเมยฺย ภิโยฺยปิ ตปฺปฎิพทฺธาเยว กถา ปวเตฺตยฺยุํ, ภควโต อุปสงฺกมเนน ปน น ปวเตฺตสุํฯ เตเนวาห อยํ โข…เป.… อนุปฺปโตฺต’’ติฯ กสฺมา ปเนตฺถ ธมฺมวินยสงฺคเห กริยมาเน นิทานวจนํ, นนุ ภควโต วจนเมว สงฺคเหตพฺพนฺติ? วุจฺจเตเทสนาย ฐิติอสโมฺมสสเทฺธยฺยภาวสมฺปาทนตฺถํฯ กาลเทสเทสกวตฺถุธมฺมปฎิคฺคาหกปฎิพทฺธา หิ เทสนา จิรฎฺฐิติกา โหติ, อสโมฺมสธมฺมา สเทฺธยฺยา จฯ เทสกาลกตฺตุโสตุนิมิเตฺตหิ อุปนิพโนฺธ วิย โวหารวินิจฺฉโย, เตเนว จายสฺมตา มหากสฺสเปน ‘‘พฺรหฺมชาลํ อาวุโส อานนฺท กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทินา เทสาทิปุจฺฉาสุ กตาสุ ตาสํ วิสฺสชฺชนํ กโรเนฺตน ธมฺมภณฺฑาคาริเกน นิทานํ ภาสิตนฺติ ตยิทมาห ‘‘กาล…เป.… นิทานํ ภาสิต’’นฺติฯ

    Purimoti ‘‘katamāya nu bhavathā’’ti evaṃ vutto attho. Kā ca pana voti ettha ca-saddo byatireke. Tena yathāpucchitāya kathāya vakkhamānaṃ vippakatabhāvaṃ joteti. Pana-saddo vacanālaṅkāro. Yāya hi kathāya te bhikkhū sannisinnā, sā eva antarākathābhūtā vippakatā visesena puna pucchīyatīti. Aññāti antarāsaddassa atthamāha. Aññatthe hi ayaṃ antarā-saddo ‘‘bhūmantaraṃ samayantara’’ntiādīsu viya. Antarāti vā vemajjheti attho. Nanu ca tehi bhikkhūhi sā kathā yathādhippāyaṃ ‘‘iti ha me’’tiādinā niṭṭhapitā yevāti? Na niṭṭhāpitā bhagavato upasaṅkamanena upacchinnattā. Yadi hi bhagavā tasmiṃ khaṇe na upasaṅkameyya bhiyyopi tappaṭibaddhāyeva kathā pavatteyyuṃ, bhagavato upasaṅkamanena pana na pavattesuṃ. Tenevāha ayaṃ kho…pe… anuppatto’’ti. Kasmā panettha dhammavinayasaṅgahe kariyamāne nidānavacanaṃ, nanu bhagavato vacanameva saṅgahetabbanti? Vuccatedesanāya ṭhitiasammosasaddheyyabhāvasampādanatthaṃ. Kāladesadesakavatthudhammapaṭiggāhakapaṭibaddhā hi desanā ciraṭṭhitikā hoti, asammosadhammā saddheyyā ca. Desakālakattusotunimittehi upanibandho viya vohāravinicchayo, teneva cāyasmatā mahākassapena ‘‘brahmajālaṃ āvuso ānanda kattha bhāsita’’ntiādinā desādipucchāsu katāsu tāsaṃ vissajjanaṃ karontena dhammabhaṇḍāgārikena nidānaṃ bhāsitanti tayidamāha ‘‘kāla…pe… nidānaṃ bhāsita’’nti.

    อปิจ สตฺถุสิทฺธิยา นิทานวจนํฯ ตถาคตสฺส หิ ภควโต ปุพฺพรจนานุมานาคมตกฺกาภาวโต สมฺมาสมฺพุทฺธตฺตสิทฺธิฯ สมฺมาสมฺพุทฺธภาเวน หิสฺส ปุพฺพรจนาทีนํ อภาโว สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณจารตาย, เอกปฺปมาณตฺตา จ เญยฺยธเมฺมสุฯ ตถา อาจริยมุฎฺฐิธมฺมมจฺฉริยสตฺถุสาวกานุโรธาภาวโต ขีณาสวตฺตสิทฺธิฯ ขีณา สวตาย หิสฺส อาจริยมุฎฺฐิอาทีนํ อภาโว, วิสุทฺธา จ ปรานุคฺคหปฺปวตฺติฯ อิติ เทสกโทสภูตานํ ทิฎฺฐิจาริตฺตสมฺปตฺติทูสกานํ อวิชฺชาตณฺหานํ อภาวสูจเกหิ, ญาณปฺปหานสมฺปทาภิ พฺยญฺชนเกหิ จ สมฺพุทฺธวิสุทฺธภาเวหิ ปุริมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธิ, ตโต เอว จ อนฺตรายิกนิยฺยานิกธเมฺมสุ สโมฺมหาภาวสิทฺธิโต ปจฺฉิมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธีติ ภควโต จตุเวสารชฺชสมนฺนาคโม , อตฺตหิตปรหิตปฺปฎิปตฺติ จ ปกาสิตา โหติ นิทานวจเนน สมฺปตฺตปริสาย อชฺฌาสยานุรูปํ ฐานุปฺปตฺติกปฺปฎิภาเนน ธมฺมเทสนาทีปนโต, ‘‘ชานตา ปสฺสตา’’ติอาทิ วจนโต จฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สตฺถุสิทฺธิยา นิทานวจน’’นฺติฯ

    Apica satthusiddhiyā nidānavacanaṃ. Tathāgatassa hi bhagavato pubbaracanānumānāgamatakkābhāvato sammāsambuddhattasiddhi. Sammāsambuddhabhāvena hissa pubbaracanādīnaṃ abhāvo sabbattha appaṭihatañāṇacāratāya, ekappamāṇattā ca ñeyyadhammesu. Tathā ācariyamuṭṭhidhammamacchariyasatthusāvakānurodhābhāvato khīṇāsavattasiddhi. Khīṇā savatāya hissa ācariyamuṭṭhiādīnaṃ abhāvo, visuddhā ca parānuggahappavatti. Iti desakadosabhūtānaṃ diṭṭhicārittasampattidūsakānaṃ avijjātaṇhānaṃ abhāvasūcakehi, ñāṇappahānasampadābhi byañjanakehi ca sambuddhavisuddhabhāvehi purimavesārajjadvayasiddhi, tato eva ca antarāyikaniyyānikadhammesu sammohābhāvasiddhito pacchimavesārajjadvayasiddhīti bhagavato catuvesārajjasamannāgamo , attahitaparahitappaṭipatti ca pakāsitā hoti nidānavacanena sampattaparisāya ajjhāsayānurūpaṃ ṭhānuppattikappaṭibhānena dhammadesanādīpanato, ‘‘jānatā passatā’’tiādi vacanato ca. Tena vuttaṃ ‘‘satthusiddhiyā nidānavacana’’nti.

    ตถา สตฺถุสิทฺธิยา นิทานวจนํฯ ญาณกรุณาปริคฺคหิตสพฺพกิริยสฺส หิ ภควโต นตฺถิ นิรตฺถิกา ปวตฺติ, อตฺตหิตตฺถา วา, ตสฺมา ปเรสํเยว อตฺถาย ปวตฺตสพฺพกิริยสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สกลมฺปิ กายวจีมโนกมฺมํ สตฺถุภูตํ, น กพฺยรจนาทิสาสนภูตํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สตฺถุสิทฺธิยา นิทานวจน’’นฺติฯ อปิจ สตฺถุโน ปมาณภูตตาวิภาวเนน สาสนสฺส ปมาณภาวสิทฺธิยา นิทานวจนํฯ ‘‘ภควตา’’ติ หิ อิมินา ตถาคตสฺส คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมาทิภาวทีปเนน, ‘‘ชานตา’’ติอาทินา อาสยานุสยญาณาทิปโยคทีปเนน จ อยมโตฺถ สาธิโต โหติฯ อิทเมตฺถ นิทานวจนปโยชนสฺส มุขมตฺตทสฺสนํฯ โก หิ สมโตฺถ พุทฺธานุพุเทฺธน ธมฺมภณฺฑาคาริเกน ภาสิตสฺส นิทานสฺส ปโยชนานิ นิรวเสสโต วิภาเวตุนฺติฯ

    Tathā satthusiddhiyā nidānavacanaṃ. Ñāṇakaruṇāpariggahitasabbakiriyassa hi bhagavato natthi niratthikā pavatti, attahitatthā vā, tasmā paresaṃyeva atthāya pavattasabbakiriyassa sammāsambuddhassa sakalampi kāyavacīmanokammaṃ satthubhūtaṃ, na kabyaracanādisāsanabhūtaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘satthusiddhiyā nidānavacana’’nti. Apica satthuno pamāṇabhūtatāvibhāvanena sāsanassa pamāṇabhāvasiddhiyā nidānavacanaṃ. ‘‘Bhagavatā’’ti hi iminā tathāgatassa guṇavisiṭṭhasattuttamādibhāvadīpanena, ‘‘jānatā’’tiādinā āsayānusayañāṇādipayogadīpanena ca ayamattho sādhito hoti. Idamettha nidānavacanapayojanassa mukhamattadassanaṃ. Ko hi samattho buddhānubuddhena dhammabhaṇḍāgārikena bhāsitassa nidānassa payojanāni niravasesato vibhāvetunti.

    นิทานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nidānavaṇṇanā niṭṭhitā.

    . นิกฺขิตฺตสฺสาติ เทสิตสฺสฯ เทสนาปิ หิ เทเสตพฺพสฺส สีลาทิอตฺถสฺส วิเนยฺยสนฺตาเนสุ นิกฺขิปนโต ‘‘นิเกฺขโป’’ติ วุจฺจติฯ ตตฺถ ยถา อเนกสตอเนกสหสฺสเภทานิปิ สุตฺตนฺตานิ สํกิเลสภาคิยาทิสาสนปฺปฎฺฐานนเยน โสฬสวิธตํ นาติวตฺตนฺติ, เอวํ อตฺตชฺฌาสยาทิสุตฺตนิเกฺขปวเสน จตุพฺพิธภาวนฺติ อาห ‘‘จตฺตาโร สุตฺตนิเกฺขปา’’ติฯ กามเญฺจตฺถ อตฺตชฺฌาสยสฺส, อฎฺฐุปฺปตฺติยา จ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาหิ สทฺธิํ สํสคฺคเภโท สมฺภวติ อชฺฌาสยปุจฺฉานุสนฺธิสพฺภาวโต, อตฺตชฺฌาสยอฎฺฐุปฺปตฺตีนํ ปน อญฺญมญฺญํ สํสโคฺค นตฺถีติ นยิธ นิรวเสโส วิตฺถารนโย สมฺภวติ, ตสฺมา ‘‘จตฺตาโร สุตฺตนิเกฺขปา’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา ยทิปิ อฎฺฐุปฺปตฺติยา อชฺฌาสเยน สิยา สํสคฺคเภโท, ตทโนฺตคธตฺตา ปน เสสนิเกฺขปานํ มูลนิเกฺขปวเสน จตฺตาโรว ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ โส ปนายํ สุตฺตนิเกฺขโป สามญฺญภาวโต ปฐมํ วิจาเรตโพฺพ, ตสฺมิํ วิจาริเต ยสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา อิทํ สุตฺตํ นิกฺขิตฺตํ, ตสฺสา วิภาควเสน ‘‘มมํ วา ภิกฺขเว’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๕, ๖), ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนต’’นฺติอาทินา (ที. นิ. ๑.๗), ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๒๘) จ ปวตฺตานํ สุตฺตานํ สุตฺตปเทสานํ วณฺณนา วุจฺจมานา ตํตํอนุสนฺธิทสฺสนสุขตาย สุวิเญฺญยฺยา โหตีติ อาห ‘‘สุตฺตนิเกฺขปํ วิจาเรตฺวา วุจฺจมานา ปากฎา โหตี’’ติฯ

    5.Nikkhittassāti desitassa. Desanāpi hi desetabbassa sīlādiatthassa vineyyasantānesu nikkhipanato ‘‘nikkhepo’’ti vuccati. Tattha yathā anekasataanekasahassabhedānipi suttantāni saṃkilesabhāgiyādisāsanappaṭṭhānanayena soḷasavidhataṃ nātivattanti, evaṃ attajjhāsayādisuttanikkhepavasena catubbidhabhāvanti āha ‘‘cattāro suttanikkhepā’’ti. Kāmañcettha attajjhāsayassa, aṭṭhuppattiyā ca parajjhāsayapucchāhi saddhiṃ saṃsaggabhedo sambhavati ajjhāsayapucchānusandhisabbhāvato, attajjhāsayaaṭṭhuppattīnaṃ pana aññamaññaṃ saṃsaggo natthīti nayidha niravaseso vitthāranayo sambhavati, tasmā ‘‘cattāro suttanikkhepā’’ti vuttaṃ. Atha vā yadipi aṭṭhuppattiyā ajjhāsayena siyā saṃsaggabhedo, tadantogadhattā pana sesanikkhepānaṃ mūlanikkhepavasena cattārova dassitāti daṭṭhabbaṃ. So panāyaṃ suttanikkhepo sāmaññabhāvato paṭhamaṃ vicāretabbo, tasmiṃ vicārite yassā aṭṭhuppattiyā idaṃ suttaṃ nikkhittaṃ, tassā vibhāgavasena ‘‘mamaṃ vā bhikkhave’’tiādinā (dī. ni. 1.5, 6), ‘‘appamattakaṃ kho paneta’’ntiādinā (dī. ni. 1.7), ‘‘atthi bhikkhave’’tiādinā (dī. ni. 1.28) ca pavattānaṃ suttānaṃ suttapadesānaṃ vaṇṇanā vuccamānā taṃtaṃanusandhidassanasukhatāya suviññeyyā hotīti āha ‘‘suttanikkhepaṃ vicāretvā vuccamānā pākaṭā hotī’’ti.

    ‘‘สุตฺตนิเกฺขปา’’ติอาทีสุ นิกฺขิปนํ นิเกฺขโป, สุตฺตสฺส นิเกฺขโป สุตฺตสฺส กถนํ สุตฺตนิเกฺขโป, สุตฺตเทสนาติ อโตฺถฯ นิกฺขิปียตีติ วา นิเกฺขโป, สุตฺตํเยว นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโปฯ อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโย, โส อสฺส อตฺถิ สุตฺตเทสนาการณภูโตติ อตฺตชฺฌาสโยฯ อตฺตโน อชฺฌาสโย เอตสฺสาติ วา อตฺตชฺฌาสโยฯ ปรชฺฌาสโยติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปุจฺฉาย วโส ปุจฺฉาวโส, โส เอตสฺส อตฺถีติ ปุจฺฉวสิโกฯ อรณียโต อโตฺถ, สุตฺตเทสนาย วตฺถุฯ อตฺถสฺส อุปฺปตฺติ อตฺถุปฺปตฺติ, อตฺถุปฺปตฺติเยว อฎฺฐุปฺปตฺติ, สา เอตสฺส อตฺถีติ อฎฺฐุปฺปตฺติโกฯ อถ วา นิกฺขิปียติ สุตฺตํ เอเตนาติ สุตฺตนิเกฺขโป, อตฺตชฺฌาสยาทิ เอวฯ เอตสฺมิํ ปน อตฺถวิกเปฺป อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโย, ปเรสํ อชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโย, ปุจฺฉียตีติ ปุจฺฉา, ปุจฺฉิตโพฺพ อโตฺถฯ โสตพฺพวสปฺปวตฺตํ ธมฺมปฺปฎิคฺคาหกานํ วจนํ ปุจฺฉาวสิกา, ตเทว นิเกฺขปสทฺทาเปกฺขาย ปุลฺลิงฺควเสน วุตฺตํ ‘‘ปุจฺฉาวสิโก’’ติฯ ตถา อฎฺฐุปฺปตฺติเยว ‘‘อฎฺฐุปฺปตฺติโก’’ติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    ‘‘Suttanikkhepā’’tiādīsu nikkhipanaṃ nikkhepo, suttassa nikkhepo suttassa kathanaṃ suttanikkhepo, suttadesanāti attho. Nikkhipīyatīti vā nikkhepo, suttaṃyeva nikkhepo suttanikkhepo. Attano ajjhāsayo attajjhāsayo, so assa atthi suttadesanākāraṇabhūtoti attajjhāsayo. Attano ajjhāsayo etassāti vā attajjhāsayo. Parajjhāsayoti etthāpi eseva nayo. Pucchāya vaso pucchāvaso, so etassa atthīti pucchavasiko. Araṇīyato attho, suttadesanāya vatthu. Atthassa uppatti atthuppatti, atthuppattiyeva aṭṭhuppatti, sā etassa atthīti aṭṭhuppattiko. Atha vā nikkhipīyati suttaṃ etenāti suttanikkhepo, attajjhāsayādi eva. Etasmiṃ pana atthavikappe attano ajjhāsayo attajjhāsayo, paresaṃ ajjhāsayo parajjhāsayo, pucchīyatīti pucchā, pucchitabbo attho. Sotabbavasappavattaṃ dhammappaṭiggāhakānaṃ vacanaṃ pucchāvasikā, tadeva nikkhepasaddāpekkhāya pulliṅgavasena vuttaṃ ‘‘pucchāvasiko’’ti. Tathā aṭṭhuppattiyeva ‘‘aṭṭhuppattiko’’ti evampettha attho veditabbo.

    เอตฺถ จ ปเรสํ อินฺทฺริยปริปากาทิการณนิรเปกฺขตา อตฺตชฺฌาสยสฺส วิสุํ นิเกฺขปภาโว ยุโตฺตฯ เตเนวาห ‘‘เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว กเถตี’’ติฯ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ ปน ปเรสํ อชฺฌาสยปุจฺฉานํ เทสนานิมิตฺตภูตานํ อุปฺปตฺติยํ ปวตฺติตานํ กถํ อฎฺฐุปฺปตฺติยํ อนวโรโธ, ปุจฺฉาวสิกอฎฺฐุปฺปตฺติกานํ วา ปรชฺฌาสยานุโรเธน ปวตฺติตเทสนตฺตา กถํ ปรชฺฌาสเย อนวโรโธติ น โจเทตพฺพเมตํฯ ปเรสญฺหิ อภินีหารปริปุจฺฉาทิวินิมุตฺตเสฺสว สุตฺตเทสนาการณุปฺปาทสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติภาเวน คหิตตฺตา ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ วิสุํ คหณํฯ ตถา หิ ธมฺมทายาทสุตฺตาทีนํ (ม. นิ. ๑.๒๙) อามิสุปฺปาทาทิเทสนานิมิตฺตํ ‘‘อฎฺฐุปฺปตฺตี’’ติ วุจฺจติฯ ปเรสํ ปุจฺฉํ วินา อชฺฌาสยเมว นิมิตฺตํ กตฺวา เทสิโต ปรชฺฌาสโย, ปุจฺฉาวเสน เทสิโต ปุจฺฉาวสิโกติ ปากโฎ ยมโตฺถติฯ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว กเถสิ ธมฺมตนฺติฐปนตฺถนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สมฺมปฺปธานสุตฺตนฺตหารโกติ อนุปุเพฺพน นิทฺทิฎฺฐานํ สํยุตฺตเก สมฺมปฺปธานปฎิสํยุตฺตานํ สุตฺตานํ อาวฬิ, ตถา อิทฺธิปาทหารกาทิฯ วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา สทฺธินฺทฺริยาทโยฯ อภินีหารนฺติ ปณิธานํฯ

    Ettha ca paresaṃ indriyaparipākādikāraṇanirapekkhatā attajjhāsayassa visuṃ nikkhepabhāvo yutto. Tenevāha ‘‘kevalaṃ attano ajjhāsayeneva kathetī’’ti. Parajjhāsayapucchāvasikānaṃ pana paresaṃ ajjhāsayapucchānaṃ desanānimittabhūtānaṃ uppattiyaṃ pavattitānaṃ kathaṃ aṭṭhuppattiyaṃ anavarodho, pucchāvasikaaṭṭhuppattikānaṃ vā parajjhāsayānurodhena pavattitadesanattā kathaṃ parajjhāsaye anavarodhoti na codetabbametaṃ. Paresañhi abhinīhāraparipucchādivinimuttasseva suttadesanākāraṇuppādassa aṭṭhuppattibhāvena gahitattā parajjhāsayapucchāvasikānaṃ visuṃ gahaṇaṃ. Tathā hi dhammadāyādasuttādīnaṃ (ma. ni. 1.29) āmisuppādādidesanānimittaṃ ‘‘aṭṭhuppattī’’ti vuccati. Paresaṃ pucchaṃ vinā ajjhāsayameva nimittaṃ katvā desito parajjhāsayo, pucchāvasena desito pucchāvasikoti pākaṭo yamatthoti. Attano ajjhāsayeneva kathesi dhammatantiṭhapanatthanti daṭṭhabbaṃ. Sammappadhānasuttantahārakoti anupubbena niddiṭṭhānaṃ saṃyuttake sammappadhānapaṭisaṃyuttānaṃ suttānaṃ āvaḷi, tathā iddhipādahārakādi.Vimuttiparipācanīyā dhammā saddhindriyādayo. Abhinīhāranti paṇidhānaṃ.

    วณฺณาวเณฺณติ เอตฺถ ‘‘อจฺฉริยํ อาวุโส’’ติอาทินา ภิกฺขุสเงฺฆน วุโตฺต วโณฺณปิ สงฺคหิโต, ตํ ปน อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว อเญฺญ จ ธมฺมา’’ติอาทินา อุปริ เทสนํ อารภิสฺสตีติฯ ‘‘มมํ วา ภิกฺขเว ปเร วณฺณํ ภาเสยฺยุ’’นฺติ อิมิสฺสา เทสนาย พฺรหฺมทเตฺตน วุตฺตวโณฺณ อฎฺฐุปฺปตฺตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อเนฺตวาสี วณฺณํฯ อิติ อิมํ วณฺณาวณฺณํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา’’ติฯ วา-สโทฺท อุปมานสมุจฺจยสํสยววสฺสคฺคปทปูรณวิกปฺปาทีสุ พหูสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๖๓) อุปมาเน ทิสฺสติ, สทิสภาเวติ อโตฺถฯ ‘‘ตํ วาปิ ธีรา มุนิ เวทยนฺตี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๒๐๓) สมุจฺจเย, ‘‘เก วา อิเม, กสฺส วา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๒๙๖) สํสเย, ‘‘อยํ วา อิเมสํ สมณพฺราหฺมณานํ สพฺพพาโล สพฺพมูโฬฺห’’ติอาทีสุ ววสฺสเคฺค, ‘‘น วายํ กุมารโก มตฺตมญฺญาสี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) ปทปูรเณ, ‘‘เย หิ เกจิ ภิกฺขเว สมณา วา พฺราหฺมณา วา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๗๐) วิกเปฺป, อิธายํ วิกเปฺปเยวาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘วา-สโทฺท วิกปฺปนโตฺถ’’ติฯ ปร-สโทฺท อเตฺถว อญฺญเตฺถ ‘‘อหเญฺจว โข ปน ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ปเร จ เม น อาชาเนยฺยุ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๖๔, ๖๕; ม. นิ. ๑.๒๘๑; ม. นิ. ๒.๒๒๓; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๔, ๘) อตฺถิ อธิเก ‘‘อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณ’’นฺติอาทีสุ (ปฎิ. ม. มาติกา ๖๘, ๑.๑๑๑) อตฺถิ ปจฺฉาภาเค ‘‘ปรโต อาคมิสฺสตี’’ติอาทีสุฯ อตฺถิ ปจฺจนีกภาเว ‘‘อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สห ธเมฺมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๖๘)ฯ อิธาปิ ปจฺจนีกภาเวติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ปเรติ ปฎิวิรุทฺธา’’ติฯ

    Vaṇṇāvaṇṇeti ettha ‘‘acchariyaṃ āvuso’’tiādinā bhikkhusaṅghena vutto vaṇṇopi saṅgahito, taṃ pana aṭṭhuppattiṃ katvā ‘‘atthi bhikkhave aññe ca dhammā’’tiādinā upari desanaṃ ārabhissatīti. ‘‘Mamaṃ vā bhikkhave pare vaṇṇaṃ bhāseyyu’’nti imissā desanāya brahmadattena vuttavaṇṇo aṭṭhuppattīti katvā vuttaṃ ‘‘antevāsī vaṇṇaṃ. Iti imaṃ vaṇṇāvaṇṇaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā’’ti. -saddo upamānasamuccayasaṃsayavavassaggapadapūraṇavikappādīsu bahūsu atthesu dissati. Tathā hesa ‘‘paṇḍito vāpi tena so’’tiādīsu (dha. pa. 63) upamāne dissati, sadisabhāveti attho. ‘‘Taṃ vāpi dhīrā muni vedayantī’’tiādīsu (su. ni. 203) samuccaye, ‘‘ke vā ime, kassa vā’’tiādīsu (pārā. 296) saṃsaye, ‘‘ayaṃ vā imesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ sabbabālo sabbamūḷho’’tiādīsu vavassagge, ‘‘na vāyaṃ kumārako mattamaññāsī’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.154) padapūraṇe, ‘‘ye hi keci bhikkhave samaṇā vā brāhmaṇā vā’’tiādīsu (ma. ni. 1.170) vikappe, idhāyaṃ vikappeyevāti dassento āha ‘‘vā-saddo vikappanattho’’ti. Para-saddo attheva aññatthe ‘‘ahañceva kho pana dhammaṃ deseyyaṃ, pare ca me na ājāneyyu’’ntiādīsu (dī. ni. 2.64, 65; ma. ni. 1.281; ma. ni. 2.223; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 4, 8) atthi adhike ‘‘indriyaparopariyattañāṇa’’ntiādīsu (paṭi. ma. mātikā 68, 1.111) atthi pacchābhāge ‘‘parato āgamissatī’’tiādīsu. Atthi paccanīkabhāve ‘‘uppannaṃ parappavādaṃ saha dhammena suniggahitaṃ niggahetvā’’tiādīsu (dī. ni. 2.168). Idhāpi paccanīkabhāveti dassento āha ‘‘pareti paṭiviruddhā’’ti.

    อีทิเสสุปีติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท สมฺภาวเน, เตน รตนตฺตยนิมิตฺตมฺปิ อกุสลจิตฺตปฺปวตฺติ น กาตพฺพา, ปเคว วฎฺฎามิสโลกามิสนิมิตฺตนฺติ ทเสฺสติฯ สภาวธมฺมโต อญฺญสฺส กตฺตุอภาวโชตนตฺถํ อาหนตีติ กตฺตุอเตฺถ อาฆาตสทฺทํ ทเสฺสติ, ตตฺถ อาหนตีติ หิํสติ วิพาธติ, อุปตาเปติ จาติ อโตฺถฯ อาหนติ เอเตน, อาหนนมตฺตํ วา อาฆาโตติ กรณภาวตฺถาปิ สมฺภวนฺติเยวฯ เอวํ อวยวเภทเนน อาฆาต-สทฺทสฺส อตฺถํ วตฺวา อิทานิ ตตฺถ ปริยาเยนปิ อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โกปเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ อาหฯ อยญฺจ นโย ‘‘อปฺปจฺจโย อนภิรทฺธี’’ติอาทีสุปิ ยถาสมฺภวํ วตฺตโพฺพฯ อปฺปตีตา โหนฺติ เตนาติ ปากฎปริยาเยน อปฺปจฺจย-สทฺทสฺส อตฺถทสฺสนํ, ตํมุเขน ปน น ปเจฺจติ เตนาติ อปฺปจฺจโยติ ทฎฺฐพฺพํฯ อภิราธยตีติ สาธยติฯ ทฺวีหีติ อาฆาตอนภิรทฺธิปเทหิฯ เอเกนาติ อปฺปจฺจยปเทนฯ เสสานนฺติ สญฺญาวิญฺญาณกฺขนฺธานํ, สญฺญาวิญฺญาณอวสิฎฺฐสงฺขารกฺขนฺธสงฺขาตานํ วาฯ กรณนฺติ อุปฺปาทนํฯ อาฆาตาทีนญฺหิ ปวตฺติยา ปจฺจยสมวายนํ อิธ ‘‘กรณ’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ ปน อตฺถโต อุปฺปาทนเมวฯ อนุปฺปาทนญฺหิ สนฺธาย ภควตา ‘‘น กรณียา’’ติ วุตฺตนฺติฯ ปฎิกฺขิตฺตเมว เอกุปฺปาเทกวตฺถุเกการมฺมเณกนิโรธภาวโตฯ

    Īdisesupīti ettha pi-saddo sambhāvane, tena ratanattayanimittampi akusalacittappavatti na kātabbā, pageva vaṭṭāmisalokāmisanimittanti dasseti. Sabhāvadhammato aññassa kattuabhāvajotanatthaṃ āhanatīti kattuatthe āghātasaddaṃ dasseti, tattha āhanatīti hiṃsati vibādhati, upatāpeti cāti attho. Āhanati etena, āhananamattaṃ vā āghātoti karaṇabhāvatthāpi sambhavantiyeva. Evaṃ avayavabhedanena āghāta-saddassa atthaṃ vatvā idāni tattha pariyāyenapi atthaṃ dassento ‘‘kopassetaṃ adhivacana’’nti āha. Ayañca nayo ‘‘appaccayo anabhiraddhī’’tiādīsupi yathāsambhavaṃ vattabbo. Appatītā honti tenāti pākaṭapariyāyena appaccaya-saddassa atthadassanaṃ, taṃmukhena pana na pacceti tenāti appaccayoti daṭṭhabbaṃ. Abhirādhayatīti sādhayati. Dvīhīti āghātaanabhiraddhipadehi. Ekenāti appaccayapadena. Sesānanti saññāviññāṇakkhandhānaṃ, saññāviññāṇaavasiṭṭhasaṅkhārakkhandhasaṅkhātānaṃ vā. Karaṇanti uppādanaṃ. Āghātādīnañhi pavattiyā paccayasamavāyanaṃ idha ‘‘karaṇa’’nti vuttaṃ, taṃ pana atthato uppādanameva. Anuppādanañhi sandhāya bhagavatā ‘‘na karaṇīyā’’ti vuttanti. Paṭikkhittameva ekuppādekavatthukekārammaṇekanirodhabhāvato.

    ตตฺถาติ ตสฺมิํ มโนปโทเสฯ ตุมฺหนฺติ ‘‘ตุมฺหาก’’นฺติ อิมินา สมานโตฺถ เอโก สโทฺท ‘‘ยถา อมฺหาก’’นฺติ อิมินา สมานโตฺถ ‘‘อมฺห’’นฺติ อยํ สโทฺทฯ ยถาห, ‘‘ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มิยฺยเร’’ติ (ชา. ๑.๙.๙๓, ๙๙)ฯ ‘‘อนฺตราโย’’ติ อิทํ มโนปโทสสฺส อกรณียตาย การณวจนํฯ ยสฺมา ตุมฺหากํเยว จ ภเวยฺย เตน โกปาทินา ปฐมชฺฌานาทีนํ อนฺตราโย, ตสฺมา เต โกปาทิปริยาเยน วุตฺตา อาฆาตาทโย น กรณียาติ อโตฺถฯ เตน นาหํ ‘‘สพฺพญฺญู’’ติ อิสฺสรภาเวน ตุเมฺห ตโต นิวาเรมิ, อถ โข อิมินา นาม การเณนาติ ทเสฺสติฯ ตํ ปน การณวจนํ ยสฺมา อาทีนววิภาวนํ โหติ, ตสฺมา อาห ‘‘อาทีนวํ ทเสฺสโนฺต’’ติฯ ‘‘อปิ นุ ตุเมฺห’’ติอาทินา มโนปโทโส น กาลนฺตรภาวิโนเยว หิตสุขสฺส อนฺตรายกโร, อถ โข ตงฺขณปฺปวตฺติรหสฺสปิ หิตสุขสฺส อนฺตรายกโรติ มโนปโทเส อาทีนวํ ทฬฺหตรํ กตฺวา ทเสฺสติฯ เยสํ เกสญฺจิ ‘‘ปเร’’ติอาทีสุ วิย น ปฎิวิรุทฺธานํเยวาติ อโตฺถฯ เตเนวาห ‘‘กุปิโต’’ติอาทิฯ

    Tatthāti tasmiṃ manopadose. Tumhanti ‘‘tumhāka’’nti iminā samānattho eko saddo ‘‘yathā amhāka’’nti iminā samānattho ‘‘amha’’nti ayaṃ saddo. Yathāha, ‘‘tasmā hi amhaṃ daharā na miyyare’’ti (jā. 1.9.93, 99). ‘‘Antarāyo’’ti idaṃ manopadosassa akaraṇīyatāya kāraṇavacanaṃ. Yasmā tumhākaṃyeva ca bhaveyya tena kopādinā paṭhamajjhānādīnaṃ antarāyo, tasmā te kopādipariyāyena vuttā āghātādayo na karaṇīyāti attho. Tena nāhaṃ ‘‘sabbaññū’’ti issarabhāvena tumhe tato nivāremi, atha kho iminā nāma kāraṇenāti dasseti. Taṃ pana kāraṇavacanaṃ yasmā ādīnavavibhāvanaṃ hoti, tasmā āha ‘‘ādīnavaṃ dassento’’ti. ‘‘Api nu tumhe’’tiādinā manopadoso na kālantarabhāvinoyeva hitasukhassa antarāyakaro, atha kho taṅkhaṇappavattirahassapi hitasukhassa antarāyakaroti manopadose ādīnavaṃ daḷhataraṃ katvā dasseti. Yesaṃ kesañci ‘‘pare’’tiādīsu viya na paṭiviruddhānaṃyevāti attho. Tenevāha ‘‘kupito’’tiādi.

    อนฺธตมนฺติ อนฺธภาวกรตมํฯ นฺติ ยตฺถฯ ภุมฺมเตฺถ หิ เอตํ ปจฺจตฺตวจนํฯ ยสฺมิํ กาเล โกโธ สหเต นรํ, อนฺธตมํ ตทา โหตีติ สมฺพโนฺธฯ นฺติ วา การณวจนํ, ยสฺมา โกโธ อุปฺปชฺชมาโน นรํ อภิภวติ, ตสฺมา อนฺธตมํ ตทา โหติ, ยทา โกโธติ อโตฺถ ยํตํสทฺทานํ เอกนฺตสมฺพนฺธิภาวโตฯ อถ วา นฺติ กิริยาย ปรามสนํฯ โกโธ สหเตติ ยเทตํ โกธสฺส สหนํ อภิภวนํ, เอตํ อนฺธการตมภวนนฺติ อโตฺถฯ อถ วา ยํ นรํ โกโธ สหเต อภิภวติ, ตสฺส อนฺธตมํ ตทา โหติ, ตโต จ กุโทฺธ อตฺถํ น ชานาติ, กุโทฺธ ธมฺมํ น ปสฺสตีติฯ อนฺตรโตติ อพฺภนฺตรโต, จิตฺตโต วาฯ

    Andhatamanti andhabhāvakaratamaṃ. Yanti yattha. Bhummatthe hi etaṃ paccattavacanaṃ. Yasmiṃ kāle kodho sahate naraṃ, andhatamaṃ tadā hotīti sambandho. Yanti vā kāraṇavacanaṃ, yasmā kodho uppajjamāno naraṃ abhibhavati, tasmā andhatamaṃ tadā hoti, yadā kodhoti attho yaṃtaṃsaddānaṃ ekantasambandhibhāvato. Atha vā yanti kiriyāya parāmasanaṃ. Kodho sahateti yadetaṃ kodhassa sahanaṃ abhibhavanaṃ, etaṃ andhakāratamabhavananti attho. Atha vā yaṃ naraṃ kodho sahate abhibhavati, tassa andhatamaṃ tadā hoti, tato ca kuddho atthaṃ na jānāti, kuddho dhammaṃ na passatīti. Antaratoti abbhantarato, cittato vā.

    ‘‘อิทญฺจิทญฺจ การณ’’นฺติ อิมินา สพฺพญฺญู เอว อมฺหากํ สตฺถา อวิปรีตธมฺมเทสนตฺตา, สฺวากฺขาโต ธโมฺม เอกนฺตนิยฺยานิกตฺตา, สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆ สํกิเลสรหิตตฺตาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติฯ ‘‘อิทญฺจิทญฺจ การณ’’นฺติ เอเตน จ ‘‘น สพฺพญฺญู’’ติอาทิวจนํ อภูตํ อตจฺฉนฺติ นิเพฺพฐิตํ โหติฯ ทุติยํ ปทนฺติ ‘‘อตจฺฉ’’นฺติ ปทํฯ ปฐมสฺสาติ ‘‘อภูต’’นฺติ ปทสฺสฯ จตุตฺถญฺจาติ ‘‘น จ ปเนตํ อเมฺหสุ สํวิชฺชตี’’ติ ปทํฯ ตติยสฺสาติ ‘‘นตฺถิ เจตํ อเมฺหสู’’ติ ปทสฺสฯ อวเณฺณเยวาติ การณปติรูปกํ วตฺวา โทสปติฎฺฐาปนวเสน นินฺทเน เอวฯ น สพฺพตฺถาติ เกวลํ อโกฺกสนขุํสนวมฺภนาทีสุ น เอกเนฺตน นิเพฺพฐนํ กาตพฺพนฺติ อโตฺถฯ วุตฺตเมวตฺถํ ‘‘ยทิ หี’’ติอาทินา ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสติฯ

    ‘‘Idañcidañca kāraṇa’’nti iminā sabbaññū eva amhākaṃ satthā aviparītadhammadesanattā, svākkhāto dhammo ekantaniyyānikattā, suppaṭipanno saṅgho saṃkilesarahitattāti imamatthaṃ dasseti. ‘‘Idañcidañca kāraṇa’’nti etena ca ‘‘na sabbaññū’’tiādivacanaṃ abhūtaṃ atacchanti nibbeṭhitaṃ hoti. Dutiyaṃ padanti ‘‘ataccha’’nti padaṃ. Paṭhamassāti ‘‘abhūta’’nti padassa. Catutthañcāti ‘‘na ca panetaṃ amhesu saṃvijjatī’’ti padaṃ. Tatiyassāti ‘‘natthi cetaṃ amhesū’’ti padassa. Avaṇṇeyevāti kāraṇapatirūpakaṃ vatvā dosapatiṭṭhāpanavasena nindane eva. Na sabbatthāti kevalaṃ akkosanakhuṃsanavambhanādīsu na ekantena nibbeṭhanaṃ kātabbanti attho. Vuttamevatthaṃ ‘‘yadi hī’’tiādinā pākaṭaṃ katvā dasseti.

    . อานนฺทนฺติ ปโมทนฺติ เอเตน ธเมฺมน ตํสมงฺคิโน สตฺตาติ อานนฺท-สทฺทสฺส กรณตฺถตํ ทเสฺสติ ฯ โสภนํ มโน อสฺสาติ สุมโน, โสภนํ วา มโน สุมโน, ตสฺส ภาโว โสมนสฺสนฺติ ตทญฺญธมฺมานมฺปิ สมฺปยุตฺตานํ โสมนสฺสภาโว อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ รุฬฺหีสทฺทตฺตา ยถา ‘‘ปงฺกช’’นฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เจตสิกสุขเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ อาหฯ อุพฺพิลยตีติ อุพฺพิลํ, ภินฺทติ ปุริมาวตฺถาย วิเสสํ อาปชฺชตีติ อโตฺถฯ อุพฺพิลเมว อุพฺพิลาวิตํ, ตสฺส ภาโว อุพฺพิลาวิตตฺตํฯ ยาย อุปฺปนฺนาย กายจิตฺตํ วาตปูริตภสฺตา วิย อุทฺธุมายนาการปฺปตฺตํ โหติ, ตสฺสา เคหสฺสิตาย โอทคฺคิยปีติยา เอตํ อธิวจนํฯ เตเนวาห ‘‘อุทฺธจฺจาวหายา’’ติอาทิฯ อิธาปิ ‘‘กิญฺจาปิ เตสํ ภิกฺขูนํ อุพฺพิลาวิตเมว นตฺถิ, อถ โข อายติํ กุลปุตฺตานํ เอทิเสสุปิ ฐาเนสุ อกุสลุปฺปตฺติํ ปฎิเสเธโนฺต ธมฺมเนตฺติํ ฐเปตี’’ติ, ‘‘ทฺวีหิ ปเทหิ สงฺขารกฺขโนฺธ, เอเกน เวทนากฺขโนฺธ วุโตฺต’’ติ เอตฺถ ‘‘เตสํ วเสน เสสานมฺปิ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ กรณํ ปฎิกฺขิตฺตเมวา’’ติ จ อฎฺฐกถายํ, ‘‘ปิ-สโทฺท สมฺภาวเน’’ติอาทินา อิธ จ วุตฺตนเยน อโตฺถ ยถาสมฺภวํ เวทิตโพฺพฯ ‘‘ตุมฺหํเยวสฺส เตน อนฺตราโย’’ติ เอตฺถาปิ ‘‘อนฺตราโยติ อิท’’นฺติอาทินา เหฎฺฐา อวณฺณปเกฺข วุตฺตนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    6.Ānandanti pamodanti etena dhammena taṃsamaṅgino sattāti ānanda-saddassa karaṇatthataṃ dasseti . Sobhanaṃ mano assāti sumano, sobhanaṃ vā mano sumano, tassa bhāvo somanassanti tadaññadhammānampi sampayuttānaṃ somanassabhāvo āpajjatīti? Nāpajjati ruḷhīsaddattā yathā ‘‘paṅkaja’’nti dassento ‘‘cetasikasukhassetaṃ adhivacana’’nti āha. Ubbilayatīti ubbilaṃ, bhindati purimāvatthāya visesaṃ āpajjatīti attho. Ubbilameva ubbilāvitaṃ, tassa bhāvo ubbilāvitattaṃ. Yāya uppannāya kāyacittaṃ vātapūritabhastā viya uddhumāyanākārappattaṃ hoti, tassā gehassitāya odaggiyapītiyā etaṃ adhivacanaṃ. Tenevāha ‘‘uddhaccāvahāyā’’tiādi. Idhāpi ‘‘kiñcāpi tesaṃ bhikkhūnaṃ ubbilāvitameva natthi, atha kho āyatiṃ kulaputtānaṃ edisesupi ṭhānesu akusaluppattiṃ paṭisedhento dhammanettiṃ ṭhapetī’’ti, ‘‘dvīhi padehi saṅkhārakkhandho, ekena vedanākkhandho vutto’’ti ettha ‘‘tesaṃ vasena sesānampi sampayuttadhammānaṃ karaṇaṃ paṭikkhittamevā’’ti ca aṭṭhakathāyaṃ, ‘‘pi-saddo sambhāvane’’tiādinā idha ca vuttanayena attho yathāsambhavaṃ veditabbo. ‘‘Tumhaṃyevassatena antarāyo’’ti etthāpi ‘‘antarāyoti ida’’ntiādinā heṭṭhā avaṇṇapakkhe vuttanayena attho veditabbo.

    กสฺมา ปเนตนฺติ จ วกฺขมานํเยว อตฺถํ มนสิ กตฺวา โจเทติฯ อาจริโย ‘‘สจฺจํ วณฺณิต’’นฺติ ตมตฺถํ ปฎิชานิตฺวา ‘‘ตํ ปน เนกฺขมฺมนิสฺสิต’’นฺติอาทินา ปริหรติฯ ตตฺถ เอตนฺติ อานนฺทาทีนํ อกรณียตาวจนํฯ นนุ ภควตา วณฺณิตนฺติ สมฺพโนฺธฯ กสิเณนาติ กสิณตาย สกลภาเวนฯ เกจิ ปน ‘‘ชมฺพุทีปสฺสาติ กรเณ สามิวจน’’นฺติ วทนฺติ, เตสํ มเตน กสิณชมฺพุทีป-สทฺทานํ สมานาธิกรณภาโว ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมาติ ยสฺมา เคหสฺสิตปีติโสมนสฺสํ ฌานาทีนํ อนฺตรายกรํ, ตสฺมาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘โสมนสฺสํ ปาหํ เทวานํ อินฺท ทุวิเธน วทามิ เสวิตพฺพมฺปิ อเสวิตพฺพมฺปี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๕๙)ฯ ‘‘อยญฺหี’’ติอาทิ เยน สมฺปยุตฺตา ปีติ อนฺตรายกรี, ตํ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘อิทญฺหิ โลภสหคตํ ปีติโสมนสฺส’’นฺติ วตฺตพฺพํ สิยา, ปีติคฺคหเณน ปน โสมนสฺสมฺปิ คหิตเมว โหติ โสมนสฺสรหิตาย ปีติยา อภาวโตติ ปีติเยว คหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา เสวิตพฺพาเสวิตพฺพวิภาควจนโต โสมนสฺสสฺส ปากโฎ อนฺตรายกรภาโว, น ตถา ปีติยาติ ปีติเยว โลภสหคตเตฺตน วิเสเสตฺวา วุตฺตาฯ ‘‘ลุโทฺธ อตฺถ’’นฺติอาทิคาถานํ ‘‘กุโทฺธ อตฺถ’’นฺติอาทิ คาถาสุ วิย อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Kasmā panetanti ca vakkhamānaṃyeva atthaṃ manasi katvā codeti. Ācariyo ‘‘saccaṃ vaṇṇita’’nti tamatthaṃ paṭijānitvā ‘‘taṃ pana nekkhammanissita’’ntiādinā pariharati. Tattha etanti ānandādīnaṃ akaraṇīyatāvacanaṃ. Nanu bhagavatā vaṇṇitanti sambandho. Kasiṇenāti kasiṇatāya sakalabhāvena. Keci pana ‘‘jambudīpassāti karaṇe sāmivacana’’nti vadanti, tesaṃ matena kasiṇajambudīpa-saddānaṃ samānādhikaraṇabhāvo daṭṭhabbo. Tasmāti yasmā gehassitapītisomanassaṃ jhānādīnaṃ antarāyakaraṃ, tasmā. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘somanassaṃ pāhaṃ devānaṃ inda duvidhena vadāmi sevitabbampi asevitabbampī’’ti (dī. ni. 2.359). ‘‘Ayañhī’’tiādi yena sampayuttā pīti antarāyakarī, taṃ dassanatthaṃ vuttaṃ. Tattha ‘‘idañhi lobhasahagataṃ pītisomanassa’’nti vattabbaṃ siyā, pītiggahaṇena pana somanassampi gahitameva hoti somanassarahitāya pītiyā abhāvatoti pītiyeva gahitāti daṭṭhabbaṃ. Atha vā sevitabbāsevitabbavibhāgavacanato somanassassa pākaṭo antarāyakarabhāvo, na tathā pītiyāti pītiyeva lobhasahagatattena visesetvā vuttā. ‘‘Luddho attha’’ntiādigāthānaṃ ‘‘kuddho attha’’ntiādi gāthāsu viya attho daṭṭhabbo.

    ‘‘มมํ วา ภิกฺขเว ปเร วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ธมฺมสฺส วา วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, สงฺฆสฺส วา วณฺณํ ภาเสยฺยุํ, ตตฺร เจ ตุเมฺห อสฺสถ อานนฺทิโน สุมนา อุพฺพิลาวิตา, อปิ นุ ตุเมฺห ปเรสํ สุภาสิตทุพฺภาสิตํ อาชาเนยฺยาถาติฯ โน เหตํ ภเนฺต’’ติ อยํ ตติยวาโร, โส เทสนากาเล นีหริตฺวา เทเสตพฺพปุคฺคลาภาวโต เทสนาย อนาคโตปิ ตทตฺถสมฺภวโต อตฺถโต อาคโตเยวาติ ทฎฺฐโพฺพ ยถา ตํ กถาวตฺถุปกรณํ วิตฺถารวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อตฺถโต อาคโต เยวา’’ติ เอเตน สํวณฺณนากาเล ตถา พุชฺฌนกสตฺตานํ วเสน โส วาโร อาเนตฺวา วตฺตโพฺพติ ทเสฺสติฯ ‘‘ยเถว หี’’ติอาทินา ตเมวตฺถสมฺภวํ วิภาเวติฯ วุตฺตนเยนาติ ‘‘ตตฺร ตุเมฺหหีติ ตสฺมิํ วเณฺณ ตุเมฺหหี’’ติอาทินา, ‘‘ทุติยํ ปทํ ปฐมสฺส ปทสฺส, จตุตฺถญฺจ ตติยสฺส เววจน’’นฺติอาทินา จ วุตฺตนเยนฯ

    ‘‘Mamaṃ vā bhikkhave pare vaṇṇaṃ bhāseyyuṃ, dhammassa vā vaṇṇaṃ bhāseyyuṃ, saṅghassa vā vaṇṇaṃ bhāseyyuṃ, tatra ce tumhe assatha ānandino sumanā ubbilāvitā, api nu tumhe paresaṃ subhāsitadubbhāsitaṃ ājāneyyāthāti. No hetaṃ bhante’’ti ayaṃ tatiyavāro, so desanākāle nīharitvā desetabbapuggalābhāvato desanāya anāgatopi tadatthasambhavato atthato āgatoyevāti daṭṭhabbo yathā taṃ kathāvatthupakaraṇaṃ vitthāravasenāti adhippāyo. ‘‘Atthato āgato yevā’’ti etena saṃvaṇṇanākāle tathā bujjhanakasattānaṃ vasena so vāro ānetvā vattabboti dasseti. ‘‘Yatheva hī’’tiādinā tamevatthasambhavaṃ vibhāveti. Vuttanayenāti ‘‘tatra tumhehīti tasmiṃ vaṇṇe tumhehī’’tiādinā, ‘‘dutiyaṃ padaṃ paṭhamassa padassa, catutthañca tatiyassa vevacana’’ntiādinā ca vuttanayena.

    จูฬสีลวณฺณนา

    Cūḷasīlavaṇṇanā

    . นิวโตฺต อมูลกตฺตา วิสฺสเชฺชตพฺพตาภาวโตฯ อนุวตฺตติเยว วิสฺสเชฺชตพฺพตาย อธิกตภาวโตฯ อนุสนฺธิํ ทเสฺสสฺสติ ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว’’ติอาทินาฯ โอรนฺติ วา อปรภาโค ‘‘โอรโต โภคํ, โอรํ ปาร’’นฺติอาทีสุ วิยฯ อถ วา เหฎฺฐาอโตฺถ โอร-สโทฺท ‘‘โอรํ อาคมนาย เย ปจฺจยา, เต โอรมฺภาคิยานิ สํโยชนานี’’ติอาทีสุ วิยฯ สีลญฺหิ สมาธิปญฺญาโย อเปกฺขิตฺวา อปรภาโค, เหฎฺฐาภูตญฺจ โหตีติฯ สีลมตฺตกนฺติ เอตฺถ มตฺต-สโทฺท อปฺปกโตฺถ วา ‘‘เภสชฺชมตฺตา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) วิยฯ วิเสสนิวตฺติอโตฺถ วา ‘‘อวิตกฺกวิจารมตฺตา ธมฺมา (ธ. ส. ติกมาติกา ๖), มโนมตฺตา ธาตุ มโนธาตู’’ติ จ อาทีสุ วิยฯ ‘‘อปฺปมตฺตกํ, โอรมตฺตก’’นฺติ ปททฺวเยน สามญฺญโต วุโตฺตเยว หิ อโตฺถ สีลมตฺตกนฺติ วิเสสวเสน วุโตฺตฯ อถ วา สีเลนปิ ตเทกเทสเสฺสว สงฺคหณตฺถํ อปฺปกตฺถวาจโก, วิเสสนิวตฺติอโตฺถ เอว วา ‘‘สีลมตฺตก’’นฺติ เอตฺถ มตฺต-สโทฺท วุโตฺตฯ ตถา หิ อินฺทฺริยสํวรปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีลานิ อิธ เทสนํ อนารุฬฺหานิฯ น หิ ตานิ ปาติโมกฺขอาชีวปาริสุทฺธิสีลานิ วิย สพฺพปุถุชฺชเนสุ ปากฎานีติฯ ‘‘อุสฺสาหํ กตฺวา’’ติ เอเตน ‘‘วทมาโน’’ติ เอตฺถ สตฺติอตฺถํ มาน-สทฺทํ ทเสฺสติฯ

    7.Nivatto amūlakattā vissajjetabbatābhāvato. Anuvattatiyeva vissajjetabbatāya adhikatabhāvato. Anusandhiṃ dassessati ‘‘atthi bhikkhave’’tiādinā. Oranti vā aparabhāgo ‘‘orato bhogaṃ, oraṃ pāra’’ntiādīsu viya. Atha vā heṭṭhāattho ora-saddo ‘‘oraṃ āgamanāya ye paccayā, te orambhāgiyāni saṃyojanānī’’tiādīsu viya. Sīlañhi samādhipaññāyo apekkhitvā aparabhāgo, heṭṭhābhūtañca hotīti. Sīlamattakanti ettha matta-saddo appakattho vā ‘‘bhesajjamattā’’tiādīsu (dī. ni. 1.447) viya. Visesanivattiattho vā ‘‘avitakkavicāramattā dhammā (dha. sa. tikamātikā 6), manomattā dhātu manodhātū’’ti ca ādīsu viya. ‘‘Appamattakaṃ, oramattaka’’nti padadvayena sāmaññato vuttoyeva hi attho sīlamattakanti visesavasena vutto. Atha vā sīlenapi tadekadesasseva saṅgahaṇatthaṃ appakatthavācako, visesanivattiattho eva vā ‘‘sīlamattaka’’nti ettha matta-saddo vutto. Tathā hi indriyasaṃvarapaccayasannissitasīlāni idha desanaṃ anāruḷhāni. Na hi tāni pātimokkhaājīvapārisuddhisīlāni viya sabbaputhujjanesu pākaṭānīti. ‘‘Ussāhaṃ katvā’’ti etena ‘‘vadamāno’’ti ettha sattiatthaṃ māna-saddaṃ dasseti.

    อลงฺกรณํ วิภูสนํ อลงฺกาโร, กุณฺฑลาทิปสาธนํ วาฯ อูนฎฺฐานปูรณํ มณฺฑนํฯ มณฺฑเนติ มณฺฑนเหตุฯ อถ วา มณฺฑตีติ มณฺฑโน, มณฺฑนชาติโก ปุริโสฯ พหุวจนเตฺถ จ อิทํ เอกวจนํ, มณฺฑนสีเลสูติ อโตฺถฯ ปริปูรการีติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถ, ปการโตฺถ วา, เตน สกลมฺปิ สีลโถมน สุตฺตํ ทเสฺสติฯ จนฺทนนฺติ จนฺทนสหจรณโต จนฺทนคโนฺธ, ตถา ตคราทีสุปิฯ สตญฺจ คโนฺธติ เอตฺถ คโนฺธ วิยาติ คโนฺธติ วุโตฺต สีลนิพนฺธโน ถุติโฆโสฯ สีลญฺหิ กิตฺติยา นิมิตฺตํฯ ยถาห ‘‘สีลวโต สีลสมฺปนฺนสฺส กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๕๐; อ. นิ. ๕.๒๑๓; มหาว. ๒๘๕)ฯ ปวายตีติ ปกาสติฯ คนฺธาว คนฺธชาตาฯ

    Alaṅkaraṇaṃ vibhūsanaṃ alaṅkāro, kuṇḍalādipasādhanaṃ vā. Ūnaṭṭhānapūraṇaṃ maṇḍanaṃ. Maṇḍaneti maṇḍanahetu. Atha vā maṇḍatīti maṇḍano, maṇḍanajātiko puriso. Bahuvacanatthe ca idaṃ ekavacanaṃ, maṇḍanasīlesūti attho. Paripūrakārīti ettha iti-saddo ādiattho, pakārattho vā, tena sakalampi sīlathomana suttaṃ dasseti. Candananti candanasahacaraṇato candanagandho, tathā tagarādīsupi. Satañca gandhoti ettha gandho viyāti gandhoti vutto sīlanibandhano thutighoso. Sīlañhi kittiyā nimittaṃ. Yathāha ‘‘sīlavato sīlasampannassa kalyāṇo kittisaddo abbhuggacchatī’’ti (dī. ni. 2.150; a. ni. 5.213; mahāva. 285). Pavāyatīti pakāsati. Gandhāva gandhajātā.

    ‘‘อปฺปกํ พหุก’’นฺติ อิทํ ปาราปารํ วิย อญฺญมญฺญํ อุปนิธาย วุจฺจตีติ อาห ‘‘อุปริคุเณ อุปนิธายา’’ติฯ สีลญฺหีติ เอตฺถ หิ-สโทฺท เหตุอโตฺถ, เตน อิทํ ทเสฺสติ ‘‘ยสฺมา สีลํ กิญฺจาปิ ปติฎฺฐาภาเวน สมาธิสฺส พหุการํ, ปภาวาทิคุณวิเสเส ปนสฺส อุปนิธาย กลมฺปิ น อุเปติ, ตถา สมาธิ จ ปญฺญายา’’ติฯ เตเนวาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ อิทานิ ‘‘กถ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา สมาธิสฺส อานุภาวํ วิตฺถารโต วิภาเวติฯ ‘‘อภิ…เป.… มูเล’’ติ อิทํ ยมกปาฎิหาริยสฺส สุปากฎภาวทสฺสนตฺถํ, อเญฺญหิ โพธิมูลญาติสมาคมาทีสุ กตปาฎิหาริเยหิ วิเสสนตฺถญฺจ วุตฺตํฯ ยมกปาฎิหาริยกรณตฺถาย หิ ภควโต จิเตฺต อุปฺปเนฺน ตทนุจฺฉวิกํ ฐานํ อิจฺฉิตพฺพนฺติ รตนมณฺฑปาทิ สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อาณาย วิสฺสกมฺมุนา นิมฺมิตนฺติ วทนฺติ, ภควตาว นิมฺมิตนฺติ อปเรฯ ‘‘โย โกจิ เอวรูปํ ปาฎิหาริยํ กาตุํ สมโตฺถ อตฺถิ เจ, อาคจฺฉตู’’ติ โจทนาสทิสตฺตา วุตฺตํ ‘‘อตฺตาทานปริทีปน’’นฺติฯ ตตฺถ อตฺตาทานํ อนุโยโค, ติตฺถิยานํ ตถา กาตุํ อสมตฺถตฺตา, ‘‘กริสฺสามา’’ติ ปุเพฺพ อุฎฺฐิตตฺตา ติตฺถิยปริมทฺทนํฯ

    ‘‘Appakaṃ bahuka’’nti idaṃ pārāpāraṃ viya aññamaññaṃ upanidhāya vuccatīti āha ‘‘upariguṇe upanidhāyā’’ti. Sīlañhīti ettha hi-saddo hetuattho, tena idaṃ dasseti ‘‘yasmā sīlaṃ kiñcāpi patiṭṭhābhāvena samādhissa bahukāraṃ, pabhāvādiguṇavisese panassa upanidhāya kalampi na upeti, tathā samādhi ca paññāyā’’ti. Tenevāha ‘‘tasmā’’tiādi. Idāni ‘‘katha’’nti pucchitvā samādhissa ānubhāvaṃ vitthārato vibhāveti. ‘‘Abhi…pe…mūle’’ti idaṃ yamakapāṭihāriyassa supākaṭabhāvadassanatthaṃ, aññehi bodhimūlañātisamāgamādīsu katapāṭihāriyehi visesanatthañca vuttaṃ. Yamakapāṭihāriyakaraṇatthāya hi bhagavato citte uppanne tadanucchavikaṃ ṭhānaṃ icchitabbanti ratanamaṇḍapādi sakkassa devarañño āṇāya vissakammunā nimmitanti vadanti, bhagavatāva nimmitanti apare. ‘‘Yo koci evarūpaṃ pāṭihāriyaṃ kātuṃ samattho atthi ce, āgacchatū’’ti codanāsadisattā vuttaṃ ‘‘attādānaparidīpana’’nti. Tattha attādānaṃ anuyogo, titthiyānaṃ tathā kātuṃ asamatthattā, ‘‘karissāmā’’ti pubbe uṭṭhitattā titthiyaparimaddanaṃ.

    อุปริมกายโตติอาทิ ปฎิสมฺภิทามเคฺค (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๖)ฯ

    Uparimakāyatotiādi paṭisambhidāmagge (paṭi. ma. 1.116).

    ตตฺถายํ ปาฬิเสโส –

    Tatthāyaṃ pāḷiseso –

    ‘‘เหฎฺฐิมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, อุปริมกายโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ ปุรตฺถิมกายโต อคฺคิ, ปจฺฉิมกายโต อุทกํฯ ปจฺฉิมกายโต อคฺคิ, ปุรตฺถิมกายโต อุทกํฯ ทกฺขิณอกฺขิโต อคฺคิ, วามอกฺขิโต อุทกํฯ วามอกฺขิโต อคฺคิ, ทกฺขิณอกฺขิโต อุทกํฯ ทกฺขิณกณฺณโสตโต อคฺคิ, วามกณฺณโสตโต อุทกํฯ วามกณฺณโสตโต อคฺคิ, ทกฺขิณกณฺณโสตโต อุทกํฯ ทกฺขิณนาสิกาโสตโต อคฺคิ, วามนาสิกาโสตโต อุทกํฯ วามนาสิกาโสตโต อคฺคิ, ทกฺขิณนาสิกาโสตโต อุทกํฯ ทกฺขิณอํสกูฎโต อคฺคิ, วามอํสกูฎโต อุทกํฯ วามอํสกูฎโต อคฺคิ, ทกฺขิณอํสกูฎโต อุทกํฯ ทกฺขิณหตฺถโต อคฺคิ, วามหตฺถโต อุทกํฯ วามหตฺถโต อคฺคิ, ทกฺขิณหตฺถโต อุทกํฯ ทกฺขิณปสฺสโต อคฺคิ, วามปสฺสโต อุทกํฯ วามปสฺสโต อคฺคิ, ทกฺขิณปสฺสโต อุทกํฯ ทกฺขิณปาทโต อคฺคิ , วามปาทโต อุทกํฯ วามปาทโต อคฺคิ, ทกฺขิณปาทโต อุทกํฯ องฺคุลงฺคุเลหิ อคฺคิ, องฺคุลนฺตริกาหิ อุทกํ ฯ องฺคุลนฺตริกาหิ อคฺคิ, องฺคุลงฺคุเลหิ อุทกํฯ เอเกกโลมโต อคฺคิ, เอเกกโลมโต อุทกํฯ โลมกูปโต โลมกูปโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, โลมกูปโต โลมกูปโต อุทกธารา ปวตฺตตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๖)ฯ

    ‘‘Heṭṭhimakāyato aggikkhandho pavattati, uparimakāyato udakadhārā pavattati. Puratthimakāyato aggi, pacchimakāyato udakaṃ. Pacchimakāyato aggi, puratthimakāyato udakaṃ. Dakkhiṇaakkhito aggi, vāmaakkhito udakaṃ. Vāmaakkhito aggi, dakkhiṇaakkhito udakaṃ. Dakkhiṇakaṇṇasotato aggi, vāmakaṇṇasotato udakaṃ. Vāmakaṇṇasotato aggi, dakkhiṇakaṇṇasotato udakaṃ. Dakkhiṇanāsikāsotato aggi, vāmanāsikāsotato udakaṃ. Vāmanāsikāsotato aggi, dakkhiṇanāsikāsotato udakaṃ. Dakkhiṇaaṃsakūṭato aggi, vāmaaṃsakūṭato udakaṃ. Vāmaaṃsakūṭato aggi, dakkhiṇaaṃsakūṭato udakaṃ. Dakkhiṇahatthato aggi, vāmahatthato udakaṃ. Vāmahatthato aggi, dakkhiṇahatthato udakaṃ. Dakkhiṇapassato aggi, vāmapassato udakaṃ. Vāmapassato aggi, dakkhiṇapassato udakaṃ. Dakkhiṇapādato aggi , vāmapādato udakaṃ. Vāmapādato aggi, dakkhiṇapādato udakaṃ. Aṅgulaṅgulehi aggi, aṅgulantarikāhi udakaṃ . Aṅgulantarikāhi aggi, aṅgulaṅgulehi udakaṃ. Ekekalomato aggi, ekekalomato udakaṃ. Lomakūpato lomakūpato aggikkhandho pavattati, lomakūpato lomakūpato udakadhārā pavattatī’’ti (paṭi. ma. 1.116).

    อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘เอเกกโลมกูปโต’’ติ อาคตํฯ

    Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘ekekalomakūpato’’ti āgataṃ.

    ‘‘ฉนฺนํ วณฺณานนฺติ อาทินยปฺปวตฺต’’นฺติ เอตฺถาปิ นีลานํ ปีตกานํ โลหิตกานํ โอทาตานํ มญฺชิฎฺฐานํ ปภสฺสรานนฺติ อยํ ปาฬิเสโสฯ ‘‘สุวณฺณวณฺณา รสฺมิโย’’ติ อิทํ ตาสํ เยภุยฺยตาย วุตฺตํฯ วิตฺถาเรตพฺพนฺติ เอตฺถาปิ ‘‘สตฺถา ติฎฺฐติ, นิมฺมิโต จงฺกมติ วา นิสีทติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปตี’’ติอาทินา จตูสุ อิริยาปเถสุ เอเกกมูลกา สตฺถุวเสน จตฺตาโร, นิมฺมิตวเสน จตฺตาโรติ สเพฺพว อฎฺฐ วาเร วิตฺถาเรตพฺพํฯ

    ‘‘Channaṃ vaṇṇānanti ādinayappavatta’’nti etthāpi nīlānaṃ pītakānaṃ lohitakānaṃ odātānaṃ mañjiṭṭhānaṃ pabhassarānanti ayaṃ pāḷiseso. ‘‘Suvaṇṇavaṇṇā rasmiyo’’ti idaṃ tāsaṃ yebhuyyatāya vuttaṃ. Vitthāretabbanti etthāpi ‘‘satthā tiṭṭhati, nimmito caṅkamati vā nisīdati vā seyyaṃ vā kappetī’’tiādinā catūsu iriyāpathesu ekekamūlakā satthuvasena cattāro, nimmitavasena cattāroti sabbeva aṭṭha vāre vitthāretabbaṃ.

    มธุปายาสนฺติ มธุสิตฺตํ ปายาสํฯ อตฺตา มิโตฺต มชฺฌโตฺต เวรีติ จตูสุ สีมสเมฺภทวเสน จตุรงฺคสมนฺนาคตํ เมตฺตากมฺมฎฺฐานํฯ ‘‘จตุรงฺคสมนฺนาคต’’นฺติ อิทํ ปน ‘‘วีริยาธิฎฺฐาน’’นฺติ เอเตนาปิ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จา’’ติอาทิปาฬิ (ม. นิ. ๒.๑๘๔; สํ. นิ. ๒.๒๒; อ. นิ. ๒.๕; อ. นิ. ๘.๑๓; มหานิ. ๑๙๖) วเสน จตุรงฺคสมนฺนาคตตา เวทิตพฺพาฯ ‘‘กิจฺฉํ วตายํ โลโก อาปโนฺน’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๕๗; สํ. นิ. ๒.๔) ชรามรณมุเขน ปจฺจยากาเร ญาณํ โอตาเรตฺวาฯ อานาปานจตุตฺถชฺฌานนฺติ เอตฺถาปิ ‘‘สพฺพพุทฺธานํ อาจิณฺณ’’นฺติ ปทํ วิภตฺติวิปริณามํ กตฺวา โยเชตพฺพํฯ ตมฺปิ หิ สพฺพพุทฺธานํ อาจิณฺณเมวาติ วทนฺติฯ ฉตฺติํสโกฎิสตสหสฺสมุเขน มหาวชิรญาณคพฺภํ คณฺหาเปโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวาฯ ทฺวตฺติํสโทณคณฺหนปฺปมาณํ กุณฺฑํ โกลโมฺพฯ ทริภาโค กนฺทโรฯ จกฺกวาฬปาเทสุ มหาสมุโทฺท จกฺกวาฬมหาสมุโทฺทฯ

    Madhupāyāsanti madhusittaṃ pāyāsaṃ. Attā mitto majjhatto verīti catūsu sīmasambhedavasena caturaṅgasamannāgataṃ mettākammaṭṭhānaṃ. ‘‘Caturaṅgasamannāgata’’nti idaṃ pana ‘‘vīriyādhiṭṭhāna’’nti etenāpi yojetabbaṃ. Tattha ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru cā’’tiādipāḷi (ma. ni. 2.184; saṃ. ni. 2.22; a. ni. 2.5; a. ni. 8.13; mahāni. 196) vasena caturaṅgasamannāgatatā veditabbā. ‘‘Kicchaṃ vatāyaṃ loko āpanno’’tiādinā (dī. ni. 2.57; saṃ. ni. 2.4) jarāmaraṇamukhena paccayākāre ñāṇaṃ otāretvā. Ānāpānacatutthajjhānanti etthāpi ‘‘sabbabuddhānaṃ āciṇṇa’’nti padaṃ vibhattivipariṇāmaṃ katvā yojetabbaṃ. Tampi hi sabbabuddhānaṃ āciṇṇamevāti vadanti. Chattiṃsakoṭisatasahassamukhena mahāvajirañāṇagabbhaṃ gaṇhāpento vipassanaṃvaḍḍhetvā. Dvattiṃsadoṇagaṇhanappamāṇaṃ kuṇḍaṃ kolambo. Daribhāgo kandaro. Cakkavāḷapādesu mahāsamuddo cakkavāḷamahāsamuddo.

    ‘‘ทุเว ปุถุชฺชนา’’ติอาทิ ปุถุชฺชเน ลพฺภมานวิภาคทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ, น มูลปริยายวณฺณนาทีสุ วิย ปุถุชฺชนวิเสสนิทฺธารณตฺถํฯ สโพฺพปิ หิ ปุถุชฺชโน ภควโต อุปริ คุเณ วิภาเวตุํ น สโกฺกติ, ติฎฺฐตุ ปุถุชฺชโน, สาวกปเจฺจกพุทฺธานมฺปิ อวิสยา พุทฺธคุณาฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘โสตาปนฺนา’’ติอาทิ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๘)ฯ วาจุคฺคตกรณํ อุคฺคโหฯ อตฺถปริปุจฺฉนํ ปริปุจฺฉาฯ อฎฺฐกถาวเสน อตฺถสฺส สวนํ สวนํฯ พฺยญฺชนตฺถานํ สุนิเกฺขปสุทสฺสเนน ธมฺมสฺส ปริหรณํ ธารณํฯ เอวํ สุตธาตปริจิตานํ มนสานุเปกฺขนํ ปจฺจเวกฺขณํฯ พหูนํ นานปฺปการานํ กิเลสานํ สกฺกายทิฎฺฐิยา จ อวิหตตฺตา ตา ชเนนฺติ, ตาหิ วา ชนิตาติ ปุถุชฺชนาฯ อวิฆาตเมว วา ชน-สโทฺท วทติฯ ปุถุ สตฺถารานํ มุขุโลฺลกิกาติ เอตฺถ ปุถู ชนา สตฺถุปฎิญฺญา เอเตสนฺติ ปุถุชฺชนาติ วจนโตฺถฯ ปุถุ…เป.… อวุฎฺฐิตาติ เอตฺถ ชเนตพฺพา, ชายนฺติ วา เอตฺถาติ ชนา, คติโยฯ ปุถู ชนา เอเตสนฺติ ปุถุชฺชนาฯ อิโต ปเร ชายนฺติ เอเตหีติ ชนา, อภิสงฺขาราทโยฯ เต เอเตสํ ปุถู วิชฺชนฺตีติ ปุถุชฺชนาฯ อภิสงฺขรณาทิ อโตฺถ เอว วา ชน-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ กามราคภวราคทิฎฺฐิอวิชฺชา โอฆาฯ ราคคฺคิอาทโย สนฺตาปาฯ เตเยว, สเพฺพปิ วา กิเลสา ปริฬาหาฯ ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รตฺตาติ เอตฺถ ชายตีติ ชโน, ราโค เคโธติ เอวํ อาทิโกฯ ปุถุ ชโน เอเตสนฺติ ปุถุชฺชนา, ปุถูสุ วา ชนา ชาตา รตฺตาติ เอวํ ราคาทิอโตฺถ เอว วา ชน-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ ปลิพุทฺธาติ สมฺพุทฺธา, อุปทฺทุตา วาฯ ‘‘ปุถูนํ คณนปถมตีตาน’’นฺติอาทินา ปุถู ชนา ปุถุชฺชนาติ ทเสฺสติฯ

    ‘‘Duve puthujjanā’’tiādi puthujjane labbhamānavibhāgadassanatthaṃ vuttaṃ, na mūlapariyāyavaṇṇanādīsu viya puthujjanavisesaniddhāraṇatthaṃ. Sabbopi hi puthujjano bhagavato upari guṇe vibhāvetuṃ na sakkoti, tiṭṭhatu puthujjano, sāvakapaccekabuddhānampi avisayā buddhaguṇā. Tathā hi vakkhati ‘‘sotāpannā’’tiādi (dī. ni. aṭṭha. 1.8). Vācuggatakaraṇaṃ uggaho. Atthaparipucchanaṃ paripucchā. Aṭṭhakathāvasena atthassa savanaṃ savanaṃ. Byañjanatthānaṃ sunikkhepasudassanena dhammassa pariharaṇaṃ dhāraṇaṃ. Evaṃ sutadhātaparicitānaṃ manasānupekkhanaṃ paccavekkhaṇaṃ. Bahūnaṃ nānappakārānaṃ kilesānaṃ sakkāyadiṭṭhiyā ca avihatattā tā janenti, tāhi vā janitāti puthujjanā. Avighātameva vā jana-saddo vadati. Puthu satthārānaṃ mukhullokikāti ettha puthū janā satthupaṭiññā etesanti puthujjanāti vacanattho. Puthu…pe… avuṭṭhitāti ettha janetabbā, jāyanti vā etthāti janā, gatiyo. Puthū janā etesanti puthujjanā. Ito pare jāyanti etehīti janā, abhisaṅkhārādayo. Te etesaṃ puthū vijjantīti puthujjanā. Abhisaṅkharaṇādi attho eva vā jana-saddo daṭṭhabbo. Kāmarāgabhavarāgadiṭṭhiavijjā oghā. Rāgaggiādayo santāpā. Teyeva, sabbepi vā kilesā pariḷāhā. Puthu pañcasu kāmaguṇesu rattāti ettha jāyatīti jano, rāgo gedhoti evaṃ ādiko. Puthu jano etesanti puthujjanā, puthūsu vā janā jātā rattāti evaṃ rāgādiattho eva vā jana-saddo daṭṭhabbo. Palibuddhāti sambuddhā, upaddutā vā. ‘‘Puthūnaṃ gaṇanapathamatītāna’’ntiādinā puthū janā puthujjanāti dasseti.

    เยหิ คุณวิเสเสหิ นิมิตฺตภูเตหิ ภควติ ตถาคต-สโทฺท ปวโตฺต, ตํทสฺสนตฺถํ ‘‘อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโต’’ติอาทิมาหฯ คุณเนมิตฺตกาเนว หิ ภควโต สพฺพานิ นามานิฯ ยถาห –

    Yehi guṇavisesehi nimittabhūtehi bhagavati tathāgata-saddo pavatto, taṃdassanatthaṃ ‘‘aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgato’’tiādimāha. Guṇanemittakāneva hi bhagavato sabbāni nāmāni. Yathāha –

    ‘‘อสเงฺขฺยยฺยานิ นามานิ, สคุเณน มเหสิโน;

    ‘‘Asaṅkhyeyyāni nāmāni, saguṇena mahesino;

    คุเณน นามมุเทฺธยฺยํ, อปิ นามสหสฺสโต’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๓๑๓; อุทา. อฎฺฐ. ๕๓; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๑.๑.๗๖);

    Guṇena nāmamuddheyyaṃ, api nāmasahassato’’ti. (dha. sa. aṭṭha. 1313; udā. aṭṭha. 53; paṭi. ma. aṭṭha. 1.1.76);

    ตถา อาคโตติ เอตฺถ อาการนิยมนวเสน โอปมฺมสมฺปฎิปาทนโตฺถ ตถา-สโทฺทฯ สามญฺญโชตนาย วิเสสาวฎฺฐานโต ปฎิปทาคมนโตฺถ อาคต-สโทฺท, น ญาณคมนโตฺถ ‘‘ตถลกฺขณํ อาคโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๒; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔.๗๘; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๗๐; อุทา. อฎฺฐ. ๑๘; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๑.๑.๓๗; เถรคา. อฎฺฐ. ๑.๓; อิติวุ. อฎฺฐ. ๓๘; มหานิ. อฎฺฐ. ๑๔) วิย, นาปิ กายคมนาทิอโตฺถ ‘‘อาคโต โข มหาสมโณ, มาคธานํ คิริพฺพช’’นฺติอาทีสุ (มหาว. ๖๒) วิยฯ ตตฺถ ยทาการนิยมนวเสน โอปมฺมสมฺปฎิปาทนโตฺถ ตถา-สโทฺท, ตํ กรุณาปธานตฺตา มหากรุณามุเขน ปุริมพุทฺธานํ อาคมนปฎิปทํ อุทาหรณวเสน สามญฺญโต ทเสฺสโนฺต ยํตํสทฺทานํ เอกนฺตสมฺพนฺธภาวโต ‘‘ยถา สพฺพโลก…เป.… อาคตา’’ติ อาหฯ ตํ ปน ปฎิปทํ มหาปทานสุตฺตาทีสุ (ที. นิ. ๒.๔) สมฺพหุลนิเทฺทเสน สุปากฎานํ อาสนฺนานญฺจ วิปสฺสีอาทีนํ ฉนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ วเสน นิทเสฺสโนฺต ‘‘ยถา วิปสฺสี ภควา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เยน อภินีหาเรนาติ มนุสฺสตฺตลิงฺคสมฺปตฺติเหตุสตฺถารทสฺสนปพฺพชฺชาอภิญฺญาทิคุณสมฺปตฺติอธิการฉนฺทานํ วเสน อฎฺฐงฺคสมนฺนาคเตน กายปฺปณิธานมหาปณิธาเนน ฯ สเพฺพสญฺหิ พุทฺธานํ กายปฺปณิธานํ อิมินาว อภินีหาเรน สมิชฺฌตีติฯ เอวํ มหาภินีหารวเสน ‘‘ตถาคโต’’ติ ปทสฺส อตฺถํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปารมีปูรณวเสน ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… กสฺสโป ภควา ทานปารมิํ ปูเรตฺวา’’ติอาทิมาหฯ

    Tathā āgatoti ettha ākāraniyamanavasena opammasampaṭipādanattho tathā-saddo. Sāmaññajotanāya visesāvaṭṭhānato paṭipadāgamanattho āgata-saddo, na ñāṇagamanattho ‘‘tathalakkhaṇaṃ āgato’’tiādīsu (dī. ni. aṭṭha. 1.7; ma. ni. aṭṭha. 1.12; saṃ. ni. aṭṭha. 2.4.78; a. ni. aṭṭha. 1.1.170; udā. aṭṭha. 18; paṭi. ma. aṭṭha. 1.1.37; theragā. aṭṭha. 1.3; itivu. aṭṭha. 38; mahāni. aṭṭha. 14) viya, nāpi kāyagamanādiattho ‘‘āgato kho mahāsamaṇo, māgadhānaṃ giribbaja’’ntiādīsu (mahāva. 62) viya. Tattha yadākāraniyamanavasena opammasampaṭipādanattho tathā-saddo, taṃ karuṇāpadhānattā mahākaruṇāmukhena purimabuddhānaṃ āgamanapaṭipadaṃ udāharaṇavasena sāmaññato dassento yaṃtaṃsaddānaṃ ekantasambandhabhāvato ‘‘yathā sabbaloka…pe… āgatā’’ti āha. Taṃ pana paṭipadaṃ mahāpadānasuttādīsu (dī. ni. 2.4) sambahulaniddesena supākaṭānaṃ āsannānañca vipassīādīnaṃ channaṃ sammāsambuddhānaṃ vasena nidassento ‘‘yathā vipassī bhagavā’’tiādimāha. Tattha yenaabhinīhārenāti manussattaliṅgasampattihetusatthāradassanapabbajjāabhiññādiguṇasampattiadhikārachandānaṃ vasena aṭṭhaṅgasamannāgatena kāyappaṇidhānamahāpaṇidhānena . Sabbesañhi buddhānaṃ kāyappaṇidhānaṃ imināva abhinīhārena samijjhatīti. Evaṃ mahābhinīhāravasena ‘‘tathāgato’’ti padassa atthaṃ dassetvā idāni pāramīpūraṇavasena dassetuṃ ‘‘yathā vipassī bhagavā…pe… kassapo bhagavā dānapāramiṃ pūretvā’’tiādimāha.

    เอตฺถ จ สุตฺตนฺติกานํ มหาโพธิยานปฎิปทาย โกสลฺลชนนตฺถํ ปารมีสุ อยํ วิตฺถารกถา – กา ปเนตา ปารมิโย? เกนเฎฺฐน ปารมิโย? กติวิธา เจตา? โก ตาสํ กโม? กานิ ลกฺขณรสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานานิ? โก ปจฺจโย? โก สํกิเลโส? กิํ โวทานํ? โก ปฎิปโกฺข? กา ปฎิปตฺติ? โก วิภาโค? โก สงฺคโห? โก สมฺปาทนูปาโย? กิตฺตเกน กาเลน สมฺปาทนํ? โก อานิสํโส? กิํ เจตาสํ ผลนฺติ?

    Ettha ca suttantikānaṃ mahābodhiyānapaṭipadāya kosallajananatthaṃ pāramīsu ayaṃ vitthārakathā – kā panetā pāramiyo? Kenaṭṭhena pāramiyo? Katividhā cetā? Ko tāsaṃ kamo? Kāni lakkhaṇarasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānāni? Ko paccayo? Ko saṃkileso? Kiṃ vodānaṃ? Ko paṭipakkho? Kā paṭipatti? Ko vibhāgo? Ko saṅgaho? Ko sampādanūpāyo? Kittakena kālena sampādanaṃ? Ko ānisaṃso? Kiṃ cetāsaṃ phalanti?

    ตตฺริทํ วิสฺสชฺชนํ – กา ปเนตา ปารมิโยติฯ ตณฺหามานาทีหิ อนุปหตา กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตา ทานาทโย คุณา ปารมิโยฯ

    Tatridaṃ vissajjanaṃ – kā panetā pāramiyoti. Taṇhāmānādīhi anupahatā karuṇūpāyakosallapariggahitā dānādayo guṇā pāramiyo.

    เกนเฎฺฐน ปารมิโยติ ทานสีลาทิคุณวิเสสโยเคน สตฺตุตฺตมตาย ปรมา มหาสตฺตา โพธิสตฺตา, เตสํ ภาโว, กมฺมํ วา ปารมี, ทานาทิกิริยาฯ อถ วา ปรตีติ ปรโม, ทานาทิคุณานํ ปูรโก ปาลโก จ โพธิสโตฺตฯ ปรมสฺส อยํ, ปรมสฺส วา ภาโว, กมฺมํ วา ปารมี, ทานาทิกิริยาวฯ อถ วา ปรํ สตฺตํ อตฺตนิ มวติ พนฺธติ คุณวิเสสโยเคน, ปรํ วา อธิกตรํ มชฺชติ สุชฺฌติ สํกิเลสมลโต, ปรํ วา เสฎฺฐํ นิพฺพานํ วิเสเสน มยติ คจฺฉติ, ปรํ วา โลกํ ปมาณภูเตน ญาณวิเสเสน อิธโลกํ วิย มุนาติ ปริจฺฉินฺทติ, ปรํ วา อติวิย สีลาทิคุณคณํ อตฺตโน สนฺตาเน มิโนติ ปกฺขิปติ, ปรํ วา อตฺตภูตโต ธมฺมกายโต อญฺญํ, ปฎิปกฺขํ วา ตทนตฺถกรํ กิเลสโจรคณํ มินาติ หิํสตีติ ปรโม, มหาสโตฺตฯ ‘‘ปรมสฺส อย’’นฺติอาทิ วุตฺตนเยเนว โยเชตพฺพํฯ ปาเร วา นิพฺพาเน มชฺชติ สุชฺฌติ สเตฺต จ โสเธติ, ตตฺถ วา สเตฺต มวติ พนฺธติ โยเชติ, ตํ วา มยติ คจฺฉติ คเมติ จ, มุนาติ วา ตํ ยาถาวโต, ตตฺถ วา สเตฺต มิโนติ ปกฺขิปติ, กิเลสาริํ วา สตฺตานํ ตตฺถ มินาติ หิํสตีติ ปารมี, มหาปุริโสฯ ตสฺส ภาโว, กมฺมํ วา ปารมิตา, ทานาทิกิริยาวฯ อิมินา นเยน ปารมีนํ สทฺทโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Kenaṭṭhena pāramiyoti dānasīlādiguṇavisesayogena sattuttamatāya paramā mahāsattā bodhisattā, tesaṃ bhāvo, kammaṃ vā pāramī, dānādikiriyā. Atha vā paratīti paramo, dānādiguṇānaṃ pūrako pālako ca bodhisatto. Paramassa ayaṃ, paramassa vā bhāvo, kammaṃ vā pāramī, dānādikiriyāva. Atha vā paraṃ sattaṃ attani mavati bandhati guṇavisesayogena, paraṃ vā adhikataraṃ majjati sujjhati saṃkilesamalato, paraṃ vā seṭṭhaṃ nibbānaṃ visesena mayati gacchati, paraṃ vā lokaṃ pamāṇabhūtena ñāṇavisesena idhalokaṃ viya munāti paricchindati, paraṃ vā ativiya sīlādiguṇagaṇaṃ attano santāne minoti pakkhipati, paraṃ vā attabhūtato dhammakāyato aññaṃ, paṭipakkhaṃ vā tadanatthakaraṃ kilesacoragaṇaṃ mināti hiṃsatīti paramo, mahāsatto. ‘‘Paramassa aya’’ntiādi vuttanayeneva yojetabbaṃ. Pāre vā nibbāne majjati sujjhati satte ca sodheti, tattha vā satte mavati bandhati yojeti, taṃ vā mayati gacchati gameti ca, munāti vā taṃ yāthāvato, tattha vā satte minoti pakkhipati, kilesāriṃ vā sattānaṃ tattha mināti hiṃsatīti pāramī, mahāpuriso. Tassa bhāvo, kammaṃ vā pāramitā, dānādikiriyāva. Iminā nayena pāramīnaṃ saddattho veditabbo.

    กติวิธาติ สเงฺขปโต ทสวิธา, ตา ปน ปาฬิยํ สรูปโต อาคตาเยวฯ ยถาห –

    Katividhāti saṅkhepato dasavidhā, tā pana pāḷiyaṃ sarūpato āgatāyeva. Yathāha –

    ‘‘วิจินโนฺต ตทา ทกฺขิํ, ปฐมํ ทานปารมิ’’นฺติอาทิ (พุ. วํ. ๑๑๖)ฯ

    ‘‘Vicinanto tadā dakkhiṃ, paṭhamaṃ dānapārami’’ntiādi (bu. vaṃ. 116).

    ยถา จาห –

    Yathā cāha –

    ‘‘กติ นุ โข ภเนฺต พุทฺธการกา ธมฺมา? ทส โข สาริปุตฺต พุทฺธการกา ธมฺมาฯ กตเม ทส? ทานํ โข สาริปุตฺต พุทฺธการโก ธโมฺม, สีลํ เนกฺขมฺมํ ปญฺญา วีริยํ ขนฺติ สจฺจมธิฎฺฐานํ เมตฺตา อุเปกฺขา พุทฺธการโก ธโมฺม, อิเม โข สาริปุตฺต ทส พุทฺธการกา ธมฺมาติฯ อิทมโวจ ภควา, อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา –

    ‘‘Kati nu kho bhante buddhakārakā dhammā? Dasa kho sāriputta buddhakārakā dhammā. Katame dasa? Dānaṃ kho sāriputta buddhakārako dhammo, sīlaṃ nekkhammaṃ paññā vīriyaṃ khanti saccamadhiṭṭhānaṃ mettā upekkhā buddhakārako dhammo, ime kho sāriputta dasa buddhakārakā dhammāti. Idamavoca bhagavā, idaṃ vatvāna sugato athāparaṃ etadavoca satthā –

    ‘ทานํ สีลญฺจ เนกฺขมฺมํ, ปญฺญา วีริเยน ปญฺจมํ;

    ‘Dānaṃ sīlañca nekkhammaṃ, paññā vīriyena pañcamaṃ;

    ขนฺติ สจฺจํ อธิฎฺฐานํ, เมตฺตุเปกฺขาติ เต ทสา’ติ’’ฯ

    Khanti saccaṃ adhiṭṭhānaṃ, mettupekkhāti te dasā’ti’’.

    เกจิ ปน ‘‘ฉพฺพิธา’’ติ วทนฺติ, ตํ เอตาสํ สงฺคหวเสน วุตฺตํฯ โส ปน สงฺคโห ปรโต อาวิภวิสฺสติฯ

    Keci pana ‘‘chabbidhā’’ti vadanti, taṃ etāsaṃ saṅgahavasena vuttaṃ. So pana saṅgaho parato āvibhavissati.

    โก ตาสํ กโมติ เอตฺถ กโม นาม เทสนากฺกโม, โส จ ปฐมสมาทานเหตุโก, สมาทานํ ปวิจยเหตุกํ, อิติ ยถา อาทิมฺหิ ปวิจิตา สมาทินฺนา จ, ตถา เทสิตาฯ ตตฺถ จ ทานํ สีลสฺส พหูปการํ สุกรญฺจาติ ตํ อาทิมฺหิ วุตฺตํฯ ทานํ สีลปริคฺคหิตํ มหปฺผลํ โหติ มหานิสํสนฺติ ทานานนฺตรํ สีลํ วุตฺตํฯ สีลํ เนกฺขมฺมปริคฺคหิตํ, เนกฺขมฺมํ ปญฺญาปริคฺคหิตํ, ปญฺญา วีริยปริคฺคหิตา, วีริยํ ขนฺติปริคฺคหิตํ, ขนฺติ สจฺจปริคฺคหิตา, สจฺจํ อธิฎฺฐานปริคฺคหิตํ, อธิฎฺฐานํ เมตฺตาปริคฺคหิตํ, เมตฺตา อุเปกฺขาปริคฺคหิตา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาติ เมตฺตานนฺตรํ อุเปกฺขา วุตฺตาฯ อุเปกฺขา ปน กรุณาปริคฺคหิตา, กรุณา จ อุเปกฺขาปริคฺคหิตาติ เวทิตพฺพาฯ กถํ ปน มหาการุณิกา โพธิสตฺตา สเตฺตสุ อุเปกฺขกา โหนฺตีติ? อุเปกฺขิตพฺพยุเตฺตสุ กญฺจิ กาลํ อุเปกฺขกา โหนฺติ, น ปน สพฺพตฺถ, สพฺพทา จาติ เกจิฯ อปเร ปน น สเตฺตสุ อุเปกฺขกา, สตฺตกเตสุ ปน วิปฺปกาเรสุ อุเปกฺขกา โหนฺตีติฯ

    Ko tāsaṃ kamoti ettha kamo nāma desanākkamo, so ca paṭhamasamādānahetuko, samādānaṃ pavicayahetukaṃ, iti yathā ādimhi pavicitā samādinnā ca, tathā desitā. Tattha ca dānaṃ sīlassa bahūpakāraṃ sukarañcāti taṃ ādimhi vuttaṃ. Dānaṃ sīlapariggahitaṃ mahapphalaṃ hoti mahānisaṃsanti dānānantaraṃ sīlaṃ vuttaṃ. Sīlaṃ nekkhammapariggahitaṃ, nekkhammaṃ paññāpariggahitaṃ, paññā vīriyapariggahitā, vīriyaṃ khantipariggahitaṃ, khanti saccapariggahitā, saccaṃ adhiṭṭhānapariggahitaṃ, adhiṭṭhānaṃ mettāpariggahitaṃ, mettā upekkhāpariggahitā mahapphalā hoti mahānisaṃsāti mettānantaraṃ upekkhā vuttā. Upekkhā pana karuṇāpariggahitā, karuṇā ca upekkhāpariggahitāti veditabbā. Kathaṃ pana mahākāruṇikā bodhisattā sattesu upekkhakā hontīti? Upekkhitabbayuttesu kañci kālaṃ upekkhakā honti, na pana sabbattha, sabbadā cāti keci. Apare pana na sattesu upekkhakā, sattakatesu pana vippakāresu upekkhakā hontīti.

    อปโร นโย – ปจุรชเนสุปิ ปวตฺติยา สพฺพสตฺตสาธารณตฺตา, อปฺปผลตฺตา, สุกรตฺตา จ อาทิมฺหิ ทานํ วุตฺตํฯ สีเลนทายกปฎิคฺคาหกสุทฺธิโต, ปรานุคฺคหํ วตฺวา ปรปีฬานิวตฺติวจนโต, กิริยธมฺมํ วตฺวา อกิริยธมฺมวจนโต, โภคสมฺปตฺติเหตุํ วตฺวา ภวสมฺปตฺติเหตุวจนโต จ ทานสฺส อนนฺตรํ สีลํ วุตฺตํฯ เนกฺขเมฺมน สีลสมฺปตฺติสิทฺธิโต, กายวจีสุจริตํ วตฺวา มโนสุจริตวจนโต, วิสุทฺธสีลสฺส สุเขเนว ฌานสมิชฺฌนโต, กมฺมาปราธปฺปหาเนน ปโยคสุทฺธิํ วตฺวา กิเลสาปราธปฺปหาเนน อาสยสุทฺธิวจนโต, วีติกฺกมปฺปหาเนน จิตฺตสฺส ปริยุฎฺฐานปฺปหานวจนโต จ สีลสฺส อนนฺตรํ เนกฺขมฺมํ วุตฺตํฯ ปญฺญาย เนกฺขมฺมสฺส สิทฺธิปริสุทฺธิโต, ฌานาภาเว ปญฺญาภาววจนโตฯ สมาธิปทฎฺฐานา หิ ปญฺญา, ปญฺญาปจฺจุปฎฺฐาโน จ สมาธิฯ สมถนิมิตฺตํ วตฺวา อุเปกฺขานิมิตฺตวจนโต, ปรหิตชฺฌาเนน ปรหิตกรณูปายโกสลฺลวจนโต จ เนกฺขมฺมสฺส อนนฺตรํ ปญฺญา วุตฺตาฯ วีริยารเมฺภน ปญฺญากิจฺจสิทฺธิโต, สตฺตสุญฺญตาธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติํ วตฺวา สตฺตหิตาย อารมฺภสฺส อจฺฉริยตาวจนโต, อุเปกฺขานิมิตฺตํ วตฺวา ปคฺคหนิมิตฺตวจนโต, นิสมฺมการิตํ วตฺวา อุฎฺฐานวจนโต จฯ นิสมฺมการิโน หิ อุฎฺฐานํ ผลวิเสสมาวหตีติ ปญฺญาย อนนฺตรํ วีริยํ วุตฺตํฯ

    Aparo nayo – pacurajanesupi pavattiyā sabbasattasādhāraṇattā, appaphalattā, sukarattā ca ādimhi dānaṃ vuttaṃ. Sīlenadāyakapaṭiggāhakasuddhito, parānuggahaṃ vatvā parapīḷānivattivacanato, kiriyadhammaṃ vatvā akiriyadhammavacanato, bhogasampattihetuṃ vatvā bhavasampattihetuvacanato ca dānassa anantaraṃ sīlaṃ vuttaṃ. Nekkhammena sīlasampattisiddhito, kāyavacīsucaritaṃ vatvā manosucaritavacanato, visuddhasīlassa sukheneva jhānasamijjhanato, kammāparādhappahānena payogasuddhiṃ vatvā kilesāparādhappahānena āsayasuddhivacanato, vītikkamappahānena cittassa pariyuṭṭhānappahānavacanato ca sīlassa anantaraṃ nekkhammaṃ vuttaṃ. Paññāya nekkhammassa siddhiparisuddhito, jhānābhāve paññābhāvavacanato. Samādhipadaṭṭhānā hi paññā, paññāpaccupaṭṭhāno ca samādhi. Samathanimittaṃ vatvā upekkhānimittavacanato, parahitajjhānena parahitakaraṇūpāyakosallavacanato ca nekkhammassa anantaraṃ paññā vuttā. Vīriyārambhena paññākiccasiddhito, sattasuññatādhammanijjhānakkhantiṃ vatvā sattahitāya ārambhassa acchariyatāvacanato, upekkhānimittaṃ vatvā paggahanimittavacanato, nisammakāritaṃ vatvā uṭṭhānavacanato ca. Nisammakārino hi uṭṭhānaṃ phalavisesamāvahatīti paññāya anantaraṃ vīriyaṃ vuttaṃ.

    วีริเยน ติติกฺขาสิทฺธิโตฯ วีริยวา หิ อารทฺธวีริยตฺตา สตฺตสงฺขาเรหิ อุปนีตํ ทุกฺขํ อภิภุยฺย วิหรติ วีริยสฺส ติติกฺขาลงฺการภาวโตฯ วีริยวโต หิ ติติกฺขา โสภติฯ ปคฺคหนิมิตฺตํ วตฺวา สมถนิมิตฺตวจนโต, อจฺจารเมฺภน อุทฺธจฺจโทสปฺปหานวจนโตฯ ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติยา หิ อุทฺธจฺจโทโส ปหียติฯ วีริยวโต สาตจฺจกรณวจนโตฯ ขนฺติพหุโล หิ อนุทฺธโต สาตจฺจการี โหติฯ อปฺปมาทวโต ปรหิตกิริยารเมฺภ ปจฺจุปการตณฺหาภาววจนโตฯ ยาถาวโต ธมฺมนิชฺฌาเน หิ สติ ตณฺหา น โหติฯ ปรหิตารเมฺภ ปรเมปิ ปรกตทุกฺขสหนภาววจนโต จ วีริยสฺส อนนฺตรํ ขนฺติ วุตฺตา ฯ สเจฺจน ขนฺติยา จิราธิฎฺฐานโต, อปการิโน อปการขนฺติํ วตฺวา ตทุปการกรเณ อวิสํวาทวจนโต, ขนฺติยา อปวาทวาจาวิกมฺปเนน ภูตวาทิตาย อวิชหนวจนโต, สตฺตสุญฺญตาธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติํ วตฺวา ตทุปพฺรูหิตญาณสจฺจวจนโต จ ขนฺติยา อนนฺตรํ สจฺจํ วุตฺตํฯ อธิฎฺฐาเนน สจฺจสิทฺธิโตฯ อจลาธิฎฺฐานสฺส หิ วิรติ สิชฺฌติฯ อวิสํวาทิตํ วตฺวา ตตฺถ อจลภาววจนโตฯ สจฺจสโนฺธ หิ ทานาทีสุ ปฎิญฺญานุรูปํ นิจฺจโลว ปวตฺตติฯ ญาณสจฺจํ วตฺวา สมฺภาเรสุ ปวตฺตินิฎฺฐาปนวจนโตฯ ยถาภูตญาณวา หิ โพธิสมฺภาเรสุ อธิติฎฺฐติ, เต จ นิฎฺฐาเปติ ปฎิปเกฺขหิ อกมฺปิยภาวโตติ สจฺจสฺส อนนฺตรํ อธิฎฺฐานํ วุตฺตํฯ เมตฺตาย ปรหิตกรณสมาทานาธิฎฺฐานสิทฺธิโต, อธิฎฺฐานํ วตฺวา หิตูปสํหารวจนโตฯ โพธิสมฺภาเร หิ อธิติฎฺฐมาโน เมตฺตาวิหารี โหติฯ อจลาธิฎฺฐานสฺส สมาทานาวิโกปนโต, สมาทานสมฺภวโต จ อธิฎฺฐานสฺส อนนฺตรํ เมตฺตา วุตฺตาฯ อุเปกฺขาย เมตฺตาวิสุทฺธิโต, สเตฺตสุ หิตูปสํหารํ วตฺวา ตทปราเธสุ อุทาสีนตาวจนโต, เมตฺตาภาวนํ วตฺวา ตนฺนิสฺสนฺทภาวนาวจนโต, ‘‘หิตกามสเตฺตปิ อุเปกฺขโก’’ติ อจฺฉริยคุณภาววจนโต จ เมตฺตาย อนนฺตรํ อุเปกฺขา วุตฺตาติ เอวเมตาสํ กโม เวทิตโพฺพฯ

    Vīriyena titikkhāsiddhito. Vīriyavā hi āraddhavīriyattā sattasaṅkhārehi upanītaṃ dukkhaṃ abhibhuyya viharati vīriyassa titikkhālaṅkārabhāvato. Vīriyavato hi titikkhā sobhati. Paggahanimittaṃ vatvā samathanimittavacanato, accārambhena uddhaccadosappahānavacanato. Dhammanijjhānakkhantiyā hi uddhaccadoso pahīyati. Vīriyavato sātaccakaraṇavacanato. Khantibahulo hi anuddhato sātaccakārī hoti. Appamādavato parahitakiriyārambhe paccupakārataṇhābhāvavacanato. Yāthāvato dhammanijjhāne hi sati taṇhā na hoti. Parahitārambhe paramepi parakatadukkhasahanabhāvavacanato ca vīriyassa anantaraṃ khanti vuttā . Saccena khantiyā cirādhiṭṭhānato, apakārino apakārakhantiṃ vatvā tadupakārakaraṇe avisaṃvādavacanato, khantiyā apavādavācāvikampanena bhūtavāditāya avijahanavacanato, sattasuññatādhammanijjhānakkhantiṃ vatvā tadupabrūhitañāṇasaccavacanato ca khantiyā anantaraṃ saccaṃ vuttaṃ. Adhiṭṭhānena saccasiddhito. Acalādhiṭṭhānassa hi virati sijjhati. Avisaṃvāditaṃ vatvā tattha acalabhāvavacanato. Saccasandho hi dānādīsu paṭiññānurūpaṃ niccalova pavattati. Ñāṇasaccaṃ vatvā sambhāresu pavattiniṭṭhāpanavacanato. Yathābhūtañāṇavā hi bodhisambhāresu adhitiṭṭhati, te ca niṭṭhāpeti paṭipakkhehi akampiyabhāvatoti saccassa anantaraṃ adhiṭṭhānaṃ vuttaṃ. Mettāya parahitakaraṇasamādānādhiṭṭhānasiddhito, adhiṭṭhānaṃ vatvā hitūpasaṃhāravacanato. Bodhisambhāre hi adhitiṭṭhamāno mettāvihārī hoti. Acalādhiṭṭhānassa samādānāvikopanato, samādānasambhavato ca adhiṭṭhānassa anantaraṃ mettā vuttā. Upekkhāya mettāvisuddhito, sattesu hitūpasaṃhāraṃ vatvā tadaparādhesu udāsīnatāvacanato, mettābhāvanaṃ vatvā tannissandabhāvanāvacanato, ‘‘hitakāmasattepi upekkhako’’ti acchariyaguṇabhāvavacanato ca mettāya anantaraṃ upekkhā vuttāti evametāsaṃ kamo veditabbo.

    กานิ ลกฺขณรสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานานีติ? เอตฺถ อวิเสเสน ตาว สพฺพาปิ ปารมิโย ปรานุคฺคหลกฺขณา, ปเรสํ อุปการกรณรสา, อวิกมฺปนรสา วา, หิเตสิตาปจฺจุปฎฺฐานา, พุทฺธตฺตปจฺจุปฎฺฐานา วา, มหากรุณาปทฎฺฐานา, กรุณูปายโกสลฺลปทฎฺฐานา วาฯ

    Kāni lakkhaṇarasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānānīti? Ettha avisesena tāva sabbāpi pāramiyo parānuggahalakkhaṇā, paresaṃ upakārakaraṇarasā, avikampanarasā vā, hitesitāpaccupaṭṭhānā, buddhattapaccupaṭṭhānā vā, mahākaruṇāpadaṭṭhānā, karuṇūpāyakosallapadaṭṭhānā vā.

    วิเสเสน ปน ยสฺมา กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตา อตฺตุปกรณปริจฺจาคเจตนา ทานปารมิตาฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตํ กายวจีสุจริตํ อตฺถโต อกตฺตพฺพวิรติ, กตฺตพฺพกรณเจตนาทโย จ สีลปารมิตาฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิโต อาทีนวทสฺสนปุพฺพงฺคโม กามภเวหิ นิกฺขมนจิตฺตุปฺปาโท เนกฺขมฺมปารมิตาฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิโต ธมฺมานํ สามญฺญวิเสสลกฺขณาวโพโธ ปญฺญาปารมิตาฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิโต กายจิเตฺตหิ ปรหิตารโมฺภ วีริยปารมิตาฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตํ สตฺตสงฺขาราปราธสหนํ อโทสปฺปธาโน ตทาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท ขนฺติปารมิตา ฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตํ วิรติเจตนาทิเภทํ อวิสํวาทนํ สจฺจปารมิตาฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตํ อจลสมาทานาธิฎฺฐานํ ตทาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท อธิฎฺฐานปารมิตาฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิโต โลกสฺส หิตูปสํหาโร อตฺถโต อพฺยาปาโท เมตฺตาปารมิตาฯ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตา อนุนยปฎิฆวิทฺธํสินี อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ สตฺตสงฺขาเรสุ สมปฺปวตฺติ อุเปกฺขาปารมิตาฯ

    Visesena pana yasmā karuṇūpāyakosallapariggahitā attupakaraṇapariccāgacetanā dānapāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahitaṃ kāyavacīsucaritaṃ atthato akattabbavirati, kattabbakaraṇacetanādayo ca sīlapāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahito ādīnavadassanapubbaṅgamo kāmabhavehi nikkhamanacittuppādo nekkhammapāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahito dhammānaṃ sāmaññavisesalakkhaṇāvabodho paññāpāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahito kāyacittehi parahitārambho vīriyapāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahitaṃ sattasaṅkhārāparādhasahanaṃ adosappadhāno tadākārappavatto cittuppādo khantipāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahitaṃ viraticetanādibhedaṃ avisaṃvādanaṃ saccapāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahitaṃ acalasamādānādhiṭṭhānaṃ tadākārappavatto cittuppādo adhiṭṭhānapāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahito lokassa hitūpasaṃhāro atthato abyāpādo mettāpāramitā. Karuṇūpāyakosallapariggahitā anunayapaṭighaviddhaṃsinī iṭṭhāniṭṭhesu sattasaṅkhāresu samappavatti upekkhāpāramitā.

    ตสฺมา ปริจฺจาคลกฺขณํ ทานํ, เทยฺยธเมฺม โลภวิทฺธํสนรสํ, อนาสตฺติปจฺจุปฎฺฐานํ, ภววิภวสมฺปตฺติปจฺจุปฎฺฐานํ วา, ปริจฺจชิตพฺพวตฺถุปทฎฺฐานํฯ สีลนลกฺขณํ สีลํ, สมาธานลกฺขณํ, ปติฎฺฐานลกฺขณญฺจาติ วุตฺตํ โหติฯ ทุสฺสีลฺยวิทฺธํสนรสํ, อนวชฺชรสํ วา, โสเจยฺยปจฺจุปฎฺฐานํ, หิโรตฺตปฺปปทฎฺฐานํฯ กามโต ภวโต จ นิกฺขมนลกฺขณํ เนกฺขมฺมํ, ตทาทีนววิภาวนรสํ , ตโต เอว วิมุขภาวปจฺจุปฎฺฐานํ, สํเวคปทฎฺฐานํ ฯ ยถาสภาวปฎิเวธลกฺขณา ปญฺญา, อกฺขลิตปฎิเวธลกฺขณา วา กุสลิสฺสาสขิตฺตอุสุปฎิเวโธ วิย, วิสโยภาสนรสา ปทีโป วิย, อสโมฺมหปจฺจุปฎฺฐานา อรญฺญคตสุเทสโก วิย, สมาธิปทฎฺฐานา, จตุสจฺจปทฎฺฐานา วาฯ อุสฺสาหลกฺขณํ วีริยํ, อุปตฺถมฺภนรสํ, อสํสีทนปจฺจุปฎฺฐานํ, วีริยารมฺภวตฺถุ (อ. นิ. ๘.๘๐) ปทฎฺฐานํ, สํเวคปทฎฺฐานํ วาฯ ขมนลกฺขณา ขนฺติ, อิฎฺฐานิฎฺฐสหนรสา, อธิวาสนปจฺจุปฎฺฐานา, อวิโรธปจฺจุปฎฺฐานา วา, ยถาภูตทสฺสนปทฎฺฐานาฯ อวิสํวาทนลกฺขณํ สจฺจํ, ยาถาววิภาวนรสํ [ยถาสภาววิภาวนรสํ (จริยา. อฎฺฐ. ปกิณฺณกกถาย)], สาธุตาปจฺจุปฎฺฐานํ, โสรจฺจปทฎฺฐานํฯ โพธิสมฺภาเรสุ อธิฎฺฐานลกฺขณํ อธิฎฺฐานํ, เตสํ ปฎิปกฺขาภิภวนรสํ, ตตฺถ อจลตาปจฺจุปฎฺฐานํ, โพธิสมฺภารปทฎฺฐานํฯ หิตาการปฺปวตฺติลกฺขณา เมตฺตา, หิตูปสํหารรสา, อาฆาตวินยนรสา วา, โสมฺมภาวปจฺจุปฎฺฐานา, สตฺตานํ มนาปภาวทสฺสนปทฎฺฐานาฯ มชฺฌตฺตาการปฺปวตฺติลกฺขณา อุเปกฺขา, สมภาวทสฺสนรสา, ปฎิฆานุนยวูปสมปจฺจุปฎฺฐานา, กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขณปทฎฺฐานาฯ เอตฺถ จ กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตตา ทานาทีนํ ปริจฺจาคาทิลกฺขณสฺส วิเสสนภาเวน วตฺตพฺพา, ยโต ตานิ ปารมีสงฺขฺยํ ลภนฺตีติฯ

    Tasmā pariccāgalakkhaṇaṃ dānaṃ, deyyadhamme lobhaviddhaṃsanarasaṃ, anāsattipaccupaṭṭhānaṃ, bhavavibhavasampattipaccupaṭṭhānaṃ vā, pariccajitabbavatthupadaṭṭhānaṃ. Sīlanalakkhaṇaṃ sīlaṃ, samādhānalakkhaṇaṃ, patiṭṭhānalakkhaṇañcāti vuttaṃ hoti. Dussīlyaviddhaṃsanarasaṃ, anavajjarasaṃ vā, soceyyapaccupaṭṭhānaṃ, hirottappapadaṭṭhānaṃ. Kāmato bhavato ca nikkhamanalakkhaṇaṃ nekkhammaṃ, tadādīnavavibhāvanarasaṃ , tato eva vimukhabhāvapaccupaṭṭhānaṃ, saṃvegapadaṭṭhānaṃ . Yathāsabhāvapaṭivedhalakkhaṇā paññā, akkhalitapaṭivedhalakkhaṇā vā kusalissāsakhittausupaṭivedho viya, visayobhāsanarasā padīpo viya, asammohapaccupaṭṭhānā araññagatasudesako viya, samādhipadaṭṭhānā, catusaccapadaṭṭhānā vā. Ussāhalakkhaṇaṃ vīriyaṃ, upatthambhanarasaṃ, asaṃsīdanapaccupaṭṭhānaṃ, vīriyārambhavatthu (a. ni. 8.80) padaṭṭhānaṃ, saṃvegapadaṭṭhānaṃ vā. Khamanalakkhaṇā khanti, iṭṭhāniṭṭhasahanarasā, adhivāsanapaccupaṭṭhānā, avirodhapaccupaṭṭhānā vā, yathābhūtadassanapadaṭṭhānā. Avisaṃvādanalakkhaṇaṃ saccaṃ, yāthāvavibhāvanarasaṃ [yathāsabhāvavibhāvanarasaṃ (cariyā. aṭṭha. pakiṇṇakakathāya)], sādhutāpaccupaṭṭhānaṃ, soraccapadaṭṭhānaṃ. Bodhisambhāresu adhiṭṭhānalakkhaṇaṃ adhiṭṭhānaṃ, tesaṃ paṭipakkhābhibhavanarasaṃ, tattha acalatāpaccupaṭṭhānaṃ, bodhisambhārapadaṭṭhānaṃ. Hitākārappavattilakkhaṇā mettā, hitūpasaṃhārarasā, āghātavinayanarasā vā, sommabhāvapaccupaṭṭhānā, sattānaṃ manāpabhāvadassanapadaṭṭhānā. Majjhattākārappavattilakkhaṇā upekkhā, samabhāvadassanarasā, paṭighānunayavūpasamapaccupaṭṭhānā, kammassakatāpaccavekkhaṇapadaṭṭhānā. Ettha ca karuṇūpāyakosallapariggahitatā dānādīnaṃ pariccāgādilakkhaṇassa visesanabhāvena vattabbā, yato tāni pāramīsaṅkhyaṃ labhantīti.

    โก ปจฺจโยติ อภินีหาโร ปจฺจโยฯ โย หิ อยํ ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺตี’’ติอาทิ (พุ. วํ. ๒.๕๙) อฎฺฐธมฺมสโมธานสมฺปาทิโต ‘‘ติโณฺณ ตาเรยฺยํ, มุโตฺต โมเจยฺยํ, พุโทฺธ โพเธยฺยํ, สุโทฺธ โสเธยฺยํ, ทโนฺต ทเมยฺยํ, สโนฺต สเมยฺยํ, อสฺสโตฺถ อสฺสาเสยฺยํ, ปรินิพฺพุโต ปรินิพฺพาเปยฺย’’นฺติอาทินา (จริยา. อฎฺฐ. ปกิณฺณกกถาย) ปวโตฺต อภินีหาโร, โส อวิเสเสน สพฺพปารมีนํ ปจฺจโยฯ ตปฺปวตฺติยา หิ อุทฺธํ ปารมีนํ ปวิจยุปฎฺฐานสมาทานาธิฎฺฐานนิปฺผตฺติโย มหาปุริสานํ สมฺภวนฺติฯ

    Kopaccayoti abhinīhāro paccayo. Yo hi ayaṃ ‘‘manussattaṃ liṅgasampattī’’tiādi (bu. vaṃ. 2.59) aṭṭhadhammasamodhānasampādito ‘‘tiṇṇo tāreyyaṃ, mutto moceyyaṃ, buddho bodheyyaṃ, suddho sodheyyaṃ, danto dameyyaṃ, santo sameyyaṃ, assattho assāseyyaṃ, parinibbuto parinibbāpeyya’’ntiādinā (cariyā. aṭṭha. pakiṇṇakakathāya) pavatto abhinīhāro, so avisesena sabbapāramīnaṃ paccayo. Tappavattiyā hi uddhaṃ pāramīnaṃ pavicayupaṭṭhānasamādānādhiṭṭhānanipphattiyo mahāpurisānaṃ sambhavanti.

    ยถา จ อภินีหาโร, เอวํ มหากรุณา, อุปายโกสลฺลญฺจฯ ตตฺถ อุปายโกสลฺลํ นาม ทานาทีนํ โพธิสมฺภารภาวสฺส นิมิตฺตภูตา ปญฺญา, ยาหิ กรุณูปายโกสลฺลตาหิ มหาปุริสานํ อตฺตสุขนิรเปกฺขตา, นิรนฺตรํ ปรหิตกรณปสุตตา, สุทุกฺกเรหิปิ มหาโพธิสตฺตจริเตหิ วิสาทาภาโว, ปสาทสมฺพุทฺธิทสฺสนสวนานุสฺสรณาวตฺถาสุปิ สตฺตานํ หิตสุขปฎิลาภเหตุภาโว จ สมฺปชฺชติฯ ตถา หิ ปญฺญาย พุทฺธภาวสิทฺธิ, กรุณาย พุทฺธกมฺมสิทฺธิฯ ปญฺญาย สยํ ตรติ, กรุณาย ปเร ตาเรติฯ ปญฺญาย ปรทุกฺขํ ปริชานาติ, กรุณาย ปรทุกฺขปฎิการํ อารภติฯ ปญฺญาย จ ทุเกฺข นิพฺพินฺทติ, กรุณาย ทุกฺขํ สมฺปฎิจฺฉติฯ ตถา ปญฺญาย ปรินิพฺพานาภิมุโข โหติ, กรุณาย ตํ น ปาปุณาติฯ ตถา กรุณาย สํสาราภิมุโข โหติ , ปญฺญาย ตตฺร นาภิรมติฯ ปญฺญาย จ สพฺพตฺถ วิรชฺชติ, กรุณานุคตตฺตา น จ น สเพฺพสํ อนุคฺคหาย ปวโตฺต, กรุณาย สเพฺพปิ อนุกมฺปติ, ปญฺญานุคตตฺตา น จ น สพฺพตฺถ วิรตฺตจิโตฺตฯ ปญฺญาย จ อหํการมมํการาภาโว, กรุณาย อาลสิยทีนตาภาโวฯ ตถา ปญฺญากรุณาหิ ยถากฺกมํ อตฺตปรนาถตา, ธีรวีรภาโว, อนตฺตนฺตปอปรนฺตปตา, อตฺตหิตปรหิตนิปฺผตฺติ, นิพฺภยาภิํสนกภาโว, ธมฺมาธิปติโลกาธิปติตา, กตญฺญุปุพฺพการิภาโว, โมหตณฺหาวิคโม, วิชฺชาจรณสิทฺธิ, พลเวสารชฺชนิปฺผตฺตีติ สพฺพสฺสาปิ ปารมิตาผลสฺส วิเสเสน อุปายภาวโต ปญฺญากรุณา ปารมีนํ ปจฺจโยฯ อิทญฺจ ทฺวยํ ปารมีนํ วิย ปณิธานสฺสาปิ ปจฺจโยฯ

    Yathā ca abhinīhāro, evaṃ mahākaruṇā, upāyakosallañca. Tattha upāyakosallaṃ nāma dānādīnaṃ bodhisambhārabhāvassa nimittabhūtā paññā, yāhi karuṇūpāyakosallatāhi mahāpurisānaṃ attasukhanirapekkhatā, nirantaraṃ parahitakaraṇapasutatā, sudukkarehipi mahābodhisattacaritehi visādābhāvo, pasādasambuddhidassanasavanānussaraṇāvatthāsupi sattānaṃ hitasukhapaṭilābhahetubhāvo ca sampajjati. Tathā hi paññāya buddhabhāvasiddhi, karuṇāya buddhakammasiddhi. Paññāya sayaṃ tarati, karuṇāya pare tāreti. Paññāya paradukkhaṃ parijānāti, karuṇāya paradukkhapaṭikāraṃ ārabhati. Paññāya ca dukkhe nibbindati, karuṇāya dukkhaṃ sampaṭicchati. Tathā paññāya parinibbānābhimukho hoti, karuṇāya taṃ na pāpuṇāti. Tathā karuṇāya saṃsārābhimukho hoti , paññāya tatra nābhiramati. Paññāya ca sabbattha virajjati, karuṇānugatattā na ca na sabbesaṃ anuggahāya pavatto, karuṇāya sabbepi anukampati, paññānugatattā na ca na sabbattha virattacitto. Paññāya ca ahaṃkāramamaṃkārābhāvo, karuṇāya ālasiyadīnatābhāvo. Tathā paññākaruṇāhi yathākkamaṃ attaparanāthatā, dhīravīrabhāvo, anattantapaaparantapatā, attahitaparahitanipphatti, nibbhayābhiṃsanakabhāvo, dhammādhipatilokādhipatitā, kataññupubbakāribhāvo, mohataṇhāvigamo, vijjācaraṇasiddhi, balavesārajjanipphattīti sabbassāpi pāramitāphalassa visesena upāyabhāvato paññākaruṇā pāramīnaṃ paccayo. Idañca dvayaṃ pāramīnaṃ viya paṇidhānassāpi paccayo.

    ตถา อุสฺสาหอุมฺมงฺคอวตฺถานหิตจริยา จ ปารมีนํ ปจฺจโยติ เวทิตพฺพา, ยา พุทฺธภาวสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานตาย ‘‘พุทฺธภูมิโย’’ติ ปวุจฺจนฺติฯ ยถาห –

    Tathā ussāhaummaṅgaavatthānahitacariyā ca pāramīnaṃ paccayoti veditabbā, yā buddhabhāvassa uppattiṭṭhānatāya ‘‘buddhabhūmiyo’’ti pavuccanti. Yathāha –

    ‘‘กติ ปน ภเนฺต พุทฺธภูมิโย? จตโสฺส โข สาริปุตฺต พุทฺธภูมิโยฯ กตมา จตโสฺส? อุสฺสาโห จ โหติ วีริยํ, อุมโงฺค จ โหติ ปญฺญาภาวนา, อวตฺถานญฺจ โหติ อธิฎฺฐานํ, เมตฺตาภาวนา จ โหติ หิตจริยาฯ อิมา โข สาริปุตฺต จตโสฺส พุทฺธภูมิโย’’ติ (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.ขคฺควิสาณสุตฺตวณฺณนายมฺปิ)ฯ

    ‘‘Kati pana bhante buddhabhūmiyo? Catasso kho sāriputta buddhabhūmiyo. Katamā catasso? Ussāho ca hoti vīriyaṃ, umaṅgo ca hoti paññābhāvanā, avatthānañca hoti adhiṭṭhānaṃ, mettābhāvanā ca hoti hitacariyā. Imā kho sāriputta catasso buddhabhūmiyo’’ti (su. ni. aṭṭha. 1.khaggavisāṇasuttavaṇṇanāyampi).

    ตถา เนกฺขมฺมปวิเวกอโลภาโทสาโมหนิสฺสรณปฺปเภทา ฉ อชฺฌาสยาฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tathā nekkhammapavivekaalobhādosāmohanissaraṇappabhedā cha ajjhāsayā. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เนกฺขมฺมชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา กาเม โทสทสฺสาวิโน, ปวิเวก…เป.… สงฺคณิกาย, อโลภ…เป.… โลเภ, อโทส…เป.… โทเส, อโมห…เป.… โมเห, นิสฺสรณชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา สพฺพภเวสุ โทสทสฺสาวิโน’’ติ (วิสุทฺธิ. อฎฺฐ. ๑.๔๙ วากฺยขเนฺธปิ)ฯ

    ‘‘Nekkhammajjhāsayā ca bodhisattā kāme dosadassāvino, paviveka…pe… saṅgaṇikāya, alobha…pe… lobhe, adosa…pe… dose, amoha…pe… mohe, nissaraṇajjhāsayā ca bodhisattā sabbabhavesu dosadassāvino’’ti (visuddhi. aṭṭha. 1.49 vākyakhandhepi).

    ตสฺมา เอเต โพธิสตฺตานํ ฉ อชฺฌาสยา ทานาทีนํ ปจฺจยาติ เวทิตพฺพาฯ น หิ โลภาทีสุ อาทีนวทสฺสเนน, อโลภาทิอธิกภาเวน จ วินา ทานาทิปารมิโย สมฺภวนฺติฯ อโลภาทีนญฺหิ อธิกภาเวน ปริจฺจาคาทินินฺนจิตฺตตา อโลภชฺฌาสยาทิตาติฯ ยถา เจเต, เอวํ ทานชฺฌาสยตาทโยปิฯ ยถาห –

    Tasmā ete bodhisattānaṃ cha ajjhāsayā dānādīnaṃ paccayāti veditabbā. Na hi lobhādīsu ādīnavadassanena, alobhādiadhikabhāvena ca vinā dānādipāramiyo sambhavanti. Alobhādīnañhi adhikabhāvena pariccāgādininnacittatā alobhajjhāsayāditāti. Yathā cete, evaṃ dānajjhāsayatādayopi. Yathāha –

    ‘‘กติ ปน ภเนฺต โพธาย จรนฺตานํ โพธิสตฺตานํ อชฺฌาสยา? ทส โข สาริปุตฺต โพธาย จรนฺตานํ โพธิสตฺตานํ อชฺฌาสยาฯ กตเม ทส? ทานชฺฌาสยา สาริปุตฺต โพธิสตฺตา มเจฺฉเร โทสทสฺสาวิโน, สีล…เป.… อุเปกฺขชฺฌาสยา สาริปุตฺต โพธิสตฺตา สุขทุเกฺขสุ โทสทสฺสาวิโน’’ติฯ

    ‘‘Kati pana bhante bodhāya carantānaṃ bodhisattānaṃ ajjhāsayā? Dasa kho sāriputta bodhāya carantānaṃ bodhisattānaṃ ajjhāsayā. Katame dasa? Dānajjhāsayā sāriputta bodhisattā macchere dosadassāvino, sīla…pe… upekkhajjhāsayā sāriputta bodhisattā sukhadukkhesu dosadassāvino’’ti.

    เอเตสุ หิ มเจฺฉรอสํวรกามวิจิกิจฺฉาโกสชฺชอกฺขนฺติวิสํวาทอนธิฎฺฐานพฺยาปาท- สุขทุกฺขสงฺขาเตสุ อาทีนวทสฺสนปุพฺพงฺคมา ทานาทินินฺนจิตฺตตาสงฺขาตา ทานชฺฌาสยตาทโย ทานาทิปารมีนํ นิพฺพตฺติยา การณนฺติ ฯ ตถา อปริจฺจาคปริจฺจาคาทีสุ ยถากฺกมํ อาทีนวานิสํสปจฺจเวกฺขณา ทานาทิปารมีนํ ปจฺจโยฯ

    Etesu hi maccheraasaṃvarakāmavicikicchākosajjaakkhantivisaṃvādaanadhiṭṭhānabyāpāda- sukhadukkhasaṅkhātesu ādīnavadassanapubbaṅgamā dānādininnacittatāsaṅkhātā dānajjhāsayatādayo dānādipāramīnaṃ nibbattiyā kāraṇanti . Tathā apariccāgapariccāgādīsu yathākkamaṃ ādīnavānisaṃsapaccavekkhaṇā dānādipāramīnaṃ paccayo.

    ตตฺถายํ ปจฺจเวกฺขณาวิธิ – เขตฺตวตฺถุหิรญฺญสุวณฺณโคมหิํสทาสิทาสปุตฺตทาราทิปริคฺคหพฺยาสตฺตจิตฺตานํ สตฺตานํ เขตฺตาทีนํ วตฺถุกามภาเวน พหุปตฺถนียภาวโต, ราชโจราทิสาธารณภาวโต, วิวาทาธิฎฺฐานโต, สปตฺตกรณโต, นิสฺสารโต, ปฎิลาภปริปาลเนสุ ปรวิเหฐนเหตุโต, วินาสนิมิตฺตญฺจ โสกาทิอเนกวิหิตพฺยสนาวหโต, ตทาสตฺตินิทานญฺจ มเจฺฉรมลปริยุฎฺฐิตจิตฺตานํ อปายูปปตฺติสมฺภวโตติ เอวํ วิวิธวิปุลานตฺถาวหา เอเต อตฺถา นาม, เตสํ ปริจฺจาโคเยเวโก โสตฺถิภาโวติ ปริจฺจาเค อปฺปมาโท กรณีโยฯ

    Tatthāyaṃ paccavekkhaṇāvidhi – khettavatthuhiraññasuvaṇṇagomahiṃsadāsidāsaputtadārādipariggahabyāsattacittānaṃ sattānaṃ khettādīnaṃ vatthukāmabhāvena bahupatthanīyabhāvato, rājacorādisādhāraṇabhāvato, vivādādhiṭṭhānato, sapattakaraṇato, nissārato, paṭilābhaparipālanesu paraviheṭhanahetuto, vināsanimittañca sokādianekavihitabyasanāvahato, tadāsattinidānañca maccheramalapariyuṭṭhitacittānaṃ apāyūpapattisambhavatoti evaṃ vividhavipulānatthāvahā ete atthā nāma, tesaṃ pariccāgoyeveko sotthibhāvoti pariccāge appamādo karaṇīyo.

    อปิจ ‘‘ยาจโก ยาจมาโน อตฺตโน คุยฺหสฺส อาจิกฺขนโต มยฺหํ วิสฺสาสิโก’’ติ จ ‘‘ปหาย คมนียํ อตฺตโน สนฺตกํ คเหตฺวา ปรโลกํ ยาหีติ มยฺหํ อุปเทสโก’’ติ จ ‘‘อาทิเตฺต วิย อคาเร มรณคฺคินา อาทิเตฺต โลเก ตโต มยฺหํ สนฺตกสฺส อปวาหกสหาโย’’ติ จ ‘‘อปวาหิตสฺส จสฺส นิชฺฌายนิเกฺขปฎฺฐานภูโต’’ติ จ ‘‘ทานสงฺขาเต กลฺยาณกมฺมสฺมิํ สหายภาวโต, สพฺพสมฺปตฺตีนํ อคฺคภูตาย ปรมทุลฺลภาย พุทฺธภูมิยา สมฺปตฺติเหตุภาวโต จ ปรโม กลฺยาณมิโตฺต’’ติ จ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ

    Apica ‘‘yācako yācamāno attano guyhassa ācikkhanato mayhaṃ vissāsiko’’ti ca ‘‘pahāya gamanīyaṃ attano santakaṃ gahetvā paralokaṃ yāhīti mayhaṃ upadesako’’ti ca ‘‘āditte viya agāre maraṇagginā āditte loke tato mayhaṃ santakassa apavāhakasahāyo’’ti ca ‘‘apavāhitassa cassa nijjhāyanikkhepaṭṭhānabhūto’’ti ca ‘‘dānasaṅkhāte kalyāṇakammasmiṃ sahāyabhāvato, sabbasampattīnaṃ aggabhūtāya paramadullabhāya buddhabhūmiyā sampattihetubhāvato ca paramo kalyāṇamitto’’ti ca paccavekkhitabbaṃ.

    ตถา ‘‘อุฬาเร กมฺมนิ อเนนาหํ สมฺภาวิโต, ตสฺมา สา สมฺภาวนา อวิตถา กาตพฺพา’’ติ จ ‘‘เอกนฺตเภทิตาย ชีวิตสฺส อยาจิเตนปิ มยา ทาตพฺพํ, ปเคว ยาจิเตนา’’ติ จ ‘‘อุฬารชฺฌาสเยหิ คเวสิตฺวาปิ ทาตโพฺพ, สยเมวาคโต มม ปุเญฺญนา’’ติ จ ‘‘ยาจกสฺส ทานาปเทเสน มยฺหเมวายมนุคฺคโห’’ติ จ ‘‘อหํ วิย อยํ สโพฺพปิ โลโก มยา อนุคฺคเหตโพฺพ’’ติ จ ‘‘อสติ ยาจเก กถํ มยฺหํ ทานปารมี ปูเรยฺยา’’ติ จ ‘‘ยาจกานเมวตฺถาย มยา สโพฺพ ปริคฺคเหตโพฺพ’’ติ จ ‘‘อยาจิตฺวา มม สนฺตกํ ยาจกา สยเมว กทา คเณฺหยฺยุ’’นฺติ จ ‘‘กถมหํ ยาจกานํ ปิโย จสฺสํ มนาโป’’ติ จ ‘‘กถํ วา เต มยฺหํ ปิยา จสฺสุ มนาปา’’ติ จ ‘‘กถํ วาหํ ททมาโน, ทตฺวาปิ จ อตฺตมโน อสฺสํ ปมุทิโต ปีติโสมนสฺสชาโต’’ติ จ ‘‘กถํ วา เม ยาจกา ภเวยฺยุํ, อุฬาโร จ ทานชฺฌาสโย’’ติ จ ‘‘กถํ วาหมยาจิโตเยว ยาจกานํ หทยมญฺญาย ทเทยฺย’’นฺติ จ ‘‘สติ ธเน ยาจเก จ อปริจฺจาโค มหตี มยฺหํ วญฺจนา’’ติ จ ‘‘กถํ วาหํ อตฺตโน องฺคานิ ชีวิตํ วาปิ ยาจกานํ ปริจฺจเชยฺย’’นฺติ จ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ

    Tathā ‘‘uḷāre kammani anenāhaṃ sambhāvito, tasmā sā sambhāvanā avitathā kātabbā’’ti ca ‘‘ekantabheditāya jīvitassa ayācitenapi mayā dātabbaṃ, pageva yācitenā’’ti ca ‘‘uḷārajjhāsayehi gavesitvāpi dātabbo, sayamevāgato mama puññenā’’ti ca ‘‘yācakassa dānāpadesena mayhamevāyamanuggaho’’ti ca ‘‘ahaṃ viya ayaṃ sabbopi loko mayā anuggahetabbo’’ti ca ‘‘asati yācake kathaṃ mayhaṃ dānapāramī pūreyyā’’ti ca ‘‘yācakānamevatthāya mayā sabbo pariggahetabbo’’ti ca ‘‘ayācitvā mama santakaṃ yācakā sayameva kadā gaṇheyyu’’nti ca ‘‘kathamahaṃ yācakānaṃ piyo cassaṃ manāpo’’ti ca ‘‘kathaṃ vā te mayhaṃ piyā cassu manāpā’’ti ca ‘‘kathaṃ vāhaṃ dadamāno, datvāpi ca attamano assaṃ pamudito pītisomanassajāto’’ti ca ‘‘kathaṃ vā me yācakā bhaveyyuṃ, uḷāro ca dānajjhāsayo’’ti ca ‘‘kathaṃ vāhamayācitoyeva yācakānaṃ hadayamaññāya dadeyya’’nti ca ‘‘sati dhane yācake ca apariccāgo mahatī mayhaṃ vañcanā’’ti ca ‘‘kathaṃ vāhaṃ attano aṅgāni jīvitaṃ vāpi yācakānaṃ pariccajeyya’’nti ca paccavekkhitabbaṃ.

    อปิจ ‘‘อโตฺถ นามายํ นิรเปกฺขํ ทายกํ อนุคจฺฉติ ยถา ตํ นิรเปกฺขํ เขปกํ กิฎโก’’ติ อเตฺถ นิรเปกฺขตาย จิตฺตํ อุปฺปาเทตพฺพํฯ ยาจมาโน ปน ยทิ ปิยปุคฺคโล โหติ, ‘‘ปิโย มํ ยาจตี’’ติ โสมนสฺสํ อุปฺปาเทตพฺพํฯ อถ อุทาสีนปุคฺคโล โหติ, ‘‘อยํ มํ ยาจมาโน อทฺธา อิมินา ปริจฺจาเคน มิโตฺต โหตี’’ติ โสมนสฺสํ อุปฺปาเทตพฺพํฯ ททโนฺตปิ หิ ยาจกานํ ปิโย โหตีติฯ อถ ปน เวรีปุคฺคโล ยาจติ, ‘‘ปจฺจตฺถิโก มํ ยาจติ, อยํ มํ ยาจมาโน อทฺธา อิมินา ปริจฺจาเคน เวรีปิ ปิโย มิโตฺต โหตี’’ติ วิเสสโต โสมนสฺสํ อุปฺปาเทตพฺพํฯ เอวํ ปิยปุคฺคเล วิย มชฺฌตฺตเวรีปุคฺคเลสุปิ เมตฺตาปุพฺพงฺคมํ กรุณํ อุปฎฺฐเปตฺวาว ทาตพฺพํฯ

    Apica ‘‘attho nāmāyaṃ nirapekkhaṃ dāyakaṃ anugacchati yathā taṃ nirapekkhaṃ khepakaṃ kiṭako’’ti atthe nirapekkhatāya cittaṃ uppādetabbaṃ. Yācamāno pana yadi piyapuggalo hoti, ‘‘piyo maṃ yācatī’’ti somanassaṃ uppādetabbaṃ. Atha udāsīnapuggalo hoti, ‘‘ayaṃ maṃ yācamāno addhā iminā pariccāgena mitto hotī’’ti somanassaṃ uppādetabbaṃ. Dadantopi hi yācakānaṃ piyo hotīti. Atha pana verīpuggalo yācati, ‘‘paccatthiko maṃ yācati, ayaṃ maṃ yācamāno addhā iminā pariccāgena verīpi piyo mitto hotī’’ti visesato somanassaṃ uppādetabbaṃ. Evaṃ piyapuggale viya majjhattaverīpuggalesupi mettāpubbaṅgamaṃ karuṇaṃ upaṭṭhapetvāva dātabbaṃ.

    สเจ ปนสฺส จิรกาลปริภาวิตตฺตา โลภสฺส เทยฺยธมฺมวิสยา โลภธมฺมา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เตน โพธิสตฺตปฎิเญฺญน อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ ‘‘นนุ ตยา สปฺปุริส สโมฺพธาย อภินีหารํ กโรเนฺตน สพฺพสตฺตานํ อุปการตฺถาย อยํ กาโย นิสฺสโฎฺฐ, ตปฺปริจฺจาคมยญฺจ ปุญฺญํ, ตตฺถ นาม เต พาหิเรปิ วตฺถุสฺมิํ อติสงฺคปฺปวตฺติ หตฺถิสินานสทิสี โหติ, ตสฺมา ตยา น กตฺถจิ สโงฺค อุปฺปาเทตโพฺพฯ เสยฺยถาปิ นาม มหโต เภสชฺชรุกฺขสฺส ติฎฺฐโต มูลํ มูลตฺถิกา หรนฺติ, ปปฎิกํ, ตจํ, ขนฺธํ, วิฎปํ, สารํ, สาขํ, ปลาสํ, ปุปฺผํ, ผลํ ผลตฺถิกา หรนฺติ, น ตสฺส รุกฺขสฺส ‘มยฺหํ สนฺตกํ เอเต หรนฺตี’’ติ วิตกฺกสมุทาจาโร โหติ, เอวเมว สพฺพโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปชฺชเนฺตน มยา มหาทุเกฺข อกตญฺญุเก นิจฺจาสุจิมฺหิ กาเย ปเรสํ อุปการาย วินิยุชฺชมาเน อณุมโตฺตปิ มิจฺฉาวิตโกฺก น อุปฺปาเทตโพฺพ, โก วา เอตฺถ วิเสโส อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ มหาภูเตสุ เอกนฺตเภทนวิกิรณวิทฺธํสนธเมฺมสุ, เกวลํ ปน สโมฺมหวิชมฺภิตเมตํ, ยทิทํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’ติ อภินิเวโสฯ ตสฺมา พาหิเรสุ วิย อชฺฌตฺติเกสุปิ กรจรณนยนาทีสุ , มํสาทีสุ จ อนเปเกฺขน หุตฺวา ‘ตํตทตฺถิกา หรนฺตู’ติ นิสฺสฎฺฐจิเตฺตน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ เอวํ ปฎิสญฺจิกฺขโต จสฺส โพธาย ปหิตตฺตสฺส กายชีวิเตสุ นิรเปกฺขสฺส อปฺปกสิเรเนว กายวจีมโนกมฺมานิ สุวิสุทฺธานิ โหนฺติฯ โส วิสุทฺธกายวจีมโนกมฺมโนฺต วิสุทฺธาชีโว ญายปฎิปตฺติยํ ฐิโต, อายาปายุปายโกสลฺลสมนฺนาคเมน ภิโยฺยโส มตฺตาย เทยฺยธมฺมปริจฺจาเคน, อภยทานสทฺธมฺมทาเนหิ จ สพฺพสเตฺต อนุคฺคณฺหิตุํ สมโตฺถ โหตีติฯ อยํ ตาว ทานปารมิยํ ปจฺจเวกฺขณานโยฯ

    Sace panassa cirakālaparibhāvitattā lobhassa deyyadhammavisayā lobhadhammā uppajjeyyuṃ, tena bodhisattapaṭiññena iti paṭisañcikkhitabbaṃ ‘‘nanu tayā sappurisa sambodhāya abhinīhāraṃ karontena sabbasattānaṃ upakāratthāya ayaṃ kāyo nissaṭṭho, tappariccāgamayañca puññaṃ, tattha nāma te bāhirepi vatthusmiṃ atisaṅgappavatti hatthisinānasadisī hoti, tasmā tayā na katthaci saṅgo uppādetabbo. Seyyathāpi nāma mahato bhesajjarukkhassa tiṭṭhato mūlaṃ mūlatthikā haranti, papaṭikaṃ, tacaṃ, khandhaṃ, viṭapaṃ, sāraṃ, sākhaṃ, palāsaṃ, pupphaṃ, phalaṃ phalatthikā haranti, na tassa rukkhassa ‘mayhaṃ santakaṃ ete harantī’’ti vitakkasamudācāro hoti, evameva sabbalokahitāya ussukkamāpajjantena mayā mahādukkhe akataññuke niccāsucimhi kāye paresaṃ upakārāya viniyujjamāne aṇumattopi micchāvitakko na uppādetabbo, ko vā ettha viseso ajjhattikabāhiresu mahābhūtesu ekantabhedanavikiraṇaviddhaṃsanadhammesu, kevalaṃ pana sammohavijambhitametaṃ, yadidaṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’ti abhiniveso. Tasmā bāhiresu viya ajjhattikesupi karacaraṇanayanādīsu , maṃsādīsu ca anapekkhena hutvā ‘taṃtadatthikā harantū’ti nissaṭṭhacittena bhavitabba’’nti. Evaṃ paṭisañcikkhato cassa bodhāya pahitattassa kāyajīvitesu nirapekkhassa appakasireneva kāyavacīmanokammāni suvisuddhāni honti. So visuddhakāyavacīmanokammanto visuddhājīvo ñāyapaṭipattiyaṃ ṭhito, āyāpāyupāyakosallasamannāgamena bhiyyoso mattāya deyyadhammapariccāgena, abhayadānasaddhammadānehi ca sabbasatte anuggaṇhituṃ samattho hotīti. Ayaṃ tāva dānapāramiyaṃ paccavekkhaṇānayo.

    สีลปารมิยํ ปน เอวํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – อิทญฺหิ สีลํ นาม คโงฺคทกาทีหิ วิโสเธตุํ อสกฺกุเณยฺยสฺส โทสมลสฺส วิกฺขาลนชลํ, หริจนฺทนาทีหิ วิเนตุํ อสกฺกุเณยฺยราคาทิปริฬาหวินยนํ, หารมกุฎกุณฺฑลาทีหิ ปจุรชนาลงฺกาเรหิ อสาธารโณ สาธูนํ อลงฺการวิเสโส, สพฺพทิสาวายนโต อกิตฺติโม, สพฺพกาลานุรูโป จ สุรภิคโนฺธ, ขตฺติยมหาสาลาทีหิ เทวตาหิ จ วนฺทนียาทิภาวาวหนโต ปรโม วสีกรณมโนฺต, จาตุมหาราชิกาทิ เทวโลกาโรหนโสปานปนฺติ, ฌานาภิญฺญานํ อธิคมุปาโย, นิพฺพานมหานครสฺส สมฺปาปกมโคฺค, สาวกโพธิปเจฺจกโพธิสมฺมาสโมฺพธีนํ ปติฎฺฐานภูมิ, ยํ ยํ วา ปนิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ, ตสฺส ตสฺส สมิชฺฌนูปายภาวโต จินฺตามณิกปฺปรุกฺขาทิเก จ อติเสติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘อิชฺฌติ ภิกฺขเว สีลวโต เจโตปณิธิ วิสุทฺธตฺตา’’ติ (อ. นิ. ๘.๓๕)ฯ อปรมฺปิ วุตฺตํ ‘‘อากเงฺขยฺย เจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จ อสฺสํ มนาโป จ ครุ จ ภาวนีโย จาติ, สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๖๑), ตถา ‘‘อวิปฺปฎิสารตฺถานิ โข อานนฺท กุสลานิ สีลานี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑; ๑๑.๑), ‘‘ปญฺจิเม คหปตโย อานิสํสา สีลวโต สีลสมฺปทายา’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๕๐; อุทา. ๗๖; มหาว. ๑๘๕) สุตฺตานญฺจ วเสน สีลสฺส คุณา ปจฺจเวกฺขิตพฺพา, ตถา อคฺคิกฺขโนฺธปมสุตฺตาทีนํ (อ. นิ. ๗.๗๒) วเสน สีลวิรเห อาทีนวาฯ

    Sīlapāramiyaṃ pana evaṃ paccavekkhitabbaṃ – idañhi sīlaṃ nāma gaṅgodakādīhi visodhetuṃ asakkuṇeyyassa dosamalassa vikkhālanajalaṃ, haricandanādīhi vinetuṃ asakkuṇeyyarāgādipariḷāhavinayanaṃ, hāramakuṭakuṇḍalādīhi pacurajanālaṅkārehi asādhāraṇo sādhūnaṃ alaṅkāraviseso, sabbadisāvāyanato akittimo, sabbakālānurūpo ca surabhigandho, khattiyamahāsālādīhi devatāhi ca vandanīyādibhāvāvahanato paramo vasīkaraṇamanto, cātumahārājikādi devalokārohanasopānapanti, jhānābhiññānaṃ adhigamupāyo, nibbānamahānagarassa sampāpakamaggo, sāvakabodhipaccekabodhisammāsambodhīnaṃ patiṭṭhānabhūmi, yaṃ yaṃ vā panicchitaṃ patthitaṃ, tassa tassa samijjhanūpāyabhāvato cintāmaṇikapparukkhādike ca atiseti. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘ijjhati bhikkhave sīlavato cetopaṇidhi visuddhattā’’ti (a. ni. 8.35). Aparampi vuttaṃ ‘‘ākaṅkheyya ce bhikkhave bhikkhu sabrahmacārīnaṃ piyo ca assaṃ manāpo ca garu ca bhāvanīyo cāti, sīlesvevassa paripūrakārī’’tiādi (ma. ni. 1.61), tathā ‘‘avippaṭisāratthāni kho ānanda kusalāni sīlānī’’ti (a. ni. 10.1; 11.1), ‘‘pañcime gahapatayo ānisaṃsā sīlavato sīlasampadāyā’’ti (dī. ni. 2.150; udā. 76; mahāva. 185) suttānañca vasena sīlassa guṇā paccavekkhitabbā, tathā aggikkhandhopamasuttādīnaṃ (a. ni. 7.72) vasena sīlavirahe ādīnavā.

    ปีติโสมนสฺสนิมิตฺตโต, อตฺตานุวาทปรานุวาททณฺฑทุคฺคติภยาภาวโต, วิญฺญูหิ ปาสํสภาวโต, อวิปฺปฎิสารเหตุโต, โสตฺถิฎฺฐานโต , อภิชนสาปเตยฺยาธิปเตยฺยายุรูปฎฺฐานพนฺธุมิตฺตสมฺปตฺตีนํ อติสยนโต จ สีลํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ สีลวโต หิ อตฺตโน สีลสมฺปทาเหตุ มหนฺตํ ปีติโสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ ‘‘กตํ วต มยา กุสลํ, กตํ กลฺยาณํ, กตํ ภีรุตฺตาณ’’นฺติฯ ตถา สีลวโต อตฺตา น อุปวทติ, น ปเร วิญฺญู, ทณฺฑทุคฺคติภยานํ สมฺภโวเยว นตฺถิ, ‘‘สีลวา ปุริสปุคฺคโล กลฺยาณธโมฺม’’ติ วิญฺญูนํ ปาสํโส โหติฯ ตถา สีลวโต ยฺวายํ ‘‘กตํ วต มยา ปาปํ, กตํ ลุทฺทํ, กตํ กิพฺพิส’’นฺติ ทุสฺสีลสฺส วิปฺปฎิสาโร อุปฺปชฺชติ, โส น โหติฯ สีลญฺจ นาเมตํ อปฺปมาทาธิฎฺฐานโต, โภคพฺยสนาทิปริหารมุเขน มหโต อตฺถสฺส สาธนโต, มงฺคลภาวโต จ ปรมํ โสตฺถิฎฺฐานํ, นิหีนชโจฺจปิ สีลวา ขตฺติยมหาสาลาทีนํ ปูชนีโย โหตีติ กุลสมฺปตฺติํ อติเสติ สีลสมฺปทา, ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ มหาราช, อิธ เต อสฺส ปุริโส ทาโส กมฺมกโร’’ติอาทิ (ที. นิ. ๑.๑๘๓) วจนเญฺจตฺถ สาธกํฯ โจราทีหิ อสาธารณโต, ปรโลกานุคมนโต, มหปฺผลภาวโต, สมถาทิคุณาธิฎฺฐานโต จ พาหิรธนํ อติเสติ สีลํ, ปรมสฺส จิตฺติสฺสริยสฺส อธิฎฺฐานภาวโต ขตฺติยาทีนํ อิสฺสริยํ อติเสติ สีลํฯ สีลนิมิตฺตญฺหิ ตํตํสตฺตนิกาเยสุ สตฺตานํ อิสฺสริยํ วสฺสสตทีฆปฺปมาณโต ชีวิตโต เอกาหมฺปิ สีลวโต ชีวิตสฺส วิสิฎฺฐตาวจนโต, สติ จ ชีวิเต สิกฺขานิเกฺขปสฺส มรณตาวจนโต สีลํ ชีวิตโต วิสิฎฺฐตรํฯ เวรีนมฺปิ มนุญฺญภาวาวหนโต, ชราโรควิปตฺตีหิ อนภิภวนียโต จ รูปสมฺปตฺติํ อติเสติ สีลํฯ ปาสาทหมฺมิยาทิฎฺฐานวิเสเส, ราชยุวราชเสนาปติอาทิฎฺฐานวิเสเส จ อติเสติ สีลํ สุขวิเสสาธิฎฺฐานภาวโต ฯ สภาวสินิเทฺธ สนฺติกาวจเรปิ พนฺธุชเน มิตฺตชเน จ อติเสติ เอกนฺตหิตสมฺปาทนโต, ปรโลกานุคมนโต จฯ ‘‘น ตํ มาตา ปิตา กยิรา’’ติอาทิ (ธ. ป. ๔๓) วจนเญฺจตฺถ สาธกํฯ ตถา หตฺถิอสฺสรถาทิเภเทหิ, มนฺตาคทโสตฺถานปฺปโยเคหิ จ ทุรารกฺขํ อตฺตานํ อารกฺขภาเวน สีลเมว วิสิฎฺฐตรํ อตฺตาธีนโต, อปราธีนโต, มหาวิสยโต จฯ เตเนวาห ‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริ’’นฺติอาทิ (ชา. ๑.๙.๑๐๒)ฯ เอวมเนกคุณสมนฺนาคตํ สีลนฺติ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส อปริปุณฺณา เจว สีลสมฺปทา ปาริปูริํ คจฺฉติ อปริสุทฺธา จ ปาริสุทฺธิํฯ

    Pītisomanassanimittato, attānuvādaparānuvādadaṇḍaduggatibhayābhāvato, viññūhi pāsaṃsabhāvato, avippaṭisārahetuto, sotthiṭṭhānato , abhijanasāpateyyādhipateyyāyurūpaṭṭhānabandhumittasampattīnaṃ atisayanato ca sīlaṃ paccavekkhitabbaṃ. Sīlavato hi attano sīlasampadāhetu mahantaṃ pītisomanassaṃ uppajjati ‘‘kataṃ vata mayā kusalaṃ, kataṃ kalyāṇaṃ, kataṃ bhīruttāṇa’’nti. Tathā sīlavato attā na upavadati, na pare viññū, daṇḍaduggatibhayānaṃ sambhavoyeva natthi, ‘‘sīlavā purisapuggalo kalyāṇadhammo’’ti viññūnaṃ pāsaṃso hoti. Tathā sīlavato yvāyaṃ ‘‘kataṃ vata mayā pāpaṃ, kataṃ luddaṃ, kataṃ kibbisa’’nti dussīlassa vippaṭisāro uppajjati, so na hoti. Sīlañca nāmetaṃ appamādādhiṭṭhānato, bhogabyasanādiparihāramukhena mahato atthassa sādhanato, maṅgalabhāvato ca paramaṃ sotthiṭṭhānaṃ, nihīnajaccopi sīlavā khattiyamahāsālādīnaṃ pūjanīyo hotīti kulasampattiṃ atiseti sīlasampadā, ‘‘taṃ kiṃ maññasi mahārāja, idha te assa puriso dāso kammakaro’’tiādi (dī. ni. 1.183) vacanañcettha sādhakaṃ. Corādīhi asādhāraṇato, paralokānugamanato, mahapphalabhāvato, samathādiguṇādhiṭṭhānato ca bāhiradhanaṃ atiseti sīlaṃ, paramassa cittissariyassa adhiṭṭhānabhāvato khattiyādīnaṃ issariyaṃ atiseti sīlaṃ. Sīlanimittañhi taṃtaṃsattanikāyesu sattānaṃ issariyaṃ vassasatadīghappamāṇato jīvitato ekāhampi sīlavato jīvitassa visiṭṭhatāvacanato, sati ca jīvite sikkhānikkhepassa maraṇatāvacanato sīlaṃ jīvitato visiṭṭhataraṃ. Verīnampi manuññabhāvāvahanato, jarārogavipattīhi anabhibhavanīyato ca rūpasampattiṃ atiseti sīlaṃ. Pāsādahammiyādiṭṭhānavisese, rājayuvarājasenāpatiādiṭṭhānavisese ca atiseti sīlaṃ sukhavisesādhiṭṭhānabhāvato . Sabhāvasiniddhe santikāvacarepi bandhujane mittajane ca atiseti ekantahitasampādanato, paralokānugamanato ca. ‘‘Na taṃ mātā pitā kayirā’’tiādi (dha. pa. 43) vacanañcettha sādhakaṃ. Tathā hatthiassarathādibhedehi, mantāgadasotthānappayogehi ca durārakkhaṃ attānaṃ ārakkhabhāvena sīlameva visiṭṭhataraṃ attādhīnato, aparādhīnato, mahāvisayato ca. Tenevāha ‘‘dhammo have rakkhati dhammacāri’’ntiādi (jā. 1.9.102). Evamanekaguṇasamannāgataṃ sīlanti paccavekkhantassa aparipuṇṇā ceva sīlasampadā pāripūriṃ gacchati aparisuddhā ca pārisuddhiṃ.

    สเจ ปนสฺส ทีฆรตฺตํ ปริจเยน สีลปฎิปกฺขา ธมฺมา โทสาทโย อนฺตรนฺตรา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เตน โพธิสตฺตปฎิเญฺญน เอวํ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ ‘‘นนุ ตยา สโมฺพธาย ปณิธานํ กตํ, สีลวิกเลน จ น สกฺกา โลกิยาปิ สมฺปตฺติโย ปาปุณิตุํ, ปเคว โลกุตฺตรา, สพฺพสมฺปตฺตีนํ ปน อคฺคภูตาย สมฺมาสโมฺพธิยา อธิฎฺฐานภูเตน สีเลน ปรมุกฺกํสคเตน ภวิตพฺพํฯ ตสฺมา ‘กิกีว อณฺฑ’นฺติอาทินา (วิสุทฺธิ. ๑.๑๙; ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗) วุตฺตนเยน สมฺมา สีลํ ปริรกฺขเนฺตน สุฎฺฐุ ตยา เปสเลน ภวิตพฺพํฯ อปิ จ ตยา ธมฺมเทสนาย ยานตฺตเย สตฺตานํ อวตารณปริปาจนานิ กาตพฺพานิ, สีลวิกลสฺส จ วจนํ น ปเจฺจตพฺพํ โหติ อสปฺปายาหารวิจารสฺส วิย เวชฺชสฺส ติกิจฺฉนํ, ตสฺมา กถาหํ สเทฺธโยฺย หุตฺวา สตฺตานํ อวตารณปริปาจนานิ กเรยฺย’’นฺติ สภาวปริสุทฺธสีเลน ภวิตพฺพํฯ กิญฺจ ‘‘ฌานาทิคุณวิเสสโยเคน เม สตฺตานํ อุปการกรณสมตฺถตา , ปญฺญาปารมีอาทิปริปูรณญฺจ, ฌานาทโย จ คุณา สีลปาริสุทฺธิํ วินา น สมฺภวนฺตี’’ติ สมฺมเทว สีลํ ปริโสเธตพฺพํฯ

    Sace panassa dīgharattaṃ paricayena sīlapaṭipakkhā dhammā dosādayo antarantarā uppajjeyyuṃ, tena bodhisattapaṭiññena evaṃ paṭisañcikkhitabbaṃ ‘‘nanu tayā sambodhāya paṇidhānaṃ kataṃ, sīlavikalena ca na sakkā lokiyāpi sampattiyo pāpuṇituṃ, pageva lokuttarā, sabbasampattīnaṃ pana aggabhūtāya sammāsambodhiyā adhiṭṭhānabhūtena sīlena paramukkaṃsagatena bhavitabbaṃ. Tasmā ‘kikīva aṇḍa’ntiādinā (visuddhi. 1.19; dī. ni. aṭṭha. 1.7) vuttanayena sammā sīlaṃ parirakkhantena suṭṭhu tayā pesalena bhavitabbaṃ. Api ca tayā dhammadesanāya yānattaye sattānaṃ avatāraṇaparipācanāni kātabbāni, sīlavikalassa ca vacanaṃ na paccetabbaṃ hoti asappāyāhāravicārassa viya vejjassa tikicchanaṃ, tasmā kathāhaṃ saddheyyo hutvā sattānaṃ avatāraṇaparipācanāni kareyya’’nti sabhāvaparisuddhasīlena bhavitabbaṃ. Kiñca ‘‘jhānādiguṇavisesayogena me sattānaṃ upakārakaraṇasamatthatā , paññāpāramīādiparipūraṇañca, jhānādayo ca guṇā sīlapārisuddhiṃ vinā na sambhavantī’’ti sammadeva sīlaṃ parisodhetabbaṃ.

    ตถา ‘‘สมฺพาโธ ฆราวาโส รโชปโถ’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๑๙๑; ม. นิ. ๑.๒๙๑; สํ. นิ. ๒.๑๕๔; ม. นิ. ๒.๑๐) ฆราวาเส ‘‘อฎฺฐิกงฺกลูปมา กามา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓๔; ปาจิ. ๔๑๗; มหานิ. ๓, ๖;), ‘‘มาตาปิ ปุเตฺตน วิวทตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๖๘, ๑๗๘) จ กาเมสุ ‘‘เสยฺยถาปิ ปุริโส อิณํ อาทาย กมฺมเนฺต ปโยเชยฺยา’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๒๑๘) กามจฺฉนฺทาทีสุ อาทีนวทสฺสนปุพฺพงฺคมา วุตฺตวิปริยาเยน ‘‘อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชา’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๑.๙๑; สํ. นิ. ๑.๑๕๔) ปพฺพชฺชาทีสุ อานิสํสปฎิสงฺขาวเสน เนกฺขมฺมปารมิยํ ปจฺจเวกฺขณา เวทิตพฺพาฯ อยเมตฺถ สเงฺขปโตฺถ, วิตฺถาโร ปน ทุกฺขกฺขนฺธ (ม. นิ. ๑.๑๖๓) วีมํสสุตฺตาทิ (ม. นิ. ๑.๔๘๗) วเสน ทุกฺขกฺขนฺธอาสิวิโสปมสุตฺตาทิวเสน (จริยา. อฎฺฐ. ปกิณฺณกกถายํ) เวทิตโพฺพฯ

    Tathā ‘‘sambādho gharāvāso rajopatho’’tiādinā (dī. ni. 1.191; ma. ni. 1.291; saṃ. ni. 2.154; ma. ni. 2.10) gharāvāse ‘‘aṭṭhikaṅkalūpamā kāmā’’tiādinā (ma. ni. 1.234; pāci. 417; mahāni. 3, 6;), ‘‘mātāpi puttena vivadatī’’tiādinā (ma. ni. 1.168, 178) ca kāmesu ‘‘seyyathāpi puriso iṇaṃ ādāya kammante payojeyyā’’tiādinā (dī. ni. 1.218) kāmacchandādīsu ādīnavadassanapubbaṅgamā vuttavipariyāyena ‘‘abbhokāso pabbajjā’’tiādinā (dī. ni. 1.1.91; saṃ. ni. 1.154) pabbajjādīsu ānisaṃsapaṭisaṅkhāvasena nekkhammapāramiyaṃ paccavekkhaṇā veditabbā. Ayamettha saṅkhepattho, vitthāro pana dukkhakkhandha (ma. ni. 1.163) vīmaṃsasuttādi (ma. ni. 1.487) vasena dukkhakkhandhaāsivisopamasuttādivasena (cariyā. aṭṭha. pakiṇṇakakathāyaṃ) veditabbo.

    ตถา ‘‘ปญฺญาย วินา ทานาทโย ธมฺมา น วิสุชฺฌนฺติ, ยถาสกํ พฺยาปารสมตฺถา จ น โหนฺตี’’ติ ปญฺญาคุณา มนสิ กาตพฺพาฯ ยเถว หิ ชีวิเตน วินา สรีรยนฺตํ น โสภติ, น จ อตฺตโน กิริยาสุ ปฎิปตฺติสมตฺถํ โหติ, ยถา จ จกฺขาทีนิ อินฺทฺริยานิ วิญฺญาเณน วินา ยถาสกํ วิสเยสุ กิจฺจํ กาตุํ นปฺปโหนฺติ, เอวํ สทฺธาทีนิ อินฺทฺริยานิ ปญฺญาย วินา สกิจฺจปฎิปตฺติยํ อสมตฺถานีติ ปริจฺจาคาทิปฎิปตฺติยํ ปญฺญา ปธานการณํฯ อุมฺมีลิตปญฺญาจกฺขุกา หิ มหาสตฺตา อตฺตโน องฺคปจฺจงฺคานิปิ ทตฺวา อนตฺตุกฺกํสกา, อปรวมฺภกา จ โหนฺติ, เภสชฺชรุกฺขา วิย วิกปฺปรหิตา กาลตฺตเยปิ โสมนสฺสชาตาฯ ปญฺญาวเสน อุปายโกสลฺลโยคโต ปริจฺจาโค ปรหิตปฺปวตฺติยา ทานปารมิภาวํ อุเปติฯ อตฺตตฺถญฺหิ ทานํ วุฑฺฒิสทิสํ โหติฯ

    Tathā ‘‘paññāya vinā dānādayo dhammā na visujjhanti, yathāsakaṃ byāpārasamatthā ca na hontī’’ti paññāguṇā manasi kātabbā. Yatheva hi jīvitena vinā sarīrayantaṃ na sobhati, na ca attano kiriyāsu paṭipattisamatthaṃ hoti, yathā ca cakkhādīni indriyāni viññāṇena vinā yathāsakaṃ visayesu kiccaṃ kātuṃ nappahonti, evaṃ saddhādīni indriyāni paññāya vinā sakiccapaṭipattiyaṃ asamatthānīti pariccāgādipaṭipattiyaṃ paññā padhānakāraṇaṃ. Ummīlitapaññācakkhukā hi mahāsattā attano aṅgapaccaṅgānipi datvā anattukkaṃsakā, aparavambhakā ca honti, bhesajjarukkhā viya vikapparahitā kālattayepi somanassajātā. Paññāvasena upāyakosallayogato pariccāgo parahitappavattiyā dānapāramibhāvaṃ upeti. Attatthañhi dānaṃ vuḍḍhisadisaṃ hoti.

    ตถา ปญฺญาย อภาเวน ตณฺหาทิสํกิเลสาวิโยคโต สีลสฺส วิสุทฺธิเยว น สมฺภวติ, กุโต สพฺพญฺญุคุณาธิฎฺฐานภาโวฯ ปญฺญวา เอว จ ฆราวาเส กามคุเณสุ สํสาเร จ อาทีนวํ, ปพฺพชฺชาย ฌานสมาปตฺติยํ นิพฺพาเน จ อานิสํสํ สุฎฺฐุ สลฺลเกฺขโนฺต ปพฺพชิตฺวา ฌานสมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา นิพฺพานนิโนฺน, ปเร จ ตตฺถ ปติฎฺฐเปตีติฯ

    Tathā paññāya abhāvena taṇhādisaṃkilesāviyogato sīlassa visuddhiyeva na sambhavati, kuto sabbaññuguṇādhiṭṭhānabhāvo. Paññavā eva ca gharāvāse kāmaguṇesu saṃsāre ca ādīnavaṃ, pabbajjāya jhānasamāpattiyaṃ nibbāne ca ānisaṃsaṃ suṭṭhu sallakkhento pabbajitvā jhānasamāpattiyo nibbattetvā nibbānaninno, pare ca tattha patiṭṭhapetīti.

    วีริยญฺจ ปญฺญารหิตํ ยทิจฺฉิตมตฺถํ น สาเธติ ทุรารมฺภภาวโตฯ วรเมว หิ อนารโมฺภ ทุรารมฺภโต, ปญฺญาสหิเตน ปน วีริเยน น กิญฺจิ ทุรธิคมํ อุปายปฎิปตฺติโตฯ ตถา ปญฺญวา เอว ปราปการาทิอธิวาสกชาติโย โหติ, น ทุปฺปโญฺญฯ ปญฺญาวิรหิตสฺส จ ปเรหิ อุปนีตา อปการา ขนฺติยา ปฎิปกฺขเมว อนุพฺรูเหนฺติ, ปญฺญวโต ปน เต ขนฺติสมฺปตฺติยา ปริพฺรูหนวเสน อสฺสา ถิรภาวาย สํวตฺตนฺติฯ ปญฺญวา เอว ตีณิ สจฺจานิ เตสํ การณานิ ปฎิปเกฺข จ ยถาภูตํ ชานิตฺวา ปเรสํ อวิสํวาทโก โหติฯ ตถา ปญฺญาพเลน อตฺตานํ อุปตฺถเมฺภตฺวา ธิติสมฺปทาย สพฺพปารมีสุ อจลสมาทานาธิฎฺฐาโน โหติ, ปญฺญวา เอว จ ปิยมชฺฌตฺตเวรีวิภาคํ อกตฺวา สพฺพตฺถ หิตูปสํหารกุสโล โหติฯ ตถา ปญฺญาวเสน ลาภาทิโลกธมฺมสนฺนิปาเต นิพฺพิการตาย มชฺฌโตฺต โหติฯ เอวํ สพฺพาสํ ปารมีนํ ปญฺญาว ปาริสุทฺธิเหตูติ ปญฺญาคุณา ปจฺจเวกฺขิตพฺพาฯ

    Vīriyañca paññārahitaṃ yadicchitamatthaṃ na sādheti durārambhabhāvato. Varameva hi anārambho durārambhato, paññāsahitena pana vīriyena na kiñci duradhigamaṃ upāyapaṭipattito. Tathā paññavā eva parāpakārādiadhivāsakajātiyo hoti, na duppañño. Paññāvirahitassa ca parehi upanītā apakārā khantiyā paṭipakkhameva anubrūhenti, paññavato pana te khantisampattiyā paribrūhanavasena assā thirabhāvāya saṃvattanti. Paññavā eva tīṇi saccāni tesaṃ kāraṇāni paṭipakkhe ca yathābhūtaṃ jānitvā paresaṃ avisaṃvādako hoti. Tathā paññābalena attānaṃ upatthambhetvā dhitisampadāya sabbapāramīsu acalasamādānādhiṭṭhāno hoti, paññavā eva ca piyamajjhattaverīvibhāgaṃ akatvā sabbattha hitūpasaṃhārakusalo hoti. Tathā paññāvasena lābhādilokadhammasannipāte nibbikāratāya majjhatto hoti. Evaṃ sabbāsaṃ pāramīnaṃ paññāva pārisuddhihetūti paññāguṇā paccavekkhitabbā.

    อปิจ ปญฺญาย วินา น ทสฺสนสมฺปตฺติ, อนฺตเรน จ ทิฎฺฐิสมฺปทํ น สีลสมฺปทา, สีลทิฎฺฐิสมฺปทารหิตสฺส น สมาธิสมฺปทา, อสมาหิเตน จ น สกฺกา อตฺตหิตมตฺตมฺปิ สาเธตุํ, ปเคว อุกฺกํสคตํ ปรหิตนฺติ ปรหิตาย ปฎิปเนฺนน ‘‘นนุ ตยา สกฺกจฺจํ ปญฺญาปาริสุทฺธิยํ อาโยโค กรณีโย’’ติ โพธิสเตฺตน อตฺตา โอวทิตโพฺพฯ ปญฺญานุภาเวน หิ มหาสโตฺต จตุรธิฎฺฐานาธิฎฺฐิโต จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ (ที. นิ. ๓.๒๑๐, ๓๑๓; อ. นิ. ๑๐.๓๒) โลกํ อนุคฺคณฺหโนฺต สเตฺต นิยฺยานิกมเคฺค อวตาเรติ, อินฺทฺริยานิ จ เนสํ ปริปาเจติฯ ตถา ปญฺญาพเลน ขนฺธายตนาทีสุ ปวิจยพหุโล ปวตฺตินิวตฺติโย ยาถาวโต ปริชานโนฺต ทานาทโย คุเณ วิเสสนิเพฺพธภาคิยภาวํ นยโนฺต โพธิสตฺตสิกฺขาย ปริปูรการี โหตีติ เอวมาทินา อเนกาการโวกาเร ปญฺญาคุเณ ววตฺถเปตฺวา ปญฺญาปารมี อนุพฺรูเหตพฺพาฯ

    Apica paññāya vinā na dassanasampatti, antarena ca diṭṭhisampadaṃ na sīlasampadā, sīladiṭṭhisampadārahitassa na samādhisampadā, asamāhitena ca na sakkā attahitamattampi sādhetuṃ, pageva ukkaṃsagataṃ parahitanti parahitāya paṭipannena ‘‘nanu tayā sakkaccaṃ paññāpārisuddhiyaṃ āyogo karaṇīyo’’ti bodhisattena attā ovaditabbo. Paññānubhāvena hi mahāsatto caturadhiṭṭhānādhiṭṭhito catūhi saṅgahavatthūhi (dī. ni. 3.210, 313; a. ni. 10.32) lokaṃ anuggaṇhanto satte niyyānikamagge avatāreti, indriyāni ca nesaṃ paripāceti. Tathā paññābalena khandhāyatanādīsu pavicayabahulo pavattinivattiyo yāthāvato parijānanto dānādayo guṇe visesanibbedhabhāgiyabhāvaṃ nayanto bodhisattasikkhāya paripūrakārī hotīti evamādinā anekākāravokāre paññāguṇe vavatthapetvā paññāpāramī anubrūhetabbā.

    ตถา ทิสฺสมานปารานิปิ โลกิยานิ กมฺมานิ นิหีนวีริเยน ปาปุณิตุํ อสกฺกุเณยฺยานิ, อคณิตเขเทน ปน อารทฺธวีริเยน ทุรธิคมํ นาม นตฺถิฯ นิหีนวีริโย หิ ‘‘สํสารมโหฆโต สพฺพสเตฺต สนฺตาเรสฺสามี’’ติ อารภิตุเมว น สกฺกุโณติฯ มชฺฌิโม อารภิตฺวา อนฺตราโวสานมาปชฺชติฯ อุกฺกฎฺฐวีริโย ปน อตฺตสุขนิรเปโกฺข อารมฺภปารํ อธิคจฺฉตีติ วีริยสมฺปตฺติ ปจฺจเวกฺขิตพฺพาฯ อปิจ ‘‘ยสฺส อตฺตโนเยว สํสารปงฺกโต สมุทฺธรณตฺถมารโมฺภ, ตสฺสาปิ วีริยสฺส สิถิลภาเวน มโนรถานํ มตฺถกปฺปตฺติ น สกฺกา สมฺภาเวตุํ, ปเคว สเทวกสฺส โลกสฺส สมุทฺธรณตฺถํ กตาภินีหาเรนา’’ติ จ ‘‘ราคาทีนํ โทสคณานํ มตฺตมหาคชานํ วิย ทุนฺนิวารยภาวโต, ตนฺนิทานานญฺจ กมฺมสมาทานานํ อุกฺขิตฺตาสิกวธกสทิสภาวโต, ตนฺนิมิตฺตานญฺจ ทุคฺคตีนํ สพฺพทา วิวฎมุขภาวโต, ตตฺถ นิโยชกานญฺจ ปาปมิตฺตานํ สทา สนฺนิหิตภาวโต, ตโทวาทการิตาย จ พาลสฺส ปุถุชฺชนภาวสฺส สติ สมฺภเว ยุตฺตํ สยเมว สํสารทุกฺขโต นิสฺสริตุ’’นฺติ จ ‘‘มิจฺฉาวิตกฺกา วีริยานุภาเวน ทูรี ภวนฺตี’’ติ จ ‘‘ยทิ ปน สโมฺพธิ อตฺตาธีเนน วีริเยน สกฺกา สมธิคนฺตุํ , กิเมตฺถ ทุกฺกร’’นฺติ จ เอวมาทินา นเยน วีริยสฺส คุณาปจฺจเวกฺขิตพฺพาฯ

    Tathā dissamānapārānipi lokiyāni kammāni nihīnavīriyena pāpuṇituṃ asakkuṇeyyāni, agaṇitakhedena pana āraddhavīriyena duradhigamaṃ nāma natthi. Nihīnavīriyo hi ‘‘saṃsāramahoghato sabbasatte santāressāmī’’ti ārabhitumeva na sakkuṇoti. Majjhimo ārabhitvā antarāvosānamāpajjati. Ukkaṭṭhavīriyo pana attasukhanirapekkho ārambhapāraṃ adhigacchatīti vīriyasampatti paccavekkhitabbā. Apica ‘‘yassa attanoyeva saṃsārapaṅkato samuddharaṇatthamārambho, tassāpi vīriyassa sithilabhāvena manorathānaṃ matthakappatti na sakkā sambhāvetuṃ, pageva sadevakassa lokassa samuddharaṇatthaṃ katābhinīhārenā’’ti ca ‘‘rāgādīnaṃ dosagaṇānaṃ mattamahāgajānaṃ viya dunnivārayabhāvato, tannidānānañca kammasamādānānaṃ ukkhittāsikavadhakasadisabhāvato, tannimittānañca duggatīnaṃ sabbadā vivaṭamukhabhāvato, tattha niyojakānañca pāpamittānaṃ sadā sannihitabhāvato, tadovādakāritāya ca bālassa puthujjanabhāvassa sati sambhave yuttaṃ sayameva saṃsāradukkhato nissaritu’’nti ca ‘‘micchāvitakkā vīriyānubhāvena dūrī bhavantī’’ti ca ‘‘yadi pana sambodhi attādhīnena vīriyena sakkā samadhigantuṃ , kimettha dukkara’’nti ca evamādinā nayena vīriyassa guṇāpaccavekkhitabbā.

    ตถา ‘‘ขนฺติ นามายํ นิรวเสสคุณปฎิปกฺขสฺส โกธสฺส วิธมนโต คุณสมฺปาทเน สาธูนมปฺปฎิหตมายุธํ, ปราภิภวเน สมตฺถานํ อลงฺกาโร, สมณพฺราหฺมณานํ พลสมฺปทา, โกธคฺคิวินยนี อุทกธารา, กลฺยาณสฺส กิตฺติสทฺทสฺส สญฺชาติเทโส, ปาปปุคฺคลานํ วจีวิสวูปสมกโร มนฺตาคโท, สํวเร ฐิตานํ ปรมา ธีรปกติ, คมฺภีราสยตาย สาคโร, โทสมหาสาครสฺส เวลา, อปายทฺวารสฺส ปิธานกวาฎํ, เทวพฺรหฺมโลกานํ อาโรหณโสปานํ, สพฺพคุณานํ อธิวาสนภูมิ, อุตฺตมา กายวจีมโนวิสุทฺธี’’ติ มนสิ กาตพฺพํฯ อปิ จ ‘‘เอเต สตฺตา ขนฺติสมฺปตฺติยา อภาวโต อิธ เจว ตปนฺติ, ปรโลเก จ ตปนียธมฺมานุโยคโต’’ติ จ ‘‘ยทิปิ ปราปการนิมิตฺตํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ปน ทุกฺขสฺส เขตฺตภูโต อตฺตภาโว, พีชภูตญฺจ กมฺมํ มยาว อภิสงฺขต’’นฺติ จ ‘‘ตสฺส ทุกฺขสฺส อาณณฺยการณเมต’’นฺติ จ ‘‘อปการเก อสติ กถํ มยฺหํ ขนฺติสมฺปทา สมฺภวตี’’ติ จ ‘‘ยทิปายํ เอตรหิ อปการโก, อยํ นาม ปุเพฺพ อเนน มยฺหํ อุปกาโร กโต’’ติ จ ‘‘อปกาโร เอว วา ขนฺตินิมิตฺตตาย อุปกาโร’’ติ จ ‘‘สเพฺพปิเม สตฺตา มยฺหํ ปุตฺตสทิสา, ปุตฺตกตาปราเธสุ จ โก กุชฺฌิสฺสตี’’ติ จ ‘‘เยน โกธภูตาเวเสน อยํ มยฺหํ อปรชฺฌติ, โส โกธภูตาเวโส มยา วิเนตโพฺพ’’ติ จ ‘‘เยน อปกาเรน อิทํ มยฺหํ ทุกฺขํ อุปฺปนฺนํ, ตสฺส อหมฺปิ นิมิตฺต’’นฺติ จ ‘‘เยหิ ธเมฺมหิ อปราโธ กโต, ยตฺถ จ กโต, สเพฺพปิ เต ตสฺมิํเยว ขเณ นิรุทฺธา, กสฺสิทานิ เกน โกโธ กาตโพฺพ’’ติ จ ‘‘อนตฺตตาย สพฺพธมฺมานํ โก กสฺส อปรชฺฌตี’’ติ จ ปจฺจเวกฺขเนฺตน ขนฺติสมฺปทา พฺรูเหตพฺพาฯ

    Tathā ‘‘khanti nāmāyaṃ niravasesaguṇapaṭipakkhassa kodhassa vidhamanato guṇasampādane sādhūnamappaṭihatamāyudhaṃ, parābhibhavane samatthānaṃ alaṅkāro, samaṇabrāhmaṇānaṃ balasampadā, kodhaggivinayanī udakadhārā, kalyāṇassa kittisaddassa sañjātideso, pāpapuggalānaṃ vacīvisavūpasamakaro mantāgado, saṃvare ṭhitānaṃ paramā dhīrapakati, gambhīrāsayatāya sāgaro, dosamahāsāgarassa velā, apāyadvārassa pidhānakavāṭaṃ, devabrahmalokānaṃ ārohaṇasopānaṃ, sabbaguṇānaṃ adhivāsanabhūmi, uttamā kāyavacīmanovisuddhī’’ti manasi kātabbaṃ. Api ca ‘‘ete sattā khantisampattiyā abhāvato idha ceva tapanti, paraloke ca tapanīyadhammānuyogato’’ti ca ‘‘yadipi parāpakāranimittaṃ dukkhaṃ uppajjati, tassa pana dukkhassa khettabhūto attabhāvo, bījabhūtañca kammaṃ mayāva abhisaṅkhata’’nti ca ‘‘tassa dukkhassa āṇaṇyakāraṇameta’’nti ca ‘‘apakārake asati kathaṃ mayhaṃ khantisampadā sambhavatī’’ti ca ‘‘yadipāyaṃ etarahi apakārako, ayaṃ nāma pubbe anena mayhaṃ upakāro kato’’ti ca ‘‘apakāro eva vā khantinimittatāya upakāro’’ti ca ‘‘sabbepime sattā mayhaṃ puttasadisā, puttakatāparādhesu ca ko kujjhissatī’’ti ca ‘‘yena kodhabhūtāvesena ayaṃ mayhaṃ aparajjhati, so kodhabhūtāveso mayā vinetabbo’’ti ca ‘‘yena apakārena idaṃ mayhaṃ dukkhaṃ uppannaṃ, tassa ahampi nimitta’’nti ca ‘‘yehi dhammehi aparādho kato, yattha ca kato, sabbepi te tasmiṃyeva khaṇe niruddhā, kassidāni kena kodho kātabbo’’ti ca ‘‘anattatāya sabbadhammānaṃ ko kassa aparajjhatī’’ti ca paccavekkhantena khantisampadā brūhetabbā.

    ยทิ ปนสฺส ทีฆรตฺตํ ปริจเยน ปราปการนิมิตฺตโก โกโธ จิตฺตํ ปริยาทาย ติเฎฺฐยฺย, อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ ‘‘ขนฺติ นาเมสา ปราปการสฺส ปฎิปกฺขปฎิปตฺตีนํ ปจฺจุปการการณ’’นฺติ จ ‘‘อปกาโร จ มยฺหํ ทุกฺขุปฺปาทเนน ทุกฺขุปนิสาย สทฺธาย, สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญาย จ ปจฺจโย’’ติ จ ‘‘อินฺทฺริยปกติเรสา, ยทิทํ อิฎฺฐานิฎฺฐวิสยสมาโยโค, ตตฺถ อนิฎฺฐวิสยสมาโยโค มยฺหํ น สิยาติ ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา’’ติ จ ‘‘โกธวสิโก สโตฺต โกเธน อุมฺมโตฺต วิกฺขิตฺตจิโตฺต, ตตฺถ กิํ ปจฺจปกาเรนา’’ติ จ ‘‘สเพฺพ ปิเม สตฺตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน โอรสปุตฺตา วิย ปริปาลิตา, ตสฺมา น ตตฺถ มยา จิตฺตโกโปปิ กาตโพฺพ’’ติ จ ‘‘อปราธเก จ สติ คุเณ คุณวติ มยา น โกโป กาตโพฺพ’’ติ จ ‘‘อสติ คุเณ วิเสเสน กรุณายิตโพฺพ’’ติ จ ‘‘โกเปน จ มยฺหํ คุณยสา นิหียนฺตี’’ติ จ ‘‘กุชฺฌเนน มยฺหํ ทุพฺพณฺณทุกฺขเสยฺยาทโย สปตฺตกนฺตา อาคจฺฉนฺตี’’ติ จ ‘‘โกโธ จ นามายํ สพฺพาหิตการโก สพฺพหิตวินาสโก พลวา ปจฺจตฺถิโก’’ติ จ ‘‘สติ จ ขนฺติยา น โกจิ ปจฺจตฺถิโก’’ติ จ ‘‘อปราธเกน อปราธนิมิตฺตํ ยํ อายติํ ลทฺธพฺพํ ทุกฺขํ, สติ จ ขนฺติยา มยฺหํ ตทภาโว’’ติ จ ‘‘จินฺตเนน กุชฺฌเนฺตน จ มยา ปจฺจตฺถิโกเยว อนุวตฺติโต โหตี’’ติ จ ‘‘โกเธ จ มยา ขนฺติยา อภิภูเต ตสฺส ทาสภูโต ปจฺจตฺถิโก สมฺมเทว อภิภูโต โหตี’’ติ จ ‘‘โกธนิมิตฺตํ ขนฺติคุณปริจฺจาโค มยฺหํ น ยุโตฺต’’ติ จ ‘‘สติ จ โกเธ คุณวิโรธินิ (คุณวิโรธปจฺจนีธเมฺม จริยา. อฎฺฐ. ปกิณฺณกกถายํ) กิํ เม สีลาทิธมฺมา ปาริปูริํ คเจฺฉยฺยุํ, อสติ จ เตสุ กถาหํ สตฺตานํ อุปการพหุโล ปฎิญฺญานุรูปํ อุตฺตมํ สมฺปตฺติํ ปาปุณิสฺสามี’’ติ จ ‘‘ขนฺติยา จ สติ พหิทฺธา วิเกฺขปาภาวโต สมาหิตสฺส สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจโต ทุกฺขโต สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตโต นิพฺพานญฺจ อสงฺขตามตสนฺตปณีตาทิภาวโต นิชฺฌานํ ขมนฺติ ‘พุทฺธธมฺมา จ อจิเนฺตยฺยาปริเมยฺยปภาวา’ติ’’, ตโต จ ‘‘อนุโลมิยํ ขนฺติยํ ฐิโต ‘เกวลา อิเม จ อตฺตตฺตนิยภาวรหิตา ธมฺมมตฺตา ยถาสกํ ปจฺจเยหิ อุปฺปชฺชนฺติ วยนฺติ, น กุโตจิ อาคจฺฉนฺติ, น กุหิญฺจิ คจฺฉนฺติ, น จ กตฺถจิ ปติฎฺฐิตา, น เจตฺถ โกจิ กสฺสจิ พฺยาปาโร’ติ อหํการมมํการานธิฎฺฐานตา นิชฺฌานํ ขมติ, เยน โพธิสโตฺต โพธิยา นิยโต อนาวตฺติธโมฺม โหตี’’ติ เอวมาทินา ขนฺติปารมิยํ ปจฺจเวกฺขณา เวทิตพฺพาฯ

    Yadi panassa dīgharattaṃ paricayena parāpakāranimittako kodho cittaṃ pariyādāya tiṭṭheyya, iti paṭisañcikkhitabbaṃ ‘‘khanti nāmesā parāpakārassa paṭipakkhapaṭipattīnaṃ paccupakārakāraṇa’’nti ca ‘‘apakāro ca mayhaṃ dukkhuppādanena dukkhupanisāya saddhāya, sabbaloke anabhiratisaññāya ca paccayo’’ti ca ‘‘indriyapakatiresā, yadidaṃ iṭṭhāniṭṭhavisayasamāyogo, tattha aniṭṭhavisayasamāyogo mayhaṃ na siyāti taṃ kutettha labbhā’’ti ca ‘‘kodhavasiko satto kodhena ummatto vikkhittacitto, tattha kiṃ paccapakārenā’’ti ca ‘‘sabbe pime sattā sammāsambuddhena orasaputtā viya paripālitā, tasmā na tattha mayā cittakopopi kātabbo’’ti ca ‘‘aparādhake ca sati guṇe guṇavati mayā na kopo kātabbo’’ti ca ‘‘asati guṇe visesena karuṇāyitabbo’’ti ca ‘‘kopena ca mayhaṃ guṇayasā nihīyantī’’ti ca ‘‘kujjhanena mayhaṃ dubbaṇṇadukkhaseyyādayo sapattakantā āgacchantī’’ti ca ‘‘kodho ca nāmāyaṃ sabbāhitakārako sabbahitavināsako balavā paccatthiko’’ti ca ‘‘sati ca khantiyā na koci paccatthiko’’ti ca ‘‘aparādhakena aparādhanimittaṃ yaṃ āyatiṃ laddhabbaṃ dukkhaṃ, sati ca khantiyā mayhaṃ tadabhāvo’’ti ca ‘‘cintanena kujjhantena ca mayā paccatthikoyeva anuvattito hotī’’ti ca ‘‘kodhe ca mayā khantiyā abhibhūte tassa dāsabhūto paccatthiko sammadeva abhibhūto hotī’’ti ca ‘‘kodhanimittaṃ khantiguṇapariccāgo mayhaṃ na yutto’’ti ca ‘‘sati ca kodhe guṇavirodhini (guṇavirodhapaccanīdhamme cariyā. aṭṭha. pakiṇṇakakathāyaṃ) kiṃ me sīlādidhammā pāripūriṃ gaccheyyuṃ, asati ca tesu kathāhaṃ sattānaṃ upakārabahulo paṭiññānurūpaṃ uttamaṃ sampattiṃ pāpuṇissāmī’’ti ca ‘‘khantiyā ca sati bahiddhā vikkhepābhāvato samāhitassa sabbe saṅkhārā aniccato dukkhato sabbe dhammā anattato nibbānañca asaṅkhatāmatasantapaṇītādibhāvato nijjhānaṃ khamanti ‘buddhadhammā ca acinteyyāparimeyyapabhāvā’ti’’, tato ca ‘‘anulomiyaṃ khantiyaṃ ṭhito ‘kevalā ime ca attattaniyabhāvarahitā dhammamattā yathāsakaṃ paccayehi uppajjanti vayanti, na kutoci āgacchanti, na kuhiñci gacchanti, na ca katthaci patiṭṭhitā, na cettha koci kassaci byāpāro’ti ahaṃkāramamaṃkārānadhiṭṭhānatā nijjhānaṃ khamati, yena bodhisatto bodhiyā niyato anāvattidhammo hotī’’ti evamādinā khantipāramiyaṃ paccavekkhaṇā veditabbā.

    ตถา ‘‘สเจฺจน วินา สีลาทีนํ อสมฺภวโต, ปฎิญฺญานุรูปํ ปฎิปตฺติยา อภาวโต จ สจฺจธมฺมาติกฺกเม จ สพฺพปาปธมฺมานํ สโมสรณโต, อสจฺจสนฺธสฺส อปฺปจฺจยิกภาวโต, อายติญฺจ อนาเทยฺยวจนตาวหนโต, สมฺปนฺนสจฺจสฺส จ สพฺพคุณาธิฎฺฐานภาวโต, สจฺจาธิฎฺฐาเนน สพฺพโพธิสมฺภารานํ ปาริสุทฺธิปาริปูริสมนฺวายโต, สภาวธมฺมาวิสํวาทเนน สพฺพโพธิสมฺภารกิจฺจกรณโต, โพธิสตฺตปฎิปตฺติยา จ ปรินิปฺผตฺติโต’’ติอาทินา สจฺจปารมิยา สมฺปตฺติโย ปจฺจเวกฺขิตพฺพาฯ

    Tathā ‘‘saccena vinā sīlādīnaṃ asambhavato, paṭiññānurūpaṃ paṭipattiyā abhāvato ca saccadhammātikkame ca sabbapāpadhammānaṃ samosaraṇato, asaccasandhassa appaccayikabhāvato, āyatiñca anādeyyavacanatāvahanato, sampannasaccassa ca sabbaguṇādhiṭṭhānabhāvato, saccādhiṭṭhānena sabbabodhisambhārānaṃ pārisuddhipāripūrisamanvāyato, sabhāvadhammāvisaṃvādanena sabbabodhisambhārakiccakaraṇato, bodhisattapaṭipattiyā ca parinipphattito’’tiādinā saccapāramiyā sampattiyo paccavekkhitabbā.

    ตถา ‘‘ทานาทีสุ ทฬฺหสมาทานํ, ตมฺปฎิปกฺขสนฺนิปาเต จ เนสํ อจลาวตฺถานํ, ตตฺถ จ ถิรภาวํ วินา น ทานาทิสมฺภารา สโมฺพธินิมิตฺตา สมฺภวนฺตี’’ติอาทินา อธิฎฺฐาเน คุณา ปจฺจเวกฺขิตพฺพาฯ

    Tathā ‘‘dānādīsu daḷhasamādānaṃ, tampaṭipakkhasannipāte ca nesaṃ acalāvatthānaṃ, tattha ca thirabhāvaṃ vinā na dānādisambhārā sambodhinimittā sambhavantī’’tiādinā adhiṭṭhāne guṇā paccavekkhitabbā.

    ตถา ‘‘อตฺตหิตมเตฺต อวติฎฺฐเนฺตนาปิ สเตฺตสุ หิตจิตฺตตํ วินา น สกฺกา อิธโลกปรโลกสมฺปตฺติโย ปาปุณิตุํ, ปเคว สพฺพสเตฺต นิพฺพานสมฺปตฺติยํ ปติฎฺฐาเปตุกาเมนา’’ติ จ ‘‘ปจฺฉา สพฺพสตฺตานํ โลกุตฺตรสมฺปตฺติํ อากงฺขเนฺตน อิทานิ โลกิยสมฺปตฺติํ อากงฺขา ยุตฺตรูปา’’ติ จ ‘‘อิทานิ อาสยมเตฺตน ปเรสํ หิตสุขูปสํหารํ กาตุํ อสโกฺกโนฺต กทา ปโยเคน ตํ สาเธสฺสามี’’ติ จ ‘‘อิทานิ มยา หิตสุขูปสํหาเรน สํวทฺธิตา ปจฺฉา ธมฺมสํวิภาคสหายา มยฺหํ ภวิสฺสนฺตี’’ติ จ ‘‘เอเตหิ วินา น มยฺหํ โพธิสมฺภารา สมฺภวนฺติ, ตสฺมา สพฺพพุทฺธคุณวิภูตินิปฺผตฺติการณตฺตา มยฺหํ เอเต ปรมํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ อนุตฺตรํ กุสลายตนํ อุตฺตมํ คารวฎฺฐาน’’นฺติ จ ‘‘สวิเสสํ สเตฺตสุ สเพฺพสุ หิตชฺฌาสยตา ปจฺจุปฎฺฐเปตพฺพา, กิญฺจ กรุณาธิฎฺฐานโตปิ สพฺพสเตฺตสุ เมตฺตา อนุพฺรูเหตพฺพาฯ วิมริยาทีกเตน หิ เจตสา สเตฺตสุ หิตสุขูปสํหารนิรตสฺส เตสํ อหิตทุกฺขาปนยนกามตา พลวตี อุปฺปชฺชติ ทฬฺหมูลา, กรุณา จ สเพฺพสํ พุทฺธการกธมฺมานมาทิ จรณํ ปติฎฺฐา มูลํ มุขํ ปมุข’’นฺติ เอวมาทินา เมตฺตาย คุณา ปจฺจเวกฺขิตพฺพาฯ

    Tathā ‘‘attahitamatte avatiṭṭhantenāpi sattesu hitacittataṃ vinā na sakkā idhalokaparalokasampattiyo pāpuṇituṃ, pageva sabbasatte nibbānasampattiyaṃ patiṭṭhāpetukāmenā’’ti ca ‘‘pacchā sabbasattānaṃ lokuttarasampattiṃ ākaṅkhantena idāni lokiyasampattiṃ ākaṅkhā yuttarūpā’’ti ca ‘‘idāni āsayamattena paresaṃ hitasukhūpasaṃhāraṃ kātuṃ asakkonto kadā payogena taṃ sādhessāmī’’ti ca ‘‘idāni mayā hitasukhūpasaṃhārena saṃvaddhitā pacchā dhammasaṃvibhāgasahāyā mayhaṃ bhavissantī’’ti ca ‘‘etehi vinā na mayhaṃ bodhisambhārā sambhavanti, tasmā sabbabuddhaguṇavibhūtinipphattikāraṇattā mayhaṃ ete paramaṃ puññakkhettaṃ anuttaraṃ kusalāyatanaṃ uttamaṃ gāravaṭṭhāna’’nti ca ‘‘savisesaṃ sattesu sabbesu hitajjhāsayatā paccupaṭṭhapetabbā, kiñca karuṇādhiṭṭhānatopi sabbasattesu mettā anubrūhetabbā. Vimariyādīkatena hi cetasā sattesu hitasukhūpasaṃhāraniratassa tesaṃ ahitadukkhāpanayanakāmatā balavatī uppajjati daḷhamūlā, karuṇā ca sabbesaṃ buddhakārakadhammānamādi caraṇaṃ patiṭṭhā mūlaṃ mukhaṃ pamukha’’nti evamādinā mettāya guṇā paccavekkhitabbā.

    ตถา ‘‘อุเปกฺขาย อภาเว สเตฺตหิ กตา วิปฺปการา จิตฺตสฺส วิการํ อุปฺปาเทยฺยุํ, สติ จ จิตฺตวิกาเร ทานาทิสมฺภารานํ สมฺภโวเยว นตฺถี’’ติ จ ‘‘เมตฺตาสิเนเหน สิเนหิเต จิเตฺต อุเปกฺขาย วินา สมฺภารานํ ปาริสุทฺธิ น โหตี’’ติ จ ‘‘อนุเปกฺขโก สมฺภาเรสุ ปุญฺญสมฺภารํ ตพฺพิปากญฺจ สตฺตหิตตฺถํ ปริณาเมตุํ น สโกฺกตี’’ติ จ ‘‘อุเปกฺขาย อภาเว เทยฺยปฎิคฺคาหเกสุ วิภาคํ อกตฺวา ปริจฺจชิตุํ น สโกฺกตี’’ติ จ ‘‘อุเปกฺขารหิเตน ชีวิตปริกฺขารานํ ชีวิตสฺส จ อนฺตรายํ อมนสิกริตฺวา สํวรวิโสธนํ กาตุํ น สกฺกา’’ติ จ ‘‘อุเปกฺขาวเสน อรติรติสหเสฺสว เนกฺขมฺมพลสิทฺธิโต, อุปปตฺติโต อิกฺขนวเสเนว สพฺพสมฺภารกิจฺจนิปฺผตฺติโต, อจฺจารทฺธสฺส วีริยสฺส อนุเปกฺขเน ปธานกิจฺจากรณโต, อุเปกฺขโตเยว ติติกฺขานิชฺฌานสมฺภวโต, อุเปกฺขาวเสน สตฺตสงฺขารานํ อวิสํวาทนโต, โลกธมฺมานํ อชฺฌุเปกฺขเนน สมาทินฺนธเมฺมสุ อจลาธิฎฺฐานสิทฺธิโต, ปราปการาทีสุ อนาโภควเสเนว เมตฺตาวิหารนิปฺผตฺติโตติ สพฺพโพธิสมฺภารานํ สมาทานาธิฎฺฐานปาริปูรินิปฺผตฺติโย อุเปกฺขานุภาเวน สมฺปชฺชนฺตี’’ติ เอวํ อาทินา นเยน อุเปกฺขาปารมี ปจฺจเวกฺขิตพฺพาฯ เอวํ อปริจฺจาคปริจฺจาคาทีสุ ยถากฺกมํ อาทีนวานิสํสปจฺจเวกฺขณา ทานาทิปารมีนํ ปจฺจโยติ เวทิตพฺพาฯ

    Tathā ‘‘upekkhāya abhāve sattehi katā vippakārā cittassa vikāraṃ uppādeyyuṃ, sati ca cittavikāre dānādisambhārānaṃ sambhavoyeva natthī’’ti ca ‘‘mettāsinehena sinehite citte upekkhāya vinā sambhārānaṃ pārisuddhi na hotī’’ti ca ‘‘anupekkhako sambhāresu puññasambhāraṃ tabbipākañca sattahitatthaṃ pariṇāmetuṃ na sakkotī’’ti ca ‘‘upekkhāya abhāve deyyapaṭiggāhakesu vibhāgaṃ akatvā pariccajituṃ na sakkotī’’ti ca ‘‘upekkhārahitena jīvitaparikkhārānaṃ jīvitassa ca antarāyaṃ amanasikaritvā saṃvaravisodhanaṃ kātuṃ na sakkā’’ti ca ‘‘upekkhāvasena aratiratisahasseva nekkhammabalasiddhito, upapattito ikkhanavaseneva sabbasambhārakiccanipphattito, accāraddhassa vīriyassa anupekkhane padhānakiccākaraṇato, upekkhatoyeva titikkhānijjhānasambhavato, upekkhāvasena sattasaṅkhārānaṃ avisaṃvādanato, lokadhammānaṃ ajjhupekkhanena samādinnadhammesu acalādhiṭṭhānasiddhito, parāpakārādīsu anābhogavaseneva mettāvihāranipphattitoti sabbabodhisambhārānaṃ samādānādhiṭṭhānapāripūrinipphattiyo upekkhānubhāvena sampajjantī’’ti evaṃ ādinā nayena upekkhāpāramī paccavekkhitabbā. Evaṃ apariccāgapariccāgādīsu yathākkamaṃ ādīnavānisaṃsapaccavekkhaṇā dānādipāramīnaṃ paccayoti veditabbā.

    ตถา สปริกฺขารา ปญฺจทส จรณธมฺมา ปญฺจ จ อภิญฺญาโยฯ ตตฺถ จรณธมฺมา นาม สีลสํวโร, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา, โภชเน มตฺตญฺญุตา, ชาคริยานุโยโค, สตฺต สทฺธมฺมา, จตฺตาริ ฌานานิ จฯ เตสุ สีลาทีนํ จตุนฺนํ เตรสปิ ธุตธมฺมา, อปฺปิจฺฉตาทโย จ ปริกฺขาโร ฯ สทฺธเมฺมสุ สทฺธาย พุทฺธธมฺมสงฺฆสีลจาคเทวตูปสมานุสฺสติ- ลูขปุคฺคลปริวชฺชนสินิทฺธปุคฺคลเสวนปสาทนีย- ธมฺมปจฺจเวกฺขณตทธิมุตฺตตา ปริกฺขาโร, หิโรตฺตปฺปานํ อกุสลาทีนวปจฺจเวกฺขณอปายาทีนวปจฺจเวกฺขณกุสลธมฺมุปตฺถมฺภน- ภาวปจฺจเวกฺขณหิโรตฺตปฺป รหิตปุคฺคลปริวชฺชนหิโรตฺตปฺปสมฺปนฺนปุคฺคลเสวนตทธิมุตฺตตา, พาหุสจฺจสฺส ปุพฺพโยคปริปุจฺฉกภาวสทฺธมฺมาภิโยคอนวชฺชวิชฺชาฎฺฐานาทิ- ปริจยปริปกฺกินฺทฺริยตากิเลสทูรีภาวอปฺปสฺสุตปริวชฺชนพหุสฺสุตเสวนตทธิมุตฺตตา, วีริยสฺส อปายภยปจฺจเวกฺขณคมนวีถิปจฺจเวกฺขณธมฺมมหตฺตปจฺจเวกฺขณ- ถินมิทฺธวิโนทนกุสีตปุคฺคลปริวชฺชนอารทฺธวีริยปุคฺคล- เสวนสมฺมปฺปธานปจฺจเวกฺขณตทธิมุตฺตตา, สติยา สติสมฺปชญฺญมุฎฺฐสฺสติปุคฺคลปริวชฺชนอุปฎฺฐิตสฺสติปุคฺคลเสวนตทธิมุตฺตตา, ปญฺญาย ปริปุจฺฉกภาววตฺถุวิสทกิริยาอินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนทุปฺปญฺญ- ปุคฺคลปริวชฺชนปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนคมฺภีรญาณจริยปจฺจ- เวกฺขณตทธิมุตฺตตา, จตุนฺนํ ฌานานํ สีลาทิจตุกฺกํ อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ ปุพฺพภาคภาวนา, อาวชฺชนาทิวสีภาวกรณญฺจ ปริกฺขาโรฯ ตตฺถ สีลาทีหิ ปโยคสุทฺธิยา สตฺตานํ อภยทาเน, อาสยสุทฺธิยา อามิสทาเน, อุภยสุทฺธิยา จ ธมฺมทาเน สมโตฺถ โหตีติอาทินา จรณาทีนํ ทานาทิสมฺภารานํ ปจฺจยภาโว ยถารหํ นิทฺธาเรตโพฺพ, อติวิตฺถารภเยน น นิทฺธารยิมฺหฯ เอวํ สมฺปตฺติจกฺกาทโยปิ ทานาทีนํ ปจฺจโยติ เวทิตพฺพาฯ

    Tathā saparikkhārā pañcadasa caraṇadhammā pañca ca abhiññāyo. Tattha caraṇadhammā nāma sīlasaṃvaro, indriyesu guttadvāratā, bhojane mattaññutā, jāgariyānuyogo, satta saddhammā, cattāri jhānāni ca. Tesu sīlādīnaṃ catunnaṃ terasapi dhutadhammā, appicchatādayo ca parikkhāro. Saddhammesu saddhāya buddhadhammasaṅghasīlacāgadevatūpasamānussati- lūkhapuggalaparivajjanasiniddhapuggalasevanapasādanīya- dhammapaccavekkhaṇatadadhimuttatā parikkhāro, hirottappānaṃ akusalādīnavapaccavekkhaṇaapāyādīnavapaccavekkhaṇakusaladhammupatthambhana- bhāvapaccavekkhaṇahirottappa rahitapuggalaparivajjanahirottappasampannapuggalasevanatadadhimuttatā, bāhusaccassa pubbayogaparipucchakabhāvasaddhammābhiyogaanavajjavijjāṭṭhānādi- paricayaparipakkindriyatākilesadūrībhāvaappassutaparivajjanabahussutasevanatadadhimuttatā, vīriyassa apāyabhayapaccavekkhaṇagamanavīthipaccavekkhaṇadhammamahattapaccavekkhaṇa- thinamiddhavinodanakusītapuggalaparivajjanaāraddhavīriyapuggala- sevanasammappadhānapaccavekkhaṇatadadhimuttatā, satiyā satisampajaññamuṭṭhassatipuggalaparivajjanaupaṭṭhitassatipuggalasevanatadadhimuttatā, paññāya paripucchakabhāvavatthuvisadakiriyāindriyasamattapaṭipādanaduppañña- puggalaparivajjanapaññavantapuggalasevanagambhīrañāṇacariyapacca- vekkhaṇatadadhimuttatā, catunnaṃ jhānānaṃ sīlādicatukkaṃ aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu pubbabhāgabhāvanā, āvajjanādivasībhāvakaraṇañca parikkhāro. Tattha sīlādīhi payogasuddhiyā sattānaṃ abhayadāne, āsayasuddhiyā āmisadāne, ubhayasuddhiyā ca dhammadāne samattho hotītiādinā caraṇādīnaṃ dānādisambhārānaṃ paccayabhāvo yathārahaṃ niddhāretabbo, ativitthārabhayena na niddhārayimha. Evaṃ sampatticakkādayopi dānādīnaṃ paccayoti veditabbā.

    โก สํกิเลโสติ อวิเสเสน ตณฺหาทีหิ ปรามฎฺฐภาโว ปารมีนํ สํกิเลโส, วิเสเสน เทยฺยปฎิคฺคาหกวิกปฺปา ทานปารมิยา สํกิเลโส, สตฺตกาลวิกปฺปา สีลปารมิยา, กามภวตทุปสเมสุ อภิรติอนภิรติวิกปฺปา เนกฺขมฺมปารมิยา, ‘‘อหํ มมา’’ติ วิกปฺปา ปญฺญาปารมิยา, ลีนุทฺธจฺจวิกปฺปา วีริยปารมิยา, อตฺตปรวิกปฺปา ขนฺติปารมิยา, อทิฎฺฐาทีสุ ทิฎฺฐาทิวิกปฺปา สจฺจปารมิยา, โพธิสมฺภารตพฺพิปเกฺขสุ โทสคุณวิกปฺปา อธิฎฺฐานปารมิยา, หิตาหิตวิกปฺปา เมตฺตาปารมิยา, อิฎฺฐานิฎฺฐวิกปฺปา อุเปกฺขาปารมิยา สํกิเลโสติ เวทิตโพฺพฯ

    Ko saṃkilesoti avisesena taṇhādīhi parāmaṭṭhabhāvo pāramīnaṃ saṃkileso, visesena deyyapaṭiggāhakavikappā dānapāramiyā saṃkileso, sattakālavikappā sīlapāramiyā, kāmabhavatadupasamesu abhiratianabhirativikappā nekkhammapāramiyā, ‘‘ahaṃ mamā’’ti vikappā paññāpāramiyā, līnuddhaccavikappā vīriyapāramiyā, attaparavikappā khantipāramiyā, adiṭṭhādīsu diṭṭhādivikappā saccapāramiyā, bodhisambhāratabbipakkhesu dosaguṇavikappā adhiṭṭhānapāramiyā, hitāhitavikappā mettāpāramiyā, iṭṭhāniṭṭhavikappā upekkhāpāramiyā saṃkilesoti veditabbo.

    กิํ โวทานนฺติ ตณฺหาทีหิ อนุปฆาโต, ยถาวุตฺตวิกปฺปวิรโห จ เอตาสํ โวทานนฺติ เวทิตพฺพํฯ อนุปหตา หิ ตณฺหามานทิฎฺฐิโกธูปนาหมกฺขปลาสอิสฺสามจฺฉริยมายาสาเฐยฺยถมฺภสารมฺภ- มทปมาทาทีหิ กิเลเสหิ เทยฺยปฎิคฺคาหกวิกปฺปาทิรหิตา จ ทานาทิปารมิโย ปริสุทฺธา ปภสฺสรา ภวนฺตีติฯ

    Kiṃ vodānanti taṇhādīhi anupaghāto, yathāvuttavikappaviraho ca etāsaṃ vodānanti veditabbaṃ. Anupahatā hi taṇhāmānadiṭṭhikodhūpanāhamakkhapalāsaissāmacchariyamāyāsāṭheyyathambhasārambha- madapamādādīhi kilesehi deyyapaṭiggāhakavikappādirahitā ca dānādipāramiyo parisuddhā pabhassarā bhavantīti.

    โก ปฎิปโกฺขติ อวิเสเสน สเพฺพปิ กิเลสา สเพฺพปิ อกุสลา ธมฺมา เอตาสํ ปฎิปโกฺข, วิเสเสน ปน ปุเพฺพ วุตฺตา มเจฺฉราทโยติ เวทิตพฺพาฯ อปิจ เทยฺยปฎิคฺคาหกทานผเลสุ อโลภาโทสาโมหคุณโยคโต โลภโทสโมหปฎิปกฺขํ ทานํ, กายาทิโทสวงฺกาปคมนโต โลภาทิปฎิปกฺขํ สีลํ , กามสุขปรูปฆาตอตฺตกิลมถปริวชฺชนโต โทสตฺตยปฎิปกฺขํ เนกฺขมฺมํ, โลภาทีนํ อนฺธีกรณโต, ญาณสฺส จ อนนฺธีกรณโต โลภาทิปฎิปกฺขา ปญฺญา, อลีนานุทฺธตญายารมฺภวเสน โลภาทิปฎิปกฺขํ วีริยํ, อิฎฺฐานิฎฺฐสุญฺญตานํ ขมนโต โลภาทิปฎิปกฺขา ขนฺติ, สติปิ ปเรสํ อุปกาเร อปกาเร จ ยถาภูตปฺปวตฺติยา โลภาทิปฎิปกฺขํ สจฺจํ, โลกธเมฺม อภิภุยฺย ยถาสมาทิเนฺนสุ สมฺภาเรสุ อจลนโต โลภาทิปฎิปกฺขํ อธิฎฺฐานํ, นีวรณวิเวกโต โลภาทิปฎิปกฺขา เมตฺตา, อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ อนุนยปฎิฆวิทฺธํสนโต, สมปฺปวตฺติโต จ โลภาทิปฎิปกฺขา อุเปกฺขาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Kopaṭipakkhoti avisesena sabbepi kilesā sabbepi akusalā dhammā etāsaṃ paṭipakkho, visesena pana pubbe vuttā maccherādayoti veditabbā. Apica deyyapaṭiggāhakadānaphalesu alobhādosāmohaguṇayogato lobhadosamohapaṭipakkhaṃ dānaṃ, kāyādidosavaṅkāpagamanato lobhādipaṭipakkhaṃ sīlaṃ , kāmasukhaparūpaghātaattakilamathaparivajjanato dosattayapaṭipakkhaṃ nekkhammaṃ, lobhādīnaṃ andhīkaraṇato, ñāṇassa ca anandhīkaraṇato lobhādipaṭipakkhā paññā, alīnānuddhatañāyārambhavasena lobhādipaṭipakkhaṃ vīriyaṃ, iṭṭhāniṭṭhasuññatānaṃ khamanato lobhādipaṭipakkhā khanti, satipi paresaṃ upakāre apakāre ca yathābhūtappavattiyā lobhādipaṭipakkhaṃ saccaṃ, lokadhamme abhibhuyya yathāsamādinnesu sambhāresu acalanato lobhādipaṭipakkhaṃ adhiṭṭhānaṃ, nīvaraṇavivekato lobhādipaṭipakkhā mettā, iṭṭhāniṭṭhesu anunayapaṭighaviddhaṃsanato, samappavattito ca lobhādipaṭipakkhā upekkhāti daṭṭhabbaṃ.

    กา ปฎิปตฺตีติ สุขูปกรณสรีรชีวิตปริจฺจาเคน ภยาปนูทเนน ธโมฺมปเทเสน จ พหุธา สตฺตานํ อนุคฺคหกรณํ ทาเน ปฎิปตฺติฯ ตตฺถายํ วิตฺถารนโย – ‘‘อิมินาหํ ทาเนน สตฺตานํ อายุวณฺณสุขพลปฎิภานาทิสมฺปตฺติํ รมณียํ อคฺคผลสมฺปตฺติํ นิปฺผาเทยฺย’’นฺติ อนฺนทานํ เทติ, ตถา สตฺตานํ กมฺมกิเลสปิปาสวูปสมาย ปานํ เทติ, ตถา สุวณฺณวณฺณตาย, หิโรตฺตปฺปาลงฺการสฺส จ นิปฺผตฺติยา วตฺถานิ เทติ, ตถา อิทฺธิวิธสฺส เจว นิพฺพานสุขสฺส จ นิปฺผตฺติยา ยานํ เทติ, ตถา สีลคนฺธนิปฺผตฺติยา คนฺธํ, พุทฺธคุณโสภานิปฺผตฺติยา มาลาวิเลปนํ, โพธิมณฺฑาสนนิปฺผตฺติยา อาสนํ , ตถาคตเสยฺยานิปฺผตฺติยา เสยฺยํ, สรณภาวนิปฺผตฺติยา อาวสถํ, ปญฺจจกฺขุปฎิลาภาย ปทีเปยฺยํ เทติฯ พฺยามปฺปภานิปฺผตฺติยา รูปทานํ, พฺรหฺมสฺสรนิปฺผตฺติยา สทฺททานํ, สพฺพโลกสฺส ปิยภาวาย รสทานํ, พุทฺธสุขุมาลภาวาย โผฎฺฐพฺพทานํ, อชรามรณภาวาย เภสชฺชทานํ, กิเลสทาสพฺยวิโมจนตฺถํ ทาสานํ ภุชิสฺสตาทานํ, สทฺธมฺมาภิรติยา อนวชฺชขิฑฺฑารติเหตุทานํ, สเพฺพปิ สเตฺต อริยาย ชาติยา อตฺตโน ปุตฺตภาวูปนยนาย ปุตฺตทานํ, สกลสฺส โลกสฺส ปติภาวูปคมนาย ทารทานํ, สุภลกฺขณสมฺปตฺติยา สุวณฺณมณิมุตฺตาปวาฬาทิทานํ, อนุพฺยญฺชนสมฺปตฺติยา นานาวิธวิภูสนทานํ, สทฺธมฺมโกสาธิคมาย วิตฺตโกสทานํ, ธมฺมราชภาวาย รชฺชทานํ, ฌานาทิสมฺปตฺติยา อารามุยฺยานาทิวนทานํ, จกฺกงฺกิเตหิ ปาเทหิ โพธิมณฺฑูปสงฺกมนาย จรณทานํ, จตุโรฆนิตฺถรณาย สตฺตานํ สทฺธมฺมหตฺถทานตฺถํ หตฺถทานํ, สทฺธินฺทฺริยาทิปฎิลาภาย กณฺณนาสาทิทานํ, สมนฺตจกฺขุปฎิลาภาย จกฺขุทานํ, ‘‘ทสฺสนสวนานุสฺสรณปาริจริยาทีสุ สพฺพกาลํ สพฺพสตฺตานํ หิตสุขาวโห, สพฺพโลเกน จ อุปชีวิตโพฺพ เม กาโย ภเวยฺยา’’ติ มํสโลหิตาทิทานํ, ‘‘สพฺพโลกุตฺตโม ภเวยฺย’’นฺติ อุตฺตมงฺคทานํ เทติฯ

    Kā paṭipattīti sukhūpakaraṇasarīrajīvitapariccāgena bhayāpanūdanena dhammopadesena ca bahudhā sattānaṃ anuggahakaraṇaṃ dāne paṭipatti. Tatthāyaṃ vitthāranayo – ‘‘imināhaṃ dānena sattānaṃ āyuvaṇṇasukhabalapaṭibhānādisampattiṃ ramaṇīyaṃ aggaphalasampattiṃ nipphādeyya’’nti annadānaṃ deti, tathā sattānaṃ kammakilesapipāsavūpasamāya pānaṃ deti, tathā suvaṇṇavaṇṇatāya, hirottappālaṅkārassa ca nipphattiyā vatthāni deti, tathā iddhividhassa ceva nibbānasukhassa ca nipphattiyā yānaṃ deti, tathā sīlagandhanipphattiyā gandhaṃ, buddhaguṇasobhānipphattiyā mālāvilepanaṃ, bodhimaṇḍāsananipphattiyā āsanaṃ , tathāgataseyyānipphattiyā seyyaṃ, saraṇabhāvanipphattiyā āvasathaṃ, pañcacakkhupaṭilābhāya padīpeyyaṃ deti. Byāmappabhānipphattiyā rūpadānaṃ, brahmassaranipphattiyā saddadānaṃ, sabbalokassa piyabhāvāya rasadānaṃ, buddhasukhumālabhāvāya phoṭṭhabbadānaṃ, ajarāmaraṇabhāvāya bhesajjadānaṃ, kilesadāsabyavimocanatthaṃ dāsānaṃ bhujissatādānaṃ, saddhammābhiratiyā anavajjakhiḍḍāratihetudānaṃ, sabbepi satte ariyāya jātiyā attano puttabhāvūpanayanāya puttadānaṃ, sakalassa lokassa patibhāvūpagamanāya dāradānaṃ, subhalakkhaṇasampattiyā suvaṇṇamaṇimuttāpavāḷādidānaṃ, anubyañjanasampattiyā nānāvidhavibhūsanadānaṃ, saddhammakosādhigamāya vittakosadānaṃ, dhammarājabhāvāya rajjadānaṃ, jhānādisampattiyā ārāmuyyānādivanadānaṃ, cakkaṅkitehi pādehi bodhimaṇḍūpasaṅkamanāya caraṇadānaṃ, caturoghanittharaṇāya sattānaṃ saddhammahatthadānatthaṃ hatthadānaṃ, saddhindriyādipaṭilābhāya kaṇṇanāsādidānaṃ, samantacakkhupaṭilābhāya cakkhudānaṃ, ‘‘dassanasavanānussaraṇapāricariyādīsu sabbakālaṃ sabbasattānaṃ hitasukhāvaho, sabbalokena ca upajīvitabbo me kāyo bhaveyyā’’ti maṃsalohitādidānaṃ, ‘‘sabbalokuttamo bhaveyya’’nti uttamaṅgadānaṃ deti.

    เอวํ ททโนฺต จ น อเนสนาย เทติ, น ปโรปฆาเตน, น ภเยน, น ลชฺชาย, น ทกฺขิเณยฺยโรสเนน, น ปณีเต สติ ลูขํ, น อตฺตุกฺกํสเนน, น ปรวมฺภเนน, น ผลาภิกงฺขาย, น ยาจกชิคุจฺฉาย, น อจิตฺตีกาเรน เทติ, อถ โข สกฺกจฺจํ เทติ, สหเตฺถน เทติ, กาเลน เทติ, จิตฺติํ กตฺวา เทติ, อวิภาเคน เทติ, ตีสุ กาเลสุ โสมนสฺสิโต เทติฯ ตโตเยว ทตฺวา น ปจฺฉานุตาปี โหติ, น ปฎิคฺคาหกวเสน มานาวมานํ กโรติ, ปฎิคฺคาหกานํ ปิยสมุทาจาโร โหติ วทญฺญู ยาจโยโค สปริวารทายีฯ ตญฺจ ทานสมฺปตฺติํ สกลโลกหิตสุขาย ปริณาเมติ, อตฺตโน จ อกุปฺปาย วิมุตฺติยา, อปริกฺขยสฺส ฉนฺทสฺส, อปริกฺขยสฺส วีริยสฺส, อปริกฺขยสฺส สมาธานสฺส, อปริกฺขยสฺส ญาณสฺส, อปริกฺขยาย สมฺมาสโมฺพธิยา ปริณาเมติฯ อิมญฺจ ทานปารมิํ ปฎิปชฺชเนฺตน มหาสเตฺตน ชีวิเต, โภเคสุ จ อนิจฺจสญฺญา ปจฺจุปฎฺฐเปตพฺพา, สเตฺตสุ จ มหากรุณาฯ เอวญฺหิ โภเค คเหตพฺพสารํ คณฺหโนฺต อาทิตฺตสฺมา วิย อคารสฺมา สพฺพํ สาปเตยฺยํ, อตฺตานญฺจ พหิ นีหรโนฺต น กิญฺจิ เสเสติ, นิรวเสสโต นิสฺสชฺชติเยวฯ อยํ ตาว ทานปารมิยา ปฎิปตฺติกฺกโมฯ

    Evaṃ dadanto ca na anesanāya deti, na paropaghātena, na bhayena, na lajjāya, na dakkhiṇeyyarosanena, na paṇīte sati lūkhaṃ, na attukkaṃsanena, na paravambhanena, na phalābhikaṅkhāya, na yācakajigucchāya, na acittīkārena deti, atha kho sakkaccaṃ deti, sahatthena deti, kālena deti, cittiṃ katvā deti, avibhāgena deti, tīsu kālesu somanassito deti. Tatoyeva datvā na pacchānutāpī hoti, na paṭiggāhakavasena mānāvamānaṃ karoti, paṭiggāhakānaṃ piyasamudācāro hoti vadaññū yācayogo saparivāradāyī. Tañca dānasampattiṃ sakalalokahitasukhāya pariṇāmeti, attano ca akuppāya vimuttiyā, aparikkhayassa chandassa, aparikkhayassa vīriyassa, aparikkhayassa samādhānassa, aparikkhayassa ñāṇassa, aparikkhayāya sammāsambodhiyā pariṇāmeti. Imañca dānapāramiṃ paṭipajjantena mahāsattena jīvite, bhogesu ca aniccasaññā paccupaṭṭhapetabbā, sattesu ca mahākaruṇā. Evañhi bhoge gahetabbasāraṃ gaṇhanto ādittasmā viya agārasmā sabbaṃ sāpateyyaṃ, attānañca bahi nīharanto na kiñci seseti, niravasesato nissajjatiyeva. Ayaṃ tāva dānapāramiyā paṭipattikkamo.

    สีลปารมิยา ปน ยสฺมา สพฺพญฺญุสีลาลงฺกาเรหิ สเตฺต อลงฺกริตุกาเมน อตฺตโนเยว ตาว สีลํ วิโสเธตพฺพํ, ตสฺมา สเตฺตสุ ตถา ทยาปนฺนจิเตฺตน ภวิตพฺพํ, ยถา สุปินเนฺตนปิ น อาฆาโต อุปฺปเชฺชยฺยฯ ปรูปการนิรตตาย ปรสนฺตโก อลคโทฺท วิย น ปรามสิตโพฺพฯ อพฺรหฺมจริยโตปิ อาราจารี, สตฺตวิธเมถุน สํโยควิรโต, ปเคว ปรทารคมนโตฯ สจฺจํ หิตํ ปิยํ ปริมิตเมว จ กาเลน ธมฺมิํ กถํ ภาสิตา โหติ, อนภิชฺฌาลุ อพฺยาปโนฺน อวิปรีตทสฺสโน สมฺมาสมฺพุเทฺธ นิวิฎฺฐสโทฺธ นิวิฎฺฐเปโมฯ อิติ จตุราปายวฎฺฎทุกฺขปเถหิ อกุสลกมฺมปเถหิ, อกุสลธเมฺมหิ จ โอรมิตฺวา สคฺคโมกฺขปเถสุ กุสลกมฺมปเถสุ ปติฎฺฐิตสฺส สุทฺธาสยปโยคตาย ยถาภิปตฺถิตา สตฺตานํ หิตสุขูปสญฺหิตา มโนรถา สีฆํ อภินิปฺผชฺชนฺติฯ

    Sīlapāramiyā pana yasmā sabbaññusīlālaṅkārehi satte alaṅkaritukāmena attanoyeva tāva sīlaṃ visodhetabbaṃ, tasmā sattesu tathā dayāpannacittena bhavitabbaṃ, yathā supinantenapi na āghāto uppajjeyya. Parūpakāraniratatāya parasantako alagaddo viya na parāmasitabbo. Abrahmacariyatopi ārācārī, sattavidhamethuna saṃyogavirato, pageva paradāragamanato. Saccaṃ hitaṃ piyaṃ parimitameva ca kālena dhammiṃ kathaṃ bhāsitā hoti, anabhijjhālu abyāpanno aviparītadassano sammāsambuddhe niviṭṭhasaddho niviṭṭhapemo. Iti caturāpāyavaṭṭadukkhapathehi akusalakammapathehi, akusaladhammehi ca oramitvā saggamokkhapathesu kusalakammapathesu patiṭṭhitassa suddhāsayapayogatāya yathābhipatthitā sattānaṃ hitasukhūpasañhitā manorathā sīghaṃ abhinipphajjanti.

    ตตฺถ หิํสานิวตฺติยา สพฺพสตฺตานํ อภยทานํ เทติ, อปฺปกสิเรเนว เมตฺตาภาวนํ สมฺปาเทติ, เอกาทส เมตฺตานิสํเส อธิคจฺฉติ, อปฺปาพาโธ โหติ อปฺปาตโงฺก ทีฆายุโก สุขพหุโล, ลกฺขณวิเสเส ปาปุณาติ, โทสวาสนญฺจ สมุจฺฉินฺทติฯ ตถา อทินฺนาทานนิวตฺติยา โจราทิอสาธารเณ อุฬาเร โภเค อธิคจฺฉติ, อนาสงฺกนีโย ปิโย มนาโป วิสฺสสนีโย, วิภวสมฺปตฺตีสุ อลคฺคจิโตฺต ปริจฺจาคสีโล , โลภวาสนญฺจ สมุจฺฉินฺทติฯ อพฺรหฺมจริยนิวตฺติยา อโลโภ โหติ สนฺตกายจิโตฺต, สตฺตานํ ปิโย โหติ มนาโป อปริสงฺกนีโย, กลฺยาโณ จสฺส กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉติ, อลคฺคจิโตฺต โหติ มาตุคาเมสุ อลุทฺธาสโย, เนกฺขมฺมพหุโล, ลกฺขณวิเสเส อธิคจฺฉติ, โลภวาสนญฺจ สมุจฺฉินฺทติฯ

    Tattha hiṃsānivattiyā sabbasattānaṃ abhayadānaṃ deti, appakasireneva mettābhāvanaṃ sampādeti, ekādasa mettānisaṃse adhigacchati, appābādho hoti appātaṅko dīghāyuko sukhabahulo, lakkhaṇavisese pāpuṇāti, dosavāsanañca samucchindati. Tathā adinnādānanivattiyā corādiasādhāraṇe uḷāre bhoge adhigacchati, anāsaṅkanīyo piyo manāpo vissasanīyo, vibhavasampattīsu alaggacitto pariccāgasīlo , lobhavāsanañca samucchindati. Abrahmacariyanivattiyā alobho hoti santakāyacitto, sattānaṃ piyo hoti manāpo aparisaṅkanīyo, kalyāṇo cassa kittisaddo abbhuggacchati, alaggacitto hoti mātugāmesu aluddhāsayo, nekkhammabahulo, lakkhaṇavisese adhigacchati, lobhavāsanañca samucchindati.

    มุสาวาทนิวตฺติยา สตฺตานํ ปมาณภูโต โหติ ปจฺจยิโก เถโต อาเทยฺยวจโน เทวตานํ ปิโย มนาโป สุรภิคนฺธมุโข อารกฺขิยกายวจีสมาจาโร , ลกฺขณวิเสเส จ อธิคจฺฉติ, กิเลสวาสนญฺจ สมุจฺฉินฺทติฯ เปสุญฺญนิวตฺติยา ปรูปกฺกเมหิ อเภชฺชกาโย โหติ อเภชฺชปริวาโร, สทฺธเมฺม จ อภิชฺชนกสโทฺธ, ทฬฺหมิโตฺต ภวนฺตรปริจิตานมฺปิ สตฺตานํ เอกนฺตปิโย, อสํกิเลสพหุโลฯ ผรุสวาจานิวตฺติยา สตฺตานํ ปิโย โหติ มนาโป สุขสีโล มธุรวจโน สมฺภาวนีโย, อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต จสฺส สโร (ม. นิ. ๒.๓๘๗) นิพฺพตฺตติฯ สมฺผปฺปลาปนิวตฺติยา จ สตฺตานํ ปิโย โหติ มนาโป ครุภาวนีโย จ อาเทยฺยวจโน จ ปริมิตาลาโป, มเหสโกฺข จ โหติ มหานุภาโว, ฐานุปฺปตฺติเกน ปฎิภาเนน ปญฺหานํ พฺยากรณกุสโล, พุทฺธภูมิยญฺจ เอกาย เอว วาจาย อเนกภาสานํ สตฺตานํ อเนเกสํ ปญฺหานํ พฺยากรณสมโตฺถ โหติฯ

    Musāvādanivattiyā sattānaṃ pamāṇabhūto hoti paccayiko theto ādeyyavacano devatānaṃ piyo manāpo surabhigandhamukho ārakkhiyakāyavacīsamācāro , lakkhaṇavisese ca adhigacchati, kilesavāsanañca samucchindati. Pesuññanivattiyā parūpakkamehi abhejjakāyo hoti abhejjaparivāro, saddhamme ca abhijjanakasaddho, daḷhamitto bhavantaraparicitānampi sattānaṃ ekantapiyo, asaṃkilesabahulo. Pharusavācānivattiyā sattānaṃ piyo hoti manāpo sukhasīlo madhuravacano sambhāvanīyo, aṭṭhaṅgasamannāgato cassa saro (ma. ni. 2.387) nibbattati. Samphappalāpanivattiyā ca sattānaṃ piyo hoti manāpo garubhāvanīyo ca ādeyyavacano ca parimitālāpo, mahesakkho ca hoti mahānubhāvo, ṭhānuppattikena paṭibhānena pañhānaṃ byākaraṇakusalo, buddhabhūmiyañca ekāya eva vācāya anekabhāsānaṃ sattānaṃ anekesaṃ pañhānaṃ byākaraṇasamattho hoti.

    อนภิชฺฌาลุตาย อิจฺฉิตลาภี โหติ, อุฬาเรสุ จ โภเคสุ รุจิํ ปฎิลภติ, ขตฺติยมหาสาลาทีนํ สมฺมโต โหติ, ปจฺจตฺถิเกหิ อนภิภวนีโย, อินฺทฺริยเวกลฺลํ น ปาปุณาติ, อปฺปฎิปุคฺคโล จ โหติฯ อพฺยาปาเทน ปิยทสฺสโน โหติ สตฺตานํ สมฺภาวนีโย, ปรหิตาภินนฺทิตาย จ สเตฺต อปฺปกสิเรเนว ปสาเทติ, อลูขสภาโว จ โหติ เมตฺตาวิหารี, มเหสโกฺข จ โหติ มหานุภาโวฯ มิจฺฉาทสฺสนาภาเวน กลฺยาเณ สหาเย ปฎิลภติ, สีสเจฺฉทมฺปิ ปาปุณโนฺต ปาปกมฺมํ น กโรติ, กมฺมสฺสกตาทสฺสนโต อโกตูหลมงฺคลิโก จ โหติ, สทฺธเมฺม จสฺส สทฺธา ปติฎฺฐิตา โหติ มูลชาตา, สทฺทหติ จ ตถาคตานํ โพธิํ , สมยนฺตเรสุ นาภิรมติ อุกฺการฎฺฐาเน วิย ราชหํโส, ลกฺขณตฺตยปริชานนกุสโล โหติ, อเนฺต จ อนาวรณญาณลาภี, ยาว โพธิํ น ปาปุณาติ, ตาว ตสฺมิํ ตสฺมิํ สตฺตนิกาเย อุกฺกฎฺฐุกฺกโฎฺฐ จ โหติ, อุฬารุฬารสมฺปตฺติโย ปาปุณาติฯ

    Anabhijjhālutāya icchitalābhī hoti, uḷāresu ca bhogesu ruciṃ paṭilabhati, khattiyamahāsālādīnaṃ sammato hoti, paccatthikehi anabhibhavanīyo, indriyavekallaṃ na pāpuṇāti, appaṭipuggalo ca hoti. Abyāpādena piyadassano hoti sattānaṃ sambhāvanīyo, parahitābhinanditāya ca satte appakasireneva pasādeti, alūkhasabhāvo ca hoti mettāvihārī, mahesakkho ca hoti mahānubhāvo. Micchādassanābhāvena kalyāṇe sahāye paṭilabhati, sīsacchedampi pāpuṇanto pāpakammaṃ na karoti, kammassakatādassanato akotūhalamaṅgaliko ca hoti, saddhamme cassa saddhā patiṭṭhitā hoti mūlajātā, saddahati ca tathāgatānaṃ bodhiṃ , samayantaresu nābhiramati ukkāraṭṭhāne viya rājahaṃso, lakkhaṇattayaparijānanakusalo hoti, ante ca anāvaraṇañāṇalābhī, yāva bodhiṃ na pāpuṇāti, tāva tasmiṃ tasmiṃ sattanikāye ukkaṭṭhukkaṭṭho ca hoti, uḷāruḷārasampattiyo pāpuṇāti.

    ‘‘อิติ หิทํ สีลํ นาม สพฺพสมฺปตฺตีนํ อธิฎฺฐานํ, สพฺพพุทฺธคุณานํ ปภวภูมิ, สพฺพพุทฺธกรธมฺมานมาทิ จรณํ มุขํ ปมุข’’นฺติ พหุมานํ อุปฺปาเทตฺวา กายวจีสํยเม, อินฺทฺริยทมเน, อาชีวสมฺปทาย, ปจฺจยปริโภเค จ สติสมฺปชญฺญพเลน อปฺปมเตฺตน ลาภสกฺการสิโลกํ มิตฺตมุขปจฺจตฺถิกํ วิย สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘กิกีว อณฺฑ’’นฺติอาทินา (วิสุทฺธิ. ๑.๑๙; ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗) วุตฺตนเยน สกฺกจฺจํ สีลํ สมฺปาเทตพฺพํ ฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๖) วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ ตญฺจ ปเนตํ สีลํ น อตฺตโน ทุคฺคติปริกิเลสวิมุตฺติยา, สุคติยมฺปิ, น รชฺชสมฺปตฺติยา, นจกฺกวตฺติ-นเทว-นสกฺก-นมาร-นพฺรหฺมสมฺปตฺติยา, นาปิ อตฺตโน เตวิชฺชตาทิเหตุ, น ปเจฺจกโพธิยา, อถ โข สพฺพญฺญุภาเวน สพฺพสตฺตานํ อนุตฺตรสีลาลงฺการสมฺปาทนตฺถเมวาติ ปริณาเมตพฺพํฯ

    ‘‘Iti hidaṃ sīlaṃ nāma sabbasampattīnaṃ adhiṭṭhānaṃ, sabbabuddhaguṇānaṃ pabhavabhūmi, sabbabuddhakaradhammānamādi caraṇaṃ mukhaṃ pamukha’’nti bahumānaṃ uppādetvā kāyavacīsaṃyame, indriyadamane, ājīvasampadāya, paccayaparibhoge ca satisampajaññabalena appamattena lābhasakkārasilokaṃ mittamukhapaccatthikaṃ viya sallakkhetvā ‘‘kikīva aṇḍa’’ntiādinā (visuddhi. 1.19; dī. ni. aṭṭha. 1.7) vuttanayena sakkaccaṃ sīlaṃ sampādetabbaṃ . Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimagge (visuddhi. 1.6) vuttanayena veditabbo. Tañca panetaṃ sīlaṃ na attano duggatiparikilesavimuttiyā, sugatiyampi, na rajjasampattiyā, nacakkavatti-nadeva-nasakka-namāra-nabrahmasampattiyā, nāpi attano tevijjatādihetu, na paccekabodhiyā, atha kho sabbaññubhāvena sabbasattānaṃ anuttarasīlālaṅkārasampādanatthamevāti pariṇāmetabbaṃ.

    ตถา สกลสํกิเลสนิวาสฎฺฐานตาย, ปุตฺตทาราทีหิ มหาสมฺพาธตาย, กสิวณิชฺชาทินานาวิธกมฺมนฺตาธิฎฺฐานพฺยากุลตาย จ ฆราวาสสฺส เนกฺขมฺมสุขาทีนํ อโนกาสตํ, กามานญฺจ ‘‘สตฺถธาราลคฺคมธุพินฺทุ วิย จ อวเลยฺหมานา ปริตฺตสฺสาทา วิปุลานตฺถานุพนฺธา’’ติ จ ‘‘วิชฺชุลโตภาเสน คเหตพฺพํ นจฺจํ วิย ปริตฺตกาโลปลพฺภา, อุมฺมตฺตกาลงฺกาโร วิย วิปรีตสญฺญาย อนุภวิตพฺพา , กรีสาวจฺฉาทนสุขํ วิย ปฎิการภูตา, อุทกเตมิตงฺคุลิยา อุสฺสาวโกทกปานํ วิย อติตฺติกรา, ฉาตชฺฌตฺตโภชนํ วิย สาพาธา, พลิสามิสํ วิย พฺยสนสนฺนิปาตการณา, อคฺคิสนฺตาโป วิย กาลตฺตเยปิ ทุกฺขุปฺปตฺติเหตุภูตา, มกฺกฎาเลโป วิย พนฺธนิมิตฺตา ฆาตกาวจฺฉาทนกิมิลโย วิย อนตฺถจฺฉาทนา, สปตฺตคามวาโส วิย ภยฎฺฐานภูตา, ปจฺจตฺถิกโปสโก วิย กิเลสมาราทีนํ อามิสภูตา, ฉณสมฺปตฺติโย วิย วิปริณามทุกฺขา, โกฎรคฺคิ วิย อโนฺตทาหกา, ปุราณกูปาวลมฺพพีรณมธุปิณฺฑํ วิย อเนกาทีนวา, โลณูทกปานํ วิย ปิปาสเหตุภูตา, สุราเมรยํ วิย นีจชนเสวิตา, อปฺปสฺสาทตาย อฎฺฐิกงฺกลูปมา’’ติอาทินา จ นเยน อาทีนวํ สลฺลเกฺขตฺวา ตพฺพิปริยาเยน เนกฺขเมฺม อานิสํสํ ปสฺสเนฺตน เนกฺขมฺมปวิเวกอุปสมสุขาทีสุ นินฺนโปณปพฺภารจิเตฺตน เนกฺขมฺมปารมี ปูเรตพฺพาฯ

    Tathā sakalasaṃkilesanivāsaṭṭhānatāya, puttadārādīhi mahāsambādhatāya, kasivaṇijjādinānāvidhakammantādhiṭṭhānabyākulatāya ca gharāvāsassa nekkhammasukhādīnaṃ anokāsataṃ, kāmānañca ‘‘satthadhārālaggamadhubindu viya ca avaleyhamānā parittassādā vipulānatthānubandhā’’ti ca ‘‘vijjulatobhāsena gahetabbaṃ naccaṃ viya parittakālopalabbhā, ummattakālaṅkāro viya viparītasaññāya anubhavitabbā , karīsāvacchādanasukhaṃ viya paṭikārabhūtā, udakatemitaṅguliyā ussāvakodakapānaṃ viya atittikarā, chātajjhattabhojanaṃ viya sābādhā, balisāmisaṃ viya byasanasannipātakāraṇā, aggisantāpo viya kālattayepi dukkhuppattihetubhūtā, makkaṭālepo viya bandhanimittā ghātakāvacchādanakimilayo viya anatthacchādanā, sapattagāmavāso viya bhayaṭṭhānabhūtā, paccatthikaposako viya kilesamārādīnaṃ āmisabhūtā, chaṇasampattiyo viya vipariṇāmadukkhā, koṭaraggi viya antodāhakā, purāṇakūpāvalambabīraṇamadhupiṇḍaṃ viya anekādīnavā, loṇūdakapānaṃ viya pipāsahetubhūtā, surāmerayaṃ viya nīcajanasevitā, appassādatāya aṭṭhikaṅkalūpamā’’tiādinā ca nayena ādīnavaṃ sallakkhetvā tabbipariyāyena nekkhamme ānisaṃsaṃ passantena nekkhammapavivekaupasamasukhādīsu ninnapoṇapabbhāracittena nekkhammapāramī pūretabbā.

    ตถา ยสฺมา ปญฺญา อาโลโก วิย อนฺธกาเรน, โมเหน สห น วตฺตติ, ตสฺมา โมหการณานิ ตาว โพธิสเตฺตน ปริวชฺชิตพฺพานิฯ ตตฺถิมานิ โมหการณานิ – อรติ ตนฺที วิชมฺภิตา อาลสิยํ คณสงฺคณิการามตา นิทฺทาสีลตา อนิจฺฉยสีลตา ญาณสฺมิํ อกุตูหลตา มิจฺฉาธิมาโน อปริปุจฺฉกตา กายสฺส น สมฺมาปริหาโร อสมาหิตจิตฺตตา ทุปฺปญฺญานํ ปุคฺคลานํ เสวนา ปญฺญวนฺตานํ อปยิรุปาสนา อตฺตปริภโว มิจฺฉาวิกโปฺป วิปรีตาภินิเวโส กายทฬฺหีพหุลตา อสํเวคสีลตา ปญฺจ นีวรณานิฯ สเงฺขปโต เย วา ปน ธเมฺม อาเสวโต อนุปฺปนฺนา ปญฺญา น อุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนา ปริหายติ, อิติ อิมานิ สโมฺมหการณานิ ปริวชฺชเนฺตน พาหุสเจฺจ ฌานาทีสุ จ โยโค กรณีโยฯ

    Tathā yasmā paññā āloko viya andhakārena, mohena saha na vattati, tasmā mohakāraṇāni tāva bodhisattena parivajjitabbāni. Tatthimāni mohakāraṇāni – arati tandī vijambhitā ālasiyaṃ gaṇasaṅgaṇikārāmatā niddāsīlatā anicchayasīlatā ñāṇasmiṃ akutūhalatā micchādhimāno aparipucchakatā kāyassa na sammāparihāro asamāhitacittatā duppaññānaṃ puggalānaṃ sevanā paññavantānaṃ apayirupāsanā attaparibhavo micchāvikappo viparītābhiniveso kāyadaḷhībahulatā asaṃvegasīlatā pañca nīvaraṇāni. Saṅkhepato ye vā pana dhamme āsevato anuppannā paññā na uppajjati, uppannā parihāyati, iti imāni sammohakāraṇāni parivajjantena bāhusacce jhānādīsu ca yogo karaṇīyo.

    ตตฺถายํ พาหุสจฺจสฺส วิสยวิภาโค – ปญฺจ ขนฺธา ทฺวาทสายตนานิ, อฎฺฐารส ธาตุโย จตฺตาริ สจฺจานิ พาวีสตินฺทฺริยานิ ทฺวาทสปทิโก ปฎิจฺจสมุปฺปาโท, ตถา สติปฎฺฐานาทโย กุสลาทิธมฺมปฺปการเภทา จฯ ยานิ จ โลเก อนวชฺชานิ วิชฺชฎฺฐานานิ, เย จ สตฺตานํ หิตสุขวิธานโยคฺยา พฺยากรณวิเสสาฯ อิติ เอวํ ปการํ สกลเมว สุตวิสยํ อุปายโกสลฺลปุพฺพงฺคมาย ปญฺญาย สติวีริยุปตฺถมฺภการณาย สาธุกํ อุคฺคหณสวนธารณปริจยปริปุจฺฉาหิ โอคาเหตฺวา ตตฺถ จ ปเรสํ ปติฎฺฐปเนน สุตมยา ปญฺญา นิพฺพเตฺตตพฺพา, ตถา ขนฺธาทีนํ สภาวธมฺมานํ อาการปริวิตกฺกนมุเขน เต นิชฺฌานํ ขมาเปเนฺตน จินฺตามยา, ขนฺธาทีนํเยว ปน สลกฺขณสามญฺญลกฺขณปริคฺคหวเสน โลกิยํ ปริญฺญํ นิพฺพเตฺตเนฺตน ปุพฺพภาคภาวนาปญฺญา สมฺปาเทตพฺพาฯ เอวญฺหิ ‘‘นามรูปมตฺตมิทํ ยถารหํ ปจฺจเยหิ อุปฺปชฺชติ เจว นิรุชฺฌติ จ, น เอตฺถ โกจิ กตฺตา วา กาเรตา วา, หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจํ, อุทยพฺพยปฎิปีฬนเฎฺฐน ทุกฺขํ, อวสวตฺตนเฎฺฐน อนตฺตา’’ติ อชฺฌตฺติกพาหิเร ธเมฺม นิพฺพิเสสํ ปริชานโนฺต ตตฺถ อาสงฺคํ ปชหิตฺวา, ปเร จ ตตฺถ ตํ ชหาเปตฺวา เกวลํ กรุณาวเสเนว ยาว น พุทฺธคุณา หตฺถตลํ อาคจฺฉนฺติ, ตาว ยานตฺตเย สเตฺต อวตารณปริปาจเนหิ ปติฎฺฐาเปโนฺต, ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺติโย จ วสีภาวํ ปาเปโนฺต ปญฺญาย อติวิย มตฺถกํ ปาปุณาตีติฯ

    Tatthāyaṃ bāhusaccassa visayavibhāgo – pañca khandhā dvādasāyatanāni, aṭṭhārasa dhātuyo cattāri saccāni bāvīsatindriyāni dvādasapadiko paṭiccasamuppādo, tathā satipaṭṭhānādayo kusalādidhammappakārabhedā ca. Yāni ca loke anavajjāni vijjaṭṭhānāni, ye ca sattānaṃ hitasukhavidhānayogyā byākaraṇavisesā. Iti evaṃ pakāraṃ sakalameva sutavisayaṃ upāyakosallapubbaṅgamāya paññāya sativīriyupatthambhakāraṇāya sādhukaṃ uggahaṇasavanadhāraṇaparicayaparipucchāhi ogāhetvā tattha ca paresaṃ patiṭṭhapanena sutamayā paññā nibbattetabbā, tathā khandhādīnaṃ sabhāvadhammānaṃ ākāraparivitakkanamukhena te nijjhānaṃ khamāpentena cintāmayā, khandhādīnaṃyeva pana salakkhaṇasāmaññalakkhaṇapariggahavasena lokiyaṃ pariññaṃ nibbattentena pubbabhāgabhāvanāpaññā sampādetabbā. Evañhi ‘‘nāmarūpamattamidaṃ yathārahaṃ paccayehi uppajjati ceva nirujjhati ca, na ettha koci kattā vā kāretā vā, hutvā abhāvaṭṭhena aniccaṃ, udayabbayapaṭipīḷanaṭṭhena dukkhaṃ, avasavattanaṭṭhena anattā’’ti ajjhattikabāhire dhamme nibbisesaṃ parijānanto tattha āsaṅgaṃ pajahitvā, pare ca tattha taṃ jahāpetvā kevalaṃ karuṇāvaseneva yāva na buddhaguṇā hatthatalaṃ āgacchanti, tāva yānattaye satte avatāraṇaparipācanehi patiṭṭhāpento, jhānavimokkhasamādhisamāpattiyo ca vasībhāvaṃ pāpento paññāya ativiya matthakaṃ pāpuṇātīti.

    ตถา สมฺมาสโมฺพธิยา กตาภินีหาเรน มหาสเตฺตน ‘‘โก นุ อชฺช ปุญฺญญาณสมฺภาโร อุปจิโต, กิญฺจ มยา กตํ ปรหิต’’นฺติ ทิวเส ทิวเส ปจฺจเวกฺขเนฺตน สตฺตหิตตฺถํ อุสฺสาโห กรณีโย, สเพฺพสมฺปิ สตฺตานํ อุปการาย อตฺตโน กายํ ชีวิตญฺจ โอสฺสชฺชิตพฺพํ, สเพฺพปิ สตฺตา อโนธิโส เมตฺตาย กรุณาย จ ผริตพฺพา, ยา กาจิ สตฺตานํ ทุกฺขุปฺปตฺติ, สพฺพา สา อตฺตนิ ปาฎิกงฺขิตพฺพา, สเพฺพสญฺจ สตฺตานํ ปุญฺญํ อพฺภนุโมทิตพฺพํ, พุทฺธมหนฺตตา อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพา, ยญฺจ กิญฺจิ กมฺมํ กโรติ กาเยน วาจาย วา, ตํ สพฺพํ โพธินินฺนจิตฺตปุพฺพงฺคมํ กาตพฺพํฯ อิมินา หิ อุปาเยน โพธิสตฺตานํ อปริเมโยฺย ปุญฺญภาโค อุปจียติฯ อปิจ สตฺตานํ ปริโภคตฺถํ ปริปาลนตฺถญฺจ อตฺตโน สรีรํ ชีวิตญฺจ ปริจฺจชิตฺวา ขุปฺปิปาสาสีตุณฺหวาตาตปาทิทุกฺขปฎิกาโร ปริเยสิตโพฺพฯ ยญฺจ ยถาวุตฺตทุกฺขปฎิการชํ สุขํ อตฺตนา ปฎิลภติ, ตถา รมณีเยสุ อารามุยฺยานปาสาทตลาทีสุ, อรญฺญายตเนสุ จ กายจิตฺตสนฺตาปาภาเวน อภินิพฺพุตตฺตา สุขํ วินฺทติ, ยญฺจ สุณาติ พุทฺธานุพุทฺธปเจฺจกพุทฺธโพธิสตฺตานํ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารภูตํ ฌานสมาปตฺติสุขํ, ตํ สพฺพํ สเตฺตสุ อโนธิโส อุปสํหรติฯ อยํ ตาว อสมาหิตภูมิยํ นโยฯ

    Tathā sammāsambodhiyā katābhinīhārena mahāsattena ‘‘ko nu ajja puññañāṇasambhāro upacito, kiñca mayā kataṃ parahita’’nti divase divase paccavekkhantena sattahitatthaṃ ussāho karaṇīyo, sabbesampi sattānaṃ upakārāya attano kāyaṃ jīvitañca ossajjitabbaṃ, sabbepi sattā anodhiso mettāya karuṇāya ca pharitabbā, yā kāci sattānaṃ dukkhuppatti, sabbā sā attani pāṭikaṅkhitabbā, sabbesañca sattānaṃ puññaṃ abbhanumoditabbaṃ, buddhamahantatā abhiṇhaṃ paccavekkhitabbā, yañca kiñci kammaṃ karoti kāyena vācāya vā, taṃ sabbaṃ bodhininnacittapubbaṅgamaṃ kātabbaṃ. Iminā hi upāyena bodhisattānaṃ aparimeyyo puññabhāgo upacīyati. Apica sattānaṃ paribhogatthaṃ paripālanatthañca attano sarīraṃ jīvitañca pariccajitvā khuppipāsāsītuṇhavātātapādidukkhapaṭikāro pariyesitabbo. Yañca yathāvuttadukkhapaṭikārajaṃ sukhaṃ attanā paṭilabhati, tathā ramaṇīyesu ārāmuyyānapāsādatalādīsu, araññāyatanesu ca kāyacittasantāpābhāvena abhinibbutattā sukhaṃ vindati, yañca suṇāti buddhānubuddhapaccekabuddhabodhisattānaṃ diṭṭhadhammasukhavihārabhūtaṃ jhānasamāpattisukhaṃ, taṃ sabbaṃ sattesu anodhiso upasaṃharati. Ayaṃ tāva asamāhitabhūmiyaṃ nayo.

    สมาหิโต ปน อตฺตนา ยถานุภูตํ วิเสสาธิคมนิพฺพตฺตํ ปีติปสฺสทฺธิสุขํ สพฺพสเตฺตสุ อธิมุจฺจติ, ตถา มหติ สํสารทุเกฺข, ตนฺนิมิตฺตภูเต จ กิเลสาภิสงฺขารทุเกฺข นิมุคฺคํ สตฺตนิกายํ ทิสฺวา ตตฺถปิ เฉทนเภทนผาลนปิสนคฺคิสนฺตาปาทิชนิตา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา นิรนฺตรํ จิรกาลํ เวทิยเนฺต นารเก, อญฺญมญฺญํ กุชฺฌนสนฺตาปนวิเหฐนหิํสนปราธีนตาทีหิ ทุกฺขํ อนุภวเนฺต ติรจฺฉาเน, โชติมาลา’กุลสรีเร อุทฺธพาหุวิรวเนฺต อุกฺกามุเข ขุปฺปิปาสาทีหิ ฑยฺหมาเน จ วนฺตเขฬาทิอาหาเร จ มหาทุกฺขํ เวทยมาเน เปเต จ ปริเยฎฺฐิมูลกํ มหนฺตํ อนยพฺยสนํ ปาปุณเนฺต หตฺถเจฺฉทาทิการณโยเคน ทุพฺพณฺณทุทฺทสิกทลิทฺทตาทิภาเวน ขุปฺปิปาสาทิโยเคน พลวเนฺตหิ อภิภวนียโต, ปเรสํ วหนโต, ปราธีนโต จ นารเก เปเต ติรจฺฉาเน จ อติสยเนฺต อปายทุกฺขนิพฺพิเสสํ ทุกฺขํ อนุภวเนฺต มนุเสฺส จ ตถา วิสยวิสปริโภควิกฺขิตฺตจิตฺตตาย ราคาทิปริยุฎฺฐาเนน ฑยฺหมาเน วายุเวคสมุฎฺฐิตชาลาสมิทฺธสุกฺขกฎฺฐสนฺนิปาเต อคฺคิกฺขเนฺธ วิย อนุปสนฺตปริฬาหวุตฺติเก อนิหตปราธีเน กามาวจรเทเว จ มหตา วายาเมน วิทูรมากาสํ วิคาหิตสกุนฺตา วิย, พลวเนฺตหิ ขิตฺตสรา วิย จ ‘‘สติปิ จิรปฺปวตฺติยํ อนจฺจนฺติกตาย ปาตปริโยสานา อนติกฺกนฺตชาติชรามรณา เอวา’’ติ รูปาวจรารูปาวจรเทเว จ ปสฺสเนฺตน เมตฺตาย กรุณาย จ อโนธิโส สตฺตา ผริตพฺพาฯ เอวํ กาเยน วาจาย มนสา จ โพธิสมฺภาเร นิรนฺตรํ อุปจินเนฺตน อุสฺสาโห ปวเตฺตตโพฺพฯ

    Samāhito pana attanā yathānubhūtaṃ visesādhigamanibbattaṃ pītipassaddhisukhaṃ sabbasattesu adhimuccati, tathā mahati saṃsāradukkhe, tannimittabhūte ca kilesābhisaṅkhāradukkhe nimuggaṃ sattanikāyaṃ disvā tatthapi chedanabhedanaphālanapisanaggisantāpādijanitā dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā nirantaraṃ cirakālaṃ vediyante nārake, aññamaññaṃ kujjhanasantāpanaviheṭhanahiṃsanaparādhīnatādīhi dukkhaṃ anubhavante tiracchāne, jotimālā’kulasarīre uddhabāhuviravante ukkāmukhe khuppipāsādīhi ḍayhamāne ca vantakheḷādiāhāre ca mahādukkhaṃ vedayamāne pete ca pariyeṭṭhimūlakaṃ mahantaṃ anayabyasanaṃ pāpuṇante hatthacchedādikāraṇayogena dubbaṇṇaduddasikadaliddatādibhāvena khuppipāsādiyogena balavantehi abhibhavanīyato, paresaṃ vahanato, parādhīnato ca nārake pete tiracchāne ca atisayante apāyadukkhanibbisesaṃ dukkhaṃ anubhavante manusse ca tathā visayavisaparibhogavikkhittacittatāya rāgādipariyuṭṭhānena ḍayhamāne vāyuvegasamuṭṭhitajālāsamiddhasukkhakaṭṭhasannipāte aggikkhandhe viya anupasantapariḷāhavuttike anihataparādhīne kāmāvacaradeve ca mahatā vāyāmena vidūramākāsaṃ vigāhitasakuntā viya, balavantehi khittasarā viya ca ‘‘satipi cirappavattiyaṃ anaccantikatāya pātapariyosānā anatikkantajātijarāmaraṇā evā’’ti rūpāvacarārūpāvacaradeve ca passantena mettāya karuṇāya ca anodhiso sattā pharitabbā. Evaṃ kāyena vācāya manasā ca bodhisambhāre nirantaraṃ upacinantena ussāho pavattetabbo.

    อปิจ ‘‘อจิเนฺตยฺยาปริมิตวิปุโลฬารวิมลนิรุปมนิรุปกฺกิเลสคุณนิจยนิทานภูตสฺส พุทฺธภาวสฺส อุสฺสกฺกิตฺวา สมฺปหํสนโยคฺยํ วีริยํ นาม อจิเนฺตยฺยานุภาวเมวฯ ยํ น ปจุรชนา โสตุมฺปิ สกฺกุณนฺติ, ปเคว ปฎิปชฺชิตุํฯ ตถา หิ ติวิธา อภินีหารจิตฺตุปฺปตฺติ, จตโสฺส พุทฺธภูมิโย, จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนิ (ที. นิ. ๓.๒๑๐, ๓๑๓; อ. นิ. ๔.๓๒), กรุโณกาสตา, พุทฺธธเมฺมสุ นิชฺฌานกฺขนฺติ, สพฺพธเมฺมสุ นิรุปเลโป, สพฺพสเตฺตสุ ปุตฺตสญฺญา, สํสารทุเกฺขหิ อปริเขโท, สพฺพเทยฺยธมฺมปริจฺจาโค, เตน จ นิรติมานตา, อธิสีลสิกฺขาทิอธิฎฺฐานํ, ตตฺถ จ อจลตา, กุสลกิริยาสุ ปีติปาโมชฺชํ, วิเวกนินฺนจิตฺตตา, ฌานานุโยโค, อนวชฺชสุเตน อติตฺติ, ยถาสุตสฺส ธมฺมสฺส ปเรสํ หิตชฺฌาสเยน เทสนา, สตฺตานํ ญาเย นิเวสนํ, อารมฺภทฬฺหตา, ธีรวีรภาโว, ปราปวาทปราปกาเรสุ วิการาภาโว, สจฺจาธิฎฺฐานํ, สมาปตฺตีสุ วสีภาโว, อภิญฺญาสุ พลปฺปตฺติ, ลกฺขณตฺตยาวโพโธ, สติปฎฺฐานาทีสุ อภิโยเคน โลกุตฺตรมคฺคสมฺภารสมฺภรณํ, นวโลกุตฺตราวกฺกนฺตี’’ติ เอวมาทิกา สพฺพา โพธิสมฺภารปฎิปตฺติ วีริยานุภาเวเนว สมิชฺฌตีติ อภินีหารโต ยาว มหาโพธิ อโนสฺสชฺชเนฺตน สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ วีริยํ สมฺปาเทตพฺพํฯ สมฺปชฺชมาเน จ วีริเย ขนฺติอาทโย ทานาทโย จ สเพฺพปิ โพธิสมฺภารา ตทธีนวุตฺติตาย สมฺปนฺนา เอว โหนฺตีติฯ ขนฺติอาทีสุปิ อิมินา นเยน ปฎิปตฺติ เวทิตพฺพาฯ

    Apica ‘‘acinteyyāparimitavipuloḷāravimalanirupamanirupakkilesaguṇanicayanidānabhūtassa buddhabhāvassa ussakkitvā sampahaṃsanayogyaṃ vīriyaṃ nāma acinteyyānubhāvameva. Yaṃ na pacurajanā sotumpi sakkuṇanti, pageva paṭipajjituṃ. Tathā hi tividhā abhinīhāracittuppatti, catasso buddhabhūmiyo, cattāri saṅgahavatthūni (dī. ni. 3.210, 313; a. ni. 4.32), karuṇokāsatā, buddhadhammesu nijjhānakkhanti, sabbadhammesu nirupalepo, sabbasattesu puttasaññā, saṃsāradukkhehi aparikhedo, sabbadeyyadhammapariccāgo, tena ca niratimānatā, adhisīlasikkhādiadhiṭṭhānaṃ, tattha ca acalatā, kusalakiriyāsu pītipāmojjaṃ, vivekaninnacittatā, jhānānuyogo, anavajjasutena atitti, yathāsutassa dhammassa paresaṃ hitajjhāsayena desanā, sattānaṃ ñāye nivesanaṃ, ārambhadaḷhatā, dhīravīrabhāvo, parāpavādaparāpakāresu vikārābhāvo, saccādhiṭṭhānaṃ, samāpattīsu vasībhāvo, abhiññāsu balappatti, lakkhaṇattayāvabodho, satipaṭṭhānādīsu abhiyogena lokuttaramaggasambhārasambharaṇaṃ, navalokuttarāvakkantī’’ti evamādikā sabbā bodhisambhārapaṭipatti vīriyānubhāveneva samijjhatīti abhinīhārato yāva mahābodhi anossajjantena sakkaccaṃ nirantaraṃ vīriyaṃ sampādetabbaṃ. Sampajjamāne ca vīriye khantiādayo dānādayo ca sabbepi bodhisambhārā tadadhīnavuttitāya sampannā eva hontīti. Khantiādīsupi iminā nayena paṭipatti veditabbā.

    อิติ สตฺตานํ สุขูปกรณปริจฺจาเคน พหุธา อนุคฺคหกรณํ ทาเนน ปฎิปตฺติ, สีเลน เตสํ ชีวิตสาปเตยฺยทารรกฺขอเภทปิยหิตวจนาวิหิํสาทิกรณานิ, เนกฺขเมฺมน เนสํ อามิสปฎิคฺคหณธมฺมทานาทินา อเนกธา หิตจริยา, ปญฺญาย เตสํ หิตกรณูปายโกสลฺลํ, วีริเยน ตตฺถ อุสฺสาหารมฺภอสํหีรานิ, ขนฺติยา ตทปราธสหนํ, สเจฺจน เตสํ อวญฺจนตทุปการกิริยาสมาทานาวิสํวาทนาทิ, อธิฎฺฐาเนน ตทุปการกรเณ อนตฺถสมฺปาเตปิ อจลนํ, เมตฺตาย เตสํ หิตสุขานุจินฺตนํ, อุเปกฺขาย เตสํ อุปการาปกาเรสุ วิการานาปตฺตีติ เอวํ อปริมาเณ สเตฺต อารพฺภ อนุกมฺปิตสพฺพสตฺตสฺส โพธิสตฺตสฺส ปุถุชฺชเนหิ อสาธารโณ อปริมาโณ ปุญฺญญาณสมฺภารูปจโย เอตฺถ ปฎิปตฺตีติ เวทิตพฺพํฯ โย เจตาสํ ปจฺจโย วุโตฺต, ตสฺส จ สกฺกจฺจํ สมฺปาทนํฯ

    Iti sattānaṃ sukhūpakaraṇapariccāgena bahudhā anuggahakaraṇaṃ dānena paṭipatti, sīlena tesaṃ jīvitasāpateyyadārarakkhaabhedapiyahitavacanāvihiṃsādikaraṇāni, nekkhammena nesaṃ āmisapaṭiggahaṇadhammadānādinā anekadhā hitacariyā, paññāya tesaṃ hitakaraṇūpāyakosallaṃ, vīriyena tattha ussāhārambhaasaṃhīrāni, khantiyā tadaparādhasahanaṃ, saccena tesaṃ avañcanatadupakārakiriyāsamādānāvisaṃvādanādi, adhiṭṭhānena tadupakārakaraṇe anatthasampātepi acalanaṃ, mettāya tesaṃ hitasukhānucintanaṃ, upekkhāya tesaṃ upakārāpakāresu vikārānāpattīti evaṃ aparimāṇe satte ārabbha anukampitasabbasattassa bodhisattassa puthujjanehi asādhāraṇo aparimāṇo puññañāṇasambhārūpacayo ettha paṭipattīti veditabbaṃ. Yo cetāsaṃ paccayo vutto, tassa ca sakkaccaṃ sampādanaṃ.

    โก วิภาโคติ ทส ปารมิโย, ทส อุปปารมิโย, ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมตฺติํส ปารมิโยฯ ตตฺถ กตาภินีหารสฺส โพธิสตฺตสฺส ปรหิตกรณาภินินฺนอาสยปฺปโยคสฺส กณฺหธมฺมโวกิณฺณา สุกฺกธมฺมา ปารมิโย, เตหิ อโวกิณฺณา สุกฺกา ธมฺมา อุปปารมิโย, อกณฺหา อสุกฺกา ปรมตฺถปารมิโยติ เกจิฯ สมุทาคมนกาเลสุ ปูริยมานา ปารมิโย, โพธิสตฺตภูมิยํ ปุณฺณา อุปปารมิโย, พุทฺธภูมิยํ สพฺพาการปริปุณฺณา ปรมตฺถปารมิโยฯ โพธิสตฺตภูมิยํ วา ปรหิตกรณโต ปารมิโย, อตฺตหิตกรณโต อุปปารมิโย, พุทฺธภูมิยํ พลเวสารชฺชสมธิคเมน อุภยหิตปริปูรณโต ปรมตฺถปารมิโยติ เอวํ อาทิมชฺฌปริโยสาเนสุ ปณิธานารมฺภปรินิฎฺฐาเนสุ เตสํ วิภาโคติ อปเรฯ โทสุปสมกรุณาปกติกานํ ภวสุขวิมุตฺติสุขปรมสุขปฺปตฺตานํ ปุญฺญูปจยเภทโต ตพฺพิภาโคติ อเญฺญฯ

    Ko vibhāgoti dasa pāramiyo, dasa upapāramiyo, dasa paramatthapāramiyoti samattiṃsa pāramiyo. Tattha katābhinīhārassa bodhisattassa parahitakaraṇābhininnaāsayappayogassa kaṇhadhammavokiṇṇā sukkadhammā pāramiyo, tehi avokiṇṇā sukkā dhammā upapāramiyo, akaṇhā asukkā paramatthapāramiyoti keci. Samudāgamanakālesu pūriyamānā pāramiyo, bodhisattabhūmiyaṃ puṇṇā upapāramiyo, buddhabhūmiyaṃ sabbākāraparipuṇṇā paramatthapāramiyo. Bodhisattabhūmiyaṃ vā parahitakaraṇato pāramiyo, attahitakaraṇato upapāramiyo, buddhabhūmiyaṃ balavesārajjasamadhigamena ubhayahitaparipūraṇato paramatthapāramiyoti evaṃ ādimajjhapariyosānesu paṇidhānārambhapariniṭṭhānesu tesaṃ vibhāgoti apare. Dosupasamakaruṇāpakatikānaṃ bhavasukhavimuttisukhaparamasukhappattānaṃ puññūpacayabhedato tabbibhāgoti aññe.

    ลชฺชาสติมานาปสฺสยานํ โลกุตฺตรธมฺมาธิปตีนํ สีลสมาธิปญฺญาครุกานํ ตาริตตริตตารยิตูนํ อนุพุทฺธปเจฺจกพุทฺธสมฺมาสมฺพุทฺธานํ ปารมี, อุปปารมี, ปรมตฺถปารมีติ โพธิตฺตยปฺปตฺติโต ยถาวุตฺตวิภาโคติ เกจิฯ จิตฺตปณิธิโต ยาว วจีปณิธิ, ตาว ปวตฺตา สมฺภารา ปารมิโย, วจีปณิธิโต ยาว กายปณิธิ, ตาว ปวตฺตา อุปปารมิโย, กายปณิธิโต ปภุติ ปรมตฺถปารมิโยติ อปเรฯ อเญฺญ ปน ‘‘ปรปุญฺญานุโมทนวเสน ปวตฺตา สมฺภารา ปารมิโย, ปเรสํ การาปนวเสน ปวตฺตา อุปปารมิโย, สยํ กรณวเสน ปวตฺตา ปรมตฺถปารมิโย’’ติ วทนฺติฯ ตถา ภวสุขาวโห ปุญฺญญาณสมฺภาโร ปารมี, อตฺตโน นิพฺพานสุขาวโห อุปปารมี, ปเรสํ ตทุภยสุขาวโห ปรมตฺถปารมีติ เอเกฯ

    Lajjāsatimānāpassayānaṃ lokuttaradhammādhipatīnaṃ sīlasamādhipaññāgarukānaṃ tāritataritatārayitūnaṃ anubuddhapaccekabuddhasammāsambuddhānaṃ pāramī, upapāramī, paramatthapāramīti bodhittayappattito yathāvuttavibhāgoti keci. Cittapaṇidhito yāva vacīpaṇidhi, tāva pavattā sambhārā pāramiyo, vacīpaṇidhito yāva kāyapaṇidhi, tāva pavattā upapāramiyo, kāyapaṇidhito pabhuti paramatthapāramiyoti apare. Aññe pana ‘‘parapuññānumodanavasena pavattā sambhārā pāramiyo, paresaṃ kārāpanavasena pavattā upapāramiyo, sayaṃ karaṇavasena pavattā paramatthapāramiyo’’ti vadanti. Tathā bhavasukhāvaho puññañāṇasambhāro pāramī, attano nibbānasukhāvaho upapāramī, paresaṃ tadubhayasukhāvaho paramatthapāramīti eke.

    ปุตฺตทารธนาทิอุปกรณปริจฺจาโค ปน ทานปารมี, อตฺตโน องฺคปริจฺจาโค ทานอุปปารมี, อตฺตโน ชีวิตปริจฺจาโค ทานปรมตฺถปารมีฯ ตถา ปุตฺตทาราทิกสฺส ติวิธสฺสปิ เหตุ อวีติกฺกมนวเสน ติโสฺส สีลปารมิโย, เตสุ เอว ติวิเธสุ วตฺถูสุ อาลยํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา นิกฺขมนวเสน ติโสฺส เนกฺขมฺมปารมิโย, อุปกรณงฺคชีวิตตณฺหํ สมูหนิตฺวา สตฺตานํ หิตาหิตวินิจฺฉยกรณวเสน ติโสฺส ปญฺญาปารมิโย, ยถาวุตฺตเภทานํ ปริจฺจาคาทีนํ วายมนวเสน ติโสฺส วีริยปารมิโย, อุปกรณงฺคชีวิตนฺตรายกรานํ ขมนวเสน ติโสฺส ขนฺติปารมิโย, อุปกรณงฺคชีวิตเหตุ สจฺจาปริจฺจาควเสน ติโสฺส สจฺจปารมิโย, ทานาทิปารมิโย อกุปฺปาธิฎฺฐานวเสเนว สมิชฺฌนฺตีติ อุปกรณาทิวินาเสปิ อจลาธิฎฺฐานวเสน ติโสฺส อธิฎฺฐานปารมิโย, อุปกรณาทิอุปฆาตเกสุปิ สเตฺตสุ เมตฺตาย อวิชหนวเสน ติโสฺส เมตฺตาปารมิโย, ยถาวุตฺตวตฺถุตฺตยสฺส อุปการาปกาเรสุ สตฺตสงฺขาเรสุ มชฺฌตฺตตาปฎิลาภวเสน ติโสฺส อุเปกฺขาปารมิโยติ เอวมาทินา เอตาสํ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ

    Puttadāradhanādiupakaraṇapariccāgo pana dānapāramī, attano aṅgapariccāgo dānaupapāramī, attano jīvitapariccāgo dānaparamatthapāramī. Tathā puttadārādikassa tividhassapi hetu avītikkamanavasena tisso sīlapāramiyo, tesu eva tividhesu vatthūsu ālayaṃ upacchinditvā nikkhamanavasena tisso nekkhammapāramiyo, upakaraṇaṅgajīvitataṇhaṃ samūhanitvā sattānaṃ hitāhitavinicchayakaraṇavasena tisso paññāpāramiyo, yathāvuttabhedānaṃ pariccāgādīnaṃ vāyamanavasena tisso vīriyapāramiyo, upakaraṇaṅgajīvitantarāyakarānaṃ khamanavasena tisso khantipāramiyo, upakaraṇaṅgajīvitahetu saccāpariccāgavasena tisso saccapāramiyo, dānādipāramiyo akuppādhiṭṭhānavaseneva samijjhantīti upakaraṇādivināsepi acalādhiṭṭhānavasena tisso adhiṭṭhānapāramiyo, upakaraṇādiupaghātakesupi sattesu mettāya avijahanavasena tisso mettāpāramiyo, yathāvuttavatthuttayassa upakārāpakāresu sattasaṅkhāresu majjhattatāpaṭilābhavasena tisso upekkhāpāramiyoti evamādinā etāsaṃ vibhāgo veditabbo.

    โก สงฺคโหติ เอตฺถ ปน ยถา เอตา วิภาคโต ติํสวิธาปิ ทานปารมีอาทิภาวโต ทสวิธา, เอวํ ทานสีลขนฺติวีริยฌานปญฺญาสภาเวน ฉพฺพิธาฯ เอตาสุ หิ เนกฺขมฺมปารมี สีลปารมิยา สงฺคหิตา ตสฺสา ปพฺพชฺชาภาเว, นีวรณวิเวกภาเว ปน ฌานปารมิยา, กุสลธมฺมภาเว ฉหิปิ สงฺคหิตาฯ สจฺจปารมี สีลปารมิยา เอกเทโสเยว วจีสจฺจวิรติสจฺจปเกฺข, ญาณสจฺจปเกฺข ปน ปญฺญาปารมิยา สงฺคหิตาฯ เมตฺตาปารมี ฌานปารมิยา เอว, อุเปกฺขาปารมี ฌานปญฺญาปารมีหิ, อธิฎฺฐานปารมี สพฺพาหิปิ สงฺคหิตาติฯ

    Ko saṅgahoti ettha pana yathā etā vibhāgato tiṃsavidhāpi dānapāramīādibhāvato dasavidhā, evaṃ dānasīlakhantivīriyajhānapaññāsabhāvena chabbidhā. Etāsu hi nekkhammapāramī sīlapāramiyā saṅgahitā tassā pabbajjābhāve, nīvaraṇavivekabhāve pana jhānapāramiyā, kusaladhammabhāve chahipi saṅgahitā. Saccapāramī sīlapāramiyā ekadesoyeva vacīsaccaviratisaccapakkhe, ñāṇasaccapakkhe pana paññāpāramiyā saṅgahitā. Mettāpāramī jhānapāramiyā eva, upekkhāpāramī jhānapaññāpāramīhi, adhiṭṭhānapāramī sabbāhipi saṅgahitāti.

    เอเตสญฺจ ทานาทีนํ ฉนฺนํ คุณานํ อญฺญมญฺญํ สมฺพนฺธานํ ปญฺจทสยุคฬาทีนิ ปญฺจทสยุคฬาทิสาธกานิ โหนฺติ – เสยฺยถิทํ? ทานสีลยุคเฬน ปรหิตาหิตานํ กรณากรณยุคฬสิทฺธิ, ทานขนฺติยุคเฬน อโลภาโทสยุคฬสิทฺธิ, ทานวีริยยุคเฬน จาคสุตยุคฬสิทฺธิ, ทานฌานยุคเฬน กามโทสปฺปหานยุคฬสิทฺธิ, ทานปญฺญายุคเฬน อริยยานธุรยุคฬสิทฺธิ, สีลขนฺติทฺวเยน ปโยคาสยสุทฺธิทฺวยสิทฺธิ, สีลวีริยทฺวเยน ภาวนาทฺวยสิทฺธิ, สีลฌานทฺวเยน ทุสฺสีลฺยปริยุฎฺฐานปฺปหานทฺวยสิทฺธิ, สีลปญฺญาทฺวเยน ทานทฺวยสิทฺธิ, ขนฺติวีริยยุคเฬน ขมาเตชทฺวยสิทฺธิ, ขนฺติฌานยุคเฬน วิโรธานุโรธปฺปหานยุคฬสิทฺธิ , ขนฺติปญฺญายุคเฬน สุญฺญตาขนฺติปฎิเวธทุกสิทฺธิ, วีริยฌานทุเกน ปคฺคาหาวิเกฺขปทุกสิทฺธิ, วีริยปญฺญาทุเกน สรณทุกสิทฺธิ, ฌานปญฺญาทุเกน ยานทุกสิทฺธิฯ ทานสีลขนฺติตฺติเกน โลภโทสโมหปฺปหานตฺติกสิทฺธิ, ทานสีลวีริยตฺติเกน โภคชีวิตกายสาราทานตฺติกสิทฺธิ, ทานสีลฌานตฺติเกน ปุญฺญกิริยวตฺถุตฺติกสิทฺธิ, ทานสีลปญฺญาติเกน อามิสาภยธมฺมทานตฺติกสิทฺธีติ เอวํ อิตเรหิปิ ติเกหิ จตุกฺกาทีหิ จ ยถาสมฺภวํ ติกานิ จตุกฺกาทีนิ จ โยเชตพฺพานิฯ

    Etesañca dānādīnaṃ channaṃ guṇānaṃ aññamaññaṃ sambandhānaṃ pañcadasayugaḷādīni pañcadasayugaḷādisādhakāni honti – seyyathidaṃ? Dānasīlayugaḷena parahitāhitānaṃ karaṇākaraṇayugaḷasiddhi, dānakhantiyugaḷena alobhādosayugaḷasiddhi, dānavīriyayugaḷena cāgasutayugaḷasiddhi, dānajhānayugaḷena kāmadosappahānayugaḷasiddhi, dānapaññāyugaḷena ariyayānadhurayugaḷasiddhi, sīlakhantidvayena payogāsayasuddhidvayasiddhi, sīlavīriyadvayena bhāvanādvayasiddhi, sīlajhānadvayena dussīlyapariyuṭṭhānappahānadvayasiddhi, sīlapaññādvayena dānadvayasiddhi, khantivīriyayugaḷena khamātejadvayasiddhi, khantijhānayugaḷena virodhānurodhappahānayugaḷasiddhi , khantipaññāyugaḷena suññatākhantipaṭivedhadukasiddhi, vīriyajhānadukena paggāhāvikkhepadukasiddhi, vīriyapaññādukena saraṇadukasiddhi, jhānapaññādukena yānadukasiddhi. Dānasīlakhantittikena lobhadosamohappahānattikasiddhi, dānasīlavīriyattikena bhogajīvitakāyasārādānattikasiddhi, dānasīlajhānattikena puññakiriyavatthuttikasiddhi, dānasīlapaññātikena āmisābhayadhammadānattikasiddhīti evaṃ itarehipi tikehi catukkādīhi ca yathāsambhavaṃ tikāni catukkādīni ca yojetabbāni.

    เอวํ ฉพฺพิธานมฺปิ ปน อิมาสํ ปารมีนํ จตูหิ อธิฎฺฐาเนหิ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ สพฺพปารมีนํ สมูหสงฺคหโต หิ จตฺตาริ อธิฎฺฐานานิฯ เสยฺยถิทํ – สจฺจาธิฎฺฐานํ, จาคาธิฎฺฐานํ, อุปสมาธิฎฺฐานํ, ปญฺญาธิฎฺฐานนฺติฯ ตตฺถ อธิติฎฺฐติ เอเตน, เอตฺถ วา อธิติฎฺฐติ, อธิฎฺฐานมตฺตเมว วา ตนฺติ อธิฎฺฐานํฯ สจฺจญฺจ ตํ อธิฎฺฐานญฺจ, สจฺจสฺส วา อธิฎฺฐานํ, สจฺจํ อธิฎฺฐานํ เอตสฺสาติ วา สจฺจาธิฎฺฐานํฯ เอวํ เสเสสุปิฯ ตตฺถ อวิเสสโต ตาว โลกุตฺตรคุเณ กตาภินีหารสฺส อนุกมฺปิตสพฺพสตฺตสฺส มหาสตฺตสฺส ปริญฺญานุรูปํ สพฺพปารมิปริคฺคหโต สจฺจาธิฎฺฐานํ, เตสํ ปฎิปกฺขปริจฺจาคโต จาคาธิฎฺฐานํ, สพฺพปารมิตาคุเณหิ อุปสมโต อุปสมาธิฎฺฐานํ , เตหิเยว ปรหิโตปายโกสลฺลโต ปญฺญาธิฎฺฐานํฯ วิเสสโต ปน ‘‘อตฺถิกชนํ อวิสํวาเทตฺวา ทสฺสามี’’ติ ปฎิชานโต, ปฎิญฺญํ อวิสํวาเทตฺวา ทานโต, ทานํ อวิสํวาเทตฺวา อนุโมทนโต, มจฺฉริยาทิปฎิปกฺขปริจฺจาคโต, เทยฺยปฎิคฺคาหกทานเทยฺยธมฺมกฺขเยสุ โลภโทสโมหภยวูปสมโต, ยถารหํ ยถากาลํ ยถาวิธานญฺจ ทานโต, ปญฺญุตฺตรโต จ กุสลธมฺมานํ จตุรธิฎฺฐานปทฎฺฐานํ ทานํฯ ตถา สํวรสมาทานสฺส อวีติกฺกมโต, ทุสฺสีลฺยปริจฺจาคโต, ทุจฺจริตวูปสมโต, ปญฺญุตฺตรโต จ จตุรธิฎฺฐานปทฎฺฐานํ สีลํฯ ยถาปฎิญฺญํ ขมนโต, ปราปราธวิกปฺปปริจฺจาคโต, โกธปริยุฎฺฐานวูปสมโต, ปญฺญุตฺตรโต จ จตุรธิฎฺฐานปทฎฺฐานา ขนฺติฯ ปฎิญฺญานุรูปํ ปรหิตกรณโต, วิสาทปริจฺจาคโต, อกุสลธมฺมานํ วูปสมโต, ปญฺญุตฺตรโต จ จตุรธิฎฺฐานปทฎฺฐานํ วีริยํฯ ปฎิญฺญานุรูปํ โลกหิตานุจินฺตนโต, นีวรณปริจฺจาคโต, จิตฺตวูปสมโต, ปญฺญุตฺตรโต จ จตุรธิฎฺฐานปทฎฺฐานํ ฌานํฯ ยถาปฎิญฺญํ ปรหิตูปายโกสลฺลโต, อนุปายกิริยาปริจฺจาคโต , โมหชปริฬาหวูปสมโต, สพฺพญฺญุตาปฎิลาภโต จ จตุรธิฎฺฐานปทฎฺฐานา ปญฺญาฯ

    Evaṃ chabbidhānampi pana imāsaṃ pāramīnaṃ catūhi adhiṭṭhānehi saṅgaho veditabbo. Sabbapāramīnaṃ samūhasaṅgahato hi cattāri adhiṭṭhānāni. Seyyathidaṃ – saccādhiṭṭhānaṃ, cāgādhiṭṭhānaṃ, upasamādhiṭṭhānaṃ, paññādhiṭṭhānanti. Tattha adhitiṭṭhati etena, ettha vā adhitiṭṭhati, adhiṭṭhānamattameva vā tanti adhiṭṭhānaṃ. Saccañca taṃ adhiṭṭhānañca, saccassa vā adhiṭṭhānaṃ, saccaṃ adhiṭṭhānaṃ etassāti vā saccādhiṭṭhānaṃ. Evaṃ sesesupi. Tattha avisesato tāva lokuttaraguṇe katābhinīhārassa anukampitasabbasattassa mahāsattassa pariññānurūpaṃ sabbapāramipariggahato saccādhiṭṭhānaṃ, tesaṃ paṭipakkhapariccāgato cāgādhiṭṭhānaṃ, sabbapāramitāguṇehi upasamato upasamādhiṭṭhānaṃ , tehiyeva parahitopāyakosallato paññādhiṭṭhānaṃ. Visesato pana ‘‘atthikajanaṃ avisaṃvādetvā dassāmī’’ti paṭijānato, paṭiññaṃ avisaṃvādetvā dānato, dānaṃ avisaṃvādetvā anumodanato, macchariyādipaṭipakkhapariccāgato, deyyapaṭiggāhakadānadeyyadhammakkhayesu lobhadosamohabhayavūpasamato, yathārahaṃ yathākālaṃ yathāvidhānañca dānato, paññuttarato ca kusaladhammānaṃ caturadhiṭṭhānapadaṭṭhānaṃ dānaṃ. Tathā saṃvarasamādānassa avītikkamato, dussīlyapariccāgato, duccaritavūpasamato, paññuttarato ca caturadhiṭṭhānapadaṭṭhānaṃ sīlaṃ. Yathāpaṭiññaṃ khamanato, parāparādhavikappapariccāgato, kodhapariyuṭṭhānavūpasamato, paññuttarato ca caturadhiṭṭhānapadaṭṭhānā khanti. Paṭiññānurūpaṃ parahitakaraṇato, visādapariccāgato, akusaladhammānaṃ vūpasamato, paññuttarato ca caturadhiṭṭhānapadaṭṭhānaṃ vīriyaṃ. Paṭiññānurūpaṃ lokahitānucintanato, nīvaraṇapariccāgato, cittavūpasamato, paññuttarato ca caturadhiṭṭhānapadaṭṭhānaṃ jhānaṃ. Yathāpaṭiññaṃ parahitūpāyakosallato, anupāyakiriyāpariccāgato , mohajapariḷāhavūpasamato, sabbaññutāpaṭilābhato ca caturadhiṭṭhānapadaṭṭhānā paññā.

    ตตฺถ เญยฺยปฎิญฺญานุวิธาเนหิ สจฺจาธิฎฺฐานํ, วตฺถุกามกิเลสกามปริจฺจาเคหิ จาคาธิฎฺฐานํ, โทสทุกฺขวูปสเมหิ อุปสมาธิฎฺฐานํ, อนุโพธปฎิเวเธหิ ปญฺญาธิฎฺฐานํฯ ติวิธสจฺจปริคฺคหิตํ โทสตฺตยวิโรธิ สจฺจาธิฎฺฐานํ, ติวิธจาคปริคฺคหิตํ โทสตฺตยวิโรธิ จาคาธิฎฺฐานํ, ติวิธวูปสมปริคฺคหิตํ โทสตฺตยวิโรธิ อุปสมาธิฎฺฐานํ, ติวิธญาณปริคฺคหิตํ โทสตฺตยวิโรธิ ปญฺญาธิฎฺฐานํฯ สจฺจาธิฎฺฐานปริคฺคหิตานิ จาคูปสมปญฺญาธิฎฺฐานานิ อวิสํวาทนโต , ปฎิญฺญานุวิธานโต จฯ จาคาธิฎฺฐานปริคฺคหิตานิ สจฺจูปสมปญฺญาธิฎฺฐานานิ ปฎิปกฺขปริจฺจาคโต, สพฺพปริจฺจาคผลตฺตา จฯ อุปสมาธิฎฺฐานปริคฺคหิตานิ สจฺจจาคปญฺญาธิฎฺฐานานิ กิเลสปริฬาหูปสมโต, กามูปสมโต, กามปริฬาหูปสมโต จฯ ปญฺญาธิฎฺฐานปริคฺคหิตานิ สจฺจจาคูปสมาธิฎฺฐานานิ ญาณปุพฺพงฺคมโต, ญาณานุปริวตฺตนโต จาติ เอวํ สพฺพาปิ ปารมิโย สจฺจปฺปภาวิตา จาคปริพฺยญฺชิตา อุปสโมปพฺรูหิตา ปญฺญาปริสุทฺธาฯ สจฺจญฺหิ เอตาสํ ชนกเหตุ, จาโค ปริคฺคาหกเหตุ, อุปสโม ปริวุฑฺฒิเหตุ, ปญฺญา ปาริสุทฺธิเหตุฯ ตถา อาทิมฺหิ สจฺจาธิฎฺฐานํ สจฺจปฎิญฺญตฺตา, มเชฺฌ จาคาธิฎฺฐานํ กตปณิธานสฺส ปรหิตาย อตฺตปริจฺจาคโต, อเนฺต อุปสมาธิฎฺฐานํ สพฺพูปสมปริโยสานตฺตา, อาทิมชฺฌปริโยสาเนสุ ปญฺญาธิฎฺฐานํ ตสฺมิํ สติ สมฺภวโต, อสติ อภาวโต, ยถาปฎิญฺญญฺจ ภาวโตฯ

    Tattha ñeyyapaṭiññānuvidhānehi saccādhiṭṭhānaṃ, vatthukāmakilesakāmapariccāgehi cāgādhiṭṭhānaṃ, dosadukkhavūpasamehi upasamādhiṭṭhānaṃ, anubodhapaṭivedhehi paññādhiṭṭhānaṃ. Tividhasaccapariggahitaṃ dosattayavirodhi saccādhiṭṭhānaṃ, tividhacāgapariggahitaṃ dosattayavirodhi cāgādhiṭṭhānaṃ, tividhavūpasamapariggahitaṃ dosattayavirodhi upasamādhiṭṭhānaṃ, tividhañāṇapariggahitaṃ dosattayavirodhi paññādhiṭṭhānaṃ. Saccādhiṭṭhānapariggahitāni cāgūpasamapaññādhiṭṭhānāni avisaṃvādanato , paṭiññānuvidhānato ca. Cāgādhiṭṭhānapariggahitāni saccūpasamapaññādhiṭṭhānāni paṭipakkhapariccāgato, sabbapariccāgaphalattā ca. Upasamādhiṭṭhānapariggahitāni saccacāgapaññādhiṭṭhānāni kilesapariḷāhūpasamato, kāmūpasamato, kāmapariḷāhūpasamato ca. Paññādhiṭṭhānapariggahitāni saccacāgūpasamādhiṭṭhānāni ñāṇapubbaṅgamato, ñāṇānuparivattanato cāti evaṃ sabbāpi pāramiyo saccappabhāvitā cāgaparibyañjitā upasamopabrūhitā paññāparisuddhā. Saccañhi etāsaṃ janakahetu, cāgo pariggāhakahetu, upasamo parivuḍḍhihetu, paññā pārisuddhihetu. Tathā ādimhi saccādhiṭṭhānaṃ saccapaṭiññattā, majjhe cāgādhiṭṭhānaṃ katapaṇidhānassa parahitāya attapariccāgato, ante upasamādhiṭṭhānaṃ sabbūpasamapariyosānattā, ādimajjhapariyosānesu paññādhiṭṭhānaṃ tasmiṃ sati sambhavato, asati abhāvato, yathāpaṭiññañca bhāvato.

    ตตฺถ มหาปุริสา อตฺตหิตปรหิตกเรหิ ครุปิยภาวกเรหิ สจฺจจาคาธิฎฺฐาเนหิ คิหิภูตา อามิสทาเนน ปเร อนุคฺคณฺหนฺติฯ ตถา อตฺตหิตปรหิตกเรหิ ครุปิยภาวกเรหิ อุปสมปญฺญาธิฎฺฐาเนหิ จ ปพฺพชิตภูตา ธมฺมทาเนน ปเร อนุคฺคณฺหนฺติฯ

    Tattha mahāpurisā attahitaparahitakarehi garupiyabhāvakarehi saccacāgādhiṭṭhānehi gihibhūtā āmisadānena pare anuggaṇhanti. Tathā attahitaparahitakarehi garupiyabhāvakarehi upasamapaññādhiṭṭhānehi ca pabbajitabhūtā dhammadānena pare anuggaṇhanti.

    ตตฺถ อนฺติมภเว โพธิสตฺตสฺส จตุรธิฎฺฐานปริปูรณํฯ ปริปุณฺณจตุรธิฎฺฐานสฺส หิ จริมกภวูปปตฺตีติ เอเกฯ ตตฺร หิ คโพฺภกฺกนฺติฐิติอภินิกฺขมเนสุ ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สโต สมฺปชาโน สจฺจาธิฎฺฐานปาริปูริยา สมฺปติชาโต อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คนฺตฺวา สพฺพา ทิสา โอโลเกตฺวา สจฺจานุปริวตฺตินา วจสา ‘‘อโคฺคหมสฺมิ โลกสฺส, เชโฎฺฐ…เป.… เสโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺสา’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๑; ม. นิ. ๓.๒๐๗) ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิ, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน ชิณฺณาตุรมตปพฺพชิตทสฺสาวิโน จตุธมฺมปเทสโกวิทสฺส โยพฺพนาโรคฺยชีวิตสมฺปตฺติมทานํ อุปสโม, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน มหโต ญาติปริวฎฺฎสฺส หตฺถคตสฺส จ จกฺกวตฺติรชฺชสฺส อนเปกฺขปริจฺจาโคติฯ

    Tattha antimabhave bodhisattassa caturadhiṭṭhānaparipūraṇaṃ. Paripuṇṇacaturadhiṭṭhānassa hi carimakabhavūpapattīti eke. Tatra hi gabbhokkantiṭhitiabhinikkhamanesu paññādhiṭṭhānasamudāgamena sato sampajāno saccādhiṭṭhānapāripūriyā sampatijāto uttarābhimukho sattapadavītihārena gantvā sabbā disā oloketvā saccānuparivattinā vacasā ‘‘aggohamasmi lokassa, jeṭṭho…pe… seṭṭhohamasmi lokassā’’ti (dī. ni. 2.31; ma. ni. 3.207) tikkhattuṃ sīhanādaṃ nadi, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena jiṇṇāturamatapabbajitadassāvino catudhammapadesakovidassa yobbanārogyajīvitasampattimadānaṃ upasamo, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena mahato ñātiparivaṭṭassa hatthagatassa ca cakkavattirajjassa anapekkhapariccāgoti.

    ทุติเย ฐาเน อภิสโมฺพธิยํ จตุรธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณนฺติ เกจิฯ ตตฺถ หิ ยถาปฎิญฺญํ สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมน จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อภิสมโย, ตโต หิ สจฺจาธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณํฯ จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สพฺพกิเลโสปกฺกิเลสปริจฺจาโค, ตโต หิ จาคาธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณํฯ อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน ปรมูปสมสมฺปตฺติ, ตโต หิ อุปสมาธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณํฯ ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อนาวรณญาณปฎิลาโภ, ตโต หิ ปญฺญาธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณนฺติ, ตํ อสิทฺธํ อภิสโมฺพธิยาปิ ปรมตฺถภาวโตฯ

    Dutiye ṭhāne abhisambodhiyaṃ caturadhiṭṭhānaṃ paripuṇṇanti keci. Tattha hi yathāpaṭiññaṃ saccādhiṭṭhānasamudāgamena catunnaṃ ariyasaccānaṃ abhisamayo, tato hi saccādhiṭṭhānaṃ paripuṇṇaṃ. Cāgādhiṭṭhānasamudāgamena sabbakilesopakkilesapariccāgo, tato hi cāgādhiṭṭhānaṃ paripuṇṇaṃ. Upasamādhiṭṭhānasamudāgamena paramūpasamasampatti, tato hi upasamādhiṭṭhānaṃ paripuṇṇaṃ. Paññādhiṭṭhānasamudāgamena anāvaraṇañāṇapaṭilābho, tato hi paññādhiṭṭhānaṃ paripuṇṇanti, taṃ asiddhaṃ abhisambodhiyāpi paramatthabhāvato.

    ตติเย ฐาเน ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) จตุรธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณนฺติ อเญฺญฯ ตตฺถ หิ สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส ทฺวาทสหิ อากาเรหิ อริยสจฺจเทสนาย สจฺจาธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณํ, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส สทฺธมฺมมหายาคกรเณน จาคาธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณํฯ อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส สยํ อุปสนฺตสฺส ปเรสํ อุปสมเนน อุปสมาธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณํ, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส วิเนยฺยานํ อาสยาทิปริชานเนน ปญฺญาธิฎฺฐานํ ปริปุณฺณนฺติ, ตทปิ อสิทฺธํ อปริโยสิตตฺตา พุทฺธกิจฺจสฺสฯ

    Tatiye ṭhāne dhammacakkappavattane (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13; paṭi. ma. 2.30) caturadhiṭṭhānaṃ paripuṇṇanti aññe. Tattha hi saccādhiṭṭhānasamudāgatassa dvādasahi ākārehi ariyasaccadesanāya saccādhiṭṭhānaṃ paripuṇṇaṃ, cāgādhiṭṭhānasamudāgatassa saddhammamahāyāgakaraṇena cāgādhiṭṭhānaṃ paripuṇṇaṃ. Upasamādhiṭṭhānasamudāgatassa sayaṃ upasantassa paresaṃ upasamanena upasamādhiṭṭhānaṃ paripuṇṇaṃ, paññādhiṭṭhānasamudāgatassa vineyyānaṃ āsayādiparijānanena paññādhiṭṭhānaṃ paripuṇṇanti, tadapi asiddhaṃ apariyositattā buddhakiccassa.

    จตุเตฺถ ฐาเน ปรินิพฺพาเน จตุรธิฎฺฐานปริปุณฺณนฺติ อปเรฯ ตตฺร หิ ปรินิพฺพุตตฺตา ปรมตฺถสจฺจสมฺปตฺติยา สจฺจาธิฎฺฐานปริปูรณํ, สพฺพูปธิปฎินิสฺสเคฺคน จาคาธิฎฺฐานปริปูรณํ, สพฺพสงฺขารูปสเมน อุปสมาธิฎฺฐานปริปูรณํ, ปญฺญาปโยชนปรินิฎฺฐาเนน ปญฺญาธิฎฺฐานปริปูรณนฺติฯ

    Catutthe ṭhāne parinibbāne caturadhiṭṭhānaparipuṇṇanti apare. Tatra hi parinibbutattā paramatthasaccasampattiyā saccādhiṭṭhānaparipūraṇaṃ, sabbūpadhipaṭinissaggena cāgādhiṭṭhānaparipūraṇaṃ, sabbasaṅkhārūpasamena upasamādhiṭṭhānaparipūraṇaṃ, paññāpayojanapariniṭṭhānena paññādhiṭṭhānaparipūraṇanti.

    ตตฺร มหาปุริสสฺส วิเสเสน เมตฺตาเขเตฺต อภิชาติยํ สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส สจฺจาธิฎฺฐานปริปูรณมภิพฺยตฺตํ, วิเสเสน กรุณาเขเตฺต อภิสโมฺพธิยํ ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส ปญฺญาธิฎฺฐานปริปูรณมภิพฺยตฺตํ, วิเสเสน มุทิตาเขเตฺต ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) จาคาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส จาคาธิฎฺฐานปริปูรณมภิพฺยตฺตํ, วิเสเสน อุเปกฺขาเขเตฺต ปรินิพฺพาเน อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส อุปสมาธิฎฺฐานปริปูรณมภิพฺยตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Tatra mahāpurisassa visesena mettākhette abhijātiyaṃ saccādhiṭṭhānasamudāgatassa saccādhiṭṭhānaparipūraṇamabhibyattaṃ, visesena karuṇākhette abhisambodhiyaṃ paññādhiṭṭhānasamudāgatassa paññādhiṭṭhānaparipūraṇamabhibyattaṃ, visesena muditākhette dhammacakkappavattane (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13; paṭi. ma. 2.30) cāgādhiṭṭhānasamudāgatassa cāgādhiṭṭhānaparipūraṇamabhibyattaṃ, visesena upekkhākhette parinibbāne upasamādhiṭṭhānasamudāgatassa upasamādhiṭṭhānaparipūraṇamabhibyattanti daṭṭhabbaṃ.

    ตตฺรปิ สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส สํวาเสน สีลํ เวทิตพฺพํ, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส สํโวหาเรน โสเจยฺยํ เวทิตพฺพํ, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส อาปทาสุ ถาโม เวทิตโพฺพ, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส สากจฺฉาย ปญฺญา เวทิตพฺพาฯ เอวํ สีลาชีวจิตฺตทิฎฺฐิวิสุทฺธิโย เวทิตพฺพาฯ

    Tatrapi saccādhiṭṭhānasamudāgatassa saṃvāsena sīlaṃ veditabbaṃ, cāgādhiṭṭhānasamudāgatassa saṃvohārena soceyyaṃ veditabbaṃ, upasamādhiṭṭhānasamudāgatassa āpadāsu thāmo veditabbo, paññādhiṭṭhānasamudāgatassa sākacchāya paññā veditabbā. Evaṃ sīlājīvacittadiṭṭhivisuddhiyo veditabbā.

    ตถา สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมน โทสา อคติํ น คจฺฉติ อวิสํวาทนโต, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน โลภา อคติํ น คจฺฉติ อนภิสงฺคโต, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน ภยา อคติํ น คจฺฉติ อนปราธโต, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน โมหา อคติํ น คจฺฉติ ยถาภูตาวโพธโตฯ

    Tathā saccādhiṭṭhānasamudāgamena dosā agatiṃ na gacchati avisaṃvādanato, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena lobhā agatiṃ na gacchati anabhisaṅgato, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena bhayā agatiṃ na gacchati anaparādhato, paññādhiṭṭhānasamudāgamena mohā agatiṃ na gacchati yathābhūtāvabodhato.

    ตถา ปฐเมน อทุโฎฺฐ อธิวาเสติ, ทุติเยน อลุโทฺธ ปฎิเสวติ, ตติเยน อภีโต ปริวเชฺชติ, จตุเตฺถน อสมฺมูโฬฺห วิโนเทติฯ ปฐเมน เนกฺขมฺมสุขปฺปตฺติ, อิตเรหิ ปวิเวกอุปสมสโมฺพธิสุขปฺปตฺติโย โหนฺตีติ ทฎฺฐพฺพาฯ ตถา วิเวกชปีติสุขสมาธิชปีติสุขอปฺปีติชกายสุขสติปาริสุทฺธิชอุเปกฺขาสุขปฺปตฺติโย เอเตหิ จตูหิ ยถากฺกมํ โหนฺตีติฯ เอวมเนกคุณานุพเนฺธหิ จตูหิ อธิฎฺฐาเนหิ สพฺพปารมิสมูหสงฺคโห เวทิตโพฺพฯ ยถา จ จตูหิ อธิฎฺฐาเนหิ สพฺพปารมิสงฺคโห, เอวํ กรุณาปญฺญาหิปีติ ทฎฺฐพฺพํฯ สโพฺพปิ หิ โพธิสมฺภาโร กรุณาปญฺญาหิ สงฺคหิโตฯ กรุณาปญฺญาปริคฺคหิตา หิ ทานาทิคุณา มหาโพธิสมฺภารา ภวนฺติ พุทฺธตฺตสิทฺธิปริโยสานาติ เอวเมตาสํ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ

    Tathā paṭhamena aduṭṭho adhivāseti, dutiyena aluddho paṭisevati, tatiyena abhīto parivajjeti, catutthena asammūḷho vinodeti. Paṭhamena nekkhammasukhappatti, itarehi pavivekaupasamasambodhisukhappattiyo hontīti daṭṭhabbā. Tathā vivekajapītisukhasamādhijapītisukhaappītijakāyasukhasatipārisuddhijaupekkhāsukhappattiyo etehi catūhi yathākkamaṃ hontīti. Evamanekaguṇānubandhehi catūhi adhiṭṭhānehi sabbapāramisamūhasaṅgaho veditabbo. Yathā ca catūhi adhiṭṭhānehi sabbapāramisaṅgaho, evaṃ karuṇāpaññāhipīti daṭṭhabbaṃ. Sabbopi hi bodhisambhāro karuṇāpaññāhi saṅgahito. Karuṇāpaññāpariggahitā hi dānādiguṇā mahābodhisambhārā bhavanti buddhattasiddhipariyosānāti evametāsaṃ saṅgaho veditabbo.

    โก สมฺปาทนูปาโยติ สกลสฺสาปิ ปุญฺญาทิสมฺภารสฺส สมฺมาสโมฺพธิํ, อุทฺทิสฺส อนวเสสสมฺภรณํ อเวกลฺลการิตาโยเคน, ตตฺถ จ สกฺกจฺจการิตา อาทรพหุมานโยเคน, สาตจฺจการิตา นิรนฺตรปโยเคน, จิรกาลาทิโยโค จ อนฺตรา อโวสานาปชฺชเนนาติ จตุรงฺคโยโค เอตาสํ สมฺปาทนูปาโยฯ อปิจ สมาสโต กตาภินีหารสฺส อตฺตนิ สิเนหสฺส ปริยาทานํ, ปเรสุ จ สิเนหสฺส ปริวฑฺฒนํ เอตาสํ สมฺปาทนูปาโยฯ สมฺมาสโมฺพธิสมธิคมาย หิ กตมหาปณิธานสฺส มหาสตฺตสฺส ยาถาวโต ปริชานเนน สเพฺพสุ ธเมฺมสุ อนุปลิตฺตสฺส อตฺตนิ สิเนโห ปริกฺขยํ ปริยาทานํ คจฺฉติ, มหากรุณาสมาโยควเสน ปน ปิเย ปุเตฺต วิย สพฺพสเตฺต สมฺปสฺสมานสฺส เตสุ เมตฺตาสิเนโห ปริวฑฺฒติฯ ตโต จ ตํตทาวตฺถานุรูปมตฺตปรสนฺตาเนสุ โลภโทสโมหวิคเมน วิทูรีกตมจฺฉริยาทิโพธิสมฺภารปฎิปโกฺข มหาปุริโส ทานปิยวจนอตฺถจริยาสมานตฺตตาสงฺขาเตหิ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ (ที. นิ. ๓.๒๑๐; อ. นิ. ๔.๓๒) จตุรธิฎฺฐานานุคเตหิ อจฺจนฺตํ ชนสฺส สงฺคหกรณวเสน อุปริ ยานตฺตเย อวตารณํ ปริปาจนญฺจ กโรติฯ มหาสตฺตานญฺหิ มหาปญฺญา มหากรุณา จ ทาเนน อลงฺกตา; ทานํ ปิยวจเนน; ปิยวจนํ อตฺถจริยาย; อตฺถจริยา สมานตฺตตาย อลงฺกตา สงฺคหิตา จฯ สพฺพภูตตฺตภูตสฺส หิ โพธิสตฺตสฺส สพฺพตฺถ สมานสุขทุกฺขตาย สมานตฺตตาสิทฺธิฯ พุทฺธภูโต ปน เตเหว สงฺคหวตฺถูหิ จตุรธิฎฺฐานปริปูริตาภิพุเทฺธหิ ชนสฺส อจฺจนฺติกสงฺคหกรเณน อภิวินยนํ กโรติฯ ทานญฺหิ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ จาคาธิฎฺฐาเนน ปริปูริตาภิพุทฺธํ ; ปิยวจนํ สจฺจาธิฎฺฐาเนน; อตฺถจริยา ปญฺญาธิฎฺฐาเนน; สมานตฺตตา อุปสมาธิฎฺฐาเนน ปริปูริตาภิพุทฺธาฯ ตถาคตานญฺหิ สพฺพสาวกปเจฺจกพุเทฺธหิ สมานตฺตตา ปรินิพฺพาเนฯ ตตฺร หิ เตสํ อวิเสสโต เอกีภาโวฯ เตเนวาห ‘‘นตฺถิ วิมุตฺติยา นานตฺต’’นฺติฯ

    Ko sampādanūpāyoti sakalassāpi puññādisambhārassa sammāsambodhiṃ, uddissa anavasesasambharaṇaṃ avekallakāritāyogena, tattha ca sakkaccakāritā ādarabahumānayogena, sātaccakāritā nirantarapayogena, cirakālādiyogo ca antarā avosānāpajjanenāti caturaṅgayogo etāsaṃ sampādanūpāyo. Apica samāsato katābhinīhārassa attani sinehassa pariyādānaṃ, paresu ca sinehassa parivaḍḍhanaṃ etāsaṃ sampādanūpāyo. Sammāsambodhisamadhigamāya hi katamahāpaṇidhānassa mahāsattassa yāthāvato parijānanena sabbesu dhammesu anupalittassa attani sineho parikkhayaṃ pariyādānaṃ gacchati, mahākaruṇāsamāyogavasena pana piye putte viya sabbasatte sampassamānassa tesu mettāsineho parivaḍḍhati. Tato ca taṃtadāvatthānurūpamattaparasantānesu lobhadosamohavigamena vidūrīkatamacchariyādibodhisambhārapaṭipakkho mahāpuriso dānapiyavacanaatthacariyāsamānattatāsaṅkhātehi catūhi saṅgahavatthūhi (dī. ni. 3.210; a. ni. 4.32) caturadhiṭṭhānānugatehi accantaṃ janassa saṅgahakaraṇavasena upari yānattaye avatāraṇaṃ paripācanañca karoti. Mahāsattānañhi mahāpaññā mahākaruṇā ca dānena alaṅkatā; dānaṃ piyavacanena; piyavacanaṃ atthacariyāya; atthacariyā samānattatāya alaṅkatā saṅgahitā ca. Sabbabhūtattabhūtassa hi bodhisattassa sabbattha samānasukhadukkhatāya samānattatāsiddhi. Buddhabhūto pana teheva saṅgahavatthūhi caturadhiṭṭhānaparipūritābhibuddhehi janassa accantikasaṅgahakaraṇena abhivinayanaṃ karoti. Dānañhi sammāsambuddhānaṃ cāgādhiṭṭhānena paripūritābhibuddhaṃ ; piyavacanaṃ saccādhiṭṭhānena; atthacariyā paññādhiṭṭhānena; samānattatā upasamādhiṭṭhānena paripūritābhibuddhā. Tathāgatānañhi sabbasāvakapaccekabuddhehi samānattatā parinibbāne. Tatra hi tesaṃ avisesato ekībhāvo. Tenevāha ‘‘natthi vimuttiyā nānatta’’nti.

    โหนฺติ เจตฺถ –

    Honti cettha –

    ‘‘สโจฺจ จาคี อุปสโนฺต, ปญฺญวา อนุกมฺปโก,

    ‘‘Sacco cāgī upasanto, paññavā anukampako,

    สมฺภตสพฺพสมฺภาโร, กํ นามตฺถํ น สาธเยฯ

    Sambhatasabbasambhāro, kaṃ nāmatthaṃ na sādhaye.

    มหาการุณิโก สตฺถา, หิเตสี จ อุเปกฺขโก,

    Mahākāruṇiko satthā, hitesī ca upekkhako,

    นิรเปโกฺข จ สพฺพตฺถ, อโห อจฺฉริโย ชิโนฯ

    Nirapekkho ca sabbattha, aho acchariyo jino.

    วิรโตฺต สพฺพธเมฺมสุ, สเตฺตสุ จ อุเปกฺขโก,

    Viratto sabbadhammesu, sattesu ca upekkhako,

    สทา สตฺตหิเต ยุโตฺต, อโห อจฺฉริโย ชิโนฯ

    Sadā sattahite yutto, aho acchariyo jino.

    สพฺพทา สพฺพสตฺตานํ, หิตาย จ สุขาย จ,

    Sabbadā sabbasattānaṃ, hitāya ca sukhāya ca,

    อุยฺยุโตฺต อกิลาสู จ, อโห อจฺฉริโย ชิโน’’ติฯ (จริยา. อฎฺฐ. ๓๒๐ ปกิณฺณกกถา);

    Uyyutto akilāsū ca, aho acchariyo jino’’ti. (cariyā. aṭṭha. 320 pakiṇṇakakathā);

    กิตฺตเกน กาเลน สมฺปาทนนฺติ เหฎฺฐิเมน ตาว ปริเจฺฉเทน จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, มชฺฌิเมน อฎฺฐาสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, อุปริเมน โสฬสาสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, เอเต จ เภทา ยถากฺกมํ ปญฺญาธิกสทฺธาธิกวีริยาธิกวเสน ญาตพฺพาฯ ปญฺญาธิกานญฺหิ สทฺธา มนฺทา โหติ, ปญฺญา ติกฺขาฯ สทฺธาธิกานํ ปญฺญา มชฺฌิมา โหติ, วีริยาธิกานํ ปญฺญา มนฺทาฯ ปญฺญานุภาเวน จ สมฺมาสโมฺพธิ อภิคนฺตพฺพาติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ อวิเสเสน ปน วิมุตฺติปริปาจนียานํ ธมฺมานํ ติกฺขมชฺฌิมมุทุภาเวน ตโยเปเต เภทา ยุตฺตาติ วทนฺติฯ ติวิธา หิ โพธิสตฺตา อภินีหารกฺขเณ ภวนฺติ อุคฺฆฎิตญฺญูวิปญฺจิตญฺญูเนยฺยเภเทนฯ เตสุ อุคฺฆฎิตญฺญู สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สมฺมุขา จตุปฺปทิกํ คาถํ สุณโนฺต ตติยปเท อปริโยสิเตเยว ฉอภิญฺญาหิ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺตุํ สมตฺถุปนิสฺสโย โหติ, ทุติโย สตฺถุ สมฺมุขา จตุปฺปทิกํ คาถํ สุณโนฺต อปริโยสิเตเยว จตุตฺถปเท ฉหิ อภิญฺญาหิ อรหตฺตํ ปตฺตุํ สมตฺถุปนิสฺสโย โหติ, อิตโร ภควโต สมฺมุขา จตุปฺปทิกํ คาถํ สุตฺวา ปริโยสิตาย คาถาย ฉหิ อภิญฺญาหิ อรหตฺตํ ปตฺตุํ สมตฺถุปนิสฺสโย ภวติฯ ตโยเปเต วินา กาลเภเทน กตาภินีหารลทฺธพฺยากรณา ปารมิโย ปูเรนฺตา ยถากฺกมํ ยถาวุตฺตเภเทน กาเลน สมฺมาสโมฺพธิํ ปาปุณนฺติฯ เตสุ เตสุ ปน กาลเภเทสุ อปริปุเณฺณสุ เต เต มหาสตฺตา ทิวเส ทิวเส เวสฺสนฺตรทานสทิสํ ทานํ เทนฺตาปิ ตทนุรูเป สีลาทิสพฺพปารมิธเมฺม อาจินนฺตาปิ อนฺตรา พุทฺธา ภวิสฺสนฺตีติ อการณเมตํฯ กสฺมา? ญาณสฺส อปริปจฺจนโตฯ ปริจฺฉินฺนกาลนิปฺผาทิตํ วิย หิ สสฺสํ ปริจฺฉินฺนกาเล ปรินิปฺผาทิตา สมฺมาสโมฺพธิฯ ตทนฺตรา ปน สพฺพุสฺสาเหน วายมเนฺตนาปิ น สกฺกา ปาปุณิตุนฺติ ปารมิปาริปูรี ยถาวุตฺตกาลวิเสสํ วินา น สมฺปชฺชตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Kittakena kālena sampādananti heṭṭhimena tāva paricchedena cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca, majjhimena aṭṭhāsaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca, uparimena soḷasāsaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca, ete ca bhedā yathākkamaṃ paññādhikasaddhādhikavīriyādhikavasena ñātabbā. Paññādhikānañhi saddhā mandā hoti, paññā tikkhā. Saddhādhikānaṃ paññā majjhimā hoti, vīriyādhikānaṃ paññā mandā. Paññānubhāvena ca sammāsambodhi abhigantabbāti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Avisesena pana vimuttiparipācanīyānaṃ dhammānaṃ tikkhamajjhimamudubhāvena tayopete bhedā yuttāti vadanti. Tividhā hi bodhisattā abhinīhārakkhaṇe bhavanti ugghaṭitaññūvipañcitaññūneyyabhedena. Tesu ugghaṭitaññū sammāsambuddhassa sammukhā catuppadikaṃ gāthaṃ suṇanto tatiyapade apariyositeyeva chaabhiññāhi saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pattuṃ samatthupanissayo hoti, dutiyo satthu sammukhā catuppadikaṃ gāthaṃ suṇanto apariyositeyeva catutthapade chahi abhiññāhi arahattaṃ pattuṃ samatthupanissayo hoti, itaro bhagavato sammukhā catuppadikaṃ gāthaṃ sutvā pariyositāya gāthāya chahi abhiññāhi arahattaṃ pattuṃ samatthupanissayo bhavati. Tayopete vinā kālabhedena katābhinīhāraladdhabyākaraṇā pāramiyo pūrentā yathākkamaṃ yathāvuttabhedena kālena sammāsambodhiṃ pāpuṇanti. Tesu tesu pana kālabhedesu aparipuṇṇesu te te mahāsattā divase divase vessantaradānasadisaṃ dānaṃ dentāpi tadanurūpe sīlādisabbapāramidhamme ācinantāpi antarā buddhā bhavissantīti akāraṇametaṃ. Kasmā? Ñāṇassa aparipaccanato. Paricchinnakālanipphāditaṃ viya hi sassaṃ paricchinnakāle parinipphāditā sammāsambodhi. Tadantarā pana sabbussāhena vāyamantenāpi na sakkā pāpuṇitunti pāramipāripūrī yathāvuttakālavisesaṃ vinā na sampajjatīti veditabbaṃ.

    โก อานิสํโสติ เย เต กตาภินีหารานํ โพธิสตฺตานํ –

    Ko ānisaṃsoti ye te katābhinīhārānaṃ bodhisattānaṃ –

    ‘‘เอวํ สพฺพงฺคสมฺปนฺนา, โพธิยา นิยตา นรา;

    ‘‘Evaṃ sabbaṅgasampannā, bodhiyā niyatā narā;

    สํสรํ ทีฆมทฺธานํ, กปฺปโกฎิสเตหิปิ;

    Saṃsaraṃ dīghamaddhānaṃ, kappakoṭisatehipi;

    อวีจิมฺหิ นุปฺปชฺชนฺติ, ตถา โลกนฺตเรสุ จา’’ติฯ อาทินา (อภิ. อฎฺฐ. ๑.นิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๒๗.ทูเรนิทานกถา; จริยา. อฎฺฐ. ปกิณฺณกกถา) –

    Avīcimhi nuppajjanti, tathā lokantaresu cā’’ti. ādinā (abhi. aṭṭha. 1.nidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; bu. vaṃ. aṭṭha. 27.dūrenidānakathā; cariyā. aṭṭha. pakiṇṇakakathā) –

    อฎฺฐารส อภพฺพฎฺฐานานุปคมนปฺปการา อานิสํสา สํวณฺณิตาฯ เย จ ‘‘สโต สมฺปชาโน อานนฺท โพธิสโตฺต ตุสิตากายา จวิตฺวา มาตุกุจฺฉิํ โอกฺกมี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๓.๑๙๙) โสฬส อจฺฉริยพฺภุตธมฺมปฺปการา, เย จ ‘‘สีตํ พฺยปคตํ โหติ, อุณฺหญฺจ อุปสมฺมตี’’ติอาทินา (พุ. วํ. ๘๓), ‘‘ชายมาเน โข สาริปุตฺต โพธิสเตฺต อยํ ทสสหสฺสิโลกธาตุ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธตี’’ติอาทินา จ ทฺวตฺติํส ปุพฺพนิมิตฺตปฺปการา, เย วา ปนเญฺญปิ ‘‘โพธิสตฺตานํ อธิปฺปายสมิชฺฌนํ กมฺมาทีสุ วสีภาโว’’ติ เอวมาทโย ตตฺถ ตตฺถ ชาตกพุทฺธวํสาทีสุ ทสฺสิตปฺปการา อานิสํสา, เต สเพฺพปิ เอตาสํ อานิสํสา, ตถา ยถานิทสฺสิตเภทา อโลภาโทสาทิคุณยุคฬาทโย จาติ เวทิตพฺพาฯ

    Aṭṭhārasa abhabbaṭṭhānānupagamanappakārā ānisaṃsā saṃvaṇṇitā. Ye ca ‘‘sato sampajāno ānanda bodhisatto tusitākāyā cavitvā mātukucchiṃ okkamī’’tiādinā (ma. ni. 3.199) soḷasa acchariyabbhutadhammappakārā, ye ca ‘‘sītaṃ byapagataṃ hoti, uṇhañca upasammatī’’tiādinā (bu. vaṃ. 83), ‘‘jāyamāne kho sāriputta bodhisatte ayaṃ dasasahassilokadhātu saṅkampati sampakampati sampavedhatī’’tiādinā ca dvattiṃsa pubbanimittappakārā, ye vā panaññepi ‘‘bodhisattānaṃ adhippāyasamijjhanaṃ kammādīsu vasībhāvo’’ti evamādayo tattha tattha jātakabuddhavaṃsādīsu dassitappakārā ānisaṃsā, te sabbepi etāsaṃ ānisaṃsā, tathā yathānidassitabhedā alobhādosādiguṇayugaḷādayo cāti veditabbā.

    กิํ ผลนฺติ สมาสโต ตาว สมฺมาสมฺพุทฺธภาโว เอตาสํ ผลํ, วิตฺถารโต ปน ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณ- (ที. นิ. ๒.๒๔ อาทโย; ๓.๑๖๘ อาทโย; ม. นิ. ๒.๓๘๕) อสีติอนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภาทิอเนกคุณคณสมุชฺชลรูปกายสมฺปตฺติอธิฎฺฐานา ทสพลจตุเวสารชฺชฉอสาธารณญาณอฎฺฐารสาเวณิกพุทฺธธมฺม- (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๓๐๕; มูลฎี. ๒.สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา) -ปภุติอเนกสตสหสฺสคุณสมุทโยปโสภินี ธมฺมกายสิรี, ยาวตา ปน พุทฺธคุณา เย อเนเกหิปิ กเปฺปหิ สมฺมาสมฺพุเทฺธนาปิ วาจาย ปริโยสาเปตุํ น สกฺกา, อิทํ เอตาสํ ผลนฺติ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน พุทฺธวํสจริยาปิฎกชาตกมหาปทานสุตฺตาทีนํ วเสน เวทิตโพฺพฯ

    Kiṃphalanti samāsato tāva sammāsambuddhabhāvo etāsaṃ phalaṃ, vitthārato pana dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇa- (dī. ni. 2.24 ādayo; 3.168 ādayo; ma. ni. 2.385) asītianubyañjanabyāmappabhādianekaguṇagaṇasamujjalarūpakāyasampattiadhiṭṭhānā dasabalacatuvesārajjachaasādhāraṇañāṇaaṭṭhārasāveṇikabuddhadhamma- (dī. ni. aṭṭha. 3.305; mūlaṭī. 2.suttantabhājanīyavaṇṇanā) -pabhutianekasatasahassaguṇasamudayopasobhinī dhammakāyasirī, yāvatā pana buddhaguṇā ye anekehipi kappehi sammāsambuddhenāpi vācāya pariyosāpetuṃ na sakkā, idaṃ etāsaṃ phalanti ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana buddhavaṃsacariyāpiṭakajātakamahāpadānasuttādīnaṃ vasena veditabbo.

    ยถาวุตฺตาย ปฎิปทาย ยถาวุตฺตวิภาคานํ ปารมีนํ ปูริตภาวํ สนฺธายาห ‘‘สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา’’ติฯ สติปิ มหาปริจฺจาคานํ ทานปารมิภาเว ปริจฺจาควิเสสภาวทสฺสนตฺถเญฺจว สุทุกฺกรภาวทสฺสนตฺถญฺจ ‘‘ปญฺจ มหาปริจฺจาเค’’ติ วิสุํ คหณํ, ตโตเยว จ องฺคปริจฺจาคโต วิสุํ นยนปริจฺจาคคฺคหณํ, ปริคฺคหปริจฺจาคภาวสามเญฺญปิ ธนรชฺชปริจฺจาคโต ปุตฺตทารปริจฺจาคคฺคหณญฺจ กตํฯ คตปจฺจาคติกวตฺตสงฺขาตาย ปุพฺพภาคปฎิปทาย สทฺธิํ อภิญฺญาสมาปตฺตินิปฺผาทนํ ปุพฺพโยโคฯ ทานาทีสุเยว สาติสยปฎิปตฺตินิปฺผาทนํ ปุพฺพจริยา, ยา จริยาปิฎกสงฺคหิตาฯ อภินีหาโร ปุพฺพโยโค, ทานาทิปฎิปตฺติ, กายวิเวกวเสน เอกจริยา วา ปุพฺพจริยาติ เกจิฯ ทานาทีนเญฺจว อปฺปิจฺฉตาทีนญฺจ สํสารนิพฺพาเนสุ อาทีนวานิสํสาทีนญฺจ วิภาวนวเสน สตฺตานํ โพธิตฺตเย ปติฎฺฐาปนปริปาจนวเสน ปวตฺตา กถา ธมฺมกฺขานํฯ ญาตีนํ อตฺถจริยา ญาตตฺถจริยา, สาปิ กรุณายนวเสเนวฯ อาทิ-สเทฺทน โลกตฺถจริยาทโย สงฺคณฺหาติฯ กมฺมสฺสกตาญาณวเสน, อนวชฺชกมฺมายตนวิชฺชาฎฺฐานปริจยวเสน, ขนฺธายตนาทิปริจยวเสน, ลกฺขณตฺตยตีรณวเสน จ ญาณจาโร พุทฺธิจริยา, สา ปน อตฺถโต ปญฺญาปารมีเยว, ญาณสมฺภารทสฺสนตฺถํ วิสุํ คหณํฯ โกฎินฺติ ปริยโนฺต, อุกฺกํโสติ อโตฺถฯ จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน ภาเวตฺวา พฺรูเหตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ ภาเวตฺวาติ อุปฺปาเทตฺวาฯ พฺรูเหตฺวาติ วเฑฺฒตฺวาฯ สติปฎฺฐานาทิคฺคหเณน อาคมนปฎิปทํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทเสฺสติ, วิปสฺสนาสหคตา เอว วา สติปฎฺฐานาทโย ทฎฺฐพฺพาฯ เอตฺถ จ ‘‘เยน อภินีหาเรนา’’ติอาทินา อาคมนปฎิปทาย อาทิํ ทเสฺสติ, ‘‘ทานปารมี’’ติอาทินา มชฺฌํ, ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน’’ติอาทินา ปริโยสานนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Yathāvuttāya paṭipadāya yathāvuttavibhāgānaṃ pāramīnaṃ pūritabhāvaṃ sandhāyāha ‘‘samatiṃsa pāramiyo pūretvā’’ti. Satipi mahāpariccāgānaṃ dānapāramibhāve pariccāgavisesabhāvadassanatthañceva sudukkarabhāvadassanatthañca ‘‘pañca mahāpariccāge’’ti visuṃ gahaṇaṃ, tatoyeva ca aṅgapariccāgato visuṃ nayanapariccāgaggahaṇaṃ, pariggahapariccāgabhāvasāmaññepi dhanarajjapariccāgato puttadārapariccāgaggahaṇañca kataṃ. Gatapaccāgatikavattasaṅkhātāya pubbabhāgapaṭipadāya saddhiṃ abhiññāsamāpattinipphādanaṃ pubbayogo. Dānādīsuyeva sātisayapaṭipattinipphādanaṃ pubbacariyā, yā cariyāpiṭakasaṅgahitā. Abhinīhāro pubbayogo, dānādipaṭipatti, kāyavivekavasena ekacariyā vā pubbacariyāti keci. Dānādīnañceva appicchatādīnañca saṃsāranibbānesu ādīnavānisaṃsādīnañca vibhāvanavasena sattānaṃ bodhittaye patiṭṭhāpanaparipācanavasena pavattā kathā dhammakkhānaṃ. Ñātīnaṃ atthacariyā ñātatthacariyā, sāpi karuṇāyanavaseneva. Ādi-saddena lokatthacariyādayo saṅgaṇhāti. Kammassakatāñāṇavasena, anavajjakammāyatanavijjāṭṭhānaparicayavasena, khandhāyatanādiparicayavasena, lakkhaṇattayatīraṇavasena ca ñāṇacāro buddhicariyā, sā pana atthato paññāpāramīyeva, ñāṇasambhāradassanatthaṃ visuṃ gahaṇaṃ. Koṭinti pariyanto, ukkaṃsoti attho. Cattāro satipaṭṭhāne bhāvetvā brūhetvāti sambandho. Tattha bhāvetvāti uppādetvā. Brūhetvāti vaḍḍhetvā. Satipaṭṭhānādiggahaṇena āgamanapaṭipadaṃ matthakaṃ pāpetvā dasseti, vipassanāsahagatā eva vā satipaṭṭhānādayo daṭṭhabbā. Ettha ca ‘‘yena abhinīhārenā’’tiādinā āgamanapaṭipadāya ādiṃ dasseti, ‘‘dānapāramī’’tiādinā majjhaṃ, ‘‘cattāro satipaṭṭhāne’’tiādinā pariyosānanti veditabbaṃ.

    สมฺปติชาโตติ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา มุหุตฺตชาโต, น มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตมโตฺตฯ นิกฺขนฺตมตฺตญฺหิ มหาสตฺตํ ปฐมํ พฺรหฺมาโน สุวณฺณชาเลน ปฎิคฺคณฺหิํสุ, เตสํ หตฺถโต จตฺตาโร มหาราชาโน อชินปฺปเวณิยา, เตสํ หตฺถโต มนุสฺสา ทุกูลจุมฺพฎเกน ปฎิคฺคณฺหิํสุ, มนุสฺสานํ หตฺถโต มุญฺจิตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐิโตติ ยถาห ภควา มหาปทานเทสนายํฯ เสตมฺหิ ฉเตฺตติ ทิพฺพเสตจฺฉเตฺตฯ อนุหีรมาเนติ ธาริยมาเนฯ เอตฺถ จ ฉตฺตคฺคหเณเนว ขคฺคาทีนิ ปญฺจ กกุธภณฺฑานิปิ (ชา. ๒.๑๙.๗๒) วุตฺตาเนวาติ เวทิตพฺพํฯ ขคฺคตาลวณฺฎโมรหตฺถกวาฬพีชนีอุณฺหีสปฎฺฎาปิ หิ ฉเตฺตน สห ตทา อุปฎฺฐิตา อเหสุํฯ ฉตฺตาทีนิเยว จ ตทา ปญฺญายิํสุ, น ฉตฺตาทิคาหกาฯ สพฺพา จ ทิสาติ ทสปิ ทิสาฯ นยิทํ สพฺพทิสาวิโลกนํ สตฺตปทวีติหารุตฺตรกาลํ ทฎฺฐพฺพํฯ มหาสโตฺต หิ มนุสฺสานํ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา ปุรตฺถิมทิสํ โอโลเกสิ, ตตฺถ เทวมนุสฺสา คนฺธมาลาทีหิ ปูชยมานา ‘‘มหาปุริส อิธ ตุเมฺหหิ สทิโสปิ นตฺถิ, กุโต อุตฺตริตโร’’ติ อาหํสุฯ เอวํ จตโสฺส ทิสา, จตโสฺส อนุทิสา, เหฎฺฐา, อุปรีติ สพฺพา ทิสา อนุวิโลเกตฺวา สพฺพตฺถ อตฺตนา สทิสํ อทิสฺวา ‘‘อยํ อุตฺตรา ทิสา’’ติ ตตฺถ สตฺตปทวีติหาเรน อคมาสิฯ อาสภินฺติ อุตฺตมํฯ อโคฺคติ สพฺพปฐโมฯ เชโฎฺฐ เสโฎฺฐติ จ ตเสฺสว เววจนํฯ อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโวติ อิมสฺมิํ อตฺตภาเว ปตฺตพฺพํ อรหตฺตํ พฺยากาสิฯ

    Sampatijātoti hatthato muccitvā muhuttajāto, na mātukucchito nikkhantamatto. Nikkhantamattañhi mahāsattaṃ paṭhamaṃ brahmāno suvaṇṇajālena paṭiggaṇhiṃsu, tesaṃ hatthato cattāro mahārājāno ajinappaveṇiyā, tesaṃ hatthato manussā dukūlacumbaṭakena paṭiggaṇhiṃsu, manussānaṃ hatthato muñcitvā pathaviyaṃ patiṭṭhitoti yathāha bhagavā mahāpadānadesanāyaṃ. Setamhi chatteti dibbasetacchatte. Anuhīramāneti dhāriyamāne. Ettha ca chattaggahaṇeneva khaggādīni pañca kakudhabhaṇḍānipi (jā. 2.19.72) vuttānevāti veditabbaṃ. Khaggatālavaṇṭamorahatthakavāḷabījanīuṇhīsapaṭṭāpi hi chattena saha tadā upaṭṭhitā ahesuṃ. Chattādīniyeva ca tadā paññāyiṃsu, na chattādigāhakā. Sabbā ca disāti dasapi disā. Nayidaṃ sabbadisāvilokanaṃ sattapadavītihāruttarakālaṃ daṭṭhabbaṃ. Mahāsatto hi manussānaṃ hatthato muccitvā puratthimadisaṃ olokesi, tattha devamanussā gandhamālādīhi pūjayamānā ‘‘mahāpurisa idha tumhehi sadisopi natthi, kuto uttaritaro’’ti āhaṃsu. Evaṃ catasso disā, catasso anudisā, heṭṭhā, uparīti sabbā disā anuviloketvā sabbattha attanā sadisaṃ adisvā ‘‘ayaṃ uttarā disā’’ti tattha sattapadavītihārena agamāsi. Āsabhinti uttamaṃ. Aggoti sabbapaṭhamo. Jeṭṭho seṭṭhoti ca tasseva vevacanaṃ. Ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavoti imasmiṃ attabhāve pattabbaṃ arahattaṃ byākāsi.

    ‘‘อเนเกสํ วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนา’’ติ สงฺขิเตฺตน วุตฺตมตฺถํ ‘‘ยญฺหี’’ติอาทินา วิตฺถารโต ทเสฺสติฯ ตตฺถ เอตฺถาติ –

    ‘‘Anekesaṃ visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvenā’’ti saṅkhittena vuttamatthaṃ ‘‘yañhī’’tiādinā vitthārato dasseti. Tattha etthāti –

    ‘‘อเนกสาขญฺจ สหสฺสมณฺฑลํ,

    ‘‘Anekasākhañca sahassamaṇḍalaṃ,

    ฉตฺตํ มรู ธารยุมนฺตลิเกฺข;

    Chattaṃ marū dhārayumantalikkhe;

    สุวณฺณทณฺฑา วีติปตนฺติ จามรา,

    Suvaṇṇadaṇḍā vītipatanti cāmarā,

    น ทิสฺสเร จามรฉตฺตคาหกา’’ติฯ (สุ. นิ. ๖๙๓);

    Na dissare cāmarachattagāhakā’’ti. (su. ni. 693);

    อิมิสฺสา คาถายฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตจารตาย อนาวรณญาณนฺติ อาห ‘‘สพฺพญฺญุตานาวรณญาณปฎิลาภสฺสา’’ติฯ ‘‘ตถา อยํ ภควาปิ คโต…เป.… ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนา’’ติ เอเตน อภิชาติยํ ธมฺมตาวเสน อุปฺปชฺชนวิเสสา สพฺพโพธิสตฺตานํ สาธารณาติ ทเสฺสติฯ ปารมิตานิสฺสนฺทา หิ เตติฯ

    Imissā gāthāya. Sabbaññutaññāṇameva sabbattha appaṭihatacāratāya anāvaraṇañāṇanti āha ‘‘sabbaññutānāvaraṇañāṇapaṭilābhassā’’ti. ‘‘Tathā ayaṃ bhagavāpi gato…pe… pubbanimittabhāvenā’’ti etena abhijātiyaṃ dhammatāvasena uppajjanavisesā sabbabodhisattānaṃ sādhāraṇāti dasseti. Pāramitānissandā hi teti.

    วิกฺกมีติ อคมาสิฯ มรูติ เทวาฯ สมาติ วิโลกนสมตาย สมา สทิสิโยฯ มหาปุริโส หิ ยถา เอกํ ทิสํ วิโลเกสิ, เอวํ เสสา ทิสาปิ, น กตฺถจิ วิโลกเน วิพโนฺธ ตสฺส อโหสีติฯ สมาติ วา วิโลเกตุํ ยุตฺตาติ อโตฺถฯ น หิ ตทา โพธิสตฺตสฺส วิรูปพีภจฺฉวิสมรูปานิ วิโลเกตุํ อยุตฺตานิ ทิสาสุ อุปฎฺฐหนฺตีติฯ

    Vikkamīti agamāsi. Marūti devā. Samāti vilokanasamatāya samā sadisiyo. Mahāpuriso hi yathā ekaṃ disaṃ vilokesi, evaṃ sesā disāpi, na katthaci vilokane vibandho tassa ahosīti. Samāti vā viloketuṃ yuttāti attho. Na hi tadā bodhisattassa virūpabībhacchavisamarūpāni viloketuṃ ayuttāni disāsu upaṭṭhahantīti.

    ‘‘เอวํ ตถาคโต’’ติ กายคมนเฎฺฐน คต-สเทฺทน ตถาคต-สทฺทํ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ ญาณคมนเฎฺฐน ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เนกฺขเมฺมนาติ อโลภปฺปธาเนน กุสลจิตฺตุปฺปาเทนฯ กุสลา หิ ธมฺมา อิธ เนกฺขมฺมํ, น ปพฺพชฺชาทโย, ‘‘ปฐมชฺฌาเนนา’’ติ จ วทนฺติฯ ปหายาติ ปชหิตฺวาฯ คโต อธิคโต, ปฎิปโนฺน อุตฺตริวิเสสนฺติ อโตฺถฯ ปหายาติ วา ปหานเหตุ, ปหานลกฺขณํ วาฯ เหตุลกฺขณโตฺถ หิ อยํ ปหาย-สโทฺทฯ ‘‘กามจฺฉนฺทาทิปฺปหานเหตุกํ คโต’’ติ เหตฺถ วุตฺตํ คมนํ อวโพโธ, ปฎิปตฺติ เอว วาฯ กามจฺฉนฺทาทิปฺปหาเนน จ ตํ ลกฺขียติฯ เอส นโย ‘‘ปทาเลตฺวา’’ติอาทีสุปิฯ อพฺยาปาเทนาติ เมตฺตายฯ อาโลกสญฺญายาติ วิภูตํ กตฺวา มนสิกรเณน อุปฎฺฐิตอาโลกสญฺชานเนน ฯ อวิเกฺขเปนาติ สมาธินาฯ ธมฺมววตฺถาเนนาติ กุสลาทิธมฺมานํ ยาถาววินิจฺฉเยน, ‘‘สปฺปจฺจยนามรูปววตฺถาเนนา’’ติปิ วทนฺติฯ

    ‘‘Evaṃ tathāgato’’ti kāyagamanaṭṭhena gata-saddena tathāgata-saddaṃ niddisitvā idāni ñāṇagamanaṭṭhena taṃ dassetuṃ ‘‘atha vā’’tiādimāha. Tattha nekkhammenāti alobhappadhānena kusalacittuppādena. Kusalā hi dhammā idha nekkhammaṃ, na pabbajjādayo, ‘‘paṭhamajjhānenā’’ti ca vadanti. Pahāyāti pajahitvā. Gato adhigato, paṭipanno uttarivisesanti attho. Pahāyāti vā pahānahetu, pahānalakkhaṇaṃ vā. Hetulakkhaṇattho hi ayaṃ pahāya-saddo. ‘‘Kāmacchandādippahānahetukaṃ gato’’ti hettha vuttaṃ gamanaṃ avabodho, paṭipatti eva vā. Kāmacchandādippahānena ca taṃ lakkhīyati. Esa nayo ‘‘padāletvā’’tiādīsupi. Abyāpādenāti mettāya. Ālokasaññāyāti vibhūtaṃ katvā manasikaraṇena upaṭṭhitaālokasañjānanena . Avikkhepenāti samādhinā. Dhammavavatthānenāti kusalādidhammānaṃ yāthāvavinicchayena, ‘‘sappaccayanāmarūpavavatthānenā’’tipi vadanti.

    เอวํ กามจฺฉนฺทาทินีวรณปฺปหาเนน ‘‘อภิชฺฌํ โลเก ปหายา’’ติอาทินา (วิภ. ๕๐๘) วุตฺตาย ปฐมชฺฌานสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทาย ภควโต ตถาคตภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สห อุปาเยน อฎฺฐหิ สมาปตฺตีหิ, อฎฺฐารสหิ จ มหาวิปสฺสนาหิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ญาเณนา’’ติอาทิมาหฯ นามรูปปริคฺคหกงฺขาวิตรณานญฺหิ วิพนฺธภูตสฺส โมหสฺส ทูรีกรเณน ญาตปริญฺญายํ ฐิตสฺส อนิจฺจสญฺญาทโย สิชฺฌนฺติ, ตถา ฌานสมาปตฺตีสุ อภิรตินิมิเตฺตน ปาโมเชฺชน, ตตฺถ อนภิรติยา วิโนทิตาย ฌานาทิ สมธิคโมติ สมาปตฺติวิปสฺสนานํ อรติวิโนทนอวิชฺชาปทาลนาทิ อุปาโย, อุปฺปฎิปาฎินิเทฺทโส ปน นีวรณสภาวาย อวิชฺชาย เหฎฺฐา นีวรเณสุปิ สงฺคหทสฺสนตฺถนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สมาปตฺติวิหารปฺปเวสวิพนฺธเนน นีวรณานิ กวาฎสทิสานีติ อาห ‘‘นีวรณกวาฎํ อุคฺฆาเฎตฺวา’’ติฯ ‘‘รตฺติํ วิตเกฺกตฺวา วิจาเรตฺวา ทิวา กมฺมเนฺต ปโยเชตี’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน วิย วิตกฺกวิจารา ธูมายนาติ อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘วิตกฺกวิจารธูม’’นฺติฯ กิญฺจาปิ ปฐมชฺฌานูปจาเรเยว จ ทุกฺขํ, จตุตฺถชฺฌานูปจาเรเยว สุขํ ปหียติ, อติสยปฺปหานํ ปน สนฺธายาห ‘‘จตุตฺถชฺฌาเนน สุขทุกฺขํ ปหายา’’ติฯ

    Evaṃ kāmacchandādinīvaraṇappahānena ‘‘abhijjhaṃ loke pahāyā’’tiādinā (vibha. 508) vuttāya paṭhamajjhānassa pubbabhāgapaṭipadāya bhagavato tathāgatabhāvaṃ dassetvā idāni saha upāyena aṭṭhahi samāpattīhi, aṭṭhārasahi ca mahāvipassanāhi taṃ dassetuṃ ‘‘ñāṇenā’’tiādimāha. Nāmarūpapariggahakaṅkhāvitaraṇānañhi vibandhabhūtassa mohassa dūrīkaraṇena ñātapariññāyaṃ ṭhitassa aniccasaññādayo sijjhanti, tathā jhānasamāpattīsu abhiratinimittena pāmojjena, tattha anabhiratiyā vinoditāya jhānādi samadhigamoti samāpattivipassanānaṃ arativinodanaavijjāpadālanādi upāyo, uppaṭipāṭiniddeso pana nīvaraṇasabhāvāya avijjāya heṭṭhā nīvaraṇesupi saṅgahadassanatthanti daṭṭhabbaṃ. Samāpattivihārappavesavibandhanena nīvaraṇāni kavāṭasadisānīti āha ‘‘nīvaraṇakavāṭaṃ ugghāṭetvā’’ti. ‘‘Rattiṃ vitakketvā vicāretvā divā kammante payojetī’’ti vuttaṭṭhāne viya vitakkavicārā dhūmāyanāti adhippetāti āha ‘‘vitakkavicāradhūma’’nti. Kiñcāpi paṭhamajjhānūpacāreyeva ca dukkhaṃ, catutthajjhānūpacāreyeva sukhaṃ pahīyati, atisayappahānaṃ pana sandhāyāha ‘‘catutthajjhānena sukhadukkhaṃ pahāyā’’ti.

    อนิจฺจสฺส, อนิจฺจนฺติ อนุปสฺสนา อนิจฺจานุปสฺสนา, เตภูมกธมฺมานํ อนิจฺจตํ คเหตฺวา ปวตฺตาย วิปสฺสนาเยตํ นามํฯ นิจฺจสญฺญนฺติ สงฺขตธเมฺม ‘‘นิจฺจา, สสฺสตา’’ติ เอวํ ปวตฺตมิจฺฉาสญฺญํ , สญฺญาสีเสน ทิฎฺฐิจิตฺตานมฺปิ คหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอส นโย อิโต ปเรสุปิฯ นิพฺพิทานุปสฺสนายาติ สงฺขาเรสุ นิพฺพิชฺชนากาเรน ปวตฺตาย อนุปสฺสนายฯ นนฺทินฺติ สปฺปีติกตณฺหํฯ ตถา วิราคานุปสฺสนายาติ วิรชฺชนากาเรน ปวตฺตาย อนุปสฺสนายฯ นิโรธานุปสฺสนายาติ สงฺขารานํ นิโรธสฺส อนุปสฺสนายฯ ‘‘เต สงฺขารา นิรุชฺฌนฺติเยว, อายติํ สมุทยวเสน น อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ เอวํ วา อนุปสฺสนา นิโรธานุปสฺสนาฯ เตเนวาห ‘‘นิโรธานุปสฺสนาย นิโรเธติ, โน สมุเทตี’’ติฯ มุญฺจิตุกมฺยตา หิ อยํ พลปฺปตฺตาติฯ ปฎินิสฺสชฺชนากาเรน ปวตฺตา อนุปสฺสนา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนา ฯ ปฎิสงฺขา สนฺติฎฺฐนา หิ อยํฯ อาทานนฺติ นิจฺจาทิวเสน คหณํฯ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณานํ วเสน เอกตฺตคฺคหณํ ฆนสญฺญาฯ อายูหนํ อภิสงฺขรณํฯ อวตฺถาวิเสสาปตฺติ วิปริณาโมฯ ธุวสญฺญนฺติ ถิรภาวคฺคหณํฯ นิมิตฺตนฺติ สมูหาทิฆนวเสน, สกิจฺจปริเจฺฉทตาย จ สงฺขารานํ สวิคฺคหคฺคหณํฯ ปณิธินฺติ ราคาทิปณิธิํ, สา ปนตฺถโต ตณฺหานํ วเสน สงฺขาเรสุ นินฺนตาฯ

    Aniccassa, aniccanti anupassanā aniccānupassanā, tebhūmakadhammānaṃ aniccataṃ gahetvā pavattāya vipassanāyetaṃ nāmaṃ. Niccasaññanti saṅkhatadhamme ‘‘niccā, sassatā’’ti evaṃ pavattamicchāsaññaṃ , saññāsīsena diṭṭhicittānampi gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Esa nayo ito paresupi. Nibbidānupassanāyāti saṅkhāresu nibbijjanākārena pavattāya anupassanāya. Nandinti sappītikataṇhaṃ. Tathā virāgānupassanāyāti virajjanākārena pavattāya anupassanāya. Nirodhānupassanāyāti saṅkhārānaṃ nirodhassa anupassanāya. ‘‘Te saṅkhārā nirujjhantiyeva, āyatiṃ samudayavasena na uppajjantī’’ti evaṃ vā anupassanā nirodhānupassanā. Tenevāha ‘‘nirodhānupassanāya nirodheti, no samudetī’’ti. Muñcitukamyatā hi ayaṃ balappattāti. Paṭinissajjanākārena pavattā anupassanā paṭinissaggānupassanā. Paṭisaṅkhā santiṭṭhanā hi ayaṃ. Ādānanti niccādivasena gahaṇaṃ. Santatisamūhakiccārammaṇānaṃ vasena ekattaggahaṇaṃ ghanasaññā. Āyūhanaṃ abhisaṅkharaṇaṃ. Avatthāvisesāpatti vipariṇāmo. Dhuvasaññanti thirabhāvaggahaṇaṃ. Nimittanti samūhādighanavasena, sakiccaparicchedatāya ca saṅkhārānaṃ saviggahaggahaṇaṃ. Paṇidhinti rāgādipaṇidhiṃ, sā panatthato taṇhānaṃ vasena saṅkhāresu ninnatā.

    อภินิเวสนฺติ อตฺตานุทิฎฺฐิํฯ อนิจฺจทุกฺขาทิวเสน สพฺพธมฺมตีรณํ อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาฯ สาราทานาภินิเวสนฺติ อสาเร สารคฺคหณวิปลฺลาสํฯ ‘‘อิสฺสรกุตฺตาทิวเสน โลโก สมุปฺปโนฺน’’ติ อภินิเวโส สโมฺมหาภินิเวโสฯ เกจิ ปน ‘‘อโหสิํ นุ โข อหมตีตมทฺธานนฺติอาทินา ปวตฺตสํสยาปตฺติ สโมฺมหาภินิเวโส’’ติ วทนฺติฯ สงฺขาเรสุ เลณตาณภาวคฺคหณํ อาลยาภินิเวโสฯ ‘‘อาลยรตา อาลยสมุทิตา’’ติ วจนโต อาลโย ตณฺหา, สาเยว จกฺขาทีสุ รูปาทีสุ จ อภินิวิสนวเสน ปวตฺติยา อาลยาภินิเวโสติ เกจิฯ ‘‘เอวํวิธา สงฺขารา ปฎินิสฺสชฺชียนฺตี’’ติ ปวตฺตํ ญาณํ ปฎิสงฺขานุปสฺสนาฯ วฎฺฎโต วิคตตฺตา วิวฎฺฎํ นิพฺพานํ, ตตฺถ อารมฺมณกรณสงฺขาเตน อนุปสฺสเนน ปวตฺติยา วิวฎฺฎานุปสฺสนา โคตฺรภุฯ สํโยคาภินิเวสนฺติ สํยุชฺชนวเสน สงฺขาเรสุ อภินิวิสนํฯ ทิเฎฺฐกเฎฺฐติ ทิฎฺฐิยา สหชาเตกเฎฺฐ, ปหาเนกเฎฺฐ จฯ ‘‘โอฬาริเก’’ติ อุปริมคฺควเชฺฌ กิเลเส อเปกฺขิตฺวา วุตฺตํ, อญฺญถา ทสฺสนปหาตพฺพาปิ ทุติยมคฺควเชฺฌหิ โอฬาริกาติฯ อณุสหคเตติ อณุภูเต, อิทํ เหฎฺฐิมมคฺควเชฺฌ อเปกฺขิตฺวา วุตฺตํฯ สพฺพกิเลเสติ อวสิฎฺฐสพฺพกิเลเสฯ น หิ ปฐมาทิมเคฺคหิ ปหีนา กิเลสา ปุน ปหียนฺตีติฯ

    Abhinivesanti attānudiṭṭhiṃ. Aniccadukkhādivasena sabbadhammatīraṇaṃ adhipaññādhammavipassanā. Sārādānābhinivesanti asāre sāraggahaṇavipallāsaṃ. ‘‘Issarakuttādivasena loko samuppanno’’ti abhiniveso sammohābhiniveso. Keci pana ‘‘ahosiṃ nu kho ahamatītamaddhānantiādinā pavattasaṃsayāpatti sammohābhiniveso’’ti vadanti. Saṅkhāresu leṇatāṇabhāvaggahaṇaṃ ālayābhiniveso. ‘‘Ālayaratā ālayasamuditā’’ti vacanato ālayo taṇhā, sāyeva cakkhādīsu rūpādīsu ca abhinivisanavasena pavattiyā ālayābhinivesoti keci. ‘‘Evaṃvidhā saṅkhārā paṭinissajjīyantī’’ti pavattaṃ ñāṇaṃ paṭisaṅkhānupassanā. Vaṭṭato vigatattā vivaṭṭaṃ nibbānaṃ, tattha ārammaṇakaraṇasaṅkhātena anupassanena pavattiyā vivaṭṭānupassanā gotrabhu. Saṃyogābhinivesanti saṃyujjanavasena saṅkhāresu abhinivisanaṃ. Diṭṭhekaṭṭheti diṭṭhiyā sahajātekaṭṭhe, pahānekaṭṭhe ca. ‘‘Oḷārike’’ti uparimaggavajjhe kilese apekkhitvā vuttaṃ, aññathā dassanapahātabbāpi dutiyamaggavajjhehi oḷārikāti. Aṇusahagateti aṇubhūte, idaṃ heṭṭhimamaggavajjhe apekkhitvā vuttaṃ. Sabbakileseti avasiṭṭhasabbakilese. Na hi paṭhamādimaggehi pahīnā kilesā puna pahīyantīti.

    กกฺขฬตฺตํ กฐินภาโวฯ ปคฺฆรณํ ทฺรวภาโวฯ โลกิยวายุนา ภสฺตสฺส วิย เยน ตํตํกลาปสฺส อุทฺธุมายนํ, ถมฺภภาโว วา, ตํ วิตฺถมฺภนํฯ วิชฺชมาเนปิ กลาปนฺตรภูตานํ กลาปนฺตรภูเตหิ อสมฺผุฎฺฐภาเว, ตํตํภูตวิวิตฺตตา รูปปริยโนฺต อากาโสติ เยสํ โย ปริเจฺฉโท, เตหิ โส อสมฺผุโฎฺฐว, อญฺญถา ภูตานํ ปริเจฺฉทสภาโว น สิยา พฺยาปีภาวาปตฺติโต ฯ อพฺยาปิตา หิ อสมฺผุฎฺฐตาติฯ ยสฺมิํ กลาเป ภูตานํ ปริเจฺฉโท, เตหิ อสมฺผุฎฺฐภาโว อสมฺผุฎฺฐลกฺขณํฯ เตนาห ภควา อากาสธาตุนิเทฺทเส ‘‘อสมฺผุฎฺฐํ จตูหิ มหาภูเตหี’’ติ (ธ. ส. ๖๓๗)ฯ

    Kakkhaḷattaṃ kaṭhinabhāvo. Paggharaṇaṃ dravabhāvo. Lokiyavāyunā bhastassa viya yena taṃtaṃkalāpassa uddhumāyanaṃ, thambhabhāvo vā, taṃ vitthambhanaṃ. Vijjamānepi kalāpantarabhūtānaṃ kalāpantarabhūtehi asamphuṭṭhabhāve, taṃtaṃbhūtavivittatā rūpapariyanto ākāsoti yesaṃ yo paricchedo, tehi so asamphuṭṭhova, aññathā bhūtānaṃ paricchedasabhāvo na siyā byāpībhāvāpattito . Abyāpitā hi asamphuṭṭhatāti. Yasmiṃ kalāpe bhūtānaṃ paricchedo, tehi asamphuṭṭhabhāvo asamphuṭṭhalakkhaṇaṃ. Tenāha bhagavā ākāsadhātuniddese ‘‘asamphuṭṭhaṃ catūhi mahābhūtehī’’ti (dha. sa. 637).

    วิโรธิปจฺจยสนฺนิปาเต วิสทิสุปฺปตฺติ รุปฺปนํฯ เจตนาปธานตฺตา สงฺขารกฺขนฺธธมฺมานํ เจตนาวเสเนตํ วุตฺตํ ‘‘สงฺขารานํ อภิสงฺขรณลกฺขณ’’นฺติฯ ตถา หิ สุตฺตนฺตภาชนีเย สงฺขารกฺขนฺธวิภเงฺค ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสชา เจตนา’’ติอาทินา (วิภ. ๙๒) เจตนาว วิภตฺตา, อภิสงฺขรณลกฺขณา จ เจตนาฯ ยถาห ‘‘ตตฺถ กตโม ปุญฺญาภิสงฺขาโร? กุสลา เจตนา กามาวจรา’’ติอาทิ (วิภ. ๒๒๖)ฯ ผรณํ สวิปฺผาริกตาฯ อสฺสทฺธิเยติ อสฺสทฺธิยเหตุ, นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํฯ เอส นโย ‘‘โกสเชฺช’’ติอาทีสุฯ วูปสมลกฺขณนฺติ กายจิตฺตปริฬาหูปสมลกฺขณํฯ ลีนุทฺธจฺจรหิเต อธิจิเตฺต ปวตฺตมาเน ปคฺคหนิคฺคหสมฺปหํสเนสุ อพฺยาวฎตาย อชฺฌุเปกฺขนํ ปฎิสงฺขานํ ปกฺขปาตุปเจฺฉทโตฯ

    Virodhipaccayasannipāte visadisuppatti ruppanaṃ. Cetanāpadhānattā saṅkhārakkhandhadhammānaṃ cetanāvasenetaṃ vuttaṃ ‘‘saṅkhārānaṃ abhisaṅkharaṇalakkhaṇa’’nti. Tathā hi suttantabhājanīye saṅkhārakkhandhavibhaṅge ‘‘cakkhusamphassajā cetanā’’tiādinā (vibha. 92) cetanāva vibhattā, abhisaṅkharaṇalakkhaṇā ca cetanā. Yathāha ‘‘tattha katamo puññābhisaṅkhāro? Kusalā cetanā kāmāvacarā’’tiādi (vibha. 226). Pharaṇaṃ savipphārikatā. Assaddhiyeti assaddhiyahetu, nimittatthe bhummaṃ. Esa nayo ‘‘kosajje’’tiādīsu. Vūpasamalakkhaṇanti kāyacittapariḷāhūpasamalakkhaṇaṃ. Līnuddhaccarahite adhicitte pavattamāne paggahaniggahasampahaṃsanesu abyāvaṭatāya ajjhupekkhanaṃ paṭisaṅkhānaṃ pakkhapātupacchedato.

    มุสาวาทาทีนํ วิสํวาทนาทิกิจฺจตาย ลูขานํ อปริคฺคาหกานํ ปฎิปกฺขภาวโต ปริคฺคาหิกา สมฺมาวาจา สินิทฺธภาวโต สมฺปยุตฺตธเมฺม, สมฺมาวาจาปจฺจยสุภาสิตานํ โสตารญฺจ ปุคฺคลํ ปริคฺคณฺหาตีติ สา ปริคฺคหลกฺขณา สมฺมาวาจาฯ กายิกกิริยา กิญฺจิ กตฺตพฺพํ สมุฎฺฐาเปติฯ สยญฺจ สมุฎฺฐหนํ ฆฎนํ โหตีติ สมฺมากมฺมนฺตสงฺขาตา วิรติ สมุฎฺฐานลกฺขณา ทฎฺฐพฺพา, สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา อุกฺขิปนํ สมุฎฺฐาปนํ กายิกกิริยาย ภารุกฺขิปนํ วิยฯ ชีวมานสฺส สตฺตสฺส, สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา ชีวิตินฺทฺริยวุตฺติยา, อาชีวเสฺสว วา สุทฺธิ โวทานํฯ สสมฺปยุตฺตธมฺมสฺส จิตฺตสฺส สํกิเลสปเกฺข ปติตุํ อทตฺวา สมฺมเทว ปคฺคณฺหนํ ปคฺคโหฯ

    Musāvādādīnaṃ visaṃvādanādikiccatāya lūkhānaṃ apariggāhakānaṃ paṭipakkhabhāvato pariggāhikā sammāvācā siniddhabhāvato sampayuttadhamme, sammāvācāpaccayasubhāsitānaṃ sotārañca puggalaṃ pariggaṇhātīti sā pariggahalakkhaṇā sammāvācā. Kāyikakiriyā kiñci kattabbaṃ samuṭṭhāpeti. Sayañca samuṭṭhahanaṃ ghaṭanaṃ hotīti sammākammantasaṅkhātā virati samuṭṭhānalakkhaṇā daṭṭhabbā, sampayuttadhammānaṃ vā ukkhipanaṃ samuṭṭhāpanaṃ kāyikakiriyāya bhārukkhipanaṃ viya. Jīvamānassa sattassa, sampayuttadhammānaṃ vā jīvitindriyavuttiyā, ājīvasseva vā suddhi vodānaṃ. Sasampayuttadhammassa cittassa saṃkilesapakkhe patituṃ adatvā sammadeva paggaṇhanaṃ paggaho.

    ‘‘สงฺขารา’’ติ อิธ เจตนา อธิเปฺปตาติ วุตฺตํ ‘‘สงฺขารานํ เจตนาลกฺขณ’’นฺติฯ นมนํ อารมฺมณาภิมุขภาโวฯ อายตนํปวตฺตนํฯ อายตนานํ วเสน หิ อายสงฺขาตานํ จิตฺตเจตสิกานํ ปวตฺติฯ ตณฺหาย เหตุลกฺขณนฺติ วฎฺฎสฺส ชนกเหตุภาโว, มคฺคสฺส ปน นิพฺพานสมฺปาปกตฺตนฺติ อยเมว เตสํ วิเสโสฯ

    ‘‘Saṅkhārā’’ti idha cetanā adhippetāti vuttaṃ ‘‘saṅkhārānaṃ cetanālakkhaṇa’’nti. Namanaṃ ārammaṇābhimukhabhāvo. Āyatanaṃpavattanaṃ. Āyatanānaṃ vasena hi āyasaṅkhātānaṃ cittacetasikānaṃ pavatti. Taṇhāya hetulakkhaṇanti vaṭṭassa janakahetubhāvo, maggassa pana nibbānasampāpakattanti ayameva tesaṃ viseso.

    ตถลกฺขณํ อวิปรีตสภาโวฯ เอกรโส อญฺญมญฺญานติวตฺตนํ อนูนาธิกภาโวฯ ยุคนทฺธา สมถวิปสฺสนาว, ‘‘สทฺธาปญฺญา ปคฺคหาวิเกฺขปา’’ติปิ วทนฺติฯ

    Tathalakkhaṇaṃ aviparītasabhāvo. Ekaraso aññamaññānativattanaṃ anūnādhikabhāvo. Yuganaddhā samathavipassanāva, ‘‘saddhāpaññā paggahāvikkhepā’’tipi vadanti.

    ขิโณติ กิเลเสติ ขโย, มโคฺคฯ อนุปฺปาทปริโยสานตาย อนุปฺปาโท, ผลํฯ ปสฺสทฺธิ กิเลสวูปสโมฯ

    Khiṇoti kileseti khayo, maggo. Anuppādapariyosānatāya anuppādo, phalaṃ. Passaddhi kilesavūpasamo.

    ฉนฺทสฺสาติ กตฺตุกมฺยตาฉนฺทสฺสฯ มูลลกฺขณํ ปติฎฺฐาภาโวฯ สมุฎฺฐาปนลกฺขณํ อารมฺมณปฎิปาทกตาย สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อุปฺปตฺติเหตุตาฯ สโมธานํ วิสยาทิสนฺนิปาเตน คเหตพฺพากาโร, ยา ‘‘สงฺคตี’’ติ วุจฺจติฯ สมํ สห โอทหนฺติ อเนน สมฺปยุตฺตธมฺมาติ วา สโมธานํ, ผโสฺสฯ สโมสรนฺติ สนฺนิปตนฺติ เอตฺถาติ สโมสรณํฯ เวทนาย วินา อปฺปวตฺตมานา สมฺปยุตฺตธมฺมา เวทนานุภวนนิมิตฺตํ สโมสฎา วิย โหนฺตีติ เอวํ วุตฺตํฯ โคปานสีนํ กูฎํ วิย สมฺปยุตฺตานํ ปาโมกฺขภาโว ปมุขลกฺขณํฯ ตโต, เตสํ วา สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อุตฺตริ ปธานนฺติ ตทุตฺตริฯ ปญฺญุตฺตรา หิ กุสลา ธมฺมาฯ วิมุตฺติยาติ ผลสฺสฯ ตญฺหิ สีลาทิคุณสารสฺส ปรมุกฺกํสภาเวน สารํฯ อยญฺจ ลกฺขณวิภาโค ฉธาตุปญฺจฌานงฺคาทิวเสน ตํตํสุตฺตปทานุสาเรน, โปราณฎฺฐกถาย อาคตนเยน จ กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา หิ วุโตฺตปิ โกจิ ธโมฺม ปริยายนฺตรปฺปกาสนตฺถํ ปุน ทสฺสิโต, ตโต เอว จ ‘‘ฉนฺทมูลกา กุสลา ธมฺมา มนสิการสมุฎฺฐานา, ผสฺสสโมธานา, เวทนาสโมสรณา’’ติ, ‘‘ปญฺญุตฺตรา กุสลา ธมฺมา’’ติ, ‘‘วิมุตฺติสารมิทํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ, ‘‘นิพฺพาโนคธญฺหิ อาวุโส พฺรหฺมจริยํ นิพฺพานปริโยสาน’’นฺติ จ สุตฺตปทานํ วเสน ‘‘ฉนฺทสฺส มูลลกฺขณ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Chandassāti kattukamyatāchandassa. Mūlalakkhaṇaṃ patiṭṭhābhāvo. Samuṭṭhāpanalakkhaṇaṃ ārammaṇapaṭipādakatāya sampayuttadhammānaṃ uppattihetutā. Samodhānaṃ visayādisannipātena gahetabbākāro, yā ‘‘saṅgatī’’ti vuccati. Samaṃ saha odahanti anena sampayuttadhammāti vā samodhānaṃ, phasso. Samosaranti sannipatanti etthāti samosaraṇaṃ. Vedanāya vinā appavattamānā sampayuttadhammā vedanānubhavananimittaṃ samosaṭā viya hontīti evaṃ vuttaṃ. Gopānasīnaṃ kūṭaṃ viya sampayuttānaṃ pāmokkhabhāvo pamukhalakkhaṇaṃ. Tato, tesaṃ vā sampayuttadhammānaṃ uttari padhānanti taduttari. Paññuttarā hi kusalā dhammā. Vimuttiyāti phalassa. Tañhi sīlādiguṇasārassa paramukkaṃsabhāvena sāraṃ. Ayañca lakkhaṇavibhāgo chadhātupañcajhānaṅgādivasena taṃtaṃsuttapadānusārena, porāṇaṭṭhakathāya āgatanayena ca katoti daṭṭhabbaṃ. Tathā hi vuttopi koci dhammo pariyāyantarappakāsanatthaṃ puna dassito, tato eva ca ‘‘chandamūlakā kusalā dhammā manasikārasamuṭṭhānā, phassasamodhānā, vedanāsamosaraṇā’’ti, ‘‘paññuttarā kusalā dhammā’’ti, ‘‘vimuttisāramidaṃ brahmacariya’’nti, ‘‘nibbānogadhañhi āvuso brahmacariyaṃ nibbānapariyosāna’’nti ca suttapadānaṃ vasena ‘‘chandassa mūlalakkhaṇa’’ntiādi vuttaṃ.

    ตถธมฺมา นาม จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อวิปรีตสภาวตฺตาฯ ตถานิ ตํสภาวตฺตาฯ อวิตถานิ อมุสาสภาวตฺตาฯ อนญฺญถานิ อญฺญาการรหิตตฺตาฯ

    Tathadhammānāma cattāri ariyasaccāni aviparītasabhāvattā. Tathāni taṃsabhāvattā. Avitathāni amusāsabhāvattā. Anaññathāni aññākārarahitattā.

    ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐติ ชาติปจฺจยา สมฺภูตํ หุตฺวา สหิตสฺส อตฺตโน ปจฺจยานุรูปสฺส อุทฺธํ อุทฺธํ อาคตภาโว, อนุปวตฺตโตฺถติ อโตฺถฯ อถ วา สมฺภูตโฎฺฐ จ สมุทาคตโฎฺฐ จ สมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ, น ชาติโต ชรามรณํ น โหติ, น จ ชาติํ วินา อญฺญโต โหตีติ ชาติปจฺจยสมฺภูตโฎฺฐฯ อิตฺถญฺจ ชาติโต สมุทาคจฺฉตีติ ชาติปจฺจยสมุทาคตโฎฺฐฯ ยา ยา ชาติ ยถา ยถา ปจฺจโย โหติ, ตทนุรูปํ ปาตุภาโวติ อโตฺถฯ อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐติ เอตฺถาปิ น อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย น โหติ, น จ อวิชฺชํ วินา สงฺขารา อุปฺปชฺชนฺติฯ ยา ยา อวิชฺชา เยสํ เยสํ สงฺขารานํ ยถา ยถา ปจฺจโย โหติ, อยํ อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐ, ปจฺจยภาโวติ อโตฺถฯ

    Jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭhoti jātipaccayā sambhūtaṃ hutvā sahitassa attano paccayānurūpassa uddhaṃ uddhaṃ āgatabhāvo, anupavattatthoti attho. Atha vā sambhūtaṭṭho ca samudāgataṭṭho ca sambhūtasamudāgataṭṭho, na jātito jarāmaraṇaṃ na hoti, na ca jātiṃ vinā aññato hotīti jātipaccayasambhūtaṭṭho. Itthañca jātito samudāgacchatīti jātipaccayasamudāgataṭṭho. Yā yā jāti yathā yathā paccayo hoti, tadanurūpaṃ pātubhāvoti attho. Avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭhoti etthāpi na avijjā saṅkhārānaṃ paccayo na hoti, na ca avijjaṃ vinā saṅkhārā uppajjanti. Yā yā avijjā yesaṃ yesaṃ saṅkhārānaṃ yathā yathā paccayo hoti, ayaṃ avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭho, paccayabhāvoti attho.

    ภควา ตํ ชานาติ ปสฺสตีติ สมฺพโนฺธฯ เตนาติ ภควตาฯ ตํ วิภชฺชมานนฺติ โยเชตพฺพํฯ นฺติ รูปายตนํฯ อิฎฺฐานิฎฺฐาทีติ อาทิ-สเทฺทน มชฺฌตฺตํ สงฺคณฺหาติ, ตถา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนปริตฺตอชฺฌตฺตพหิทฺธาตทุภยาทิเภทํฯ ลพฺภมานกปทวเสนาติ ‘‘รูปายตนํ ทิฎฺฐํ สทฺทายตนํ สุตํ คนฺธายตนํ รสายตนํ โผฎฺฐพฺพายตนํ มุตํ, สพฺพํ รูปํ มนสา วิญฺญาต’’นฺติ (ธ. ส. ๙๖๖) วจนโต ทิฎฺฐปทญฺจ วิญฺญาตปทญฺจ รูปารมฺมเณ ลพฺภติฯ ‘‘รูปารมฺมณํ อิฎฺฐํ อนิฎฺฐํ มชฺฌตฺตํ ปริตฺตํ อตีตํ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ พหิทฺธา ทิฎฺฐํ วิญฺญาตํ รูปํ รูปายตนํ รูปธาตุ วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ นีลํ ปีตก’’นฺติ เอวมาทีหิ อเนเกหิ นาเมหิฯ ‘‘เตรสหิ วาเรหี’’ติ รูปกเณฺฑ (ธ. ส. ๖๑๔ อาทโย) อาคเต เตรส นิเทฺทสวาเร สนฺธายาหฯ เอเกกสฺมิญฺจ วาเร จตุนฺนํ จตุนฺนํ ววตฺถาปนนยานํ วเสน ‘‘ทฺวิปญฺญาสาย นเยหี’’ติ อาหฯ ตถเมว อวิปรีตทสฺสิตาย, อปฺปฎิวตฺติยเทสนตาย จฯ ชานามิ อพฺภญฺญาสินฺติ วตฺตมานาตีตกาเลสุ ญาณปฺปวตฺติทสฺสเนน อนาคเตปิ ญาณปฺปวตฺติ วุตฺตาเยวาติ ทฎฺฐพฺพาฯ วิทิต-สโทฺท อนามฎฺฐกาลวิเสโส เวทิตโพฺพ, ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติอาทีสุ (ธ. ส. ๙๖๖) วิยฯ น อุปฎฺฐาสีติ อตฺตตฺตนิยวเสน น อุปคจฺฉิฯ ยถา รูปารมฺมณาทโย ธมฺมา ยํสภาวา ยํปการา จ, ตถา เน ปสฺสติ ชานาติ คจฺฉตีติ ตถาคโตติ เอวํ ปทสมฺภโว เวทิตโพฺพฯ เกจิ ปน ‘‘นิรุตฺตินเยน ปิโสทราทิปเกฺขเปน วา ทสฺสี-สทฺทสฺส โลปํ, อาคต-สทฺทสฺส จาคมํ กตฺวา ตถาคโต’’ติ วเณฺณนฺติฯ

    Bhagavā taṃ jānāti passatīti sambandho. Tenāti bhagavatā. Taṃ vibhajjamānanti yojetabbaṃ. Tanti rūpāyatanaṃ. Iṭṭhāniṭṭhādīti ādi-saddena majjhattaṃ saṅgaṇhāti, tathā atītānāgatapaccuppannaparittaajjhattabahiddhātadubhayādibhedaṃ. Labbhamānakapadavasenāti ‘‘rūpāyatanaṃ diṭṭhaṃ saddāyatanaṃ sutaṃ gandhāyatanaṃ rasāyatanaṃ phoṭṭhabbāyatanaṃ mutaṃ, sabbaṃ rūpaṃ manasā viññāta’’nti (dha. sa. 966) vacanato diṭṭhapadañca viññātapadañca rūpārammaṇe labbhati. ‘‘Rūpārammaṇaṃ iṭṭhaṃ aniṭṭhaṃ majjhattaṃ parittaṃ atītaṃ anāgataṃ paccuppannaṃ ajjhattaṃ bahiddhā diṭṭhaṃ viññātaṃ rūpaṃ rūpāyatanaṃ rūpadhātu vaṇṇanibhā sanidassanaṃ sappaṭighaṃ nīlaṃ pītaka’’nti evamādīhi anekehi nāmehi. ‘‘Terasahi vārehī’’ti rūpakaṇḍe (dha. sa. 614 ādayo) āgate terasa niddesavāre sandhāyāha. Ekekasmiñca vāre catunnaṃ catunnaṃ vavatthāpananayānaṃ vasena ‘‘dvipaññāsāyanayehī’’ti āha. Tathameva aviparītadassitāya, appaṭivattiyadesanatāya ca. Jānāmi abbhaññāsinti vattamānātītakālesu ñāṇappavattidassanena anāgatepi ñāṇappavatti vuttāyevāti daṭṭhabbā. Vidita-saddo anāmaṭṭhakālaviseso veditabbo, ‘‘diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’ntiādīsu (dha. sa. 966) viya. Na upaṭṭhāsīti attattaniyavasena na upagacchi. Yathā rūpārammaṇādayo dhammā yaṃsabhāvā yaṃpakārā ca, tathā ne passati jānāti gacchatīti tathāgatoti evaṃ padasambhavo veditabbo. Keci pana ‘‘niruttinayena pisodarādipakkhepena vā dassī-saddassa lopaṃ, āgata-saddassa cāgamaṃ katvā tathāgato’’ti vaṇṇenti.

    นิโทฺทสตาย อนุปวชฺชํฯ ปกฺขิปิตพฺพาภาเวน อนูนํฯ อปเนตพฺพาภาเวน อนธิกํฯ อตฺถพฺยญฺชนาทิสมฺปตฺติยา สพฺพาการปริปุณฺณํฯ โน อญฺญถาติ ‘‘ตเถวา’’ติ วุตฺตเมวตฺถํ พฺยติเรเกน สมฺปาเทติฯ เตน ยทตฺถํ ภาสิตํ, เอกเนฺตน ตทตฺถนิปฺผาทนโต ยถา ภาสิตํ ภควตา, ตเถวาติ อวิปรีตเทสนตํ ทเสฺสติฯ ‘‘คทโตฺถ’’ติ เอเตน ตถํ คทตีติ ตถาคโตติ -การสฺส -กาโร กโต นิรุตฺตินเยนาติ ทเสฺสติฯ

    Niddosatāya anupavajjaṃ. Pakkhipitabbābhāvena anūnaṃ. Apanetabbābhāvena anadhikaṃ. Atthabyañjanādisampattiyā sabbākāraparipuṇṇaṃ. No aññathāti ‘‘tathevā’’ti vuttamevatthaṃ byatirekena sampādeti. Tena yadatthaṃ bhāsitaṃ, ekantena tadatthanipphādanato yathā bhāsitaṃ bhagavatā, tathevāti aviparītadesanataṃ dasseti. ‘‘Gadattho’’ti etena tathaṃ gadatīti tathāgatoti da-kārassa ta-kāro kato niruttinayenāti dasseti.

    ตถา คตมสฺสาติ ตถาคโต, คตนฺติ จ กายสฺส วาจาย วา ปวตฺตีติ อโตฺถฯ ตถาติ จ วุเตฺต ยํตํ-สทฺทานํ อพฺยภิจาริสมฺพนฺธิตาย ‘‘ยถา’’ติ อยมโตฺถ อุปฎฺฐิโตเยว โหติฯ กายวจีกิริยานญฺจ อญฺญมญฺญานุโลเมน วจนิจฺฉายํ, กายสฺส วาจา, วาจาย จ กาโย สมฺพนฺธีภาเวน อุปติฎฺฐตีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ภควโต หี’’ติอาทิฯ อิมสฺมิํ ปน อเตฺถ ตถาวาทิตาย ตถาคโตติ อยมฺปิ อโตฺถ สิโทฺธ โหติฯ โส ปน ปุเพฺพ ปการนฺตเรน ทสฺสิโตติ อาห ‘‘เอวํ ตถาการิตาย ตถาคโต’’ติฯ

    Tathā gatamassāti tathāgato, gatanti ca kāyassa vācāya vā pavattīti attho. Tathāti ca vutte yaṃtaṃ-saddānaṃ abyabhicārisambandhitāya ‘‘yathā’’ti ayamattho upaṭṭhitoyeva hoti. Kāyavacīkiriyānañca aññamaññānulomena vacanicchāyaṃ, kāyassa vācā, vācāya ca kāyo sambandhībhāvena upatiṭṭhatīti imamatthaṃ dassento āha ‘‘bhagavato hī’’tiādi. Imasmiṃ pana atthe tathāvāditāya tathāgatoti ayampi attho siddho hoti. So pana pubbe pakārantarena dassitoti āha ‘‘evaṃ tathākāritāya tathāgato’’ti.

    ‘‘ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสู’’ติ เอเตน ยเทเก ‘‘ติริยํ วิย อุปริ อโธ จ สนฺติ โลกธาตุโย’’ติ วทนฺติ, ตํ ปฎิเสเธติฯ เทสนาวิลาโสเยว เทสนาวิลาสมโย ยถา ‘‘ปุญฺญมยํ, ทานมย’’นฺติอาทีสุฯ

    ‘‘Tiriyaṃaparimāṇāsu lokadhātūsū’’ti etena yadeke ‘‘tiriyaṃ viya upari adho ca santi lokadhātuyo’’ti vadanti, taṃ paṭisedheti. Desanāvilāsoyeva desanāvilāsamayo yathā ‘‘puññamayaṃ, dānamaya’’ntiādīsu.

    อุปสคฺคนิปาตานํ วาจกสทฺทสนฺนิธาเน ตทตฺถโชตนภาเวน ปวตฺตนโต คต-สโทฺทเยว อวคตตฺถํ อตีตตฺถญฺจ วทตีติ อาห ‘‘คโตติ อวคโต อตีโต’’ติฯ อถ วา อภินีหารโต ปฎฺฐาย ยาว สโมฺพธิ, เอตฺถนฺตเร มหาโพธิยานปฎิปตฺติยา หานฐานสํกิเลสนิวตฺตีนํ อภาวโต ยถา ปณิธานํ, ตถา คโต อภินีหารานุรูปํ ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตฯ อถ วา มหิทฺธิกตาย, ปฎิสมฺภิทานํ อุกฺกํสาธิคเมน อนาวรณตาย จ กตฺถจิ ปฎิฆาตาภาวโต ยถา รุจิ, ตถา กายวจีจิตฺตานํ คตานิ คมนานิ ปวตฺติโย เอตสฺสาติ ตถาคโตฯ ยสฺมา จ โลเก วิธยุตฺตคตปการ-สทฺทา สมานตฺถา ทิสฺสนฺติ, ตสฺมา ยถา วิธา วิปสฺสีอาทโย ภควโนฺต, อยมฺปิ ภควา ตถา วิโธติ ตถาคโตฯ ยถา ยุตฺตา จ เต ภควโนฺต อยมฺปิ ภควา ตถา ยุโตฺตติ ตถาคโตฯ อถ วา ยสฺมา สจฺจํ ตจฺฉํ ตถนฺติ ญาณเสฺสตํ อธิวจนํ, ตสฺมา ตเถน ญาเณน อาคโตติ ตถาคโตติฯ เอวมฺปิ ตถาคต-สทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพ –

    Upasagganipātānaṃ vācakasaddasannidhāne tadatthajotanabhāvena pavattanato gata-saddoyeva avagatatthaṃ atītatthañca vadatīti āha ‘‘gatoti avagato atīto’’ti. Atha vā abhinīhārato paṭṭhāya yāva sambodhi, etthantare mahābodhiyānapaṭipattiyā hānaṭhānasaṃkilesanivattīnaṃ abhāvato yathā paṇidhānaṃ, tathā gato abhinīhārānurūpaṃ paṭipannoti tathāgato. Atha vā mahiddhikatāya, paṭisambhidānaṃ ukkaṃsādhigamena anāvaraṇatāya ca katthaci paṭighātābhāvato yathā ruci, tathā kāyavacīcittānaṃ gatāni gamanāni pavattiyo etassāti tathāgato. Yasmā ca loke vidhayuttagatapakāra-saddā samānatthā dissanti, tasmā yathā vidhā vipassīādayo bhagavanto, ayampi bhagavā tathā vidhoti tathāgato. Yathā yuttā ca te bhagavanto ayampi bhagavā tathā yuttoti tathāgato. Atha vā yasmā saccaṃ tacchaṃ tathanti ñāṇassetaṃ adhivacanaṃ, tasmā tathena ñāṇena āgatoti tathāgatoti. Evampi tathāgata-saddassa attho veditabbo –

    ‘‘ปหาย กามาทิมเล ยถา คตา,

    ‘‘Pahāya kāmādimale yathā gatā,

    สมาธิญาเณหิ วิปสฺสิอาทโย;

    Samādhiñāṇehi vipassiādayo;

    มเหสิโน สกฺยมุนี ชุตินฺธโร,

    Mahesino sakyamunī jutindharo,

    ตถาคโต เตน ตถาคโต มโตฯ

    Tathāgato tena tathāgato mato.

    ตถญฺจ ธาตายตนาทิลกฺขณํ,

    Tathañca dhātāyatanādilakkhaṇaṃ,

    สภาวสามญฺญวิภาคเภทโต;

    Sabhāvasāmaññavibhāgabhedato;

    สยมฺภุญาเณน ชิโน สมาคโต,

    Sayambhuñāṇena jino samāgato,

    ตถาคโต วุจฺจติ สกฺยปุงฺคโวฯ

    Tathāgato vuccati sakyapuṅgavo.

    ตถานิ สจฺจานิ สมนฺตจกฺขุนา,

    Tathāni saccāni samantacakkhunā,

    ตถา อิทปฺปจฺจยตา จ สพฺพโส;

    Tathā idappaccayatā ca sabbaso;

    อนญฺญเนเยฺยน ยโต วิภาวิตา,

    Anaññaneyyena yato vibhāvitā,

    ยาถาวโต เตน ชิโน ตถาคโตฯ

    Yāthāvato tena jino tathāgato.

    อเนกเภทาสุปิ โลกธาตุสุ,

    Anekabhedāsupi lokadhātusu,

    ชินสฺส รูปายตนาทิโคจเร;

    Jinassa rūpāyatanādigocare;

    วิจิตฺตเภทํ ตถเมว ทสฺสนํ,

    Vicittabhedaṃ tathameva dassanaṃ,

    ตถาคโต เตน สมนฺตโลจโนฯ

    Tathāgato tena samantalocano.

    ยโต จ ธมฺมํ ตถเมว ภาสติ,

    Yato ca dhammaṃ tathameva bhāsati,

    กโรติ วาจายนุโลม มตฺตโน;

    Karoti vācāyanuloma mattano;

    คุเณหิ โลกํ อภิภุยฺย อิริยติ,

    Guṇehi lokaṃ abhibhuyya iriyati,

    ตถาคโต เตนปิ โลกนายโกฯ

    Tathāgato tenapi lokanāyako.

    ยถาภินีหารมโต ยถารุจิ,

    Yathābhinīhāramato yathāruci,

    ปวตฺตวาจาตนุจิตฺตภาวโต;

    Pavattavācātanucittabhāvato;

    ยถาวิธา เยน ปุรา มเหสิโน,

    Yathāvidhā yena purā mahesino,

    ตถาวิโธ เตน ชิโน ตถาคโต’’ติฯ (อิติวุ. อฎฺฐ. ๓๘);

    Tathāvidho tena jino tathāgato’’ti. (itivu. aṭṭha. 38);

    สงฺคหคาถา มุขมตฺตเมวฯ กสฺมา? อปฺปมาทปทํ วิย สกลธมฺมปฎิปตฺติยา สพฺพพุทฺธคุณานํ สงฺคาหกตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘สพฺพากาเรนา’’ติอาทิฯ

    Saṅgahagāthā mukhamattameva. Kasmā? Appamādapadaṃ viya sakaladhammapaṭipattiyā sabbabuddhaguṇānaṃ saṅgāhakattā. Tenevāha ‘‘sabbākārenā’’tiādi.

    ‘‘ตํ กตมนฺติ ปุจฺฉตี’’ติ เอเตน ‘‘กตมญฺจ ตํ ภิกฺขเว’’ติอาทิวจนสฺส สามญฺญโต ปุจฺฉาภาโว ทสฺสิโต อวิเสสโต หิ ตสฺส ปุจฺฉาวิเสสภาวญาปนตฺถํ มหานิเทฺทเส อาคตา สพฺพาว ปุจฺฉา อตฺถุทฺธารนเยน ทเสฺสติ ‘‘ตตฺถ ปุจฺฉา นามา’’ติอาทินาฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ‘‘ตํ กตมนฺติ ปุจฺฉตี’’ติ เอตฺถ ยเทตํ สามญฺญโต ปุจฺฉาวจนํ, ตสฺมิํฯ

    ‘‘Taṃkatamanti pucchatī’’ti etena ‘‘katamañca taṃ bhikkhave’’tiādivacanassa sāmaññato pucchābhāvo dassito avisesato hi tassa pucchāvisesabhāvañāpanatthaṃ mahāniddese āgatā sabbāva pucchā atthuddhāranayena dasseti ‘‘tattha pucchā nāmā’’tiādinā. Tattha tatthāti ‘‘taṃ katamanti pucchatī’’ti ettha yadetaṃ sāmaññato pucchāvacanaṃ, tasmiṃ.

    ลกฺขณนฺติ ญาตุํ อิจฺฉิโต โย โกจิ สภาโวฯ ‘‘อญฺญาต’’นฺติ เยน เกนจิ ญาเณน อญฺญาตภาวมาห, ‘‘อทิฎฺฐ’’นฺติ ทสฺสนภูเตน ญาเณน ปจฺจกฺขํ วิย อทิฎฺฐตํฯ ‘‘อตุลิต’’นฺติ ‘‘เอตฺตกเมต’’นฺติ ตุลนภูเตน อตูลิตตํ, ‘‘อตีริต’’นฺติ ตีรณภูเตน อกตญาณกิริยาสมาปนตํ, ‘‘อวิภูต’’นฺติ ญาณสฺส อปากฎภาวํ, ‘‘อวิภาวิต’’นฺติ ญาเณน อปากฎีกตภาวํฯ อทิฎฺฐํ โชตียติ เอตายาติ อทิฎฺฐโชตนาฯ ทิฎฺฐํ สํสนฺทียติ เอตายาติ ทิฎฺฐสํสนฺทนา, สากจฺฉาวเสน วินิจฺฉยกรณํฯ วิมติ ฉิชฺชติ เอตายาติ วิมติเจฺฉทนาฯ อนุมติยา ปุจฺฉา อนุมติปุจฺฉาฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ ภิกฺขเว’’ติอาทิ ปุจฺฉาย หิ ‘‘กา ตุมฺหากํ อนุมตี’’ติ อนุมติ ปุจฺฉิตา โหติฯ กเถตุกมฺยตาติ กเถตุกมฺยตายฯ

    Lakkhaṇanti ñātuṃ icchito yo koci sabhāvo. ‘‘Aññāta’’nti yena kenaci ñāṇena aññātabhāvamāha, ‘‘adiṭṭha’’nti dassanabhūtena ñāṇena paccakkhaṃ viya adiṭṭhataṃ. ‘‘Atulita’’nti ‘‘ettakameta’’nti tulanabhūtena atūlitataṃ, ‘‘atīrita’’nti tīraṇabhūtena akatañāṇakiriyāsamāpanataṃ, ‘‘avibhūta’’nti ñāṇassa apākaṭabhāvaṃ, ‘‘avibhāvita’’nti ñāṇena apākaṭīkatabhāvaṃ. Adiṭṭhaṃ jotīyati etāyāti adiṭṭhajotanā. Diṭṭhaṃ saṃsandīyati etāyāti diṭṭhasaṃsandanā, sākacchāvasena vinicchayakaraṇaṃ. Vimati chijjati etāyāti vimaticchedanā. Anumatiyā pucchā anumatipucchā. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha bhikkhave’’tiādi pucchāya hi ‘‘kā tumhākaṃ anumatī’’ti anumati pucchitā hoti. Kathetukamyatāti kathetukamyatāya.

    . สรเสเนว ปตนสภาวสฺส อนฺตรา เอว อตีว ปาตนํ อติปาโต, สณิกํ ปติตุํ อทตฺวา สีฆํ ปาตนนฺติ อโตฺถฯ อติกฺกมฺม วา สตฺถาทีหิ อภิภวิตฺวา ปาตนํ อติปาโตฯ สโตฺตติ ขนฺธสนฺตาโนฯ ตตฺถ หิ สตฺตปญฺญตฺติฯ ชีวิตินฺทฺริยนฺติ รูปารูปชีวิตินฺทฺริยํฯ รูปชีวิตินฺทฺริเย หิ วิโกปิเต อิตรมฺปิ ตํสมฺพนฺธตาย วินสฺสติฯ กสฺมา ปเนตฺถ ‘‘ปาณสฺส อติปาโต, ปาโณติ เจตฺถ โวหารโต สโตฺต’’ติ จ เอกวจนนิเทฺทโส กโต, นนุ นิรวเสสานํ ปาณานํ อติปาตโต วิรติ อิธ อธิเปฺปตาฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปีติ สเพฺพ ปาณภูเต’’ติอาทินา (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.จูฬสีลวณฺณนา) พหุวจนนิเทฺทสนฺติ? สจฺจเมตํ, ปาณภาวสามญฺญวเสน ปเนตฺถ เอกวจนนิเทฺทโส กโต, สพฺพสทฺทสนฺนิธาเนน ตตฺถ ปุถุตฺตํ วิญฺญายมานเมวาติ สามญฺญนิเทฺทสํ อกตฺวา เภทวจนิจฺฉาวเสน พหุวจนนิเทฺทโส กโตติ ฯ กิญฺจ ภิโยฺยสามญฺญโต สํวรสมาทานํ, ตพฺพิเสสโต สํวรเภโทติ อิมสฺส วิเสสสฺส ญาปนตฺถํ อยํ วจนเภโท กโตติ เวทิตโพฺพฯ ยาย เจตนาย วตฺตมานสฺส ชีวิตินฺทฺริยสฺส นิสฺสยภูเตสุ มหาภูเตสุ อุปกฺกมกรณเหตุ ตํ มหาภูตปฺปจฺจยา อุปฺปชฺชนกมหาภูตา นุปฺปชฺชิสฺสนฺติ, สา ตาทิสปฺปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา ปาณาติปาโตฯ ลทฺธุปกฺกมานิ หิ ภูตานิ อิตรภูตานิ วิย น วิสทานีติ สมานชาติยานํ การณํ น โหนฺตีติฯ ‘‘กายวจีทฺวาราน’’นฺติ เอเตน มโนทฺวาเร ปวตฺตาย วธกเจตนาย ปาณาติปาตภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ

    8. Saraseneva patanasabhāvassa antarā eva atīva pātanaṃ atipāto, saṇikaṃ patituṃ adatvā sīghaṃ pātananti attho. Atikkamma vā satthādīhi abhibhavitvā pātanaṃ atipāto. Sattoti khandhasantāno. Tattha hi sattapaññatti. Jīvitindriyanti rūpārūpajīvitindriyaṃ. Rūpajīvitindriye hi vikopite itarampi taṃsambandhatāya vinassati. Kasmā panettha ‘‘pāṇassa atipāto, pāṇoti cettha vohārato satto’’ti ca ekavacananiddeso kato, nanu niravasesānaṃ pāṇānaṃ atipātato virati idha adhippetā. Tathā hi vakkhati ‘‘sabbapāṇabhūtahitānukampīti sabbe pāṇabhūte’’tiādinā (dī. ni. aṭṭha. 1.cūḷasīlavaṇṇanā) bahuvacananiddesanti? Saccametaṃ, pāṇabhāvasāmaññavasena panettha ekavacananiddeso kato, sabbasaddasannidhānena tattha puthuttaṃ viññāyamānamevāti sāmaññaniddesaṃ akatvā bhedavacanicchāvasena bahuvacananiddeso katoti . Kiñca bhiyyosāmaññato saṃvarasamādānaṃ, tabbisesato saṃvarabhedoti imassa visesassa ñāpanatthaṃ ayaṃ vacanabhedo katoti veditabbo. Yāya cetanāya vattamānassa jīvitindriyassa nissayabhūtesu mahābhūtesu upakkamakaraṇahetu taṃ mahābhūtappaccayā uppajjanakamahābhūtā nuppajjissanti, sā tādisappayogasamuṭṭhāpikā cetanā pāṇātipāto. Laddhupakkamāni hi bhūtāni itarabhūtāni viya na visadānīti samānajātiyānaṃ kāraṇaṃ na hontīti. ‘‘Kāyavacīdvārāna’’nti etena manodvāre pavattāya vadhakacetanāya pāṇātipātabhāvaṃ paṭikkhipati.

    ปโยควตฺถุมหนฺตตาทีหิ มหาสาวชฺชตา เตหิ ปจฺจเยหิ อุปฺปชฺชมานาย เจตนาย พลวภาวโต เวทิตพฺพาฯ ยถาธิเปฺปตสฺส หิ ปโยคสฺส สหสา นิปฺผาทนวเสน กิจฺจสาธิกาย พหุกฺขตฺตุํ ปวตฺตชวเนหิ ลทฺธาเสวนาย จ สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาย วเสน ปโยคสฺส มหนฺตภาโวฯ สติปิ กทาจิ ขุทฺทเก เจว มหเนฺต จ ปาเณ ปโยคสฺส สมภาเว มหนฺตํ หนนฺตสฺส เจตนา ติพฺพตรา อุปฺปชฺชตีติ วตฺถุสฺส มหนฺตภาโวฯ อิติ อุภยํ เปตํ เจตนาย พลวภาเวเนว โหติฯ ตถา หิ หนฺตพฺพสฺส มหาคุณภาเวน ตตฺถ ปวตฺตอุปการเจตนา วิย เขตฺตวิเสสนิพฺพตฺติยา อปการเจตนาปิ พลวตี, ติพฺพตรา จ อุปฺปชฺชตีติ ตสฺสา มหาสาวชฺชตา ทฎฺฐพฺพาฯ ตสฺมา ปโยควตฺถุอาทิปจฺจยานํ อมหเตฺตปิ มหาคุณตาทิปจฺจเยหิ เจตนาย พลวภาวาทิวเสเนว มหาสาวชฺชภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Payogavatthumahantatādīhi mahāsāvajjatā tehi paccayehi uppajjamānāya cetanāya balavabhāvato veditabbā. Yathādhippetassa hi payogassa sahasā nipphādanavasena kiccasādhikāya bahukkhattuṃ pavattajavanehi laddhāsevanāya ca sanniṭṭhāpakacetanāya vasena payogassa mahantabhāvo. Satipi kadāci khuddake ceva mahante ca pāṇe payogassa samabhāve mahantaṃ hanantassa cetanā tibbatarā uppajjatīti vatthussa mahantabhāvo. Iti ubhayaṃ petaṃ cetanāya balavabhāveneva hoti. Tathā hi hantabbassa mahāguṇabhāvena tattha pavattaupakāracetanā viya khettavisesanibbattiyā apakāracetanāpi balavatī, tibbatarā ca uppajjatīti tassā mahāsāvajjatā daṭṭhabbā. Tasmā payogavatthuādipaccayānaṃ amahattepi mahāguṇatādipaccayehi cetanāya balavabhāvādivaseneva mahāsāvajjabhāvo veditabbo.

    สมฺภรียนฺติ เอเตหีติ สมฺภารา, องฺคานิฯ เตสุ ปาณสญฺญิตาวธกจิตฺตานิ ปุพฺพภาคิยานิปิ โหนฺติฯ อุปกฺกโม วธกเจตนาสมุฎฺฐาปิโตฯ ปญฺจสมฺภารวตี ปาณาติปาตเจตนาติ สา ปญฺจสมฺภารวินิมุตฺตา ทฎฺฐพฺพาฯ วิชฺชามโย มนฺตปริชปฺปนปโยโค อาถพฺพณิกาทีนํ วิยฯ อิทฺธิมโย กมฺมวิปากชิทฺธิมโย ทาฐาโกฎกาทีนํ วิยฯ อติวิย ปปโญฺจติ อติมหาวิตฺถาโรฯ

    Sambharīyanti etehīti sambhārā, aṅgāni. Tesu pāṇasaññitāvadhakacittāni pubbabhāgiyānipi honti. Upakkamo vadhakacetanāsamuṭṭhāpito. Pañcasambhāravatī pāṇātipātacetanāti sā pañcasambhāravinimuttā daṭṭhabbā. Vijjāmayo mantaparijappanapayogo āthabbaṇikādīnaṃ viya. Iddhimayo kammavipākajiddhimayo dāṭhākoṭakādīnaṃ viya. Ativiya papañcoti atimahāvitthāro.

    เอตฺถาห – ขเณ ขเณ นิรุชฺฌนสภาเวสุ สงฺขาเรสุ โก หนฺติ, โก วา หญฺญติ, ยทิ จิตฺตเจตสิกสนฺตาโน, โส อรูปตาย น เฉทนเภทนาทิวเสน วิโกปนสมโตฺถ, นาปิ วิโกปนีโย, อถ รูปสนฺตาโน, โส อเจตนตาย กฎฺฐกลิงฺครูปโมติ น ตตฺถ เฉทนาทินา ปาณาติปาโต ลพฺภติ ยถา มตสรีเร, ปโยโคปิ ปาณาติปาตสฺส ปหรณปฺปการาทิ อตีเตสุ วา สงฺขาเรสุ ภเวยฺย อนาคเตสุ วา ปจฺจุปฺปเนฺนสุ วา, ตตฺถ น ตาว อตีตานาคเตสุ สมฺภวติ เตสํ อภาวโต, ปจฺจุปฺปเนฺนสุ จ สงฺขารานํ ขณิกตฺตา สรเสเนว นิรุชฺฌนสภาวตาย วินาสาภิมุเขสุ นิปฺปโยชโน ปโยโค สิยา, วินาสสฺส จ การณรหิตตฺตา น ปหรณปฺปการาทิปโยคเหตุกํ มรณํ, นิรีหกตาย จ สงฺขารานํ กสฺส โส ปโยโค, ขณิกตฺตา วธาธิปฺปายสมกาลภิชฺชนกสฺส กิริยาปริโยสานกาลานวฎฺฐานโต กสฺส วา ปาณาติปาตกมฺมพโทฺธติฯ

    Etthāha – khaṇe khaṇe nirujjhanasabhāvesu saṅkhāresu ko hanti, ko vā haññati, yadi cittacetasikasantāno, so arūpatāya na chedanabhedanādivasena vikopanasamattho, nāpi vikopanīyo, atha rūpasantāno, so acetanatāya kaṭṭhakaliṅgarūpamoti na tattha chedanādinā pāṇātipāto labbhati yathā matasarīre, payogopi pāṇātipātassa paharaṇappakārādi atītesu vā saṅkhāresu bhaveyya anāgatesu vā paccuppannesu vā, tattha na tāva atītānāgatesu sambhavati tesaṃ abhāvato, paccuppannesu ca saṅkhārānaṃ khaṇikattā saraseneva nirujjhanasabhāvatāya vināsābhimukhesu nippayojano payogo siyā, vināsassa ca kāraṇarahitattā na paharaṇappakārādipayogahetukaṃ maraṇaṃ, nirīhakatāya ca saṅkhārānaṃ kassa so payogo, khaṇikattā vadhādhippāyasamakālabhijjanakassa kiriyāpariyosānakālānavaṭṭhānato kassa vā pāṇātipātakammabaddhoti.

    วุจฺจเต – ยถาวุตฺตวธกเจตนาสหิโต สงฺขารานํ ปุโญฺช สตฺตสงฺขาโต หนฺตา, เตน ปวตฺติตวธกปโยคนิมิตฺตํ อปคตุสฺมาวิญฺญาณชีวิตินฺทฺริโย มตโวหารปฺปวตฺตินิพโนฺธ ยถาวุตฺตวธปฺปโยคากรเณ อุปฺปชฺชนารโห รูปารูปธมฺมสมูโห หญฺญติ, เกวโล วา จิตฺตเจตสิกสนฺตาโนฯ วธปฺปโยคาวิสยภาเวปิ ตสฺส ปญฺจโวการภเว รูปสนฺตานาธีนวุตฺติตาย รูปสนฺตาเน ปเรน ปโยชิตชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกปโยควเสน ตนฺนิพฺพตฺติวิพนฺธกวิสทิสรูปุปฺปตฺติยา วิหเต วิเจฺฉโท โหตีติ น ปาณาติปาตสฺส อสมฺภโว, นาปิ อเหตุโก ปาณาติปาโต, น จ ปโยโค นิปฺปโยชโน ปจฺจุปฺปเนฺนสุ สงฺขาเรสุ กตปโยควเสน ตทนนฺตรํ อุปฺปชฺชนารหสฺส สงฺขารกลาปสฺส ตถา อนุปฺปตฺติโต, ขณิกานํ สงฺขารานํ ขณิกมรณสฺส อิธ มรณภาเวน อนธิเปฺปตตฺตา, สนฺตติมรณสฺส จ ยถาวุตฺตนเยน สเหตุกภาวโต น อเหตุกํ มรณํ, น จ กตฺตุรหิโต ปาณาติปาตปฺปโยโค นิรีหเกสุปิ สงฺขาเรสุ สนฺนิหิตตามเตฺตน อุปการเกสุ อตฺตโน อนุรูปผลุปฺปาทนนิยเตสุ การเณสุ กตฺตุโวหารสิทฺธิโต ยถา ‘‘ปทีโป ปกาเสติ นิสากโร จนฺทิมา’’ติ จ, น จ เกวลสฺส วธาธิปฺปายสหภุโน จิตฺตเจตสิกกลาปสฺส ปาณาติปาโต อิจฺฉิโต สนฺตานวเสน อวฎฺฐิตเสฺสว ปฎิชานนโต, สนฺตานวเสน ปวตฺตมานานญฺจ ปทีปาทีนํ อตฺถกิริยาสิทฺธิ ทิสฺสตีติ อเตฺถว ปาณาติปาเตน กมฺมพโทฺธฯ อยญฺจ วิจาโร อทินฺนาทานาทีสุปิ ยถาสมฺภวํ วิภาเวตโพฺพฯ

    Vuccate – yathāvuttavadhakacetanāsahito saṅkhārānaṃ puñjo sattasaṅkhāto hantā, tena pavattitavadhakapayoganimittaṃ apagatusmāviññāṇajīvitindriyo matavohārappavattinibandho yathāvuttavadhappayogākaraṇe uppajjanāraho rūpārūpadhammasamūho haññati, kevalo vā cittacetasikasantāno. Vadhappayogāvisayabhāvepi tassa pañcavokārabhave rūpasantānādhīnavuttitāya rūpasantāne parena payojitajīvitindriyupacchedakapayogavasena tannibbattivibandhakavisadisarūpuppattiyā vihate vicchedo hotīti na pāṇātipātassa asambhavo, nāpi ahetuko pāṇātipāto, na ca payogo nippayojano paccuppannesu saṅkhāresu katapayogavasena tadanantaraṃ uppajjanārahassa saṅkhārakalāpassa tathā anuppattito, khaṇikānaṃ saṅkhārānaṃ khaṇikamaraṇassa idha maraṇabhāvena anadhippetattā, santatimaraṇassa ca yathāvuttanayena sahetukabhāvato na ahetukaṃ maraṇaṃ, na ca katturahito pāṇātipātappayogo nirīhakesupi saṅkhāresu sannihitatāmattena upakārakesu attano anurūpaphaluppādananiyatesu kāraṇesu kattuvohārasiddhito yathā ‘‘padīpo pakāseti nisākaro candimā’’ti ca, na ca kevalassa vadhādhippāyasahabhuno cittacetasikakalāpassa pāṇātipāto icchito santānavasena avaṭṭhitasseva paṭijānanato, santānavasena pavattamānānañca padīpādīnaṃ atthakiriyāsiddhi dissatīti attheva pāṇātipātena kammabaddho. Ayañca vicāro adinnādānādīsupi yathāsambhavaṃ vibhāvetabbo.

    ‘‘ปหีนกาลโต ปฎฺฐาย วิรโตวา’’ติ เอเตน ปหานเหตุกา อิธาธิเปฺปตา สมุเจฺฉทวิรตีติ ทเสฺสติฯ กมฺมกฺขยญาเณน หิ ปาณาติปาตทุสฺสีลฺยสฺส ปหีนตฺตา ภควา อจฺจนฺตเมว ตโต ปฎิวิรโตติ วุจฺจติ สมุเจฺฉทวเสน ปหานวิรตีนํ อธิเปฺปตตฺตาฯ กิญฺจาปิ ปหานวิรมณานํ ปุริมปจฺฉิมกาลตา นตฺถิ, มคฺคธมฺมานํ ปน สมฺมาทิฎฺฐิอาทีนํ สมฺมาวาจาทีนญฺจ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนภาเว อเปกฺขิเต สหชาตานมฺปิ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนภาเวน คหณํ ปุริมปจฺฉิมภาเวเนว โหตีติ คหณปฺปวตฺติอาการวเสน ปจฺจยภูเตสุ สมฺมาทิฎฺฐิอาทีสุ ปหายกธเมฺมสุ ปหานกิริยาย ปุริมกาลโวหาโร, ปจฺจยุปฺปนฺนาสุ จ วิรตีสุ วิรมณกิริยาย อปรกาลโวหาโร จ โหตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ปหานํ วา สมุเจฺฉทวเสน, วิรติ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวเสน โยเชตพฺพาฯ อถ วา ปาโณ อติปาตียติ เอเตนาติ ปาณาติปาโต, ปาณฆาตเหตุภูโต ธมฺมสมูโหฯ โก ปเนโส? อหิริกาโนตฺตปฺปโทสโมหวิหิํสาทโย กิเลสาฯ เต หิ ภควา อริยมเคฺคน ปหาย สมุคฺฆาเฎตฺวา ปาณาติปาตทุสฺสีลฺยโต อจฺจนฺตเมว ปฎิวิรโตติ วุจฺจติ กิเลเสสุ ปหีเนสุ กิเลสนิมิตฺตสฺส กมฺมสฺส อนุปฺปชฺชนโตฯ ‘‘อทินฺนาทานํ ปหายา’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ วิรโตวาติ อวธารเณน ตสฺสา วิรติยา กาลาทิวเสน อปริยนฺตตํ ทเสฺสติฯ ยถา หิ อเญฺญ สมาทินฺนวิรติกาปิ อนวฎฺฐิตจิตฺตตาย ลาภชีวิตาทิเหตุ สมาทานํ ภินฺทนฺติ, น เอวํ ภควาฯ ภควา ปน สพฺพโส ปหีนปาณาติปาตตฺตา อจฺจนฺตวิรโต เอวาติฯ วีติกฺกมิสฺสามีติ อนวชฺชธเมฺมหิ โวกิณฺณา อนฺตรนฺตรา อุปฺปชฺชนกา ทุพฺพลากุสลาฯ ยสฺมา ปน กายวจีปโยคํ อุปลภิตฺวา ‘‘อิมสฺส กิเลสา อุปฺปนฺนา’’ติ วิญฺญุนา สกฺกา ญาตุํ, ตสฺมา เต อิมินา ปริยาเยน ‘‘จกฺขุโสตวิเญฺญยฺยา’’ติ วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ กายิกาติ ปาณาติปาตาทินิปฺผาทเก พลวากุสเล สนฺธายาหฯ

    ‘‘Pahīnakālatopaṭṭhāya viratovā’’ti etena pahānahetukā idhādhippetā samucchedaviratīti dasseti. Kammakkhayañāṇena hi pāṇātipātadussīlyassa pahīnattā bhagavā accantameva tato paṭiviratoti vuccati samucchedavasena pahānaviratīnaṃ adhippetattā. Kiñcāpi pahānaviramaṇānaṃ purimapacchimakālatā natthi, maggadhammānaṃ pana sammādiṭṭhiādīnaṃ sammāvācādīnañca paccayapaccayuppannabhāve apekkhite sahajātānampi paccayapaccayuppannabhāvena gahaṇaṃ purimapacchimabhāveneva hotīti gahaṇappavattiākāravasena paccayabhūtesu sammādiṭṭhiādīsu pahāyakadhammesu pahānakiriyāya purimakālavohāro, paccayuppannāsu ca viratīsu viramaṇakiriyāya aparakālavohāro ca hotīti evamettha attho daṭṭhabbo. Pahānaṃ vā samucchedavasena, virati paṭippassaddhivasena yojetabbā. Atha vā pāṇo atipātīyati etenāti pāṇātipāto, pāṇaghātahetubhūto dhammasamūho. Ko paneso? Ahirikānottappadosamohavihiṃsādayo kilesā. Te hi bhagavā ariyamaggena pahāya samugghāṭetvā pāṇātipātadussīlyato accantameva paṭiviratoti vuccati kilesesu pahīnesu kilesanimittassa kammassa anuppajjanato. ‘‘Adinnādānaṃ pahāyā’’tiādīsupi eseva nayo. Viratovāti avadhāraṇena tassā viratiyā kālādivasena apariyantataṃ dasseti. Yathā hi aññe samādinnaviratikāpi anavaṭṭhitacittatāya lābhajīvitādihetu samādānaṃ bhindanti, na evaṃ bhagavā. Bhagavā pana sabbaso pahīnapāṇātipātattā accantavirato evāti. Vītikkamissāmīti anavajjadhammehi vokiṇṇā antarantarā uppajjanakā dubbalākusalā. Yasmā pana kāyavacīpayogaṃ upalabhitvā ‘‘imassa kilesā uppannā’’ti viññunā sakkā ñātuṃ, tasmā te iminā pariyāyena ‘‘cakkhusotaviññeyyā’’ti vuttāti daṭṭhabbā. Kāyikāti pāṇātipātādinipphādake balavākusale sandhāyāha.

    โคตฺตวเสน ลทฺธโวหาโรติ สมฺพโนฺธฯ ทีเปตุํ วฎฺฎติ พฺรหฺมทเตฺตน ภาสิตวณฺณสฺส อนุสนฺธิทสฺสนวเสน อิมิสฺสา เทสนาย อารทฺธตฺตาฯ ตตฺถายํ ทีปนา – ‘‘ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต สมณสฺส โคตมสฺส สาวกสโงฺฆ นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ’’ติ วิตฺถาเรตพฺพํฯ นนุ จ ธมฺมสฺสาปิ วโณฺณ พฺรหฺมทเตฺตน ภาสิโต? สจฺจํ ภาสิโต, โส ปน สมฺมาสมฺพุทฺธปภวตฺตา, อริยสงฺฆาธารตฺตา จ ธมฺมสฺส ธมฺมานุภาวสิทฺธตฺตา จ เตสํ ตทุภยทีปเนเนว ทีปิโต โหตีติ วิสุํ น อุทฺธโฎฯ สทฺธมฺมานุภาเวเนว หิ ภควา ภิกฺขุสโงฺฆ จ ปาณาติปาตาทิปฺปหานสมโตฺถ อโหสิ, เทสนา ปน อาทิโต ปฎฺฐาย เอวํ อาคตาติฯ

    Gottavasena laddhavohāroti sambandho. Dīpetuṃ vaṭṭati brahmadattena bhāsitavaṇṇassa anusandhidassanavasena imissā desanāya āraddhattā. Tatthāyaṃ dīpanā – ‘‘pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato samaṇassa gotamassa sāvakasaṅgho nihitadaṇḍo nihitasattho’’ti vitthāretabbaṃ. Nanu ca dhammassāpi vaṇṇo brahmadattena bhāsito? Saccaṃ bhāsito, so pana sammāsambuddhapabhavattā, ariyasaṅghādhārattā ca dhammassa dhammānubhāvasiddhattā ca tesaṃ tadubhayadīpaneneva dīpito hotīti visuṃ na uddhaṭo. Saddhammānubhāveneva hi bhagavā bhikkhusaṅgho ca pāṇātipātādippahānasamattho ahosi, desanā pana ādito paṭṭhāya evaṃ āgatāti.

    เอตฺถายํ อธิปฺปาโย – ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว อเญฺญ จ ธมฺมา’’ติอาทินา อนญฺญสาธารเณ พุทฺธคุเณ อารพฺภ อุปริ เทสนํ วเฑฺฒตุกาโม ภควา อาทิโต ปฎฺฐาย ‘‘ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยา’’ติอาทินา พุทฺธคุณวเสเนว เทสนํ อารภิ, น ภิกฺขุสงฺฆวเสนาติฯ เอสา หิ ภควโต เทสนาย ปกติ, ยํ เอกรเสเนว เทสนํ ทเสฺสตุํ ลพฺภมานสฺสาปิ กสฺสจิ อคฺคหณํฯ ตถา หิ รูปกเณฺฑ ทุกาทีสุ ตนฺนิเทฺทเสสุ จ หทยวตฺถุ น คหิตํฯ อิตรวตฺถูหิ อสมานคติกตฺตา เทสนาเภโท โหตีติฯ ยถา หิ จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ เอกนฺตโต จกฺขาทินิสฺสยานิ, น เอวํ มโนวิญฺญาณํ เอกเนฺตน หทยวตฺถุนิสฺสยํ, นิสฺสิตวเสน จ วตฺถุทุกาทิเทสนา ปวตฺตา ‘‘อตฺถิ รูปํ จกฺขุวิญฺญาณสฺส วตฺถุ, อตฺถิ รูปํ น จกฺขุวิญฺญาณสฺส วตฺถู’’ติอาทินาฯ ยมฺปิ เอกนฺตโต หทยวตฺถุนิสฺสยํ, ตสฺส วเสน ‘‘อตฺถิ รูปํ มโนวิญฺญาณสฺส วตฺถู’’ติอาทินา ทุกาทีสุ วุจฺจมาเนสุปิ น ตทนุรูปา อารมฺมณทุกาทโย สมฺภวนฺติฯ น หิ ‘‘อตฺถิ รูปํ มโนวิญฺญาณสฺส อารมฺมณํ, อตฺถิ รูปํ น มโนวิญฺญาณสฺส อารมฺมณ’’นฺติ สกฺกา วตฺตุนฺติ วตฺถารมฺมณทุกา ภินฺนคติกา สิยุนฺติ น เอกรสา เทสนา ภเวยฺยาติฯ ตถา นิเกฺขปกเณฺฑ จิตฺตุปฺปาทวิภาเคน อวุจฺจมานตฺตา อวิตกฺกอวิจารปทวิสฺสชฺชเน ‘‘วิจาโร จา’’ติ วตฺตุํ น สกฺกาติ อวิตกฺกวิจารมตฺตปทวิสฺสชฺชเน ลพฺภมาโนปิ วิตโกฺก น อุทฺธโฎ, อญฺญถา ‘‘วิตโกฺก จา’’ติ วตฺตพฺพํ สิยาฯ

    Etthāyaṃ adhippāyo – ‘‘atthi bhikkhave aññe ca dhammā’’tiādinā anaññasādhāraṇe buddhaguṇe ārabbha upari desanaṃ vaḍḍhetukāmo bhagavā ādito paṭṭhāya ‘‘tathāgatassa vaṇṇaṃ vadamāno vadeyyā’’tiādinā buddhaguṇavaseneva desanaṃ ārabhi, na bhikkhusaṅghavasenāti. Esā hi bhagavato desanāya pakati, yaṃ ekaraseneva desanaṃ dassetuṃ labbhamānassāpi kassaci aggahaṇaṃ. Tathā hi rūpakaṇḍe dukādīsu tanniddesesu ca hadayavatthu na gahitaṃ. Itaravatthūhi asamānagatikattā desanābhedo hotīti. Yathā hi cakkhuviññāṇādīni ekantato cakkhādinissayāni, na evaṃ manoviññāṇaṃ ekantena hadayavatthunissayaṃ, nissitavasena ca vatthudukādidesanā pavattā ‘‘atthi rūpaṃ cakkhuviññāṇassa vatthu, atthi rūpaṃ na cakkhuviññāṇassa vatthū’’tiādinā. Yampi ekantato hadayavatthunissayaṃ, tassa vasena ‘‘atthi rūpaṃ manoviññāṇassa vatthū’’tiādinā dukādīsu vuccamānesupi na tadanurūpā ārammaṇadukādayo sambhavanti. Na hi ‘‘atthi rūpaṃ manoviññāṇassa ārammaṇaṃ, atthi rūpaṃ na manoviññāṇassa ārammaṇa’’nti sakkā vattunti vatthārammaṇadukā bhinnagatikā siyunti na ekarasā desanā bhaveyyāti. Tathā nikkhepakaṇḍe cittuppādavibhāgena avuccamānattā avitakkaavicārapadavissajjane ‘‘vicāro cā’’ti vattuṃ na sakkāti avitakkavicāramattapadavissajjane labbhamānopi vitakko na uddhaṭo, aññathā ‘‘vitakko cā’’ti vattabbaṃ siyā.

    ทณฺฑนสงฺขาตสฺส ทณฺฑสฺส ปรวิเหฐนสฺส วิวชฺชิตภาวทีปนตฺถํ ทณฺฑสตฺถานํ นิเกฺขปวจนนฺติ อาห ‘‘ปรูปฆาตตฺถายา’’ติอาทิฯ วิเหฐนภาวโตติ วิหิํสนภาวโตฯ ‘‘ภิกฺขุสงฺฆวเสนาปิ ทีเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตตฺตา ตมฺปิ เอกเทเสน ทีเปโนฺต ‘‘ยํ ปน ภิกฺขู’’ติอาทิมาหฯ

    Daṇḍanasaṅkhātassa daṇḍassa paraviheṭhanassa vivajjitabhāvadīpanatthaṃ daṇḍasatthānaṃ nikkhepavacananti āha ‘‘parūpaghātatthāyā’’tiādi. Viheṭhanabhāvatoti vihiṃsanabhāvato. ‘‘Bhikkhusaṅghavasenāpi dīpetuṃ vaṭṭatī’’ti vuttattā tampi ekadesena dīpento ‘‘yaṃ pana bhikkhū’’tiādimāha.

    ลชฺชีติ เอตฺถ วุตฺตลชฺชาย โอตฺตปฺปมฺปิ วุตฺตเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ น หิ ปาปชิคุจฺฉนํ ปาปุตฺตาสนรหิตํ, ปาปภยํ วา อลชฺชนํ อตฺถีติฯ ธมฺมครุตาย วา พุทฺธานํ, ธมฺมสฺส จ อตฺตาธีนตฺตา อตฺตาธิปติภูตา ลชฺชาว วุตฺตา, น ปน โลกาธิปติ โอตฺตปฺปํฯ ‘‘ทยํ เมตฺตจิตฺตตํ อาปโนฺน’’ติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ ทยา-สโทฺท ‘‘ทยาปโนฺน’’ติอาทีสุ กรุณาย ปวตฺตตีติ? สจฺจเมตํ , อยํ ปน ทยา-สโทฺท อนุรกฺขณมตฺถํ อโนฺตนีตํ กตฺวา ปวตฺตมาโน เมตฺตาย กรุณาย จ ปวตฺตตีติ อิธ เมตฺตาย ปวตฺตมาโน วุโตฺตฯ มิทติ สินิยฺหตีติ เมตฺตา, เมตฺตา เอตสฺส อตฺถีติ เมตฺตํ, เมตฺตํ จิตฺตํ เอตสฺสาติ เมตฺตจิโตฺต, ตสฺส ภาโว เมตฺตจิตฺตตา, เมตฺตา อิเจฺจว อโตฺถฯ ‘‘สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี’’ติ เอเตน ตสฺสา วิรติยา สตฺตวเสน อปริยนฺตตํ ทเสฺสติฯ ปาณภูเตติ ปาณชาเตฯ อนุกมฺปโกติ กรุณายนโกฯ ยสฺมา ปน เมตฺตา กรุณาย วิเสสปจฺจโย โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ตาย เอว ทยาปนฺนตายา’’ติฯ เอวํ เยหิ ธเมฺมหิ ปาณาติปาตา วิรติ สมฺปชฺชติ, เตหิ ลชฺชาเมตฺตากรุณาหิ สมงฺคีภาโว ทสฺสิโตฯ วิหรตีติ เอวํภูโต หุตฺวา เอกสฺมิํ อิริยาปเถ อุปฺปนฺนํ ทุกฺขํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา หรติ ปวเตฺตติ, อตฺตภาวํ วา ยาเปตีติ อโตฺถฯ เตเนวาห ‘‘อิริยติ ยเปติ ยาเปติ ปาเลตี’’ติฯ

    Lajjīti ettha vuttalajjāya ottappampi vuttamevāti daṭṭhabbaṃ. Na hi pāpajigucchanaṃ pāputtāsanarahitaṃ, pāpabhayaṃ vā alajjanaṃ atthīti. Dhammagarutāya vā buddhānaṃ, dhammassa ca attādhīnattā attādhipatibhūtā lajjāva vuttā, na pana lokādhipati ottappaṃ. ‘‘Dayaṃ mettacittataṃ āpanno’’ti kasmā vuttaṃ, nanu dayā-saddo ‘‘dayāpanno’’tiādīsu karuṇāya pavattatīti? Saccametaṃ , ayaṃ pana dayā-saddo anurakkhaṇamatthaṃ antonītaṃ katvā pavattamāno mettāya karuṇāya ca pavattatīti idha mettāya pavattamāno vutto. Midati siniyhatīti mettā, mettā etassa atthīti mettaṃ, mettaṃ cittaṃ etassāti mettacitto, tassa bhāvo mettacittatā, mettā icceva attho. ‘‘Sabbapāṇabhūtahitānukampī’’ti etena tassā viratiyā sattavasena apariyantataṃ dasseti. Pāṇabhūteti pāṇajāte. Anukampakoti karuṇāyanako. Yasmā pana mettā karuṇāya visesapaccayo hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘tāya eva dayāpannatāyā’’ti. Evaṃ yehi dhammehi pāṇātipātā virati sampajjati, tehi lajjāmettākaruṇāhi samaṅgībhāvo dassito. Viharatīti evaṃbhūto hutvā ekasmiṃ iriyāpathe uppannaṃ dukkhaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā harati pavatteti, attabhāvaṃ vā yāpetīti attho. Tenevāha ‘‘iriyati yapeti yāpeti pāletī’’ti.

    อาจารสีลมตฺตกนฺติ สาธุชนาจารสีลมตฺตกํ, เตน อินฺทฺริยสํวราทิคุเณหิปิ โลกิยปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วตฺตุํ น สโกฺกตีติ ทเสฺสติฯ ตถา หิ อินฺทฺริยสํวรปจฺจยปริโภคสีลานิ อิธ สีลกถายํ น วิภตฺตานิฯ

    Ācārasīlamattakanti sādhujanācārasīlamattakaṃ, tena indriyasaṃvarādiguṇehipi lokiyaputhujjano tathāgatassa vaṇṇaṃ vattuṃ na sakkotīti dasseti. Tathā hi indriyasaṃvarapaccayaparibhogasīlāni idha sīlakathāyaṃ na vibhattāni.

    ปรสํหรณนฺติ ปรสฺส สนฺตกหรณํฯ เถโน วุจฺจติ โจโร, ตสฺส ภาโว เถยฺยํฯ อิธาปิ ขุทฺทเก ปรสนฺตเก อปฺปสาวชฺชํ, มหเนฺต มหาสาวชฺชํฯ กสฺมา? ปโยคมหนฺตตาย, วตฺถุคุณานํ ปน สมภาเว สติ กิเลสานํ อุปกฺกมานญฺจ มุทุตาย อปฺปสาวชฺชํ, ติพฺพตาย มหาสาวชฺชนฺติ อยมฺปิ นโย โยเชตโพฺพฯ

    Parasaṃharaṇanti parassa santakaharaṇaṃ. Theno vuccati coro, tassa bhāvo theyyaṃ. Idhāpi khuddake parasantake appasāvajjaṃ, mahante mahāsāvajjaṃ. Kasmā? Payogamahantatāya, vatthuguṇānaṃ pana samabhāve sati kilesānaṃ upakkamānañca mudutāya appasāvajjaṃ, tibbatāya mahāsāvajjanti ayampi nayo yojetabbo.

    สาหตฺถิกาทโยติ เอตฺถ มนฺตปริชปฺปเนน ปรสนฺตกหรณํ วิชฺชามโย, วินา มเนฺตน กายวจีปโยเคน ปรสนฺตกสฺส อากฑฺฒนํ ตาทิสอิทฺธานุภาเวน อิทฺธิมโย ปโยโคฯ

    Sāhatthikādayoti ettha mantaparijappanena parasantakaharaṇaṃ vijjāmayo, vinā mantena kāyavacīpayogena parasantakassa ākaḍḍhanaṃ tādisaiddhānubhāvena iddhimayo payogo.

    เสสนฺติ ‘‘ปหาย ปฎิวิรโต’’ติ เอวมาทิกํฯ ตญฺหิ ปุเพฺพ วุตฺตนยํฯ กิญฺจาปิ นยิธ สิกฺขาปทโวหาเรน วิรติ วุตฺตา, อิโต อเญฺญสุ ปน สุตฺตปเทเสสุ วินยาภิธเมฺมสุ จ ปวตฺตโวหาเรน วิรติโย เจตนา จ อธิสีลสิกฺขาทีนํ อธิฎฺฐานภาวโต, เตสุ อญฺญตรโกฎฺฐาสภาวโต จ สิกฺขาปทนฺติ อาห ‘‘ปฐมสิกฺขาปเท’’ติฯ กามเญฺจตฺถ ‘‘ลชฺชี ทยาปโนฺน’’ติ น วุตฺตํ, อธิการวเสน ปน อตฺถโต วา วุตฺตเมวาติ เวทิตพฺพํฯ ยถา หิ ลชฺชาทโย ปาณาติปาตปฺปหานสฺส วิเสสปฺปจฺจโย, เอวํ อทินฺนาทานปฺปหานสฺสาปีติ, ตสฺมา สาปิ ปาฬิ อาเนตฺวา วตฺตพฺพาฯ เอเสว นโย อิโต ปเรสุปิฯ อถ วา ‘‘สุจิภูเตนา’’ติ เอเตน หิโรตฺตปฺปาทีหิ สมนฺนาคโม, อหิริกาทีนญฺจ ปหานํ วุตฺตเมวาติ ‘‘ลชฺชี’’ติอาทิ น วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Sesanti ‘‘pahāya paṭivirato’’ti evamādikaṃ. Tañhi pubbe vuttanayaṃ. Kiñcāpi nayidha sikkhāpadavohārena virati vuttā, ito aññesu pana suttapadesesu vinayābhidhammesu ca pavattavohārena viratiyo cetanā ca adhisīlasikkhādīnaṃ adhiṭṭhānabhāvato, tesu aññatarakoṭṭhāsabhāvato ca sikkhāpadanti āha ‘‘paṭhamasikkhāpade’’ti. Kāmañcettha ‘‘lajjī dayāpanno’’ti na vuttaṃ, adhikāravasena pana atthato vā vuttamevāti veditabbaṃ. Yathā hi lajjādayo pāṇātipātappahānassa visesappaccayo, evaṃ adinnādānappahānassāpīti, tasmā sāpi pāḷi ānetvā vattabbā. Eseva nayo ito paresupi. Atha vā ‘‘sucibhūtenā’’ti etena hirottappādīhi samannāgamo, ahirikādīnañca pahānaṃ vuttamevāti ‘‘lajjī’’tiādi na vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    อเสฎฺฐจริยนฺติ อเสฎฺฐานํ หีนานํ, อเสฎฺฐํ วา ลามกํ นิหีนํ วุตฺติํ, เมถุนนฺติ อโตฺถฯ ‘‘พฺรหฺมํ เสฎฺฐํ อาจาร’’นฺติ เมถุนวิรติมาหฯ ‘‘อาราจารี เมถุนา’’ติ เอเตน ‘‘อิธ พฺราหฺมณ เอกโจฺจ…เป.… น เหว โข มาตุคาเมน สทฺธิํ ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, อปิจ โข มาตุคามสฺส อุจฺฉาทนปริมทฺทนนฺหาปนสมฺพาหนํ สาทิยติ, โส ตํ อสฺสาเทติ, ตํ นิกาเมติ, เตน จ วิตฺติํ อาปชฺชตี’’ติอาทินา (อ. นิ. ๗.๕๐) วุตฺตา สตฺตวิธเมถุนสํโยคาปิ ปฎิวิรติ ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ อิธาปิ อสทฺธมฺมเสวนาธิปฺปาเยน กายทฺวารปฺปวตฺตา มเคฺคนมคฺคปฎิปตฺติสมุฎฺฐาปิกา เจตนา อพฺรหฺมจริยํ, มิจฺฉาจาเร ปน อคมนียฎฺฐานวีติกฺกมเจตนาติ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ อคมนียฎฺฐานํ นาม ปุริสานํ มาตุรกฺขิตาทโย ทส, ธนกฺกีตาทโย ทสาติ วีสติ อิตฺถิโยฯ อิตฺถีสุ ปน ทสนฺนํ ธนกฺกิตาทีนํ สารกฺขสปริทณฺฑานญฺจ วเสน ทฺวาทสนฺนํ อเญฺญ ปุริสาฯ คุณวิรหิเต วิปฺปฎิปตฺติ อปฺปสาวชฺชา, มหาคุเณ มหาสาวชฺชาฯ คุณรหิเตปิ จ อภิภวิตฺวา ปวตฺติ มหาสาวชฺชา, อุภินฺนํ สมานจฺฉนฺทภาเวปิ กิเลสานํ อุปกฺกมานญฺจ มุทุตาย อปฺปสาวชฺชา, ติพฺพตาย มหาสาวชฺชาติ เวทิตพฺพาฯ ตสฺส เทฺว สมฺภารา เสเวตุกามตาจิตฺตํ, มเคฺคนมคฺคปฎิปตฺตีติฯ มิจฺฉาจาเร ปน อคมนียฎฺฐานตา, เสวนาจิตฺตํ มเคฺคนมคฺคปฎิปตฺติ, สาทิยนญฺจาติ จตฺตาโรฯ ‘‘อภิภวิตฺวา วีติกฺกมเน มเคฺคนมคฺคปฎิปตฺติอธิวาสเน สติปิ ปุริมุปฺปนฺนเสวนาภิสนฺธิปโยคาภาวโต อภิภุยฺยมานสฺส มิจฺฉาจาโร น โหตี’’ติ วทนฺติฯ เสวนาจิเตฺต สติ ปโยคาภาโว น ปมาณํ อิตฺถิยา เสวนาปโยคสฺส เยภุเยฺยน อภาวโต, อิตฺถิยา ปุเรตรํ อุปฎฺฐาปิตเสวนาจิตฺตายปิ มิจฺฉาจาโร น สิยาติ อาปชฺชติ ปโยคาภาวโตฯ ตสฺมา ปุริสสฺส วเสน อุกฺกํสโต จตฺตาโร วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํ, อญฺญถา อิตฺถิยา ปุริสกิจฺจกรณกาเล ปุริสสฺสปิ เสวนาปโยคาภาวโต มิจฺฉาจาโร น สิยาติ เอเกฯ อิทํ ปเนตฺถ สนฺนิฎฺฐานํ – อตฺตโน รุจิยา ปวตฺติตสฺส ตโย, พลกฺกาเรน ปวตฺติตสฺส ตโย, อนวเสสคฺคหเณน ปน จตฺตาโรติฯ เอโก ปโยโค สาหตฺถิโกวฯ

    Aseṭṭhacariyanti aseṭṭhānaṃ hīnānaṃ, aseṭṭhaṃ vā lāmakaṃ nihīnaṃ vuttiṃ, methunanti attho. ‘‘Brahmaṃ seṭṭhaṃ ācāra’’nti methunaviratimāha. ‘‘Ārācārī methunā’’ti etena ‘‘idha brāhmaṇa ekacco…pe… na heva kho mātugāmena saddhiṃ dvayaṃdvayasamāpattiṃ samāpajjati, apica kho mātugāmassa ucchādanaparimaddananhāpanasambāhanaṃ sādiyati, so taṃ assādeti, taṃ nikāmeti, tena ca vittiṃ āpajjatī’’tiādinā (a. ni. 7.50) vuttā sattavidhamethunasaṃyogāpi paṭivirati dassitāti daṭṭhabbā. Idhāpi asaddhammasevanādhippāyena kāyadvārappavattā maggenamaggapaṭipattisamuṭṭhāpikā cetanā abrahmacariyaṃ, micchācāre pana agamanīyaṭṭhānavītikkamacetanāti yojetabbaṃ. Tattha agamanīyaṭṭhānaṃ nāma purisānaṃ māturakkhitādayo dasa, dhanakkītādayo dasāti vīsati itthiyo. Itthīsu pana dasannaṃ dhanakkitādīnaṃ sārakkhasaparidaṇḍānañca vasena dvādasannaṃ aññe purisā. Guṇavirahite vippaṭipatti appasāvajjā, mahāguṇe mahāsāvajjā. Guṇarahitepi ca abhibhavitvā pavatti mahāsāvajjā, ubhinnaṃ samānacchandabhāvepi kilesānaṃ upakkamānañca mudutāya appasāvajjā, tibbatāya mahāsāvajjāti veditabbā. Tassa dve sambhārā sevetukāmatācittaṃ, maggenamaggapaṭipattīti. Micchācāre pana agamanīyaṭṭhānatā, sevanācittaṃ maggenamaggapaṭipatti, sādiyanañcāti cattāro. ‘‘Abhibhavitvā vītikkamane maggenamaggapaṭipattiadhivāsane satipi purimuppannasevanābhisandhipayogābhāvato abhibhuyyamānassa micchācāro na hotī’’ti vadanti. Sevanācitte sati payogābhāvo na pamāṇaṃ itthiyā sevanāpayogassa yebhuyyena abhāvato, itthiyā puretaraṃ upaṭṭhāpitasevanācittāyapi micchācāro na siyāti āpajjati payogābhāvato. Tasmā purisassa vasena ukkaṃsato cattāro vuttāti daṭṭhabbaṃ, aññathā itthiyā purisakiccakaraṇakāle purisassapi sevanāpayogābhāvato micchācāro na siyāti eke. Idaṃ panettha sanniṭṭhānaṃ – attano ruciyā pavattitassa tayo, balakkārena pavattitassa tayo, anavasesaggahaṇena pana cattāroti. Eko payogo sāhatthikova.

    . กมฺมปถปฺปตฺตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อตฺถภญฺชนโก’’ติ วุตฺตํฯ วจีปโยโค กายปโยโค วาติ มุสา-สทฺทสฺส กิริยาปธานตํ ทเสฺสติฯ วิสํวาทนาธิปฺปาโย ปุพฺพภาคกฺขเณ ตงฺขเณ จฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ปุเพฺพวสฺส โหติ ‘มุสา ภณิสฺส’นฺติ, ภณนฺตสฺส โหติ ‘มุสา ภณามี’ติ’’ (ปารา. ๒๐๕)ฯ เอตญฺหิ ทฺวยํ องฺคภูตํ, อิตรํ ปน โหตุ วา มา วา, อการณเมตํฯ อสฺสาติ วิสํวาทกสฺส ฯ ยถาวุตฺตํ ปโยคภูตํ มุสา วทติ วิญฺญาเปติ, สมุฎฺฐาเปติ วา เอตายาติ เจตนา มุสาวาโทฯ

    9. Kammapathappattaṃ dassetuṃ ‘‘atthabhañjanako’’ti vuttaṃ. Vacīpayogo kāyapayogo vāti musā-saddassa kiriyāpadhānataṃ dasseti. Visaṃvādanādhippāyo pubbabhāgakkhaṇe taṅkhaṇe ca. Vuttañhi ‘‘pubbevassa hoti ‘musā bhaṇissa’nti, bhaṇantassa hoti ‘musā bhaṇāmī’ti’’ (pārā. 205). Etañhi dvayaṃ aṅgabhūtaṃ, itaraṃ pana hotu vā mā vā, akāraṇametaṃ. Assāti visaṃvādakassa . Yathāvuttaṃ payogabhūtaṃ musā vadati viññāpeti, samuṭṭhāpeti vā etāyāti cetanā musāvādo.

    ปุริมนเย ลกฺขณสฺส อพฺยาปิตตาย, มุสา-สทฺทสฺส จ วิสํวทิตพฺพตฺถวาจกตฺตสมฺภวโต ปริปุณฺณํ กตฺวา มุสาวาทลกฺขณํ ทเสฺสตุํ ‘‘มุสาติ อภูตํ อตจฺฉํ วตฺถู’’ติอาทินา ทุติยนโย อารโทฺธฯ อิมสฺมิญฺจ นเย มุสา วทียติ วุจฺจติ เอตายาติ เจตนา มุสาวาโทฯ ‘‘ยมตฺถํ ภญฺชตี’’ติ วตฺถุวเสน มุสาวาทสฺส อปฺปสาวชฺชมหาสาวชฺชตมาหฯ ยสฺส อตฺถํ ภญฺชติ, ตสฺส อปฺปคุณตาย อปฺปสาวโชฺช, มหาคุณตาย มหาสาวโชฺชติ อทินฺนาทาเน วิย คุณวเสนาปิ โยเชตพฺพํฯ กิเลสานํ มุทุติพฺพตาวเสนาปิ อปฺปสาวชฺชมหาสาวชฺชตา ลพฺภติเยวฯ

    Purimanaye lakkhaṇassa abyāpitatāya, musā-saddassa ca visaṃvaditabbatthavācakattasambhavato paripuṇṇaṃ katvā musāvādalakkhaṇaṃ dassetuṃ ‘‘musāti abhūtaṃ atacchaṃ vatthū’’tiādinā dutiyanayo āraddho. Imasmiñca naye musā vadīyati vuccati etāyāti cetanā musāvādo. ‘‘Yamatthaṃ bhañjatī’’ti vatthuvasena musāvādassa appasāvajjamahāsāvajjatamāha. Yassa atthaṃ bhañjati, tassa appaguṇatāya appasāvajjo, mahāguṇatāya mahāsāvajjoti adinnādāne viya guṇavasenāpi yojetabbaṃ. Kilesānaṃ mudutibbatāvasenāpi appasāvajjamahāsāvajjatā labbhatiyeva.

    อตฺตโน สนฺตกํ อทาตุกามตาย, ปูรณกถานเยน จ วิสํวาทนปุเรกฺขารเสฺสว มุสาวาโทฯ ตตฺถ ปน เจตนา พลวตี น โหตีติ อปฺปสาวชฺชตา วุตฺตาฯ อปฺปตาย อูนสฺส อตฺถสฺส ปูรณวเสน ปวตฺตา กถา ปูรณกถาฯ

    Attano santakaṃ adātukāmatāya, pūraṇakathānayena ca visaṃvādanapurekkhārasseva musāvādo. Tattha pana cetanā balavatī na hotīti appasāvajjatā vuttā. Appatāya ūnassa atthassa pūraṇavasena pavattā kathā pūraṇakathā.

    ตโชฺชติ ตสฺสารุโปฺป, วิสํวาทนานุรูโปติ อโตฺถฯ ‘‘วายาโม’’ติ วายามสีเสน ปโยคมาหฯ วิสํวาทนาธิปฺปาเยน ปโยเค กเตปิ ปเรน ตสฺมิํ อเตฺถ อวิญฺญาเต วิสํวาทนสฺส อสิชฺฌนโต ปรสฺส ตทตฺถวิชานนํ เอโก สมฺภาโร วุโตฺตฯ เกจิ ปน ‘‘อภูตวจนํ วิสํวาทนจิตฺตํ ปรสฺส ตทตฺถวิชานนนฺติ ตโย สมฺภารา’’ติ วทนฺติฯ กิริยาสมุฎฺฐาปกเจตนากฺขเณเยว มุสาวาทกกมฺมุนา พชฺฌติ สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาย นิพฺพตฺตตฺตา, สเจปิ ทนฺธตาย วิจาเรตฺวา ปโร ตมตฺถํ ชานาตีติ อธิปฺปาโยฯ

    Tajjoti tassāruppo, visaṃvādanānurūpoti attho. ‘‘Vāyāmo’’ti vāyāmasīsena payogamāha. Visaṃvādanādhippāyena payoge katepi parena tasmiṃ atthe aviññāte visaṃvādanassa asijjhanato parassa tadatthavijānanaṃ eko sambhāro vutto. Keci pana ‘‘abhūtavacanaṃ visaṃvādanacittaṃ parassa tadatthavijānananti tayo sambhārā’’ti vadanti. Kiriyāsamuṭṭhāpakacetanākkhaṇeyeva musāvādakakammunā bajjhati sanniṭṭhāpakacetanāya nibbattattā, sacepi dandhatāya vicāretvā paro tamatthaṃ jānātīti adhippāyo.

    ‘‘สจฺจโต เถตโต’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๙) วิย เถต-สโทฺท ถิรปริยาโย, ถิรภาโว จ สจฺจวาทิตาย อธิกตตฺตา กถาวเสน เวทิตโพฺพติ อาห ‘‘ถิรกโถติ อโตฺถ’’ติฯ นถิรกโถติ ยถา หลิทฺทิราคาทโย อนวฎฺฐิตสภาวตาย น ถิรา, เอวํ น ถิรา กถา ยสฺส โส น ถิรกโถติ หลิทฺทิราคาทโย ยถา กถาย อุปมา โหนฺติ, เอวํ โยเชตพฺพํฯ เอส นโย ‘‘ปาสาณเลขา วิยา’’ติอาทีสุปิฯ

    ‘‘Saccato thetato’’tiādīsu (ma. ni. 1.19) viya theta-saddo thirapariyāyo, thirabhāvo ca saccavāditāya adhikatattā kathāvasena veditabboti āha ‘‘thirakathoti attho’’ti. Nathirakathoti yathā haliddirāgādayo anavaṭṭhitasabhāvatāya na thirā, evaṃ na thirā kathā yassa so na thirakathoti haliddirāgādayo yathā kathāya upamā honti, evaṃ yojetabbaṃ. Esa nayo ‘‘pāsāṇalekhā viyā’’tiādīsupi.

    สทฺธา อยติ ปวตฺตติ เอตฺถาติ สทฺธาโย, สทฺธาโย เอว สทฺธายิโก ยถา ‘‘เวนยิโก’’ติ (อ. นิ. ๘.๑๑; ปารา. ๘)ฯ สทฺธาย วา อยิตโพฺพ สทฺธายิโก, สเทฺธโยฺยติ อโตฺถฯ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ วิสํวาทนโตติ อธิปฺปาโยฯ

    Saddhā ayati pavattati etthāti saddhāyo, saddhāyo eva saddhāyiko yathā ‘‘venayiko’’ti (a. ni. 8.11; pārā. 8). Saddhāya vā ayitabbo saddhāyiko, saddheyyoti attho. Vattabbataṃ āpajjati visaṃvādanatoti adhippāyo.

    สุญฺญภาวนฺติ ปีติวิรหิตตาย ริตฺตตํฯ สา ปิสุณวาจาติ ยายํ ยถาวุตฺตา สทฺทสภาวา วาจา, สา ปิยสุญฺญกรณโต ปิสุณวาจาติ นิรุตฺตินเยน อตฺถมาหฯ ปิสตีติ วา ปิสุณา, สมเคฺค สเตฺต อวยวภูเต วเคฺค ภิเนฺน กโรตีติ อโตฺถฯ

    Suññabhāvanti pītivirahitatāya rittataṃ. Sā pisuṇavācāti yāyaṃ yathāvuttā saddasabhāvā vācā, sā piyasuññakaraṇato pisuṇavācāti niruttinayena atthamāha. Pisatīti vā pisuṇā, samagge satte avayavabhūte vagge bhinne karotīti attho.

    ผรุสนฺติ สิเนหาภาเวน ลูขํฯ สยมฺปิ ผรุสาติ โทมนสฺสสมุฎฺฐิตตฺตา สภาเวนปิ กกฺกสาฯ เอตฺถ จ ผรุสํ กโรตีติ ผลูปจาเรน, ผรุสยตีติ วา วาจาย ผรุส-สทฺทปฺปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ สยมฺปิ ผรุสาติ ปเรสํ มมฺมเจฺฉทวเสน ปวตฺติยา เอกนฺตนิฎฺฐุรตาย สภาเวน, การณโวหาเรน จ วาจาย ผรุส-สทฺทปฺปวตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ ตโตเยว จ เนว กณฺณสุขาฯ อตฺถวิปนฺนตาย น หทยงฺคมา

    Pharusanti sinehābhāvena lūkhaṃ. Sayampi pharusāti domanassasamuṭṭhitattā sabhāvenapi kakkasā. Ettha ca pharusaṃ karotīti phalūpacārena, pharusayatīti vā vācāya pharusa-saddappavatti veditabbā. Sayampi pharusāti paresaṃ mammacchedavasena pavattiyā ekantaniṭṭhuratāya sabhāvena, kāraṇavohārena ca vācāya pharusa-saddappavatti daṭṭhabbā. Tatoyeva ca neva kaṇṇasukhā. Atthavipannatāya na hadayaṅgamā.

    เยน สมฺผํ ปลปตีติ เยน ปลาปสงฺขาเตน นิรตฺถกวจเนน สุขํ หิตญฺจ ผลติ วิทรติ วินาเสตีติ ‘‘สมฺผ’’นฺติ ลทฺธนามํ อตฺตโน ปเรสญฺจ อนุปการกํ ยํ กิญฺจิ ปลปติฯ

    Yena samphaṃ palapatīti yena palāpasaṅkhātena niratthakavacanena sukhaṃ hitañca phalati vidarati vināsetīti ‘‘sampha’’nti laddhanāmaṃ attano paresañca anupakārakaṃ yaṃ kiñci palapati.

    สํกิลิฎฺฐจิตฺตสฺสาติ โลเภน โทเสน วา วิพาธิตจิตฺตสฺส, อุปตาปิตจิตฺตสฺส วา, ทูสิตจิตฺตสฺสาติ อโตฺถฯ เจตนา ปิสุณวาจา ปิสุณํ วทนฺติ เอตายาติฯ ยสฺส ยโต เภทํ กโรติ, เตสุ อภิเนฺนสุ อปฺปสาวชฺชํ, ภิเนฺนสุ มหาสาวชฺชํ, ตถา กิเลสานํ มุทุติพฺพตาวิเสเสสุฯ

    Saṃkiliṭṭhacittassāti lobhena dosena vā vibādhitacittassa, upatāpitacittassa vā, dūsitacittassāti attho. Cetanā pisuṇavācā pisuṇaṃ vadanti etāyāti. Yassa yato bhedaṃ karoti, tesu abhinnesu appasāvajjaṃ, bhinnesu mahāsāvajjaṃ, tathā kilesānaṃ mudutibbatāvisesesu.

    ยสฺส เปสุญฺญํ อุปสํหรติ, โส ภิชฺชตุ วา มา วา, ตสฺส อตฺถสฺส วิญฺญาปนเมว ปมาณนฺติ อาห ‘‘ตทตฺถวิชานน’’นฺติ, กมฺมปถปฺปตฺติ ปน ภิเนฺน เอวฯ

    Yassa pesuññaṃ upasaṃharati, so bhijjatu vā mā vā, tassa atthassa viññāpanameva pamāṇanti āha ‘‘tadatthavijānana’’nti, kammapathappatti pana bhinne eva.

    อนุปฺปทาตาติ อนุพลปฺปทาตา, อนุวตฺตนวเสน วา ปทาตาฯ กสฺส ปน อนุวตฺตนํ ปทานญฺจ? ‘‘สหิตาน’’นฺติ วุตฺตตฺตา ‘‘สนฺธานสฺสา’’ติ วิญฺญายติฯ เตเนวาห ‘‘สนฺธานานุปฺปทาตา’’ติฯ ยสฺมา ปน อนุวตฺตนวเสน สนฺธานสฺส ปทานํ อาธานํ, รกฺขณํ วา ทฬฺหีกรณํ โหติ, เตน วุตฺตํ ‘‘ทฬฺหีกมฺมํ กตฺตาติ อโตฺถ’’ติฯ อารมนฺติ เอตฺถาติ อาราโม, รมิตพฺพฎฺฐานํ ฯ ยสฺมา ปน อากาเรน วินาปิ อยเมวโตฺถ ลพฺภติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สมคฺคราโมติปิ ปาฬิ, อยเมเวตฺถ อโตฺถ’’ติฯ

    Anuppadātāti anubalappadātā, anuvattanavasena vā padātā. Kassa pana anuvattanaṃ padānañca? ‘‘Sahitāna’’nti vuttattā ‘‘sandhānassā’’ti viññāyati. Tenevāha ‘‘sandhānānuppadātā’’ti. Yasmā pana anuvattanavasena sandhānassa padānaṃ ādhānaṃ, rakkhaṇaṃ vā daḷhīkaraṇaṃ hoti, tena vuttaṃ ‘‘daḷhīkammaṃ kattāti attho’’ti. Āramanti etthāti ārāmo, ramitabbaṭṭhānaṃ . Yasmā pana ākārena vināpi ayamevattho labbhati, tasmā vuttaṃ ‘‘samaggarāmotipi pāḷi, ayamevettha attho’’ti.

    มมฺมานิ วิย มมฺมานิ, เยสุ ผรุสวาจาย ฉุปิตมเตฺตสุ ทุฎฺฐารูสุ วิย ฆฎฺฎิเตสุ จิตฺตํ อธิมตฺตํ ทุกฺขปฺปตฺตํ โหติฯ กานิ ปน ตานิ? ชาติอาทีนิ อโกฺกสวตฺถูนิฯ ตานิ ฉิชฺชนฺติ, ภิชฺชนฺติ วา เยน กายวจีปโยเคน, โส มมฺมเจฺฉทโกฯ เอกเนฺตน ผรุสเจตนา ผรุสวาจา ผรุสํ วทติ เอตายาติฯ กถํ ปน เอกนฺตผรุสเจตนา โหติ? ทุฎฺฐจิตฺตตายฯ ตสฺสาติ เอกนฺตผรุสเจตนาย เอว ผรุสวาจาภาวสฺสฯ มมฺมเจฺฉทโก สวนผรุสตายาติ อธิปฺปาโยฯ จิตฺตสณฺหตาย ผรุสวาจา น โหติ กมฺมปถ’ปฺปตฺตตฺตา, กมฺมภาวํ ปน น สกฺกา วาเรตุนฺติฯ เอวํ อนฺวยวเสน เจตนาผรุสตาย ผรุสวาจํ สาเธตฺวา อิทานิ ตเมว ปฎิปกฺขนเยน สาเธตุํ ‘‘วจนสณฺหตายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สา ผรุสวาจา ฯ นฺติ ยํ ปุคฺคลํฯ เอตฺถาปิ กมฺมปถภาวํ อปฺปตฺตา อปฺปสาวชฺชา, อิตรา มหาสาวชฺชา, ตถา กิเลสานํ มุทุติพฺพตาภาเวฯ เกจิ ปน ‘‘ยํ อุทฺทิสฺส ผรุสวาจา ปยุชฺชนฺติ, ตสฺส สมฺมุขาว สีสํ เอตี’’ติ, เอเก ‘‘ปรมฺมุขาปิ ผรุสวาจา โหติเยวา’’ติ วทนฺติฯ ตตฺถายมธิปฺปาโย ยุโตฺต สิยา – สมฺมุขา ปโยเค อคารวาทีนํ พลวภาวโต สิยา เจตนา พลวตี, ปรสฺส จ ตทตฺถชานนํ, น ตถา อสมฺมุขาติฯ ยถา ปน อโกฺกสิเต มเต อาฬหเน กตา ขมนา อุปวาทนฺตรายํ นิวเตฺตติ, เอวํ ‘‘ปรมฺมุขา ปยุตฺตาปิ ผรุสวาจา โหติเยวา’’ติ สกฺกา วิญฺญาตุนฺติฯ กุปิตจิตฺตนฺติ อโกฺกสาธิปฺปาเยเนว กุปิตจิตฺตํ, น มรณาธิปฺปาเยนฯ มรณาธิปฺปาเยน หิ จิตฺตโกเป สติ พฺยาปาโทเยว โหตีติฯ เอตฺถาติ –

    Mammāni viya mammāni, yesu pharusavācāya chupitamattesu duṭṭhārūsu viya ghaṭṭitesu cittaṃ adhimattaṃ dukkhappattaṃ hoti. Kāni pana tāni? Jātiādīni akkosavatthūni. Tāni chijjanti, bhijjanti vā yena kāyavacīpayogena, so mammacchedako. Ekantena pharusacetanā pharusavācā pharusaṃ vadati etāyāti. Kathaṃ pana ekantapharusacetanā hoti? Duṭṭhacittatāya. Tassāti ekantapharusacetanāya eva pharusavācābhāvassa. Mammacchedako savanapharusatāyāti adhippāyo. Cittasaṇhatāya pharusavācā na hoti kammapatha’ppattattā, kammabhāvaṃ pana na sakkā vāretunti. Evaṃ anvayavasena cetanāpharusatāya pharusavācaṃ sādhetvā idāni tameva paṭipakkhanayena sādhetuṃ ‘‘vacanasaṇhatāyā’’tiādi vuttaṃ. pharusavācā . Yanti yaṃ puggalaṃ. Etthāpi kammapathabhāvaṃ appattā appasāvajjā, itarā mahāsāvajjā, tathā kilesānaṃ mudutibbatābhāve. Keci pana ‘‘yaṃ uddissa pharusavācā payujjanti, tassa sammukhāva sīsaṃ etī’’ti, eke ‘‘parammukhāpi pharusavācā hotiyevā’’ti vadanti. Tatthāyamadhippāyo yutto siyā – sammukhā payoge agāravādīnaṃ balavabhāvato siyā cetanā balavatī, parassa ca tadatthajānanaṃ, na tathā asammukhāti. Yathā pana akkosite mate āḷahane katā khamanā upavādantarāyaṃ nivatteti, evaṃ ‘‘parammukhā payuttāpi pharusavācā hotiyevā’’ti sakkā viññātunti. Kupitacittanti akkosādhippāyeneva kupitacittaṃ, na maraṇādhippāyena. Maraṇādhippāyena hi cittakope sati byāpādoyeva hotīti. Etthāti –

    ‘‘เนลโงฺค เสตปจฺฉาโท, เอกาโร วตฺตตี รโถ;

    ‘‘Nelaṅgo setapacchādo, ekāro vattatī ratho;

    อนีฆํ ปสฺส อายนฺตํ, ฉินฺนโสตํ อพนฺธน’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๔.๓๔๗; อุทา. ๖๕);

    Anīghaṃ passa āyantaṃ, chinnasotaṃ abandhana’’nti. (saṃ. ni. 4.347; udā. 65);

    อิมิสฺสา คาถายฯ สีลเญฺหตฺถ ‘‘เนลงฺค’’นฺติ วุตฺตํฯ เตเนวาห จิโตฺต คหปติ ‘‘เนลงฺคนฺติ โข ภเนฺต สีลานเมตํ อธิวจน’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๗)ฯ สุกุมาราติ อผรุสตาย มุทุกาฯ ปุรสฺสาติ เอตฺถ ปุร-สโทฺท ตนฺนิวาสีวาจโก ทฎฺฐโพฺพ ‘‘คาโม อาคโต’’ติอาทีสุ วิยฯ เตเนวาห ‘‘นครวาสีน’’นฺติฯ มนํ อปฺปายติ วเฑฺฒตีติ มนาปาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จิตฺตวุฑฺฒิกรา’’ติฯ อาเสวนํ ภาวนํ พหุลีกรณํฯ ยํ คาหยิตุํ ปวตฺติโต, เตน อคฺคหิเต อปฺปสาวโชฺช คหิเต มหาสาวโชฺชติ, อิธาปิ กิเลสานํ มุทุติพฺพตาวเสนาปิ อปฺปสาวชฺชมหาสาวชฺชตา ลพฺภติเยวฯ

    Imissā gāthāya. Sīlañhettha ‘‘nelaṅga’’nti vuttaṃ. Tenevāha citto gahapati ‘‘nelaṅganti kho bhante sīlānametaṃ adhivacana’’nti (saṃ. ni. 4.347). Sukumārāti apharusatāya mudukā. Purassāti ettha pura-saddo tannivāsīvācako daṭṭhabbo ‘‘gāmo āgato’’tiādīsu viya. Tenevāha ‘‘nagaravāsīna’’nti. Manaṃ appāyati vaḍḍhetīti manāpā. Tena vuttaṃ ‘‘cittavuḍḍhikarā’’ti. Āsevanaṃ bhāvanaṃ bahulīkaraṇaṃ. Yaṃ gāhayituṃ pavattito, tena aggahite appasāvajjo gahite mahāsāvajjoti, idhāpi kilesānaṃ mudutibbatāvasenāpi appasāvajjamahāsāvajjatā labbhatiyeva.

    ‘‘กาลวาที’’ติอาทิ สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรตสฺส ปฎิปตฺติทสฺสนํฯ ยถา หิ ‘‘ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต’’ติอาทิ ปาณาติปาตปฺปหานปฎิปตฺติทสฺสนํฯ ‘‘ปาณาติปาตํ ปหาย วิหรตี’’ติ หิ วุเตฺต กถํ ปาณาติปาตปฺปหานํ โหตีติ? อเปกฺขาสพฺภาวโต ‘‘ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหตี’’ติ วุตฺตํ, สา ปน วิรติ กถนฺติ อาห ‘‘นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ’’ติ, ตญฺจ ทณฺฑสตฺถนิธานํ กถนฺติ วุตฺตํ ‘‘ลชฺชี’’ติอาทิ, เอวํ อุตฺตรุตฺตรํ ปุริมสฺส ปุริมสฺส อุปายสนฺทสฺสนํ, ตถา อทินฺนาทานาทีสุ ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘กาลวาทีติอาทิ สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรตสฺส ปฎิปตฺติทสฺสน’’นฺติฯ อตฺถสญฺหิตาปิ หิ วาจา อยุตฺตกาลปฺปโยเคน อตฺถาวหา น สิยาติ อนตฺถวิญฺญาปนวาจํ อนุโลเมติ, ตสฺมา สมฺผปฺปลาปํ ปชหเนฺตน อกาลวาทิตา ปริวเชฺชตพฺพาติ วุตฺตํ ‘‘กาลวาที’’ติฯ กาเลน วทเนฺตนาปิ อุภยานตฺถสาธนโต อภูตํ ปริวเชฺชตพฺพนฺติ อาห ‘‘ภูตวาที’’ติฯ ภูตญฺจ วทเนฺตน ยํ อิธโลกปรโลกหิตสมฺปาทกํ, ตเทว วตฺตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อตฺถวาที’’ติ วุตฺตํฯ อตฺถํ วทเนฺตนาปิ น โลกิยธมฺมสนฺนิสฺสิตเมว วตฺตพฺพํ, อถ โข โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิตํ ปีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ธมฺมวาที’’ติ วุตฺตํฯ ยถา จ อโตฺถ โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิโต โหติ, ตํ ทสฺสนตฺถํ ‘‘วินยวาที’’ติ วุตฺตํฯ ปาติโมกฺขสํวโร สติสํวโร ญาณสํวโร ขนฺติสํวโร วีริยสํวโรติ หิ ปญฺจนฺนํ สํวรานํ, ตทงฺควินโย วิกฺขมฺภนวินโย สมุเจฺฉทวินโย ปฎิปฺปสฺสทฺธิวินโย นิสฺสรณวินโยติ ปญฺจนฺนํ วินยานญฺจ วเสน วุจฺจมาโน อโตฺถ นิพฺพานาธิคมเหตุภาวโต โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิโต โหตีติฯ

    ‘‘Kālavādī’’tiādi samphappalāpā paṭiviratassa paṭipattidassanaṃ. Yathā hi ‘‘pāṇātipātā paṭivirato’’tiādi pāṇātipātappahānapaṭipattidassanaṃ. ‘‘Pāṇātipātaṃ pahāya viharatī’’ti hi vutte kathaṃ pāṇātipātappahānaṃ hotīti? Apekkhāsabbhāvato ‘‘pāṇātipātā paṭivirato hotī’’ti vuttaṃ, sā pana virati kathanti āha ‘‘nihitadaṇḍo nihitasattho’’ti, tañca daṇḍasatthanidhānaṃ kathanti vuttaṃ ‘‘lajjī’’tiādi, evaṃ uttaruttaraṃ purimassa purimassa upāyasandassanaṃ, tathā adinnādānādīsu yathāsambhavaṃ yojetabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘kālavādītiādi samphappalāpā paṭiviratassa paṭipattidassana’’nti. Atthasañhitāpi hi vācā ayuttakālappayogena atthāvahā na siyāti anatthaviññāpanavācaṃ anulometi, tasmā samphappalāpaṃ pajahantena akālavāditā parivajjetabbāti vuttaṃ ‘‘kālavādī’’ti. Kālena vadantenāpi ubhayānatthasādhanato abhūtaṃ parivajjetabbanti āha ‘‘bhūtavādī’’ti. Bhūtañca vadantena yaṃ idhalokaparalokahitasampādakaṃ, tadeva vattabbanti dassetuṃ ‘‘atthavādī’’ti vuttaṃ. Atthaṃ vadantenāpi na lokiyadhammasannissitameva vattabbaṃ, atha kho lokuttaradhammasannissitaṃ pīti dassetuṃ ‘‘dhammavādī’’ti vuttaṃ. Yathā ca attho lokuttaradhammasannissito hoti, taṃ dassanatthaṃ ‘‘vinayavādī’’ti vuttaṃ. Pātimokkhasaṃvaro satisaṃvaro ñāṇasaṃvaro khantisaṃvaro vīriyasaṃvaroti hi pañcannaṃ saṃvarānaṃ, tadaṅgavinayo vikkhambhanavinayo samucchedavinayo paṭippassaddhivinayo nissaraṇavinayoti pañcannaṃ vinayānañca vasena vuccamāno attho nibbānādhigamahetubhāvato lokuttaradhammasannissito hotīti.

    เอวํ คุณวิเสสยุโตฺต จ อโตฺถ วุจฺจมาโน เทสนาโกสเลฺล สติ โสภติ, กิจฺจกโร จ โหติ, นาญฺญถาติ ทเสฺสตุํ ‘‘นิธานวติํ วาจํ ภาสิตา’’ติ วุตฺตํฯ อิทานิ ตํ เทสนาโกสลฺลํ วิภาเวตุํ ‘‘กาเลนา’’ติอาทิมาหฯ อชฺฌาสยฎฺฐุปฺปตฺตีนํ ปุจฺฉาย จ วเสน โอติเณฺณ เทสนาวิสเย เอกํสาทิพฺยากรณวิภาคํ สลฺลเกฺขตฺวา ฐปนาเหตุทาหรณสํสนฺทนานิ ตํตํกาลานุรูปํ วิภาเวนฺติยา ปริมิตปริจฺฉินฺนรูปาย วิปุลตรคมฺภีรุทารปหูตตฺถวิตฺถารสงฺคาหกาย เทสนาย ปเร ยถาชฺฌาสยํ ปรมตฺถสิทฺธิยํ ปติฎฺฐาเปโนฺต ‘‘เทสนากุสโล’’ติ วุจฺจตีติ เอวเมตฺถ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Evaṃ guṇavisesayutto ca attho vuccamāno desanākosalle sati sobhati, kiccakaro ca hoti, nāññathāti dassetuṃ ‘‘nidhānavatiṃ vācaṃ bhāsitā’’ti vuttaṃ. Idāni taṃ desanākosallaṃ vibhāvetuṃ ‘‘kālenā’’tiādimāha. Ajjhāsayaṭṭhuppattīnaṃ pucchāya ca vasena otiṇṇe desanāvisaye ekaṃsādibyākaraṇavibhāgaṃ sallakkhetvā ṭhapanāhetudāharaṇasaṃsandanāni taṃtaṃkālānurūpaṃ vibhāventiyā parimitaparicchinnarūpāya vipulataragambhīrudārapahūtatthavitthārasaṅgāhakāya desanāya pare yathājjhāsayaṃ paramatthasiddhiyaṃ patiṭṭhāpento ‘‘desanākusalo’’ti vuccatīti evamettha atthayojanā veditabbā.

    ๑๐. เอวํ ปฎิปาฎิยา สตฺต มูลสิกฺขาปทานิ วิภชิตฺวา สติปิ อภิชฺฌาทิปฺปหานสฺส สํวรสีลสิกฺขาสงฺคเห อุปริคุณสงฺคหโต, โลกิยปุถุชฺชนาวิสยโต จ อุตฺตรเทสนาย สงฺคณฺหิตุํ ตํ ปริหริตฺวา ปจุรชนปากฎํ อาจารสีลเมว วิภชโนฺต ภควา ‘‘พีชคามภูตคามสมารมฺภา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ คาโมติ สมูโหฯ นนุ จ รุกฺขาทโย จิตฺตรหิตตาย น ชีวา, จิตฺตรหิตตา จ ปริปฺผนฺทาภาวโต , ฉิเนฺน วิรุหนโต, วิสทิสชาติกภาวโต, จตุโยนิอปฺปริยาปนฺนโต จ เวทิตพฺพา, วุฑฺฒิ ปน ปวาฬสิลาลวณานมฺปิ วิชฺชตีติ น เตสํ ชีวภาเว การณํ, วิสยคฺคหณญฺจ ปริกปฺปนามตฺตํ สุปนํ วิย จิญฺจาทีนํ, ตถา โทหฬาทโย, ตตฺถ กสฺมา พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรติ อิจฺฉิตาติ? สมณสารุปฺปโต, สนฺนิสฺสิตสตฺตานุรกฺขณโต จฯ เตเนวาห ‘‘ชีวสญฺญิโน หิ โมฆปุริสา มนุสฺสา รุกฺขสฺมิ’’นฺติอาทิ (ปาจิ. ๘๙)ฯ นีลติณรุกฺขาทิกสฺสาติ อลฺลติณสฺส เจว อลฺลรุกฺขาทิกสฺส จฯ อาทิ-สเทฺทน โอสธิคจฺฉลตาทโย เวทิตพฺพาฯ

    10. Evaṃ paṭipāṭiyā satta mūlasikkhāpadāni vibhajitvā satipi abhijjhādippahānassa saṃvarasīlasikkhāsaṅgahe upariguṇasaṅgahato, lokiyaputhujjanāvisayato ca uttaradesanāya saṅgaṇhituṃ taṃ pariharitvā pacurajanapākaṭaṃ ācārasīlameva vibhajanto bhagavā ‘‘bījagāmabhūtagāmasamārambhā’’tiādimāha. Tattha gāmoti samūho. Nanu ca rukkhādayo cittarahitatāya na jīvā, cittarahitatā ca paripphandābhāvato , chinne viruhanato, visadisajātikabhāvato, catuyoniappariyāpannato ca veditabbā, vuḍḍhi pana pavāḷasilālavaṇānampi vijjatīti na tesaṃ jīvabhāve kāraṇaṃ, visayaggahaṇañca parikappanāmattaṃ supanaṃ viya ciñcādīnaṃ, tathā dohaḷādayo, tattha kasmā bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirati icchitāti? Samaṇasāruppato, sannissitasattānurakkhaṇato ca. Tenevāha ‘‘jīvasaññino hi moghapurisā manussā rukkhasmi’’ntiādi (pāci. 89). Nīlatiṇarukkhādikassāti allatiṇassa ceva allarukkhādikassa ca. Ādi-saddena osadhigacchalatādayo veditabbā.

    เอกํ ภตฺตํ เอกภตฺตํ, ตํ อสฺส อตฺถีติ เอกภตฺติโก, เอกสฺมิํ ทิวเส เอกวารเมว ภุญฺชนโกฯ ตยิทํ รตฺติโภชโนปิ สิยาติ ตนฺนิวตฺตนตฺถมาห ‘‘รตฺตูปรโต’’ติฯ เอวมฺปิ อปรณฺหโภชีปิ สิยา เอกภตฺติโกติ ตทาสงฺกานิวตฺตนตฺถํ ‘‘วิรโต วิกาลโภชนา’’ติ วุตฺตํฯ อรุณุคฺคมนโต ปฎฺฐาย ยาว มชฺฌนฺหิกา, อยํ พุทฺธานํ อาจิณฺณสมาจิโณฺณ โภชนสฺส กาโล นาม, ตทโญฺญ วิกาโลฯ อฎฺฐกถายํ ปน ทุติยปเทน รตฺติโภชนสฺส ปฎิกฺขิตฺตตฺตา อปรโณฺห ‘‘วิกาโล’’ติ วุโตฺตฯ

    Ekaṃ bhattaṃ ekabhattaṃ, taṃ assa atthīti ekabhattiko, ekasmiṃ divase ekavārameva bhuñjanako. Tayidaṃ rattibhojanopi siyāti tannivattanatthamāha ‘‘rattūparato’’ti. Evampi aparaṇhabhojīpi siyā ekabhattikoti tadāsaṅkānivattanatthaṃ ‘‘virato vikālabhojanā’’ti vuttaṃ. Aruṇuggamanato paṭṭhāya yāva majjhanhikā, ayaṃ buddhānaṃ āciṇṇasamāciṇṇo bhojanassa kālo nāma, tadañño vikālo. Aṭṭhakathāyaṃ pana dutiyapadena rattibhojanassa paṭikkhittattā aparaṇho ‘‘vikālo’’ti vutto.

    สเงฺขปโต ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติอาทิ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๓; เนตฺติ. ๓๐, ๕๐, ๑๑๖, ๑๒๔) นยปฺปวตฺตํ ภควโต สาสนํ อจฺจนฺตฉนฺทราคปฺปวตฺติโต นจฺจาทีนํ ทสฺสนํ น อนุโลเมตีติ อาห ‘‘สาสนสฺส อนนุโลมตฺตา’’ติฯ อตฺตนา ปโยชิยมานํ, ปเรหิ ปโยชาปิยมานญฺจ นจฺจํ นจฺจภาวสามญฺญโต ปาฬิยํ เอเกเนว นจฺจ-สเทฺทน คหิตํ, ตถา คีตวาทิต-สเทฺทน จาติ อาห ‘‘นจฺจนนจฺจาปนาทิวเสนา’’ติฯ อาทิ-สเทฺทน คายนคายาปนวาทนวาทาปนานิ สงฺคณฺหาติฯ ทสฺสเนน เจตฺถ สวนมฺปิ สงฺคหิตํ วิรูเปกเสสนเยนฯ อาโลจนสภาวตาย วา ปญฺจนฺนํ วิญฺญาณานํ สวนกิริยายปิ ทสฺสนสเงฺขปสพฺภาวโต ‘‘ทสฺสนา’’ อิเจฺจว วุตฺตํฯ อวิสูกภูตสฺส คีตสฺส สวนํ กทาจิ วฎฺฎตีติ อาห ‘‘วิสูกภูตา ทสฺสนา’’ติฯ ตถา หิ วุตฺตํ ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทกปาฐฎฺฐกถาย (ขุ. ปา. อฎฺฐ. ปจฺฉิมปญฺจสิกฺขาปทวณฺณนา) ‘‘ธมฺมูปสํหิตมฺปิ เจตฺถ คีตํ วฎฺฎติ, คีตูปสํหิโต ธโมฺม น วฎฺฎตี’’ติฯ

    Saṅkhepato ‘‘sabbapāpassa akaraṇa’’ntiādi (dī. ni. 2.90; dha. pa. 183; netti. 30, 50, 116, 124) nayappavattaṃ bhagavato sāsanaṃ accantachandarāgappavattito naccādīnaṃ dassanaṃ na anulometīti āha ‘‘sāsanassa ananulomattā’’ti. Attanā payojiyamānaṃ, parehi payojāpiyamānañca naccaṃ naccabhāvasāmaññato pāḷiyaṃ ekeneva nacca-saddena gahitaṃ, tathā gītavādita-saddena cāti āha ‘‘naccananaccāpanādivasenā’’ti. Ādi-saddena gāyanagāyāpanavādanavādāpanāni saṅgaṇhāti. Dassanena cettha savanampi saṅgahitaṃ virūpekasesanayena. Ālocanasabhāvatāya vā pañcannaṃ viññāṇānaṃ savanakiriyāyapi dassanasaṅkhepasabbhāvato ‘‘dassanā’’ icceva vuttaṃ. Avisūkabhūtassa gītassa savanaṃ kadāci vaṭṭatīti āha ‘‘visūkabhūtā dassanā’’ti. Tathā hi vuttaṃ paramatthajotikāya khuddakapāṭhaṭṭhakathāya (khu. pā. aṭṭha. pacchimapañcasikkhāpadavaṇṇanā) ‘‘dhammūpasaṃhitampi cettha gītaṃ vaṭṭati, gītūpasaṃhito dhammo na vaṭṭatī’’ti.

    อุจฺจาติ อุจฺจสเทฺทน สมานตฺถํ เอกํ สทฺทนฺตรํ, เสติ เอตฺถาติ สยนํฯ อุจฺจาสยนํ มหาสยนญฺจ สมณสารุปฺปรหิตํ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘ปมาณาติกฺกนฺตํ, อกปฺปิยตฺถรณ’’นฺติ ฯ อาสนฺทาทิอาสนเญฺจตฺถ สยเนน สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยสฺมา ปน อาธาเร ปฎิกฺขิเตฺต ตทาธารกิริยา ปฎิกฺขิตฺตาว โหติ, ตสฺมา ‘‘อุจฺจาสยนมหาสยนา’’ อิเจฺจว วุตฺตํ, อตฺถโต ปน ตทุปโภคภูต นิสชฺชานิปชฺชเนหิ วิรติ ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ อุจฺจาสยนสยนมหาสยนสยนาติ วา เอตสฺมิํ อเตฺถ เอกเสสนเยน อยํ นิเทฺทโส กโต ยถา ‘‘นามรูปปจฺจยา สฬายตน’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๑๒๖; สํ. นิ. ๒.๑; อุทา. ๑)ฯ อาสนกิริยาปุพฺพกตฺตา สยนกิริยาย สยนคฺคหเณเนว อาสนํ คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Uccāti uccasaddena samānatthaṃ ekaṃ saddantaraṃ, seti etthāti sayanaṃ. Uccāsayanaṃ mahāsayanañca samaṇasārupparahitaṃ adhippetanti āha ‘‘pamāṇātikkantaṃ, akappiyattharaṇa’’nti . Āsandādiāsanañcettha sayanena saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ. Yasmā pana ādhāre paṭikkhitte tadādhārakiriyā paṭikkhittāva hoti, tasmā ‘‘uccāsayanamahāsayanā’’ icceva vuttaṃ, atthato pana tadupabhogabhūta nisajjānipajjanehi virati dassitāti daṭṭhabbā. Uccāsayanasayanamahāsayanasayanāti vā etasmiṃ atthe ekasesanayena ayaṃ niddeso kato yathā ‘‘nāmarūpapaccayā saḷāyatana’’nti (ma. ni. 3.126; saṃ. ni. 2.1; udā. 1). Āsanakiriyāpubbakattā sayanakiriyāya sayanaggahaṇeneva āsanaṃ gahitanti veditabbaṃ.

    อเญฺญหิ คาหาปเน อุปนิกฺขิตฺตสาทิยเน จ ปฎิคฺคหณโตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘น อุคฺคณฺหาเปติ, น อุปนิกฺขิตฺตํ สาทียตี’’ติฯ อถ วา ติวิธํ ปฎิคฺคหณํ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตตฺถ กาเยน ปฎิคฺคหณํ อุคฺคณฺหนํ, วาจาย ปฎิคฺคหณํ อุคฺคหาปนํ, มนสา ปฎิคฺคหณํ สาทิยนนฺติ ติวิธมฺปิ ปฎิคฺคหณํ สามญฺญนิเทฺทเสน, เอกเสสนเยน วา คเหตฺวา ‘‘ปฎิคฺคหณา’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘เนว นํ อุคฺคณฺหาตี’’ติอาทิฯ เอส นโย ‘‘อามกธญฺญปฎิคฺคหณา’’ติอาทีสุปิฯ นีวาราทิอุปธญฺญสฺส สาลิยาทิมูลธญฺญโนฺตคธตฺตา วุตฺตํ ‘‘สตฺตวิธสฺสา’’ติฯ ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว ปญฺจ วสานิ เภสชฺชานิ อจฺฉวสํ มจฺฉวสํ สุสุกาวสํ สูกรวสํ คทฺรภวส’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒) วุตฺตตฺตา อิทํ โอทิสฺส อนุญฺญาตํ นาม, ตสฺส ปน ‘‘กาเล ปฎิคฺคหิต’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒) วุตฺตตฺตา ปฎิคฺคหณํ วฎฺฎตีติ อาห ‘‘อญฺญตฺร โอทิสฺส อนุญฺญาตา’’ติฯ

    Aññehi gāhāpane upanikkhittasādiyane ca paṭiggahaṇattho labbhatīti āha ‘‘na uggaṇhāpeti, na upanikkhittaṃ sādīyatī’’ti. Atha vā tividhaṃ paṭiggahaṇaṃ kāyena vācāya manasā. Tattha kāyena paṭiggahaṇaṃ uggaṇhanaṃ, vācāya paṭiggahaṇaṃ uggahāpanaṃ, manasā paṭiggahaṇaṃ sādiyananti tividhampi paṭiggahaṇaṃ sāmaññaniddesena, ekasesanayena vā gahetvā ‘‘paṭiggahaṇā’’ti vuttanti āha ‘‘neva naṃ uggaṇhātī’’tiādi. Esa nayo ‘‘āmakadhaññapaṭiggahaṇā’’tiādīsupi. Nīvārādiupadhaññassa sāliyādimūladhaññantogadhattā vuttaṃ ‘‘sattavidhassā’’ti. ‘‘Anujānāmi bhikkhave pañca vasāni bhesajjāni acchavasaṃ macchavasaṃ susukāvasaṃ sūkaravasaṃ gadrabhavasa’’nti (mahāva. 262) vuttattā idaṃ odissa anuññātaṃ nāma, tassa pana ‘‘kāle paṭiggahita’’nti (mahāva. 262) vuttattā paṭiggahaṇaṃ vaṭṭatīti āha ‘‘aññatra odissa anuññātā’’ti.

    อกฺกมตีติ นิปฺปีเฬติฯ ปุพฺพภาเค อกฺกมตีติ สมฺพโนฺธฯ หทยนฺติ นาฬิอาทิมานภาชนานํ อพฺภนฺตรํฯ ติลาทีนํ นาฬิอาทีหิ มินนกาเล อุสฺสาปิตสิขาเยว สิขา, ตสฺสา เภโท หาปนํฯ เกจีติ สารสมาสาจริยา, อุตฺตรวิหารวาสิโน จฯ

    Akkamatīti nippīḷeti. Pubbabhāge akkamatīti sambandho. Hadayanti nāḷiādimānabhājanānaṃ abbhantaraṃ. Tilādīnaṃ nāḷiādīhi minanakāle ussāpitasikhāyeva sikhā, tassā bhedo hāpanaṃ. Kecīti sārasamāsācariyā, uttaravihāravāsino ca.

    วโธติ มุฎฺฐิปฺปหารกสาตาฬนาทีหิ หิํสนํ, วิเหฐนนฺติ อโตฺถฯ วิเหฐนโตฺถปิ หิ วธสโทฺท ทิสฺสติ ‘‘อตฺตานํ วธิตฺวา วธิตฺวา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๘๘๐)ฯ ยถา หิ อปฺปฎิคฺคหภาวสามเญฺญ สติปิ ปพฺพชิเตหิ อปฺปฎิคฺคหิตพฺพวตฺถุวิเสสภาวสนฺทสฺสนตฺถํ อิตฺถิกุมาริทาสิทาสาทโย วิภาเคน วุตฺตา , เอวํ ปรสฺสหรณภาวโต อทินฺนาทานภาวสามเญฺญ สติปิ ตุลากูฎาทโย อทินฺนาทานวิเสสภาวทสฺสนตฺถํ วิภาเคน วุตฺตา, น เอวํ ปาณาติปาตปริยายสฺส วธสฺส ปุนคฺคหเณ ปโยชนํ อตฺถิฯ ‘‘ตตฺถ สยงฺกาโร, อิธ ปรํกาโร’’ติ จ น สกฺกา วตฺตุํ ‘‘กายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา ฉปฺปโยคา’’ติ จ วุตฺตตฺตาฯ ตสฺมา ยถาวุโตฺตเยว อโตฺถ สุนฺทรตโรฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘วโธติ มารณ’’นฺติ วุตฺตํ, ตมฺปิ โปถนเมว สนฺธายาติ จ สกฺกา วิญฺญาตุํ มารณ-สทฺทสฺส วิหิํสเนปิ ทิสฺสนโตฯ

    Vadhoti muṭṭhippahārakasātāḷanādīhi hiṃsanaṃ, viheṭhananti attho. Viheṭhanatthopi hi vadhasaddo dissati ‘‘attānaṃ vadhitvā vadhitvā’’tiādīsu (pāci. 880). Yathā hi appaṭiggahabhāvasāmaññe satipi pabbajitehi appaṭiggahitabbavatthuvisesabhāvasandassanatthaṃ itthikumāridāsidāsādayo vibhāgena vuttā , evaṃ parassaharaṇabhāvato adinnādānabhāvasāmaññe satipi tulākūṭādayo adinnādānavisesabhāvadassanatthaṃ vibhāgena vuttā, na evaṃ pāṇātipātapariyāyassa vadhassa punaggahaṇe payojanaṃ atthi. ‘‘Tattha sayaṅkāro, idha paraṃkāro’’ti ca na sakkā vattuṃ ‘‘kāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā cetanā chappayogā’’ti ca vuttattā. Tasmā yathāvuttoyeva attho sundarataro. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘vadhoti māraṇa’’nti vuttaṃ, tampi pothanameva sandhāyāti ca sakkā viññātuṃ māraṇa-saddassa vihiṃsanepi dissanato.

    เอตฺตาวตาติ ‘‘ปาณาติปาตํ ปหายา’’ติอาทินา ‘‘เฉทน…เป.… สหสาการา ปฎิวิรโต’’ติ เอตปริมาเณน ปาเฐนฯ อนฺตราเภทํ อคฺคเหตฺวา ปาฬิยํ อาคตนเยน ฉพฺพีสติสิกฺขาปทสงฺคหํ เยภุเยฺยน สิกฺขาปทานํ อวิภตฺตตฺตา จูฬสีลํ นามฯ เทสนาวเสน หิ อิธ จูฬมชฺฌิมาทิภาโว อธิเปฺปโต, น ธมฺมวเสนฯ ตถา หิ อิธ สงฺขิเตฺตน อุทฺทิฎฺฐานํ สิกฺขาปทานํ อวิภตฺตานํ วิภชนวเสน มชฺฌิมสีลเทสนา ปวตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘มชฺฌิมสีลํ วิตฺถาเรโนฺต’’ติฯ

    Ettāvatāti ‘‘pāṇātipātaṃ pahāyā’’tiādinā ‘‘chedana…pe… sahasākārā paṭivirato’’ti etaparimāṇena pāṭhena. Antarābhedaṃ aggahetvā pāḷiyaṃ āgatanayena chabbīsatisikkhāpadasaṅgahaṃ yebhuyyena sikkhāpadānaṃ avibhattattā cūḷasīlaṃ nāma. Desanāvasena hi idha cūḷamajjhimādibhāvo adhippeto, na dhammavasena. Tathā hi idha saṅkhittena uddiṭṭhānaṃ sikkhāpadānaṃ avibhattānaṃ vibhajanavasena majjhimasīladesanā pavattā. Tenevāha ‘‘majjhimasīlaṃ vitthārento’’ti.

    จูฬสีลวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cūḷasīlavaṇṇanā niṭṭhitā.

    มชฺฌิมสีลวณฺณนา

    Majjhimasīlavaṇṇanā

    ๑๑. ตตฺถ ยถาติ โอปมฺมเตฺถ นิปาโตฯ วาติ วิกปฺปนเตฺถฯ ปนาติ วจนาลงฺกาเรฯ เอเกติ อเญฺญฯ โภโนฺตติ สาธูนํ ปิยสมุทาหาโรฯ สาธโว หิ ปเร ‘‘โภโนฺต’’ติ วา, ‘‘เทวานํ ปิยา’’ติ วา ‘‘อายสฺมโนฺต’’ติ วา สมาลปนฺติฯ ยํ กิญฺจิ ปพฺพชฺชํ อุปคตา สมณาฯ ชาติมเตฺตน พฺราหฺมณาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อุสฺสาหํ กตฺวา มม วณฺณํ วทมาโนปิ ปุถุชฺชโน ‘‘ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต’’ติอาทินา ปรานุเทฺทสิกนเยน วา ยถา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณภาวํ ปฎิชานมานา, ปเรหิ จ ตถาสมฺภาวิยมานา ตทนุรูปปฎิปตฺติํ อชานนโต, อสมตฺถโต จ น อภิสมฺภุณนฺติ, น เอวมยํ, อยํ ปน สมโณ โคตโม สพฺพถาปิ สมณสารุปฺปปฎิปทํ ปูเรสิเยวาติ เอวํ อญฺญุเทฺทสิกนเยน วา สพฺพถาปิ อาจารสีลมตฺตเมว วเทยฺยุํ, น ตทุตฺตรินฺติฯ

    11. Tattha yathāti opammatthe nipāto. ti vikappanatthe. Panāti vacanālaṅkāre. Eketi aññe. Bhontoti sādhūnaṃ piyasamudāhāro. Sādhavo hi pare ‘‘bhonto’’ti vā, ‘‘devānaṃ piyā’’ti vā ‘‘āyasmanto’’ti vā samālapanti. Yaṃ kiñci pabbajjaṃ upagatā samaṇā. Jātimattena brāhmaṇā. Idaṃ vuttaṃ hoti – ussāhaṃ katvā mama vaṇṇaṃ vadamānopi puthujjano ‘‘pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato’’tiādinā parānuddesikanayena vā yathā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇabhāvaṃ paṭijānamānā, parehi ca tathāsambhāviyamānā tadanurūpapaṭipattiṃ ajānanato, asamatthato ca na abhisambhuṇanti, na evamayaṃ, ayaṃ pana samaṇo gotamo sabbathāpi samaṇasāruppapaṭipadaṃ pūresiyevāti evaṃ aññuddesikanayena vā sabbathāpi ācārasīlamattameva vadeyyuṃ, na taduttarinti.

    พีชคามภูตคามสมารมฺภปเท สทฺทกฺกเมน อปฺปธานภูโตปิ พีชคามภูตคาโม นิทฺทิสิตพฺพตาย ปธานภาวํ ปฎิลภติฯ อโญฺญ หิ สทฺทกฺกโม อโญฺญ อตฺถกฺกโมติ อาห ‘‘กตโม โส พีชคามภูตคาโม’’ติฯ ตสฺมิญฺหิ วิภเตฺต ตพฺพิสยตาย สมารโมฺภปิ วิภโตฺตว โหตีติ ฯ เตเนวาห ภควา ‘‘มูลพีช’’นฺติอาทิฯ มูลเมว พีชํ มูลพีชํ, มูลํ พีชํ เอตสฺสาติปิ มูลพีชํฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ผฬุพีชนฺติ ปพฺพพีชํฯ ปจฺจยนฺตรสมวาเย สทิสผลุปฺปตฺติยา วิเสสการณภาวโต วิรุหณสมเตฺถ สารผเล นิรุโฬฺห พีช-สโทฺท ตทตฺถสํสิทฺธิยา มูลาทีสุปิ เกสุจิ ปวตฺตตีติ มูลาทิโต นิวตฺตนตฺถํ เอเกน พีช-สเทฺทน วิเสเสตฺวา วุตฺตํ ‘‘พีชพีช’’นฺติฯ ‘‘รูปรูปํ , ทุกฺขทุกฺข’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๒๗) จ ยถาฯ กสฺมา ปเนตฺถ พีชคามภูตคามํ ปุจฺฉิตฺวา พีชคาโม เอว วิภโตฺตติ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ นนุ อโวจุมฺห ‘‘มูลเมว พีชํ มูลพีชํ, มูลํ พีชํ เอตสฺสาติปิ มูลพีชนฺติ’’ฯ ตตฺถ ปุริเมน พีชคาโม นิทฺทิโฎฺฐ, ทุติเยน ภูตคาโม, ทุวิโธเปส สามญฺญนิเทฺทเสน, มูลพีชญฺจ มูลพีชญฺจ มูลพีชนฺติ เอกเสสนเยน วา ปาฬิยํ นิทฺทิโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ เตเนวาห ‘‘สพฺพเญฺหต’’นฺติอาทิฯ

    Bījagāmabhūtagāmasamārambhapade saddakkamena appadhānabhūtopi bījagāmabhūtagāmo niddisitabbatāya padhānabhāvaṃ paṭilabhati. Añño hi saddakkamo añño atthakkamoti āha ‘‘katamo so bījagāmabhūtagāmo’’ti. Tasmiñhi vibhatte tabbisayatāya samārambhopi vibhattova hotīti . Tenevāha bhagavā ‘‘mūlabīja’’ntiādi. Mūlameva bījaṃ mūlabījaṃ, mūlaṃ bījaṃ etassātipi mūlabījaṃ. Sesesupi eseva nayo. Phaḷubījanti pabbabījaṃ. Paccayantarasamavāye sadisaphaluppattiyā visesakāraṇabhāvato viruhaṇasamatthe sāraphale niruḷho bīja-saddo tadatthasaṃsiddhiyā mūlādīsupi kesuci pavattatīti mūlādito nivattanatthaṃ ekena bīja-saddena visesetvā vuttaṃ ‘‘bījabīja’’nti. ‘‘Rūparūpaṃ , dukkhadukkha’’nti (saṃ. ni. 4.327) ca yathā. Kasmā panettha bījagāmabhūtagāmaṃ pucchitvā bījagāmo eva vibhattoti? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ. Nanu avocumha ‘‘mūlameva bījaṃ mūlabījaṃ, mūlaṃ bījaṃ etassātipi mūlabījanti’’. Tattha purimena bījagāmo niddiṭṭho, dutiyena bhūtagāmo, duvidhopesa sāmaññaniddesena, mūlabījañca mūlabījañca mūlabījanti ekasesanayena vā pāḷiyaṃ niddiṭṭhoti veditabbo. Tenevāha ‘‘sabbañheta’’ntiādi.

    ๑๒. ‘‘สนฺนิธิกตสฺสา’’ติ เอเตน ‘‘สนฺนิธิการปริโภค’’นฺติ เอตฺถ การ-สทฺทสฺส กมฺมตฺถตํ ทเสฺสติฯ ยถา วา ‘‘อาจยํคมิโน’’ติ วตฺตเพฺพ อนุนาสิกโลเปน ‘‘อาจยคามิโน’’ติ (ธ. ส. ๑๐) นิเทฺทโส กโต, เอวํ ‘‘สนฺนิธิการํ ปริโภค’’นฺติ วตฺตเพฺพ อนุนาสิกโลเปน ‘‘สนฺนิธิการปริโภค’’นฺติ วุตฺตํ, สนฺนิธิํ กตฺวา ปริโภคนฺติ อโตฺถฯ

    12.‘‘Sannidhikatassā’’ti etena ‘‘sannidhikāraparibhoga’’nti ettha kāra-saddassa kammatthataṃ dasseti. Yathā vā ‘‘ācayaṃgamino’’ti vattabbe anunāsikalopena ‘‘ācayagāmino’’ti (dha. sa. 10) niddeso kato, evaṃ ‘‘sannidhikāraṃ paribhoga’’nti vattabbe anunāsikalopena ‘‘sannidhikāraparibhoga’’nti vuttaṃ, sannidhiṃ katvā paribhoganti attho.

    สมฺมา กิเลเส ลิขตีติ สเลฺลโข, สุตฺตนฺตนเยน ปฎิปตฺติฯ ปริยายติ กปฺปียตีติ ปริยาโย, กปฺปิยวาจานุสาเรน ปฎิปตฺติฯ กิเลเสหิ อามสิตพฺพโต อามิสํ, ยํ กิญฺจิ อุปโภคารหํ วตฺถุฯ เตเนวาห ‘‘อามิสนฺติ วุตฺตาวเสส’’นฺติฯ นยทสฺสนเญฺหตํ สนฺนิธิวตฺถูนํฯ อุทกกทฺทเมติ อุทเก จ กทฺทเม จฯ อจฺฉถาติ นิสีทถฯ คีวายามกนฺติ คีวํ อายมิตฺวา, ยถา จ ภุเตฺต อติภุตฺตตาย คีวา อายมิตพฺพาว โหติ, เอวนฺติ อโตฺถฯ จตุภาคมตฺตนฺติ กุฑุพมตฺตํฯ ‘‘กปฺปิยกุฎิย’’นฺติอาทิ วินยวเสน วุตฺตํฯ

    Sammā kilese likhatīti sallekho, suttantanayena paṭipatti. Pariyāyati kappīyatīti pariyāyo, kappiyavācānusārena paṭipatti. Kilesehi āmasitabbato āmisaṃ, yaṃ kiñci upabhogārahaṃ vatthu. Tenevāha ‘‘āmisanti vuttāvasesa’’nti. Nayadassanañhetaṃ sannidhivatthūnaṃ. Udakakaddameti udake ca kaddame ca. Acchathāti nisīdatha. Gīvāyāmakanti gīvaṃ āyamitvā, yathā ca bhutte atibhuttatāya gīvā āyamitabbāva hoti, evanti attho. Catubhāgamattanti kuḍubamattaṃ. ‘‘Kappiyakuṭiya’’ntiādi vinayavasena vuttaṃ.

    ๑๓. เอตฺตกมฺปีติ วินิจฺฉยวิจารณาวตฺถุกิตฺตนมฺปิ ฯ ปโยชนมตฺตเมวาติ ปทตฺถโยชนมตฺตเมวฯ ยสฺส ปน ปทสฺส วิตฺถารกถํ วินา น สกฺกา อโตฺถ วิญฺญาตุํ, ตตฺถ วิตฺถารกถาปิ ปทตฺถสงฺคหเมว คจฺฉติฯ กุตูหลวเสน เปกฺขิตพฺพโต เปกฺขา, นฎสตฺถวิธินา นฎานญฺจ ปโยโคฯ นฎสมูเหน ปน ชนสมูเห กรณวเสน ‘‘นฎสมชฺช’’นฺติ วุตฺตํ, สารสมาเส ‘‘เปกฺขา มห’’นฺติ วุตฺตํฯ ฆนตาฬํ นาม ทณฺฑมยตาฬํ, สิลาสลากตาฬํ วาฯ เอเกติ สารสมาสาจริยา, อุตฺตรวิหารวาสิโน จฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อิโต ปเรสุปิ ‘‘เอเก’’ติ อาคตฎฺฐาเนสุฯ จตุรสฺสอมฺพณกตาฬํ นาม รุกฺขสารทณฺฑาทีสุ เยน เกนจิ จตุรสฺสอมฺพณกํ กตฺวา จตูสุ ปเสฺสสุ จเมฺมน โอนนฺธิตฺวา กตวาทิตํฯ อโพฺภกฺกิรณํ รงฺคพลีกรณํ, ยา ‘‘นนฺที’’ติ วุจฺจติฯ โสภนกรนฺติ โสภนกรณํ, ‘‘โสภนฆรก’’นฺติ สารสมาเส วุตฺตํฯ จณฺฑาลานมิทนฺติ จณฺฑาลํฯ สาเณ อุทเกน เตเมตฺวา อญฺญมญฺญํ อาโกฎนกีฬา สาณโธวนํฯ อินฺทชาเลนาติ อฎฺฐิโธวนมนฺตํ ปริชปฺปิตฺวา ยถา ปเร อฎฺฐีนิเยว ปสฺสนฺติ, เอวํ ตจาทีนํ อนฺตรธาปนมายายฯ สกฎพฺยูหาทีติ อาทิ-สเทฺทน จกฺกปทุมกฬีรพฺยูหาทิํ สงฺคณฺหาติฯ

    13.Ettakampīti vinicchayavicāraṇāvatthukittanampi . Payojanamattamevāti padatthayojanamattameva. Yassa pana padassa vitthārakathaṃ vinā na sakkā attho viññātuṃ, tattha vitthārakathāpi padatthasaṅgahameva gacchati. Kutūhalavasena pekkhitabbato pekkhā, naṭasatthavidhinā naṭānañca payogo. Naṭasamūhena pana janasamūhe karaṇavasena ‘‘naṭasamajja’’nti vuttaṃ, sārasamāse ‘‘pekkhā maha’’nti vuttaṃ. Ghanatāḷaṃ nāma daṇḍamayatāḷaṃ, silāsalākatāḷaṃ vā. Eketi sārasamāsācariyā, uttaravihāravāsino ca. Yathā cettha, evaṃ ito paresupi ‘‘eke’’ti āgataṭṭhānesu. Caturassaambaṇakatāḷaṃ nāma rukkhasāradaṇḍādīsu yena kenaci caturassaambaṇakaṃ katvā catūsu passesu cammena onandhitvā katavāditaṃ. Abbhokkiraṇaṃ raṅgabalīkaraṇaṃ, yā ‘‘nandī’’ti vuccati. Sobhanakaranti sobhanakaraṇaṃ, ‘‘sobhanagharaka’’nti sārasamāse vuttaṃ. Caṇḍālānamidanti caṇḍālaṃ. Sāṇe udakena temetvā aññamaññaṃ ākoṭanakīḷā sāṇadhovanaṃ. Indajālenāti aṭṭhidhovanamantaṃ parijappitvā yathā pare aṭṭhīniyeva passanti, evaṃ tacādīnaṃ antaradhāpanamāyāya. Sakaṭabyūhādīti ādi-saddena cakkapadumakaḷīrabyūhādiṃ saṅgaṇhāti.

    ๑๔. ปทานีติ สารีนํ ปติฎฺฐานฎฺฐานานิฯ ทสปทํ นาม ทฺวีหิ ปนฺตีหิ วีสติยา ปเทหิ กีฬนชูตํฯ ปาสกํ วุจฺจติ ฉสุ ปเสฺสสุ เอเกกํ ยาว ฉกฺกํ ทเสฺสตฺวา กตกีฬนกํ, ตํ วเฑฺฒตฺวา ยถาลทฺธํ เอกกาทิวเสน สาริโย อปเนนฺตา อุปเนนฺตา จ กีฬนฺติฯ ฆเฎน กีฬา ฆฎิกาติ เอเกฯ พหูสุ สลากาสุ วิเสสรหิตํ เอกํ สลากํ คเหตฺวา ตาสุ ปกฺขิปิตฺวา ปุน ตเสฺสว อุทฺธรณํ สลากหตฺถนฺติ เอเกฯ ปเณฺณน วํสากาเรน กตา นาฬิกาฯ เตเนวาห ‘‘ตํ ธมนฺตา’’ติฯ ‘‘ปุจฺฉนฺตสฺส มุขาคตํ อกฺขรํ คเหตฺวา นฎฺฐมุตฺติ ลาภาลาภาทิชานนกีฬา อกฺขริกา’’ติปิ วทนฺติฯ ‘‘วาทิตานุรูปํ นจฺจนํ คายนํ วา ยถาวชฺชํ’’ ติปิ วทนฺติฯ ‘‘เอวํ กเต ชโย ภวิสฺสติ, อญฺญถา ปราชโย’’ติ ชยปราชเย ปุรกฺขตฺวา ปโยคกรณวเสน ปริหารปถาทีนมฺปิ ชูตปมาทฎฺฐานภาโว เวทิตโพฺพฯ ปงฺคจีราทีหิปิ วํสาทีหิ กาตพฺพกิจฺจสิทฺธิอสิทฺธิชยปราชยาวโห ปโยโค วุโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘ยถาวชฺช’’นฺติ จ กาณาทีหิ สทิสตาการทสฺสเนหิ ชยปราชยวเสน ชูตกีฬิตภาเวน วุตฺตํฯ

    14.Padānīti sārīnaṃ patiṭṭhānaṭṭhānāni. Dasapadaṃ nāma dvīhi pantīhi vīsatiyā padehi kīḷanajūtaṃ. Pāsakaṃ vuccati chasu passesu ekekaṃ yāva chakkaṃ dassetvā katakīḷanakaṃ, taṃ vaḍḍhetvā yathāladdhaṃ ekakādivasena sāriyo apanentā upanentā ca kīḷanti. Ghaṭena kīḷā ghaṭikāti eke. Bahūsu salākāsu visesarahitaṃ ekaṃ salākaṃ gahetvā tāsu pakkhipitvā puna tasseva uddharaṇaṃ salākahatthanti eke. Paṇṇena vaṃsākārena katā nāḷikā. Tenevāha ‘‘taṃ dhamantā’’ti. ‘‘Pucchantassa mukhāgataṃ akkharaṃ gahetvā naṭṭhamutti lābhālābhādijānanakīḷā akkharikā’’tipi vadanti. ‘‘Vāditānurūpaṃ naccanaṃ gāyanaṃ vā yathāvajjaṃ’’ tipi vadanti. ‘‘Evaṃ kate jayo bhavissati, aññathā parājayo’’ti jayaparājaye purakkhatvā payogakaraṇavasena parihārapathādīnampi jūtapamādaṭṭhānabhāvo veditabbo. Paṅgacīrādīhipi vaṃsādīhi kātabbakiccasiddhiasiddhijayaparājayāvaho payogo vuttoti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Yathāvajja’’nti ca kāṇādīhi sadisatākāradassanehi jayaparājayavasena jūtakīḷitabhāvena vuttaṃ.

    ๑๕. วาฬรูปานีติ อาหริมานิ วาฬรูปานิฯ ‘‘อกปฺปิยมโญฺจว ปลฺลโงฺก’’ติ สารสมาเสฯ วานวิจิตฺตนฺติ ภิตฺติจฺฉทาทิวเสน วาเนน วิจิตฺรํฯ รุกฺขตูลลตาตูลโปฎกีตูลานํ วเสน ติณฺณํ ตูลานํฯ อุทฺทโลมิยํ เกจีติ สารสมาสาจริยา, อุตฺตรวิหารวาสิโน จฯ ตถา เอกนฺตโลมิยํฯ โกเสยฺยกฎฺฎิสฺสมยนฺติ โกเสยฺยกสฺสฎมยํฯ สุทฺธโกเสยฺยนฺติ รตนปริสิพฺพนรหิตํฯ ‘‘ฐเปตฺวา ตูลิก’’นฺติ เอเตน รตนปริสิพฺพนรหิตาปิ ตูลิกา น วฎฺฎตีติ ทีเปติฯ ‘‘รตนปริสิพฺพิตานี’’ติ อิมินา ยานิ รตนปริสิพฺพิตานิ, ตานิ ภูมตฺถรณวเสน, ยถานุรูปํ มญฺจปีฐาทีสุ จ อุปเนตุํ วฎฺฎตีติ ทีปิตํ โหติฯ อชินจเมฺมหีติ อชินมิคจเมฺมหิฯ ตานิ กิร จมฺมานิ สุขุมานิ, ตสฺมา ทุปฎฺฎติปฎฺฎานิ กตฺวา สิพฺพนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อชินปฺปเวณี’’ติฯ วุตฺตนเยนาติ วินเย วุตฺตนเยนฯ

    15.Vāḷarūpānīti āharimāni vāḷarūpāni. ‘‘Akappiyamañcova pallaṅko’’ti sārasamāse. Vānavicittanti bhitticchadādivasena vānena vicitraṃ. Rukkhatūlalatātūlapoṭakītūlānaṃ vasena tiṇṇaṃ tūlānaṃ. Uddalomiyaṃ kecīti sārasamāsācariyā, uttaravihāravāsino ca. Tathā ekantalomiyaṃ. Koseyyakaṭṭissamayanti koseyyakassaṭamayaṃ. Suddhakoseyyanti ratanaparisibbanarahitaṃ. ‘‘Ṭhapetvā tūlika’’nti etena ratanaparisibbanarahitāpi tūlikā na vaṭṭatīti dīpeti. ‘‘Ratanaparisibbitānī’’ti iminā yāni ratanaparisibbitāni, tāni bhūmattharaṇavasena, yathānurūpaṃ mañcapīṭhādīsu ca upanetuṃ vaṭṭatīti dīpitaṃ hoti. Ajinacammehīti ajinamigacammehi. Tāni kira cammāni sukhumāni, tasmā dupaṭṭatipaṭṭāni katvā sibbanti. Tena vuttaṃ ‘‘ajinappaveṇī’’ti. Vuttanayenāti vinaye vuttanayena.

    ๑๖. อลงฺการญฺชนเมว น เภสชฺชํ มณฺฑนานุโยคสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ มาลา-สโทฺท สาสเน สุทฺธปุเปฺผสุปิ นิรุโฬฺหติ อาห ‘‘พทฺธมาลา วา’’ติฯ มตฺติกกกฺกนฺติ โอสเธหิ อภิสงฺขตํ โยคมตฺติกกกฺกํฯ จลิเตติ กุปิเตฯ โลหิเต สนฺนิสิเนฺนติ ทุฎฺฐโลหิเต ขีเณฯ

    16.Alaṅkārañjanameva na bhesajjaṃ maṇḍanānuyogassa adhippetattā. Mālā-saddo sāsane suddhapupphesupi niruḷhoti āha ‘‘baddhamālā vā’’ti. Mattikakakkanti osadhehi abhisaṅkhataṃ yogamattikakakkaṃ. Caliteti kupite. Lohite sannisinneti duṭṭhalohite khīṇe.

    ๑๗. ทุคฺคติโต สํสารโต จ นิยฺยาติ เอเตนาติ นิยฺยานํ, สคฺคมโคฺค โมกฺขมโคฺค จฯ ตํ นิยฺยานํ อรหติ, นิยฺยาเน วา นิยุตฺตา, นิยฺยานํ วา ผลภูตํ เอติสฺสา อตฺถีติ นิยฺยานิกา, วจีทุจฺจริตสํกิเลสโต นิยฺยาตีติ วา อี-การสฺส รสฺสตฺตํ, ย-การสฺส จ ก-การํ กตฺวา นิยฺยานิกา, เจตนาย สทฺธิํ สมฺผปฺปลาปา เวรมณิฯ ตปฺปฎิปกฺขโต อนิยฺยานิกา, ตสฺสา ภาโว อนิยฺยานิกตฺตํ, ตสฺมา อนิยฺยานิกตฺตาฯ ติรจฺฉานภูตาติ ติโรกรณภูตาฯ กมฺมฎฺฐานภาเวติ อนิจฺจตาปฎิสํยุตฺตจตุสจฺจกมฺมฎฺฐานภาเวฯ สห อเตฺถนาติ สาตฺถกํ, หิตปฎิสํยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ วิสิขาติ ฆรสนฺนิเวโส, วิสิขาคหเณน จ ตนฺนิวาสิโน คหิตา ‘‘คาโม อาคโต’’ติอาทีสุ วิยฯ เตเนวาห ‘‘สูรา สมตฺถา’’ติ, ‘‘สทฺธา ปสนฺนา’’ติ จฯ กุมฺภฎฺฐานาปเทเสน กุมฺภทาสิโย วุตฺตาติ อาห ‘‘กุมฺภทาสีกถา วา’’ติฯ อุปฺปตฺติฐิติสมฺภาราทิวเสน โลกํ อกฺขายตีติ โลกกฺขายิกาฯ

    17. Duggatito saṃsārato ca niyyāti etenāti niyyānaṃ, saggamaggo mokkhamaggo ca. Taṃ niyyānaṃ arahati, niyyāne vā niyuttā, niyyānaṃ vā phalabhūtaṃ etissā atthīti niyyānikā, vacīduccaritasaṃkilesato niyyātīti vā ī-kārassa rassattaṃ, ya-kārassa ca ka-kāraṃ katvā niyyānikā, cetanāya saddhiṃ samphappalāpā veramaṇi. Tappaṭipakkhato aniyyānikā, tassā bhāvo aniyyānikattaṃ, tasmā aniyyānikattā. Tiracchānabhūtāti tirokaraṇabhūtā. Kammaṭṭhānabhāveti aniccatāpaṭisaṃyuttacatusaccakammaṭṭhānabhāve. Saha atthenāti sātthakaṃ, hitapaṭisaṃyuttanti attho. Visikhāti gharasanniveso, visikhāgahaṇena ca tannivāsino gahitā ‘‘gāmo āgato’’tiādīsu viya. Tenevāha ‘‘sūrā samatthā’’ti, ‘‘saddhā pasannā’’ti ca. Kumbhaṭṭhānāpadesena kumbhadāsiyo vuttāti āha ‘‘kumbhadāsīkathā vā’’ti. Uppattiṭhitisambhārādivasena lokaṃ akkhāyatīti lokakkhāyikā.

    ๑๘. สหิตนฺติ ปุพฺพาปราวิรุทฺธํฯ

    18.Sahitanti pubbāparāviruddhaṃ.

    ๑๙. ทูตสฺส กมฺมํ ทูเตยฺยํ, ตสฺส กถา ทูเตยฺยกถาฯ

    19. Dūtassa kammaṃ dūteyyaṃ, tassa kathā dūteyyakathā.

    ๒๐. ติวิเธนาติ สามนฺตชปฺปนอิริยาปถสนฺนิสฺสิตปจฺจยปฎิเสวนเภทโต ติปฺปกาเรนฯ วิมฺหาปยนฺตีติ ‘‘อโห อจฺฉริยปุริโส’’ติ อตฺตนิ ปเรสํ วิมฺหยํ อุปฺปาเทนฺติฯ ลปนฺตีติ อตฺตานํ, ทายกํ วา อุกฺขิปิตฺวา ยถา โส กิญฺจิ ททาติ, เอวํ อุกฺกาเจตฺวา กเถนฺติฯ นิมิเตฺตน จรนฺติ, นิมิตฺตํ วา กโรนฺตีติ เนมิตฺติกา นิมิตฺตนฺติ จ ปเรสํ ปจฺจย ทานสญฺญุปฺปาทกํ กายวจีกมฺมํ วุจฺจติฯ นิปฺปิํสนฺตีติ นิเปฺปสา, นิเปฺปสาเยว นิเปฺปสิกา, นิเปฺปโสติ จ สฐปุริโส วิย ลาภสกฺการตฺถํ อโกฺกสขุํสนุปฺปณฺฑนปรปิฎฺฐิมํสิกตาทิฯ

    20.Tividhenāti sāmantajappanairiyāpathasannissitapaccayapaṭisevanabhedato tippakārena. Vimhāpayantīti ‘‘aho acchariyapuriso’’ti attani paresaṃ vimhayaṃ uppādenti. Lapantīti attānaṃ, dāyakaṃ vā ukkhipitvā yathā so kiñci dadāti, evaṃ ukkācetvā kathenti. Nimittena caranti, nimittaṃ vā karontīti nemittikā nimittanti ca paresaṃ paccaya dānasaññuppādakaṃ kāyavacīkammaṃ vuccati. Nippiṃsantīti nippesā, nippesāyeva nippesikā, nippesoti ca saṭhapuriso viya lābhasakkāratthaṃ akkosakhuṃsanuppaṇḍanaparapiṭṭhimaṃsikatādi.

    มชฺฌิมสีลวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Majjhimasīlavaṇṇanā niṭṭhitā.

    มหาสีลวณฺณนา

    Mahāsīlavaṇṇanā

    ๒๑. องฺคานิ อารพฺภ ปวตฺตตฺตา องฺคสหจริตํ สตฺถํ ‘‘องฺค’’นฺติ วุตฺตํฯ นิมิตฺตนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ เกจิ ปน ‘‘องฺคนฺติ องฺควิการ’’นฺติ วทนฺติ, ปเรสํ องฺควิการทสฺสเนนาปิ ลาภาลาภาทิวิชฺชาติฯ ปณฺฑุราชาติ ทกฺขิณามธุราธิปติฯ ‘‘มหนฺตาน’’นฺติ เอเตน อปฺปกํ นิมิตฺตํ, มหนฺตํ นิมิตฺตํ อุปฺปาโตติ ทเสฺสติฯ อิทํ นาม ปสฺสตีติ โย วสภํ กุญฺชรํ ปาสาทํ ปพฺพตํ วา อารุฬฺหํ สุปิเน อตฺตานํ ปสฺสติ, ตสฺส อิทํ นาม ผลํ โหตีติฯ สุปินกนฺติ สุปินสตฺถํฯ องฺคสมฺปตฺติวิปตฺติทสฺสนมเตฺตน อาทิสนํ วุตฺตํ ‘‘องฺค’’นฺติ อิมินา, ‘‘ลกฺขณ’’นฺติ อิมินา ปน มหานุภาวตานิปฺผาทกองฺคลกฺขณวิเสสทสฺสเนนาติ อยเมเตสํ วิเสโสติฯ อหเตติ นเวฯ อิโต ปฎฺฐายาติ เทวรกฺขสมนุสฺสาทิเภเทน วิวิธวตฺถภาเค อิโต วา เอโตฺต วา สญฺฉิเนฺน อิทํ นาม โภคาทิ โหตีติฯ ทพฺพิโหมทีนิ โหมสฺสุปกรณาทิวิเสเสหิ ผลวิเสสทสฺสนวเสน ปวตฺตานิฯ อคฺคิโหมํ วุตฺตาวเสสสาธนวเสน ปวตฺตํ โหมํฯ องฺคลฎฺฐินฺติ สรีรํฯ อพฺภิโน สตฺถํ อเพฺภยฺยํ, มาสุรเกฺขน กโต คโนฺถ มาสุรโกฺขฯ ภูริวิชฺชา สสฺสพุทฺธิกรณวิชฺชาติ สารสมาเสฯ สปกฺขก…เป.… จตุปฺปทานนฺติ ปิงฺคลมกฺขิกาทิสปกฺขก ฆรโคลิกาทิอปกฺขกเทวมนุสฺสโกญฺจาทิทฺวิปทกกณฺฎกชมฺพุกาทิจตุปฺปทานํฯ

    21. Aṅgāni ārabbha pavattattā aṅgasahacaritaṃ satthaṃ ‘‘aṅga’’nti vuttaṃ. Nimittanti etthāpi eseva nayo. Keci pana ‘‘aṅganti aṅgavikāra’’nti vadanti, paresaṃ aṅgavikāradassanenāpi lābhālābhādivijjāti. Paṇḍurājāti dakkhiṇāmadhurādhipati. ‘‘Mahantāna’’nti etena appakaṃ nimittaṃ, mahantaṃ nimittaṃ uppātoti dasseti. Idaṃ nāma passatīti yo vasabhaṃ kuñjaraṃ pāsādaṃ pabbataṃ vā āruḷhaṃ supine attānaṃ passati, tassa idaṃ nāma phalaṃ hotīti. Supinakanti supinasatthaṃ. Aṅgasampattivipattidassanamattena ādisanaṃ vuttaṃ ‘‘aṅga’’nti iminā, ‘‘lakkhaṇa’’nti iminā pana mahānubhāvatānipphādakaaṅgalakkhaṇavisesadassanenāti ayametesaṃ visesoti. Ahateti nave. Ito paṭṭhāyāti devarakkhasamanussādibhedena vividhavatthabhāge ito vā etto vā sañchinne idaṃ nāma bhogādi hotīti. Dabbihomadīni homassupakaraṇādivisesehi phalavisesadassanavasena pavattāni. Aggihomaṃ vuttāvasesasādhanavasena pavattaṃ homaṃ. Aṅgalaṭṭhinti sarīraṃ. Abbhino satthaṃ abbheyyaṃ, māsurakkhena kato gantho māsurakkho. Bhūrivijjā sassabuddhikaraṇavijjāti sārasamāse. Sapakkhaka…pe… catuppadānanti piṅgalamakkhikādisapakkhaka gharagolikādiapakkhakadevamanussakoñcādidvipadakakaṇṭakajambukādicatuppadānaṃ.

    ๒๓. ‘‘อสุกทิวเส’’ติ ‘‘ปกฺขสฺส ทุติเย ตติเย’’ติอาทิ ติถิวเสน วุตฺตํฯ อสุกนกฺขเตฺตนาติ โรหิณีอาทินกฺขตฺตโยควเสนฯ

    23.‘‘Asukadivase’’ti ‘‘pakkhassa dutiye tatiye’’tiādi tithivasena vuttaṃ. Asukanakkhattenāti rohiṇīādinakkhattayogavasena.

    ๒๔. อุกฺกานํ ปตนนฺติ อุโกฺกภาสานํ ปตนํฯ วาตสงฺฆาเตสุ หิ เวเคน อญฺญมญฺญํ สงฺฆเฎฺฎเนฺตสุ ทีปโกภาโส วิย โอภาโส อุปฺปชฺชิตฺวา อากาสโต ปตติ, ตตฺถายํ อุกฺกาปาตโวหาโรฯ อวิสุทฺธตา อพฺภมหิกาทีหิฯ

    24.Ukkānaṃ patananti ukkobhāsānaṃ patanaṃ. Vātasaṅghātesu hi vegena aññamaññaṃ saṅghaṭṭentesu dīpakobhāso viya obhāso uppajjitvā ākāsato patati, tatthāyaṃ ukkāpātavohāro. Avisuddhatā abbhamahikādīhi.

    ๒๕. ธารานุปเวจฺฉนํ วสฺสนํฯ หเตฺถน อธิเปฺปตวิญฺญาปนํ หตฺถมุทฺทา, ตํ ปน องฺคุลิสโงฺกจเนน คณนาเยวฯ ปารสิก มิลกฺขกาทโย วิย นวนฺตวเสน คณนา อจฺฉิทฺทกคณนาฯ สฎุปฺปาทนาทีติ อาทิ-สเทฺทน โวกลนภาคหาราทิเก สงฺคณฺหาติฯ จินฺตาวเสนาติ วตฺถุํ อนุสนฺธิญฺจ สยเมว จิเรน จิเนฺตตฺวา กรณวเสน จินฺตากวิ เวทิตโพฺพ, กิญฺจิ สุตฺวา สุเตน อสฺสุตํ อนุสเนฺธตฺวา กรณวเสน สุตกวิ, กญฺจิ อตฺถํ อุปธาเรตฺวา ตสฺส สงฺขิปนวิตฺถารณาทิวเสน อตฺถกวิ, ยํ กิญฺจิ ปเรน กตํ กพฺพํ นาฎกํ วา ทิสฺวา ตํ สทิสเมว อญฺญํ อตฺตโน ฐานุปฺปตฺติกปฎิภาเนน กรณวเสน ปฎิภานกวิ เวทิตโพฺพฯ

    25.Dhārānupavecchanaṃ vassanaṃ. Hatthena adhippetaviññāpanaṃ hatthamuddā, taṃ pana aṅgulisaṅkocanena gaṇanāyeva. Pārasika milakkhakādayo viya navantavasena gaṇanā acchiddakagaṇanā. Saṭuppādanādīti ādi-saddena vokalanabhāgahārādike saṅgaṇhāti. Cintāvasenāti vatthuṃ anusandhiñca sayameva cirena cintetvā karaṇavasena cintākavi veditabbo, kiñci sutvā sutena assutaṃ anusandhetvā karaṇavasena sutakavi, kañci atthaṃ upadhāretvā tassa saṅkhipanavitthāraṇādivasena atthakavi, yaṃ kiñci parena kataṃ kabbaṃ nāṭakaṃ vā disvā taṃ sadisameva aññaṃ attano ṭhānuppattikapaṭibhānena karaṇavasena paṭibhānakavi veditabbo.

    ๒๖. ปริคฺคหภาเวน ทาริกาย คณฺหาปนํ อาวาหนํฯ ตถา ทาปนํ วิวาหนํฯ เทสนฺตเร ทิคุณติคุณาทิคหณวเสน ภณฺฑปฺปโยชนํ ปโยโคฯ ตตฺถ วา อญฺญตฺถ วา ยถากาลปริเจฺฉทํ วฑฺฒิคหณวเสน ปโยชนํ อุทฺธาโรฯ ‘‘ภณฺฑมูลรหิตานํ วาณิชฺชํ กตฺวา เอตฺตเกนุทเยน สห มูลํ เทถาติ ธนทานํ ปโยโค, ตาวกาลิกทานํ อุทฺธาโร’’ติ จ วทนฺติฯ ตีหิ การเณหีติ เอตฺถ วาเตน, ปาณเกหิ วา คเพฺภ วินสฺสเนฺต น ปุริมกมฺมุนา โอกาโส กโต, ตปฺปจฺจยา กมฺมํ วิปจฺจติฯ สยเมว ปน กมฺมุนา โอกาเส กเต น เอกเนฺตน วาโต ปาณกา วา อเปกฺขิตพฺพาติ กมฺมสฺส วิสุํ การณภาโว วุโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ นิพฺพาปนียนฺติ อุปสมกรํฯ ปฎิกมฺมนฺติ ยถา เต น ขาทนฺติ, ตถา ปฎิกรณํฯ ปริวตฺตนตฺถนฺติ อาวุธาทินา สห อุกฺขิตฺตหตฺถสฺส อุกฺขิปนวเสน ปริวตฺตนตฺถํฯ อิจฺฉิตตฺถสฺส เทวตาย กเณฺณ กถนวเสน ชปฺปนํ กณฺณชปฺปนนฺติฯ อาทิจฺจปาริจริยาติ กรวีรมาลาหิ ปูชํ กตฺวา สกลทิวสํ อาทิจฺจาภิมุขาวฎฺฐาเนน อาทิจฺจสฺส ปริจรณํฯ ‘‘สิรวฺหายน’’นฺติ เกจิ ปฐนฺติ, ตสฺสโตฺถมนฺตํ ปริชปฺปิตฺวา สิรสา อิจฺฉิตสฺส อตฺถสฺส อวฺหายนนฺติฯ

    26. Pariggahabhāvena dārikāya gaṇhāpanaṃ āvāhanaṃ. Tathā dāpanaṃ vivāhanaṃ. Desantare diguṇatiguṇādigahaṇavasena bhaṇḍappayojanaṃ payogo. Tattha vā aññattha vā yathākālaparicchedaṃ vaḍḍhigahaṇavasena payojanaṃ uddhāro. ‘‘Bhaṇḍamūlarahitānaṃ vāṇijjaṃ katvā ettakenudayena saha mūlaṃ dethāti dhanadānaṃ payogo, tāvakālikadānaṃ uddhāro’’ti ca vadanti. Tīhi kāraṇehīti ettha vātena, pāṇakehi vā gabbhe vinassante na purimakammunā okāso kato, tappaccayā kammaṃ vipaccati. Sayameva pana kammunā okāse kate na ekantena vāto pāṇakā vā apekkhitabbāti kammassa visuṃ kāraṇabhāvo vuttoti daṭṭhabbaṃ. Nibbāpanīyanti upasamakaraṃ. Paṭikammanti yathā te na khādanti, tathā paṭikaraṇaṃ. Parivattanatthanti āvudhādinā saha ukkhittahatthassa ukkhipanavasena parivattanatthaṃ. Icchitatthassa devatāya kaṇṇe kathanavasena jappanaṃ kaṇṇajappananti. Ādiccapāricariyāti karavīramālāhi pūjaṃ katvā sakaladivasaṃ ādiccābhimukhāvaṭṭhānena ādiccassa paricaraṇaṃ. ‘‘Siravhāyana’’nti keci paṭhanti, tassatthomantaṃ parijappitvā sirasā icchitassa atthassa avhāyananti.

    ๒๗. สมิทฺธิกาเลติ อายาจิตสฺส อตฺถสฺส สิทฺธิกาเลฯ สนฺติปฎิสฺสวกมฺมนฺติ เทวตายาจนาย ยา สนฺติ ปฎิกตฺตพฺพา, ตสฺสา ปฎิญฺญาปฎิสฺสวกมฺมกรณํ, สนฺติยา อายาจนปฺปโยโคติ อโตฺถฯ ตสฺมินฺติ ปฎิสฺสวผลภูเต ยถาภิปตฺถิตกมฺมสฺมิํ, ยํ ‘‘สเจ เม อิทํ นาม สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺสาติ สนฺติปฎิสฺสวสฺส, โย ‘‘ปณิธี’’ติ จ วุโตฺตฯ ยถาปฎิสฺสวญฺหิ อุปหาเร กเต ปณิธิ อายาจนา กตา นิยฺยาติตา โหตีติฯ อจฺฉนฺทิกภาวมตฺตนฺติ อิตฺถิยา อกามกภาวมตฺตํฯ ลิงฺคนฺติ ปุริสลิงฺคํฯ พลิกมฺมกรณํ อุปทฺทวปฎิพาหนตฺถเญฺจว วฑฺฒิอาวหนตฺถญฺจฯ โทสานนฺติ ปิตฺตาทิโทสานํฯ เอตฺถ จ วมนนฺติ ปจฺฉฎฺฎนํ อธิเปฺปตํฯ อุทฺธํวิเรจนนฺติ วมนํ ‘‘อุทฺธํ โทสานํ นีหรณ’’นฺติ วุตฺตตฺตาฯ ตถา วิเรจนนฺติ วิเรจนเมวฯ อโธวิเรจนนฺติ ปน สุทฺธิวตฺถิกสาวตฺถิอาทิ วตฺถิกิริยาปิ อธิเปฺปตา ‘‘อโธ โทสานํ นีหรณ’’นฺติ วุตฺตตฺตาฯ สีสวิเรจนํ เสมฺหนีหรณาทิฯ ปฎลานีติ อกฺขิปฎลานิฯ สลากเวชฺชกมฺมนฺติ อกฺขิเวชฺชกมฺมํ, อิทํ วุตฺตาวเสสสาลากิยสงฺคหณตฺถํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพนฺติฯ ตปฺปนาทโยปิ หิ สาลากิยาเนวาติฯ มูลานิ ปธานานิ โรคูปสเม สมตฺถานิ เภสชฺชานิ มูลเภสชฺชานิ, มูลานํ วา พฺยาธีนํ เภสชฺชานิ มูลเภสชฺชานิฯ มูลานุพนฺธวเสน หิ ทุวิโธ พฺยาธิฯ มูลโรเค จ ติกิจฺฉิเต เยภุเยฺยน อิตรํ วูปสมตีติฯ ‘‘กายติกิจฺฉนํ ทเสฺสตี’’ติ อิทํ โกมารภจฺจสลฺลกตฺตสาลากิยาทิกรณวิเสสภูตตนฺตีนํ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตตฺตา ปาริเสสวเสน วุตฺตํ, ตสฺมา ตทวเสสาย ตนฺติยาปิ อิธ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ สพฺพานิ เจตานิ อาชีวเหตุกานิเยว อิธาธิเปฺปตานิ ‘‘มิจฺฉาชีเวน ชีวิกํ กเปฺปนฺตี’’ติ วุตฺตตฺตา ฯ ยํ ปน ตตฺถ ตตฺถ ปาฬิยํ ‘‘อิติ วา’’ติ วุตฺตํ, ตตฺถ อิตีติ ปการเตฺถ นิปาโต, วา-อิติ วิกปฺปนเตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ อิมินา ปกาเรน, อิโต อเญฺญ น วาติฯ เตน ยานิ อิโต พาหิรกปพฺพชิตา สิปฺปายตนวิชฺชาฎฺฐานาทีนิ ชีวิโกปายภูตานิ อาชีวปกตา อุปชีวนฺติ, เตสํ ปริคฺคโห กโตติ เวทิตโพฺพฯ

    27.Samiddhikāleti āyācitassa atthassa siddhikāle. Santipaṭissavakammanti devatāyācanāya yā santi paṭikattabbā, tassā paṭiññāpaṭissavakammakaraṇaṃ, santiyā āyācanappayogoti attho. Tasminti paṭissavaphalabhūte yathābhipatthitakammasmiṃ, yaṃ ‘‘sace me idaṃ nāma samijjhissatī’’ti vuttaṃ. Tassāti santipaṭissavassa, yo ‘‘paṇidhī’’ti ca vutto. Yathāpaṭissavañhi upahāre kate paṇidhi āyācanā katā niyyātitā hotīti. Acchandikabhāvamattanti itthiyā akāmakabhāvamattaṃ. Liṅganti purisaliṅgaṃ. Balikammakaraṇaṃ upaddavapaṭibāhanatthañceva vaḍḍhiāvahanatthañca. Dosānanti pittādidosānaṃ. Ettha ca vamananti pacchaṭṭanaṃ adhippetaṃ. Uddhaṃvirecananti vamanaṃ ‘‘uddhaṃ dosānaṃ nīharaṇa’’nti vuttattā. Tathā virecananti virecanameva. Adhovirecananti pana suddhivatthikasāvatthiādi vatthikiriyāpi adhippetā ‘‘adho dosānaṃ nīharaṇa’’nti vuttattā. Sīsavirecanaṃ semhanīharaṇādi. Paṭalānīti akkhipaṭalāni. Salākavejjakammanti akkhivejjakammaṃ, idaṃ vuttāvasesasālākiyasaṅgahaṇatthaṃ vuttanti daṭṭhabbanti. Tappanādayopi hi sālākiyānevāti. Mūlāni padhānāni rogūpasame samatthāni bhesajjāni mūlabhesajjāni, mūlānaṃ vā byādhīnaṃ bhesajjāni mūlabhesajjāni. Mūlānubandhavasena hi duvidho byādhi. Mūlaroge ca tikicchite yebhuyyena itaraṃ vūpasamatīti. ‘‘Kāyatikicchanaṃdassetī’’ti idaṃ komārabhaccasallakattasālākiyādikaraṇavisesabhūtatantīnaṃ tattha tattha vuttattā pārisesavasena vuttaṃ, tasmā tadavasesāya tantiyāpi idha saṅgaho daṭṭhabbo. Sabbāni cetāni ājīvahetukāniyeva idhādhippetāni ‘‘micchājīvena jīvikaṃ kappentī’’ti vuttattā . Yaṃ pana tattha tattha pāḷiyaṃ ‘‘iti vā’’ti vuttaṃ, tattha itīti pakāratthe nipāto, -iti vikappanatthe. Idaṃ vuttaṃ hoti iminā pakārena, ito aññe na vāti. Tena yāni ito bāhirakapabbajitā sippāyatanavijjāṭṭhānādīni jīvikopāyabhūtāni ājīvapakatā upajīvanti, tesaṃ pariggaho katoti veditabbo.

    มหาสีลวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahāsīlavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปุพฺพนฺตกปฺปิกสสฺสตวาทวณฺณนา

    Pubbantakappikasassatavādavaṇṇanā

    ๒๘. ภิกฺขุสเงฺฆน วุตฺตวโณฺณ นาม ‘‘ยาวญฺจิทํ เตน ภควตา’’ติอาทินา วุตฺตวโณฺณฯ เอตฺถายํ สมฺพโนฺธ – น ภิกฺขเว เอตฺตกา เอว พุทฺธคุณา, เย ตุมฺหากํ ปากฎา, อปากฎา ปน ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว อเญฺญ ธมฺมา’’ติ วิตฺถาโรฯ ตตฺถ ‘‘อิเม ทิฎฺฐิฎฺฐานา เอวํ คหิตา’’ติอาทินา สสฺสตาทิทิฎฺฐิฎฺฐานานํ ยถาคหิตาการสุญฺญตภาวปฺปกาสนโต, ‘‘ตญฺจ ปชานนํ น ปรามสตี’’ติ สีลาทีนญฺจ อปรามาสนิยฺยานิกภาวทีปเนน นิจฺจสาราทิวิรหปฺปกาสนโต, ยาสุ เวทนาสุ อวีตราคตาย พาหิรกานํ เอตานิ ทิฎฺฐิวิปฺผนฺทิตานิ สมฺภวนฺติ, เตสํ ปจฺจยภูตานญฺจ สโมฺมหาทีนํ เวทกการกสภาวาภาวทสฺสนมุเขน สพฺพธมฺมานํ อตฺตตฺตนิยตาวิรหทีปนโต, อนุปาทาปรินิพฺพานทีปนโต จ อยํ เทสนา สุญฺญตาวิภาวนปฺปธานาติ อาห ‘‘สุญฺญตาปกาสนํ อารภี’’ติฯ ปริยตฺตีติ วินยาทิเภทภินฺนา ตนฺติฯ เทสนาติ ตสฺสา ตนฺติยา มนสาววตฺถาปิตาย วิภาวนา, ยถาธมฺมํ ธมฺมาภิลาปภูตา วา ปญฺญาปนา, อนุโลมาทิวเสน วา กถนนฺติ ปริยตฺติเทสนานํ วิเสโส ปุเพฺพเยว ววตฺถาปิโตติ อาห ‘‘เทสนายํ ปริยตฺติย’’นฺติฯ เอวํ อาทีสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน สจฺจสภาวสมาธิปญฺญาปกติปุญฺญอาปตฺติเญยฺยาทโย สงฺคยฺหนฺติฯ ตถา หิ อยํ ธมฺม-สโทฺท ‘‘จตุนฺนํ ภิกฺขเว ธมฺมานํ อนนุโพธา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๘๖; อ. นิ. ๔.๑) สเจฺจ วตฺตติ, ‘‘กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑) สภาเว, ‘‘เอวํธมฺมา เต ภควโนฺต อเหสุ’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๓๗๘) สมาธิมฺหิ, ‘‘สจฺจํ ธโมฺม ธิติ จาโค, ส เว เปจฺจ น โสจตี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๑๙๐) ปญฺญาย, ‘‘ชาติธมฺมานํ ภิกฺขเว สตฺตานํ เอวํ อิจฺฉา อุปฺปชฺชตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๓๗๓; ปฎิ. ม. ๑.๓๓) ปกติยํ, ‘‘ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหาตี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๑๘๔; เถรคา. ๓๐๓; ชา. ๑.๑๐.๑๐๒) ปุเญฺญ, ‘‘จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๒๓๓) อาปตฺติยํ, ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉนฺตี’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๖) เญเยฺย วตฺตติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.สุตฺตนิเกฺขปวณฺณนา; อภิ. อฎฺฐ. ๑.ติกมาติกาปทวณฺณนา; พุ. วํ. อฎฺฐ. รตนจงฺกมนกณฺฑวณฺณนา)ฯ ธมฺมา โหนฺตีติ สุญฺญา ธมฺมมตฺตา โหนฺตีติ อโตฺถฯ

    28.Bhikkhusaṅghena vuttavaṇṇo nāma ‘‘yāvañcidaṃ tena bhagavatā’’tiādinā vuttavaṇṇo. Etthāyaṃ sambandho – na bhikkhave ettakā eva buddhaguṇā, ye tumhākaṃ pākaṭā, apākaṭā pana ‘‘atthi bhikkhave aññe dhammā’’ti vitthāro. Tattha ‘‘ime diṭṭhiṭṭhānā evaṃ gahitā’’tiādinā sassatādidiṭṭhiṭṭhānānaṃ yathāgahitākārasuññatabhāvappakāsanato, ‘‘tañca pajānanaṃ na parāmasatī’’ti sīlādīnañca aparāmāsaniyyānikabhāvadīpanena niccasārādivirahappakāsanato, yāsu vedanāsu avītarāgatāya bāhirakānaṃ etāni diṭṭhivipphanditāni sambhavanti, tesaṃ paccayabhūtānañca sammohādīnaṃ vedakakārakasabhāvābhāvadassanamukhena sabbadhammānaṃ attattaniyatāvirahadīpanato, anupādāparinibbānadīpanato ca ayaṃ desanā suññatāvibhāvanappadhānāti āha ‘‘suññatāpakāsanaṃ ārabhī’’ti. Pariyattīti vinayādibhedabhinnā tanti. Desanāti tassā tantiyā manasāvavatthāpitāya vibhāvanā, yathādhammaṃ dhammābhilāpabhūtā vā paññāpanā, anulomādivasena vā kathananti pariyattidesanānaṃ viseso pubbeyeva vavatthāpitoti āha ‘‘desanāyaṃ pariyattiya’’nti. Evaṃ ādīsūti ettha ādi-saddena saccasabhāvasamādhipaññāpakatipuññaāpattiñeyyādayo saṅgayhanti. Tathā hi ayaṃ dhamma-saddo ‘‘catunnaṃ bhikkhave dhammānaṃ ananubodhā’’tiādīsu (dī. ni. 2.186; a. ni. 4.1) sacce vattati, ‘‘kusalā dhammā akusalā dhammā’’tiādīsu (dha. sa. 1) sabhāve, ‘‘evaṃdhammā te bhagavanto ahesu’’ntiādīsu (saṃ. ni. 5.378) samādhimhi, ‘‘saccaṃ dhammo dhiti cāgo, sa ve pecca na socatī’’tiādīsu (su. ni. 190) paññāya, ‘‘jātidhammānaṃ bhikkhave sattānaṃ evaṃ icchā uppajjatī’’tiādīsu (ma. ni. 3.373; paṭi. ma. 1.33) pakatiyaṃ, ‘‘dhammo suciṇṇo sukhamāvahātī’’tiādīsu (su. ni. 184; theragā. 303; jā. 1.10.102) puññe, ‘‘cattāro pārājikā dhammā’’tiādīsu (pārā. 233) āpattiyaṃ, ‘‘sabbe dhammā sabbākārena buddhassa bhagavato ñāṇamukhe āpāthaṃ āgacchantī’’tiādīsu (mahāni. 156; cūḷani. 85; paṭi. ma. 3.6) ñeyye vattati (ma. ni. aṭṭha. 1.suttanikkhepavaṇṇanā; abhi. aṭṭha. 1.tikamātikāpadavaṇṇanā; bu. vaṃ. aṭṭha. ratanacaṅkamanakaṇḍavaṇṇanā). Dhammā hontīti suññā dhammamattā hontīti attho.

    ‘‘ทุทฺทสา’’ติ เอเตเนว เตสํ ธมฺมานํ ทุโกฺขคาหตา ปกาสิตา โหติฯ สเจ ปน โกจิ อตฺตโน ปมาณํ อชานโนฺต ญาเณน เต ธเมฺม โอคาหิตุํ อุสฺสาหํ กเรยฺย, ตสฺส ตํ ญาณํ อปฺปติฎฺฐเมว มกสตุณฺฑสูจิ วิย มหาสมุเทฺทติ อาห ‘‘อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐา’’ติฯ อลพฺภเนยฺยา ปติฎฺฐา เอตฺถาติ อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐาติ ปทวิคฺคโห เวทิตโพฺพฯ อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐานํ โอคาหิตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย ‘‘เอตฺตกา เอเต อีทิสา จา’’ติ ปสฺสิตุํ น สกฺกาติ วุตฺตํ ‘‘คมฺภีรตฺตา เอว ทุทฺทสา’’ติฯ เย ปน ทฎฺฐุเมว น สกฺกา, เตสํ โอคาหิตฺวา อนุพุชฺฌเน กถา เอว นตฺถีติ อาห ‘‘ทุทฺทสตฺตา เอว ทุรนุโพธา’’ติฯ สพฺพปริฬาหปฎิปฺปสฺสทฺธิมตฺถเก สมุปฺปนฺนตฺตา, นิพฺพุตสพฺพปริฬาหสมาปตฺติสโมกิณฺณตฺตา จ นิพฺพุตสพฺพปริฬาหาฯ สนฺตารมฺมณานิ มคฺคผลนิพฺพานานิ อนุปสนฺตสภาวานํ กิเลสานํ สงฺขารานญฺจ อภาวโตฯ อถ วา สมูหตวิเกฺขปตาย นิจฺจสมาหิตสฺส มนสิการสฺส วเสน ตทารมฺมณธมฺมานํ สนฺตภาโว เวทิตโพฺพ กสิณุคฺฆาฎิมากาสตพฺพิสยวิญฺญาณานํ อนนฺตภาโว วิยฯ อวิรชฺฌิตฺวา นิมิตฺตปฎิเวโธ วิย อิสฺสาสานํ อวิรชฺฌิตฺวา ธมฺมานํ ยถาภูตสภาวโพโธ สาทุรโส มหารโส จ โหตีติ อาห อติตฺติกรณเฎฺฐนาติฯ ปฎิเวธปฺปตฺตานํ, เตสุ จ พุทฺธานํเยว สพฺพากาเรน วิสยภาวูปคมนโต น ตกฺกพุทฺธิยา โคจราติ อาห ‘‘อุตฺตมญาณวิสยตฺตา’’ติอาทิฯ ‘‘นิปุณา’’ติ เญเยฺยสุ ติกฺขวิสทวุตฺติยา เฉกาฯ ยสฺมา ปน โส เฉกภาโว อารมฺมเณ อปฺปฎิหตวุตฺติตาย สุขุมเญยฺยคหณสมตฺถตาย สุปากโฎ โหติ, เตน วุตฺตํ ‘‘สณฺหสุขุมสภาวตฺตา’’ติฯ

    ‘‘Duddasā’’ti eteneva tesaṃ dhammānaṃ dukkhogāhatā pakāsitā hoti. Sace pana koci attano pamāṇaṃ ajānanto ñāṇena te dhamme ogāhituṃ ussāhaṃ kareyya, tassa taṃ ñāṇaṃ appatiṭṭhameva makasatuṇḍasūci viya mahāsamuddeti āha ‘‘alabbhaneyyapatiṭṭhā’’ti. Alabbhaneyyā patiṭṭhā etthāti alabbhaneyyapatiṭṭhāti padaviggaho veditabbo. Alabbhaneyyapatiṭṭhānaṃ ogāhituṃ asakkuṇeyyatāya ‘‘ettakā ete īdisā cā’’ti passituṃ na sakkāti vuttaṃ ‘‘gambhīrattā eva duddasā’’ti. Ye pana daṭṭhumeva na sakkā, tesaṃ ogāhitvā anubujjhane kathā eva natthīti āha ‘‘duddasattā eva duranubodhā’’ti. Sabbapariḷāhapaṭippassaddhimatthake samuppannattā, nibbutasabbapariḷāhasamāpattisamokiṇṇattā ca nibbutasabbapariḷāhā. Santārammaṇāni maggaphalanibbānāni anupasantasabhāvānaṃ kilesānaṃ saṅkhārānañca abhāvato. Atha vā samūhatavikkhepatāya niccasamāhitassa manasikārassa vasena tadārammaṇadhammānaṃ santabhāvo veditabbo kasiṇugghāṭimākāsatabbisayaviññāṇānaṃ anantabhāvo viya. Avirajjhitvā nimittapaṭivedho viya issāsānaṃ avirajjhitvā dhammānaṃ yathābhūtasabhāvabodho sāduraso mahāraso ca hotīti āha atittikaraṇaṭṭhenāti. Paṭivedhappattānaṃ, tesu ca buddhānaṃyeva sabbākārena visayabhāvūpagamanato na takkabuddhiyā gocarāti āha ‘‘uttamañāṇavisayattā’’tiādi. ‘‘Nipuṇā’’ti ñeyyesu tikkhavisadavuttiyā chekā. Yasmā pana so chekabhāvo ārammaṇe appaṭihatavuttitāya sukhumañeyyagahaṇasamatthatāya supākaṭo hoti, tena vuttaṃ ‘‘saṇhasukhumasabhāvattā’’ti.

    อปโร นโย – วินยปณฺณตฺติอาทิคมฺภีรเนยฺยวิภาวนโต คมฺภีราฯ กทาจิ อสเงฺขฺยยฺยมหากเปฺป อติกฺกมิตฺวาปิ ทุลฺลภทสฺสนตาย ทุทฺทสาฯ ทสฺสนเญฺจตฺถ ปญฺญาจกฺขุวเสเนว เวทิตพฺพํฯ ธมฺมนฺวยสงฺขาตสฺส อนุโพธสฺส กสฺสจิเทว สมฺภวโต ทุรนุโพธา ฯ สนฺตสภาวโต, เวเนยฺยานญฺจ คุณสมฺปทานํ ปริโยสานตฺตา สนฺตาฯ อตฺตโน จ ปจฺจเยหิ ปธานภาวํ นีตตาย ปณีตาฯ สมธิคตสจฺจลกฺขณตาย อตเกฺกหิ, อตเกฺกน วา ญาเณน อวจริตพฺพตาย อตกฺกาวจราฯ นิปุณํ, นิปุเณ วา อเตฺถ สจฺจปฺปจฺจยาการาทิวเสน วิภาวนโต นิปุณาฯ โลเก อคฺคปณฺฑิเตน สมฺมาสมฺพุเทฺธน เวทียนฺติ ปกาสียนฺตีติ ปณฺฑิตเวทนียาฯ อนาวรณญาณปฎิลาภโต หิ ภควา ‘‘สพฺพวิทู หํ อสฺมิ, (ธ. ป. ๓๕๓; มหาว. ๑๑; กถา. ๔๐๕) ทสพลสมนฺนาคโต ภิกฺขเว ตถาคโต’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๒๑) อตฺตโน สพฺพญฺญุตาทิคุเณ ปกาเสติฯ เตเนวาห ‘‘สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทตี’’ติฯ

    Aparo nayo – vinayapaṇṇattiādigambhīraneyyavibhāvanato gambhīrā. Kadāci asaṅkhyeyyamahākappe atikkamitvāpi dullabhadassanatāya duddasā. Dassanañcettha paññācakkhuvaseneva veditabbaṃ. Dhammanvayasaṅkhātassa anubodhassa kassacideva sambhavato duranubodhā. Santasabhāvato, veneyyānañca guṇasampadānaṃ pariyosānattā santā. Attano ca paccayehi padhānabhāvaṃ nītatāya paṇītā. Samadhigatasaccalakkhaṇatāya atakkehi, atakkena vā ñāṇena avacaritabbatāya atakkāvacarā. Nipuṇaṃ, nipuṇe vā atthe saccappaccayākārādivasena vibhāvanato nipuṇā. Loke aggapaṇḍitena sammāsambuddhena vedīyanti pakāsīyantīti paṇḍitavedanīyā. Anāvaraṇañāṇapaṭilābhato hi bhagavā ‘‘sabbavidū haṃ asmi, (dha. pa. 353; mahāva. 11; kathā. 405) dasabalasamannāgato bhikkhave tathāgato’’tiādinā (saṃ. ni. 2.21) attano sabbaññutādiguṇe pakāseti. Tenevāha ‘‘sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedetī’’ti.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ผลนิพฺพานานิ วิย สจฺฉิกาตพฺพสภาวํ น โหติ, อาสวกฺขยญาเณ ปน อธิคเต อธิคตเมว โหตีติ ตสฺส ปจฺจกฺขกรณํ สจฺฉิกิริยาติ อาห ‘‘อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน ปจฺจกฺขํ กตฺวา’’ติฯ อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณนาติ จ เหตุอเตฺถ กรณวจนํ, อภิวิสิฎฺฐญาณาธิคมเหตูติ อโตฺถฯ อภิวิสิฎฺฐญาณนฺติ วา ปจฺจเวกฺขณญาเณ อธิเปฺปเต กรณวจนมฺปิ ยุชฺชติเยวฯ ปเวทนเญฺจตฺถ อญฺญาวิสยานํ สจฺจาทีนํ เทสนากิจฺจสาธนโต, ‘‘เอโกมฺหิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติอาทินา (มหาว. ๑๑; กถา. ๔๐๕) ปฎิชานนโต จ เวทิตพฺพํฯ วทมานาติ เอตฺถ สตฺติอโตฺถ มาน-สโทฺท, วตฺตุํ อุสฺสาหํ กโรโนฺตติ อโตฺถฯ เอวํภูตา จ วตฺตุกามา นาม โหนฺตีติ อาห ‘‘วณฺณํ วตฺตุกามา’’ติฯ สาวเสสํ วทโนฺตปิ วิปรีตํ วทโนฺต วิย ‘‘สมฺมา วทตี’’ติ น วตฺตโพฺพติ อาห ‘‘อหาเปตฺวา’’ติ, เตน อนวเสสโตฺถ อิธ สมฺมา-สโทฺทติ ทเสฺสติฯ ‘‘วตฺตุํ สกฺกุเณยฺยุ’’นฺติ อิมินา ‘‘วเทยฺยุ’’นฺติ สกตฺถทีปนภาวมาหฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ ภควโต ทสพลาทิญาณานิปิ อนญฺญสาธารณานิ, สปฺปเทสวิสยตฺตา ปน เตสํ ญาณานํ น เตหิ พุทฺธคุณา อหาเปตฺวา คหิตา นาม โหนฺติ, นิปฺปเทสวิสยตฺตา ปน สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ตสฺมิํ คหิเต สเพฺพปิ พุทฺธคุณา คหิตา เอว นาม โหนฺตีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘เยหิ…เป.… วเทยฺยุ’’นฺติฯ ปุถูนิ อารมฺมณานิ เอตสฺสาติ ปุถุอารมฺมณํ, สพฺพารมฺมณตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อถ วา ปุถุอารมฺมณารมฺมณโตติ เอตสฺมิํ อเตฺถ ‘‘ปุถุอารมฺมณโต’’ติ วุตฺตํ, เอกสฺส อารมฺมณ-สทฺทสฺส โลปํ กตฺวา ‘‘โอฎฺฐมุโข กามาวจร’’นฺติ อาทีสุ วิย, เตนสฺส ปุถุญาณกิจฺจสาธกตํ ทเสฺสติฯ ตถา เหตํ ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณํ, จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณํ, ปญฺจคติปริเจฺฉทกญาณํ, ฉสุ อสาธารณญาเณสุ เสสาสาธารณญาณานิ, สตฺตอริยปุคฺคลวิภาวกญาณํ, อฎฺฐสุปิ ปริสาสุ อกมฺปนญาณํ, นวสตฺตาวาสปริชานนญาณํ, ทสพลญาณนฺติ เอวมาทีนํ อเนกสตสหสฺสเภทานํ ญาณานํ ยถาสมฺภวํ กิจฺจํ สาเธตีติฯ ‘‘ปุนปฺปุนํ อุปฺปตฺติวเสนา’’ติ เอเตน สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส กมวุตฺติตํ ทเสฺสติฯ กเมนาปิ หิ ตํ วิสเยสุ ปวตฺตติ, น สกิํเยว ยถา พาหิรกา วทนฺติ ‘‘สกิํเยว สพฺพญฺญู สพฺพํ ชานาติ, น กเมนา’’ติฯ

    Tattha kiñcāpi sabbaññutaññāṇaṃ phalanibbānāni viya sacchikātabbasabhāvaṃ na hoti, āsavakkhayañāṇe pana adhigate adhigatameva hotīti tassa paccakkhakaraṇaṃ sacchikiriyāti āha ‘‘abhivisiṭṭhena ñāṇena paccakkhaṃ katvā’’ti. Abhivisiṭṭhena ñāṇenāti ca hetuatthe karaṇavacanaṃ, abhivisiṭṭhañāṇādhigamahetūti attho. Abhivisiṭṭhañāṇanti vā paccavekkhaṇañāṇe adhippete karaṇavacanampi yujjatiyeva. Pavedanañcettha aññāvisayānaṃ saccādīnaṃ desanākiccasādhanato, ‘‘ekomhi sammāsambuddho’’tiādinā (mahāva. 11; kathā. 405) paṭijānanato ca veditabbaṃ. Vadamānāti ettha sattiattho māna-saddo, vattuṃ ussāhaṃ karontoti attho. Evaṃbhūtā ca vattukāmā nāma hontīti āha ‘‘vaṇṇaṃ vattukāmā’’ti. Sāvasesaṃ vadantopi viparītaṃ vadanto viya ‘‘sammā vadatī’’ti na vattabboti āha ‘‘ahāpetvā’’ti, tena anavasesattho idha sammā-saddoti dasseti. ‘‘Vattuṃ sakkuṇeyyu’’nti iminā ‘‘vadeyyu’’nti sakatthadīpanabhāvamāha. Ettha ca kiñcāpi bhagavato dasabalādiñāṇānipi anaññasādhāraṇāni, sappadesavisayattā pana tesaṃ ñāṇānaṃ na tehi buddhaguṇā ahāpetvā gahitā nāma honti, nippadesavisayattā pana sabbaññutaññāṇassa tasmiṃ gahite sabbepi buddhaguṇā gahitā eva nāma hontīti imamatthaṃ dasseti ‘‘yehi…pe… vadeyyu’’nti. Puthūni ārammaṇāni etassāti puthuārammaṇaṃ, sabbārammaṇattāti adhippāyo. Atha vā puthuārammaṇārammaṇatoti etasmiṃ atthe ‘‘puthuārammaṇato’’ti vuttaṃ, ekassa ārammaṇa-saddassa lopaṃ katvā ‘‘oṭṭhamukho kāmāvacara’’nti ādīsu viya, tenassa puthuñāṇakiccasādhakataṃ dasseti. Tathā hetaṃ tīsu kālesu appaṭihatañāṇaṃ, catuyoniparicchedakañāṇaṃ, pañcagatiparicchedakañāṇaṃ, chasu asādhāraṇañāṇesu sesāsādhāraṇañāṇāni, sattaariyapuggalavibhāvakañāṇaṃ, aṭṭhasupi parisāsu akampanañāṇaṃ, navasattāvāsaparijānanañāṇaṃ, dasabalañāṇanti evamādīnaṃ anekasatasahassabhedānaṃ ñāṇānaṃ yathāsambhavaṃ kiccaṃ sādhetīti. ‘‘Punappunaṃ uppattivasenā’’ti etena sabbaññutaññāṇassa kamavuttitaṃ dasseti. Kamenāpi hi taṃ visayesu pavattati, na sakiṃyeva yathā bāhirakā vadanti ‘‘sakiṃyeva sabbaññū sabbaṃ jānāti, na kamenā’’ti.

    ยทิ เอวํ อจิเนฺตยฺยาปริเมยฺยเภทสฺส เญยฺยสฺส ปริเจฺฉทวตา เอเกน ญาเณน นิรวเสสโต กถํ ปฎิเวโธติ, โก วา เอวมาห ‘‘ปริเจฺฉทวนฺตํ พุทฺธญาณ’’นฺติฯ อนนฺตญฺหิ ตํ ญาณํ เญยฺยํ วิยฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยาวตกํ เญยฺยํ ตาวตกํ ญาณํฯ ยาวตกํ ญาณํ, ตาวตกํ เญยฺย’’นฺติ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕)ฯ เอวมฺปิ ชาติภูมิสภาวาทิวเสน ทิสาเทสกาลาทิวเสน จ อเนกเภทภิเนฺน เญเยฺย กเมน คยฺหมาเน อนวเสสปฎิเวโธ น สมฺภวติ เยวาติ, นยิทเมวํฯ กสฺมา? ยํ กิญฺจิ ภควตา ญาตุํ อิจฺฉิตํ สกลํ เอกเทโส วาฯ ตตฺถ อปฺปฎิหตจารตาย ปจฺจกฺขโต ญาณํ ปวตฺตติ, วิเกฺขปาภาวโต จ ภควา สพฺพกาลํ สมาหิโตว ญาตุํ, อิจฺฉิตสฺส ปจฺจกฺขภาโว น สกฺกา นิวาเรตุํ ‘‘อากงฺขาปฎิพทฺธํ พุทฺธสฺส ภควโต ญาณ’’นฺติอาทิ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕) วจนโต, น เจตฺถ ทูรโต จิตฺตปฎํ ปสฺสนฺตานํ วิย, ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ วิปสฺสนฺตานํ วิย จ อเนกธมฺมาวโพธกาเล อนิรูปิตรูเปน ภควโต ญาณํ ปวตฺตตีติ คเหตพฺพํ อจิเนฺตยฺยานุภาวตาย พุทฺธญาณสฺสฯ เตเนวาห ‘‘พุทฺธวิสโย อจิเนฺตโยฺย’’ติ (อ. นิ. ๔.๗๗)ฯ อิทํ ปเนตฺถ สนฺนิฎฺฐานํสพฺพากาเรน สพฺพธมฺมาวโพธนสมตฺถสฺส อากงฺขาปฎิพทฺธวุตฺติโน อนาวรณญาณสฺส ปฎิลาเภน ภควา สนฺตาเนน สพฺพธมฺมปฎิเวธสมโตฺถ อโหสิ สพฺพเนยฺยาวรณสฺส ปหานโต, ตสฺมา สพฺพญฺญู, น สกิํเยว สพฺพธมฺมาวโพธโต , ยถา สนฺตาเนน สพฺพอินฺธนสฺส ทหนสมตฺถตาย ปาวโก ‘‘สพฺพภู’’ติ วุจฺจตีติฯ

    Yadi evaṃ acinteyyāparimeyyabhedassa ñeyyassa paricchedavatā ekena ñāṇena niravasesato kathaṃ paṭivedhoti, ko vā evamāha ‘‘paricchedavantaṃ buddhañāṇa’’nti. Anantañhi taṃ ñāṇaṃ ñeyyaṃ viya. Vuttañhetaṃ ‘‘yāvatakaṃ ñeyyaṃ tāvatakaṃ ñāṇaṃ. Yāvatakaṃ ñāṇaṃ, tāvatakaṃ ñeyya’’nti (mahāni. 156; cūḷani. 85; paṭi. ma. 3.5). Evampi jātibhūmisabhāvādivasena disādesakālādivasena ca anekabhedabhinne ñeyye kamena gayhamāne anavasesapaṭivedho na sambhavati yevāti, nayidamevaṃ. Kasmā? Yaṃ kiñci bhagavatā ñātuṃ icchitaṃ sakalaṃ ekadeso vā. Tattha appaṭihatacāratāya paccakkhato ñāṇaṃ pavattati, vikkhepābhāvato ca bhagavā sabbakālaṃ samāhitova ñātuṃ, icchitassa paccakkhabhāvo na sakkā nivāretuṃ ‘‘ākaṅkhāpaṭibaddhaṃ buddhassa bhagavato ñāṇa’’ntiādi (mahāni. 156; cūḷani. 85; paṭi. ma. 3.5) vacanato, na cettha dūrato cittapaṭaṃ passantānaṃ viya, ‘‘sabbe dhammā anattā’’ti vipassantānaṃ viya ca anekadhammāvabodhakāle anirūpitarūpena bhagavato ñāṇaṃ pavattatīti gahetabbaṃ acinteyyānubhāvatāya buddhañāṇassa. Tenevāha ‘‘buddhavisayo acinteyyo’’ti (a. ni. 4.77). Idaṃ panettha sanniṭṭhānaṃsabbākārena sabbadhammāvabodhanasamatthassa ākaṅkhāpaṭibaddhavuttino anāvaraṇañāṇassa paṭilābhena bhagavā santānena sabbadhammapaṭivedhasamattho ahosi sabbaneyyāvaraṇassa pahānato, tasmā sabbaññū, na sakiṃyeva sabbadhammāvabodhato , yathā santānena sabbaindhanassa dahanasamatthatāya pāvako ‘‘sabbabhū’’ti vuccatīti.

    ววตฺถาปนวจนนฺติ สนฺนิฎฺฐาปนวจนํ, อวธารณวจนนฺติ อโตฺถฯ อเญฺญ วาติ เอตฺถ อวธารเณน นิวตฺติตํ ทเสฺสติ ‘‘น ปาณาติปาตา เวรมณิอาทโย’’ติ, อยญฺจ เอว-สโทฺท อนิยตเทสตาย จ-สโทฺท วิย ยตฺถ วุโตฺต, ตโต อญฺญตฺถาปิ วจนิจฺฉาวเสน อุปติฎฺฐตีติ อาห ‘‘คมฺภีรา วา’’ติอาทิฯ สพฺพปเทหีติ ยาว ‘‘ปณฺฑิตเวทนียา’’ติ อิทํ ปทํ, ตาว สพฺพปเทหิฯ สาวกปารมิญาณนฺติ สาวกานํ ทานาทิปาริปูริยา นิปฺผนฺนํ วิชฺชตฺตยฉฬภิญฺญาจตุปฺปฎิสมฺภิทาทิเภทํ ญาณํฯ ตโตติ สาวกปารมิญาณโตฯ ตตฺถาติ สาวกปารมิญาเณฯ ตโตปีติ อนนฺตรนิทฺทิฎฺฐโต ปเจฺจกพุทฺธญาณโตปิ, โก ปน วาโท สาวกปารมิญาณโตติ อธิปฺปาโยฯ เอตฺถายํ อตฺถโยชนา – กิญฺจาปิ สาวกปารมิญาณํ เหฎฺฐิมเสกฺขญาณํ ปุถุชฺชนญาณญฺจ อุปาทาย คมฺภีรํ, ปเจฺจกพุทฺธญาณํ อุปาทาย น ตถา คมฺภีรนฺติ ‘‘คมฺภีรเมวา’’ติ น สกฺกา วตฺตุํฯ ตถา ปเจฺจกพุทฺธญาณมฺปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อุปาทายาติ ตตฺถ ววตฺถานํ น ลพฺภติ, สพฺพญฺญุตญฺญาณธมฺมา ปน สาวกปารมิญาณาทีนํ วิย กิญฺจิ อุปาทาย อคมฺภีรภาวาภาวโต คมฺภีรา วาติฯ ยถา เจตฺถ ววตฺถานํ ทสฺสิตํ, เอวํ สาวกปารมิญาณํ ทุทฺทสํ, ปเจฺจกพุทฺธญาณํ ปน ตโต ทุทฺทสตรนฺติ ตตฺถ ววตฺถานํ นตฺถีติอาทินา ววตฺถานสพฺภาโว เนตโพฺพฯ เตเนวาห ‘‘ตถา ทุทฺทสาว…เป.… เวทิตพฺพ’’นฺติฯ

    Vavatthāpanavacananti sanniṭṭhāpanavacanaṃ, avadhāraṇavacananti attho. Aññe vāti ettha avadhāraṇena nivattitaṃ dasseti ‘‘na pāṇātipātā veramaṇiādayo’’ti, ayañca eva-saddo aniyatadesatāya ca-saddo viya yattha vutto, tato aññatthāpi vacanicchāvasena upatiṭṭhatīti āha ‘‘gambhīrā vā’’tiādi. Sabbapadehīti yāva ‘‘paṇḍitavedanīyā’’ti idaṃ padaṃ, tāva sabbapadehi. Sāvakapāramiñāṇanti sāvakānaṃ dānādipāripūriyā nipphannaṃ vijjattayachaḷabhiññācatuppaṭisambhidādibhedaṃ ñāṇaṃ. Tatoti sāvakapāramiñāṇato. Tatthāti sāvakapāramiñāṇe. Tatopīti anantaraniddiṭṭhato paccekabuddhañāṇatopi, ko pana vādo sāvakapāramiñāṇatoti adhippāyo. Etthāyaṃ atthayojanā – kiñcāpi sāvakapāramiñāṇaṃ heṭṭhimasekkhañāṇaṃ puthujjanañāṇañca upādāya gambhīraṃ, paccekabuddhañāṇaṃ upādāya na tathā gambhīranti ‘‘gambhīramevā’’ti na sakkā vattuṃ. Tathā paccekabuddhañāṇampi sabbaññutaññāṇaṃ upādāyāti tattha vavatthānaṃ na labbhati, sabbaññutaññāṇadhammā pana sāvakapāramiñāṇādīnaṃ viya kiñci upādāya agambhīrabhāvābhāvato gambhīrā vāti. Yathā cettha vavatthānaṃ dassitaṃ, evaṃ sāvakapāramiñāṇaṃ duddasaṃ, paccekabuddhañāṇaṃ pana tato duddasataranti tattha vavatthānaṃ natthītiādinā vavatthānasabbhāvo netabbo. Tenevāha ‘‘tathā duddasāva…pe… veditabba’’nti.

    กสฺมา ปเนตํ เอวํ อารทฺธํติ เอตฺถายํ อธิปฺปาโย – ภวตุ ตาว นิรวเสสพุทฺธคุณวิภาวนูปายภาวโต สพฺพญฺญุตญฺญาณํ เอกมฺปิ ปุถุนิสฺสยารมฺมณญากิจฺจสิทฺธิยา ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว อเญฺญว ธมฺมา’’ติอาทินา พหุวจเนน อุทฺทิฎฺฐํ, ตสฺส ปน วิสฺสชฺชนํ สจฺจปจฺจยาการาทิวิเสสวเสน อนญฺญสาธารเณน วิภชนนเยน อนารภิตฺวา สนิสฺสยานํ ทิฎฺฐีนํ วิภชนวเสน กสฺมา อารทฺธนฺติฯ ตตฺถ ยถา สจฺจปจฺจยาการาทีนํ วิภชนํ อนญฺญสาธารณํ, สพฺพญฺญุตญฺญาณเสฺสว วิสโย, เอวํ นิรวเสเสน ทิฎฺฐิคตวิภชนมฺปีติ ทเสฺสตุํ ‘‘พุทฺธานญฺหี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ ฐานานีติ การณานิฯ คชฺชิตํ มหนฺตํ โหตีติ เทเสตพฺพสฺส อตฺถสฺส อเนกวิธตาย, ทุวิเญฺญยฺยตาย จ นานานเยหิ ปวตฺตมานํ เทสนาคชฺชิตํ มหนฺตํ วิปุลํ, พหุเภทญฺจ โหติฯ ญาณํ อนุปวิสตีติ ตโต เอว จ เทสนาญาณํ เทเสตพฺพธเมฺม วิภาคโส กุรุมานํ อนุปวิสติ, เต อนุปวิสฺส ฐิตํ วิย โหตีติ อโตฺถฯ

    Kasmā panetaṃ evaṃ āraddhaṃti etthāyaṃ adhippāyo – bhavatu tāva niravasesabuddhaguṇavibhāvanūpāyabhāvato sabbaññutaññāṇaṃ ekampi puthunissayārammaṇañākiccasiddhiyā ‘‘atthi bhikkhave aññeva dhammā’’tiādinā bahuvacanena uddiṭṭhaṃ, tassa pana vissajjanaṃ saccapaccayākārādivisesavasena anaññasādhāraṇena vibhajananayena anārabhitvā sanissayānaṃ diṭṭhīnaṃ vibhajanavasena kasmā āraddhanti. Tattha yathā saccapaccayākārādīnaṃ vibhajanaṃ anaññasādhāraṇaṃ, sabbaññutaññāṇasseva visayo, evaṃ niravasesena diṭṭhigatavibhajanampīti dassetuṃ ‘‘buddhānañhī’’tiādi āraddhaṃ. Tattha ṭhānānīti kāraṇāni. Gajjitaṃ mahantaṃ hotīti desetabbassa atthassa anekavidhatāya, duviññeyyatāya ca nānānayehi pavattamānaṃ desanāgajjitaṃ mahantaṃ vipulaṃ, bahubhedañca hoti. Ñāṇaṃ anupavisatīti tato eva ca desanāñāṇaṃ desetabbadhamme vibhāgaso kurumānaṃ anupavisati, te anupavissa ṭhitaṃ viya hotīti attho.

    พุทฺธญาณสฺส มหนฺตภาโว ปญฺญายตีติ เอวํวิธสฺส นาม ธมฺมสฺส เทสกํ ปฎิเวธกญฺจาติ พุทฺธานํ เทสนาญาณสฺส ปฎิเวธญาณสฺส จ อุฬารภาโว ปากโฎ โหติฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ ‘‘สพฺพํ วจีกมฺมํ พุทฺธสฺส ภควโต ญาณปุพฺพงฺคมํ ญาณานุปริวตฺตี’’ติ (มหานิ. ๖๙; จูฬนิ. ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕; เนตฺติ. ๑๔) วจนโต สพฺพาปิ ภควโต เทสนา ญาณรหิตา นตฺถิ, สีหสมานวุตฺติตาย จ สพฺพตฺถ สมานุสฺสาหปฺปวตฺติ เทเสตพฺพธมฺมวเสน ปน เทสนา วิเสสโต ญาเณน อนุปวิฎฺฐา คมฺภีรตรา จ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ กถํ ปน วินยปณฺณตฺติํ ปตฺวา เทสนา ติลกฺขณาหตา สุญฺญตาปฎิสํยุตฺตา โหตีติ? ตตฺถาปิ จ สนฺนิสินฺนปริสาย อชฺฌาสยานุรูปํ ปวตฺตมานา เทสนา สงฺขารานํ อนิจฺจตาทิวิภาวนี, สพฺพธมฺมานํ อตฺตตฺตนิยตาภาวปฺปกาสนี จ โหติฯ เตเนวาห ‘‘อเนกปริยาเยน ธมฺมิํ กถํ กตฺวา’’ติอาทิฯ

    Buddhañāṇassa mahantabhāvo paññāyatīti evaṃvidhassa nāma dhammassa desakaṃ paṭivedhakañcāti buddhānaṃ desanāñāṇassa paṭivedhañāṇassa ca uḷārabhāvo pākaṭo hoti. Ettha ca kiñcāpi ‘‘sabbaṃ vacīkammaṃ buddhassa bhagavato ñāṇapubbaṅgamaṃ ñāṇānuparivattī’’ti (mahāni. 69; cūḷani. 85; paṭi. ma. 3.5; netti. 14) vacanato sabbāpi bhagavato desanā ñāṇarahitā natthi, sīhasamānavuttitāya ca sabbattha samānussāhappavatti desetabbadhammavasena pana desanā visesato ñāṇena anupaviṭṭhā gambhīratarā ca hotīti daṭṭhabbaṃ. Kathaṃ pana vinayapaṇṇattiṃ patvā desanā tilakkhaṇāhatā suññatāpaṭisaṃyuttā hotīti? Tatthāpi ca sannisinnaparisāya ajjhāsayānurūpaṃ pavattamānā desanā saṅkhārānaṃ aniccatādivibhāvanī, sabbadhammānaṃ attattaniyatābhāvappakāsanī ca hoti. Tenevāha ‘‘anekapariyāyena dhammiṃ kathaṃ katvā’’tiādi.

    ภูมนฺตรนฺติ ธมฺมานํ อวตฺถาวิเสสญฺจ ฐานวิเสสญฺจฯ ตตฺถ อวตฺถาวิเสโสสติอาทิธมฺมานํ สติปฎฺฐานินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคงฺคาทิเภโทฯ ฐานวิเสโส กามาวจราทิเภโทฯ ปจฺจยาการปทสฺส อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ สมยนฺตรนฺติ ทิฎฺฐิวิเสสา, นานาวิหิตา ทิฎฺฐิโยติ อโตฺถ, อญฺญสมยํ วาฯ เอวํ โอติเณฺณ วตฺถุสฺมินฺติ เอวํ ลหุกครุกาทิวเสน ตทนุรูเป โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ สิกฺขาปทปญฺญาปนํฯ

    Bhūmantaranti dhammānaṃ avatthāvisesañca ṭhānavisesañca. Tattha avatthāvisesosatiādidhammānaṃ satipaṭṭhānindriyabalabojjhaṅgamaggaṅgādibhedo. Ṭhānaviseso kāmāvacarādibhedo. Paccayākārapadassa attho heṭṭhā vuttoyeva. Samayantaranti diṭṭhivisesā, nānāvihitā diṭṭhiyoti attho, aññasamayaṃ vā. Evaṃ otiṇṇe vatthusminti evaṃ lahukagarukādivasena tadanurūpe otiṇṇe vatthusmiṃ sikkhāpadapaññāpanaṃ.

    ยทิปิ กายานุปสฺสนาทิวเสน สติปฎฺฐานาทโย สุตฺตนฺตปิฎเกปิ (ที. นิ. ๒.๓๗๔; ม. นิ. ๑.๑๐๗) วิภตฺตา, สุตฺตนฺตภาชนียาทิวเสน ปน อภิธเมฺมเยว เต สวิเสสํ วิภตฺตาติ อาห ‘‘อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา…เป.… อภิธมฺมปิฎกํ วิภชิตฺวา’’ติฯ ตตฺถ ‘‘สตฺต ผสฺสา’’ติ สตฺตวิญฺญาณธาตุสมฺปโยควเสน วุตฺตํฯ ตถา ‘‘สตฺต เวทนา’’ติอาทีสุปิฯ โลกุตฺตรา ธมฺมา นามาติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถ, ปการโตฺถ วา, เตน วุตฺตาวเสสํ อภิธเมฺม อาคตํ ธมฺมานํ วิภชิตพฺพาการํ สงฺคณฺหาติฯ จตุวีสติ สมนฺตปฎฺฐานานิ เอตฺถาติ จตุวีสติสมนฺตปฎฺฐานํ, อภิธมฺมปิฎกํฯ เอตฺถ ปจฺจยนยํ อคฺคเหตฺวา ธมฺมวเสเนว สมนฺตปฎฺฐานสฺส จตุวีสติวิธตา วุตฺตาฯ ยถาห –

    Yadipi kāyānupassanādivasena satipaṭṭhānādayo suttantapiṭakepi (dī. ni. 2.374; ma. ni. 1.107) vibhattā, suttantabhājanīyādivasena pana abhidhammeyeva te savisesaṃ vibhattāti āha ‘‘ime cattāro satipaṭṭhānā…pe… abhidhammapiṭakaṃ vibhajitvā’’ti. Tattha ‘‘satta phassā’’ti sattaviññāṇadhātusampayogavasena vuttaṃ. Tathā ‘‘satta vedanā’’tiādīsupi. Lokuttarā dhammā nāmāti ettha iti-saddo ādiattho, pakārattho vā, tena vuttāvasesaṃ abhidhamme āgataṃ dhammānaṃ vibhajitabbākāraṃ saṅgaṇhāti. Catuvīsati samantapaṭṭhānāni etthāti catuvīsatisamantapaṭṭhānaṃ, abhidhammapiṭakaṃ. Ettha paccayanayaṃ aggahetvā dhammavaseneva samantapaṭṭhānassa catuvīsatividhatā vuttā. Yathāha –

    ‘‘ติกญฺจ ปฎฺฐานวรํ ทุกุตฺตมํ,

    ‘‘Tikañca paṭṭhānavaraṃ dukuttamaṃ,

    ทุกติกเญฺจว ติกทุกญฺจ;

    Dukatikañceva tikadukañca;

    ติกติกเญฺจว ทุกทุกญฺจ,

    Tikatikañceva dukadukañca,

    ฉ อนุโลมมฺหิ นยา สุคมฺภีราฯ (ปฎฺฐา. ๑.ปจฺจยนิเทฺทส ๔๑, ๔๔, ๔๘, ๕๒);

    Cha anulomamhi nayā sugambhīrā. (paṭṭhā. 1.paccayaniddesa 41, 44, 48, 52);

    ตถา –

    Tathā –

    ติกญฺจ…เป.… ฉ ปจฺจนียมฺหิ นยา สุคมฺภีรา;

    Tikañca…pe… cha paccanīyamhi nayā sugambhīrā;

    ติกญฺจ…เป.… ฉ อนุโลมปจฺจนียมฺหิ นยา สุคมฺภีรา;

    Tikañca…pe… cha anulomapaccanīyamhi nayā sugambhīrā;

    ติกญฺจ…เป.… ปจฺจนียานุโลมมฺหิ นยา สุคมฺภีรา’’ติฯ (ปฎฺฐา. ๑.ปจฺจยนิเทฺทส ๔๔, ๕๒);

    Tikañca…pe… paccanīyānulomamhi nayā sugambhīrā’’ti. (paṭṭhā. 1.paccayaniddesa 44, 52);

    เอวํ ธมฺมวเสน จตุวีสติเภเทสุ ติกปฎฺฐานาทีสุ เอเกกํ ปจฺจยนเยน อนุโลมาทิวเสน จตุพฺพิธํ โหตีติ ฉนฺนวุติ สมนฺตปฎฺฐานานิฯ ตตฺถ ปน ธมฺมานุโลเม ติกปฎฺฐาเน กุสลตฺติเก ปฎิจฺจวาเร ปจฺจยานุโลเม เหตุมูลเก เหตุปจฺจยวเสน เอกูนปญฺญาส ปุจฺฉานยา สตฺต วิสฺสชฺชนนยาติ อาทินา ทสฺสิยมานา อนนฺตเภทา นยาติ อาห ‘‘อนนฺตนย’’นฺติฯ โหติ เจตฺถ –

    Evaṃ dhammavasena catuvīsatibhedesu tikapaṭṭhānādīsu ekekaṃ paccayanayena anulomādivasena catubbidhaṃ hotīti channavuti samantapaṭṭhānāni. Tattha pana dhammānulome tikapaṭṭhāne kusalattike paṭiccavāre paccayānulome hetumūlake hetupaccayavasena ekūnapaññāsa pucchānayā satta vissajjananayāti ādinā dassiyamānā anantabhedā nayāti āha ‘‘anantanaya’’nti. Hoti cettha –

    ‘‘ปฎฺฐานํ นาม ปเจฺจกํ ธมฺมานํ อนุโลมาทิมฺหิ ติกทุกาทีสุ ยา ปจฺจยมูลวิสิฎฺฐา จตุนยโต สตฺตธา คตี’’ติฯ

    ‘‘Paṭṭhānaṃ nāma paccekaṃ dhammānaṃ anulomādimhi tikadukādīsu yā paccayamūlavisiṭṭhā catunayato sattadhā gatī’’ti.

    นวหากาเรหีติ อุปฺปาทาทีหิ นวหิ ปจฺจยากาเรหิฯ ตตฺถ อุปฺปชฺชติ เอตสฺมา ผลนฺติ อุปฺปาโท, อุปฺปตฺติยา การณภาโวฯ สติ จ อวิชฺชาย สงฺขารา อุปฺปชฺชนฺติ, น อสติ, ตสฺมา อวิชฺชา สงฺขารานํ อุปฺปาโท หุตฺวา ปจฺจโย โหติฯ ตถา อวิชฺชาย สติ สงฺขารา ปวตฺตนฺติ ธรนฺติ, นิวิสนฺติ จ, เต อวิชฺชาย สติ ผลํ ภวาทีสุ ขิปนฺติ, อายูหนฺติ ผลุปฺปตฺติยา ฆฎนฺติ, สํยุชฺชนฺติ อตฺตโน ผเลน, ยสฺมิํ สนฺตาเน สยญฺจ อุปฺปนฺนา, ตํ ปลิพุนฺธนฺติ, ปจฺจยนฺตรสมวาเย อุทยนฺติ อุปฺปชฺชนฺติ, หิโนติ จ สงฺขารานํ การณภาวํ คจฺฉติ, ปฎิจฺจ อวิชฺชํ สงฺขารา อยนฺติ ปวตฺตนฺตีติ เอวํ อวิชฺชาย สงฺขารานํ การณภาวูปคมนวิเสสา อุปฺปาทาทโย เวทิตพฺพาฯ ตถา สงฺขาราทีนํ วิญฺญาณาทีสุฯ

    Navahākārehīti uppādādīhi navahi paccayākārehi. Tattha uppajjati etasmā phalanti uppādo, uppattiyā kāraṇabhāvo. Sati ca avijjāya saṅkhārā uppajjanti, na asati, tasmā avijjā saṅkhārānaṃ uppādo hutvā paccayo hoti. Tathā avijjāya sati saṅkhārā pavattanti dharanti, nivisanti ca, te avijjāya sati phalaṃ bhavādīsu khipanti, āyūhanti phaluppattiyā ghaṭanti, saṃyujjanti attano phalena, yasmiṃ santāne sayañca uppannā, taṃ palibundhanti, paccayantarasamavāye udayanti uppajjanti, hinoti ca saṅkhārānaṃ kāraṇabhāvaṃ gacchati, paṭicca avijjaṃ saṅkhārā ayanti pavattantīti evaṃ avijjāya saṅkhārānaṃ kāraṇabhāvūpagamanavisesā uppādādayo veditabbā. Tathā saṅkhārādīnaṃ viññāṇādīsu.

    อุปฺปาทฎฺฐิตีติอาทีสุ จ ติฎฺฐติ เอเตนาติ ฐิติ, การณํฯ อุปฺปาโท เอว ฐิติ อุปฺปาทฎฺฐิติฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ยสฺมา อโยนิโสมนสิกาโร, ‘‘อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๓) วจนโต อาสวา จ อวิชฺชาย ปจฺจโย, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อุโภเปเต ธมฺมา ปจฺจยสมุปฺปนฺนา’’ติฯ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญาติ สงฺขารานํ อวิชฺชาย จ อุปฺปาทาทิเก ปจฺจยากาเร ปริจฺฉินฺทิตฺวา คหณวเสน ปวตฺตา ปญฺญาฯ ธมฺมฎฺฐิติญาณนฺติ ธมฺมานํ ปจฺจยุปฺปนฺนานํ ปจฺจยภาวโต ธมฺมฎฺฐิติสงฺขาเต ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ญาณํฯ ปจฺจยธมฺมา หิ ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ‘‘ทฺวาทส ปฎิจฺจสมุปฺปาทา’’ติ วจนโต ทฺวาทส ปจฺจยาฯ อยญฺจ นโย น ปจฺจุปฺปเนฺน เอว, อถ โข อตีตานาคตกาเลปิ, น จ อวิชฺชาย เอว สงฺขาเรสุ, อถ โข สงฺขาราทีนมฺปิ วิญฺญาณาทีสุ ลพฺภตีติ ปริปุณฺณํ กตฺวา ปจฺจยาการสฺส วิภตฺตภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อตีตมฺปิ อทฺธาน’’นฺติอาทิ ปาฬิํ อารภิฯ ปฎฺฐาเน (ปฎฺฐา. ๑.ปจฺจยนิเทฺทส ๑) ทสฺสิตา เหตาทิปจฺจยา เอเวตฺถ อุปฺปาทาทิปจฺจยากาเรหิ คหิตาติ เต ยถาสมฺภวํ นีหริตฺวา โยเชตพฺพา, อติวิตฺถารภเยน ปน น โยชยิมฺหฯ

    Uppādaṭṭhitītiādīsu ca tiṭṭhati etenāti ṭhiti, kāraṇaṃ. Uppādo eva ṭhiti uppādaṭṭhiti. Esa nayo sesesupi. Yasmā ayonisomanasikāro, ‘‘āsavasamudayā avijjāsamudayo’’ti (ma. ni. 1.103) vacanato āsavā ca avijjāya paccayo, tasmā vuttaṃ ‘‘ubhopete dhammā paccayasamuppannā’’ti. Paccayapariggahe paññāti saṅkhārānaṃ avijjāya ca uppādādike paccayākāre paricchinditvā gahaṇavasena pavattā paññā. Dhammaṭṭhitiñāṇanti dhammānaṃ paccayuppannānaṃ paccayabhāvato dhammaṭṭhitisaṅkhāte paṭiccasamuppāde ñāṇaṃ. Paccayadhammā hi paṭiccasamuppāde ‘‘dvādasa paṭiccasamuppādā’’ti vacanato dvādasa paccayā. Ayañca nayo na paccuppanne eva, atha kho atītānāgatakālepi, na ca avijjāya eva saṅkhāresu, atha kho saṅkhārādīnampi viññāṇādīsu labbhatīti paripuṇṇaṃ katvā paccayākārassa vibhattabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘atītampi addhāna’’ntiādi pāḷiṃ ārabhi. Paṭṭhāne (paṭṭhā. 1.paccayaniddesa 1) dassitā hetādipaccayā evettha uppādādipaccayākārehi gahitāti te yathāsambhavaṃ nīharitvā yojetabbā, ativitthārabhayena pana na yojayimha.

    ตสฺส ตสฺส ธมฺมสฺสาติ ตสฺส ตสฺส สงฺขาราทิปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมสฺสฯ ตถา ตถา ปจฺจยภาเวนาติ อุปฺปาทาทิเหตาทิปจฺจยภาเวนฯ อตีตปจฺจุปฺปนฺนานาคตวเสน ตโย อทฺธา กาลา เอตสฺสาติ ติยทฺธํฯ เหตุผลผลเหตุเหตุผลวเสน ตโย สนฺธี เอตสฺสาติ ติสนฺธิํฯ สงฺขิปฺปนฺติ เอตฺถ อวิชฺชาทโย วิญฺญาณาทโย จาติ สเงฺขโป, กมฺมํ วิปาโก จฯ สงฺขิปฺปนฺติ เอตฺถาติ วา สเงฺขโป, อวิชฺชาทโย วิญฺญาณาทโย จฯ โกฎฺฐาสปริยาโย วา สเงฺขป-สโทฺทฯ อตีเต กมฺมสเงฺขปาทิวเสน จตฺตาโร สเงฺขปา เอตสฺสาติ จตุสเงฺขปํฯ สรูปโต อวุตฺตาปิ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สเงฺขเป อากิรียนฺติ อวิชฺชาสงฺขาราทิคฺคหเณหิ ปกาสียนฺตีติ อาการา, อตีเต เหตุอาทีนํ วา ปการา อาการา, เต สเงฺขเป ปญฺจ ปญฺจ กตฺวา วีสติอาการา เอตสฺสาติ วีสตาการํฯ

    Tassa tassa dhammassāti tassa tassa saṅkhārādipaccayuppannadhammassa. Tathā tathā paccayabhāvenāti uppādādihetādipaccayabhāvena. Atītapaccuppannānāgatavasena tayo addhā kālā etassāti tiyaddhaṃ. Hetuphalaphalahetuhetuphalavasena tayo sandhī etassāti tisandhiṃ. Saṅkhippanti ettha avijjādayo viññāṇādayo cāti saṅkhepo, kammaṃ vipāko ca. Saṅkhippanti etthāti vā saṅkhepo, avijjādayo viññāṇādayo ca. Koṭṭhāsapariyāyo vā saṅkhepa-saddo. Atīte kammasaṅkhepādivasena cattāro saṅkhepā etassāti catusaṅkhepaṃ. Sarūpato avuttāpi tasmiṃ tasmiṃ saṅkhepe ākirīyanti avijjāsaṅkhārādiggahaṇehi pakāsīyantīti ākārā, atīte hetuādīnaṃ vā pakārā ākārā, te saṅkhepe pañca pañca katvā vīsatiākārā etassāti vīsatākāraṃ.

    ขตฺติยาทิเภเทน อเนกเภทภินฺนาปิ สสฺสตวาทิโน ชาติสตสหสฺสานุสฺสรณาทิโน อภินิเวสเหตุโน วเสน จตฺตาโรว โหนฺติ , น ตโต อุทฺธํ อโธติ สสฺสตวาทาทีนํ ปริมาณปริเจฺฉทสฺส อนญฺญวิสยตํ ทเสฺสตุํ ‘‘จตฺตาโร ชนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ จตฺตาโร ชนาติ จตฺตาโร ชนสมูหาฯ อิทํ นิสฺสายาติ อิทํ อิทปฺปจฺจยตาย สมฺมา อคฺคหณํ, ตตฺถาปิ จ เหตุผลภาเวน สมฺพนฺธานํ สนฺตติฆนสฺส อเภทิตตฺตา ปรมตฺถโต วิชฺชมานมฺปิ เภทนิพนฺธนํ นานตฺตนยํ อนุปธาเรตฺวา คหิตํ เอกตฺตคฺคหณํ นิสฺสายฯ อิทํ คณฺหนฺตีติ อิทํ สสฺสตคฺคหณํ อภินิวิสฺส โวหรนฺติ, อิมินา นเยน เอกจฺจสสฺสตวาทาทโยเปตฺถ ยถาสมฺภวํ โยเชตฺวา วตฺตพฺพาฯ ภินฺทิตฺวาติ ‘‘อาตปฺปมนฺวายา’’ติอาทินา วิภชิตฺวา ‘‘ตยิทํ ภิกฺขเว ตถาคโต ปชานาตี’’ติอาทินา วิมทฺทิตฺวา นิชฺชฎํ นิคุมฺพํ กตฺวา ทิฎฺฐิชฎาวิชฎเนน ทิฎฺฐิคุมฺพวิวรเณน จฯ

    Khattiyādibhedena anekabhedabhinnāpi sassatavādino jātisatasahassānussaraṇādino abhinivesahetuno vasena cattārova honti , na tato uddhaṃ adhoti sassatavādādīnaṃ parimāṇaparicchedassa anaññavisayataṃ dassetuṃ ‘‘cattāro janā’’tiādimāha. Tattha cattāro janāti cattāro janasamūhā. Idaṃ nissāyāti idaṃ idappaccayatāya sammā aggahaṇaṃ, tatthāpi ca hetuphalabhāvena sambandhānaṃ santatighanassa abheditattā paramatthato vijjamānampi bhedanibandhanaṃ nānattanayaṃ anupadhāretvā gahitaṃ ekattaggahaṇaṃ nissāya. Idaṃ gaṇhantīti idaṃ sassataggahaṇaṃ abhinivissa voharanti, iminā nayena ekaccasassatavādādayopettha yathāsambhavaṃ yojetvā vattabbā. Bhinditvāti ‘‘ātappamanvāyā’’tiādinā vibhajitvā ‘‘tayidaṃ bhikkhave tathāgato pajānātī’’tiādinā vimadditvā nijjaṭaṃ nigumbaṃ katvā diṭṭhijaṭāvijaṭanena diṭṭhigumbavivaraṇena ca.

    ‘‘ตสฺมา’’ติอาทินา พุทฺธคุเณ อารพฺภ เทสนาย สมุฎฺฐิตตฺตา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อุทฺทิสิตฺวา เทสนากุสโล ภควา สมยนฺตรวิคฺคาหณวเสน สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว วิสฺสเชฺชตีติ ทเสฺสติฯ ‘‘สนฺตี’’ติ อิมินา เตสํ ทิฎฺฐิคติกานํ วิชฺชมานตาย อวิจฺฉินฺนตํ, ตโต จ เนสํ มิจฺฉาคาหโต สิถิลกรณวิเวจเนหิ อตฺตโน เทสนาย กิจฺจการิตํ, อวิตถตญฺจ ทีเปติ ธมฺมราชาฯ

    ‘‘Tasmā’’tiādinā buddhaguṇe ārabbha desanāya samuṭṭhitattā sabbaññutaññāṇaṃ uddisitvā desanākusalo bhagavā samayantaraviggāhaṇavasena sabbaññutaññāṇameva vissajjetīti dasseti. ‘‘Santī’’ti iminā tesaṃ diṭṭhigatikānaṃ vijjamānatāya avicchinnataṃ, tato ca nesaṃ micchāgāhato sithilakaraṇavivecanehi attano desanāya kiccakāritaṃ, avitathatañca dīpeti dhammarājā.

    ๒๙. อตฺถีติ ‘‘สํวิชฺชนฺตี’’ติ อิมินา สมานโตฺถ ปุถุวจนวิสโย เอโก นิปาโต ‘‘อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย เกสา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๗๗; ม. นิ. ๑.๑๑๐; ม. นิ. ๓.๑๕๔; สํ. นิ. ๔.๑๒๗; ขุ. ปา. ๓.๑) วิยฯ สสฺสตาทิวเสน ปุพฺพนฺตํ กเปฺปนฺตีติ ปุพฺพนฺตกปฺปิกาฯ ยสฺมา ปน เต ตํ ปุพฺพนฺตํ ปุริมสิเทฺธหิ ตณฺหาทิฎฺฐิกเปฺปหิ กเปฺปตฺวา, อาเสวนพลวตาย วิจิตฺตวุตฺติตาย จ วิกเปฺปตฺวา อปรภาคสิเทฺธหิ อภินิเวสภูเตหิ ตณฺหาทิฎฺฐิคฺคาเหหิ คณฺหนฺติ อภินิวิสนฺติ ปรามสนฺติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ปุพฺพนฺตํ กเปฺปตฺวา วิกเปฺปตฺวา คณฺหนฺตี’’ติฯ ตณฺหุปาทานวเสน วา กปฺปนคฺคหณานิ เวทิตพฺพานิฯ ตณฺหาปจฺจยา หิ อุปาทานํฯ โกฎฺฐาเสสูติ เอตฺถ โกฎฺฐาสาทีสูติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปทปูรณสมีปอุมฺมคฺคาทีสุปิ หิ อนฺต-สโทฺท ทิสฺสติฯ ตถา หิ ‘‘อิงฺฆ ตฺวํ สุตฺตเนฺต วา คาถาโย วา อภิธมฺมํ วา ปริยาปุณสฺสุ (ปาจิ. ๔๔๒), สุตฺตเนฺต โอกาสํ การาเปตฺวา’’ติ (ปาจิ. ๑๒๒๑) จ อาทีสุ ปทปูรเณ อนฺต-สโทฺท วตฺตติ, คามนฺตํ โอสเรยฺย, (ปารา. ๔๐๙; จูฬว. ๓๔๓) คามนฺตเสนาสน’’นฺติอาทีสุ สมีเป , ‘‘กามสุขลฺลิกานุโยโค เอโก อโนฺต, อตฺถีติ โข กจฺจาน อยเมโก อโนฺต’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕; ๓.๙๐) อุมฺมเคฺคติฯ

    29.Atthīti ‘‘saṃvijjantī’’ti iminā samānattho puthuvacanavisayo eko nipāto ‘‘atthi imasmiṃ kāye kesā’’tiādīsu (dī. ni. 2.377; ma. ni. 1.110; ma. ni. 3.154; saṃ. ni. 4.127; khu. pā. 3.1) viya. Sassatādivasena pubbantaṃ kappentīti pubbantakappikā. Yasmā pana te taṃ pubbantaṃ purimasiddhehi taṇhādiṭṭhikappehi kappetvā, āsevanabalavatāya vicittavuttitāya ca vikappetvā aparabhāgasiddhehi abhinivesabhūtehi taṇhādiṭṭhiggāhehi gaṇhanti abhinivisanti parāmasanti, tasmā vuttaṃ ‘‘pubbantaṃkappetvā vikappetvā gaṇhantī’’ti. Taṇhupādānavasena vā kappanaggahaṇāni veditabbāni. Taṇhāpaccayā hi upādānaṃ. Koṭṭhāsesūti ettha koṭṭhāsādīsūti attho veditabbo. Padapūraṇasamīpaummaggādīsupi hi anta-saddo dissati. Tathā hi ‘‘iṅgha tvaṃ suttante vā gāthāyo vā abhidhammaṃ vā pariyāpuṇassu (pāci. 442), suttante okāsaṃ kārāpetvā’’ti (pāci. 1221) ca ādīsu padapūraṇe anta-saddo vattati, gāmantaṃ osareyya, (pārā. 409; cūḷava. 343) gāmantasenāsana’’ntiādīsu samīpe , ‘‘kāmasukhallikānuyogo eko anto, atthīti kho kaccāna ayameko anto’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.15; 3.90) ummaggeti.

    กปฺป-สโทฺท มหากปฺปสมนฺตภาวกิเลสกามวิตกฺกกาลปญฺญตฺติสทิสภาวาทีสุ วตฺตตีติ อาห ‘‘สมฺพหุเลสุ อเตฺถสุ วตฺตตี’’ติฯ ตถา เหส ‘‘จตฺตาริมานิ ภิกฺขเว กปฺปสฺส อสเงฺขฺยยฺยานี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๕๖) มหากเปฺป วตฺตติ, ‘‘เกวลกปฺปํ เวฬุวนํ โอภาเสตฺวา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๙๔) สมนฺตภาเว, ‘‘สงฺกโปฺป กาโม, ราโค กาโม, สงฺกปฺปราโค กาโม’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๑; จูฬนิ. ๘) กิเลสกาเม, ‘‘ตโกฺก วิตโกฺก สงฺกโปฺป’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๗) วิตเกฺก, ‘‘เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) กาเล, ‘‘อิจฺจายสฺมา กโปฺป’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๑๐๙๐; จูฬนิ. ๑๑๓) ปญฺญตฺติยํ, ‘‘สตฺถุกเปฺปน วต กิร โภ สาวเกน สทฺธิํ มนฺตยมานา น ชานิมฺหา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๖๐) สทิสภาเว วตฺตตีติฯ วุตฺตมฺปิ เจตนฺติ มหานิเทฺทสํ (มหานิ. ๒๘) สนฺธายาหฯ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสนาติ ทิฎฺฐิยา อุปนิสฺสยภูตาย สหชาตาย อภินนฺทนภูตาย จ ตณฺหาย, สสฺสตาทิอากาเรน อภินิวิสนฺตสฺส มิจฺฉาคาหสฺส จ วเสนฯ ปุเพฺพนิวุตฺถธมฺมวิสยาย กปฺปนาย อธิเปฺปตตฺตา อตีตกาลวาจโก อิธ ปุพฺพ-สโทฺท, รูปาทิขนฺธวินิมุตฺตสฺส กปฺปนาวตฺถุโน อภาวา อนฺต-สโทฺท จ ภาควาจโกติ อาห ‘‘อตีตํ ขนฺธโกฎฺฐาส’’นฺติฯ ‘‘กเปฺปตฺวา’’ติ จ ตสฺมิํ ปุพฺพเนฺต ตณฺหายนาภินิเวสานํ สมตฺถนํ ปรินิฎฺฐาปนมาหฯ ฐิตาติ ตสฺสา ลทฺธิยา อวิชหนํฯ อารพฺภาติ อาลมฺพิตฺวาฯ วิสโย หิ ตสฺสา ทิฎฺฐิยา ปุพฺพโนฺตฯ วิสยภาวโต เอว หิ โส ตสฺสา อาคมนฎฺฐานํ, อารมฺมณปจฺจโย จาติ วุตฺตํ ‘‘อาคมฺม ปฎิจฺจา’’ติฯ

    Kappa-saddo mahākappasamantabhāvakilesakāmavitakkakālapaññattisadisabhāvādīsu vattatīti āha ‘‘sambahulesu atthesu vattatī’’ti. Tathā hesa ‘‘cattārimāni bhikkhave kappassa asaṅkhyeyyānī’’tiādīsu (a. ni. 4.156) mahākappe vattati, ‘‘kevalakappaṃ veḷuvanaṃ obhāsetvā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.94) samantabhāve, ‘‘saṅkappo kāmo, rāgo kāmo, saṅkapparāgo kāmo’’tiādīsu (mahāni. 1; cūḷani. 8) kilesakāme, ‘‘takko vitakko saṅkappo’’tiādīsu (dha. sa. 7) vitakke, ‘‘yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.387) kāle, ‘‘iccāyasmā kappo’’tiādīsu (su. ni. 1090; cūḷani. 113) paññattiyaṃ, ‘‘satthukappena vata kira bho sāvakena saddhiṃ mantayamānā na jānimhā’’tiādīsu (ma. ni. 1.260) sadisabhāve vattatīti. Vuttampi cetanti mahāniddesaṃ (mahāni. 28) sandhāyāha. Taṇhādiṭṭhivasenāti diṭṭhiyā upanissayabhūtāya sahajātāya abhinandanabhūtāya ca taṇhāya, sassatādiākārena abhinivisantassa micchāgāhassa ca vasena. Pubbenivutthadhammavisayāya kappanāya adhippetattā atītakālavācako idha pubba-saddo, rūpādikhandhavinimuttassa kappanāvatthuno abhāvā anta-saddo ca bhāgavācakoti āha ‘‘atītaṃ khandhakoṭṭhāsa’’nti. ‘‘Kappetvā’’ti ca tasmiṃ pubbante taṇhāyanābhinivesānaṃ samatthanaṃ pariniṭṭhāpanamāha. Ṭhitāti tassā laddhiyā avijahanaṃ. Ārabbhāti ālambitvā. Visayo hi tassā diṭṭhiyā pubbanto. Visayabhāvato eva hi so tassā āgamanaṭṭhānaṃ, ārammaṇapaccayo cāti vuttaṃ ‘‘āgamma paṭiccā’’ti.

    อธิวจนปทานีติ ปญฺญตฺติปทานิฯ ทาสาทีสุ สิริวฑฺฒกาทิ-สทฺทา วิย วจนมตฺตเมว อธิการํ กตฺวา ปวตฺติยา อธิวจนํ ปญฺญตฺติฯ อถ วา อธิ-สโทฺท อุปริภาเว, วุจฺจตีติ วจนํ, อุปริ วจนํ อธิวจนํ, อุปาทาภูตรูปาทีนํ อุปริ ปญฺญาปิยมานา อุปาทาปญฺญตฺตีติ อโตฺถ , ตสฺมา ปญฺญตฺติทีปกปทานีติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ปญฺญตฺติมตฺตเญฺหตํ วุจฺจติ, ยทิทํ ‘‘อตฺตา, โลโก’’ติ จ, น รูปเวทนาทโย วิย ปรมโตฺถฯ อธิกวุตฺติตาย วา อธิวุตฺติโยติ ทิฎฺฐิโย วุจฺจนฺติฯ อธิกญฺหิ สภาวธเมฺมสุ สสฺสตาทิํ ปกติอาทิทพฺพาทิํ ชีวาทิํ กายาทิญฺจ อภูตมตฺถํ อชฺฌาโรเปตฺวา ทิฎฺฐิโย ปวตฺตนฺตีติฯ

    Adhivacanapadānīti paññattipadāni. Dāsādīsu sirivaḍḍhakādi-saddā viya vacanamattameva adhikāraṃ katvā pavattiyā adhivacanaṃ paññatti. Atha vā adhi-saddo uparibhāve, vuccatīti vacanaṃ, upari vacanaṃ adhivacanaṃ, upādābhūtarūpādīnaṃ upari paññāpiyamānā upādāpaññattīti attho , tasmā paññattidīpakapadānīti attho daṭṭhabbo. Paññattimattañhetaṃ vuccati, yadidaṃ ‘‘attā, loko’’ti ca, na rūpavedanādayo viya paramattho. Adhikavuttitāya vā adhivuttiyoti diṭṭhiyo vuccanti. Adhikañhi sabhāvadhammesu sassatādiṃ pakatiādidabbādiṃ jīvādiṃ kāyādiñca abhūtamatthaṃ ajjhāropetvā diṭṭhiyo pavattantīti.

    ๓๐. อภิวทนฺตีติ ‘‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญ’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๑๘๗, ๒๐๓, ๔๒๗; ม. นิ. ๓.๒๗, ๒๙) อภินิวิสิตฺวา วทนฺติ ‘‘อยํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม’’ติอาทินา วิวทนฺติฯ อภิวทนกิริยาย อชฺชาปิ อวิเจฺฉทภาวทสฺสนตฺถํ วตฺตมานกาลวจนํฯ ทิฎฺฐิ เอว ทิฎฺฐิคตํ ‘‘มุตฺตคตํ, (ม. นิ. ๒.๑๑๙; อ. นิ. ๙.๑๑) สงฺขารคต’’นฺติอาทีสุ (มหานิ. ๔๑) วิยฯ คนฺตพฺพาภาวโต วา ทิฎฺฐิยา คตมตฺตํ, ทิฎฺฐิยา คหณมตฺตนฺติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐิปฺปกาโร วา ทิฎฺฐิคตํฯ โลกิยา หิ วิธยุตฺตคตปการ-สเทฺท สมานเตฺถ อิจฺฉนฺติฯ เอเกกสฺมิญฺจ ‘‘อตฺตา’’ติ, ‘‘โลโก’’ติ จ คหณวิเสสํ อุปาทาย ปญฺญาปนํ โหตีติ อาห ‘‘รูปาทีสุ อญฺญตรํ อตฺตา จ โลโก จาติ คเหตฺวา’’ติฯ อมรํ นิจฺจํ ธุวนฺติ สสฺสตเววจนานิฯ มรณาภาเวน วา อมรํ, อุปฺปาทาภาเวน สพฺพถาปิ อตฺถิตาย นิจฺจํ, ถิรเฎฺฐน วิการาภาเวน ธุวํฯ ‘‘ยถาหา’’ติอาทินา ยถาวุตฺตมตฺถํ นิเทฺทสปฎิสมฺภิทาปาฬีหิ วิภาเวติฯ อยญฺจ อโตฺถ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ, เวทนํ, สญฺญํ, สงฺขาเร, วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติ อิมิสฺสา ปญฺจวิธาย สกฺกายทิฎฺฐิยา วเสน วุโตฺตฯ ‘‘รูปวนฺตํ อตฺตาน’’นฺติอาทิกาย ปน ปญฺจทสวิธาย สกฺกายทิฎฺฐิยา วเสน จตฺตาโร จตฺตาโร ขเนฺธ ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตทญฺญํ ‘‘โลโก’’ติ ปญฺญเปนฺตีติ อยมฺปิ อโตฺถ ลพฺภติฯ ตถา เอกํ ขนฺธํ ’’อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตทเญฺญ อตฺตโน อุปโภคภูโต โลโกติ, สสนฺตติปติเต วา ขเนฺธ ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตทเญฺญ ‘‘โลโก’’ติ ปญฺญเปนฺตีติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอตฺถาห – สสฺสโต วาโท เอเตสนฺติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ เตสํ อตฺตา โลโก จ สสฺสโตติ อธิเปฺปโต, น วาโท ติ? สจฺจเมตํ, สสฺสตสหจริตตาย ปน ‘‘วาโท สสฺสโต’’ติ วุตฺตํ ยถา ‘‘กุนฺตา ปจรนฺตี’’ติฯ สสฺสโต อิติ วาโท เอเตสนฺติ วา อิติ-สทฺทโลโป ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา สสฺสตํ วทนฺติ ‘‘อิทเมว สจฺจ’’นฺติ อภินิวิสฺส โวหรนฺตีติ สสฺสตวาทา, สสฺสตทิฎฺฐิโนติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    30.Abhivadantīti ‘‘idameva saccaṃ, moghamañña’’nti (ma. ni. 2.187, 203, 427; ma. ni. 3.27, 29) abhinivisitvā vadanti ‘‘ayaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo’’tiādinā vivadanti. Abhivadanakiriyāya ajjāpi avicchedabhāvadassanatthaṃ vattamānakālavacanaṃ. Diṭṭhi eva diṭṭhigataṃ ‘‘muttagataṃ, (ma. ni. 2.119; a. ni. 9.11) saṅkhāragata’’ntiādīsu (mahāni. 41) viya. Gantabbābhāvato vā diṭṭhiyā gatamattaṃ, diṭṭhiyā gahaṇamattanti attho. Diṭṭhippakāro vā diṭṭhigataṃ. Lokiyā hi vidhayuttagatapakāra-sadde samānatthe icchanti. Ekekasmiñca ‘‘attā’’ti, ‘‘loko’’ti ca gahaṇavisesaṃ upādāya paññāpanaṃ hotīti āha ‘‘rūpādīsu aññataraṃ attā ca loko cāti gahetvā’’ti. Amaraṃ niccaṃ dhuvanti sassatavevacanāni. Maraṇābhāvena vā amaraṃ, uppādābhāvena sabbathāpi atthitāya niccaṃ, thiraṭṭhena vikārābhāvena dhuvaṃ. ‘‘Yathāhā’’tiādinā yathāvuttamatthaṃ niddesapaṭisambhidāpāḷīhi vibhāveti. Ayañca attho ‘‘rūpaṃ attato samanupassati, vedanaṃ, saññaṃ, saṅkhāre, viññāṇaṃ attato samanupassatī’’ti imissā pañcavidhāya sakkāyadiṭṭhiyā vasena vutto. ‘‘Rūpavantaṃ attāna’’ntiādikāya pana pañcadasavidhāya sakkāyadiṭṭhiyā vasena cattāro cattāro khandhe ‘‘attā’’ti gahetvā tadaññaṃ ‘‘loko’’ti paññapentīti ayampi attho labbhati. Tathā ekaṃ khandhaṃ ’’attā’’ti gahetvā tadaññe attano upabhogabhūto lokoti, sasantatipatite vā khandhe ‘‘attā’’ti gahetvā tadaññe ‘‘loko’’ti paññapentīti evampettha attho daṭṭhabbo. Etthāha – sassato vādo etesanti kasmā vuttaṃ, nanu tesaṃ attā loko ca sassatoti adhippeto, na vādo ti? Saccametaṃ, sassatasahacaritatāya pana ‘‘vādo sassato’’ti vuttaṃ yathā ‘‘kuntā pacarantī’’ti. Sassato iti vādo etesanti vā iti-saddalopo daṭṭhabbo. Atha vā sassataṃ vadanti ‘‘idameva sacca’’nti abhinivissa voharantīti sassatavādā, sassatadiṭṭhinoti evampettha attho daṭṭhabbo.

    ๓๑. อาตาปนํ กิเลสานํ วิพาธนํ ปหานํฯ ปทหนํ โกสชฺชปเกฺข ปติตุํ อทตฺวา จิตฺตสฺส อุสฺสหนํฯ อนุโยโค ยถา สมาธิ วิเสสภาคิยตํ ปาปุณาติ, เอวํ วีริยสฺส พหุลีกรณํฯ อิธ อุปจารปฺปนาจิตฺตปริทมนวีริยานํ อธิเปฺปตตฺตา อาห ‘‘ติปฺปเภทํ วีริย’’นฺติ ฯ นปฺปมชฺชติ เอเตนาติ อปฺปมาโท, อสโมฺมโสฯ สมฺมา อุปาเยน มนสิ กโรติ กมฺมฎฺฐานํ เอเตนาติ สมฺมามนสิกาโร ญาณนฺติ อาห ‘‘วีริยญฺจ สติญฺจ ญาณญฺจา’’ติฯ เอตฺถาติ ‘‘อาตปฺป…เป.… มนสิการํ อนฺวายา’’ติ อิมสฺมิํ ปาเฐฯ สีลวิสุทฺธิยา สทฺธิํ จตุนฺนํ รูปาวจรชฺฌานานํ อธิคมนปฎิปทา วตฺตพฺพา, สา ปน วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถารโต วุตฺตาติ อาห ‘‘สเงฺขปโตฺถ’’ติฯ ‘‘ตถารูป’’นฺติ จุทฺทสวิเธหิ จิตฺตทมเนหิ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานสฺส ทมิตตํ วทติฯ

    31.Ātāpanaṃ kilesānaṃ vibādhanaṃ pahānaṃ. Padahanaṃ kosajjapakkhe patituṃ adatvā cittassa ussahanaṃ. Anuyogo yathā samādhi visesabhāgiyataṃ pāpuṇāti, evaṃ vīriyassa bahulīkaraṇaṃ. Idha upacārappanācittaparidamanavīriyānaṃ adhippetattā āha ‘‘tippabhedaṃ vīriya’’nti . Nappamajjati etenāti appamādo, asammoso. Sammā upāyena manasi karoti kammaṭṭhānaṃ etenāti sammāmanasikāro ñāṇanti āha ‘‘vīriyañca satiñca ñāṇañcā’’ti. Etthāti ‘‘ātappa…pe… manasikāraṃ anvāyā’’ti imasmiṃ pāṭhe. Sīlavisuddhiyā saddhiṃ catunnaṃ rūpāvacarajjhānānaṃ adhigamanapaṭipadā vattabbā, sā pana visuddhimagge vitthārato vuttāti āha ‘‘saṅkhepattho’’ti. ‘‘Tathārūpa’’nti cuddasavidhehi cittadamanehi rūpāvacaracatutthajjhānassa damitataṃ vadati.

    สมาธานาทิอฎฺฐงฺคสมนฺนาคตรูปาวจรจตุตฺถชฺฌานสฺส โยคิโน สมาธิวิชมฺภนภูตา โลกิยาภิญฺญา ฌานานุภาโวฯ ‘‘ฌานาทีน’’นฺติ อิทํ ฌานลาภิสฺส วิเสเสน ฌานธมฺมา อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, ตํมุเขน เสสธมฺมาติ อิมมตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ชนกภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ สติ หิ ชนกภาเว รูปาทิธมฺมานํ วิย สุขาทิธมฺมานํ วิย, จ ปจฺจยายตฺตวุตฺติตาย อุปฺปาทวนฺตตา วิญฺญายติ, อุปฺปาเท จ สติ อวสฺสมฺภาวี นิโรโธติ อนวกาสาว นิจฺจตา สิยาติฯ กูฎฎฺฐ-สโทฺท วา โลเก อจฺจนฺตนิเจฺจ นิรุโฬฺห ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิโต’’ติ เอเตน ยถา เอสิกา วาตปฺปหาราทีหิ น จลติ, เอวํ น เกนจิ วิการํ อาปชฺชตีติ วิการาภาวมาห, ‘‘กูฎโฎฺฐ’’ติ อิมินา ปน อนิจฺจตาภาวํฯ วิกาโรปิ วินาโสเยวาติ อาห, ‘‘อุภเยนปิ โลกสฺส วินาสาภาวํ ทีเปตี’’ติฯ ‘‘วิชฺชมานเมวา’’ติ เอเตน การเณ ผลสฺส อตฺถิภาวทสฺสเนน อภิพฺยตฺติวาทํ ทีเปติฯ นิกฺขมตีติ จ อภิพฺยตฺติํ คจฺฉตีติ อโตฺถฯ กถํ ปน วิชฺชมาโนเยว ปุเพฺพ อนภิพฺยโตฺต อภิพฺยตฺติํ คจฺฉตีติ? ยถา อนฺธกาเรน ปฎิจฺฉโนฺน ฆโฎ อาโลเกน อภิพฺยตฺติํ คจฺฉติฯ

    Samādhānādiaṭṭhaṅgasamannāgatarūpāvacaracatutthajjhānassa yogino samādhivijambhanabhūtā lokiyābhiññā jhānānubhāvo. ‘‘Jhānādīna’’nti idaṃ jhānalābhissa visesena jhānadhammā āpāthaṃ āgacchanti, taṃmukhena sesadhammāti imamatthaṃ sandhāya vuttaṃ. Janakabhāvaṃ paṭikkhipati. Sati hi janakabhāve rūpādidhammānaṃ viya sukhādidhammānaṃ viya, ca paccayāyattavuttitāya uppādavantatā viññāyati, uppāde ca sati avassambhāvī nirodhoti anavakāsāva niccatā siyāti. Kūṭaṭṭha-saddo vā loke accantanicce niruḷho daṭṭhabbo. ‘‘Esikaṭṭhāyiṭṭhito’’ti etena yathā esikā vātappahārādīhi na calati, evaṃ na kenaci vikāraṃ āpajjatīti vikārābhāvamāha, ‘‘kūṭaṭṭho’’ti iminā pana aniccatābhāvaṃ. Vikāropi vināsoyevāti āha, ‘‘ubhayenapi lokassa vināsābhāvaṃ dīpetī’’ti. ‘‘Vijjamānamevā’’ti etena kāraṇe phalassa atthibhāvadassanena abhibyattivādaṃ dīpeti. Nikkhamatīti ca abhibyattiṃ gacchatīti attho. Kathaṃ pana vijjamānoyeva pubbe anabhibyatto abhibyattiṃ gacchatīti? Yathā andhakārena paṭicchanno ghaṭo ālokena abhibyattiṃ gacchati.

    อิทเมตฺถ วิจาเรตพฺพํ – กิํ กโรโนฺต อาโลโก ฆฎํ ปกาเสตีติ วุจฺจติ, ยทิ ฆฎวิสยํ พุทฺธิํ กโรโนฺต, พุทฺธิยา อนุปฺปนฺนาย อุปฺปตฺติทีปนโต อภิพฺยตฺติวาโท หายติฯ อถ ฆฎพุทฺธิยา อาวรณภูตํ อนฺธการํ วิธมโนฺต, เอวมฺปิ อภิพฺยตฺติวาโท หายติเยวฯ สติ หิ ฆฎพุทฺธิยา อนฺธกาโร กถํ ตสฺสา อาวรณํ โหตีติ, ยถา ฆฎสฺส อภิพฺยตฺติ น ยุชฺชติ, เอวํ อตฺตโนปิฯ ตตฺถาปิ หิ ยทิ อินฺทฺริยวิสยาทิสนฺนิปาเตน อนุปฺปนฺนาย พุทฺธิยา อุปฺปตฺติ, อุปฺปตฺติวจเนเนว อภิพฺยตฺติวาโท หายติ, ตถา สสฺสตวาโทฯ อถ พุทฺธิปฺปวตฺติยา อาวรณภูตสฺส อนฺธการฎฺฐานิยสฺส โมหสฺส วิธมเนนฯ สติ พุทฺธิยา กถํ โมโห อาวรณนฺติ, กิญฺจิ เภทสมฺภวโตฯ น หิ อภิพฺยญฺชนกานํ จนฺทสูริยมณิปทีปาทีนํ เภเทน อภิพฺยญฺชิตพฺพานํ ฆฎาทีนํ เภโท โหติ, โหติ จ วิสยเภเทน พุทฺธิเภโทติ ภิโยฺยปิ อภิพฺยตฺติ น ยุชฺชติเยว, น เจตฺถ วุตฺติกปฺปนา ยุตฺตา วุตฺติยา วุตฺติมโต จ อนญฺญถานุชานนโตติ ฯ เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺตีติ เย อิธ มนุสฺสภาเวน อวฎฺฐิตา, เตเยว เทวภาวาทิอุปคมเนน อิโต อญฺญตฺถ คจฺฉนฺติ, อญฺญถา กตสฺส กมฺมสฺส วินาโส, อกตสฺส จ อพฺภาคโม อาปเชฺชยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ

    Idamettha vicāretabbaṃ – kiṃ karonto āloko ghaṭaṃ pakāsetīti vuccati, yadi ghaṭavisayaṃ buddhiṃ karonto, buddhiyā anuppannāya uppattidīpanato abhibyattivādo hāyati. Atha ghaṭabuddhiyā āvaraṇabhūtaṃ andhakāraṃ vidhamanto, evampi abhibyattivādo hāyatiyeva. Sati hi ghaṭabuddhiyā andhakāro kathaṃ tassā āvaraṇaṃ hotīti, yathā ghaṭassa abhibyatti na yujjati, evaṃ attanopi. Tatthāpi hi yadi indriyavisayādisannipātena anuppannāya buddhiyā uppatti, uppattivacaneneva abhibyattivādo hāyati, tathā sassatavādo. Atha buddhippavattiyā āvaraṇabhūtassa andhakāraṭṭhāniyassa mohassa vidhamanena. Sati buddhiyā kathaṃ moho āvaraṇanti, kiñci bhedasambhavato. Na hi abhibyañjanakānaṃ candasūriyamaṇipadīpādīnaṃ bhedena abhibyañjitabbānaṃ ghaṭādīnaṃ bhedo hoti, hoti ca visayabhedena buddhibhedoti bhiyyopi abhibyatti na yujjatiyeva, na cettha vuttikappanā yuttā vuttiyā vuttimato ca anaññathānujānanatoti . Teca sattā sandhāvantīti ye idha manussabhāvena avaṭṭhitā, teyeva devabhāvādiupagamanena ito aññattha gacchanti, aññathā katassa kammassa vināso, akatassa ca abbhāgamo āpajjeyyāti adhippāyo.

    อปราปรนฺติ อปรสฺมา ภวา อปรํ ภวํฯ เอวํ สงฺขฺยํ คจฺฉนฺตีติ อตฺตโน นิจฺจสภาวตฺตา น จุตูปปตฺติโย, สพฺพพฺยาปิตาย นาปิ สนฺธาวนสํสรณานิ, ธมฺมานํเยว ปน ปวตฺติวิเสเสน เอวํ สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติ, เอวํ โวหรียนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ เอเตน อวฎฺฐิตสภาวสฺส อตฺตโน, ธมฺมิโน จ ธมฺมมตฺตํ อุปฺปชฺชติ เจว วินสฺสติ จาติ อิมํ วิปริณามวาทํ ทเสฺสติฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ ปรโต วกฺขามฯ อตฺตโน วาทํ ภินฺทตีติ สนฺธาวนาทิวจนสิทฺธาย อนิจฺจตาย ปุเพฺพ ปฎิญฺญาตํ สสฺสตวาทํ ภินฺทติ, วิทฺธํเสตีติ อโตฺถฯ สสฺสติสมนฺติ วา เอตสฺส สสฺสตํ ถาวรํ นิจฺจกาลนฺติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Aparāparanti aparasmā bhavā aparaṃ bhavaṃ. Evaṃ saṅkhyaṃ gacchantīti attano niccasabhāvattā na cutūpapattiyo, sabbabyāpitāya nāpi sandhāvanasaṃsaraṇāni, dhammānaṃyeva pana pavattivisesena evaṃ saṅkhyaṃ gacchanti, evaṃ voharīyantīti adhippāyo. Etena avaṭṭhitasabhāvassa attano, dhammino ca dhammamattaṃ uppajjati ceva vinassati cāti imaṃ vipariṇāmavādaṃ dasseti. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ parato vakkhāma. Attano vādaṃ bhindatīti sandhāvanādivacanasiddhāya aniccatāya pubbe paṭiññātaṃ sassatavādaṃ bhindati, viddhaṃsetīti attho. Sassatisamanti vā etassa sassataṃ thāvaraṃ niccakālanti attho daṭṭhabbo.

    เหตุํ ทเสฺสโนฺตติ เยสํ ‘‘สสฺสโต’’ติ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปติ อยํ ทิฎฺฐิคติโก, เตสํ เหตุํ ทเสฺสโนฺตติ อโตฺถฯ น หิ อตฺตโน ทิฎฺฐิยา ปจฺจกฺขกตมตฺถํ อตฺตโนเยว สาเธติ, อตฺตโน ปน ปจฺจกฺขกเตน อเตฺถน อตฺตโน อปฺปจฺจกฺขภูตมฺปิ อตฺถํ สาเธติฯ อตฺตนา หิ ยถานิจฺฉิตํ ปเรหิ วิญฺญาเปติ, น อนิจฺฉิตํฯ ‘‘เหตุํ ทเสฺสโนฺต’’ติ เอตฺถ อิทํ เหตุทสฺสนํ – เอเตสุ อเนเกสุ ชาติสตสหเสฺสสุ เอโกวายํ เม อตฺตา, โลโก จ อนุสฺสรณสพฺภาวโตฯ โย หิ ยมตฺถํ อนุภวติ, โส เอว ตํ อนุสฺสรติ, น อโญฺญฯ น หิ อเญฺญน อนุภูตมตฺถํ อโญฺญ อนุสฺสริตุํ สโกฺกติ ยถา ตํ พุทฺธรกฺขิเตน อนุภูตํ ธมฺมรกฺขิโตฯ ยถา เจตาสุ, เอวํ อิโต ปุริมตราสุปิ ชาตีสูติฯ กสฺมา สสฺสโต เม อตฺตา จ โลโก จฯ ยถา จ เม, เอวํ อเญฺญสมฺปิ สตฺตานํ สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จาติ? สสฺสตวเสน ทิฎฺฐิคหนํ ปกฺขโนฺท ทิฎฺฐิคติโก ปเรปิ ตตฺถ ปติฎฺฐเปติ, ปาฬิยํ ปน ‘‘อเนกวิหิตานิ อธิวุตฺติปทานิ อภิวทนฺติฯ โส เอวํ อาหา’’ติ จ วจนโต ปรานุมานวเสน อิธ เหตุทสฺสนํ อธิเปฺปตนฺติ วิญฺญายติฯ การณนฺติ ติวิธํ การณํ สมฺปาปกํ นิพฺพตฺตกํ ญาปกนฺติฯ ตตฺถ อริยมโคฺค นิพฺพานสฺส สมฺปาปกํ การณํ, พีชํ องฺกุรสฺส นิพฺพตฺตกํ การณํ, ปจฺจยุปฺปนฺนตาทโย อนิจฺจตาทีนํ ญาปกํ การณํ, อิธาปิ ญาปกการณเมว อธิเปฺปตํฯ ญาปโก หิ ญาเปตพฺพตฺถวิสยสฺส ญาณสฺส เหตุภาวโต การณนฺติฯ ตทายตฺตวุตฺติตาย ตํ ญาณํ ติฎฺฐติ ตตฺถาติ ‘‘ฐาน’’นฺติ, วสติ ตตฺถ ปวตฺตตีติ ‘‘วตฺถู’’ติ จ วุจฺจติฯ ตถา หิ ภควตา วตฺถุ-สเทฺทน อุทฺทิสิตฺวาปิ ฐานสเทฺทน นิทฺทิฎฺฐนฺติฯ

    Hetuṃ dassentoti yesaṃ ‘‘sassato’’ti attānañca lokañca paññapeti ayaṃ diṭṭhigatiko, tesaṃ hetuṃ dassentoti attho. Na hi attano diṭṭhiyā paccakkhakatamatthaṃ attanoyeva sādheti, attano pana paccakkhakatena atthena attano appaccakkhabhūtampi atthaṃ sādheti. Attanā hi yathānicchitaṃ parehi viññāpeti, na anicchitaṃ. ‘‘Hetuṃ dassento’’ti ettha idaṃ hetudassanaṃ – etesu anekesu jātisatasahassesu ekovāyaṃ me attā, loko ca anussaraṇasabbhāvato. Yo hi yamatthaṃ anubhavati, so eva taṃ anussarati, na añño. Na hi aññena anubhūtamatthaṃ añño anussarituṃ sakkoti yathā taṃ buddharakkhitena anubhūtaṃ dhammarakkhito. Yathā cetāsu, evaṃ ito purimatarāsupi jātīsūti. Kasmā sassato me attā ca loko ca. Yathā ca me, evaṃ aññesampi sattānaṃ sassato attā ca loko cāti? Sassatavasena diṭṭhigahanaṃ pakkhando diṭṭhigatiko parepi tattha patiṭṭhapeti, pāḷiyaṃ pana ‘‘anekavihitāni adhivuttipadāni abhivadanti. So evaṃ āhā’’ti ca vacanato parānumānavasena idha hetudassanaṃ adhippetanti viññāyati. Kāraṇanti tividhaṃ kāraṇaṃ sampāpakaṃ nibbattakaṃ ñāpakanti. Tattha ariyamaggo nibbānassa sampāpakaṃ kāraṇaṃ, bījaṃ aṅkurassa nibbattakaṃ kāraṇaṃ, paccayuppannatādayo aniccatādīnaṃ ñāpakaṃ kāraṇaṃ, idhāpi ñāpakakāraṇameva adhippetaṃ. Ñāpako hi ñāpetabbatthavisayassa ñāṇassa hetubhāvato kāraṇanti. Tadāyattavuttitāya taṃ ñāṇaṃ tiṭṭhati tatthāti ‘‘ṭhāna’’nti, vasati tattha pavattatīti ‘‘vatthū’’ti ca vuccati. Tathā hi bhagavatā vatthu-saddena uddisitvāpi ṭhānasaddena niddiṭṭhanti.

    ๓๒-๓๓. ทุติยตติยวาทานํ ปฐมวาทโต นตฺถิ วิเสโส ฐเปตฺวา กาลวิเสสนฺติ อาห ‘‘อุปริ วาททฺวเยปิ เอเสว นโย’’ติฯ ยทิ เอวํ กสฺมา สสฺสตวาโท จตุธา วิภโตฺต, นนุ อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาโท วิย ทุวิเธเนว วิภชิตโพฺพ สิยาติ อาห ‘‘มนฺทปโญฺญ หิ ติตฺถิโย’’ติอาทิฯ

    32-33. Dutiyatatiyavādānaṃ paṭhamavādato natthi viseso ṭhapetvā kālavisesanti āha ‘‘upari vādadvayepi eseva nayo’’ti. Yadi evaṃ kasmā sassatavādo catudhā vibhatto, nanu adhiccasamuppannikavādo viya duvidheneva vibhajitabbo siyāti āha ‘‘mandapañño hi titthiyo’’tiādi.

    ๓๔. ตกฺกยตีติ อูหยติ, สสฺสตาทิอากาเรน ตสฺมิํ ตสฺมิํ อารมฺมเณ จิตฺตํ อภินิโรเปตีติ อโตฺถฯ ตโกฺกติ อาโกฎนลกฺขโณ วินิจฺฉยลกฺขโณ วา ทิฎฺฐิฎฺฐานภูโต วิตโกฺกฯ วีมํสา นาม วิจารณา, สา ปเนตฺถ อตฺถโต ปญฺญาปติรูปโก โลภสหคตจิตฺตุปฺปาโท, มิจฺฉาภินิเวโส วา อโยนิโสมนสิกาโร, ปุพฺพภาเค วา ทิฎฺฐิวิปฺผนฺทิตนฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ เตเนวาห ‘‘ตุลนา รุจฺจนา ขมนา’’ติฯ ปริยาหนนํ วิตกฺกสฺส อารมฺมณอูหนํ เอวาติ อาห ‘‘เตน เตน ปกาเรน ตเกฺกตฺวา’’ติฯ อนุวิจริตนฺติ วีมํสาย อนุปวตฺติตํ, วีมํสานุคเตน วา วิจาเรน อนุมชฺชิตํฯ ปฎิ ปฎิ ภาตีติ ปฎิภานํ, ยถาสมิหิตาการวิเสสวิภาวโก จิตฺตุปฺปาโทฯ ปฎิภานโต ชาตํ ปฎิภานํ, สยํ อตฺตโน ปฎิภานํ สยํ ปฎิภานํฯ เตเนวาห ‘‘อตฺตโน ปฎิภานมตฺตสญฺชาต’’นฺติฯ มตฺต-สเทฺทน วิเสสาธิคมาทโย นิวเตฺตติฯ

    34.Takkayatīti ūhayati, sassatādiākārena tasmiṃ tasmiṃ ārammaṇe cittaṃ abhiniropetīti attho. Takkoti ākoṭanalakkhaṇo vinicchayalakkhaṇo vā diṭṭhiṭṭhānabhūto vitakko. Vīmaṃsā nāma vicāraṇā, sā panettha atthato paññāpatirūpako lobhasahagatacittuppādo, micchābhiniveso vā ayonisomanasikāro, pubbabhāge vā diṭṭhivipphanditanti daṭṭhabbā. Tenevāha ‘‘tulanā ruccanā khamanā’’ti. Pariyāhananaṃ vitakkassa ārammaṇaūhanaṃ evāti āha ‘‘tena tena pakārena takketvā’’ti. Anuvicaritanti vīmaṃsāya anupavattitaṃ, vīmaṃsānugatena vā vicārena anumajjitaṃ. Paṭi paṭi bhātīti paṭibhānaṃ, yathāsamihitākāravisesavibhāvako cittuppādo. Paṭibhānato jātaṃ paṭibhānaṃ, sayaṃ attano paṭibhānaṃ sayaṃ paṭibhānaṃ. Tenevāha ‘‘attano paṭibhānamattasañjāta’’nti. Matta-saddena visesādhigamādayo nivatteti.

    ‘‘อนาคเตปิ เอวํ ภวิสฺสตี’’ติ อิทํ น อิธาธิเปฺปตตกฺกีวเสเนว วุตฺตํ, ลาภีตกฺกิโน เอวมฺปิ สมฺภวตีติ สมฺภวทสฺสนวเสน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยํ กิญฺจิ อตฺตนา ปฎิลทฺธํ รูปาทิ สุขาทิ จ อิธ ลพฺภตีติ ลาโภ, น ฌานาทิวิเสโสฯ ‘‘เอวํ สติ อิทํ โหตี’’ติ อนิเจฺจสุ ภาเวสุ อโญฺญ กโรติ, อโญฺญ ปฎิสํเวเทตีติ อาปชฺชติ, ตถา จ สติ กตสฺส วินาโส, อกตสฺส จ อพฺภาคโม สิยาฯ นิเจฺจสุ ปน ภาเวสุ โย กโรติ, โส ปฎิสํเวเทตีติ น โทโส อาปชฺชตีติ ตกฺกิกสฺส ยุตฺติคเวสนาการํ ทเสฺสติฯ

    ‘‘Anāgatepievaṃ bhavissatī’’ti idaṃ na idhādhippetatakkīvaseneva vuttaṃ, lābhītakkino evampi sambhavatīti sambhavadassanavasena vuttanti daṭṭhabbaṃ. Yaṃ kiñci attanā paṭiladdhaṃ rūpādi sukhādi ca idha labbhatīti lābho, na jhānādiviseso. ‘‘Evaṃ sati idaṃ hotī’’ti aniccesu bhāvesu añño karoti, añño paṭisaṃvedetīti āpajjati, tathā ca sati katassa vināso, akatassa ca abbhāgamo siyā. Niccesu pana bhāvesu yo karoti, so paṭisaṃvedetīti na doso āpajjatīti takkikassa yuttigavesanākāraṃ dasseti.

    ตกฺกมเตฺตเนวาติ อาคมาธิคมาทีนํ อนุสฺสวาทีนญฺจ อภาวา สุทฺธตเกฺกเนวฯ นนุ จ วิเสสลาภิโนปิ สสฺสตวาทิโน อตฺตโน วิเสสาธิคมเหตุ อเนเกสุ ชาติสตสหเสฺสสุ ทสสุ สํวฎฺฎวิวเฎฺฎสุ จตฺตาลีสาย สํวฎฺฎวิวเฎฺฎสุ ยถานุภูตํ อตฺตโน สนฺตานํ ตปฺปฎิพทฺธญฺจ ‘‘อตฺตา, โลโก’’ติ จ อนุสฺสริตฺวา ตโต ปุริมปุริมตราสุปิ ชาตีสุ ตถาภูตสฺส อตฺถิตานุวิตกฺกนมุเขน สเพฺพสมฺปิ สตฺตานํ ตถาภาวานุวิตกฺกนวเสเนว สสฺสตาภินิเวสิโน ชาตา, เอวญฺจ สติ สโพฺพปิ สสฺสตวาที อนุสฺสุติชาติสฺสรตกฺกิกา วิย อตฺตโน อุปลทฺธวตฺถุนิพนฺธเนน ตกฺกเนน ปวตฺตวาทตฺตา ตกฺกีปเกฺขเยว ติเฎฺฐยฺย, อวสฺสญฺจ วุตฺตปฺปการํ ตกฺกนมิจฺฉิตพฺพํ , อญฺญถา วิเสสลาภี สสฺสตวาที เอกจฺจสสฺสติกปกฺขํ, อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกปกฺขํ วา ภเชยฺยาติ ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ, ยสฺมา วิเสสลาภีนํ ขนฺธสนฺตานสฺส ทีฆทีฆตรทีฆตมกาลานุสฺสรณํ สสฺสตคฺคาหสฺส อสาธารณการณํฯ ตถา หิ ‘‘อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรามิฯ อิมินามหเมตํ ชานามี’’ติ อนุสฺสรณเมว ปธานการณภาเวน ทสฺสิตํฯ ยํ ปน ตสฺส ‘‘อิมินามหเมตํ ชานามี’’ติ ปวตฺตํ ตกฺกนํ, น ตํ อิธ ปธานํ อนุสฺสรณํ ปติ ตสฺส อปฺปธานภูตตฺตาฯ ยทิ เอวํ อนุสฺสวาทีนมฺปิ ปธานภาโว อาปชฺชตีติ เจ? น, เตสํ สจฺฉิกิริยาย อภาเวน ตกฺกปธานตฺตา, ปธานการเณน จ นิเทฺทโส นิรุโฬฺห สาสเน โลเก จ ยถา ‘‘จกฺขุวิญฺญาณํ, ยวงฺกุโร’’ติ จฯ

    Takkamattenevāti āgamādhigamādīnaṃ anussavādīnañca abhāvā suddhatakkeneva. Nanu ca visesalābhinopi sassatavādino attano visesādhigamahetu anekesu jātisatasahassesu dasasu saṃvaṭṭavivaṭṭesu cattālīsāya saṃvaṭṭavivaṭṭesu yathānubhūtaṃ attano santānaṃ tappaṭibaddhañca ‘‘attā, loko’’ti ca anussaritvā tato purimapurimatarāsupi jātīsu tathābhūtassa atthitānuvitakkanamukhena sabbesampi sattānaṃ tathābhāvānuvitakkanavaseneva sassatābhinivesino jātā, evañca sati sabbopi sassatavādī anussutijātissaratakkikā viya attano upaladdhavatthunibandhanena takkanena pavattavādattā takkīpakkheyeva tiṭṭheyya, avassañca vuttappakāraṃ takkanamicchitabbaṃ , aññathā visesalābhī sassatavādī ekaccasassatikapakkhaṃ, adhiccasamuppannikapakkhaṃ vā bhajeyyāti ? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ, yasmā visesalābhīnaṃ khandhasantānassa dīghadīghataradīghatamakālānussaraṇaṃ sassataggāhassa asādhāraṇakāraṇaṃ. Tathā hi ‘‘anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarāmi. Imināmahametaṃ jānāmī’’ti anussaraṇameva padhānakāraṇabhāvena dassitaṃ. Yaṃ pana tassa ‘‘imināmahametaṃ jānāmī’’ti pavattaṃ takkanaṃ, na taṃ idha padhānaṃ anussaraṇaṃ pati tassa appadhānabhūtattā. Yadi evaṃ anussavādīnampi padhānabhāvo āpajjatīti ce? Na, tesaṃ sacchikiriyāya abhāvena takkapadhānattā, padhānakāraṇena ca niddeso niruḷho sāsane loke ca yathā ‘‘cakkhuviññāṇaṃ, yavaṅkuro’’ti ca.

    อถ วา วิเสสาธิคมนิพนฺธนรหิตสฺส ตกฺกนสฺส วิสุํ สสฺสตคฺคาเห การณภาวทสฺสนตฺถํ วิเสสาธิคโม วิสุํ สสฺสตคฺคาหการณํ วตฺตโพฺพ , โส จ มนฺทมชฺฌติกฺขปญฺญาวเสน ติวิโธติ ภควตา สพฺพตกฺกิโน ตกฺกีภาวสามเญฺญน เอกชฺฌํ คเหตฺวา จตุธา ววตฺถาปิโต สสฺสตวาโทฯ ยทิปิ อนุสฺสวาทิวเสน ตกฺกิกานํ วิย มนฺทปญฺญาทีนมฺปิ หีนาทิวเสน อเนกเภทสพฺภาวโต วิเสสลาภีนมฺปิ พหุธา เภโท สมฺภวติ, สเพฺพ ปน วิเสสลาภิโน มนฺทปญฺญาทิวเสน ตโย ราสี กตฺวา ตตฺถ อุกฺกฎฺฐวเสน อเนกชาติสตสหสฺสทสสํวฎฺฎวิวฎฺฎจตฺตารีสสํวฎฺฎวิวฎฺฎานุสฺสรเณน อยํ วิภาโค วุโตฺตฯ ตีสุปิ ราสีสุ เย หีนมชฺฌปญฺญา, เต วุตฺตปริเจฺฉทโต อูนกเมว อนุสฺสรนฺติฯ เย ปน ตตฺถ อุกฺกฎฺฐปญฺญา, เต วุตฺตปริเจฺฉทํ อติกฺกมิตฺวา นานุสฺสรนฺตีติ เอวํ ปนายํ เทสนาฯ ตสฺมา อญฺญตรเภทสงฺคหวเสเนว ภควตา จตฺตาริฎฺฐานานิ วิภตฺตานีติ ววตฺถิตา สสฺสตวาทีนํ จตุพฺพิธตาฯ น หิ อิธ สาวเสสํ ธมฺมํ เทเสติ ธมฺมราชาฯ

    Atha vā visesādhigamanibandhanarahitassa takkanassa visuṃ sassataggāhe kāraṇabhāvadassanatthaṃ visesādhigamo visuṃ sassataggāhakāraṇaṃ vattabbo , so ca mandamajjhatikkhapaññāvasena tividhoti bhagavatā sabbatakkino takkībhāvasāmaññena ekajjhaṃ gahetvā catudhā vavatthāpito sassatavādo. Yadipi anussavādivasena takkikānaṃ viya mandapaññādīnampi hīnādivasena anekabhedasabbhāvato visesalābhīnampi bahudhā bhedo sambhavati, sabbe pana visesalābhino mandapaññādivasena tayo rāsī katvā tattha ukkaṭṭhavasena anekajātisatasahassadasasaṃvaṭṭavivaṭṭacattārīsasaṃvaṭṭavivaṭṭānussaraṇena ayaṃ vibhāgo vutto. Tīsupi rāsīsu ye hīnamajjhapaññā, te vuttaparicchedato ūnakameva anussaranti. Ye pana tattha ukkaṭṭhapaññā, te vuttaparicchedaṃ atikkamitvā nānussarantīti evaṃ panāyaṃ desanā. Tasmā aññatarabhedasaṅgahavaseneva bhagavatā cattāriṭṭhānāni vibhattānīti vavatthitā sassatavādīnaṃ catubbidhatā. Na hi idha sāvasesaṃ dhammaṃ deseti dhammarājā.

    ๓๕. ‘‘อญฺญตเรนา’’ติ เอตสฺส อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอเกนา’’ติ วุตฺตํฯ วา-สทฺทสฺส ปน อนิยมตฺถตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ทฺวีหิ วา ตีหิ วา’’ติ วุตฺตํฯ เตน จตูสุ ฐาเนสุ ยถารหํ เอกจฺจํ เอกจฺจสฺส ปญฺญาปเน สหการีการณนฺติ ทเสฺสติฯ กิํ ปเนตานิ วตฺถูนิ อภินิเวสสฺส เหตุ, อุทาหุ ปติฎฺฐาปนสฺสฯ กิเญฺจตฺถ ยทิ ตาว อภินิเวสสฺส, กสฺมา อนุสฺสรณตกฺกนานิเยว คหิตานิ, น สญฺญาวิปลฺลาสาทโยฯ ตถาหิ วิปรีตสญฺญา อโยนิโสมนสิการอสปฺปุริสูปนิสฺสยอสทฺธมฺมสฺสวนาทีนิ มิจฺฉาทิฎฺฐิยา ปวตฺตนฎฺฐานานิฯ อถ ปติฎฺฐาปนสฺส อธิคมยุตฺติโย วิย อาคโมปิ วตฺถุภาเวน วตฺตโพฺพ, อุภยตฺถาปิ ‘‘นตฺถิ อิโต พหิทฺธา’’ติ วจนํ น ยุชฺชตีติ? นฯ กสฺมา? อภินิเวสปเกฺข ตาว อยํ ทิฎฺฐิคติโก อสปฺปุริสูปนิสฺสยอสทฺธมฺมสฺสวเนหิ อโยนิโส อุมฺมุชฺชิตฺวา วิปลฺลาสสโญฺญ รูปาทิธมฺมานํ ขเณ ขเณ ภิชฺชนสภาวสฺส อนวโพธโต ธมฺมยุตฺติํ อติธาวโนฺต เอกตฺตนยํ มิจฺฉา คเหตฺวา ยถาวุตฺตานุสฺสรณตเกฺกหิ ขเนฺธสุ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ (ที. นิ. ๑.๓๑) อภินิเวสํ ชเนสิฯ อิติ อาสนฺนการณตฺตา, ปธานการณตฺตา, ตคฺคหเณเนว จ อิตเรสมฺปิ คหิตตฺตา อนุสฺสรณตกฺกนานิเยว อิธ คหิตานิฯ ปติฎฺฐาปนปเกฺข ปน อาคโมปิ ยุตฺติปเกฺขเยว ฐิโต วิเสสโต พาหิรกานํ ตกฺกคาหิภาวโตติ อนุสฺสรณตกฺกนานิเยว ทิฎฺฐิยา วตฺถุภาเวน คหิตานิฯ กิญฺจ ภิโยฺย ทุวิธํ ลกฺขณํ ปรมตฺถธมฺมานํ สภาวลกฺขณํ สามญฺญลกฺขณญฺจาติฯ ตตฺถ สภาวลกฺขณาวโพโธ ปจฺจกฺขญาณํ, สามญฺญลกฺขณาวโพโธ อนุมานญาณํ, อาคโม จ สุตมยาย ปญฺญาย สาธนโต อนุมานญาณเมว อาวหติ, สุตานํ ปน ธมฺมานํ อาการปริวิตกฺกเนน นิชฺฌานกฺขนฺติยํ ฐิโต จินฺตามยํ ปญฺญํ นิพฺพเตฺตตฺวา อนุกฺกเมน ภาวนาย ปจฺจกฺขญาณํ อธิคจฺฉตีติ เอวํ อาคโมปิ ตกฺกวิสยํ นาติกฺกมตีติ ตคฺคหเณน คหิโตวาติ เวทิตโพฺพฯ โส อฎฺฐกถายํ อนุสฺสุติตกฺกคฺคหเณน วิภาวิโตติ ยุตฺตํ เอวิทํ ‘‘นตฺถิ อิโต พหิทฺธา’’ติฯ ‘‘อเนกวิหิตานิ อธิวุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ, สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๓๐) จ วจนโต ปติฎฺฐาปนวตฺถูนิ อิธาธิเปฺปตานีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    35.‘‘Aññatarenā’’ti etassa atthaṃ dassetuṃ ‘‘ekenā’’ti vuttaṃ. -saddassa pana aniyamatthataṃ dassetuṃ ‘‘dvīhi vā tīhi vā’’ti vuttaṃ. Tena catūsu ṭhānesu yathārahaṃ ekaccaṃ ekaccassa paññāpane sahakārīkāraṇanti dasseti. Kiṃ panetāni vatthūni abhinivesassa hetu, udāhu patiṭṭhāpanassa. Kiñcettha yadi tāva abhinivesassa, kasmā anussaraṇatakkanāniyeva gahitāni, na saññāvipallāsādayo. Tathāhi viparītasaññā ayonisomanasikāraasappurisūpanissayaasaddhammassavanādīni micchādiṭṭhiyā pavattanaṭṭhānāni. Atha patiṭṭhāpanassa adhigamayuttiyo viya āgamopi vatthubhāvena vattabbo, ubhayatthāpi ‘‘natthi ito bahiddhā’’ti vacanaṃ na yujjatīti? Na. Kasmā? Abhinivesapakkhe tāva ayaṃ diṭṭhigatiko asappurisūpanissayaasaddhammassavanehi ayoniso ummujjitvā vipallāsasañño rūpādidhammānaṃ khaṇe khaṇe bhijjanasabhāvassa anavabodhato dhammayuttiṃ atidhāvanto ekattanayaṃ micchā gahetvā yathāvuttānussaraṇatakkehi khandhesu ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti (dī. ni. 1.31) abhinivesaṃ janesi. Iti āsannakāraṇattā, padhānakāraṇattā, taggahaṇeneva ca itaresampi gahitattā anussaraṇatakkanāniyeva idha gahitāni. Patiṭṭhāpanapakkhe pana āgamopi yuttipakkheyeva ṭhito visesato bāhirakānaṃ takkagāhibhāvatoti anussaraṇatakkanāniyeva diṭṭhiyā vatthubhāvena gahitāni. Kiñca bhiyyo duvidhaṃ lakkhaṇaṃ paramatthadhammānaṃ sabhāvalakkhaṇaṃ sāmaññalakkhaṇañcāti. Tattha sabhāvalakkhaṇāvabodho paccakkhañāṇaṃ, sāmaññalakkhaṇāvabodho anumānañāṇaṃ, āgamo ca sutamayāya paññāya sādhanato anumānañāṇameva āvahati, sutānaṃ pana dhammānaṃ ākāraparivitakkanena nijjhānakkhantiyaṃ ṭhito cintāmayaṃ paññaṃ nibbattetvā anukkamena bhāvanāya paccakkhañāṇaṃ adhigacchatīti evaṃ āgamopi takkavisayaṃ nātikkamatīti taggahaṇena gahitovāti veditabbo. So aṭṭhakathāyaṃ anussutitakkaggahaṇena vibhāvitoti yuttaṃ evidaṃ ‘‘natthi ito bahiddhā’’ti. ‘‘Anekavihitāni adhivuttipadāni abhivadanti, sassataṃ attānañca lokañca paññapentī’’ti (dī. ni. 1.30) ca vacanato patiṭṭhāpanavatthūni idhādhippetānīti daṭṭhabbaṃ.

    ๓๖. ทิฎฺฐิเยว ทิฎฺฐิฎฺฐานํ ปรมวชฺชตาย อเนกวิหิตานํ อนตฺถานํ เหตุภาวโตฯ ยถาห ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมาหํ ภิกฺขเว วชฺชํ วทามี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๐) ‘‘ยถาหา’’ติอาทินา ปฎิสมฺภิทาปาฬิยา (ปฎิ. ม. ๑.๑๒๔) ทิฎฺฐิยา ฐานวิภาคํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ ขนฺธาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ อารมฺมณเฎฺฐน ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๓.๘๑, ๓๔๕) วจนโตฯ อวิชฺชาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ อุปนิสฺสยาทิภาเวน ปวตฺตนโตฯ ยถาห ‘‘อสฺสุตวา ภิกฺขเว ปุถุชฺชโน อริยานํ อทสฺสาวี อริยธมฺมสฺส อโกวิโท’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒; ปฎิ. ม. ๑.๑๓๐)ฯ ผโสฺสปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ ยถา จาห ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา, (ที. นิ. ๑.๑๑๘ อาทโย) ผุสฺส ผุสฺส ปฎิสํเวเทนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๔๔) จ ฯ สญฺญาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ วุตฺตเญฺจตํ ‘‘สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขา, (สุ. นิ. ๘๘๐; มหานิ. ๑๐๙) ปถวิโต สญฺญตฺวา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒) จ อาทิฯ วิตโกฺกปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ตกฺกญฺจ ทิฎฺฐีสุ ปกปฺปยิตฺวา, สจฺจํ มุสาติ ทฺวยธมฺมมาหู’’ติ (สุ. นิ. ๘๙๒) ‘‘ตกฺกี โหติ วีมํสี’’ติ (ที. นิ. ๑.๓๔) จ อาทิฯ อโยนิโสมนสิกาโรปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ เตนาห ภควา ‘‘ตสฺส เอวํ อโยนิโส มนสิ กโรโต ฉนฺนํ ทิฎฺฐีนํ อญฺญตรา ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชติฯ ‘อตฺถิ เม อตฺตา’ติ วา อสฺส สจฺจโต เถตโต ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๑๙)ฯ สมุฎฺฐาติ เอเตนาติ สมุฎฺฐานํ สมุฎฺฐานภาโว สมุฎฺฐานโฎฺฐฯ ปวตฺติตาติ ปรสนฺตาเนสุ อุปฺปาทิตาฯ ปรินิฎฺฐาปิตาติ อภินิเวสสฺส ปริโยสานํ มตฺถกํ ปาปิตาติ อโตฺถฯ ‘‘อารมฺมณวเสนา’’ติ อฎฺฐสุ ทิฎฺฐิฎฺฐาเนสุ ขเนฺธ สนฺธายาหฯ ปวตฺตนวเสนาติ อวิชฺชาทโยฯ อาเสวนวเสนาติ ปาปมิตฺตปรโตโฆสาทีนมฺปิ เสวนํ ลพฺภติเยวฯ อถ วา เอวํคติกาติ เอวํคมนา, เอวํนิฎฺฐาติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อิเม ทิฎฺฐิสงฺขาตา ทิฎฺฐิฎฺฐานา เอวํ ปรมตฺถโต อสนฺตํ อตฺตานํ สสฺสตภาวญฺจสฺส อชฺฌาโรเปตฺวา คหิตา, ปรามฎฺฐา จ พาลลปนา ยาว ปณฺฑิตา น สมนุยุญฺชนฺติ, ตาว คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺติฯ ปณฺฑิเตหิ สมนุยุญฺชิยมานา ปน อนวฎฺฐิตวตฺถุกา อวิมทฺทกฺขมา สูริยุคฺคมเน อุสฺสาวพินฺทู วิย ขโชฺชปนกา วิย จ ภิชฺชนฺติ วินสฺสนฺติ จาติฯ

    36.Diṭṭhiyeva diṭṭhiṭṭhānaṃ paramavajjatāya anekavihitānaṃ anatthānaṃ hetubhāvato. Yathāha ‘‘micchādiṭṭhiparamāhaṃ bhikkhave vajjaṃ vadāmī’’ti (a. ni. 1.310) ‘‘yathāhā’’tiādinā paṭisambhidāpāḷiyā (paṭi. ma. 1.124) diṭṭhiyā ṭhānavibhāgaṃ dasseti. Tattha khandhāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ ārammaṇaṭṭhena ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādi (saṃ. ni. 3.81, 345) vacanato. Avijjāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ upanissayādibhāvena pavattanato. Yathāha ‘‘assutavā bhikkhave puthujjano ariyānaṃ adassāvī ariyadhammassa akovido’’tiādi (ma. ni. 1.2; paṭi. ma. 1.130). Phassopi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Yathā cāha ‘‘tadapi phassapaccayā, (dī. ni. 1.118 ādayo) phussa phussa paṭisaṃvedentī’’ti (dī. ni. 1.144) ca . Saññāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Vuttañcetaṃ ‘‘saññānidānā hi papañcasaṅkhā, (su. ni. 880; mahāni. 109) pathavito saññatvā’’ti (ma. ni. 1.2) ca ādi. Vitakkopi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Vuttampi cetaṃ ‘‘takkañca diṭṭhīsu pakappayitvā, saccaṃ musāti dvayadhammamāhū’’ti (su. ni. 892) ‘‘takkī hoti vīmaṃsī’’ti (dī. ni. 1.34) ca ādi. Ayonisomanasikāropi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Tenāha bhagavā ‘‘tassa evaṃ ayoniso manasi karoto channaṃ diṭṭhīnaṃ aññatarā diṭṭhi uppajjati. ‘Atthi me attā’ti vā assa saccato thetato diṭṭhi uppajjatī’’tiādi (ma. ni. 1.19). Samuṭṭhāti etenāti samuṭṭhānaṃ samuṭṭhānabhāvo samuṭṭhānaṭṭho. Pavattitāti parasantānesu uppāditā. Pariniṭṭhāpitāti abhinivesassa pariyosānaṃ matthakaṃ pāpitāti attho. ‘‘Ārammaṇavasenā’’ti aṭṭhasu diṭṭhiṭṭhānesu khandhe sandhāyāha. Pavattanavasenāti avijjādayo. Āsevanavasenāti pāpamittaparatoghosādīnampi sevanaṃ labbhatiyeva. Atha vā evaṃgatikāti evaṃgamanā, evaṃniṭṭhāti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – ime diṭṭhisaṅkhātā diṭṭhiṭṭhānā evaṃ paramatthato asantaṃ attānaṃ sassatabhāvañcassa ajjhāropetvā gahitā, parāmaṭṭhā ca bālalapanā yāva paṇḍitā na samanuyuñjanti, tāva gacchanti pavattanti. Paṇḍitehi samanuyuñjiyamānā pana anavaṭṭhitavatthukā avimaddakkhamā sūriyuggamane ussāvabindū viya khajjopanakā viya ca bhijjanti vinassanti cāti.

    ตตฺถายํ อนุยุญฺชเน สเงฺขปกถา – ยทิ หิ ปเรน ปริกปฺปิโต อตฺตา โลโก วา สสฺสโต สิยา, ตสฺส นิพฺพิการตาย ปุริมรูปาวิชหนโต กสฺสจิ วิเสสาธานสฺส กาตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อหิตโต นิวตฺตนตฺถํ, หิเต จ ปฎิปตฺติอตฺถํ อุปเทโส เอว นิปฺปโยชโน สิยา สสฺสตวาทิโน, กถํ วา โส อุปเทโส ปวตฺตียติ วิการาภาวโต, เอวญฺจ อตฺตโน อชฎากาสสฺส วิย ทานาทิกิริยา หิํสาทิกิริยา จ น สมฺภวติฯ ตถา สุขสฺส ทุกฺขสฺส อนุภวนนิพโนฺธ เอว สสฺสตวาทิโน น ยุชฺชติ กมฺมพทฺธาภาวโต, ชาติอาทีนญฺจ อสมฺภวโต กุโต วิโมโกฺข, อถ ปน ธมฺมมตฺตํ ตสฺส อุปฺปชฺชติ เจว วินสฺสติ จ, ยสฺส วเสนายํ กิริยาทิโวหาโรติ วเทยฺย, เอวมฺปิ ปุริมรูปาวิชหเนน อวฎฺฐิตสฺส อตฺตโน ธมฺมมตฺตนฺติ น สกฺกา สมฺภาเวตุํ, เต วา ปนสฺส ธมฺมา อวตฺถาภูตา อเญฺญ วา สิยุํ อนเญฺญ วาฯ ยทิ อเญฺญ, น ตาหิ ตสฺส อุปฺปนฺนาหิปิ โกจิ วิเสโส อตฺถิฯ ยาหิ กโรติ ปฎิสํเวเทติ จวติ อุปปชฺชติ จาติ อิจฺฉิตํ, ตสฺมา ตทวโตฺถ เอว ยถาวุตฺตโทโสฯ กิญฺจ ธมฺมกปฺปนาปิ นิรตฺถิกา สิยา, อถานเญฺญ อุปฺปาทวินาสวนฺตีหิ อวตฺถาหิ อนญฺญสฺส อตฺตโน ตาสํ วิย อุปฺปาทวินาสสพฺภาวโต กุโต นิจฺจตาวกาโส, ตาสมฺปิ วา อตฺตโน วิย นิจฺจตาติ พนฺธวิโมกฺขานํ อสมฺภโว เอวาติ น ยุชฺชติเยว สสฺสตวาโทฯ น เจตฺถ โกจิ วาที ธมฺมานํ สสฺสตภาเว ปริสุทฺธํ ยุตฺติํ วตฺตุํ สมโตฺถ, ยุตฺติรหิตญฺจ วจนํ น ปณฺฑิตานํ จิตฺตํ อาราเธตีติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยาว ปณฺฑิตา น สมนุยุญฺชนฺติ, ตาว คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตี’’ติฯ กมฺมวเสน อภิมุโข สมฺปเรติ เอตฺถาติ อภิสมฺปราโย, ปโรโลโกฯ

    Tatthāyaṃ anuyuñjane saṅkhepakathā – yadi hi parena parikappito attā loko vā sassato siyā, tassa nibbikāratāya purimarūpāvijahanato kassaci visesādhānassa kātuṃ asakkuṇeyyatāya ahitato nivattanatthaṃ, hite ca paṭipattiatthaṃ upadeso eva nippayojano siyā sassatavādino, kathaṃ vā so upadeso pavattīyati vikārābhāvato, evañca attano ajaṭākāsassa viya dānādikiriyā hiṃsādikiriyā ca na sambhavati. Tathā sukhassa dukkhassa anubhavananibandho eva sassatavādino na yujjati kammabaddhābhāvato, jātiādīnañca asambhavato kuto vimokkho, atha pana dhammamattaṃ tassa uppajjati ceva vinassati ca, yassa vasenāyaṃ kiriyādivohāroti vadeyya, evampi purimarūpāvijahanena avaṭṭhitassa attano dhammamattanti na sakkā sambhāvetuṃ, te vā panassa dhammā avatthābhūtā aññe vā siyuṃ anaññe vā. Yadi aññe, na tāhi tassa uppannāhipi koci viseso atthi. Yāhi karoti paṭisaṃvedeti cavati upapajjati cāti icchitaṃ, tasmā tadavattho eva yathāvuttadoso. Kiñca dhammakappanāpi niratthikā siyā, athānaññe uppādavināsavantīhi avatthāhi anaññassa attano tāsaṃ viya uppādavināsasabbhāvato kuto niccatāvakāso, tāsampi vā attano viya niccatāti bandhavimokkhānaṃ asambhavo evāti na yujjatiyeva sassatavādo. Na cettha koci vādī dhammānaṃ sassatabhāve parisuddhaṃ yuttiṃ vattuṃ samattho, yuttirahitañca vacanaṃ na paṇḍitānaṃ cittaṃ ārādhetīti. Tena vuttaṃ ‘‘yāva paṇḍitā na samanuyuñjanti, tāva gacchanti pavattantī’’ti. Kammavasena abhimukho sampareti etthāti abhisamparāyo, paroloko.

    ‘‘สพฺพญฺญุตญฺญาณญฺจา’’ติ อิทํ อิธ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส วิภชิยมานตฺตา วุตฺตํ, ตสฺมิํ วา วุเตฺต ตทธิฎฺฐานโต อาสวกฺขยญาณํ, ตทวินาภาวโต สพฺพมฺปิ วา ภควโต ทสพลาทิญาณํ คหิตเมว โหตีติ กตฺวาฯ ปชานโนฺตปีติ ปิ-สโทฺท สมฺภาวเน, เตน ‘‘ตญฺจา’’ติ เอตฺถ วุตฺตํ จ-สทฺทตฺถมาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตํ ทิฎฺฐิคตโต อุตฺตริตรํ สารภูตํ สีลาทิคุณวิเสสมฺปิ ตถาคโต นาภินิวิสติ, โก ปน วาโท วฎฺฎามิเสติฯ ‘‘อห’’นฺติ ทิฎฺฐิวเสน วา ตํ ปรามสนาการมาหฯ ปชานามีติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท ปการโตฺถ, เตน ‘‘มม’’นฺติ ตณฺหาวเสน ปรามสนาการํ ทเสฺสติฯ ธมฺมสภาวํ อติกฺกมิตฺวา ปรโต อามสนํ ปรามาโสฯ น หิ ตํ อตฺถิ, ขเนฺธสุ ยํ ‘‘อห’’นฺติ วา, ‘‘มม’’นฺติ วา คเหตพฺพํ สิยาฯ โย ปน ปรามาโส ตณฺหาทโยว, เต จ ภควโต โพธิมูเลเยว ปหีนาติ อาห ‘‘ปรามาสกิเลสาน’’นฺติอาทิฯ อปรามาสโตติ วา นิพฺพุติเวทนสฺส เหตุวจนํ, ‘‘วิทิตา’’ติ อิทํ ปทํ อเปกฺขิตฺวา กตฺตริ สามิวจนํ, อปรามสนเหตุ ปรามาสรหิตาย ปฎิปตฺติยา ตถาคเตน สยเมว อสงฺขตธาตุ อธิคตาติ เอวํ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    ‘‘Sabbaññutaññāṇañcā’’ti idaṃ idha sabbaññutaññāṇassa vibhajiyamānattā vuttaṃ, tasmiṃ vā vutte tadadhiṭṭhānato āsavakkhayañāṇaṃ, tadavinābhāvato sabbampi vā bhagavato dasabalādiñāṇaṃ gahitameva hotīti katvā. Pajānantopīti pi-saddo sambhāvane, tena ‘‘tañcā’’ti ettha vuttaṃ ca-saddatthamāha. Idaṃ vuttaṃ hoti – taṃ diṭṭhigatato uttaritaraṃ sārabhūtaṃ sīlādiguṇavisesampi tathāgato nābhinivisati, ko pana vādo vaṭṭāmiseti. ‘‘Aha’’nti diṭṭhivasena vā taṃ parāmasanākāramāha. Pajānāmīti ettha iti-saddo pakārattho, tena ‘‘mama’’nti taṇhāvasena parāmasanākāraṃ dasseti. Dhammasabhāvaṃ atikkamitvā parato āmasanaṃ parāmāso. Na hi taṃ atthi, khandhesu yaṃ ‘‘aha’’nti vā, ‘‘mama’’nti vā gahetabbaṃ siyā. Yo pana parāmāso taṇhādayova, te ca bhagavato bodhimūleyeva pahīnāti āha ‘‘parāmāsakilesāna’’ntiādi. Aparāmāsatoti vā nibbutivedanassa hetuvacanaṃ, ‘‘viditā’’ti idaṃ padaṃ apekkhitvā kattari sāmivacanaṃ, aparāmasanahetu parāmāsarahitāya paṭipattiyā tathāgatena sayameva asaṅkhatadhātu adhigatāti evaṃ vā ettha attho daṭṭhabbo.

    ‘‘ยาสุ เวทนาสู’’ติอาทินา ภควโต เทสนาวิลาสํ ทเสฺสติฯ ตถา หิ ขนฺธายตนาทิวเสน อเนกวิธาสุ จตุสจฺจเทสนาสุ สมฺภวนฺตีสุปิ อยํ ตถาคตานํ เทสนาสุ ปฎิปตฺติ, ยํ ทิฎฺฐิคติกา มิจฺฉาปฎิปตฺติยา ทิฎฺฐิคหนํ ปกฺขนฺทาติ ทสฺสนตฺถํ เวทนาเยว ปริญฺญาย ภูมิทสฺสนตฺถํ อุทฺธฎาฯ กมฺมฎฺฐานนฺติ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํฯ ยถาภูตํ วิทิตฺวาติ วิปสฺสนาปญฺญาย เวทนาย สมุทยาทีนิ อารมฺมณปฎิเวธวเสน มคฺคปญฺญาย อสโมฺมหปฎิเวธวเสน ชานิตฺวา, ปฎิวิชฺฌิตฺวาติ อโตฺถฯ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐนาติ ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๔; สํ. นิ. ๒.๒๑; อุทา. ๑) วุตฺตลกฺขเณน อวิชฺชาทีนํ ปจฺจยานํ อุปฺปาเทน เจว มเคฺคน อสมุคฺฆาเตน จฯ นิพฺพตฺติลกฺขณนฺติ อุปฺปาทลกฺขณํ, ชาตินฺติ อโตฺถฯ ปญฺจนฺนํ ลกฺขณานนฺติ เอตฺถ จตุนฺนํ ปจฺจยานมฺปิ อุปฺปาทลกฺขณเมว คเหตฺวา วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํ, ยสฺมา ปจฺจยลกฺขณมฺปิ ลพฺภติเยว, ตถา เจว สํวณฺณิตํฯ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐนาติ เอตฺถาปิ วุตฺตนยานุสาเรน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ นฺติ ยสฺมา, ยํ วา สุขํ โสมนสฺสํฯ ปฎิจฺจาติ อารมฺมณปจฺจยาทิภูตํ เวทนํ ลภิตฺวาฯ อยนฺติ สุขโสมนสฺสานํ ปจฺจยภาโว, สุขโสมนสฺสเมว วา, ‘‘อสฺสาโท’’ติ ปทํ ปน อเปกฺขิตฺวา ปุลฺลิงฺคนิเทฺทโสฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ปุริมุปฺปนฺนํ เวทนํ อารพฺภ โสมนสฺสุปฺปตฺติยํ โย ปุริมเวทนาย อสฺสาเทตพฺพากาโร โสมนสฺสสฺสาทนากาโร, อยํ อสฺสาโทติฯ กถํ ปน เวทนํ อารพฺภ สุขํ อุปฺปชฺชตีติ? เจตสิกสุขสฺส อธิเปฺปตตฺตา นายํ โทโสฯ วิเสสนํ เหตฺถ โสมนสฺสคฺคหณํ สุขํ โสมนสฺสนฺติ ‘‘รุโกฺข สิํสปา’’ติ ยถาฯ

    ‘‘Yāsu vedanāsū’’tiādinā bhagavato desanāvilāsaṃ dasseti. Tathā hi khandhāyatanādivasena anekavidhāsu catusaccadesanāsu sambhavantīsupi ayaṃ tathāgatānaṃ desanāsu paṭipatti, yaṃ diṭṭhigatikā micchāpaṭipattiyā diṭṭhigahanaṃ pakkhandāti dassanatthaṃ vedanāyeva pariññāya bhūmidassanatthaṃ uddhaṭā. Kammaṭṭhānanti catusaccakammaṭṭhānaṃ. Yathābhūtaṃ viditvāti vipassanāpaññāya vedanāya samudayādīni ārammaṇapaṭivedhavasena maggapaññāya asammohapaṭivedhavasena jānitvā, paṭivijjhitvāti attho. Paccayasamudayaṭṭhenāti ‘‘imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjatī’’ti (ma. ni. 1.404; saṃ. ni. 2.21; udā. 1) vuttalakkhaṇena avijjādīnaṃ paccayānaṃ uppādena ceva maggena asamugghātena ca. Nibbattilakkhaṇanti uppādalakkhaṇaṃ, jātinti attho. Pañcannaṃ lakkhaṇānanti ettha catunnaṃ paccayānampi uppādalakkhaṇameva gahetvā vuttanti gahetabbaṃ, yasmā paccayalakkhaṇampi labbhatiyeva, tathā ceva saṃvaṇṇitaṃ. Paccayanirodhaṭṭhenāti etthāpi vuttanayānusārena attho veditabbo. Yanti yasmā, yaṃ vā sukhaṃ somanassaṃ. Paṭiccāti ārammaṇapaccayādibhūtaṃ vedanaṃ labhitvā. Ayanti sukhasomanassānaṃ paccayabhāvo, sukhasomanassameva vā, ‘‘assādo’’ti padaṃ pana apekkhitvā pulliṅganiddeso. Ayañhettha saṅkhepattho – purimuppannaṃ vedanaṃ ārabbha somanassuppattiyaṃ yo purimavedanāya assādetabbākāro somanassassādanākāro, ayaṃ assādoti. Kathaṃ pana vedanaṃ ārabbha sukhaṃ uppajjatīti? Cetasikasukhassa adhippetattā nāyaṃ doso. Visesanaṃ hettha somanassaggahaṇaṃ sukhaṃ somanassanti ‘‘rukkho siṃsapā’’ti yathā.

    ‘‘อนิจฺจา’’ติ อิมินา สงฺขารทุกฺขตาวเสน อุเปกฺขาเวทนาย, สพฺพเวทนาสุเยว วา อาทีนวมาห, อิตเรหิ อิตรทุกฺขตาวเสน ยถากฺกมํ ทุกฺขสุขเวทนานํ, อวิเสเสน วา ตีณิปิ ปทานิ สพฺพาสมฺปิ เวทนานํ วเสน โยเชตพฺพานิฯ อยนฺติ โย เวทนาย หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจภาโว, อุทยพฺพยปฎิปีฬนเฎฺฐน ทุกฺขภาโว, ชราย มรเณน จาติ เทฺวธา วิปริณาเมตพฺพภาโว จ, อยํ เวทนาย อาทีนโว, ยโต วา อาทีนํ ปรมการุญฺญํ วาติ ปวตฺตตีติฯ เวทนาย นิสฺสรณนฺติ เอตฺถ เวทนายาติ นิสฺสกฺกวจนํ, ยาว เวทนาปฎิพทฺธํ ฉนฺทราคํ น ปชหติ, ตาวายํ ปุริโส เวทนํ อลฺลีโนเยว โหติฯ ยทา ปน ตํ ฉนฺทราคํ ปชหติ, ตทายํ ปุริโส เวทนาย นิสฺสโฎ วิสํยุโตฺต โหตีติ ฉนฺทราคปฺปหานํ เวทนาย นิสฺสรณํ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ เวทนาคฺคหเณน เวทนาย สหชาตนิสฺสยารมฺมณภูตา จ รูปารูปธมฺมา คหิตา เอว โหนฺตีติ ปญฺจนฺนมฺปิ อุปาทานกฺขนฺธานํ คหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ เวทนาสีเสน ปน เทสนา อาคตา, ตตฺถ การณํ วุตฺตเมว, ลกฺขณหารนเยน วา อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพฯ ตตฺถ เวทนาคฺคหเณน คหิตา ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจํ, เวทนานํ สมุทยคฺคหเณน คหิตา อวิชฺชาทโย สมุทยสจฺจํ, อตฺถงฺคมนิสฺสรณปริยาเยหิ นิโรธสจฺจํ, ‘‘ยถาภูตํ วิทิตฺวา’’ติ เอเตน มคฺคสจฺจนฺติ เอวเมตฺถ จตฺตาริ สจฺจานิ เวทิตพฺพานิฯ กามุปาทานมูลกตฺตา เสสุปาทานานํ, ปหีเน จ กามุปาทาเน อุปาทานเสสาภาวโต ‘‘วิคตฉนฺทราคตาย อนุปาทาโน’’ติ วุตฺตํฯ อนุปาทาวิมุโตฺตติ อตฺตโน มคฺคผลปฺปตฺติํ ภควา ทเสฺสติฯ ‘‘เวทนาน’’นฺติอาทินา หิ ยสฺสา ธมฺมธาตุยา สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา อิมํ ทิฎฺฐิคตํ สการณํ สคติกํ ปเภทโต วิภชิตุํ สมโตฺถ อโหสิ , ตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส สทฺธิํ ปุพฺพภาคปฎิปทาย อุปฺปตฺติภูมิํ ทเสฺสติ ธมฺมราชาฯ

    ‘‘Aniccā’’ti iminā saṅkhāradukkhatāvasena upekkhāvedanāya, sabbavedanāsuyeva vā ādīnavamāha, itarehi itaradukkhatāvasena yathākkamaṃ dukkhasukhavedanānaṃ, avisesena vā tīṇipi padāni sabbāsampi vedanānaṃ vasena yojetabbāni. Ayanti yo vedanāya hutvā abhāvaṭṭhena aniccabhāvo, udayabbayapaṭipīḷanaṭṭhena dukkhabhāvo, jarāya maraṇena cāti dvedhā vipariṇāmetabbabhāvo ca, ayaṃ vedanāya ādīnavo, yato vā ādīnaṃ paramakāruññaṃ vāti pavattatīti. Vedanāya nissaraṇanti ettha vedanāyāti nissakkavacanaṃ, yāva vedanāpaṭibaddhaṃ chandarāgaṃ na pajahati, tāvāyaṃ puriso vedanaṃ allīnoyeva hoti. Yadā pana taṃ chandarāgaṃ pajahati, tadāyaṃ puriso vedanāya nissaṭo visaṃyutto hotīti chandarāgappahānaṃ vedanāya nissaraṇaṃ vuttaṃ. Ettha ca vedanāggahaṇena vedanāya sahajātanissayārammaṇabhūtā ca rūpārūpadhammā gahitā eva hontīti pañcannampi upādānakkhandhānaṃ gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Vedanāsīsena pana desanā āgatā, tattha kāraṇaṃ vuttameva, lakkhaṇahāranayena vā ayamattho vibhāvetabbo. Tattha vedanāggahaṇena gahitā pañcupādānakkhandhā dukkhasaccaṃ, vedanānaṃ samudayaggahaṇena gahitā avijjādayo samudayasaccaṃ, atthaṅgamanissaraṇapariyāyehi nirodhasaccaṃ, ‘‘yathābhūtaṃ viditvā’’ti etena maggasaccanti evamettha cattāri saccāni veditabbāni. Kāmupādānamūlakattā sesupādānānaṃ, pahīne ca kāmupādāne upādānasesābhāvato ‘‘vigatachandarāgatāya anupādāno’’ti vuttaṃ. Anupādāvimuttoti attano maggaphalappattiṃ bhagavā dasseti. ‘‘Vedanāna’’ntiādinā hi yassā dhammadhātuyā suppaṭividdhattā imaṃ diṭṭhigataṃ sakāraṇaṃ sagatikaṃ pabhedato vibhajituṃ samattho ahosi , tassa sabbaññutaññāṇassa saddhiṃ pubbabhāgapaṭipadāya uppattibhūmiṃ dasseti dhammarājā.

    ปฐมภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    เอกจฺจสสฺสตวาทวณฺณนา

    Ekaccasassatavādavaṇṇanā

    ๓๘. สเตฺตสุ สงฺขาเรสุ จ เอกจฺจํ สสฺสตํ เอตสฺสาติ เอกจฺจสสฺสโต, เอกจฺจสสฺสตวาโทฯ โส เอเตสํ อตฺถีติ เอกจฺจสสฺสติกา ฯ เต ปน ยสฺมา เอกจฺจสสฺสโต วาโท ทิฎฺฐิ เอเตสนฺติ เอกจฺจสสฺสตวาทา นาม โหนฺติ, ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอกจฺจสสฺสตวาทา’’ติฯ อิมินา นเยน เอกจฺจอสสฺสติกา ทิปทสฺสปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ นนุ จ ‘‘เอกจฺจสสฺสติกา’’ติ วุเตฺต ตทญฺญสฺส เอกจฺจสฺส อสสฺสตตาสนฺนิฎฺฐานํ สิทฺธเมว โหตีติ? สจฺจํ สิทฺธเมว โหติ อตฺถโต, น ปน สทฺทโตฯ ตสฺมา สุปากฎํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘เอกจฺจอสสฺสติกา’’ติ วุตฺตํฯ น หิ อิธ สาวเสสํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสติ ธมฺมสฺสามีฯ อิธาติ ‘‘เอกจฺจสสฺสติกา’’ติ อิมสฺมิํ ปเทฯ คหิตาติ วุตฺตา, ตถา เจว อโตฺถ ทสฺสิโตฯ อิธาติ วา อิมิสฺสา เทสนายฯ ตถา หิ ปุริมกา ตโย วาทา สตฺตวเสน, จตุโตฺถ สงฺขารวเสน วิภโตฺตฯ ‘‘สงฺขาเรกจฺจสสฺสติกา’’ติ อิทํ เตหิ สสฺสตภาเวน คยฺหมานานํ ธมฺมานํ ยาถาวสภาวทสฺสนวเสน วุตฺตํ, น ปเนกจฺจสสฺสติกมตทสฺสนวเสนฯ ตสฺส หิ สสฺสตาภิมตํ อสงฺขตเมวาติ ลทฺธิฯ เตเนวาห ‘‘จิตฺตนฺติ วา…เป.… ฐสฺสตี’’ติฯ น หิ ยสฺส ภาวสฺส ปจฺจเยหิ อภิสงฺขตภาวํ ปฎิชานาติ, ตเสฺสว นิจฺจธุวาทิภาโว อนุมฺมตฺตเกน สกฺกา ปฎิญฺญาตุํฯ เอเตน ‘‘อุปฺปาทวยธุวตายุตฺตภาวา สิยา นิจฺจา, สิยา อนิจฺจา สิยา น วตฺตพฺพา’’ติอาทินา ปวตฺตสฺส สตฺตภงฺควาทสฺส อยุตฺตตา วิภาวิตา โหติฯ

    38. Sattesu saṅkhāresu ca ekaccaṃ sassataṃ etassāti ekaccasassato, ekaccasassatavādo. So etesaṃ atthīti ekaccasassatikā. Te pana yasmā ekaccasassato vādo diṭṭhi etesanti ekaccasassatavādā nāma honti, tasmā tamatthaṃ dassento āha ‘‘ekaccasassatavādā’’ti. Iminā nayena ekaccaasassatikā dipadassapi attho veditabbo. Nanu ca ‘‘ekaccasassatikā’’ti vutte tadaññassa ekaccassa asassatatāsanniṭṭhānaṃ siddhameva hotīti? Saccaṃ siddhameva hoti atthato, na pana saddato. Tasmā supākaṭaṃ katvā dassetuṃ ‘‘ekaccaasassatikā’’ti vuttaṃ. Na hi idha sāvasesaṃ katvā dhammaṃ deseti dhammassāmī. Idhāti ‘‘ekaccasassatikā’’ti imasmiṃ pade. Gahitāti vuttā, tathā ceva attho dassito. Idhāti vā imissā desanāya. Tathā hi purimakā tayo vādā sattavasena, catuttho saṅkhāravasena vibhatto. ‘‘Saṅkhārekaccasassatikā’’ti idaṃ tehi sassatabhāvena gayhamānānaṃ dhammānaṃ yāthāvasabhāvadassanavasena vuttaṃ, na panekaccasassatikamatadassanavasena. Tassa hi sassatābhimataṃ asaṅkhatamevāti laddhi. Tenevāha ‘‘cittanti vā…pe… ṭhassatī’’ti. Na hi yassa bhāvassa paccayehi abhisaṅkhatabhāvaṃ paṭijānāti, tasseva niccadhuvādibhāvo anummattakena sakkā paṭiññātuṃ. Etena ‘‘uppādavayadhuvatāyuttabhāvā siyā niccā, siyā aniccā siyā na vattabbā’’tiādinā pavattassa sattabhaṅgavādassa ayuttatā vibhāvitā hoti.

    ตตฺถายํ อยุตฺตตาวิภาวนา – ยทิ ‘‘เยน สภาเวน โย ธโมฺม อตฺถีติ วุจฺจติ, เตเนว สภาเวน โส ธโมฺม นตฺถี’’ติอาทินา วุเจฺจยฺย, สิยา อเนกนฺตวาโทฯ อถ อเญฺญน, สิยา น อเนกนฺตวาโทฯ น เจตฺถ เทสนฺตราทิสมฺพนฺธภาโว ยุโตฺต วตฺตุํ ตสฺส สพฺพโลกสิทฺธตฺตา, วิวาทาภาวโต ฯ เย ปน วทนฺติ ‘‘ยถา สุวณฺณฆเฎน มกุเฎ กเต ฆฎภาโว นสฺสติ, มกุฎภาโว อุปฺปชฺชติ, สุวณฺณภาโว ติฎฺฐติเยว, เอวํ สพฺพภาวานํ โกจิ ธโมฺม นสฺสติ, โกจิ ธโมฺม อุปฺปชฺชติ, สภาโว ปน ติฎฺฐตี’’ติฯ เต วตฺตพฺพา ‘‘กิํ ตํ สุวณฺณํ, ยํ ฆเฎ มกุเฎ จ อวฎฺฐิตํ, ยทิ รูปาทิ, โส สโทฺท วิย อนิโจฺจฯ อถ รูปาทิ สมูโห, สมูโห นาม สมฺมุติมตฺตํฯ น ตสฺส อตฺถิตา นตฺถิตา นิจฺจตา วา ลพฺภตี’’ติ อเนกนฺตวาโท น สิยาฯ ธมฺมานญฺจ ธมฺมิโน อญฺญถานญฺญถาสุ โทโส วุโตฺตเยว สสฺสตวาทวิจารณายํฯ ตสฺมา โส ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อปิจ นิจฺจานิจฺจนวตฺตพฺพรูโป อตฺตา โลโก จ ปรมตฺถโต วิชฺชมานตาปฎิชานนโต ยถา นิจฺจาทีนํ อญฺญตรํ รูปํ, ยถา วา ทีปาทโยฯ น หิ ทีปาทีนํ อุทยพฺพยสภาวานํ นิจฺจานิจฺจนวตฺตพฺพสภาวตา สกฺกา วิญฺญาตุํ, ชีวสฺส นิจฺจาทีสุ อญฺญตรํ รูปํ วิยาติ เอวํ สตฺตภงฺคสฺส วิย เสสภงฺคานมฺปิ อสมฺภโวเยวาติ สตฺตภงฺควาทสฺส อยุตฺตตา เวทิตพฺพาฯ

    Tatthāyaṃ ayuttatāvibhāvanā – yadi ‘‘yena sabhāvena yo dhammo atthīti vuccati, teneva sabhāvena so dhammo natthī’’tiādinā vucceyya, siyā anekantavādo. Atha aññena, siyā na anekantavādo. Na cettha desantarādisambandhabhāvo yutto vattuṃ tassa sabbalokasiddhattā, vivādābhāvato . Ye pana vadanti ‘‘yathā suvaṇṇaghaṭena makuṭe kate ghaṭabhāvo nassati, makuṭabhāvo uppajjati, suvaṇṇabhāvo tiṭṭhatiyeva, evaṃ sabbabhāvānaṃ koci dhammo nassati, koci dhammo uppajjati, sabhāvo pana tiṭṭhatī’’ti. Te vattabbā ‘‘kiṃ taṃ suvaṇṇaṃ, yaṃ ghaṭe makuṭe ca avaṭṭhitaṃ, yadi rūpādi, so saddo viya anicco. Atha rūpādi samūho, samūho nāma sammutimattaṃ. Na tassa atthitā natthitā niccatā vā labbhatī’’ti anekantavādo na siyā. Dhammānañca dhammino aññathānaññathāsu doso vuttoyeva sassatavādavicāraṇāyaṃ. Tasmā so tattha vuttanayeneva veditabbo. Apica niccāniccanavattabbarūpo attā loko ca paramatthato vijjamānatāpaṭijānanato yathā niccādīnaṃ aññataraṃ rūpaṃ, yathā vā dīpādayo. Na hi dīpādīnaṃ udayabbayasabhāvānaṃ niccāniccanavattabbasabhāvatā sakkā viññātuṃ, jīvassa niccādīsu aññataraṃ rūpaṃ viyāti evaṃ sattabhaṅgassa viya sesabhaṅgānampi asambhavoyevāti sattabhaṅgavādassa ayuttatā veditabbā.

    เอตฺถ จ ‘‘อิสฺสโร นิโจฺจ, อเญฺญ สตฺตา อนิจฺจา’’ติ เอวํ ปวตฺตวาทา สเตฺตกจฺจสสฺสติกา เสยฺยถาปิ อิสฺสรวาทาฯ ‘‘ปรมาณโว นิจฺจา ธุวา, อณุกาทโย อนิจฺจา’’ติ เอวํ ปวตฺตวาทา สงฺขาเรกจฺจสสฺสติกา เสยฺยถาปิ กาณาทาฯ นนุ ‘‘เอกเจฺจ ธมฺมา สสฺสตา, เอกเจฺจ อสสฺสตา’’ติ เอตสฺมิํ วาเท จกฺขาทีนํ อสสฺสตตาสนฺนิฎฺฐานํ ยถาสภาวาวโพโธ เอว, ตยิทํ กถํ มิจฺฉาทสฺสนนฺติ, โก วา เอวมาห ‘‘จกฺขาทีนํ อสสฺสตภาวสนฺนิฎฺฐานํ มิจฺฉาทสฺสน’’นฺติ? อสสฺสเตสุเยว ปน เกสญฺจิ ธมฺมานํ สสฺสตภาวาภินิเวโส อิธ มิจฺฉาทสฺสนํฯ เตน ปน เอกวาเร ปวตฺตมาเนน จกฺขาทีนํ อสสฺสตภาวาวโพโธ วิทูสิโต สํสฎฺฐภาวโต วิสสํสโฎฺฐ วิย สปฺปิมโณฺฑ สกิจฺจกรณาสมตฺถตาย สมฺมาทสฺสนปเกฺข ฐเปตพฺพตํ นารหตีติฯ อสสฺสตภาเวน นิจฺฉิตาปิ วา จกฺขุอาทโย สมาโรปิตชีวสภาวา เอว ทิฎฺฐิคติเกหิ คยฺหนฺตีติ ตทวโพธสฺส มิจฺฉาทสฺสนภาโว น สกฺกา นิวาเรตุํฯ เตเนวาห ‘‘จกฺขุํ อิติปิ…เป.… กาโย อิติปิ อยํ เม อตฺตา’’ติอาทิฯ เอวญฺจ กตฺวา อสงฺขตาย สงฺขตาย จ ธาตุยา วเสน ยถากฺกมํ ‘‘เอกเจฺจ ธมฺมา สสฺสตา, เอกเจฺจ อสสฺสตา’’ติ เอวํ ปวโตฺต วิภชฺชวาโทปิ เอกจฺจสสฺสตวาโท อาปชฺชตีติ เอวํปการา โจทนา อนวกาสา โหติ อวิปรีตธมฺมสภาวสมฺปฎิปตฺติภาวโตฯ

    Ettha ca ‘‘issaro nicco, aññe sattā aniccā’’ti evaṃ pavattavādā sattekaccasassatikā seyyathāpi issaravādā. ‘‘Paramāṇavo niccā dhuvā, aṇukādayo aniccā’’ti evaṃ pavattavādā saṅkhārekaccasassatikā seyyathāpi kāṇādā. Nanu ‘‘ekacce dhammā sassatā, ekacce asassatā’’ti etasmiṃ vāde cakkhādīnaṃ asassatatāsanniṭṭhānaṃ yathāsabhāvāvabodho eva, tayidaṃ kathaṃ micchādassananti, ko vā evamāha ‘‘cakkhādīnaṃ asassatabhāvasanniṭṭhānaṃ micchādassana’’nti? Asassatesuyeva pana kesañci dhammānaṃ sassatabhāvābhiniveso idha micchādassanaṃ. Tena pana ekavāre pavattamānena cakkhādīnaṃ asassatabhāvāvabodho vidūsito saṃsaṭṭhabhāvato visasaṃsaṭṭho viya sappimaṇḍo sakiccakaraṇāsamatthatāya sammādassanapakkhe ṭhapetabbataṃ nārahatīti. Asassatabhāvena nicchitāpi vā cakkhuādayo samāropitajīvasabhāvā eva diṭṭhigatikehi gayhantīti tadavabodhassa micchādassanabhāvo na sakkā nivāretuṃ. Tenevāha ‘‘cakkhuṃ itipi…pe… kāyo itipi ayaṃ me attā’’tiādi. Evañca katvā asaṅkhatāya saṅkhatāya ca dhātuyā vasena yathākkamaṃ ‘‘ekacce dhammā sassatā, ekacce asassatā’’ti evaṃ pavatto vibhajjavādopi ekaccasassatavādo āpajjatīti evaṃpakārā codanā anavakāsā hoti aviparītadhammasabhāvasampaṭipattibhāvato.

    กามเญฺจตฺถ ปุริมวาเทปิ อสสฺสตานํ ธมฺมานํ ‘‘สสฺสตา’’ติ คหณํ วิเสสโต มิจฺฉาทสฺสนํ, สสฺสตานํ ปน ‘‘สสฺสตา’’ติ คาโห น มิจฺฉาทสฺสนํ ยถาสภาวคฺคหณภาวโตฯ อสสฺสเตสุเยว ปน ‘‘เกจิเทว ธมฺมา สสฺสตา, เกจิ อสสฺสตา’’ติ คเหตพฺพธเมฺมสุ วิภาคปฺปวตฺติยา อิมสฺส วาทสฺส วาทนฺตรตา วุตฺตา, น เจตฺถ ‘‘สมุทายโนฺตคธตฺตา เอกเทสสฺส สปฺปเทสสสฺสตคฺคาโห นิปฺปเทสสสฺสตคฺคาเห สโมธานํ คจฺฉตี’’ติ สกฺกา วตฺตุํ วาที ตพฺพิสยวิเสสวเสน วาททฺวยสฺส ปวตฺตตฺตาฯ อเญฺญ เอว หิ ทิฎฺฐิคติกา ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สสฺสตา’’ติ อภินิวิฎฺฐา, อเญฺญ ‘‘เอกจฺจสสฺสตา’’ติฯ สงฺขารานํ อนวเสสปริยาทานํ, เอกเทสปริคฺคโห จ วาททฺวยสฺส ปริพฺยโตฺตเยวฯ กิญฺจ ภิโยฺย อเนกวิธสมุสฺสเย เอกวิธสมุสฺสเย จ ขนฺธปพเนฺธ อภินิเวสภาวโตฯ จตุพฺพิโธปิ หิ สสฺสตวาที ชาติวิเสสวเสน นานาวิธรูปกายสนฺนิสฺสเย เอว อรูปธมฺมปุเญฺช สสฺสตาภินิเวสี ชาโต อภิญฺญาเณน อนุสฺสวาทีหิ จ รูปกายเภทคฺคหณโตฯ ตถา จ วุตฺตํ ‘‘ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิ’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๓๒) ‘‘จวนฺติ อุปปชฺชนฺตี’’ติ จ อาทิฯ วิเสสลาภี เอกจฺจสสฺสติโก อนุปธาริตเภทสมุสฺสเยว ธมฺมปพเนฺธ สสฺสตาการคฺคหเณน อภินิวิสนํ ชเนสิ เอกภวปริยาปนฺนขนฺธสนฺตานวิสยตฺตา ตทภินิเวสสฺสฯ ตถา จ ตีสุปิ วาเทสุ ‘‘ตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, ตโต ปรํ นานุสฺสรตี’’ติ เอตฺตกเมว วุตฺตํ, ตกฺกีนํ ปน สสฺสเตกจฺจสสฺสตวาทีนํ สสฺสตาภินิเวสวิเสโส รูปารูปธมฺมวิสยตาย สุปากโฎเยวาติฯ

    Kāmañcettha purimavādepi asassatānaṃ dhammānaṃ ‘‘sassatā’’ti gahaṇaṃ visesato micchādassanaṃ, sassatānaṃ pana ‘‘sassatā’’ti gāho na micchādassanaṃ yathāsabhāvaggahaṇabhāvato. Asassatesuyeva pana ‘‘kecideva dhammā sassatā, keci asassatā’’ti gahetabbadhammesu vibhāgappavattiyā imassa vādassa vādantaratā vuttā, na cettha ‘‘samudāyantogadhattā ekadesassa sappadesasassataggāho nippadesasassataggāhe samodhānaṃ gacchatī’’ti sakkā vattuṃ vādī tabbisayavisesavasena vādadvayassa pavattattā. Aññe eva hi diṭṭhigatikā ‘‘sabbe dhammā sassatā’’ti abhiniviṭṭhā, aññe ‘‘ekaccasassatā’’ti. Saṅkhārānaṃ anavasesapariyādānaṃ, ekadesapariggaho ca vādadvayassa paribyattoyeva. Kiñca bhiyyo anekavidhasamussaye ekavidhasamussaye ca khandhapabandhe abhinivesabhāvato. Catubbidhopi hi sassatavādī jātivisesavasena nānāvidharūpakāyasannissaye eva arūpadhammapuñje sassatābhinivesī jāto abhiññāṇena anussavādīhi ca rūpakāyabhedaggahaṇato. Tathā ca vuttaṃ ‘‘tato cuto amutra udapādi’’nti (dī. ni. 1.32) ‘‘cavanti upapajjantī’’ti ca ādi. Visesalābhī ekaccasassatiko anupadhāritabhedasamussayeva dhammapabandhe sassatākāraggahaṇena abhinivisanaṃ janesi ekabhavapariyāpannakhandhasantānavisayattā tadabhinivesassa. Tathā ca tīsupi vādesu ‘‘taṃ pubbenivāsaṃ anussarati, tato paraṃ nānussaratī’’ti ettakameva vuttaṃ, takkīnaṃ pana sassatekaccasassatavādīnaṃ sassatābhinivesaviseso rūpārūpadhammavisayatāya supākaṭoyevāti.

    ๓๙. ทีฆสฺส กาลสฺส อติกฺกเมนาติ วิวฎฺฎวิวฎฺฎฎฺฐายีนํ อปคเมนฯ อเนกตฺถตฺตา ธาตูนํ สํ-สเทฺทน ยุโตฺต วฎฺฎ-สโทฺท วินาสวาจีติ อาห ‘‘วินสฺสตี’’ติ, สงฺขยวเสน วตฺตตีติ อโตฺถฯ วิปตฺติกรมหาเมฆสมุปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย หิ ยาว อณุสหคโตปิ สงฺขาโร น โหติ, ตาว โลโก สํวฎฺฎตีติ วุจฺจติฯ โลโกติ เจตฺถ ปถวีอาทิภาชนโลโก อธิเปฺปโตฯ อุปริพฺรหฺมโลเกสูติ ปริตฺตสุภาทีสุ รูปีพฺรหฺมโลเกสุฯ อคฺคินา หิ กปฺปวุฎฺฐานํ อิธาธิเปฺปตํ พหุลํ ปวตฺตนโตฯ เตเนวาห ภควา ‘‘อาภสฺสรสํวตฺตนิกา โหนฺตี’’ติฯ อรูเปสุ วาติ วา-สเทฺทน สํวฎฺฎมานโลกธาตูหิ อญฺญโลกธาตูสุ วาติ วิกปฺปนํ เวทิตพฺพํฯ น หิ ‘‘สเพฺพ อปายสตฺตา ตทา รูปารูปภเวสุ อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ สกฺกา วิญฺญาตุํ อปาเยสุ ทีฆตมายุกานํ มนุสฺสโลกูปตฺติยา อสมฺภวโตฯ สติปิ สพฺพสตฺตานํ อภิสงฺขารมนสา นิพฺพตฺตภาเว พาหิรปจฺจเยหิ วินา มนสาว นิพฺพตฺตตฺตา ‘‘มโนมยา’’ติ วุจฺจนฺติ รูปาวจรสตฺตาฯ ยทิ เอวํ กามภเว โอปปาติกสตฺตานมฺปิ มโนมยภาโว อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ อธิจิตฺตภูเตน อติสยมนสา นิพฺพตฺตสเตฺตสุ มโนมยโวหารโตติ ทสฺสโนฺต อาห ‘‘ฌานมเนน นิพฺพตฺตตฺตา มโนมยา’’ติฯ เอวํ อรูปาวจรสตฺตานมฺปิ มโนมยภาโว อาปชฺชตีติ เจ? น, ตตฺถ พาหิรปจฺจเยหิ นิพฺพเตฺตตพฺพตาสงฺกาย เอว อภาวโต, ‘‘มนสาว นิพฺพตฺตา’’ติ อวธารณาสมฺภวโตฯ นิรุโฬฺห วายํ โลเก มโนมยโวหาโร รูปาวจรสเตฺตสุฯ ตถา หิ ‘‘อนฺนมโย ปานมโย มโนมโย อานนฺทมโย วิญฺญาณมโย’’ติ ปญฺจธา อตฺตานํ เวทวาทิโน วทนฺติฯ อุเจฺฉทวาเทปิ วกฺขติ ‘‘ทิโพฺพ รูปี มโนมโย’’ติ (ที. นิ. ๑.๘๖)ฯ โสภนา ปภา เอเตสุ สนฺตีติ สุภาฯ ‘‘อุกฺกํเสนา’’ติ อาภสฺสรเทเว สนฺธายาห, ปริตฺตาภา อปฺปมาณาภา ปน เทฺว จตฺตาโร จ กเปฺป ติฎฺฐนฺติฯ อฎฺฐกเปฺปติ อฎฺฐ มหากเปฺปฯ

    39.Dīghassakālassa atikkamenāti vivaṭṭavivaṭṭaṭṭhāyīnaṃ apagamena. Anekatthattā dhātūnaṃ saṃ-saddena yutto vaṭṭa-saddo vināsavācīti āha ‘‘vinassatī’’ti, saṅkhayavasena vattatīti attho. Vipattikaramahāmeghasamuppattito paṭṭhāya hi yāva aṇusahagatopi saṅkhāro na hoti, tāva loko saṃvaṭṭatīti vuccati. Lokoti cettha pathavīādibhājanaloko adhippeto. Uparibrahmalokesūti parittasubhādīsu rūpībrahmalokesu. Agginā hi kappavuṭṭhānaṃ idhādhippetaṃ bahulaṃ pavattanato. Tenevāha bhagavā ‘‘ābhassarasaṃvattanikā hontī’’ti. Arūpesuti -saddena saṃvaṭṭamānalokadhātūhi aññalokadhātūsu vāti vikappanaṃ veditabbaṃ. Na hi ‘‘sabbe apāyasattā tadā rūpārūpabhavesu uppajjantī’’ti sakkā viññātuṃ apāyesu dīghatamāyukānaṃ manussalokūpattiyā asambhavato. Satipi sabbasattānaṃ abhisaṅkhāramanasā nibbattabhāve bāhirapaccayehi vinā manasāva nibbattattā ‘‘manomayā’’ti vuccanti rūpāvacarasattā. Yadi evaṃ kāmabhave opapātikasattānampi manomayabhāvo āpajjatīti? Nāpajjati adhicittabhūtena atisayamanasā nibbattasattesu manomayavohāratoti dassanto āha ‘‘jhānamanena nibbattattā manomayā’’ti. Evaṃ arūpāvacarasattānampi manomayabhāvo āpajjatīti ce? Na, tattha bāhirapaccayehi nibbattetabbatāsaṅkāya eva abhāvato, ‘‘manasāva nibbattā’’ti avadhāraṇāsambhavato. Niruḷho vāyaṃ loke manomayavohāro rūpāvacarasattesu. Tathā hi ‘‘annamayo pānamayo manomayo ānandamayo viññāṇamayo’’ti pañcadhā attānaṃ vedavādino vadanti. Ucchedavādepi vakkhati ‘‘dibbo rūpī manomayo’’ti (dī. ni. 1.86). Sobhanā pabhā etesu santīti subhā. ‘‘Ukkaṃsenā’’ti ābhassaradeve sandhāyāha, parittābhā appamāṇābhā pana dve cattāro ca kappe tiṭṭhanti. Aṭṭhakappeti aṭṭha mahākappe.

    ๔๐. สณฺฐาตีติ สมฺปตฺติกรมหาเมฆสมุปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย ปถวีสนฺธารกุทกตํสนฺธารกวายุมหาปถวีอาทีนํ สมุปฺปตฺติวเสน ฐาติ, ‘‘สมฺภวติ’’ อิเจฺจว วา อโตฺถ อเนกตฺถตฺตา ธาตูนํฯ ปกติยาติ สภาเวน, ตสฺส ‘‘สุญฺญ’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘นิพฺพตฺตสตฺตานํ นตฺถิตายา’’ติ, อนุปฺปนฺนตฺตาติ อโตฺถ, เตน ยถา เอกจฺจานิ วิมานานิ ตตฺถ นิพฺพตฺตสตฺตานํ จุตตฺตา สุญฺญานิ โหนฺติ, น เอวมิทนฺติ ทเสฺสติฯ พฺรหฺมปาริสชฺชพฺรหฺมปุโรหิตมหาพฺรหฺมาโน พฺรหฺมกายิกา, เตสํ นิวาโส ภูมิปิ ‘‘พฺรหฺมกายิกา’’ติ วุตฺตาฯ กมฺมํ อุปนิสฺสยวเสน ปจฺจโย เอติสฺสาติ กมฺมปจฺจยาฯ อถ วา ตตฺถ นิพฺพตฺตสตฺตานํ วิปจฺจนกกมฺมสฺส สหการีปจฺจยภาวโต, กมฺมสฺส ปจฺจยาติ กมฺมปจฺจยา ฯ อุตุ สมุฎฺฐานํ เอติสฺสาติ อุตุสมุฎฺฐานาฯ ‘‘กมฺมปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานา’’ติ วา ปาโฐ, กมฺมสหาโย ปจฺจโย, กมฺมสฺส วา สหายภูโต ปจฺจโย กมฺมปจฺจโย , โสว อุตุ กมฺมปจฺจยอุตุ, โส สมุฎฺฐานํ เอติสฺสาติ โยเชตพฺพํฯ เอตฺถาติ ‘‘พฺรหฺมวิมาน’’นฺติ วุตฺตาย พฺรหฺมกายิกภูมิยาฯ กถํ ปณีตาย ทุติยชฺฌานภูมิยํ ฐิตานํ หีนาย ปฐมชฺฌานภูมิยา อุปปตฺติ โหตีติ อาห ‘‘อถ สตฺตาน’’นฺติอาทิฯ โอตรนฺตีติ อุปปชฺชนวเสน เหฎฺฐาภูมิํ คจฺฉนฺติฯ

    40.Saṇṭhātīti sampattikaramahāmeghasamuppattito paṭṭhāya pathavīsandhārakudakataṃsandhārakavāyumahāpathavīādīnaṃ samuppattivasena ṭhāti, ‘‘sambhavati’’ icceva vā attho anekatthattā dhātūnaṃ. Pakatiyāti sabhāvena, tassa ‘‘suñña’’nti iminā sambandho. Tattha kāraṇamāha ‘‘nibbattasattānaṃ natthitāyā’’ti, anuppannattāti attho, tena yathā ekaccāni vimānāni tattha nibbattasattānaṃ cutattā suññāni honti, na evamidanti dasseti. Brahmapārisajjabrahmapurohitamahābrahmāno brahmakāyikā, tesaṃ nivāso bhūmipi ‘‘brahmakāyikā’’ti vuttā. Kammaṃ upanissayavasena paccayo etissāti kammapaccayā. Atha vā tattha nibbattasattānaṃ vipaccanakakammassa sahakārīpaccayabhāvato, kammassa paccayāti kammapaccayā. Utu samuṭṭhānaṃ etissāti utusamuṭṭhānā. ‘‘Kammapaccayautusamuṭṭhānā’’ti vā pāṭho, kammasahāyo paccayo, kammassa vā sahāyabhūto paccayo kammapaccayo , sova utu kammapaccayautu, so samuṭṭhānaṃ etissāti yojetabbaṃ. Etthāti ‘‘brahmavimāna’’nti vuttāya brahmakāyikabhūmiyā. Kathaṃ paṇītāya dutiyajjhānabhūmiyaṃ ṭhitānaṃ hīnāya paṭhamajjhānabhūmiyā upapatti hotīti āha ‘‘atha sattāna’’ntiādi. Otarantīti upapajjanavasena heṭṭhābhūmiṃ gacchanti.

    อปฺปายุเกติ ยํ อุฬารํ ปุญฺญกมฺมํ กตํ, ตสฺส อุปฺปชฺชนารหวิปากปพนฺธโต อปฺปปริมาณายุเกฯ อายุปฺปมาเณเนวาติ ปรมายุปฺปมาเณเนวฯ กิํ ปเนตํ ปรมายุ นาม, กถํ วา ตํ ปริจฺฉินฺนปมาณนฺติ? วุจฺจเต – โย เตสํ เตสํ สตฺตานํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ภววิเสเส ปุริมสิทฺธภวปตฺถนูปนิสฺสยวเสน สรีราวยววณฺณสณฺฐานปมาณาทิวิเสสา วิย ตํตํคตินิกายาทีสุ เยภุเยฺยน นิยตปริเจฺฉโท คพฺภเสยฺยกกามาวจรเทวรูปาวจรสตฺตานํ สุกฺกโสณิตอุตุโภชนาทิ อุตุอาทิปจฺจยุปฺปนฺนปจฺจยูปตฺถมฺภิโต วิปากปพนฺธสฺส ฐิติกาลนิยโม, โส ยถาสกํ ขณมตฺตาวฎฺฐายีนมฺปิ อตฺตโน สหชาตานํ รูปารูปธมฺมานํ ฐปนาการวุตฺติตาย ปวตฺตกานิ รูปารูปชีวิตินฺทฺริยานิ ยสฺมา น เกวลํ เนสํ ขณฐิติยา เอว การณภาเวน อนุปาลกานิ, อถ โข ยาว ภวงฺคุปเจฺฉทา อนุปพนฺธสฺส อวิเจฺฉทเหตุภาเวนาปิ, ตสฺมา อายุเหตุกตฺตา การณูปจาเรน อายุ, อุกฺกํสปริเจฺฉทวเสน ปรมายูติ จ วุจฺจติฯ ตํ ปน เทวานํ เนรยิกานํ อุตฺตรกุรุกานญฺจ นิยตปริเจฺฉทํ, อุตฺตรกุรุกานํ ปน เอกนฺตนิยตปริเจฺฉทเมว, อวสิฎฺฐมนุสฺสเปตติรจฺฉานานํ ปน จิรฎฺฐิติสํวตฺตนิกกมฺมพหุเล กาเล ตํกมฺมสหิตสนฺตานชนิตสุกฺกโสณิตปฺปจฺจยานํ ตํมูลกานญฺจ จนฺทสูริยสมวิสมปริวตฺตนาทิชนิตอุตุอาหาราทิสมวิสม ปจฺจยานํ วเสน จิราจิรกาลโต อนิยตปริเจฺฉทํ, ตสฺส จ ยถา ปุริมสิทฺธภวปตฺถนาวเสน ตํตํคตินิกายาทีสุ วณฺณสณฺฐานาทิวิเสสนิยโม สิโทฺธ ทสฺสนานุสฺสวาทีหิ, ตถา อาทิโต คหณสิทฺธิยาฯ เอวํ ตาสุ ตาสุ อุปปตฺตีสุ นิพฺพตฺตสตฺตานํ เยภุเยฺยน สมปฺปมาณฎฺฐิติกาลํ ทสฺสนานุสฺสเวหิ ลภิตฺวา ตํ ปรมตํ อโชฺฌสาย ปวตฺติตภวปตฺถนาวเสน อาทิโต ปริเจฺฉทนิยโม เวทิตโพฺพฯ ยสฺมา ปน กมฺมํ ตาสุ ตาสุ อุปปตฺตีสุ ยถา ตํตํอุปปตฺตินิยตวณฺณาทินิพฺพตฺตเน สมตฺถํ, เอวํ นิยตายุปริเจฺฉทาสุ อุปปตฺตีสุ ปริเจฺฉทาติกฺกเมน วิปากนิพฺพตฺตเน สมตฺถํ น โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อายุปฺปมาเณเนว จวนฺตี’’ติฯ ยสฺมา ปน อุปตฺถมฺภกสหาเยหิ อนุปาลกปฺปจฺจเยหิ อุปาทินฺนกกฺขนฺธานํ ปวเตฺตตพฺพากาโร อตฺถโต ปรมายุ, ตสฺส ยถาวุตฺตปริเจฺฉทานติกฺกมนโต สติปิ กมฺมาวเสเส ฐานํ น สมฺภวติ, เตน วุตฺตํ ‘‘อตฺตโน ปุญฺญพเลเนว ฐาตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ กปฺปํ วาติ อสเงฺขฺยยฺยกปฺปํ วา ตสฺส อุปฑฺฒํ วา อุปฑฺฒกปฺปโต อูนมธิกํ วาติ วิกปฺปนโตฺถ วา-สโทฺทฯ

    Appāyuketi yaṃ uḷāraṃ puññakammaṃ kataṃ, tassa uppajjanārahavipākapabandhato appaparimāṇāyuke. Āyuppamāṇenevāti paramāyuppamāṇeneva. Kiṃ panetaṃ paramāyu nāma, kathaṃ vā taṃ paricchinnapamāṇanti? Vuccate – yo tesaṃ tesaṃ sattānaṃ tasmiṃ tasmiṃ bhavavisese purimasiddhabhavapatthanūpanissayavasena sarīrāvayavavaṇṇasaṇṭhānapamāṇādivisesā viya taṃtaṃgatinikāyādīsu yebhuyyena niyataparicchedo gabbhaseyyakakāmāvacaradevarūpāvacarasattānaṃ sukkasoṇitautubhojanādi utuādipaccayuppannapaccayūpatthambhito vipākapabandhassa ṭhitikālaniyamo, so yathāsakaṃ khaṇamattāvaṭṭhāyīnampi attano sahajātānaṃ rūpārūpadhammānaṃ ṭhapanākāravuttitāya pavattakāni rūpārūpajīvitindriyāni yasmā na kevalaṃ nesaṃ khaṇaṭhitiyā eva kāraṇabhāvena anupālakāni, atha kho yāva bhavaṅgupacchedā anupabandhassa avicchedahetubhāvenāpi, tasmā āyuhetukattā kāraṇūpacārena āyu, ukkaṃsaparicchedavasena paramāyūti ca vuccati. Taṃ pana devānaṃ nerayikānaṃ uttarakurukānañca niyataparicchedaṃ, uttarakurukānaṃ pana ekantaniyataparicchedameva, avasiṭṭhamanussapetatiracchānānaṃ pana ciraṭṭhitisaṃvattanikakammabahule kāle taṃkammasahitasantānajanitasukkasoṇitappaccayānaṃ taṃmūlakānañca candasūriyasamavisamaparivattanādijanitautuāhārādisamavisama paccayānaṃ vasena cirācirakālato aniyataparicchedaṃ, tassa ca yathā purimasiddhabhavapatthanāvasena taṃtaṃgatinikāyādīsu vaṇṇasaṇṭhānādivisesaniyamo siddho dassanānussavādīhi, tathā ādito gahaṇasiddhiyā. Evaṃ tāsu tāsu upapattīsu nibbattasattānaṃ yebhuyyena samappamāṇaṭṭhitikālaṃ dassanānussavehi labhitvā taṃ paramataṃ ajjhosāya pavattitabhavapatthanāvasena ādito paricchedaniyamo veditabbo. Yasmā pana kammaṃ tāsu tāsu upapattīsu yathā taṃtaṃupapattiniyatavaṇṇādinibbattane samatthaṃ, evaṃ niyatāyuparicchedāsu upapattīsu paricchedātikkamena vipākanibbattane samatthaṃ na hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘āyuppamāṇeneva cavantī’’ti. Yasmā pana upatthambhakasahāyehi anupālakappaccayehi upādinnakakkhandhānaṃ pavattetabbākāro atthato paramāyu, tassa yathāvuttaparicchedānatikkamanato satipi kammāvasese ṭhānaṃ na sambhavati, tena vuttaṃ ‘‘attano puññabaleneva ṭhātuṃ na sakkotī’’ti. Kappaṃ vāti asaṅkhyeyyakappaṃ vā tassa upaḍḍhaṃ vā upaḍḍhakappato ūnamadhikaṃ vāti vikappanattho -saddo.

    ๔๑. อนภิรตีติ เอกวิหาเรน อนภิรติฯ สา ปน ยสฺมา อเญฺญหิ สมาคมิจฺฉา โหติ, เตน วุตฺตํ ‘‘อปรสฺสาปิ สตฺตสฺส อาคมนปตฺถนา’’ติฯ ปิยวตฺถุวิรเหน ปิยวตฺถุอลาเภน วา จิตฺตวิฆาโต อุกฺกณฺฐิตา, สา อตฺถโต โทมนสฺสจิตฺตุปฺปาโท เยวาติ อาห ‘‘ปฎิฆสมฺปยุตฺตา’’ติฯ ทีฆรตฺตํ ฌานรติยา รมมานสฺส วุตฺตปฺปการํ อนภิรตินิมิตฺตํ อุปฺปนฺนา ‘‘มม’’นฺติ จ ‘‘อห’’นฺติ จ คหณสฺส การณภูตา ตณฺหาทิฎฺฐิโย อิธ ปริตสฺสนาฯ ตา ปน จิตฺตสฺส ปุริมาวตฺถาย จลนํ กมฺปนนฺติ อาห ‘‘อุพฺพิชฺชนา ผนฺทนา’’ติฯ เตเนวาห ‘‘ตณฺหาตสฺสนาปิ ทิฎฺฐิตสฺสนาปิ วฎฺฎตี’’ติฯ ยํ ปน อตฺถุทฺธาเร ‘‘อโห วต อเญฺญปิ สตฺตา อิตฺถตฺตํ อาคเจฺฉยฺยุนฺติ อยํ ตณฺหาตสฺสนา นามา’’ติ วุตฺตํ, ตํ ทิฎฺฐิตสฺสนาย วิสุํ อุทาหรณํ ทเสฺสเนฺตน ตณฺหาตสฺสนํเยว ตโต นิทฺธาเรตฺวา วุตฺตํ, น ปน ตตฺถ ทิฎฺฐิตสฺสนาย อภาวโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตาสตสฺสนา จิตฺตุตฺราโสฯ ภยานกนฺติ เภรวารมฺมณนิมิตฺตํ พลวภยํฯ เตน สรีรสฺส ถทฺธภาโว ฉมฺภิตตฺตํ ภยํ สํเวคนฺติ เอตฺถ ภยนฺติ ภงฺคานุปสฺสนาย จิณฺณเนฺต สพฺพสงฺขารโต ภายนวเสน อุปฺปนฺนํ ภยญาณํฯ สํเวคนฺติ สโหตฺตปฺปญาณํ, โอตฺตปฺปเมว วาฯ สนฺตาสนฺติ อาทีนวนิพฺพิทานุปสฺสนาหิ สงฺขาเรหิ สนฺตสฺสนญาณํฯ สห พฺยายติ ปวตฺตติ, โทสํ วา ฉาเทตีติ สหโพฺย, สหาโย, ตสฺส ภาวํ สหพฺยตํฯ

    41.Anabhiratīti ekavihārena anabhirati. Sā pana yasmā aññehi samāgamicchā hoti, tena vuttaṃ ‘‘aparassāpi sattassa āgamanapatthanā’’ti. Piyavatthuvirahena piyavatthualābhena vā cittavighāto ukkaṇṭhitā, sā atthato domanassacittuppādo yevāti āha ‘‘paṭighasampayuttā’’ti. Dīgharattaṃ jhānaratiyā ramamānassa vuttappakāraṃ anabhiratinimittaṃ uppannā ‘‘mama’’nti ca ‘‘aha’’nti ca gahaṇassa kāraṇabhūtā taṇhādiṭṭhiyo idha paritassanā. Tā pana cittassa purimāvatthāya calanaṃ kampananti āha ‘‘ubbijjanā phandanā’’ti. Tenevāha ‘‘taṇhātassanāpi diṭṭhitassanāpi vaṭṭatī’’ti. Yaṃ pana atthuddhāre ‘‘aho vata aññepi sattā itthattaṃ āgaccheyyunti ayaṃ taṇhātassanā nāmā’’ti vuttaṃ, taṃ diṭṭhitassanāya visuṃ udāharaṇaṃ dassentena taṇhātassanaṃyeva tato niddhāretvā vuttaṃ, na pana tattha diṭṭhitassanāya abhāvatoti daṭṭhabbaṃ. Tāsatassanā cittutrāso. Bhayānakanti bheravārammaṇanimittaṃ balavabhayaṃ. Tena sarīrassa thaddhabhāvo chambhitattaṃ bhayaṃ saṃveganti ettha bhayanti bhaṅgānupassanāya ciṇṇante sabbasaṅkhārato bhāyanavasena uppannaṃ bhayañāṇaṃ. Saṃveganti sahottappañāṇaṃ, ottappameva vā. Santāsanti ādīnavanibbidānupassanāhi saṅkhārehi santassanañāṇaṃ. Saha byāyati pavattati, dosaṃ vā chādetīti sahabyo, sahāyo, tassa bhāvaṃ sahabyataṃ.

    ๔๒. อภิภวิตฺวา ฐิโต อิเม สเตฺตติ อธิปฺปาโยฯ ยสฺมา ปน โส ปาสํสภาเวน อุตฺตมภาเวน จ ‘‘เต สเตฺต อภิภวิตฺวา ฐิโต’’ติ อตฺตานํ มญฺญติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘เชฎฺฐโกหมสฺมี’’ติฯ อญฺญทตฺถุ ทโสติ ทสฺสเน อนฺตรายาภาววจเนน, เญยฺยวิเสสปริคฺคาหิกภาเวน จ อนาวรณทสฺสาวิตํ ปฎิชานาตีติ อาห ‘‘สพฺพํ ปสฺสามีติ อโตฺถ’’ติฯ ภูตภพฺยานนฺติ อเหสุนฺติ ภูตา, ภวนฺติ ภวิสฺสนฺตีติ ภพฺยา, อฎฺฐกถายํ ปน วตฺตมานกาลวเสเนว ภพฺย-สทฺทสฺส อโตฺถ ทสฺสิโตฯ ปฐมจิตฺตกฺขเณติ ปฎิสนฺธิจิตฺตกฺขเณฯ กิญฺจาปิ โส พฺรหฺมา อนวฎฺฐิตทสฺสนตฺตา ปุถุชฺชนสฺส ปุริมตรชาติปริจิตมฺปิ กมฺมสฺสกตญฺญาณํ วิสฺสเชฺชตฺวา วิกุพฺพนิทฺธิวเสน จิตฺตุปฺปตฺติมตฺตปฎิพเทฺธน สตฺตนิมฺมาเนน วิปลฺลโฎฺฐ ‘‘อหํ อิสฺสโร กตฺตา นิมฺมาตา’’ติอาทินา อิสฺสรกุตฺตทสฺสนํ ปกฺขนฺทมาโน อภินิวิสนวเสเนว ปติฎฺฐิโต, น ปติฎฺฐาปนวเสน ‘‘ตสฺส เอวํ โหตี’’ติ วุตฺตตฺตา, ปติฎฺฐาปนกฺกเมเนว ปน ตสฺส โส อภินิเวโส ชาโตติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘การณโต สาเธตุกาโม’’ติ, ‘‘ปฎิญฺญํ กตฺวา’’ติ จ วุตฺตํฯ เตนาห ภควา ‘‘ตํ กิสฺส เหตู’’ติอาทิฯ ตตฺถ มโนปณิธีติ มนสา เอว ปตฺถนา, ตถา จิตฺตปฺปวตฺติมตฺตเมวาติ อโตฺถ, อิตฺถภาวนฺติ อิทปฺปการตํฯ ยสฺมา ปน อิตฺถนฺติ พฺรหฺมตฺตภาโว อิธาธิเปฺปโต, ตสฺมา ‘‘พฺรหฺมภาวนฺติ อโตฺถ’’ติ วุตฺตํฯ นนุ จ เทวานํ อุปปตฺติสมนนฺตรํ ‘‘อิมิสฺสา นาม คติยา จวิตฺวา อิมินา นาม กมฺมุนา อิธูปปนฺนา’’ติ ปจฺจเวกฺขณา โหตีติ? สจฺจํ โหติ, สา ปน ปุริมชาตีสุ กมฺมสฺสกตญฺญาเณ สมฺมเทว นิวิฎฺฐชฺฌาสยานํฯ อิเม ปน สตฺตา ปุริมาสุปิ ชาตีสุ อิสฺสรกุตฺตทสฺสนวเสน วินิพนฺธาภินิเวสา อเหสุนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิมินา มย’’นฺติอาทิฯ

    42.Abhibhavitvā ṭhito ime satteti adhippāyo. Yasmā pana so pāsaṃsabhāvena uttamabhāvena ca ‘‘te satte abhibhavitvā ṭhito’’ti attānaṃ maññati, tasmā vuttaṃ ‘‘jeṭṭhakohamasmī’’ti. Aññadatthu dasoti dassane antarāyābhāvavacanena, ñeyyavisesapariggāhikabhāvena ca anāvaraṇadassāvitaṃ paṭijānātīti āha ‘‘sabbaṃ passāmīti attho’’ti. Bhūtabhabyānanti ahesunti bhūtā, bhavanti bhavissantīti bhabyā, aṭṭhakathāyaṃ pana vattamānakālavaseneva bhabya-saddassa attho dassito. Paṭhamacittakkhaṇeti paṭisandhicittakkhaṇe. Kiñcāpi so brahmā anavaṭṭhitadassanattā puthujjanassa purimatarajātiparicitampi kammassakataññāṇaṃ vissajjetvā vikubbaniddhivasena cittuppattimattapaṭibaddhena sattanimmānena vipallaṭṭho ‘‘ahaṃ issaro kattā nimmātā’’tiādinā issarakuttadassanaṃ pakkhandamāno abhinivisanavaseneva patiṭṭhito, na patiṭṭhāpanavasena ‘‘tassa evaṃ hotī’’ti vuttattā, patiṭṭhāpanakkameneva pana tassa so abhiniveso jātoti dassanatthaṃ ‘‘kāraṇato sādhetukāmo’’ti, ‘‘paṭiññaṃ katvā’’ti ca vuttaṃ. Tenāha bhagavā ‘‘taṃ kissa hetū’’tiādi. Tattha manopaṇidhīti manasā eva patthanā, tathā cittappavattimattamevāti attho, itthabhāvanti idappakārataṃ. Yasmā pana itthanti brahmattabhāvo idhādhippeto, tasmā ‘‘brahmabhāvanti attho’’ti vuttaṃ. Nanu ca devānaṃ upapattisamanantaraṃ ‘‘imissā nāma gatiyā cavitvā iminā nāma kammunā idhūpapannā’’ti paccavekkhaṇā hotīti? Saccaṃ hoti, sā pana purimajātīsu kammassakataññāṇe sammadeva niviṭṭhajjhāsayānaṃ. Ime pana sattā purimāsupi jātīsu issarakuttadassanavasena vinibandhābhinivesā ahesunti daṭṭhabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘iminā maya’’ntiādi.

    ๔๓. อีสตีติ อีโส, อภิภูติ อโตฺถฯ มหา อีโส มเหโส, สุปฺปติฎฺฐมเหสตาย ปน ปเรหิ ‘‘มเหโส’’ติ อกฺขาตพฺพตาย มเหสโกฺข, อติสเยน มเหสโกฺข มเหสกฺขตโรติ วจนโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ยสฺมา ปน โส มเหสกฺขภาโว อาธิปเตยฺยปริวารสมฺปตฺติยา วิญฺญายติ, ตสฺมา ‘‘อิสฺสริยปริวารวเสน มหายสตโร’’ติ วุตฺตํฯ

    43. Īsatīti īso, abhibhūti attho. Mahā īso maheso, suppatiṭṭhamahesatāya pana parehi ‘‘maheso’’ti akkhātabbatāya mahesakkho, atisayena mahesakkho mahesakkhataroti vacanattho daṭṭhabbo. Yasmā pana so mahesakkhabhāvo ādhipateyyaparivārasampattiyā viññāyati, tasmā ‘‘issariyaparivāravasena mahāyasataro’’ti vuttaṃ.

    ๔๔. อิเธว อาคจฺฉตีติ อิมสฺมิํ มนุสฺสโลเก เอว ปฎิสนฺธิวเสน อาคจฺฉติฯ ยํ อญฺญตโร สโตฺตติ เอตฺถ นฺติ นิปาตมตฺตํ, กรเณ วา ปจฺจตฺตนิเทฺทโส, เยน ฐาเนนาติ อโตฺถ, กิริยาปรามสนํ วาฯ อิตฺถตฺตํ อาคจฺฉตีติ เอตฺถ ยเทตํ อิตฺถตฺตสฺส อาคมนํ, เอตํ ฐานํ วิชฺชตีติ อโตฺถฯ เอส นโย ‘‘ปพฺพชติ, เจโตสมาธิํ ผุสติ, ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรตี’’ติ เอเตสุปิ ปเทสุฯ ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ ภิกฺขเว วิชฺชติ, ยํ อญฺญตโร สโตฺต’’ติ อิมญฺหิ ปทํ ‘‘ปพฺพชตี’’ติอาทีหิ ปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพนฺติฯ

    44.Idheva āgacchatīti imasmiṃ manussaloke eva paṭisandhivasena āgacchati. Yaṃ aññataro sattoti ettha yanti nipātamattaṃ, karaṇe vā paccattaniddeso, yena ṭhānenāti attho, kiriyāparāmasanaṃ vā. Itthattaṃ āgacchatīti ettha yadetaṃ itthattassa āgamanaṃ, etaṃ ṭhānaṃ vijjatīti attho. Esa nayo ‘‘pabbajati, cetosamādhiṃ phusati, pubbenivāsaṃ anussaratī’’ti etesupi padesu. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ bhikkhave vijjati, yaṃ aññataro satto’’ti imañhi padaṃ ‘‘pabbajatī’’tiādīhi padehi paccekaṃ yojetabbanti.

    ๔๕. ขิฑฺฑาย ปทุสฺสนฺตีติ ขิฑฺฑาปโทสิโน, ขิฑฺฑาปโทสิโน เอว ขิฑฺฑาปโทสิกา, ขิฑฺฑาปโทโส วา เอเตสํ อตฺถีติ ขิฑฺฑาปโทสิกาฯ อติกฺกนฺตเวลํ อติเวลํ, อาหารูปโภคกาลํ อติกฺกมิตฺวาติ อโตฺถฯ เมถุนสมฺปโยเคน อุปฺปชฺชนกสุขํ เกฬิหสฺสสุขํ รติธโมฺม รติสภาโวฯ อาหารนฺติ เอตฺถ โก เทวานํ อาหาโร, กา อาหารเวลาติ? สเพฺพสมฺปิ กามาวจรเทวานํ สุธา อาหาโร, สา เหฎฺฐิเมหิ อุปริมานํ ปณีตตมา โหติ, ตํ ยถาสกํ ทิวสวเสน ทิวเส ทิวเส ภุญฺชนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘พิฬารปทปฺปมาณํ สุธาหารํ ภุญฺชนฺติ, โส ชิวฺหาย ฐปิตมโตฺต ยาว เกสคฺคนขคฺคา กายํ ผรติ, เตสํเยว ทิวสวเสน สตฺตทิวเส ยาปนสมโตฺถ จ โหตี’’ติ วทนฺติฯ ‘‘นิรนฺตรํ ขาทนฺตา ปิวนฺตา’’ติ อิทํ ปริกปฺปนวเสน วุตฺตํฯ กมฺมชเตชสฺส พลวภาโว อุฬารปุญฺญนิพฺพตฺตตฺตา, อุฬารครุสินิทฺธสุธาหารชีรณโต จฯ กรชกายสฺส มนฺทภาโว มุทุสุขุมาลภาวโตฯ เตเนว หิ ภควา อินฺทสาลคุหายํ ปกติปถวิยํ สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตํ สกฺกํ เทวราชานํ ‘‘โอฬาริกํ กายํ อธิเฎฺฐหี’’ติ อาหฯ เตสนฺติ มนุสฺสานํฯ วตฺถุนฺติ กรชกายํฯ เกจีติ อภยคิริวาสิโนฯ

    45. Khiḍḍāya padussantīti khiḍḍāpadosino, khiḍḍāpadosino eva khiḍḍāpadosikā, khiḍḍāpadoso vā etesaṃ atthīti khiḍḍāpadosikā. Atikkantavelaṃ ativelaṃ, āhārūpabhogakālaṃ atikkamitvāti attho. Methunasampayogena uppajjanakasukhaṃ keḷihassasukhaṃ ratidhammo ratisabhāvo. Āhāranti ettha ko devānaṃ āhāro, kā āhāravelāti? Sabbesampi kāmāvacaradevānaṃ sudhā āhāro, sā heṭṭhimehi uparimānaṃ paṇītatamā hoti, taṃ yathāsakaṃ divasavasena divase divase bhuñjanti. Keci pana ‘‘biḷārapadappamāṇaṃ sudhāhāraṃ bhuñjanti, so jivhāya ṭhapitamatto yāva kesagganakhaggā kāyaṃ pharati, tesaṃyeva divasavasena sattadivase yāpanasamattho ca hotī’’ti vadanti. ‘‘Nirantaraṃ khādantā pivantā’’ti idaṃ parikappanavasena vuttaṃ. Kammajatejassa balavabhāvo uḷārapuññanibbattattā, uḷāragarusiniddhasudhāhārajīraṇato ca. Karajakāyassa mandabhāvo mudusukhumālabhāvato. Teneva hi bhagavā indasālaguhāyaṃ pakatipathaviyaṃ saṇṭhātuṃ asakkontaṃ sakkaṃ devarājānaṃ ‘‘oḷārikaṃ kāyaṃ adhiṭṭhehī’’ti āha. Tesanti manussānaṃ. Vatthunti karajakāyaṃ. Kecīti abhayagirivāsino.

    ๔๗. มเนนาติ อิสฺสาปกตตฺตา ปทุเฎฺฐน มนสาฯ อุสูยาวเสน มนโสว ปโทโส มโนปโทโส, โส เอเตสํ อตฺถิ วินาสเหตุภูโตติ มโนปโทสิกาติ เอวํ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อกุโทฺธ รกฺขตีติ กุทฺธสฺส โส โกโธ อิตรสฺมิํ อกุชฺฌเนฺต อนุปาทาโน เอกวารเมว อุปฺปตฺติยา อนาเสวโน จาเวตุํ น สโกฺกติ อุทกนฺตํ ปตฺวา อคฺคิ วิย นิพฺพายติ, ตสฺมา อกุโทฺธ ตํ จวนโต รกฺขติ, อุโภสุ ปน กุเทฺธสุ ภิโยฺย ภิโยฺย อญฺญมญฺญมฺหิ ปริวฑฺฒนวเสน ติขิณสมุทาจาโร นิสฺสยทหนรโส โกโธ อุปฺปชฺชมาโน หทยวตฺถุํ นิทหโนฺต อจฺจนฺตสุขุมาลกรชกายํ วินาเสติ, ตโต สกโลปิ อตฺตภาโว อนฺตรธายติฯ เตนาห ‘‘อุโภสุ ปนา’’ติอาทิ ฯ ตถา จาห ภควา ‘‘อญฺญมญฺญํ ปทุฎฺฐจิตฺตา กิลนฺตกายา…เป.… จวนฺตี’’ติฯ ธมฺมตาติ ธมฺมนิยาโมฯ โส จ เตสํ กรชกายสฺส มนฺทตาย, ตถาอุปฺปชฺชนกโกธสฺส จ พลวตาย ฐานโส จวนํ, เตสํ รูปารูปธมฺมานํ สภาโวติ อธิปฺปาโยฯ

    47.Manenāti issāpakatattā paduṭṭhena manasā. Usūyāvasena manasova padoso manopadoso, so etesaṃ atthi vināsahetubhūtoti manopadosikāti evaṃ vā ettha attho daṭṭhabbo. Akuddho rakkhatīti kuddhassa so kodho itarasmiṃ akujjhante anupādāno ekavārameva uppattiyā anāsevano cāvetuṃ na sakkoti udakantaṃ patvā aggi viya nibbāyati, tasmā akuddho taṃ cavanato rakkhati, ubhosu pana kuddhesu bhiyyo bhiyyo aññamaññamhi parivaḍḍhanavasena tikhiṇasamudācāro nissayadahanaraso kodho uppajjamāno hadayavatthuṃ nidahanto accantasukhumālakarajakāyaṃ vināseti, tato sakalopi attabhāvo antaradhāyati. Tenāha ‘‘ubhosu panā’’tiādi . Tathā cāha bhagavā ‘‘aññamaññaṃ paduṭṭhacittā kilantakāyā…pe… cavantī’’ti. Dhammatāti dhammaniyāmo. So ca tesaṃ karajakāyassa mandatāya, tathāuppajjanakakodhassa ca balavatāya ṭhānaso cavanaṃ, tesaṃ rūpārūpadhammānaṃ sabhāvoti adhippāyo.

    ๔๙. จกฺขาทีนํ เภทํ ปสฺสตีติ วิโรธิปจฺจยสนฺนิปาเต วิการาปตฺติทสฺสนโต, อเนฺต จ อทสฺสนูปคมนโต วินาสํ ปสฺสติ โอฬาริกตฺตา รูปธมฺมเภทสฺสฯ ปจฺจยํ ทตฺวาติ อนนฺตรปจฺจยาทิวเสน ปจฺจโย หุตฺวาฯ ‘‘พลวตร’’นฺติ จิตฺตสฺส ลหุตรํ เภทํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตถา หิ เอกสฺมิํ รูเป ธรเนฺตเยว โสฬส จิตฺตานิ ภิชฺชนฺติฯ เภทํ น ปสฺสตีติ ขเณ ขเณ ภิชฺชนฺตมฺปิ จิตฺตํ ปรสฺส อนนฺตรปจฺจยภาเวเนว ภิชฺชตีติ ปุริมจิตฺตสฺส อภาวํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา วิย ปจฺฉิมจิตฺตสฺส อุปฺปตฺติโต ภาวปโกฺข พลวตโร ปากโฎ จ โหติ, น อภาวปโกฺขติ จิตฺตสฺส วินาสํ น ปสฺสติ, อยญฺจ อโตฺถ อลาตจกฺกทสฺสเนน สุปากโฎ วิญฺญายติฯ ยสฺมา ปน ตกฺกีวาที นานตฺตนยสฺส ทูรตรตาย เอกตฺตนยสฺสปิ มิจฺฉาคหิตตฺตา ‘‘ยเทวิทํ วิญฺญาณํ สพฺพทาปิ เอกรูเปน ปวตฺตติ, อยเมว อตฺตา นิโจฺจ’’ติอาทินา อภินิเวสํ ชเนติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘โส ตํ อปสฺสโนฺต’’ติอาทิฯ

    49.Cakkhādīnaṃ bhedaṃ passatīti virodhipaccayasannipāte vikārāpattidassanato, ante ca adassanūpagamanato vināsaṃ passati oḷārikattā rūpadhammabhedassa. Paccayaṃ datvāti anantarapaccayādivasena paccayo hutvā. ‘‘Balavatara’’nti cittassa lahutaraṃ bhedaṃ sandhāya vuttaṃ. Tathā hi ekasmiṃ rūpe dharanteyeva soḷasa cittāni bhijjanti. Bhedaṃ na passatīti khaṇe khaṇe bhijjantampi cittaṃ parassa anantarapaccayabhāveneva bhijjatīti purimacittassa abhāvaṃ paṭicchādetvā viya pacchimacittassa uppattito bhāvapakkho balavataro pākaṭo ca hoti, na abhāvapakkhoti cittassa vināsaṃ na passati, ayañca attho alātacakkadassanena supākaṭo viññāyati. Yasmā pana takkīvādī nānattanayassa dūrataratāya ekattanayassapi micchāgahitattā ‘‘yadevidaṃ viññāṇaṃ sabbadāpi ekarūpena pavattati, ayameva attā nicco’’tiādinā abhinivesaṃ janeti, tasmā vuttaṃ ‘‘so taṃ apassanto’’tiādi.

    อนฺตานนฺตวาทวณฺณนา

    Antānantavādavaṇṇanā

    ๕๓. อนฺตานนฺติกาติ เอตฺถ อมติ คจฺฉติ เอตฺถ สภาโว โอสานนฺติ อโนฺต, มริยาทาฯ ตปฺปฎิเสเธน อนโนฺต, อโนฺต จ อนโนฺต จ อนฺตานโนฺต จ เนวนฺตานานโนฺต จ อนฺตานนฺตา สามญฺญนิเทฺทเสน, เอกเสเสน วา ‘‘นามรูปปจฺจยา สฬายตน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๗๖; สํ. นิ. ๒.๑; อุทา. ๑) วิยฯ กสฺส ปน อนฺตานโนฺตติ? โลกียติ สํสารนิสฺสรณตฺถิเกหิ ทิฎฺฐิคติเกหิ, โลกียนฺติ วา เอตฺถ เตหิ ปุญฺญาปุญฺญํ ตพฺพิปาโก จาติ โลโกติ สงฺขฺยํ คตสฺส อตฺตโนฯ เตนาห ภควา ‘‘อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺตี’’ติฯ โก ปน เอโส อตฺตาติ? ฌานวิสยภูตกสิณนิมิตฺตํฯ ตตฺถ หิ อยํ ทิฎฺฐิคติโก โลกสญฺญีฯ ตถา จ วุตฺตํ ‘‘ตํ โลโกติ คเหตฺวา’’ติฯ เกจิ ปน ‘‘ฌานํ ตํสมฺปยุตฺตธมฺมา จ อิธ ‘อตฺตา , โลโก’ติ จ คหิตา’’ติ วทนฺติฯ อนฺตานนฺตสหจริตวาโท อนฺตานโนฺต, ยถา ‘‘กุนฺตา ปจรนฺตี’’ติ อนฺตานนฺตสนฺนิสฺสโย วา ยถา ‘‘มญฺจา โฆสนฺตี’’ติฯ โส เอเตสํ อตฺถีติ อนฺตานนฺติกาฯ เต ปน ยสฺมา ยถาวุตฺตนเยน อนฺตานโนฺต วาโท ทิฎฺฐิ เอเตสนฺติ ‘‘อนฺตานนฺตวาทา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตสฺมา อฎฺฐกถายํ ‘‘อนฺตานนฺตวาทา’’ติ วตฺวา ‘‘อนฺตํ วา’’ติอาทินา อโตฺถ วิภโตฺตฯ

    53.Antānantikāti ettha amati gacchati ettha sabhāvo osānanti anto, mariyādā. Tappaṭisedhena ananto, anto ca ananto ca antānanto ca nevantānānanto ca antānantā sāmaññaniddesena, ekasesena vā ‘‘nāmarūpapaccayā saḷāyatana’’ntiādīsu (ma. ni. 3.176; saṃ. ni. 2.1; udā. 1) viya. Kassa pana antānantoti? Lokīyati saṃsāranissaraṇatthikehi diṭṭhigatikehi, lokīyanti vā ettha tehi puññāpuññaṃ tabbipāko cāti lokoti saṅkhyaṃ gatassa attano. Tenāha bhagavā ‘‘antānantaṃ lokassa paññapentī’’ti. Ko pana eso attāti? Jhānavisayabhūtakasiṇanimittaṃ. Tattha hi ayaṃ diṭṭhigatiko lokasaññī. Tathā ca vuttaṃ ‘‘taṃ lokoti gahetvā’’ti. Keci pana ‘‘jhānaṃ taṃsampayuttadhammā ca idha ‘attā , loko’ti ca gahitā’’ti vadanti. Antānantasahacaritavādo antānanto, yathā ‘‘kuntā pacarantī’’ti antānantasannissayo vā yathā ‘‘mañcā ghosantī’’ti. So etesaṃ atthīti antānantikā. Te pana yasmā yathāvuttanayena antānanto vādo diṭṭhi etesanti ‘‘antānantavādā’’ti vuccanti. Tasmā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘antānantavādā’’ti vatvā ‘‘antaṃ vā’’tiādinā attho vibhatto.

    เอตฺถาห – ยุตฺตํ ตาว ปุริมานํ ติณฺณํ วาทีนํ อนฺตตฺตญฺจ อนนฺตตฺตญฺจ อนฺตานนฺตตฺตญฺจ อารพฺภ ปวตฺตวาทตฺตา อนฺตานนฺติกตฺตํ, ปจฺฉิมสฺส ปน ตทุภยปฎิเสธนวเสน ปวตฺตวาทตฺตา กถ อนฺตานนฺติกตฺตนฺติ? ตทุภยปฎิเสธนวเสน ปวตฺตวาทตฺตา เอวฯ ยสฺมา อนฺตานนฺตปฎิเสธวาโทปิ อนฺตานนฺตวิสโย เอว ตํ อารพฺภ ปวตฺตตฺตาฯ เอตทตฺถํเยว หิ สนฺธาย อฎฺฐกถายํ ‘‘อารพฺภ ปวตฺตวาทา’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา ยถา ตติยวาเท เทสเภทวเสน เอกเสฺสว อนฺตวนฺตตา อนนฺตตา จ สมฺภวติ, เอวํ ตกฺกีวาเทปิ กาลเภทวเสน อุภยสมฺภวโต อญฺญมญฺญปฎิเสเธน อุภยเญฺญว วุจฺจติฯ กถํ? อนฺตวนฺตตาปฎิเสเธน หิ อนนฺตตา วุจฺจติ, อนนฺตตาปฎิเสเธน จ อนฺตวนฺตตา, อนฺตานนฺตานญฺจ น ตติยวาทภาโว กาลเภทสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยสฺมา อยํ โลกสญฺญิโต อตฺตา อธิคตวิเสเสหิ มเหสีหิ อนโนฺต กทาจิ สกฺขิทิโฎฺฐติ อนุสุยฺยติ, ตสฺมา เนวนฺตวาฯ ยสฺมา ปน เตหิเยว กทาจิ อนฺตวา สกฺขิทิโฎฺฐติ อนุสุยฺยติ, ตสฺมา น ปน อนโนฺตติฯ ยถา จ อนุสฺสุติตกฺกีวเสน, เอวํ ชาติสฺสรตกฺกี อาทีนญฺจ วเสน ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพํฯ อยญฺหิ ตกฺกิโก อวฑฺฒิตภาวปุพฺพกตฺตา ปฎิภาคนิมิตฺตานํ วฑฺฒิตภาวสฺส วฑฺฒิตกาลวเสน อปฺปจฺจกฺขการิตาย อนุสฺสวาทิมเตฺต ฐตฺวา ‘‘เนวนฺตวา’’ติ ปฎิกฺขิปติฯ อวฑฺฒิตกาลวเสน ปน ‘‘น ปนานโนฺต’’ติ, น ปน อนฺตตานนฺตตานํ อจฺจนฺตมภาเวน ยถา ตํ ‘‘เนวสญฺญินาสญฺญี’’ติฯ ปุริมวาทตฺตยปฎิเกฺขโป จ อตฺตนา ยถาธิเปฺปตปฺปการวิลกฺขณตาย เตสํ, อวสฺสเญฺจตํ เอวํ วิญฺญาตพฺพํ, อญฺญถา วิเกฺขปปกฺขํเยว ภเชยฺย จตุตฺถวาโทฯ น หิ อนฺตตาอนนฺตตาตทุภยวินิมุโตฺต อตฺตโน ปกาโร อตฺถิ, ตกฺกีวาที จ ยุตฺติมคฺคโก, กาลเภทวเสน จ ตทุภยํ เอกสฺมิมฺปิ น น ยุชฺชตีติฯ

    Etthāha – yuttaṃ tāva purimānaṃ tiṇṇaṃ vādīnaṃ antattañca anantattañca antānantattañca ārabbha pavattavādattā antānantikattaṃ, pacchimassa pana tadubhayapaṭisedhanavasena pavattavādattā katha antānantikattanti? Tadubhayapaṭisedhanavasena pavattavādattā eva. Yasmā antānantapaṭisedhavādopi antānantavisayo eva taṃ ārabbha pavattattā. Etadatthaṃyeva hi sandhāya aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ārabbha pavattavādā’’ti vuttaṃ. Atha vā yathā tatiyavāde desabhedavasena ekasseva antavantatā anantatā ca sambhavati, evaṃ takkīvādepi kālabhedavasena ubhayasambhavato aññamaññapaṭisedhena ubhayaññeva vuccati. Kathaṃ? Antavantatāpaṭisedhena hi anantatā vuccati, anantatāpaṭisedhena ca antavantatā, antānantānañca na tatiyavādabhāvo kālabhedassa adhippetattā. Idaṃ vuttaṃ hoti – yasmā ayaṃ lokasaññito attā adhigatavisesehi mahesīhi ananto kadāci sakkhidiṭṭhoti anusuyyati, tasmā nevantavā. Yasmā pana tehiyeva kadāci antavā sakkhidiṭṭhoti anusuyyati, tasmā na pana anantoti. Yathā ca anussutitakkīvasena, evaṃ jātissaratakkī ādīnañca vasena yathāsambhavaṃ yojetabbaṃ. Ayañhi takkiko avaḍḍhitabhāvapubbakattā paṭibhāganimittānaṃ vaḍḍhitabhāvassa vaḍḍhitakālavasena appaccakkhakāritāya anussavādimatte ṭhatvā ‘‘nevantavā’’ti paṭikkhipati. Avaḍḍhitakālavasena pana ‘‘na panānanto’’ti, na pana antatānantatānaṃ accantamabhāvena yathā taṃ ‘‘nevasaññināsaññī’’ti. Purimavādattayapaṭikkhepo ca attanā yathādhippetappakāravilakkhaṇatāya tesaṃ, avassañcetaṃ evaṃ viññātabbaṃ, aññathā vikkhepapakkhaṃyeva bhajeyya catutthavādo. Na hi antatāanantatātadubhayavinimutto attano pakāro atthi, takkīvādī ca yuttimaggako, kālabhedavasena ca tadubhayaṃ ekasmimpi na na yujjatīti.

    เกจิ ปน ยทิ ปนายํ อตฺตา อนฺตวา สิยา, ทูรเทเส อุปปชฺชนานุสฺสรณาทิ กิจฺจนิปฺผตฺติ น สิยาฯ อถ อนโนฺต, อิธ ฐิตสฺส เทวโลกนิรยาทีสุ สุขทุกฺขานุภวนมฺปิ สิยาฯ สเจ ปน อนฺตวา จ อนโนฺต จ, ตทุภยโทสสมาโยโคฯ ตสฺมา ‘‘อนฺตวา, อนโนฺต’’ติ จ อพฺยากรณีโย อตฺตาติ เอวํ ตกฺกนวเสน จตุตฺถวาทปฺปวตฺติํ วเณฺณนฺติฯ เอวมฺปิ ยุตฺตํ ตาว ปจฺฉิมวาทีทฺวยสฺส อนฺตานนฺติกตฺตํ อนฺตานนฺตานํ วเสน อุภยวิสยตฺตา เตสํ วาทสฺสฯ ปุริมวาทีทฺวยสฺส ปน กถํ วิสุํ อนฺตานนฺติกตฺตนฺติ? อุปจารวุตฺติยาฯ สมุทิเตสุ หิ อนฺตานนฺตวาทีสุ ปวตฺตมาโน อนฺตานนฺติก-สโทฺท ตตฺถ นิรุฬฺหตาย ปเจฺจกมฺปิ อนฺตานนฺติกวาทีสุ ปวตฺตติ, ยถา อรูปชฺฌาเนสุ ปเจฺจกํ อฎฺฐวิโมกฺขปริยาโย, ยถา จ โลเก สตฺตาสโยติฯ อถ วา อภินิเวสโต ปุริมกาลปฺปวตฺติวเสน อยํ ตตฺถ โวหาโร กโตฯ เตสญฺหิ ทิฎฺฐิคติกานํ ตถารูปเจโตสมาธิสมธิคมโต ปุพฺพกาลํ ‘‘อนฺตวา นุ อยํ โลโก, อนโนฺต นู’’ติ อุภยาการาวลมฺพิโน ปริวิตกฺกสฺส วเสน นิรุโฬฺห อนฺตานนฺติกภาโว วิเสสลาเภน ตตฺถ อุปฺปเนฺนปิ เอกํสคฺคาเห ปุริมสิทฺธรุฬฺหิยา โวหรียตีติฯ

    Keci pana yadi panāyaṃ attā antavā siyā, dūradese upapajjanānussaraṇādi kiccanipphatti na siyā. Atha ananto, idha ṭhitassa devalokanirayādīsu sukhadukkhānubhavanampi siyā. Sace pana antavā ca ananto ca, tadubhayadosasamāyogo. Tasmā ‘‘antavā, ananto’’ti ca abyākaraṇīyo attāti evaṃ takkanavasena catutthavādappavattiṃ vaṇṇenti. Evampi yuttaṃ tāva pacchimavādīdvayassa antānantikattaṃ antānantānaṃ vasena ubhayavisayattā tesaṃ vādassa. Purimavādīdvayassa pana kathaṃ visuṃ antānantikattanti? Upacāravuttiyā. Samuditesu hi antānantavādīsu pavattamāno antānantika-saddo tattha niruḷhatāya paccekampi antānantikavādīsu pavattati, yathā arūpajjhānesu paccekaṃ aṭṭhavimokkhapariyāyo, yathā ca loke sattāsayoti. Atha vā abhinivesato purimakālappavattivasena ayaṃ tattha vohāro kato. Tesañhi diṭṭhigatikānaṃ tathārūpacetosamādhisamadhigamato pubbakālaṃ ‘‘antavā nu ayaṃ loko, ananto nū’’ti ubhayākārāvalambino parivitakkassa vasena niruḷho antānantikabhāvo visesalābhena tattha uppannepi ekaṃsaggāhe purimasiddharuḷhiyā voharīyatīti.

    ๕๔-๖๐. วุตฺตนเยนาติ ‘‘ตกฺกยตีติ ตกฺกี’’ติอาทินา (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๔) สทฺทโต, ‘‘จตุพฺพิโธ ตกฺกี’’ติอาทินา (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๔) อตฺถโต จ สสฺสตวาเท วุตฺตวิธินาฯ ทิฎฺฐปุพฺพานุสาเรนาติ ทสฺสนภูเตน วิญฺญาเณน อุปลทฺธปุพฺพสฺส อนฺตวนฺตาทิโน อนุสฺสรเณนฯ เอวญฺจ กตฺวา อนุสฺสุติตกฺกีสุทฺธตกฺกีนมฺปิ อิธ สงฺคโห สิโทฺธ โหติฯ อถ วา ทิฎฺฐคฺคหเณเนว ‘‘นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑๐, ๑๙๔) วิย สุตาทีนมฺปิ คหิตตา เวทิตพฺพาฯ ‘‘อนฺตวา’’ติอาทินา อิจฺฉิตสฺส อตฺตโน สพฺพทา ภาวปรามสนวเสเนว อิเมสํ วาทานํ ปวตฺตนโต สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘เสสา สสฺสตทิฎฺฐิโย’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๙๗-๙๘)ฯ

    54-60.Vuttanayenāti ‘‘takkayatīti takkī’’tiādinā (dī. ni. aṭṭha. 1.34) saddato, ‘‘catubbidho takkī’’tiādinā (dī. ni. aṭṭha. 1.34) atthato ca sassatavāde vuttavidhinā. Diṭṭhapubbānusārenāti dassanabhūtena viññāṇena upaladdhapubbassa antavantādino anussaraṇena. Evañca katvā anussutitakkīsuddhatakkīnampi idha saṅgaho siddho hoti. Atha vā diṭṭhaggahaṇeneva ‘‘naccagītavāditavisūkadassanā’’tiādīsu (dī. ni. 10, 194) viya sutādīnampi gahitatā veditabbā. ‘‘Antavā’’tiādinā icchitassa attano sabbadā bhāvaparāmasanavaseneva imesaṃ vādānaṃ pavattanato sassatadiṭṭhisaṅgaho daṭṭhabbo. Tathā hi vakkhati ‘‘sesā sassatadiṭṭhiyo’’ti (dī. ni. aṭṭha. 97-98).

    อมราวิเกฺขปวาทวณฺณนา

    Amarāvikkhepavādavaṇṇanā

    ๖๑. น มรตีติ น อุจฺฉิชฺชติฯ ‘‘เอวมฺปิ เม โน’’ติอาทินา วิวิโธ นานปฺปกาโร เขโป ปเรน ปรวาทีนํ ขิปนํ วิเกฺขโปฯ อมราย ทิฎฺฐิยา วาจาย จ วิกฺขิปนฺตีติ วา อมราวิเกฺขปิโนฯ อมราวิเกฺขปิโน เอว อมราวิเกฺขปิกาฯ อิโต จิโต จ สนฺธาวติ เอกสฺมิํ สภาเว อนวฎฺฐานโตฯ อมรา วิย วิกฺขิปนฺตีติ วา ปุริมนเยเนว สทฺทโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    61.Na maratīti na ucchijjati. ‘‘Evampi me no’’tiādinā vividho nānappakāro khepo parena paravādīnaṃ khipanaṃ vikkhepo. Amarāya diṭṭhiyā vācāya ca vikkhipantīti vā amarāvikkhepino. Amarāvikkhepino eva amarāvikkhepikā. Ito cito ca sandhāvati ekasmiṃ sabhāve anavaṭṭhānato. Amarā viya vikkhipantīti vā purimanayeneva saddattho daṭṭhabbo.

    ๖๒. วิเกฺขปวาทิโน อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม, อกุสลธเมฺมปิ สภาวเภทวเสเนว ญาตุํ ญาณพลํ นตฺถีติ กุสลากุสลปทานํ กุสลากุสลกมฺมปถวเสเนว อโตฺถฯ ปฐมนยวเสเนว อปริยนฺตวิเกฺขปตาย อมราวิเกฺขปํ วิภาเวตุํ ‘‘เอวนฺติปิ เม โนติ อนิยมิตวิเกฺขโป’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อนิยมิตวิเกฺขโปติ สสฺสตาทีสุ เอกสฺมิมฺปิ ปกาเร อฎฺฐตฺวา วิเกฺขปกรณํ, ปรวาทินา ยสฺมิํ กิสฺมิญฺจิ ปุจฺฉิเต ปกาเร ตสฺส ปฎิเกฺขโปติ อโตฺถฯ ทุติยนยวเสน อมราสทิสาย อมราย วิเกฺขปํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิทํ กุสลนฺติ วา ปุโฎฺฐ’’ติอาทิมาหฯ อถ วา ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทินา อนิยมโตว สสฺสเตกจฺจสสฺสตุเจฺฉทตกฺกีวาทานํ ปฎิเสธเนน ตํ ตํ วาทํ ปฎิกฺขิปเตว อปริยนฺตวิเกฺขปวาทตฺตา อมราวิเกฺขปิโนฯ อตฺตนา ปน อนวฎฺฐิตวาทตฺตา น กิสฺมิญฺจิ ปเกฺข อวติฎฺฐตีติ อาห ‘‘สยํ ปน…เป.… พฺยากโรตี’’ติฯ อิทานิ กุสลาทีนํ อพฺยากรเณน ตเมว อนวฎฺฐานํ วิภาเวติ ‘‘อิทํ กุสลนฺติ วา ปุโฎฺฐ’’ติอาทินาฯ เตเนวาห ‘‘เอกสฺมิมฺปิ ปเกฺข น ติฎฺฐตี’’ติฯ

    62. Vikkhepavādino uttarimanussadhamme, akusaladhammepi sabhāvabhedavaseneva ñātuṃ ñāṇabalaṃ natthīti kusalākusalapadānaṃ kusalākusalakammapathavaseneva attho. Paṭhamanayavaseneva apariyantavikkhepatāya amarāvikkhepaṃ vibhāvetuṃ ‘‘evantipi me noti aniyamitavikkhepo’’ti vuttaṃ. Tattha aniyamitavikkhepoti sassatādīsu ekasmimpi pakāre aṭṭhatvā vikkhepakaraṇaṃ, paravādinā yasmiṃ kismiñci pucchite pakāre tassa paṭikkhepoti attho. Dutiyanayavasena amarāsadisāya amarāya vikkhepaṃ dassetuṃ ‘‘idaṃ kusalanti vā puṭṭho’’tiādimāha. Atha vā ‘‘evantipi me no’’tiādinā aniyamatova sassatekaccasassatucchedatakkīvādānaṃ paṭisedhanena taṃ taṃ vādaṃ paṭikkhipateva apariyantavikkhepavādattā amarāvikkhepino. Attanā pana anavaṭṭhitavādattā na kismiñci pakkhe avatiṭṭhatīti āha ‘‘sayaṃ pana…pe… byākarotī’’ti. Idāni kusalādīnaṃ abyākaraṇena tameva anavaṭṭhānaṃ vibhāveti ‘‘idaṃ kusalanti vā puṭṭho’’tiādinā. Tenevāha ‘‘ekasmimpi pakkhe na tiṭṭhatī’’ti.

    ๖๓. กุสลากุสลํ ยถาภูตํ อปฺปชานโนฺตปิ เยสมหํ สมเยน กุสลเมว ‘‘กุสล’’นฺติ, อกุสลเมว จ ‘‘อกุสล’’นฺติ พฺยากเรยฺยํ, เตสุ ตถา พฺยากรณเหตุ ‘‘อโห วต เร ปณฺฑิโต’’ติ สกฺการสมฺมานํ กโรเนฺตสุ มม ฉโนฺท วา ราโค วา อสฺสาติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ สมฺภวติฯ โทโส วา ปฎิโฆ วาติ เอตฺถ วุตฺตวิปริยาเยน โยเชตพฺพํฯ อฎฺฐกถายํ ปน อตฺตโน ปณฺฑิตภาววิสยานํ ราคาทีนํ วเสน โยชนา กตาฯ ‘‘ฉนฺทราคทฺวยํ อุปาทาน’’นฺติ อภิธมฺมนเยน วุตฺตํฯ อภิธเมฺม หิ ตณฺหาทิฎฺฐิโยว ‘‘อุปาทาน’’นฺติ อาคตา, สุตฺตเนฺต ปน โทโสปิ ‘‘อุปาทาน’’นฺติ วุโตฺต ‘‘โกธุปาทานวินิพนฺธา วิฆาตํ อาปชฺชนฺตี’’ติอาทีสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุภยมฺปิ วา ทฬฺหคฺคหณวเสน อุปาทาน’’นฺติ ฯ ทฬฺหคฺคหณํ อมุญฺจนํฯ ปฎิโฆปิ หิ อุปนาหาทิวเสน ปวโตฺต อารมฺมณํ น มุญฺจติฯ วิหนนํ หิํสนํ วิพาธนํฯ ราโคปิ หิ ปริฬาหวเสน สารทฺธวุตฺติตาย นิสฺสยํ วิพาธตีติฯ วินาเสตุกามตาย อารมฺมณํ คณฺหาตีติ สมฺพโนฺธฯ

    63. Kusalākusalaṃ yathābhūtaṃ appajānantopi yesamahaṃ samayena kusalameva ‘‘kusala’’nti, akusalameva ca ‘‘akusala’’nti byākareyyaṃ, tesu tathā byākaraṇahetu ‘‘aho vata re paṇḍito’’ti sakkārasammānaṃ karontesu mama chando vā rāgo vā assāti evampettha attho sambhavati. Doso vā paṭigho vāti ettha vuttavipariyāyena yojetabbaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana attano paṇḍitabhāvavisayānaṃ rāgādīnaṃ vasena yojanā katā. ‘‘Chandarāgadvayaṃ upādāna’’nti abhidhammanayena vuttaṃ. Abhidhamme hi taṇhādiṭṭhiyova ‘‘upādāna’’nti āgatā, suttante pana dosopi ‘‘upādāna’’nti vutto ‘‘kodhupādānavinibandhā vighātaṃ āpajjantī’’tiādīsu. Tena vuttaṃ ‘‘ubhayampi vā daḷhaggahaṇavasena upādāna’’nti . Daḷhaggahaṇaṃ amuñcanaṃ. Paṭighopi hi upanāhādivasena pavatto ārammaṇaṃ na muñcati. Vihananaṃ hiṃsanaṃ vibādhanaṃ. Rāgopi hi pariḷāhavasena sāraddhavuttitāya nissayaṃ vibādhatīti. Vināsetukāmatāya ārammaṇaṃ gaṇhātīti sambandho.

    ๖๔. ปณฺฑิเจฺจนาติ ปญฺญายฯ เยน หิ ธเมฺมน ยุโตฺต ‘‘ปณฺฑิโต’’ติ วุจฺจติ, โส ธโมฺม ปณฺฑิจฺจํ, เตน สุตจินฺตามยํ ปญฺญํ ทเสฺสติ, น ปากติกกมฺมนิพฺพตฺตํ สาภาวิกปญฺญํฯ กต-สทฺทสฺส กิริยาสามญฺญวาจกตฺตา ‘‘กตวิโชฺช’’ติอาทีสุ วิย กต-สโทฺท ญาณานุยุตฺตตํ วทตีติ อาห ‘‘วิญฺญาตปรปฺปวาทา’’ติฯ สตฺตธา ภินฺนสฺส วาลคฺคสฺส อํสุโกฎิเวธโก ‘‘วาลเวธี’’ติ อธิเปฺปโตฯ

    64.Paṇḍiccenāti paññāya. Yena hi dhammena yutto ‘‘paṇḍito’’ti vuccati, so dhammo paṇḍiccaṃ, tena sutacintāmayaṃ paññaṃ dasseti, na pākatikakammanibbattaṃ sābhāvikapaññaṃ. Kata-saddassa kiriyāsāmaññavācakattā ‘‘katavijjo’’tiādīsu viya kata-saddo ñāṇānuyuttataṃ vadatīti āha ‘‘viññātaparappavādā’’ti. Sattadhā bhinnassa vālaggassa aṃsukoṭivedhako ‘‘vālavedhī’’ti adhippeto.

    ๖๕-๖. เอตฺถ จ กิญฺจาปิ ปุริมานมฺปิ ติณฺณํ กุสลาทิธมฺมสภาวานวโพธโต อเตฺถว มนฺทภาโว, เตสํ ปน อตฺตโน กุสลาทิธมฺมานวโพธสฺส อวโพธวิเสโส อตฺถิ, ตทภาวา ปจฺฉิโมเยว มนฺทโมมูหภาเวน วุโตฺตฯ นนุ จ ปจฺฉิมสฺสาปิ ‘‘อตฺถิ ปโรโลโก’ติ อิติ เจ เม อสฺส, ‘อตฺถิ ปโรโลโก’ติ อิติ เต นํ พฺยากเรยฺยํ, เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทิ (ที. นิ. ๑.๖๕) วจนโต อตฺตโน ธมฺมานวโพธสฺส อวโพโธ อตฺถิเยวาติ? กิญฺจาปิ อตฺถิ, น ตสฺส ปุริมานํ วิย อปริญฺญาตธมฺมพฺยากรณนิพนฺธนมุสาวาทาทิภยปริชิคุจฺฉนกาโร อตฺถิ, อถ โข มหามูโฬฺหเยวฯ อถ วา ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทินา ปุจฺฉาย วิเกฺขปกรณตฺถํ ‘‘อตฺถิ ปโรโลโก’ติ อิติ เจ มํ ปุจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉาฐปนเมว เตน ทสฺสียติ, น อตฺตโน ธมฺมานวโพโธติ อยเมว วิเสเสน ‘‘มโนฺท เจว โมมูโห จา’’ติ วุโตฺตฯ เตเนว หิ ตถาวาทินํ สญฺชยํ เพลฎฺฐปุตฺตํ อารพฺภ ‘‘อยํ วา อิเมสํ สมณพฺราหฺมณานํ สพฺพมโนฺท สพฺพมูโฬฺห’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๘๑) วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘อตฺถิ ปโรโลโก’’ติ สสฺสตทสฺสนวเสน สมฺมาทิฎฺฐิวเสน วา ปุจฺฉาฯ ‘‘นตฺถิ ปโรโลโก’’ติ นตฺถิกทสฺสนวเสน สมฺมาทสฺสนวเสน วา ปุจฺฉาฯ ‘‘อตฺถิ จ นตฺถิ จ ปโรโลโก’’ติ อุเจฺฉททสฺสนวเสน สมฺมาทิฎฺฐิวเสน เอว วา ปุจฺฉาฯ ‘‘เนว อตฺถิ น นตฺถิ ปโรโลโก’’ติ วุตฺตปฺปการตฺตยปฎิเกฺขเป สติ ปการนฺตรสฺส อสมฺภวโต อตฺถิตานตฺถิตาหิ นวตฺตพฺพากาโร ปโรโลโกติ วิเกฺขปเญฺญว ปุเรกฺขาเรน สมฺมาทิฎฺฐิวเสน วา ปุจฺฉาฯ เสสจตุกฺกตฺตเยปิ วุตฺตนยานุสาเรน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปุญฺญสงฺขารตฺติโก วิย หิ กายสงฺขารตฺติเกน ปุริมจตุกฺกสงฺคหิโต เอว อโตฺถฯ เสสจตุกฺกตฺตเยน อตฺตปรามาสปุญฺญาทิ ผลตาโจทนานเยน สงฺคหิโตติฯ

    65-6. Ettha ca kiñcāpi purimānampi tiṇṇaṃ kusalādidhammasabhāvānavabodhato attheva mandabhāvo, tesaṃ pana attano kusalādidhammānavabodhassa avabodhaviseso atthi, tadabhāvā pacchimoyeva mandamomūhabhāvena vutto. Nanu ca pacchimassāpi ‘‘atthi paroloko’ti iti ce me assa, ‘atthi paroloko’ti iti te naṃ byākareyyaṃ, evantipi me no’’tiādi (dī. ni. 1.65) vacanato attano dhammānavabodhassa avabodho atthiyevāti? Kiñcāpi atthi, na tassa purimānaṃ viya apariññātadhammabyākaraṇanibandhanamusāvādādibhayaparijigucchanakāro atthi, atha kho mahāmūḷhoyeva. Atha vā ‘‘evantipi me no’’tiādinā pucchāya vikkhepakaraṇatthaṃ ‘‘atthi paroloko’ti iti ce maṃ pucchasī’’ti pucchāṭhapanameva tena dassīyati, na attano dhammānavabodhoti ayameva visesena ‘‘mando ceva momūho cā’’ti vutto. Teneva hi tathāvādinaṃ sañjayaṃ belaṭṭhaputtaṃ ārabbha ‘‘ayaṃ vā imesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ sabbamando sabbamūḷho’’ti (dī. ni. 1.181) vuttaṃ. Tattha ‘‘atthi paroloko’’ti sassatadassanavasena sammādiṭṭhivasena vā pucchā. ‘‘Natthi paroloko’’ti natthikadassanavasena sammādassanavasena vā pucchā. ‘‘Atthi ca natthi ca paroloko’’ti ucchedadassanavasena sammādiṭṭhivasena eva vā pucchā. ‘‘Neva atthi na natthi paroloko’’ti vuttappakārattayapaṭikkhepe sati pakārantarassa asambhavato atthitānatthitāhi navattabbākāro parolokoti vikkhepaññeva purekkhārena sammādiṭṭhivasena vā pucchā. Sesacatukkattayepi vuttanayānusārena attho veditabbo. Puññasaṅkhārattiko viya hi kāyasaṅkhārattikena purimacatukkasaṅgahito eva attho. Sesacatukkattayena attaparāmāsapuññādi phalatācodanānayena saṅgahitoti.

    อมราวิเกฺขปิโก สสฺสตาทีนํ อตฺตโน อรุจฺจนตาย สพฺพตฺถ ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทินา วิเกฺขปเญฺญว กโรติฯ ตตฺถ ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทิ ตตฺถ ตตฺถ ปุจฺฉิตาการปฎิเสธนวเสน วิกฺขิปนาการทสฺสนํฯ นนุ จ วิเกฺขปวาทิโน วิเกฺขปปกฺขสฺส อนุชานนํ วิเกฺขปปเกฺข อวฎฺฐานํ ยุตฺตรูปนฺติ? น, ตตฺถาปิ ตสฺส สมฺมูฬฺหตฺตา, ปฎิเกฺขปวเสเนว จ วิเกฺขปวาทสฺส ปวตฺตนโตฯ ตถา หิ สญฺจโย เพลฎฺฐปุโตฺต รญฺญา อชาตสตฺตุนา สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ ปรโลกตฺติกาทีนํ ปฎิเสธนมุเขน วิเกฺขปํ พฺยากาสิฯ

    Amarāvikkhepiko sassatādīnaṃ attano aruccanatāya sabbattha ‘‘evantipi me no’’tiādinā vikkhepaññeva karoti. Tattha ‘‘evantipi me no’’tiādi tattha tattha pucchitākārapaṭisedhanavasena vikkhipanākāradassanaṃ. Nanu ca vikkhepavādino vikkhepapakkhassa anujānanaṃ vikkhepapakkhe avaṭṭhānaṃ yuttarūpanti? Na, tatthāpi tassa sammūḷhattā, paṭikkhepavaseneva ca vikkhepavādassa pavattanato. Tathā hi sañcayo belaṭṭhaputto raññā ajātasattunā sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho paralokattikādīnaṃ paṭisedhanamukhena vikkhepaṃ byākāsi.

    เอตฺถาห – นนุ จายํ สโพฺพปิ อมราวิเกฺขปิโก กุสลาทโย ธเมฺม, ปรโลกตฺติกาทีนิ จ ยถาภูตํ อนวพุชฺฌมาโน ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ ปุจฺฉาย วิเกฺขปนมตฺตํ อาปชฺชติ, ตสฺส กถํ ทิฎฺฐิคติกภาโวฯ น หิ อวตฺตุกามสฺส วิย ปุจฺฉิตมตฺถมชานนฺตสฺส วิเกฺขปกรณมเตฺตน ทิฎฺฐิคติกตา ยุตฺตาติ? วุจฺจเต – น เหว โข ปุจฺฉาย วิเกฺขปกรณมเตฺตน ตสฺส ทิฎฺฐิคติกตา, อถ โข มิจฺฉาภินิเวสวเสนฯ สสฺสตาภินิเวเสน มิจฺฉาภินิวิโฎฺฐเยว หิ ปุคฺคโล มนฺทพุทฺธิตาย กุสลาทิธเมฺม ปรโลกตฺติกาทีนิ จ ยาถาวโต อปฺปฎิปชฺชมาโน อตฺตนา อวิญฺญาตสฺส อตฺถสฺส ปรํ วิญฺญาเปตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย มุสาวาทาทิภเยน จ วิเกฺขปํ อาปชฺชตีติฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘ยาสํ สเตฺตว อุเจฺฉททิฎฺฐิโย, เสสา สสฺสตทิฎฺฐิโย’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๙๗-๙๘) อถ วา ปุญฺญปาปานํ ตพฺพิปากานญฺจ อนวโพเธน อสทฺทหเนน จ ตพฺพิสยาย ปุจฺฉาย วิเกฺขปกรณํเยว สุนฺทรนฺติ ขนฺติํ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อภินิวิสนฺตสฺส อุปฺปนฺนา วิสุํเยเวสา เอกา ทิฎฺฐิ สตฺตภงฺคทิฎฺฐิ วิยาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา จ วุตฺตํ ‘‘ปริยนฺตรหิตา ทิฎฺฐิคติกสฺส ทิฎฺฐิ เจว วาจา จา’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖๑)ฯ กถํ ปนสฺสา สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห? อุเจฺฉทวเสน อนภินิเวสโตฯ นตฺถิ โกจิ ธมฺมานํ ยถาภูตเวที วิวาทพหุลตฺตา โลกสฺส, ‘‘เอวเมว’’นฺติ ปน สทฺทนฺตเรน ‘‘ธมฺมนิชฺฌานนา อนาทิกาลิกา โลเก’’ติ คาหวเสน สสฺสตเลโสเปตฺถ ลพฺภติเยวฯ

    Etthāha – nanu cāyaṃ sabbopi amarāvikkhepiko kusalādayo dhamme, paralokattikādīni ca yathābhūtaṃ anavabujjhamāno tattha tattha pañhaṃ puṭṭho pucchāya vikkhepanamattaṃ āpajjati, tassa kathaṃ diṭṭhigatikabhāvo. Na hi avattukāmassa viya pucchitamatthamajānantassa vikkhepakaraṇamattena diṭṭhigatikatā yuttāti? Vuccate – na heva kho pucchāya vikkhepakaraṇamattena tassa diṭṭhigatikatā, atha kho micchābhinivesavasena. Sassatābhinivesena micchābhiniviṭṭhoyeva hi puggalo mandabuddhitāya kusalādidhamme paralokattikādīni ca yāthāvato appaṭipajjamāno attanā aviññātassa atthassa paraṃ viññāpetuṃ asakkuṇeyyatāya musāvādādibhayena ca vikkhepaṃ āpajjatīti. Tathā hi vakkhati ‘‘yāsaṃ satteva ucchedadiṭṭhiyo, sesā sassatadiṭṭhiyo’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.97-98) atha vā puññapāpānaṃ tabbipākānañca anavabodhena asaddahanena ca tabbisayāya pucchāya vikkhepakaraṇaṃyeva sundaranti khantiṃ ruciṃ uppādetvā abhinivisantassa uppannā visuṃyevesā ekā diṭṭhi sattabhaṅgadiṭṭhi viyāti daṭṭhabbaṃ. Tathā ca vuttaṃ ‘‘pariyantarahitā diṭṭhigatikassa diṭṭhi ceva vācā cā’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.61). Kathaṃ panassā sassatadiṭṭhisaṅgaho? Ucchedavasena anabhinivesato. Natthi koci dhammānaṃ yathābhūtavedī vivādabahulattā lokassa, ‘‘evameva’’nti pana saddantarena ‘‘dhammanijjhānanā anādikālikā loke’’ti gāhavasena sassatalesopettha labbhatiyeva.

    อธิจฺจสมุปฺปนฺนวาทวณฺณนา

    Adhiccasamuppannavādavaṇṇanā

    ๖๗. อธิจฺจ ยทิจฺฉกํ ยํ กิญฺจิ การณํ, กสฺสจิ วุทฺธิปุพฺพํ วา วินา สมุปฺปโนฺนติ อตฺตโลกสญฺญิตานํ ขนฺธานํ อธิจฺจุปฺปตฺติอาการารมฺมณํ ทสฺสนํ ตทาการสนฺนิสฺสเยน ปวตฺติโต, ตทาการสหจริตตาย จ ‘‘อธิจฺจสมุปฺปนฺน’’นฺติ วุจฺจติ ยถา ‘‘มญฺจา โฆสนฺติ, กุนฺตา ปจรนฺตี’’ติ จ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อธิจฺจสมุปฺปโนฺน อตฺตา จ โลโก จาติ ทสฺสนํ อธิจฺจสมุปฺปนฺน’’นฺติฯ

    67. Adhicca yadicchakaṃ yaṃ kiñci kāraṇaṃ, kassaci vuddhipubbaṃ vā vinā samuppannoti attalokasaññitānaṃ khandhānaṃ adhiccuppattiākārārammaṇaṃ dassanaṃ tadākārasannissayena pavattito, tadākārasahacaritatāya ca ‘‘adhiccasamuppanna’’nti vuccati yathā ‘‘mañcā ghosanti, kuntā pacarantī’’ti ca imamatthaṃ dassento āha ‘‘adhiccasamuppanno attā ca loko cāti dassanaṃ adhiccasamuppanna’’nti.

    ๖๘-๗๓. เทสนาสีสนฺติ เทสนาย เชฎฺฐกภาเวน คหณํ, เตน สญฺญํเยว ธุรํ กตฺวา ภควตา อยํ เทสนา กตา, น ปน ตตฺถ อเญฺญสํ อรูปธมฺมานํ อตฺถิภาวโตติ ทเสฺสติฯ เตเนวาห ‘‘อจิตฺตุปฺปาทา’’ติอาทิฯ ภควา หิ ยถา โลกุตฺตรธมฺมํ เทเสโนฺต สมาธิํ ปญฺญํ วา ธุรํ กโรติ, เอวํ โลกิยธมฺมํ เทเสโนฺต จิตฺตํ สญฺญํ วา ธุรํ กโรติฯ ตตฺถ ‘‘ยสฺมิํ สมเย โลกุตฺตรํ ฌานํ ภาเวติ (ธ. ส. ๒๗๗) ปญฺจงฺคิโก สมฺมาสมาธิ [ที. นิ. ๓.๓๕๕ (ข)] ปญฺจญาณิโก สมฺมาสมาธิ, [ที. นิ. ๓.๓๕๕ (ช); วิภ. ๒.๘๐๔] ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๗๑) ตถา ‘‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, (ธ. ส. ๑) กิํจิโตฺต ตฺวํ ภิกฺขุ (ปารา. ๑๔๖, ๑๘๐) มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, (ธ. ป. ๑, ๒; เนตฺติ. ๙๐; เปฎโก. ๘๓) สนฺติ ภิกฺขเว สตฺตา นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน, (ที. นิ. ๓.๓๓๒, ๓๔๒, ๓๕๗; อ. นิ. ๙.๒๔; จูฬนิ. ๘๓) น เนวสญฺญานาสญฺญายตน’’นฺติอาทีนิ สุตฺตานิ (ที. นิ. ๓.๓๕๘) เอตสฺส อตฺถสฺส สาธกานิ ทฎฺฐพฺพานิฯ ติตฺถายตเนติ อญฺญติตฺถิยสมเยฯ ติตฺถิยา หิ อุปปตฺติวิเสเส วิมุตฺติสญฺญิโน, สญฺญาวิราคาวิราเคสุ อาทีนวานิสํสทสฺสิโน วา หุตฺวา อสญฺญสมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตตฺวา อกฺขณภูมิยํ อุปฺปชฺชนฺติ, น สาสนิกาฯ วาโยกสิเณ ปริกมฺมํ กตฺวาติ วาโยกสิเณ ปฐมาทีนิ ตีณิ ฌานานิ นิพฺพเตฺตตฺวา ตติยชฺฌาเน จิณฺณวสี หุตฺวา ตโต วุฎฺฐาย จตุตฺถชฺฌานาธิคมาย ปริกมฺมํ กตฺวาฯ เตเนวาห ‘‘จตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา’’ติฯ

    68-73.Desanāsīsanti desanāya jeṭṭhakabhāvena gahaṇaṃ, tena saññaṃyeva dhuraṃ katvā bhagavatā ayaṃ desanā katā, na pana tattha aññesaṃ arūpadhammānaṃ atthibhāvatoti dasseti. Tenevāha ‘‘acittuppādā’’tiādi. Bhagavā hi yathā lokuttaradhammaṃ desento samādhiṃ paññaṃ vā dhuraṃ karoti, evaṃ lokiyadhammaṃ desento cittaṃ saññaṃ vā dhuraṃ karoti. Tattha ‘‘yasmiṃ samaye lokuttaraṃ jhānaṃ bhāveti (dha. sa. 277) pañcaṅgiko sammāsamādhi [dī. ni. 3.355 (kha)] pañcañāṇiko sammāsamādhi, [dī. ni. 3.355 (ja); vibha. 2.804] paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā hontī’’ti (ma. ni. 1.271) tathā ‘‘yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, (dha. sa. 1) kiṃcitto tvaṃ bhikkhu (pārā. 146, 180) manopubbaṅgamā dhammā, (dha. pa. 1, 2; netti. 90; peṭako. 83) santi bhikkhave sattā nānattakāyā nānattasaññino, (dī. ni. 3.332, 342, 357; a. ni. 9.24; cūḷani. 83) na nevasaññānāsaññāyatana’’ntiādīni suttāni (dī. ni. 3.358) etassa atthassa sādhakāni daṭṭhabbāni. Titthāyataneti aññatitthiyasamaye. Titthiyā hi upapattivisese vimuttisaññino, saññāvirāgāvirāgesu ādīnavānisaṃsadassino vā hutvā asaññasamāpattiṃ nibbattetvā akkhaṇabhūmiyaṃ uppajjanti, na sāsanikā. Vāyokasiṇe parikammaṃ katvāti vāyokasiṇe paṭhamādīni tīṇi jhānāni nibbattetvā tatiyajjhāne ciṇṇavasī hutvā tato vuṭṭhāya catutthajjhānādhigamāya parikammaṃ katvā. Tenevāha ‘‘catutthajjhānaṃ nibbattetvā’’ti.

    กสฺมา ปเนตฺถ วาโยกสิเณเยว ปริกมฺมํ วุตฺตนฺติ? วุจฺจเต – ยเถว หิ รูปปฎิภาคภูเตสุ กสิณวิเสเสสุ รูปวิภาวเนน รูปวิราคภาวนาสงฺขาโต อรูปสมาปตฺติวิเสโส สจฺฉิกรียติ, เอวํ อปริพฺยตฺตวิคฺคหตาย อรูปปฎิภาคภูเต กสิณวิเสเส อรูปวิภาวเนน อรูปวิราคภาวนาสงฺขาโต รูปสมาปตฺติวิเสโส อธิคมียตีติ เอตฺถ ‘‘สญฺญา โรโค สญฺญา คโณฺฑ’’ติอาทินา (ม. นิ. ๓.๒๔) ‘‘ธิ จิตฺตํ, ธิพฺพเต ตํ จิตฺต’’นฺติอาทินา จ นเยน อรูปปฺปวตฺติยา อาทีนวทสฺสเนน, ตทภาเว จ สนฺตปณีตภาวสนฺนิฎฺฐาเนน รูปสมาปตฺติยา อภิสงฺขรณํ, รูปวิราคภาวนา ปน สทฺธิํ อุปจาเรน อรูปสมาปตฺติโย, ตตฺถาปิ วิเสเสน ปฐมารุปฺปชฺฌานํฯ ยทิ เอวํ ‘‘ปริจฺฉินฺนากาสกสิเณปี’’ติ วตฺตพฺพํฯ ตสฺสาปิ หิ อรูปปฎิภาคตา ลพฺภตีติ? อิจฺฉิตเมเวตํ เกสญฺจิ อวจนํ ปเนตฺถ ปุพฺพาจริเยหิ อคฺคหิตภาเวนฯ ยถา หิ รูปวิราคภาวนา วิรชฺชนียธมฺมภาวมเตฺตน ปรินิปฺผนฺนา, วิรชฺชนียธมฺมปฎิภาคภูเต จ วิสยวิเสเส ปาตุภวติ, เอวํ อรูปวิราคภาวนาปีติ วุจฺจมาเน น โกจิ วิโรโธ, ติตฺถิเยเหว ปน ตสฺสา สมาปตฺติยา ปฎิปชฺชิตพฺพตาย, เตสญฺจ วิสยปเถสุปนิพนฺธนเสฺสว ตสฺส ฌานสฺส ปฎิปตฺติโต ทิฎฺฐิวเนฺตหิ ปุพฺพาจริเยหิ จตุเตฺถเยว ภูตกสิเณ อรูปวิราคภาวนาปริกมฺมํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กิญฺจ วณฺณกสิเณสุ วิย ปุริมภูตกสิณตฺตเยปิ วณฺณปฎิจฺฉายาว ปณฺณตฺติ อารมฺมณํ ฌานสฺส โลกโวหารานุโรเธเนว ปวตฺติโตฯ เอวญฺจ กตฺวา วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๕๗) ปถวีกสิณสฺส อาทาสจนฺทมณฺฑลูปมาวจนญฺจ สมตฺถิตํ โหติ, จตุตฺถํ ปน ภูตกสิณํ ภูตปฺปฎิจฺฉายเมว ฌานสฺส โคจรภาวํ คจฺฉตีติ ตเสฺสว อรูปปฎิภาคตา ยุตฺตาติ วาโยกสิเณเยว ปริกมฺมํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Kasmā panettha vāyokasiṇeyeva parikammaṃ vuttanti? Vuccate – yatheva hi rūpapaṭibhāgabhūtesu kasiṇavisesesu rūpavibhāvanena rūpavirāgabhāvanāsaṅkhāto arūpasamāpattiviseso sacchikarīyati, evaṃ aparibyattaviggahatāya arūpapaṭibhāgabhūte kasiṇavisese arūpavibhāvanena arūpavirāgabhāvanāsaṅkhāto rūpasamāpattiviseso adhigamīyatīti ettha ‘‘saññā rogo saññā gaṇḍo’’tiādinā (ma. ni. 3.24) ‘‘dhi cittaṃ, dhibbate taṃ citta’’ntiādinā ca nayena arūpappavattiyā ādīnavadassanena, tadabhāve ca santapaṇītabhāvasanniṭṭhānena rūpasamāpattiyā abhisaṅkharaṇaṃ, rūpavirāgabhāvanā pana saddhiṃ upacārena arūpasamāpattiyo, tatthāpi visesena paṭhamāruppajjhānaṃ. Yadi evaṃ ‘‘paricchinnākāsakasiṇepī’’ti vattabbaṃ. Tassāpi hi arūpapaṭibhāgatā labbhatīti? Icchitamevetaṃ kesañci avacanaṃ panettha pubbācariyehi aggahitabhāvena. Yathā hi rūpavirāgabhāvanā virajjanīyadhammabhāvamattena parinipphannā, virajjanīyadhammapaṭibhāgabhūte ca visayavisese pātubhavati, evaṃ arūpavirāgabhāvanāpīti vuccamāne na koci virodho, titthiyeheva pana tassā samāpattiyā paṭipajjitabbatāya, tesañca visayapathesupanibandhanasseva tassa jhānassa paṭipattito diṭṭhivantehi pubbācariyehi catuttheyeva bhūtakasiṇe arūpavirāgabhāvanāparikammaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Kiñca vaṇṇakasiṇesu viya purimabhūtakasiṇattayepi vaṇṇapaṭicchāyāva paṇṇatti ārammaṇaṃ jhānassa lokavohārānurodheneva pavattito. Evañca katvā visuddhimagge (visuddhi. 1.57) pathavīkasiṇassa ādāsacandamaṇḍalūpamāvacanañca samatthitaṃ hoti, catutthaṃ pana bhūtakasiṇaṃ bhūtappaṭicchāyameva jhānassa gocarabhāvaṃ gacchatīti tasseva arūpapaṭibhāgatā yuttāti vāyokasiṇeyeva parikammaṃ vuttanti veditabbaṃ.

    อิเธวาติ ปญฺจโวการภเวเยวฯ ตตฺถาติ อสญฺญภเวฯ ยทิ รูปกฺขนฺธมตฺตเมว อสญฺญภเว ปาตุภวติ, กถมรูปสนฺนิสฺสเยน วินา ตตฺถ รูปํ ปวตฺตติ, กถํ ปน รูปสนฺนิสฺสเยน วินา อรูปธาตุยํ อรูปํ ปวตฺตติ, อิทมฺปิ เตน สมานชาติยเมวฯ กสฺมา? อิเธว อทสฺสนโตฯ ยทิ เอวํ กพฬีการาหาเรน วินา รูปธาตุยํ รูเปน น ปวตฺติตพฺพํ, กิํ การณํ ? อิเธว อทสฺสนโตฯ อปิ จ ยถา ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นิพฺพตฺติการณํ รูเป อวิคตตณฺหํ, ตสฺส สห รูเปน สมฺภวโต รูปํ นิสฺสาย ปวตฺติ, ยสฺส ปน นิพฺพตฺติการณํ รูเป วิคตตณฺหํ, ตสฺส วินา รูเปน รูปนิรเปกฺขตาย การณสฺส, เอวํ ยสฺส รูปปฺปพนฺธสฺส นิพฺพตฺติการณํ วิคตตณฺหํ อรูเป, ตสฺส วินา อรูเปน ปวตฺติ โหตีติ อสญฺญภเว รูปกฺขนฺธมตฺตเมว นิพฺพตฺตติฯ กถํ ปน ตตฺถ เกวโล รูปปฺปพโนฺธ ปจฺจุปฺปนฺนปจฺจยรหิโต จิรกาลํ ปวตฺตตีติ ปเจฺจตพฺพํ, กิตฺตกํ วา กาลํ ปวตฺตตีติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘ยถา นาม ชิยาเวคุกฺขิโตฺต สโร’’ติอาทิ, เตน น เกวลมาคโมเยว อยเมตฺถ ยุตฺตีติ ทเสฺสติฯ ตตฺตกเมว กาลนฺติ อุกฺกํสโต ปญฺจ มหากปฺปสตานิปิ ติฎฺฐนฺติ อสญฺญสตฺตาฯ ฌานเวเคติ อสญฺญสมาปตฺติปริกฺขเต กมฺมเวเคฯ อนฺตรธายตีติ ปจฺจยนิโรเธน นิรุชฺฌติ นปฺปวตฺตติฯ

    Idhevāti pañcavokārabhaveyeva. Tatthāti asaññabhave. Yadi rūpakkhandhamattameva asaññabhave pātubhavati, kathamarūpasannissayena vinā tattha rūpaṃ pavattati, kathaṃ pana rūpasannissayena vinā arūpadhātuyaṃ arūpaṃ pavattati, idampi tena samānajātiyameva. Kasmā? Idheva adassanato. Yadi evaṃ kabaḷīkārāhārena vinā rūpadhātuyaṃ rūpena na pavattitabbaṃ, kiṃ kāraṇaṃ ? Idheva adassanato. Api ca yathā yassa cittasantānassa nibbattikāraṇaṃ rūpe avigatataṇhaṃ, tassa saha rūpena sambhavato rūpaṃ nissāya pavatti, yassa pana nibbattikāraṇaṃ rūpe vigatataṇhaṃ, tassa vinā rūpena rūpanirapekkhatāya kāraṇassa, evaṃ yassa rūpappabandhassa nibbattikāraṇaṃ vigatataṇhaṃ arūpe, tassa vinā arūpena pavatti hotīti asaññabhave rūpakkhandhamattameva nibbattati. Kathaṃ pana tattha kevalo rūpappabandho paccuppannapaccayarahito cirakālaṃ pavattatīti paccetabbaṃ, kittakaṃ vā kālaṃ pavattatīti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘yathā nāma jiyāvegukkhitto saro’’tiādi, tena na kevalamāgamoyeva ayamettha yuttīti dasseti. Tattakameva kālanti ukkaṃsato pañca mahākappasatānipi tiṭṭhanti asaññasattā. Jhānavegeti asaññasamāpattiparikkhate kammavege. Antaradhāyatīti paccayanirodhena nirujjhati nappavattati.

    อิธาติ กามภเวฯ กถํ ปน อเนกกปฺปสตสมติกฺกเมน จิรนิรุทฺธโต วิญฺญาณโต อิธ วิญฺญาณํ สมุปฺปชฺชติฯ น หิ นิรุเทฺธ จกฺขุมฺหิ จกฺขุวิญฺญาณมุปฺปชฺชมานํ ทิฎฺฐนฺติ? นยิทเมกนฺตโต ทฎฺฐพฺพํฯ จิรนิรุทฺธมฺปิ หิ จิตฺตํ สมานชาติกสฺส อนฺตรานุปฺปชฺชนโต อนนฺตรปจฺจยมตฺตํ โหติเยว, น พีชํ, พีชํ ปน กมฺมํฯ ตสฺมา กมฺมโต พีชภูตโต อารมฺมณาทีหิ ปจฺจเยหิ อสญฺญภวโต จุตานํ กามธาตุยา อุปปตฺติวิญฺญาณํ โหติเยวฯ เตนาห ‘‘อิธ ปฎิสนฺธิสญฺญา อุปฺปชฺชตี’’ติฯ เอตฺถ จ ยถา นาม อุตุนิยาเมน ปุปฺผคฺคหเณ นิยตกาลานํ รุกฺขานํ เวเข ทิเนฺน เวขพเลน น ยถา นิยามตา โหติ ปุปฺผคฺคหณสฺส, เอวเมว ปญฺจโวการภเว อวิปฺปโยเคน วตฺตมาเนสุ รูปารูปธเมฺมสุ รูปารูปวิราคภาวนาเวเข ทิเนฺน ตสฺส สมาปตฺติเวขพลสฺส อนุรูปโต อรูปภเว อสญฺญาภเว จ ยถากฺกมํ รูปรหิตา อรูปรหิตา จ ขนฺธานํ ปวตฺติ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ นนุ เอตฺถ ชาติสตสหสฺสทสสํวฎฺฎาทีนํ มตฺถเก, อพฺภนฺตรโต วา ปวตฺตาย อสญฺญูปวตฺติยา วเสน ลาภีอธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาโท ลาภีสสฺสตวาโท วิย อเนกเภโท สมฺภวตีติ? สจฺจํ สมฺภวติ, อนนฺตรตฺตา ปน อาปนฺนาย อสญฺญูปปตฺติยา วเสน ลาภีอธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาโท นยทสฺสนวเสน เอโกว ทสฺสิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคหโต อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาทสฺส สสฺสตวาเท อาคโต สโพฺพ เทสนานโย ยถาสมฺภวํ อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาเทปิ คเหตโพฺพติ อิมสฺส วิเสสสฺส ทสฺสนตฺถํ ภควตา ลาภีอธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาโท อวิภชิตฺวา เทสิโตฯ อวสฺสญฺจ สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาทสฺส อิจฺฉิตโพฺพ สํกิเลสปเกฺข สตฺตานํ อชฺฌาสยสฺส ทุวิธตฺตาฯ ตถา หิ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิ จา’’ติฯ ตถา จ วกฺขติ ‘‘ยาสํ สเตฺตว อุเจฺฉททิฎฺฐิโย, เสสา สสฺสตทิฎฺฐิโย’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๙๗-๙๘)ฯ

    Idhāti kāmabhave. Kathaṃ pana anekakappasatasamatikkamena ciraniruddhato viññāṇato idha viññāṇaṃ samuppajjati. Na hi niruddhe cakkhumhi cakkhuviññāṇamuppajjamānaṃ diṭṭhanti? Nayidamekantato daṭṭhabbaṃ. Ciraniruddhampi hi cittaṃ samānajātikassa antarānuppajjanato anantarapaccayamattaṃ hotiyeva, na bījaṃ, bījaṃ pana kammaṃ. Tasmā kammato bījabhūtato ārammaṇādīhi paccayehi asaññabhavato cutānaṃ kāmadhātuyā upapattiviññāṇaṃ hotiyeva. Tenāha ‘‘idha paṭisandhisaññā uppajjatī’’ti. Ettha ca yathā nāma utuniyāmena pupphaggahaṇe niyatakālānaṃ rukkhānaṃ vekhe dinne vekhabalena na yathā niyāmatā hoti pupphaggahaṇassa, evameva pañcavokārabhave avippayogena vattamānesu rūpārūpadhammesu rūpārūpavirāgabhāvanāvekhe dinne tassa samāpattivekhabalassa anurūpato arūpabhave asaññābhave ca yathākkamaṃ rūparahitā arūparahitā ca khandhānaṃ pavatti hotīti veditabbaṃ. Nanu ettha jātisatasahassadasasaṃvaṭṭādīnaṃ matthake, abbhantarato vā pavattāya asaññūpavattiyā vasena lābhīadhiccasamuppannikavādo lābhīsassatavādo viya anekabhedo sambhavatīti? Saccaṃ sambhavati, anantarattā pana āpannāya asaññūpapattiyā vasena lābhīadhiccasamuppannikavādo nayadassanavasena ekova dassitoti daṭṭhabbaṃ. Atha vā sassatadiṭṭhisaṅgahato adhiccasamuppannikavādassa sassatavāde āgato sabbo desanānayo yathāsambhavaṃ adhiccasamuppannikavādepi gahetabboti imassa visesassa dassanatthaṃ bhagavatā lābhīadhiccasamuppannikavādo avibhajitvā desito. Avassañca sassatadiṭṭhisaṅgaho adhiccasamuppannikavādassa icchitabbo saṃkilesapakkhe sattānaṃ ajjhāsayassa duvidhattā. Tathā hi vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sassatucchedadiṭṭhi cā’’ti. Tathā ca vakkhati ‘‘yāsaṃ satteva ucchedadiṭṭhiyo, sesā sassatadiṭṭhiyo’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.97-98).

    นนุ จ อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาทสฺส สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห น ยุโตฺตฯ ‘‘อหญฺหิ ปุเพฺพ นาโหสิ’’นฺติอาทิวเสน ปวตฺตนโต, อปุพฺพสตฺตปาตุภาวคฺคาหตฺตา, อตฺตโน โลกสฺส จ สทาภาวคาหินี จ สสฺสตทิฎฺฐิ ‘‘อตฺถิเตฺวว สสฺสติสม’’นฺติ ปวตฺตนโต? โน น ยุโตฺต อนาคเต โกฎิอทสฺสนโตฯ ยทิปิ หิ อยํ วาโท ‘‘โสมฺหิ เอตรหิ อหุตฺวา สนฺตตาย ปริณโต’’ติ (ที. นิ. ๑.๖๘) อตฺตโน โลกสฺส จ อตีตโกฎิปรามสนวเสน ปวโตฺต, ตถาปิ วตฺตมานกาลโต ปฎฺฐาย น เตสํ กตฺถจิ อนาคเต ปริยนฺตํ ปสฺสติ, วิเสเสน จ ปจฺจุปฺปนฺนานาคตกาเลสุ ปริยนฺตาทสฺสนปภาวิโต สสฺสตวาโทฯ ยถาห ‘‘สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสตี’’ติฯ ยทิ เอวํ อิมสฺส วาทสฺส, สสฺสตวาทาทีนญฺจ ปุพฺพนฺตกปฺปิเกสุ สงฺคโห น ยุโตฺต อนาคตกาลปรามสนวเสน ปวตฺตตฺตาติ? น, สมุทาคมสฺส อตีตโกฎฺฐาสิกตฺตาฯ ตถา หิ เนสํ สมุปฺปตฺติ อตีตํสปุเพฺพนิวาสญาเณหิ, ตปฺปฎิรูปกานุสฺสวาทิปฺปภาวิตตกฺกเนหิ จ สงฺคหิตาติ, ตถา เจว สํวณฺณิตํฯ อถ วา สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาเณน วาทิวเรน ธมฺมสฺสามินา นิรวเสสโต อคติญฺจ คติญฺจ ยถาภูตํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวทิตา เอตา ทิฎฺฐิโย, ตสฺมา ยาวติกา ทิฎฺฐิโย ภควตา เทสิตา, ยถา จ เทสิตา, ตถา ตถาว สนฺนิฎฺฐานโต สมฺปฎิจฺฉิตพฺพา, น เอตฺถ ยุตฺติวิจารณา กาตพฺพา พุทฺธวิสยตฺตาฯ อจิเนฺตโยฺย หิ พุทฺธวิสโยติฯ

    Nanu ca adhiccasamuppannikavādassa sassatadiṭṭhisaṅgaho na yutto. ‘‘Ahañhi pubbe nāhosi’’ntiādivasena pavattanato, apubbasattapātubhāvaggāhattā, attano lokassa ca sadābhāvagāhinī ca sassatadiṭṭhi ‘‘atthitveva sassatisama’’nti pavattanato? No na yutto anāgate koṭiadassanato. Yadipi hi ayaṃ vādo ‘‘somhi etarahi ahutvā santatāya pariṇato’’ti (dī. ni. 1.68) attano lokassa ca atītakoṭiparāmasanavasena pavatto, tathāpi vattamānakālato paṭṭhāya na tesaṃ katthaci anāgate pariyantaṃ passati, visesena ca paccuppannānāgatakālesu pariyantādassanapabhāvito sassatavādo. Yathāha ‘‘sassatisamaṃ tatheva ṭhassatī’’ti. Yadi evaṃ imassa vādassa, sassatavādādīnañca pubbantakappikesu saṅgaho na yutto anāgatakālaparāmasanavasena pavattattāti? Na, samudāgamassa atītakoṭṭhāsikattā. Tathā hi nesaṃ samuppatti atītaṃsapubbenivāsañāṇehi, tappaṭirūpakānussavādippabhāvitatakkanehi ca saṅgahitāti, tathā ceva saṃvaṇṇitaṃ. Atha vā sabbattha appaṭihatañāṇena vādivarena dhammassāminā niravasesato agatiñca gatiñca yathābhūtaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā paveditā etā diṭṭhiyo, tasmā yāvatikā diṭṭhiyo bhagavatā desitā, yathā ca desitā, tathā tathāva sanniṭṭhānato sampaṭicchitabbā, na ettha yuttivicāraṇā kātabbā buddhavisayattā. Acinteyyo hi buddhavisayoti.

    ทุติยภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    อปรนฺตกปฺปิกวาทวณฺณนา

    Aparantakappikavādavaṇṇanā

    ๗๔. ‘‘อปรเนฺต ญาณํ, อปรนฺตานุทิฎฺฐิโน’’ติอาทีสุ วิย อปร-สโทฺท อิธ อนาคตกาลวาจโกติ อาห ‘‘อนาคตโกฎฺฐาสสงฺขาต’’นฺติฯ อปรนฺตํ กเปฺปตฺวาติอาทีสุ ‘‘ปุพฺพนฺตํ กเปฺปตฺวา’’ติอาทีสุ วุตฺตนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ วิเสสมตฺตเมว วกฺขามฯ

    74. ‘‘Aparante ñāṇaṃ, aparantānudiṭṭhino’’tiādīsu viya apara-saddo idha anāgatakālavācakoti āha ‘‘anāgatakoṭṭhāsasaṅkhāta’’nti. Aparantaṃ kappetvātiādīsu ‘‘pubbantaṃ kappetvā’’tiādīsu vuttanayena attho veditabbo. Visesamattameva vakkhāma.

    สญฺญีวาทวณฺณนา

    Saññīvādavaṇṇanā

    ๗๕. อุทฺธมาฆาตนาติ ปวโตฺต วาโท อุทฺธมาฆาตโน, โส เอเตสํ อตฺถีติ อุทฺธมาฆาตนิกาฯ ยสฺมา ปน เต ทิฎฺฐิคติกา ‘‘อุทฺธํ มรณา อตฺตา นิพฺพิกาโร’’ติ วทนฺติ, ตสฺมา ‘‘อุทฺธมาฆาตนา อตฺตานํ วทนฺตีติ อุทฺธมาฆาตนิกา’’ติ วุตฺตํฯ สญฺญีวาโท เอเตสํ อตฺถีติ สญฺญีวาทา ‘‘พุทฺธํ อสฺส อตฺถีติ พุโทฺธ’’ติ ยถาฯ อถ วา สญฺญีติ ปวโตฺต วาโท สญฺญี สหจรณนเยน, สญฺญี วาโท เอเตสนฺติ สญฺญีวาทาฯ

    75. Uddhamāghātanāti pavatto vādo uddhamāghātano, so etesaṃ atthīti uddhamāghātanikā. Yasmā pana te diṭṭhigatikā ‘‘uddhaṃ maraṇā attā nibbikāro’’ti vadanti, tasmā ‘‘uddhamāghātanā attānaṃ vadantīti uddhamāghātanikā’’ti vuttaṃ. Saññīvādo etesaṃ atthīti saññīvādā ‘‘buddhaṃ assa atthīti buddho’’ti yathā. Atha vā saññīti pavatto vādo saññī sahacaraṇanayena, saññī vādo etesanti saññīvādā.

    ๗๖-๗๗. รูปี อตฺตาติ เอตฺถ นนุ รูปวินิมุเตฺตน อตฺตนา ภวิตพฺพํ สญฺญาย วิย รูปสฺสปิ อตฺตนิยตฺตาฯ น หิ ‘‘สญฺญี อตฺตา’’ติ เอตฺถ สญฺญา อตฺตาฯ เตเนว หิ ‘‘ตตฺถ ปวตฺตสญฺญญฺจสฺส สญฺญาติ คเหตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ เอวํ สติ กสฺมา กสิณรูปํ ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา วุตฺตนฺติ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ ‘‘รูปํ อสฺส อตฺถีติ รูปี’’ติ, อถ โข ‘‘รุปฺปนสีโล รูปี’’ติฯ รุปฺปนเญฺจตฺถ รูปสริกฺขตาย กสิณรูปสฺส วฑฺฒิตาวฑฺฒิตกาลวเสน วิเสสาปตฺติ, สา จ ‘‘นตฺถี’’ติ น สกฺกา วตฺตุํ ปริตฺตวิปุลตาทิวิเสสสพฺภาวโตฯ ยทิ เอวํ อิมสฺส วาทสฺส สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห น ยุชฺชตีติ? โน น ยุชฺชติ กายเภทโต อุทฺธํ อตฺตโน นิพฺพิการตาย เตน อธิเปฺปตตฺตาฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘อโรโค ปรํ มรณา’’ติฯ อถ วา ‘‘รูปํ อสฺส อตฺถีติ รูปี’’ติ วุจฺจมาเนปิ น โทโสฯ กปฺปนาสิเทฺธนปิ หิ เภเทน อเภทสฺสาปิ นิเทฺทสทสฺสนโต, ยถา ‘‘สิลาปุตฺตกสฺส สรีร’’นฺติฯ รุปฺปนํ วา รูปสภาโว รูปํ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ รูปี, อตฺตา ‘‘รูปิโน ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ทุกมาติกา ๑๑) วิยฯ เอวญฺจ กตฺวา รูปสภาวตฺตา อตฺตโน ‘‘รูปี อตฺตา’’ติ วจนํ ญายาคตเมวาติ ‘‘กสิณรูปํ ‘อตฺตา’ติ คเหตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ นิยตวาทิตาย กมฺมผลปฎิเกฺขปโต นตฺถิ อาชีวเกสุ ฌานสมาปตฺติลาโภติ อาห ‘‘อาชีวกาทโย วิย ตกฺกมเตฺตเนว วา รูปี อตฺตา’’ติฯ ตถา หิ กณฺหาภิชาติอาทีสุ ฉฬาภิชาตีสุ อญฺญตรํ อตฺตานํ เอกเจฺจ อาชีวกา ปฎิชานนฺติฯ นตฺถิ เอตสฺส โรโค ภโงฺคติ อโรโคติ อโรค-สทฺทสฺส นิจฺจปริยายตา เวทิตพฺพา, โรครหิตตาสีเสน วา นิพฺพิการตาย นิจฺจตํ ปฎิชานาติ ทิฎฺฐิคติโกติ อาห ‘‘อโรโคติ นิโจฺจ’’ติฯ

    76-77.Rūpī attāti ettha nanu rūpavinimuttena attanā bhavitabbaṃ saññāya viya rūpassapi attaniyattā. Na hi ‘‘saññī attā’’ti ettha saññā attā. Teneva hi ‘‘tattha pavattasaññañcassa saññāti gahetvā’’ti vuttaṃ. Evaṃ sati kasmā kasiṇarūpaṃ ‘‘attā’’ti gahetvā vuttanti? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ ‘‘rūpaṃ assa atthīti rūpī’’ti, atha kho ‘‘ruppanasīlo rūpī’’ti. Ruppanañcettha rūpasarikkhatāya kasiṇarūpassa vaḍḍhitāvaḍḍhitakālavasena visesāpatti, sā ca ‘‘natthī’’ti na sakkā vattuṃ parittavipulatādivisesasabbhāvato. Yadi evaṃ imassa vādassa sassatadiṭṭhisaṅgaho na yujjatīti? No na yujjati kāyabhedato uddhaṃ attano nibbikāratāya tena adhippetattā. Tathā hi vuttaṃ ‘‘arogoparaṃ maraṇā’’ti. Atha vā ‘‘rūpaṃ assa atthīti rūpī’’ti vuccamānepi na doso. Kappanāsiddhenapi hi bhedena abhedassāpi niddesadassanato, yathā ‘‘silāputtakassa sarīra’’nti. Ruppanaṃ vā rūpasabhāvo rūpaṃ, taṃ etassa atthīti rūpī, attā ‘‘rūpino dhammā’’tiādīsu (dha. sa. dukamātikā 11) viya. Evañca katvā rūpasabhāvattā attano ‘‘rūpī attā’’ti vacanaṃ ñāyāgatamevāti ‘‘kasiṇarūpaṃ ‘attā’ti gahetvā’’ti vuttaṃ. Niyatavāditāya kammaphalapaṭikkhepato natthi ājīvakesu jhānasamāpattilābhoti āha ‘‘ājīvakādayo viya takkamatteneva vā rūpī attā’’ti. Tathā hi kaṇhābhijātiādīsu chaḷābhijātīsu aññataraṃ attānaṃ ekacce ājīvakā paṭijānanti. Natthi etassa rogo bhaṅgoti arogoti aroga-saddassa niccapariyāyatā veditabbā, rogarahitatāsīsena vā nibbikāratāya niccataṃ paṭijānāti diṭṭhigatikoti āha ‘‘arogoti nicco’’ti.

    กสิณุคฺฆาฎิมากาสปฐมารุปฺปวิญฺญาณนตฺถิภาวอากิญฺจญฺญายตนานิ อรูปสมาปตฺตินิมิตฺตํ นิมฺพปเณฺณ ติตฺตกรโส วิย สรีรปริมาโณ อรูปี อตฺตา ตตฺถ ติฎฺฐตีติ นิคณฺฐาติ อาห ‘‘นิคณฺฐาทโย วิยา’’ติฯ มิสฺสกคาหวเสนาติ รูปารูปสมาปตฺตีนํ นิมิตฺตานิ เอกชฺฌํ กตฺวา ‘‘เอโก อตฺตา’’ติ, ตตฺถ ปวตฺตสญฺญญฺจสฺส ‘‘สญฺญา’’ติ คหณวเสนฯ อยญฺหิ ทิฎฺฐิคติโก รูปารูปสมาปตฺติลาภิตาย ตนฺนิมิตฺตํ รูปภาเวน อรูปภาเวน จ อตฺตา อุปติฎฺฐติ, ตสฺมา ‘‘รูปี จ อรูปี จา’’ติ อภินิเวสํ ชเนสิ อชฺฌตฺตวาทิโน วิย, ตกฺกมเตฺตเนว วา รูปารูปธมฺมานํ มิสฺสกคฺคหณวเสน ‘‘รูปี อรูปี จ อตฺตา โหตี’’ติฯ

    Kasiṇugghāṭimākāsapaṭhamāruppaviññāṇanatthibhāvaākiñcaññāyatanāni arūpasamāpattinimittaṃ nimbapaṇṇe tittakaraso viya sarīraparimāṇo arūpī attā tattha tiṭṭhatīti nigaṇṭhāti āha ‘‘nigaṇṭhādayo viyā’’ti. Missakagāhavasenāti rūpārūpasamāpattīnaṃ nimittāni ekajjhaṃ katvā ‘‘eko attā’’ti, tattha pavattasaññañcassa ‘‘saññā’’ti gahaṇavasena. Ayañhi diṭṭhigatiko rūpārūpasamāpattilābhitāya tannimittaṃ rūpabhāvena arūpabhāvena ca attā upatiṭṭhati, tasmā ‘‘rūpī ca arūpī cā’’ti abhinivesaṃ janesi ajjhattavādino viya, takkamatteneva vā rūpārūpadhammānaṃ missakaggahaṇavasena ‘‘rūpī arūpī ca attā hotī’’ti.

    ตกฺกคาเหเนวาติ สงฺขาราวเสสสุขุมภาวปฺปตฺตธมฺมา วิย อจฺจนฺตสุขุมภาวปฺปตฺติยา สกิจฺจสาธนาสมตฺถตาย ถมฺภกุฎฺฎหตฺถปาทาทิสงฺฆาโต วิย เนว รูปี, รูปสภาวานติวตฺตนโต น อรูปีติ เอวํ ปวตฺตตกฺกคาเหนฯ อถ วา อนฺตานนฺติกจตุกฺกวาเท วิย อญฺญมญฺญปฎิเกฺขปวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เกวลํ ปน ตตฺถ เทสกาลเภทวเสน ตติยจตุตฺถวาทา ทสฺสิตา, อิธ กาลวตฺถุเภทวเสนาติ อยเมว วิเสโสติฯ กาลเภทวเสน เจตฺถ ตติยวาทสฺส ปวตฺติ รูปารูปนิมิตฺตานํ สห อนุปฎฺฐานโตฯ จตุตฺถวาทสฺส ปน วตฺถุเภทวเสน ปวตฺติ รูปารูปธมฺมานํ สมูหโต ‘‘เอโก อตฺตา’’ติ ตกฺกนวเสนาติ ตตฺถ วุตฺตนยานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ

    Takkagāhenevāti saṅkhārāvasesasukhumabhāvappattadhammā viya accantasukhumabhāvappattiyā sakiccasādhanāsamatthatāya thambhakuṭṭahatthapādādisaṅghāto viya neva rūpī, rūpasabhāvānativattanato na arūpīti evaṃ pavattatakkagāhena. Atha vā antānantikacatukkavāde viya aññamaññapaṭikkhepavasena attho veditabbo. Kevalaṃ pana tattha desakālabhedavasena tatiyacatutthavādā dassitā, idha kālavatthubhedavasenāti ayameva visesoti. Kālabhedavasena cettha tatiyavādassa pavatti rūpārūpanimittānaṃ saha anupaṭṭhānato. Catutthavādassa pana vatthubhedavasena pavatti rūpārūpadhammānaṃ samūhato ‘‘eko attā’’ti takkanavasenāti tattha vuttanayānusārena veditabbaṃ.

    ทุติยจตุเกฺก ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ ‘‘อมติ คจฺฉติ เอตฺถ ภาโว โอสาน’’นฺติอาทินา อนฺตานนฺติกวาเท วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ

    Dutiyacatukke yaṃ vattabbaṃ, taṃ ‘‘amati gacchati ettha bhāvo osāna’’ntiādinā antānantikavāde vuttanayena veditabbaṃ.

    ยทิปิ อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน ทิฎฺฐิคติกสฺส วเสน สมาปตฺติเภเทน สญฺญาเภทสมฺภวโต ‘‘นานตฺตสญฺญี อตฺตา’’ติ อยมฺปิ วาโท สมาปนฺนกวเสน ลพฺภติฯ ตถาปิ สมาปตฺติยํ เอกรูเปเนว สญฺญาย อุปฎฺฐานโต สมาปนฺนกวเสน ‘‘เอกตฺตสญฺญี’’ติ อาหฯ เตเนเวตฺถ สมาปนฺนกคฺคหณํ กตํฯ เอกสมาปตฺติลาภิโน เอว วา วเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สมาปตฺติเภเทน สญฺญาเภทสมฺภเวปิ พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมเณ สญฺญานานเตฺตน โอฬาริเกน นานตฺตสญฺญิตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อสมาปนฺนกวเสน นานตฺตสญฺญี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ปริตฺตกสิณวเสน ปริตฺตสญฺญี’’ติ อิมินา สติปิ สญฺญาวินิมุเตฺต ธเมฺม ‘‘สญฺญาเยว อตฺตา’’ติ วทตีติ ทสฺสิตํ โหติฯ กสิณคฺคหณเญฺจตฺถ สญฺญาย วิสยทสฺสนํ, เอวํ วิปุลกสิณวเสนาติ เอตฺถาปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวญฺจ กตฺวา อนฺตานนฺติกวาเท , อิธ จ อนฺตานนฺติกจตุเกฺก ปฐมทุติยวาเทหิ อิเมสํ ทฺวินฺนํ วาทานํ วิเสโส สิโทฺธ โหติ, อญฺญถา วุตฺตปฺปกาเรสุ วาเทสุ ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปนเภเทน สติปิ เกหิจิ วิเสเส เกหิจิ นตฺถิ เยวาติฯ อถ วา ‘‘องฺคุฎฺฐปฺปมาโณ อตฺตา, ยวปฺปมาโณ, อณุมโตฺต วา อตฺตา’’ติ อาทิทสฺสนวเสน ปริโตฺต สญฺญี จาติ ปริตฺตสญฺญี, กปิลกณาทาทโย วิย อตฺตโน สพฺพคตภาวปฎิชานนวเสน อปฺปมาโณ สญฺญี จาติ อปฺปมาณสญฺญีติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Yadipi aṭṭhasamāpattilābhino diṭṭhigatikassa vasena samāpattibhedena saññābhedasambhavato ‘‘nānattasaññī attā’’ti ayampi vādo samāpannakavasena labbhati. Tathāpi samāpattiyaṃ ekarūpeneva saññāya upaṭṭhānato samāpannakavasena ‘‘ekattasaññī’’ti āha. Tenevettha samāpannakaggahaṇaṃ kataṃ. Ekasamāpattilābhino eva vā vasena attho veditabbo. Samāpattibhedena saññābhedasambhavepi bahiddhā puthuttārammaṇe saññānānattena oḷārikena nānattasaññitaṃ dassetuṃ ‘‘asamāpannakavasena nānattasaññī’’ti vuttaṃ. ‘‘Parittakasiṇavasena parittasaññī’’ti iminā satipi saññāvinimutte dhamme ‘‘saññāyeva attā’’ti vadatīti dassitaṃ hoti. Kasiṇaggahaṇañcettha saññāya visayadassanaṃ, evaṃ vipulakasiṇavasenāti etthāpi attho veditabbo. Evañca katvā antānantikavāde , idha ca antānantikacatukke paṭhamadutiyavādehi imesaṃ dvinnaṃ vādānaṃ viseso siddho hoti, aññathā vuttappakāresu vādesu pubbantāparantakappanabhedena satipi kehici visese kehici natthi yevāti. Atha vā ‘‘aṅguṭṭhappamāṇo attā, yavappamāṇo, aṇumatto vā attā’’ti ādidassanavasena paritto saññī cāti parittasaññī, kapilakaṇādādayo viya attano sabbagatabhāvapaṭijānanavasena appamāṇo saññī cāti appamāṇasaññīti evampettha attho daṭṭhabbo.

    ทิพฺพจกฺขุปริภณฺฑตาย ยถากมฺมูปคญาณสฺส ทิพฺพจกฺขุปภาวชนิเตน ยถากมฺมูปคญาเณน ทิสฺสมานาปิ สตฺตานํ สุขาทิสมงฺคิตา ทิพฺพจกฺขุนาว ทิฎฺฐา โหตีติ อาห ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา’’ติอาทิฯ นนุ จ ‘‘เอกนฺตสุขี อตฺตา’’ติอาทิวาทานํ อปรนฺตทิฎฺฐิภาวโต ‘‘นิพฺพตฺตมานํ ทิสฺวา’’ติ วจนํ อนุปนฺนนฺติ? นานุปปนฺนํ, อนาคตสฺส เอกนฺตสุขิภาวาทิกสฺส ปกปฺปนํ ปจฺจุปฺปนฺนาย นิพฺพตฺติยา ทสฺสเนน อธิเปฺปตนฺติฯ เตเนวาห ‘‘นิพฺพตฺตมานํ ทิสฺวา ‘เอกนฺตสุขี’ติ คณฺหาตี’’ติฯ เอตฺถ จ ตสฺสํ ตสฺสํ ภูมิยํ พหุลํ สุขาทิสหิตธมฺมปฺปวตฺติทสฺสเนน เตสํ ‘‘เอกนฺตสุขี’’ติ คาโห ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา หตฺถิทสฺสกอนฺธา วิย ทิฎฺฐิคติกา ยํ ยเทว ปสฺสนฺติ, ตํ ตเทว อภินิวิสฺส โวหรนฺตีติ น เอตฺถ ยุตฺติ มคฺคิตพฺพาฯ

    Dibbacakkhuparibhaṇḍatāya yathākammūpagañāṇassa dibbacakkhupabhāvajanitena yathākammūpagañāṇena dissamānāpi sattānaṃ sukhādisamaṅgitā dibbacakkhunāva diṭṭhā hotīti āha ‘‘dibbena cakkhunā’’tiādi. Nanu ca ‘‘ekantasukhī attā’’tiādivādānaṃ aparantadiṭṭhibhāvato ‘‘nibbattamānaṃ disvā’’ti vacanaṃ anupannanti? Nānupapannaṃ, anāgatassa ekantasukhibhāvādikassa pakappanaṃ paccuppannāya nibbattiyā dassanena adhippetanti. Tenevāha ‘‘nibbattamānaṃ disvā ‘ekantasukhī’ti gaṇhātī’’ti. Ettha ca tassaṃ tassaṃ bhūmiyaṃ bahulaṃ sukhādisahitadhammappavattidassanena tesaṃ ‘‘ekantasukhī’’ti gāho daṭṭhabbo. Atha vā hatthidassakaandhā viya diṭṭhigatikā yaṃ yadeva passanti, taṃ tadeva abhinivissa voharantīti na ettha yutti maggitabbā.

    อสญฺญี เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทวณฺณนา

    Asaññī nevasaññīnāsaññīvādavaṇṇanā

    ๗๘-๘๓. อสญฺญีวาเท อสญฺญภเว นิพฺพตฺตสตฺตวเสน ปฐมวาโท, ‘‘สญฺญํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตนเยน สญฺญํเยว ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตสฺส กิญฺจนภาเวน ฐิตาย อญฺญาย สญฺญาย อภาวโต ‘‘อสญฺญี’’ติ ปวโตฺต ทุติยวาโท, ตถา สญฺญาย สห รูปธเมฺม, สเพฺพ เอว วา รูปารูปธเมฺม ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ปวโตฺต ตติยวาโท, ตกฺกคาหวเสเนว จตุตฺถวาโท ปวโตฺตฯ ตสฺส ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ทุติยจตุเกฺกปิ กสิณรูปสฺส อสญฺชานนสภาวตาย อสญฺญีติ กตฺวา อนฺตานนฺติกวาเท วุตฺตนเยเนว จตฺตาโรปิ เวทิตพฺพาฯ ตถา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาเทปิ เนวสญฺญีนาสญฺญีภเว นิพฺพตฺตสตฺตเสฺสว จุติปฎิสนฺธีสุ, สพฺพตฺถ วา ปฎุสญฺญากิจฺจํ กาตุํ อสมตฺถาย สุขุมาย สญฺญาย อตฺถิภาวปฎิชานนวเสน ปฐมวาโท, อสญฺญีวาเท วุตฺตนเยน สุขุมาย สญฺญาย วเสน, สญฺชานนสภาวตาปฎิชาเนน จ ทุติยวาทาทโย ปวตฺตาติ เอวํ เอเกน ปกาเรน สติปิ การณปริเยสนสฺส สมฺภเว ทิฎฺฐิคติกวาทานํ อนาทรณียภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘ตตฺถ น เอกเนฺตน การณํ ปริเยสิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอเตสญฺจ สญฺญีอสญฺญีเนวสญฺญีนาสญฺญีวาทานํ ‘‘อโรโค ปรํ มรณา’’ติ วจนโต สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห ปากโฎเยวฯ

    78-83. Asaññīvāde asaññabhave nibbattasattavasena paṭhamavādo, ‘‘saññaṃ attato samanupassatī’’ti ettha vuttanayena saññaṃyeva ‘‘attā’’ti gahetvā tassa kiñcanabhāvena ṭhitāya aññāya saññāya abhāvato ‘‘asaññī’’ti pavatto dutiyavādo, tathā saññāya saha rūpadhamme, sabbe eva vā rūpārūpadhamme ‘‘attā’’ti gahetvā pavatto tatiyavādo, takkagāhavaseneva catutthavādo pavatto. Tassa pubbe vuttanayeneva attho veditabbo. Dutiyacatukkepi kasiṇarūpassa asañjānanasabhāvatāya asaññīti katvā antānantikavāde vuttanayeneva cattāropi veditabbā. Tathā nevasaññīnāsaññīvādepi nevasaññīnāsaññībhave nibbattasattasseva cutipaṭisandhīsu, sabbattha vā paṭusaññākiccaṃ kātuṃ asamatthāya sukhumāya saññāya atthibhāvapaṭijānanavasena paṭhamavādo, asaññīvāde vuttanayena sukhumāya saññāya vasena, sañjānanasabhāvatāpaṭijānena ca dutiyavādādayo pavattāti evaṃ ekena pakārena satipi kāraṇapariyesanassa sambhave diṭṭhigatikavādānaṃ anādaraṇīyabhāvadassanatthaṃ ‘‘tattha na ekantena kāraṇaṃ pariyesitabba’’nti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Etesañca saññīasaññīnevasaññīnāsaññīvādānaṃ ‘‘arogo paraṃ maraṇā’’ti vacanato sassatadiṭṭhisaṅgaho pākaṭoyeva.

    อุเจฺฉทวาทวณฺณนา

    Ucchedavādavaṇṇanā

    ๘๔. อสโต วินาสาสมฺภวโต อตฺถิภาวนิพนฺธโน อุเจฺฉโทติ วุตฺตํ ‘‘สโต’’ติฯ ยถา เหตุผลภาเวน ปวตฺตมานานํ สภาวธมฺมานํ สติปิ เอกสนฺตานปริยาปนฺนานํ ภินฺนสนฺตติปติเตหิ วิเสเส เหตุผลานํ ปรมตฺถโต ภินฺนสภาวตฺตา ภินฺนสนฺตานปติตานํ วิย อจฺจนฺตเภทสนฺนิฎฺฐาเนน นานตฺตนยสฺส มิจฺฉาคหณํ อุเจฺฉทาภินิเวสสฺส การณํ, เอวํ เหตุผลภูตานํ ธมฺมานํ วิชฺชมาเนปิ สภาวเภเท เอกสนฺตติปริยาปนฺนตาย เอกตฺตนเยน อจฺจนฺตมเภทคฺคหณมฺปิ การณํ เอวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘สตฺตสฺสา’’ติ วุตฺตํ ปาฬิยํฯ สนฺตานวเสน หิ วตฺตมาเนสุ ขเนฺธสุ ฆนวินิโพฺภคาภาเวน สตฺตคาโห, สตฺตสฺส จ อตฺถิภาวคาหนิพนฺธโน อุเจฺฉทคาโห ยาวายํ อตฺตา น อุจฺฉิชฺชติ, ตาวายํ วิชฺชติเยวาติ คหณโต, นิรุทยวินาโส วา อิธ อุเจฺฉโทติ อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘อุปเจฺฉท’’นฺติฯ วิเสเสน นาโส วินาโส, อภาโวฯ โส ปน มํสจกฺขุปญฺญาจกฺขูนํ ทสฺสนปถาติกฺกโมเยว โหตีติ อาห ‘‘อทสฺสน’’นฺติฯ อทสฺสเน หิ นาส-สโทฺท โลเก นิรุโฬฺหติฯ ภาววิคมนฺติ สภาวาปคมํฯ โย หิ นิรุทยวินาสวเสน อุจฺฉิชฺชติ, น โส อตฺตโน สภาเวน ติฎฺฐตีติฯ ลาภีติ ทิพฺพจกฺขุญาณลาภีฯ จุติมตฺตเมวาติ เสกฺขปุถุชฺชนานมฺปิ จุติมตฺตเมวฯ น อุปปาตนฺติ ปุพฺพโยคาภาเวน, ปริกมฺมากรเณน วา อุปปาตํ ทฎฺฐุํ น สโกฺกติฯ ‘‘อลาภี จ โก ปรโลกํ น ชานาตี’’ติ นตฺถิกวาทวเสน, มหามูฬฺหภาเวเนว วา ‘‘อิโต อโญฺญ ปรโลโก อตฺถี’’ติ อนวโพธมาหฯ เอตฺตโกเยว วิสโย, โย ยํ อินฺทฺริยโคจโรติฯ อตฺตโน ธีตุยา หตฺถคณฺหนกราชาทิ วิย กามสุขคิทฺธตาย วาฯ ‘‘น ปุน วิรุหนฺตี’’ติ ปติตปณฺณานํ วเณฺฎน อปฺปฎิสนฺธิกภาวมาหฯ เอวเมว สตฺตาติ ยถา ปณฺฑุปลาโส พนฺธนา ปวุโตฺต น ปฎิสนฺธิยติ, เอวํ สเพฺพ สตฺตา อปฺปฎิสนฺธิกมรณเมว นิคจฺฉนฺตีติฯ ชลปุพฺพูฬกูปมา หิ สตฺตาติ ตสฺส ลทฺธิฯ ตถาติ วุตฺตปฺปกาเรนฯ ลาภิโนปิ จุติโต อุทฺธํ อทสฺสเนเนว อิมา ทิฎฺฐิโย อุปฺปชฺชนฺตีติ อาห ‘‘วิกเปฺปตฺวา วา’’ติฯ

    84. Asato vināsāsambhavato atthibhāvanibandhano ucchedoti vuttaṃ ‘‘sato’’ti. Yathā hetuphalabhāvena pavattamānānaṃ sabhāvadhammānaṃ satipi ekasantānapariyāpannānaṃ bhinnasantatipatitehi visese hetuphalānaṃ paramatthato bhinnasabhāvattā bhinnasantānapatitānaṃ viya accantabhedasanniṭṭhānena nānattanayassa micchāgahaṇaṃ ucchedābhinivesassa kāraṇaṃ, evaṃ hetuphalabhūtānaṃ dhammānaṃ vijjamānepi sabhāvabhede ekasantatipariyāpannatāya ekattanayena accantamabhedaggahaṇampi kāraṇaṃ evāti dassetuṃ ‘‘sattassā’’ti vuttaṃ pāḷiyaṃ. Santānavasena hi vattamānesu khandhesu ghanavinibbhogābhāvena sattagāho, sattassa ca atthibhāvagāhanibandhano ucchedagāho yāvāyaṃ attā na ucchijjati, tāvāyaṃ vijjatiyevāti gahaṇato, nirudayavināso vā idha ucchedoti adhippetoti āha ‘‘upaccheda’’nti. Visesena nāso vināso, abhāvo. So pana maṃsacakkhupaññācakkhūnaṃ dassanapathātikkamoyeva hotīti āha ‘‘adassana’’nti. Adassane hi nāsa-saddo loke niruḷhoti. Bhāvavigamanti sabhāvāpagamaṃ. Yo hi nirudayavināsavasena ucchijjati, na so attano sabhāvena tiṭṭhatīti. Lābhīti dibbacakkhuñāṇalābhī. Cutimattamevāti sekkhaputhujjanānampi cutimattameva. Na upapātanti pubbayogābhāvena, parikammākaraṇena vā upapātaṃ daṭṭhuṃ na sakkoti. ‘‘Alābhī ca ko paralokaṃ na jānātī’’ti natthikavādavasena, mahāmūḷhabhāveneva vā ‘‘ito añño paraloko atthī’’ti anavabodhamāha. Ettakoyeva visayo, yo yaṃ indriyagocaroti. Attano dhītuyā hatthagaṇhanakarājādi viya kāmasukhagiddhatāya vā. ‘‘Na puna viruhantī’’ti patitapaṇṇānaṃ vaṇṭena appaṭisandhikabhāvamāha. Evameva sattāti yathā paṇḍupalāso bandhanā pavutto na paṭisandhiyati, evaṃ sabbe sattā appaṭisandhikamaraṇameva nigacchantīti. Jalapubbūḷakūpamā hi sattāti tassa laddhi. Tathāti vuttappakārena. Lābhinopi cutito uddhaṃ adassaneneva imā diṭṭhiyo uppajjantīti āha ‘‘vikappetvā vā’’ti.

    เอตฺถาห – ยถา อมราวิเกฺขปิกวาทา เอกนฺตอลาภีวเสเนว ทสฺสิตา, ยถา จ อุทฺธมาฆาตนิกสญฺญีวาทจตุโกฺก เอกนฺตลาภีวเสเนว, น เอวมยํฯ อยํ ปน สสฺสเตกจฺจสสฺสตวาทาทโย วิย ลาภีอลาภีวเสน ปวโตฺตฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘ตตฺถ เทฺว ชนา’’ติอาทิฯ ยทิ เอวํ กสฺมา สสฺสตวาทาทิเทสนาหิ อิธ อญฺญถา เทสนา ปวตฺตาติ? วุจฺจเต – เทสนาวิลาสปฺปตฺติโตฯ เทสนาวิลาสปฺปตฺตา หิ พุทฺธา ภควโนฺต, เต เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ วิวิเธนากาเรน ธมฺมํ เทเสนฺติ, อญฺญถา อิธาปิ จ เอวํ ภควา เทเสยฺย ‘‘อิธ ภิกฺขเว เอกโจฺจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย…เป.… ยถาสมาหิเต จิเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติ, โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน อรหโต จุติจิตฺตํ ปสฺสติ, ปุถูนํ วา ปรสตฺตานํ, น เหว โข ตทุทฺธํ อุปปตฺติํ, โส เอวมาห ‘ยถา โข โภ อยํ อตฺตา’’’ ติอาทินา วิเสสลาภิโน, ตกฺกิโน จ วิสุํ กตฺวา, ตสฺมา เทสนาวิลาเสน เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ สสฺสตวาทาทิเทสนาหิ อญฺญถายํ เทสนา ปวตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Etthāha – yathā amarāvikkhepikavādā ekantaalābhīvaseneva dassitā, yathā ca uddhamāghātanikasaññīvādacatukko ekantalābhīvaseneva, na evamayaṃ. Ayaṃ pana sassatekaccasassatavādādayo viya lābhīalābhīvasena pavatto. Tathā hi vuttaṃ ‘‘tattha dve janā’’tiādi. Yadi evaṃ kasmā sassatavādādidesanāhi idha aññathā desanā pavattāti? Vuccate – desanāvilāsappattito. Desanāvilāsappattā hi buddhā bhagavanto, te veneyyajjhāsayānurūpaṃ vividhenākārena dhammaṃ desenti, aññathā idhāpi ca evaṃ bhagavā deseyya ‘‘idha bhikkhave ekacco samaṇo vā brāhmaṇo vā ātappamanvāya…pe… yathāsamāhite citte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti, so dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena arahato cuticittaṃ passati, puthūnaṃ vā parasattānaṃ, na heva kho taduddhaṃ upapattiṃ, so evamāha ‘yathā kho bho ayaṃ attā’’’ tiādinā visesalābhino, takkino ca visuṃ katvā, tasmā desanāvilāsena veneyyajjhāsayānurūpaṃ sassatavādādidesanāhi aññathāyaṃ desanā pavattāti daṭṭhabbaṃ.

    อถ วา เอกจฺจสสฺสตวาทาทีสุ วิย น อิธ ตกฺกีวาทิโต วิเสสลาภีวาโท ภินฺนากาโร, อถ โข สมานเภทตาย สมานากาโรเยวาติ อิมสฺส วิเสสสฺส ปกาสนตฺถํ ภควตา อยมุเจฺฉทวาโท ปุริมวาเทหิ วิสิฎฺฐากาโร เทสิโตฯ สมฺภวติ หิ ตกฺกิโนปิ อนุสฺสวาทิวเสน อธิคมวโต วิย อิธ อภินิเวโสฯ อถ วา น อิมา ทิฎฺฐิโย ภควตา อนาคเต เอวํ ภาวีวเสน เทสิตา, นาปิ ปริกปฺปวเสน, อถ โข ยถา ยถา ทิฎฺฐิคติเกหิ ‘‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญ’’นฺติ ปญฺญตฺตา, ตถา ตถา ยถาภุจฺจํ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปกาสิตาฯ เยหิ คมฺภีราทิปฺปการา อปุถุชฺชนโคจรา พุทฺธธมฺมา ปกาสนฺติ, เยสญฺจ ปริกิตฺตเนน ตถาคตา สมฺมเทว โถมิตา โหนฺติฯ อุเจฺฉทวาทีหิ จ ทิฎฺฐิคติเกหิ ยถา อุตฺตรุตฺตรภวทสฺสีหิ อปรภวทสฺสีนํ เตสํ วาทปฎิเสธวเสน สกสกวาทา ปติฎฺฐาปิตา, ตถายํ เทสนา ปวตฺตาติ ปุริมเทสนาหิ อิมิสฺสา เทสนาย ปวตฺติเภโท น โจเทตโพฺพฯ เอวญฺจ กตฺวา อรูปภวเภทวเสน วิย กามรูปภวเภทวเสนาปิ อุเจฺฉทวาโท วิภชิตฺวา ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา ปเจฺจกํ กามรูปภวเภทวเสน วิย อรูปภววเสนาปิ น วิภชิตฺวา วตฺตโพฺพ, เอวญฺจ สติ ภควตา วุตฺตสตฺตกโต พหุตรเภโท, อปฺปตรเภโท วา อุเจฺฉทวาโท อาปชฺชตีติ เอวํ ปการาปิ โจทนา อนวกาสาวาติฯ

    Atha vā ekaccasassatavādādīsu viya na idha takkīvādito visesalābhīvādo bhinnākāro, atha kho samānabhedatāya samānākāroyevāti imassa visesassa pakāsanatthaṃ bhagavatā ayamucchedavādo purimavādehi visiṭṭhākāro desito. Sambhavati hi takkinopi anussavādivasena adhigamavato viya idha abhiniveso. Atha vā na imā diṭṭhiyo bhagavatā anāgate evaṃ bhāvīvasena desitā, nāpi parikappavasena, atha kho yathā yathā diṭṭhigatikehi ‘‘idameva saccaṃ, moghamañña’’nti paññattā, tathā tathā yathābhuccaṃ sabbaññutaññāṇena paricchinditvā pakāsitā. Yehi gambhīrādippakārā aputhujjanagocarā buddhadhammā pakāsanti, yesañca parikittanena tathāgatā sammadeva thomitā honti. Ucchedavādīhi ca diṭṭhigatikehi yathā uttaruttarabhavadassīhi aparabhavadassīnaṃ tesaṃ vādapaṭisedhavasena sakasakavādā patiṭṭhāpitā, tathāyaṃ desanā pavattāti purimadesanāhi imissā desanāya pavattibhedo na codetabbo. Evañca katvā arūpabhavabhedavasena viya kāmarūpabhavabhedavasenāpi ucchedavādo vibhajitvā daṭṭhabbo. Atha vā paccekaṃ kāmarūpabhavabhedavasena viya arūpabhavavasenāpi na vibhajitvā vattabbo, evañca sati bhagavatā vuttasattakato bahutarabhedo, appatarabhedo vā ucchedavādo āpajjatīti evaṃ pakārāpi codanā anavakāsāvāti.

    เอตฺถาห – ยุตฺตํ ตาว ปุริเมสุ ตีสุ วาเทสุ ‘‘กายสฺส เภทา’’ติ วุตฺตํ ปญฺจโวการภวปริยาปนฺนํ อตฺตภาวํ อารพฺภ ปวตฺตตฺตา เตสํ วาทานํ, จตุโวการภวปริยาปนฺนํ ปน อตฺตภาวํ นิสฺสาย ปวเตฺตสุ จตุตฺถาทีสุ จตูสุ วาเทสุ กสฺมา ‘‘กายสฺส เภทา’’ติ วุตฺตํ ฯ น หิ อรูปีนํ กาโย วิชฺชตีติ? สจฺจเมตํ, รูปตฺตภาเว ปวตฺตโวหาเรเนว ปน ทิฎฺฐิคติโก อรูปตฺตภาเวปิ กายโวหารํ อาโรเปตฺวา อาห ‘‘กายสฺส เภทา’’ติฯ ยถา จ ทิฎฺฐิคติกา ทิฎฺฐิโย ปญฺญาเปนฺติ, ตถา จ ภควา ทเสฺสตีติ, อรูปกายภาวโต วา ผสฺสาทิธมฺมสมูหภูเต อรูปตฺตภาเว กายนิเทฺทโส ทฎฺฐโพฺพฯ เอตฺถ จ กามเทวตฺตภาวาทินิรวเสสวิภวปติฎฺฐาปกานํ ทุติยวาทาทีนํ ยุโตฺต อปรนฺตกปฺปิกภาโว อนาคตทฺธวิสยตฺตา เตสํ วาทานํ, น ปน ทิฎฺฐิคติกปจฺจกฺขภูตมนุสฺสตฺตภาวสมุเจฺฉทปติฎฺฐาปกสฺส ปฐมวาทสฺส ปจฺจุปฺปนฺนวิสยตฺตาฯ ทุติยวาทาทีนญฺหิ ปุริมปุริมวาทสงฺคหิตเสฺสว อตฺตโน ตทุตฺตรุตฺตริภโวปปนฺนสฺส สมุเจฺฉทโต ยุชฺชติ อปรนฺตกปฺปิกตา, ตถา จ ‘‘โน จ โข โภ อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา สมฺมา สมุจฺฉิโนฺน โหตี’’ติอาทิ วุตฺตํ, ยํ ปน ตตฺถ วุตฺตํ ‘‘อตฺถิ โข โภ อโญฺญ อตฺตา’’ติ, ตํ มนุสฺสกายวิเสสาเปกฺขาย วุตฺตํ, น สพฺพถา อญฺญภาวโตติ? โน น ยุโตฺต, อิธโลกปริยาปนฺนเตฺตปิ จ ปฐมวาทวิสยสฺส อนาคตกาลเสฺสว ตสฺส อธิเปฺปตตฺตา ปฐมวาทิโนปิ อปรนฺตกปฺปิกตาย น โกจิ วิโรโธติฯ

    Etthāha – yuttaṃ tāva purimesu tīsu vādesu ‘‘kāyassa bhedā’’ti vuttaṃ pañcavokārabhavapariyāpannaṃ attabhāvaṃ ārabbha pavattattā tesaṃ vādānaṃ, catuvokārabhavapariyāpannaṃ pana attabhāvaṃ nissāya pavattesu catutthādīsu catūsu vādesu kasmā ‘‘kāyassa bhedā’’ti vuttaṃ . Na hi arūpīnaṃ kāyo vijjatīti? Saccametaṃ, rūpattabhāve pavattavohāreneva pana diṭṭhigatiko arūpattabhāvepi kāyavohāraṃ āropetvā āha ‘‘kāyassa bhedā’’ti. Yathā ca diṭṭhigatikā diṭṭhiyo paññāpenti, tathā ca bhagavā dassetīti, arūpakāyabhāvato vā phassādidhammasamūhabhūte arūpattabhāve kāyaniddeso daṭṭhabbo. Ettha ca kāmadevattabhāvādiniravasesavibhavapatiṭṭhāpakānaṃ dutiyavādādīnaṃ yutto aparantakappikabhāvo anāgataddhavisayattā tesaṃ vādānaṃ, na pana diṭṭhigatikapaccakkhabhūtamanussattabhāvasamucchedapatiṭṭhāpakassa paṭhamavādassa paccuppannavisayattā. Dutiyavādādīnañhi purimapurimavādasaṅgahitasseva attano taduttaruttaribhavopapannassa samucchedato yujjati aparantakappikatā, tathā ca ‘‘no ca kho bho ayaṃ attā ettāvatā sammā samucchinno hotī’’tiādi vuttaṃ, yaṃ pana tattha vuttaṃ ‘‘atthi kho bho añño attā’’ti, taṃ manussakāyavisesāpekkhāya vuttaṃ, na sabbathā aññabhāvatoti? No na yutto, idhalokapariyāpannattepi ca paṭhamavādavisayassa anāgatakālasseva tassa adhippetattā paṭhamavādinopi aparantakappikatāya na koci virodhoti.

    ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทวณฺณนา

    Diṭṭhadhammanibbānavādavaṇṇanā

    ๙๓. ทิฎฺฐธโมฺมติ ทสฺสนภูเตน ญาเณน อุปลทฺธธโมฺมฯ ตตฺถ โย อนินฺทฺริยวิสโย, โสปิ สุปากฎภาเวน อินฺทฺริยวิสโย วิย โหตีติ อาห ‘‘ทิฎฺฐธโมฺมติ ปจฺจกฺขธโมฺม วุจฺจตี’’ติฯ เตเนว จ ‘‘ตตฺถ ตตฺถ ปฎิลทฺธตฺตภาวเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ วุตฺตํฯ

    93.Diṭṭhadhammoti dassanabhūtena ñāṇena upaladdhadhammo. Tattha yo anindriyavisayo, sopi supākaṭabhāvena indriyavisayo viya hotīti āha ‘‘diṭṭhadhammoti paccakkhadhammo vuccatī’’ti. Teneva ca ‘‘tattha tattha paṭiladdhattabhāvassetaṃ adhivacana’’nti vuttaṃ.

    ๙๕. อโนฺตนิชฺฌายนลกฺขโณติ ญาติโภคโรคสีลทิฎฺฐิพฺยสเนหิ ผุฎฺฐสฺส เจตโส อโนฺต อพฺภนฺตรํ นิชฺฌายนํ โสจนํ อโนฺตนิชฺฌายนํ, ตํ ลกฺขณํ เอตสฺสาติ อโนฺตนิชฺฌายนลกฺขโณฯ ตนฺนิสฺสิตลาลปฺปนลกฺขโณติ ตํ โสกํ สมุฎฺฐานเหตุํ นิสฺสิตํ ตนฺนิสฺสิตํ, ภุสํ วิลาปนํ ลาลปฺปนํ, ตนฺนิสฺสิตญฺจ ลาลปฺปนญฺจ ตนฺนิสฺสิตลาลปฺปนํ, ตํ ลกฺขณํ เอตสฺสาติ ตนฺนิสฺสิตลาลปฺปนลกฺขโณฯ ญาติพฺยสนาทินา ผุฎฺฐสฺส ปริเทเวนาปิ อสกฺกุณนฺตสฺส อโนฺตคตโสกสมุฎฺฐิโต ภุโส อายาโส อุปายาโสฯ โส ปน ยสฺมา เจตโส อปฺปสนฺนากาโร โหติ, ตสฺมา ‘‘วิสาทลกฺขโณ’’ติ วุโตฺตฯ

    95.Antonijjhāyanalakkhaṇoti ñātibhogarogasīladiṭṭhibyasanehi phuṭṭhassa cetaso anto abbhantaraṃ nijjhāyanaṃ socanaṃ antonijjhāyanaṃ, taṃ lakkhaṇaṃ etassāti antonijjhāyanalakkhaṇo. Tannissitalālappanalakkhaṇoti taṃ sokaṃ samuṭṭhānahetuṃ nissitaṃ tannissitaṃ, bhusaṃ vilāpanaṃ lālappanaṃ, tannissitañca lālappanañca tannissitalālappanaṃ, taṃ lakkhaṇaṃ etassāti tannissitalālappanalakkhaṇo. Ñātibyasanādinā phuṭṭhassa paridevenāpi asakkuṇantassa antogatasokasamuṭṭhito bhuso āyāso upāyāso. So pana yasmā cetaso appasannākāro hoti, tasmā ‘‘visādalakkhaṇo’’ti vutto.

    ๙๖. วิตกฺกนํ วิตกฺกิตํ, ตํ ปน อภินิโรปนสภาโว วิตโกฺกเยวาติ อาห ‘‘อภิ…เป.… วิตโกฺก’’ติฯ เอส นโย วิจาริตนฺติ เอตฺถาปิฯ โขภกรสภาวตฺตา วิตกฺกวิจารานํ ตํสหิตํ ฌานํ สอุพฺพิลนํ วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘สกณฺฑกํ วิย ขายตี’’ติฯ

    96. Vitakkanaṃ vitakkitaṃ, taṃ pana abhiniropanasabhāvo vitakkoyevāti āha ‘‘abhi…pe… vitakko’’ti. Esa nayo vicāritanti etthāpi. Khobhakarasabhāvattā vitakkavicārānaṃ taṃsahitaṃ jhānaṃ saubbilanaṃ viya hotīti vuttaṃ ‘‘sakaṇḍakaṃ viya khāyatī’’ti.

    ๙๗. ยาย อุพฺพิลาปนปีติยา อุปฺปนฺนาย จิตฺตํ ‘‘อุพฺพิลาวิต’’นฺติ วุจฺจติ, สา ปีติ อุพฺพิลาวิตตฺตํ ยสฺมา ปน จิตฺตสฺส อุพฺพิลภาโว ตสฺสา ปีติยา สติ โหติ, นาสติ, ตสฺมา สา ‘‘อุพฺพิลภาวการณ’’นฺติ วุตฺตาฯ

    97. Yāya ubbilāpanapītiyā uppannāya cittaṃ ‘‘ubbilāvita’’nti vuccati, sā pīti ubbilāvitattaṃ yasmā pana cittassa ubbilabhāvo tassā pītiyā sati hoti, nāsati, tasmā sā ‘‘ubbilabhāvakāraṇa’’nti vuttā.

    ๙๘. อาโภโคติ วา จิตฺตสฺส อาภุคฺคภาโว, อารมฺมเณ โอณตภาโวติ อโตฺถฯ สุเขน หิ จิตฺตํ อารมฺมเณ อภินตํ โหติ, น ทุเกฺขน วิย อปนตํ, นาปิ อทุกฺขมสุเขน วิย อนภินตํ อนปนตญฺจฯ ตตฺถ ‘‘ขุปฺปิปาสาทิอภิภูตสฺส วิย มนุญฺญโภชนาทีสุ กาเมหิ วิเวจิยมานสฺสุปาทารมฺมณปตฺถนา วิเสสโต อภิวฑฺฒติ, อุฬารสฺส ปน กามรสสฺส ยาวทตฺถํ ติตฺตสฺส มนุญฺญรสโภชนํ ภุตฺตาวิโน วิย สุหิตสฺส โภตฺตุกามตา กาเมสุ ปาตพฺยตา น โหติ, วิสยสฺสาคิทฺธตาย วิสเยหิ ทุโมฺมจิเยหิปิ ชลูกา วิย สยเมว มุญฺจตี’’ติ จ อโยนิโส อุมฺมุชฺชิตฺวา กามคุณสนฺตปฺปิตตาย สํสารทุกฺขวูปสมํ พฺยากาสิ ปฐมวาทีฯ กามาทีนํ อาทีนวทสฺสิตาย, ปฐมาทิชฺฌานสุขสฺส สนฺตภาวทสฺสิตาย จ ปฐมาทิชฺฌานสุขติตฺติยา สํสารทุกฺขุปเจฺฉทํ พฺยากํสุ ทุติยาทิวาทิโน, อิธาปิ อุเจฺฉทวาเท วุตฺตปฺปกาโร วิจาโร ยถาสมฺภวํ อาเนตฺวา วตฺตโพฺพฯ อยํ ปเนตฺถ วิเสโส – เอกสฺมิญฺหิ อตฺตภาเว ปญฺจ วาทา ลพฺภนฺติฯ เตเนว หิ ปาฬิยํ ‘‘อโญฺญ อตฺตา’’ติ อญฺญคฺคหณํ น กตํฯ กถํ ปเนตฺถ อจฺจนฺตนิพฺพานปญฺญาปกสฺส อตฺตโน ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทสฺส สสฺสตทิฎฺฐิยา สงฺคโห, น ปน อุเจฺฉททิฎฺฐิยาติ? ตํตํสุขวิเสสสมงฺคิตาปฎิลเทฺธน พนฺธวิโมเกฺขน สุทฺธสฺส อตฺตโน สกรูเป อวฎฺฐานทีปนโตฯ

    98.Ābhogoti vā cittassa ābhuggabhāvo, ārammaṇe oṇatabhāvoti attho. Sukhena hi cittaṃ ārammaṇe abhinataṃ hoti, na dukkhena viya apanataṃ, nāpi adukkhamasukhena viya anabhinataṃ anapanatañca. Tattha ‘‘khuppipāsādiabhibhūtassa viya manuññabhojanādīsu kāmehi viveciyamānassupādārammaṇapatthanā visesato abhivaḍḍhati, uḷārassa pana kāmarasassa yāvadatthaṃ tittassa manuññarasabhojanaṃ bhuttāvino viya suhitassa bhottukāmatā kāmesu pātabyatā na hoti, visayassāgiddhatāya visayehi dummociyehipi jalūkā viya sayameva muñcatī’’ti ca ayoniso ummujjitvā kāmaguṇasantappitatāya saṃsāradukkhavūpasamaṃ byākāsi paṭhamavādī. Kāmādīnaṃ ādīnavadassitāya, paṭhamādijjhānasukhassa santabhāvadassitāya ca paṭhamādijjhānasukhatittiyā saṃsāradukkhupacchedaṃ byākaṃsu dutiyādivādino, idhāpi ucchedavāde vuttappakāro vicāro yathāsambhavaṃ ānetvā vattabbo. Ayaṃ panettha viseso – ekasmiñhi attabhāve pañca vādā labbhanti. Teneva hi pāḷiyaṃ ‘‘añño attā’’ti aññaggahaṇaṃ na kataṃ. Kathaṃ panettha accantanibbānapaññāpakassa attano diṭṭhadhammanibbānavādassa sassatadiṭṭhiyā saṅgaho, na pana ucchedadiṭṭhiyāti? Taṃtaṃsukhavisesasamaṅgitāpaṭiladdhena bandhavimokkhena suddhassa attano sakarūpe avaṭṭhānadīpanato.

    เสสาติ เสสา ปญฺจปญฺญาส ทิฎฺฐิโยฯ ตาสุ อนฺตานนฺติกวาทาทีนํ สสฺสตทิฎฺฐิภาโว ตตฺถ ตตฺถ ปกาสิโตเยวฯ

    Sesāti sesā pañcapaññāsa diṭṭhiyo. Tāsu antānantikavādādīnaṃ sassatadiṭṭhibhāvo tattha tattha pakāsitoyeva.

    ๑๐๑-๓. กิํ ปน การณํ ปุพฺพนฺตาปรนฺตา เอว ทิฎฺฐาภินิเวสสฺส วิสยภาเวน ทสฺสิตา, น ปน ตทุภยเมกชฺฌนฺติ? อสมฺภวโตฯ น หิ ปุพฺพนฺตาปรเนฺตสุ วิย ตทุภยวินิมุเตฺต มชฺฌเนฺต ทิฎฺฐิกปฺปนา สมฺภวติ อิตฺตรกาลตฺตา, อถ ปน ปจฺจุปฺปนฺนภโว ตทุภยเวมชฺฌํ, เอวํ สติ ทิฎฺฐิกปฺปนกฺขโม ตสฺส อุภยสภาโว ปุพฺพนฺตาปรเนฺตสุเยว อโนฺตคโธติ กถมทสฺสิตํฯ อถ วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตวนฺตตาย ‘‘ปุพฺพนฺตาปรโนฺต’’ติ มชฺฌโนฺต วุจฺจติ , โส จ ‘‘ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฎฺฐิโน’’ติ วทเนฺตน ปุพฺพนฺตาปรเนฺตหิ วิสุํ กตฺวา วุโตฺตเยวาติ ทฎฺฐโพฺพฯ อฎฺฐกถายมฺปิ ‘‘สเพฺพปิ เต อปรนฺตกปฺปิเก ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิเก’’ติ เอเตน สามญฺญนิเทฺทเสน, เอกเสเสน วา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพํ, อญฺญถา สงฺกฑฺฒิตฺวา วุตฺตวจนสฺส อนตฺถกตา อาปเชฺชยฺยาติฯ เก ปน เต ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปิกา? เย อนฺตานนฺติกา หุตฺวา ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทาติ เอวํ ปการา เวทิตพฺพาฯ

    101-3. Kiṃ pana kāraṇaṃ pubbantāparantā eva diṭṭhābhinivesassa visayabhāvena dassitā, na pana tadubhayamekajjhanti? Asambhavato. Na hi pubbantāparantesu viya tadubhayavinimutte majjhante diṭṭhikappanā sambhavati ittarakālattā, atha pana paccuppannabhavo tadubhayavemajjhaṃ, evaṃ sati diṭṭhikappanakkhamo tassa ubhayasabhāvo pubbantāparantesuyeva antogadhoti kathamadassitaṃ. Atha vā pubbantāparantavantatāya ‘‘pubbantāparanto’’ti majjhanto vuccati , so ca ‘‘pubbantāparantakappikā vā pubbantāparantānudiṭṭhino’’ti vadantena pubbantāparantehi visuṃ katvā vuttoyevāti daṭṭhabbo. Aṭṭhakathāyampi ‘‘sabbepi te aparantakappike pubbantāparantakappike’’ti etena sāmaññaniddesena, ekasesena vā saṅgahitāti daṭṭhabbaṃ, aññathā saṅkaḍḍhitvā vuttavacanassa anatthakatā āpajjeyyāti. Ke pana te pubbantāparantakappikā? Ye antānantikā hutvā diṭṭhadhammanibbānavādāti evaṃ pakārā veditabbā.

    เอตฺถ จ ‘‘สเพฺพ เต อิเมเหว ทฺวาสฎฺฐิยา วตฺถูหิ, เอเตสํ วา อญฺญตเรน, นตฺถิ อิโต พหิทฺธา’’ติ วจนโต, ปุพฺพนฺตกปฺปิกาทิตฺตยวินิมุตฺตสฺส จ กสฺสจิ ทิฎฺฐิคติกสฺส อภาวโต ยานิ ตานิ สามญฺญผลาทิ (ที. นิ. ๑.๑๖๖) สุตฺตนฺตเรสุ วุตฺตปฺปการานิ อกิริยาเหตุกนตฺถิกวาทาทีนิ, ยานิ จ อิสฺสรปชาปติปุริสกาลสภาวนิยติยทิจฺฉาวาทาทิปฺปเภทานิ ทิฎฺฐิคตานิ (วิสุทฺธิ. ฎี. ๒.๕๖๓; วิภ. อนุฎี. ๑๘๙ ปสฺสิตพฺพํ) พหิทฺธาปิ ทิสฺสมานานิ, เตสํ เอเตฺถว สงฺคโห, อโนฺตคธตา จ เวทิตพฺพาฯ กถํ? อกิริยวาโท ตาว ‘‘วโญฺฌ กูฎโฎฺฐ’’ติอาทินา กิริยาภาวทีปนโต สสฺสตวาเท อโนฺตคโธ, ตถา ‘‘สตฺติเม กายา’’ติอาทิ (ที. นิ. ๑.๑๗๔) นยปฺปวโตฺต ปกุธวาโท, ‘‘นตฺถิ เหตุ นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสายา’’ติอาทิ (ที. นิ. ๑.๑๖๘) วจนโต อเหตุกวาโท อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาเท อโนฺตคโธฯ ‘‘นตฺถิ ปโร โลโก’’ติอาทิ (ที. นิ. ๑.๑๗๑) วจนโต นตฺถิกวาโท อุเจฺฉทวาเท อโนฺตคโธฯ ตถา หิ ตตฺถ ‘‘กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชตี’’ติอาทิ (ที. นิ. ๑.๘๖) วุตฺตํฯ ปฐเมน อาทิ-สเทฺทน นิคณฺฐวาทาทโย สงฺคหิตาฯ

    Ettha ca ‘‘sabbe te imeheva dvāsaṭṭhiyā vatthūhi, etesaṃ vā aññatarena, natthi ito bahiddhā’’ti vacanato, pubbantakappikādittayavinimuttassa ca kassaci diṭṭhigatikassa abhāvato yāni tāni sāmaññaphalādi (dī. ni. 1.166) suttantaresu vuttappakārāni akiriyāhetukanatthikavādādīni, yāni ca issarapajāpatipurisakālasabhāvaniyatiyadicchāvādādippabhedāni diṭṭhigatāni (visuddhi. ṭī. 2.563; vibha. anuṭī. 189 passitabbaṃ) bahiddhāpi dissamānāni, tesaṃ ettheva saṅgaho, antogadhatā ca veditabbā. Kathaṃ? Akiriyavādo tāva ‘‘vañjho kūṭaṭṭho’’tiādinā kiriyābhāvadīpanato sassatavāde antogadho, tathā ‘‘sattime kāyā’’tiādi (dī. ni. 1.174) nayappavatto pakudhavādo, ‘‘natthi hetu natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāyā’’tiādi (dī. ni. 1.168) vacanato ahetukavādo adhiccasamuppannikavāde antogadho. ‘‘Natthi paro loko’’tiādi (dī. ni. 1.171) vacanato natthikavādo ucchedavāde antogadho. Tathā hi tattha ‘‘kāyassa bhedā ucchijjatī’’tiādi (dī. ni. 1.86) vuttaṃ. Paṭhamena ādi-saddena nigaṇṭhavādādayo saṅgahitā.

    ยทิปิ ปาฬิยํ นาฎปุตฺตวาท (ที. นิ. ๑.๑๗๘) ภาเวน จาตุยามสํวโร อาคโต, ตถาปิ สตฺตวตาติกฺกเมน วิเกฺขปวาทิตาย นาฎปุตฺตวาโทปิ สญฺจยวาโท วิย อมราวิเกฺขปวาเทสุ อโนฺตคโธฯ ‘‘ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ, อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๓๗๗; ม. นิ. ๒.๑๒๒; สํ. นิ. ๒.๓๕) เอวํ ปการา วาทา ‘‘รูปี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา’’ติอาทิวาเทสุ สงฺคหํ คจฺฉนฺติ, ‘‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา, ‘‘อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา’’ติ เอวํ ปการา สสฺสตวาเทฯ ‘‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา’’ติ เอวํ ปการา อุเจฺฉทวาเทน สงฺคหิตาฯ ‘‘โหติ จ น โหติ จ ตถาคโต ปรํ มรณา, อตฺถิ จ นตฺถิ จ สตฺตา โอปปาติกา’’ติ เอวํ ปการา เอกจฺจสสฺสตวาเท อโนฺตคธาฯ ‘‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา, เนวตฺถิ น นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา’’ติ จ เอวํ ปการา อมราวิเกฺขปวาเท อโนฺตคธาฯ อิสฺสรปชาปติปุริสกาลวาทา เอกจฺจสสฺสตวาเท อโนฺตคธา, ตถา กณาทวาโทฯ สภาวนิยติยทิจฺฉาวาทา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกวาเทน สงฺคหิตาฯ อิมินา นเยน สุตฺตนฺตเรสุ, พหิทฺธา จ ทิสฺสมานานํ ทิฎฺฐิคตานํ อิมาสุ ทฺวาสฎฺฐิยา ทิฎฺฐีสุ อโนฺตคธตา เวทิตพฺพาฯ

    Yadipi pāḷiyaṃ nāṭaputtavāda (dī. ni. 1.178) bhāvena cātuyāmasaṃvaro āgato, tathāpi sattavatātikkamena vikkhepavāditāya nāṭaputtavādopi sañcayavādo viya amarāvikkhepavādesu antogadho. ‘‘Taṃ jīvaṃ taṃ sarīraṃ, aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’’nti (dī. ni. 1.377; ma. ni. 2.122; saṃ. ni. 2.35) evaṃ pakārā vādā ‘‘rūpī attā hoti arogo paraṃ maraṇā’’tiādivādesu saṅgahaṃ gacchanti, ‘‘hoti tathāgato paraṃ maraṇā, ‘‘atthi sattā opapātikā’’ti evaṃ pakārā sassatavāde. ‘‘Na hoti tathāgato paraṃ maraṇā, natthi sattā opapātikā’’ti evaṃ pakārā ucchedavādena saṅgahitā. ‘‘Hoti ca na hoti ca tathāgato paraṃ maraṇā, atthi ca natthi ca sattā opapātikā’’ti evaṃ pakārā ekaccasassatavāde antogadhā. ‘‘Neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā, nevatthi na natthi sattā opapātikā’’ti ca evaṃ pakārā amarāvikkhepavāde antogadhā. Issarapajāpatipurisakālavādā ekaccasassatavāde antogadhā, tathā kaṇādavādo. Sabhāvaniyatiyadicchāvādā adhiccasamuppannikavādena saṅgahitā. Iminā nayena suttantaresu, bahiddhā ca dissamānānaṃ diṭṭhigatānaṃ imāsu dvāsaṭṭhiyā diṭṭhīsu antogadhatā veditabbā.

    อชฺฌาสยนฺติ ทิฎฺฐิชฺฌาสยํฯ สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิวเสน หิ สตฺตานํ สํกิเลสปเกฺข ทุวิโธ อชฺฌาสโย, ตญฺจ ภควา อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ อปริมาเณ เอว เญยฺยวิเสเส อุปฺปชฺชนวเสน อเนกเภทภินฺนานมฺปิ ‘‘จตฺตาโร ชนา สสฺสตวาทา’’ติอาทินา ทฺวาสฎฺฐิยา ปเภเทหิ สงฺคณฺหนวเสน สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ทเสฺสโนฺต ปมาณภูตาย ตุลาย ธารยมาโน วิย โหตีติ อาห ‘‘ตุลาย ตุลยโนฺต วิยา’’ติฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘อโนฺต ชาลีกตา’’ติอาทิ (ที. นิ. ๑.๑๔๖)ฯ ‘‘สิเนรุปาทโต วาลุกํ อุทฺธรโนฺต วิยา’’ติ เอเตน สพฺพญฺญุตญฺญาณโต อญฺญสฺส อิมิสฺสา เทสนาย อสกฺกุเณยฺยตํ ทเสฺสติฯ

    Ajjhāsayanti diṭṭhijjhāsayaṃ. Sassatucchedadiṭṭhivasena hi sattānaṃ saṃkilesapakkhe duvidho ajjhāsayo, tañca bhagavā aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ aparimāṇe eva ñeyyavisese uppajjanavasena anekabhedabhinnānampi ‘‘cattāro janā sassatavādā’’tiādinā dvāsaṭṭhiyā pabhedehi saṅgaṇhanavasena sabbaññutaññāṇena paricchinditvā dassento pamāṇabhūtāya tulāya dhārayamāno viya hotīti āha ‘‘tulāya tulayanto viyā’’ti. Tathā hi vakkhati ‘‘anto jālīkatā’’tiādi (dī. ni. 1.146). ‘‘Sinerupādato vālukaṃ uddharanto viyā’’ti etena sabbaññutaññāṇato aññassa imissā desanāya asakkuṇeyyataṃ dasseti.

    อนุสนฺธานํ อนุสนฺธิ, ปุจฺฉาย กโต อนุสนฺธิ ปุจฺฉานุสนฺธิฯ อถ วา อนุสนฺธยตีติ อนุสนฺธิ, ปุจฺฉา อนุสนฺธิ เอตสฺสาติ ปุจฺฉานุสนฺธิฯ ปุจฺฉาย อนุสนฺธิยตีติ วา ปุจฺฉานุสนฺธิฯ อชฺฌาสยานุสนฺธิมฺหิปิ เอเสว นโยฯ ยถานุสนฺธีติ เอตฺถ ปน อนุสนฺธียตีติ อนุสนฺธิ, ยา ยา อนุสนฺธิ ยถานุสนฺธิ, อนุสนฺธิอนุรูปํ วา ยถานุสนฺธีติ สทฺทโตฺถ เวทิตโพฺพ, โส ‘‘เยน ปน ธเมฺมน อาทิมฺหิ เทสนา อุฎฺฐิตา, ตสฺส ธมฺมสฺส อนุรูปธมฺมวเสน วา ปฎิปกฺขวเสน วา เยสุ สุเตฺตสุ อุปริ เทสนา อาคจฺฉติ, เตสํ วเสน ยถานุสนฺธิ เวทิตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ? อากเงฺขยฺยสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๖๔-๖๙) เหฎฺฐา สีเลน เทสนา อุฎฺฐิตา, อุปริ ฉ อภิญฺญา อาคตา…เป.… กกจูปเม (ม. นิ. ๑.๒๒๒) เหฎฺฐา อกฺขนฺติยา อุฎฺฐิตา, อุปริ กกจูปมา อาคตา’’ติอาทินา อฎฺฐกถายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐๐-๑๐๔) วุโตฺตฯ

    Anusandhānaṃ anusandhi, pucchāya kato anusandhi pucchānusandhi. Atha vā anusandhayatīti anusandhi, pucchā anusandhi etassāti pucchānusandhi. Pucchāya anusandhiyatīti vā pucchānusandhi. Ajjhāsayānusandhimhipi eseva nayo. Yathānusandhīti ettha pana anusandhīyatīti anusandhi, yā yā anusandhi yathānusandhi, anusandhianurūpaṃ vā yathānusandhīti saddattho veditabbo, so ‘‘yena pana dhammena ādimhi desanā uṭṭhitā, tassa dhammassa anurūpadhammavasena vā paṭipakkhavasena vā yesu suttesu upari desanā āgacchati, tesaṃ vasena yathānusandhi veditabbo. Seyyathidaṃ? Ākaṅkheyyasutte (ma. ni. 1.64-69) heṭṭhā sīlena desanā uṭṭhitā, upari cha abhiññā āgatā…pe… kakacūpame (ma. ni. 1.222) heṭṭhā akkhantiyā uṭṭhitā, upari kakacūpamā āgatā’’tiādinā aṭṭhakathāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.100-104) vutto.

    อิติ กิราติ ภควโต ยถาเทสิตาย อตฺตสุญฺญตาย อตฺตโน อรุจฺจนภาวทีปนํฯ โภติ ธมฺมาลปนํฯ อนตฺตกตานีติ อตฺตนา น กตานิ, อนตฺตเกหิ วา ขเนฺธหิ กตานิฯ กมตฺตานํ ผุสิสฺสนฺตีติ อสติ อตฺตนิ ขนฺธานญฺจ ขณิกตฺตา กมฺมานิ กํ อตฺตานํ อตฺตโน ผเลน ผุสิสฺสนฺติ, โก กมฺมผลํ ปฎิสํเวเทตีติ อโตฺถฯ อวิทฺวาติ สุตาทิวิรเหน อริยธมฺมสฺส อโกวิทตาย น วิทฺวาฯ อวิชฺชาคโตติ อวิชฺชาย อุปคโต, อริยธเมฺม อวินีตตาย อปฺปหีนาวิโชฺชติ อโตฺถฯ ตณฺหาธิปเตเยฺยน เจตสาติ ‘‘ยทิ อหํ นาม โกจิ นตฺถิ , มยา กตสฺส กมฺมสฺส โก ผลํ ปฎิสํเวเทติ, สติ ปน ตสฺมิํ สิยา ผลูปโภโค’’ติ ตณฺหาธิปติโต อาคโต ตณฺหาธิปเตโยฺย, เตนฯ อตฺตวาทุปาทานสหคต เจตสาฯ อติธาวิตพฺพนฺติ ขณิกเตฺตปิ สงฺขารานํ ยสฺมิํ สนฺตาเน กมฺมํ กตํ, ตเตฺถว ผลุปฺปตฺติโต ธมฺมปุญฺชมตฺตเสฺสว จ สิเทฺธ กมฺมผลสมฺพเนฺธ เอกตฺตนยํ มิจฺฉา คเหตฺวา เอเกน การกเวทกภูเตน ภวิตพฺพํ, อญฺญถา ‘‘กมฺมผลานํ สมฺพโนฺธ น สิยา’’ติ อตฺตตฺตนิยสุญฺญตาปกาสนํ สตฺถุสาสนํ อติกฺกมิตพฺพํ มเญฺญยฺยาติ อโตฺถฯ

    Iti kirāti bhagavato yathādesitāya attasuññatāya attano aruccanabhāvadīpanaṃ. Bhoti dhammālapanaṃ. Anattakatānīti attanā na katāni, anattakehi vā khandhehi katāni. Kamattānaṃ phusissantīti asati attani khandhānañca khaṇikattā kammāni kaṃ attānaṃ attano phalena phusissanti, ko kammaphalaṃ paṭisaṃvedetīti attho. Avidvāti sutādivirahena ariyadhammassa akovidatāya na vidvā. Avijjāgatoti avijjāya upagato, ariyadhamme avinītatāya appahīnāvijjoti attho. Taṇhādhipateyyena cetasāti ‘‘yadi ahaṃ nāma koci natthi , mayā katassa kammassa ko phalaṃ paṭisaṃvedeti, sati pana tasmiṃ siyā phalūpabhogo’’ti taṇhādhipatito āgato taṇhādhipateyyo, tena. Attavādupādānasahagata cetasā. Atidhāvitabbanti khaṇikattepi saṅkhārānaṃ yasmiṃ santāne kammaṃ kataṃ, tattheva phaluppattito dhammapuñjamattasseva ca siddhe kammaphalasambandhe ekattanayaṃ micchā gahetvā ekena kārakavedakabhūtena bhavitabbaṃ, aññathā ‘‘kammaphalānaṃ sambandho na siyā’’ti attattaniyasuññatāpakāsanaṃ satthusāsanaṃ atikkamitabbaṃ maññeyyāti attho.

    ‘‘อุปริ ฉ อภิญฺญา อาคตา’’ติ อนุรูปธมฺมวเสน ยถานุสนฺธิํ ทเสฺสติ, อิตเรหิ ปฎิปกฺขวเสนฯ กิเลเสนาติ ‘‘โลโภ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’’ติอาทินา กิเลสวเสนฯ อิมสฺมิมฺปีติ ปิ-สเทฺทน ยถา วุตฺตสุตฺตาทีสุ ปฎิปกฺขวเสน ยถานุสนฺธิ, เอวํ อิมสฺมิมฺปิ สุเตฺตติ ทเสฺสติฯ ตถา หิ นิจฺจสาราทิปญฺญาปกานํ ทิฎฺฐิคตานํ วเสน อุฎฺฐิตา อยํ เทสนา นิจฺจสาราทิสุญฺญตาปกาสเนน นิฎฺฐาปิตาติฯ

    ‘‘Upari cha abhiññā āgatā’’ti anurūpadhammavasena yathānusandhiṃ dasseti, itarehi paṭipakkhavasena. Kilesenāti ‘‘lobho cittassa upakkileso’’tiādinā kilesavasena. Imasmimpīti pi-saddena yathā vuttasuttādīsu paṭipakkhavasena yathānusandhi, evaṃ imasmimpi sutteti dasseti. Tathā hi niccasārādipaññāpakānaṃ diṭṭhigatānaṃ vasena uṭṭhitā ayaṃ desanā niccasārādisuññatāpakāsanena niṭṭhāpitāti.

    ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตวารวณฺณนา

    Paritassitavipphanditavāravaṇṇanā

    ๑๐๕-๑๑๗. มริยาทวิภาคทสฺสนตฺถนฺติ สสฺสตาทิทิฎฺฐิทสฺสนสฺส สมฺมาทสฺสเนน สงฺกราภาววิภาวนตฺถํฯ ตทปิ เวทยิตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อชานตํ อปสฺสตนฺติ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ ‘‘อิทํ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ เอวํคหิกํ เอวํปรามฎฺฐํ เอวํคหิตํ โหติ เอวํอภิสมฺปราย’’นฺติ ยถาภูตํ อชานนฺตานํ อปสฺสนฺตานํฯ ตถา ยสฺมิํ เวทยิเต อวีตตณฺหตาย เอวํ ทิฎฺฐิคตํ อุปาทิยนฺติ, ตํ เวทยิตํ สมุทยาทิโต ยถาภูตํ อชานนฺตานํ อปสฺสนฺตานํ, เอเตน อนาวรณญาณสมนฺตจกฺขูหิ ยถา ตถาคตานํ ยถาภูตเมตฺถ ญาณทสฺสนํ, น เอวํ ทิฎฺฐิคติกานํ, อถ โข ตณฺหาทิฎฺฐิปรามาโสเยวาติ ทเสฺสติฯ เตเนว จายํ เทสนา มริยาทวิภาคทสฺสนตฺถา ชาตาฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘ยถาภูตํ ธมฺมานํ สภาวํ อชานนฺตานํ อปสฺสนฺตาน’’นฺติ อวิเสเสน วุตฺตํฯ น หิ สงฺขตธมฺมสภาวํ อชานนมเตฺตน มิจฺฉา อภินิวิสนฺตีติฯ สามญฺญโชตนา วิเสเส อวติฎฺฐตีติ อยํ วิเสสโยชนา กตาฯ เวทยิตนฺติ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ ทิฎฺฐิปญฺญาปนวเสน ปวตฺตํ ทิฎฺฐิยา อนุภูตํ อนุภวนํฯ ตณฺหาคตานนฺติ ตณฺหาย คตานํ อุปคตานํ, ปวตฺตานํ วาฯ ตญฺจ โข ปเนตนฺติ จ ยถาวุตฺตํ เวทยิตํ ปจฺจามสติฯ ตญฺหิ วฎฺฎามิสภูตํ ทิฎฺฐิตณฺหาสลฺลานุวิทฺธตาย สอุพฺพิลตฺตา จญฺจลํ, น มคฺคผลสุขํ วิย เอกรูเปน อวติฎฺฐตีติฯ เตเนวาห ‘‘ปริตสฺสิเตนา’’ติอาทิฯ

    105-117.Mariyādavibhāgadassanatthanti sassatādidiṭṭhidassanassa sammādassanena saṅkarābhāvavibhāvanatthaṃ. Tadapi vedayitanti sambandho. Ajānataṃ apassatanti ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti ‘‘idaṃ diṭṭhiṭṭhānaṃ evaṃgahikaṃ evaṃparāmaṭṭhaṃ evaṃgahitaṃ hoti evaṃabhisamparāya’’nti yathābhūtaṃ ajānantānaṃ apassantānaṃ. Tathā yasmiṃ vedayite avītataṇhatāya evaṃ diṭṭhigataṃ upādiyanti, taṃ vedayitaṃ samudayādito yathābhūtaṃ ajānantānaṃ apassantānaṃ, etena anāvaraṇañāṇasamantacakkhūhi yathā tathāgatānaṃ yathābhūtamettha ñāṇadassanaṃ, na evaṃ diṭṭhigatikānaṃ, atha kho taṇhādiṭṭhiparāmāsoyevāti dasseti. Teneva cāyaṃ desanā mariyādavibhāgadassanatthā jātā. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘yathābhūtaṃ dhammānaṃ sabhāvaṃ ajānantānaṃ apassantāna’’nti avisesena vuttaṃ. Na hi saṅkhatadhammasabhāvaṃ ajānanamattena micchā abhinivisantīti. Sāmaññajotanā visese avatiṭṭhatīti ayaṃ visesayojanā katā. Vedayitanti ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti diṭṭhipaññāpanavasena pavattaṃ diṭṭhiyā anubhūtaṃ anubhavanaṃ. Taṇhāgatānanti taṇhāya gatānaṃ upagatānaṃ, pavattānaṃ vā. Tañca kho panetanti ca yathāvuttaṃ vedayitaṃ paccāmasati. Tañhi vaṭṭāmisabhūtaṃ diṭṭhitaṇhāsallānuviddhatāya saubbilattā cañcalaṃ, na maggaphalasukhaṃ viya ekarūpena avatiṭṭhatīti. Tenevāha ‘‘paritassitenā’’tiādi.

    อถ วา เอวํ วิเสสการณโต ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิ วิภชิตฺวา อิทานิ อวิเสสการณโต ตานิ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺร ภิกฺขเว’’ติอาทิกา เทสนา อารทฺธาฯ สเพฺพสญฺหิ ทิฎฺฐิคติกานํ เวทนา อวิชฺชา ตณฺหา จ อวิสิฎฺฐการนฺติฯ ตตฺถ ตทปีติ ‘‘สสฺสตํ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ’’ติ เอตฺถ ยเทตํ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ ปญฺญาปนํ, ตทปิฯ สุขาทิเภทํ ติวิธเวทยิตํ ยถากฺกมํ ทุกฺขสลฺลานิจฺจโต, อวิเสเสน สมุทยตฺถงฺคมสฺสาทาทีนวนิสฺสรณโต วา ยถาภูตํ อชานนฺตานํ อปสฺสนฺตานํ, ตโต เอว จ สุขาทิปตฺถนาสมฺภวโต ตณฺหาย อุปคตตฺตา ตณฺหาคตานํ ตณฺหาปริตสฺสิเตน ทิฎฺฐิวิปฺผนฺทิตเมว ทิฎฺฐิจลนเมว, ‘‘อสติ อตฺตนิ โก เวทนํ อนุภวตี’’ติ กายวจีทฺวาเรสุ ทิฎฺฐิยา โจปนปฺปตฺติมตฺตเมว วา, น ปน ทิฎฺฐิยา ปญฺญาเปตโพฺพ สสฺสโต โกจิ ธโมฺม อตฺถีติ อโตฺถฯ เอกจฺจสสฺสตวาทาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Atha vā evaṃ visesakāraṇato dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni vibhajitvā idāni avisesakāraṇato tāni dassetuṃ ‘‘tatra bhikkhave’’tiādikā desanā āraddhā. Sabbesañhi diṭṭhigatikānaṃ vedanā avijjā taṇhā ca avisiṭṭhakāranti. Tattha tadapīti ‘‘sassataṃ attānañca lokañca paññapenti’’ti ettha yadetaṃ ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti paññāpanaṃ, tadapi. Sukhādibhedaṃ tividhavedayitaṃ yathākkamaṃ dukkhasallāniccato, avisesena samudayatthaṅgamassādādīnavanissaraṇato vā yathābhūtaṃ ajānantānaṃ apassantānaṃ, tato eva ca sukhādipatthanāsambhavato taṇhāya upagatattā taṇhāgatānaṃ taṇhāparitassitena diṭṭhivipphanditameva diṭṭhicalanameva, ‘‘asati attani ko vedanaṃ anubhavatī’’ti kāyavacīdvāresu diṭṭhiyā copanappattimattameva vā, na pana diṭṭhiyā paññāpetabbo sassato koci dhammo atthīti attho. Ekaccasassatavādādīsupi eseva nayo.

    ผสฺสปจฺจยวารวณฺณนา

    Phassapaccayavāravaṇṇanā

    ๑๑๘. เยน ตณฺหาปริตสฺสิเตน เอตานิ ทิฎฺฐิคตานิ ปวตฺตนฺติ, ตสฺส เวทยิตํ ปจฺจโย, เวทยิตสฺสาปิ ผโสฺส ปจฺจโยติ เทสนา ทิฎฺฐิยา ปจฺจยปรมฺปรนิทฺธารณนฺติ อาห ‘‘ปรมฺปรปจฺจยทสฺสนตฺถ’’นฺติ, เตน ยถา ปญฺญาปนธโมฺม ทิฎฺฐิ, ตปฺปจฺจยธมฺมา จ ยถาสกํ ปจฺจยวเสเนว อุปฺปชฺชนฺติ, น ปจฺจเยหิ วินา, เอวํ ปญฺญาเปตพฺพา ธมฺมาปิ รูปเวทนาทโย, น เอตฺถ โกจิ อตฺตา วา โลโก วา สสฺสโตติ อยมโตฺถ ทสฺสิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    118. Yena taṇhāparitassitena etāni diṭṭhigatāni pavattanti, tassa vedayitaṃ paccayo, vedayitassāpi phasso paccayoti desanā diṭṭhiyā paccayaparamparaniddhāraṇanti āha ‘‘paramparapaccayadassanattha’’nti, tena yathā paññāpanadhammo diṭṭhi, tappaccayadhammā ca yathāsakaṃ paccayavaseneva uppajjanti, na paccayehi vinā, evaṃ paññāpetabbā dhammāpi rūpavedanādayo, na ettha koci attā vā loko vā sassatoti ayamattho dassitoti daṭṭhabbaṃ.

    เนตํฐานํวิชฺชติวารวณฺณนา

    Netaṃṭhānaṃvijjativāravaṇṇanā

    ๑๓๑. ตสฺส ปจฺจยสฺสาติ ผสฺสปจฺจยสฺส ทิฎฺฐิเวทยิเตติ ทิฎฺฐิยา ปจฺจยภูเต เวทยิเต, ผสฺสปธาเนหิ อตฺตโน ปจฺจเยหิ นิปฺผาเทตเพฺพติ อโตฺถฯ วินาปิ จกฺขาทิวตฺถูหิ, สมฺปยุตฺตธเมฺมหิ จ เกหิจิ เวทนา อุปฺปชฺชติ, น ปน กทาจิ ผเสฺสน วินาติ ผโสฺส เวทนาย พลวการณนฺติ อาห ‘‘พลวภาวทสฺสนตฺถ’’นฺติฯ สนฺนิหิโตปิ หิ วิสโย สเจ ผุสนาการรหิโต โหติ จิตฺตุปฺปาโท, น ตสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย โหตีติ ผโสฺสว สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วิเสสปจฺจโยฯ ตถา หิ ภควตา จิตฺตุปฺปาทํ วิภชเนฺตน ผโสฺสเยว ปฐมํ อุทฺธโฎ, เวทนาย ปน อธิฎฺฐานเมวฯ

    131.Tassapaccayassāti phassapaccayassa diṭṭhivedayiteti diṭṭhiyā paccayabhūte vedayite, phassapadhānehi attano paccayehi nipphādetabbeti attho. Vināpi cakkhādivatthūhi, sampayuttadhammehi ca kehici vedanā uppajjati, na pana kadāci phassena vināti phasso vedanāya balavakāraṇanti āha ‘‘balavabhāvadassanattha’’nti. Sannihitopi hi visayo sace phusanākārarahito hoti cittuppādo, na tassa ārammaṇapaccayena paccayo hotīti phassova sampayuttadhammānaṃ visesapaccayo. Tathā hi bhagavatā cittuppādaṃ vibhajantena phassoyeva paṭhamaṃ uddhaṭo, vedanāya pana adhiṭṭhānameva.

    ทิฎฺฐิคติกาธิฎฺฐานวฎฺฎกถาวณฺณนา

    Diṭṭhigatikādhiṭṭhānavaṭṭakathāvaṇṇanā

    ๑๔๔. เหฎฺฐา ตีสุปิ วาเรสุ อธิกตตฺตา, อุปริ จ ‘‘ปฎิสํเวเทนฺตี’’ติ วกฺขมานตฺตา เวทยิตเมตฺถ ปธานนฺติ อาห ‘‘สพฺพทิฎฺฐิเวทยิตานิ สมฺปิเณฺฑตี’’ติฯ สมฺปิเณฺฑตีติ จ ‘‘เยปิ เต’’ติ ตตฺถ ตตฺถ อาคตสฺส ปิ-สทฺทสฺส อตฺถํ ทเสฺสติฯ เวทยิตสฺส ผเสฺส ปกฺขิปนํ ผสฺสปจฺจยตาทสฺสนเมว ‘‘ฉหิ อชฺฌตฺติกายตเนหิ ฉฬารมฺมณปฎิสํเวทนํ เอกนฺตโต ฉผสฺสเหตุกเมวา’’ติฯ สญฺชายนฺติ เอตฺถาติ อธิกรณโตฺถ สญฺชาติ-สโทฺทติ อาห ‘‘สญฺชาติฎฺฐาเน’’ติฯ เอวํ สโมสรณสโทฺทปิ ทฎฺฐโพฺพฯ อายตติ เอตฺถ ผลํ ตทายตฺตวุตฺติตาย, อายภูตํ วา อตฺตโน ผลํ ตโนติ ปวเตฺตตีติ อายตนํ, การณํฯ รุกฺขคจฺฉสมูเห อรญฺญโวหาโร อรญฺญเมว อรญฺญายตนนฺติ อาห ‘‘ปณฺณตฺติมเตฺต’’ติฯ อตฺถตฺตเยปีติ ปิ-สเทฺทน อวุตฺตตฺถสมฺปิณฺฑนํ ทฎฺฐพฺพํ, เตน อาการนิวาสาธิฎฺฐานเตฺถ สงฺคณฺหาติฯ หิรญฺญายตนํ สุวณฺณายตนํ, วาสุเทวายตนํ กมฺมายตนนฺติ อาทีสุ อากรนิวาสาธิฎฺฐาเนสุ อายตนสโทฺทฯ จกฺขาทีสุ จ ผสฺสาทโย อากิณฺณา, ตานิ จ เนสํ นิวาโส, อธิฎฺฐานญฺจ นิสฺสยปจฺจยภาวโตติฯ ติณฺณมฺปิ วิสยินฺทฺริยวิญฺญาณานํ สงฺคติภาเวน คเหตโพฺพ ผโสฺสติ ‘‘สงฺคตี’’ติ วุโตฺตฯ ตถา หิ โส ‘‘สนฺนิปาตปจฺจุปฎฺฐาโน’’ติ วุจฺจติฯ อิมินา นเยนาติ วิชฺชมาเนสุปิ อเญฺญสุ สมฺปยุตฺตธเมฺมสุ ยถา ‘‘จกฺขุญฺจ…เป.… ผโสฺส’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๐๔; ม. นิ. ๓.๔๒๑, ๔๒๕, ๔๒๖; สํ. นิ. ๒.๔๓-๔๕; สํ. นิ. ๔.๖๐; กถา. ๔๖๕) เอตสฺมิํ สุเตฺต เวทนาย ปธานการณภาวทสฺสนตฺถํ ผสฺสสีเสน เทสนา กตา, เอวมิธาปิ พฺรหฺมชาเล ‘‘ผสฺสปจฺจยา เวทนา’’ติอาทินา ผสฺสํ อาทิํ กตฺวา อปรนฺตปฎิจฺจสมุปฺปาททีปเนน ปจฺจยปรมฺปรํ ทเสฺสตุํ ‘‘ผสฺสายตเนหิ ผุสฺส ผุสฺสา’’ติ ผสฺสมุเขน วุตฺตํฯ

    144. Heṭṭhā tīsupi vāresu adhikatattā, upari ca ‘‘paṭisaṃvedentī’’ti vakkhamānattā vedayitamettha padhānanti āha ‘‘sabbadiṭṭhivedayitāni sampiṇḍetī’’ti. Sampiṇḍetīti ca ‘‘yepi te’’ti tattha tattha āgatassa pi-saddassa atthaṃ dasseti. Vedayitassa phasse pakkhipanaṃ phassapaccayatādassanameva ‘‘chahi ajjhattikāyatanehi chaḷārammaṇapaṭisaṃvedanaṃ ekantato chaphassahetukamevā’’ti. Sañjāyanti etthāti adhikaraṇattho sañjāti-saddoti āha ‘‘sañjātiṭṭhāne’’ti. Evaṃ samosaraṇasaddopi daṭṭhabbo. Āyatati ettha phalaṃ tadāyattavuttitāya, āyabhūtaṃ vā attano phalaṃ tanoti pavattetīti āyatanaṃ, kāraṇaṃ. Rukkhagacchasamūhe araññavohāro araññameva araññāyatananti āha ‘‘paṇṇattimatte’’ti. Atthattayepīti pi-saddena avuttatthasampiṇḍanaṃ daṭṭhabbaṃ, tena ākāranivāsādhiṭṭhānatthe saṅgaṇhāti. Hiraññāyatanaṃ suvaṇṇāyatanaṃ, vāsudevāyatanaṃ kammāyatananti ādīsu ākaranivāsādhiṭṭhānesu āyatanasaddo. Cakkhādīsu ca phassādayo ākiṇṇā, tāni ca nesaṃ nivāso, adhiṭṭhānañca nissayapaccayabhāvatoti. Tiṇṇampi visayindriyaviññāṇānaṃ saṅgatibhāvena gahetabbo phassoti ‘‘saṅgatī’’ti vutto. Tathā hi so ‘‘sannipātapaccupaṭṭhāno’’ti vuccati. Iminā nayenāti vijjamānesupi aññesu sampayuttadhammesu yathā ‘‘cakkhuñca…pe… phasso’’ti (ma. ni. 1.204; ma. ni. 3.421, 425, 426; saṃ. ni. 2.43-45; saṃ. ni. 4.60; kathā. 465) etasmiṃ sutte vedanāya padhānakāraṇabhāvadassanatthaṃ phassasīsena desanā katā, evamidhāpi brahmajāle ‘‘phassapaccayā vedanā’’tiādinā phassaṃ ādiṃ katvā aparantapaṭiccasamuppādadīpanena paccayaparamparaṃ dassetuṃ ‘‘phassāyatanehi phussa phussā’’ti phassamukhena vuttaṃ.

    ผโสฺส อรูปธโมฺมปิ สมาโน เอกเทเสน อารมฺมเณ อนลฺลียมาโนปิ ผุสนากาเรน ปวตฺตติ ผุสโนฺต วิย โหตีติ อาห ‘‘ผโสฺสว ตํ ตํ อารมฺมณํ ผุสตี’’ติ, เยน โส ‘‘ผุสนลกฺขโณ, สงฺฆฎฺฎนรโส’’ติ จ วุจฺจติฯ ‘‘ผสฺสายตเนหิ ผุสฺส ผุสฺสา’’ติ อผุสนกิจฺจานิปิ อายตนานิ ‘‘มญฺจา โฆสนฺตี’’ติอาทีสุ วิย นิสฺสิตโวหาเรน ผุสนกิจฺจานิ กตฺวา ทสฺสิตานีติ อาห ‘‘ผเสฺส อุปนิกฺขิปิตฺวา’’ติ, ผสฺสคติกานิ กตฺวา ผสฺสูปจารํ อาโรเปตฺวาติ อโตฺถฯ อุปจาโร หิ นาม โวหารมตฺตํ, น เตน อตฺถสิทฺธิ โหตีติ อาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ

    Phasso arūpadhammopi samāno ekadesena ārammaṇe anallīyamānopi phusanākārena pavattati phusanto viya hotīti āha ‘‘phassova taṃ taṃ ārammaṇaṃ phusatī’’ti, yena so ‘‘phusanalakkhaṇo, saṅghaṭṭanaraso’’ti ca vuccati. ‘‘Phassāyatanehi phussa phussā’’ti aphusanakiccānipi āyatanāni ‘‘mañcā ghosantī’’tiādīsu viya nissitavohārena phusanakiccāni katvā dassitānīti āha ‘‘phasse upanikkhipitvā’’ti, phassagatikāni katvā phassūpacāraṃ āropetvāti attho. Upacāro hi nāma vohāramattaṃ, na tena atthasiddhi hotīti āha ‘‘tasmā’’tiādi.

    อตฺตโน ปจฺจยภูตานํ ฉนฺนํ ผสฺสานํ วเสน จกฺขุสมฺผสฺสชา ยาว มโนสมฺผสฺสชาติ สเงฺขปโต ฉพฺพิธา เวทนา, วิตฺถารโต ปน อฎฺฐสตปริยาเยน อฎฺฐสตเภทาฯ รูปตณฺหาทิเภทายาติ รูปตณฺหา ยาว ธมฺมตณฺหาติ สเงฺขปโต ฉปฺปเภทาย, วิตฺถารโต อฎฺฐสตเภทายฯ อุปนิสฺสยโกฎิยาติ อุปนิสฺสยสีเสนฯ กสฺมา ปเนตฺถ อุปนิสฺสยปจฺจโยว อุทฺธโฎ, นนุ สุขา เวทนา, อทุกฺขมสุขา เวทนา จ ตณฺหาย อารมฺมณมตฺตอารมฺมณาธิปติอารมฺมณูปนิสฺสยปกตูปนิสฺสยวเสน จตุธา ปจฺจโย, ทุกฺขา จ อารมฺมณมตฺตปกตูปนิสฺสยวเสน ทฺวิธาติ? สจฺจเมตํ, อุปนิสฺสเย เอว ปน ตํ สพฺพํ อโนฺตคธํฯ ยุตฺตํ ตาว อารมฺมณูปนิสฺสยสฺส อุปนิสฺสยสามญฺญโต อุปนิสฺสเยน สงฺคโห, อารมฺมณมตฺตอารมฺมณาธิปตีนํ ปน กถนฺติ? เตสมฺปิ อารมฺมณสามญฺญโต อารมฺมณูปนิสฺสเยน สงฺคโหว กโต, น ปกตูปนิสฺสเยนาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอตทตฺถเมเวตฺถ ‘‘อุปนิสฺสยโกฎิยา’’ติ วุตฺตํ, น ‘‘อุปนิสฺสเยนา’’ติฯ

    Attano paccayabhūtānaṃ channaṃ phassānaṃ vasena cakkhusamphassajā yāva manosamphassajāti saṅkhepato chabbidhā vedanā, vitthārato pana aṭṭhasatapariyāyena aṭṭhasatabhedā. Rūpataṇhādibhedāyāti rūpataṇhā yāva dhammataṇhāti saṅkhepato chappabhedāya, vitthārato aṭṭhasatabhedāya. Upanissayakoṭiyāti upanissayasīsena. Kasmā panettha upanissayapaccayova uddhaṭo, nanu sukhā vedanā, adukkhamasukhā vedanā ca taṇhāya ārammaṇamattaārammaṇādhipatiārammaṇūpanissayapakatūpanissayavasena catudhā paccayo, dukkhā ca ārammaṇamattapakatūpanissayavasena dvidhāti? Saccametaṃ, upanissaye eva pana taṃ sabbaṃ antogadhaṃ. Yuttaṃ tāva ārammaṇūpanissayassa upanissayasāmaññato upanissayena saṅgaho, ārammaṇamattaārammaṇādhipatīnaṃ pana kathanti? Tesampi ārammaṇasāmaññato ārammaṇūpanissayena saṅgahova kato, na pakatūpanissayenāti daṭṭhabbaṃ. Etadatthamevettha ‘‘upanissayakoṭiyā’’ti vuttaṃ, na ‘‘upanissayenā’’ti.

    จตุพฺพิธสฺสาติ กามุปาทานํ ยาว อตฺตวาทุปาทานนฺติ จตุพฺพิธสฺสฯ นนุ จ ตณฺหาว กามุปาทานนฺติ? สจฺจเมตํฯ ตตฺถ ทุพฺพลา ตณฺหา ตณฺหาว, พลวตี ตณฺหา กามุปาทานํฯ อถ วา อปฺปตฺตวิสยปตฺถนา ตณฺหา ตมสิ โจรานํ กรปสารณํ วิยฯ สมฺปตฺตวิสยคฺคหณํ อุปาทานํ, โจรานํ กรปฺปตฺตธนคฺคหณํ วิยฯ อปฺปิจฺฉตาปฎิปกฺขา ตณฺหา, สโนฺตสปฎิปกฺขา อุปาทานํฯ ปริเยสนทุกฺขมูลํ ตณฺหา, อารกฺขทุกฺขมูลํ อุปาทานนฺติ อยเมเตสํ วิเสโสฯ อุปาทานสฺสาติ อสหชาตสฺส อุปาทานสฺส อุปนิสฺสยโกฎิยา, อิตรสฺส สหชาตโกฎิยาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถ อนนฺตรสฺส อนนฺตรสมนนฺตรอนนฺตรูปนิสฺสยนตฺถิวิคตาเสวนปจฺจเยหิ, อนานนฺตรสฺส อุปนิสฺสเยน, อารมฺมณภูตา ปน อารมฺมณาธิปติอารมฺมณูปนิสฺสเยหิ, อารมฺมณมเตฺตเนว วาติ ตํ สพฺพํ อุปนิสฺสเยเนว คเหตฺวา ‘‘อุปนิสฺสยโกฎิยา’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา จ ตณฺหาย รูปาทีนิ อสฺสาเทตฺวา กาเมสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชติ, ตสฺมา ตณฺหา กามุปาทานสฺส อุปนิสฺสโยฯ ตถา รูปาทิเภเทว สมฺมูโฬฺห ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทินา (ที. นิ. ๑.๑๗๑; ม. นิ. ๑.๔๔๕; ม. นิ. ๒.๙๔, ๙๕, ๒๒๕; ม. นิ. ๓.๙๑, ๑๑๖, ๑๓๖; สํ. นิ. ๓.๒๑๐; ธ. ส. ๑๒๒๑; วิภ. ๙๓๘) มิจฺฉาทสฺสนํ, สํสารโต มุจฺจิตุกาโม อสุทฺธิมเคฺค สุทฺธิมคฺคปรามสนํ, ขเนฺธสุ อตฺตตฺตนิยคาหภูตํ สกฺกายทสฺสนํ คณฺหาติ, ตสฺมา อิตเรสมฺปิ ตณฺหา อุปนิสฺสโยติ ทฎฺฐพฺพํฯ สหชาตสฺส ปน สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตเหตุวเสน ตณฺหา ปจฺจโย โหติฯ ตํ สพฺพํ สนฺธาย ‘‘สหชาตโกฎิยา’’ติ วุตฺตํฯ

    Catubbidhassāti kāmupādānaṃ yāva attavādupādānanti catubbidhassa. Nanu ca taṇhāva kāmupādānanti? Saccametaṃ. Tattha dubbalā taṇhā taṇhāva, balavatī taṇhā kāmupādānaṃ. Atha vā appattavisayapatthanā taṇhā tamasi corānaṃ karapasāraṇaṃ viya. Sampattavisayaggahaṇaṃ upādānaṃ, corānaṃ karappattadhanaggahaṇaṃ viya. Appicchatāpaṭipakkhā taṇhā, santosapaṭipakkhā upādānaṃ. Pariyesanadukkhamūlaṃ taṇhā, ārakkhadukkhamūlaṃ upādānanti ayametesaṃ viseso. Upādānassāti asahajātassa upādānassa upanissayakoṭiyā, itarassa sahajātakoṭiyāti daṭṭhabbaṃ. Tattha anantarassa anantarasamanantaraanantarūpanissayanatthivigatāsevanapaccayehi, anānantarassa upanissayena, ārammaṇabhūtā pana ārammaṇādhipatiārammaṇūpanissayehi, ārammaṇamatteneva vāti taṃ sabbaṃ upanissayeneva gahetvā ‘‘upanissayakoṭiyā’’ti vuttaṃ. Yasmā ca taṇhāya rūpādīni assādetvā kāmesu pātabyataṃ āpajjati, tasmā taṇhā kāmupādānassa upanissayo. Tathā rūpādibhedeva sammūḷho ‘‘natthi dinna’’ntiādinā (dī. ni. 1.171; ma. ni. 1.445; ma. ni. 2.94, 95, 225; ma. ni. 3.91, 116, 136; saṃ. ni. 3.210; dha. sa. 1221; vibha. 938) micchādassanaṃ, saṃsārato muccitukāmo asuddhimagge suddhimaggaparāmasanaṃ, khandhesu attattaniyagāhabhūtaṃ sakkāyadassanaṃ gaṇhāti, tasmā itaresampi taṇhā upanissayoti daṭṭhabbaṃ. Sahajātassa pana sahajātaaññamaññanissayasampayuttaatthiavigatahetuvasena taṇhā paccayo hoti. Taṃ sabbaṃ sandhāya ‘‘sahajātakoṭiyā’’ti vuttaṃ.

    ตถาติ อุปนิสฺสยโกฎิยา เจว สหชาตโกฎิยา จาติ อโตฺถฯ ภวสฺสาติ กมฺมภวสฺส เจว อุปปตฺติภวสฺส จฯ ตตฺถ เจตนาทิสงฺขา ตํ สพฺพํ ภวคามิกมฺมํ กมฺมภโว, กามภวาทิโก นววิโธ อุปปตฺติภโว, เตสํ อุปปตฺติภวสฺส จตุพฺพิธมฺปิ อุปาทานํ อุปปตฺติภวการณกมฺมภวการณภาวโต , ตสฺส จ สหายภาวูปคมนโต ปกตูปนิสฺสยวเสน ปจฺจโย โหติฯ กมฺมารมฺมณกรณกาเล ปน กมฺมสหชาตกามุปาทานํ อุปปตฺติภวสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย โหติฯ กมฺมภวสฺส ปน สหชาตสฺส สหชาตํ อุปาทานํ สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตวเสน เจว เหตุมคฺควเสน จ อเนกธา ปจฺจโย โหติ, อสหชาตสฺส อนนฺตรสมนนฺตรอนนฺตรูปนิสฺสยนตฺถิวิคตาเสวนวเสน, อิตรสฺส ปกตูปนิสฺสยวเสน, สมฺมสนาทิกาเลสุ อารมฺมณวเสน จ ปจฺจโย โหติฯ ตตฺถ อนนฺตราทิเก อุปนิสฺสยปจฺจเย, สหชาตาทิเก สหชาตปจฺจเย ปกฺขิปิตฺวา วุตฺตํ ‘‘อุปนิสฺสยโกฎิยา เจว สหชาตโกฎิยา จา’’ติฯ

    Tathāti upanissayakoṭiyā ceva sahajātakoṭiyā cāti attho. Bhavassāti kammabhavassa ceva upapattibhavassa ca. Tattha cetanādisaṅkhā taṃ sabbaṃ bhavagāmikammaṃ kammabhavo, kāmabhavādiko navavidho upapattibhavo, tesaṃ upapattibhavassa catubbidhampi upādānaṃ upapattibhavakāraṇakammabhavakāraṇabhāvato , tassa ca sahāyabhāvūpagamanato pakatūpanissayavasena paccayo hoti. Kammārammaṇakaraṇakāle pana kammasahajātakāmupādānaṃ upapattibhavassa ārammaṇapaccayena paccayo hoti. Kammabhavassa pana sahajātassa sahajātaṃ upādānaṃ sahajātaaññamaññanissayasampayuttaatthiavigatavasena ceva hetumaggavasena ca anekadhā paccayo hoti, asahajātassa anantarasamanantaraanantarūpanissayanatthivigatāsevanavasena, itarassa pakatūpanissayavasena, sammasanādikālesu ārammaṇavasena ca paccayo hoti. Tattha anantarādike upanissayapaccaye, sahajātādike sahajātapaccaye pakkhipitvā vuttaṃ ‘‘upanissayakoṭiyā ceva sahajātakoṭiyā cā’’ti.

    ภโว ชาติยาติ เอตฺถ ภโวติ กมฺมภโว อธิเปฺปโตฯ โส หิ ชาติยา ปจฺจโย, น อุปปตฺติภโวฯ อุปปตฺติภโว หิ ปฐมาภินิพฺพตฺตา ขนฺธา ชาติเยวฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ชาตีติ ปเนตฺถ สวิการา ปญฺจกฺขนฺธา ทฎฺฐพฺพา’’ติฯ สวิการาติ จ นิพฺพตฺติวิกาเรน สวิการา, เต จ อตฺถโต อุปปตฺติภโวเยวฯ น หิ ตเทว ตสฺส การณํ ภวิตุํ ยุตฺตนฺติฯ กมฺมภโว จ อุปปตฺติภวสฺส กมฺมปจฺจเยน เจว อุปนิสฺสยปจฺจเยน จ ปจฺจโย โหตีติ อาห ‘‘ภโว ชาติยา อุปนิสฺสยโกฎิยา ปจฺจโย’’ติฯ

    Bhavo jātiyāti ettha bhavoti kammabhavo adhippeto. So hi jātiyā paccayo, na upapattibhavo. Upapattibhavo hi paṭhamābhinibbattā khandhā jātiyeva. Tena vuttaṃ ‘‘jātīti panettha savikārā pañcakkhandhā daṭṭhabbā’’ti. Savikārāti ca nibbattivikārena savikārā, te ca atthato upapattibhavoyeva. Na hi tadeva tassa kāraṇaṃ bhavituṃ yuttanti. Kammabhavo ca upapattibhavassa kammapaccayena ceva upanissayapaccayena ca paccayo hotīti āha ‘‘bhavo jātiyā upanissayakoṭiyā paccayo’’ti.

    ยสฺมา จ สติ ชาติยา ชรามรณํ, ชรามรณาทินา ผุฎฺฐสฺส พาลสฺส โสกาทโย จ สมฺภวนฺติ, นาสติ, ตสฺมา ‘‘ชาติ…เป.… ปจฺจโย โหตี’’ติ วุตฺตํฯ สหชาตูปนิสฺสยสีเสน ปจฺจยวิจารณาย ทสฺสิตตฺตา, องฺควิจารณาย จ อนามฎฺฐตฺตา อาห ‘‘อยเมตฺถ สเงฺขโป’’ติฯ มหาวิสยตฺตา ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิจารณาย สา นิรวเสสา กุโต ลทฺธพฺพาติ อาห ‘‘วิตฺถารโต’’ติอาทิฯ เอกเทเสน เจตฺถ กถิตสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส ตถา กถเน สทฺธิํ อุทาหรเณน การณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภควา หี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ โกฎิ น ปญฺญายตีติ อสุกสฺส นาม สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, จกฺกวตฺติโน วา กาเล อวิชฺชา อุปฺปนฺนา, น ตโต ปุเพฺพติ อวิชฺชาย อาทิมริยาทา อปฺปฎิหตสฺส มม สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺสาปิ น ปญฺญายติ อวิชฺชมานตฺตาเยวาติ อโตฺถฯ อยํ ปจฺจโย อิทปฺปจฺจโย, ตสฺมา อิทปฺปจฺจยา, อิมสฺมา การณา อาสวปจฺจยาติ อโตฺถฯ ภวตณฺหายาติ ภวสํโยชนภูตาย ตณฺหายฯ ภวทิฎฺฐิยาติ สสฺสตทิฎฺฐิยาฯ ‘‘อิโต เอตฺถ เอโตฺต อิธา’’ติ อปริยนฺตํ อปราปรุปฺปตฺติํ ทเสฺสติฯ

    Yasmā ca sati jātiyā jarāmaraṇaṃ, jarāmaraṇādinā phuṭṭhassa bālassa sokādayo ca sambhavanti, nāsati, tasmā ‘‘jāti…pe… paccayo hotī’’ti vuttaṃ. Sahajātūpanissayasīsena paccayavicāraṇāya dassitattā, aṅgavicāraṇāya ca anāmaṭṭhattā āha ‘‘ayamettha saṅkhepo’’ti. Mahāvisayattā paṭiccasamuppādavicāraṇāya sā niravasesā kuto laddhabbāti āha ‘‘vitthārato’’tiādi. Ekadesena cettha kathitassa paṭiccasamuppādassa tathā kathane saddhiṃ udāharaṇena kāraṇaṃ dassento ‘‘bhagavā hī’’tiādimāha. Tattha koṭi na paññāyatīti asukassa nāma sammāsambuddhassa, cakkavattino vā kāle avijjā uppannā, na tato pubbeti avijjāya ādimariyādā appaṭihatassa mama sabbaññutaññāṇassāpi na paññāyati avijjamānattāyevāti attho. Ayaṃ paccayo idappaccayo, tasmā idappaccayā, imasmā kāraṇā āsavapaccayāti attho. Bhavataṇhāyāti bhavasaṃyojanabhūtāya taṇhāya. Bhavadiṭṭhiyāti sassatadiṭṭhiyā. ‘‘Ito ettha etto idhā’’ti apariyantaṃ aparāparuppattiṃ dasseti.

    วิวฎฺฎกถาทิวณฺณนา

    Vivaṭṭakathādivaṇṇanā

    ๑๔๕. ‘‘เวทนานํ สมุทย’’นฺติอาทิปาฬิ เวทนากมฺมฎฺฐานนฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ นฺติ ‘‘ผสฺสสมุทยา ผสฺสนิโรธา’’ติ วุตฺตผสฺสฎฺฐานํฯ อาหาโรติ กพฬีกาโร อาหาโร เวทิตโพฺพฯ โส หิ ‘‘กพฬีกาโร อาหาโร อิมสฺส กายสฺส อาหารปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.ปจฺจยนิเทฺทส ๔๒๙) วจนโต กมฺมสมุฎฺฐานานมฺปิ อุปตฺถมฺภกปจฺจโย โหติเยวฯ ยทิปิ โสตาปนฺนาทโย ยถาภูตํ ปชานนฺติ, อุกฺกํสคติวิชานนวเสน ปน เทสนา อรหตฺตนิกูเฎน นิฎฺฐาปิตาฯ เอตฺถ จ ‘‘ยโต โข ภิกฺขเว ภิกฺขุ…เป.… ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติ เอเตน ธมฺมสฺส นิยฺยานิกภาเวน สทฺธิํ สงฺฆสฺส สุปฺปฎิปตฺติํ ทเสฺสติฯ เตเนว หิ อฎฺฐกถายเมตฺถ ‘‘โก เอวํ ชานาตีติ? ขีณาสโว ชานาติ, ยาว อารทฺธวิปสฺสโก ชานาตี’’ติ ปริปุณฺณํ กตฺวา ภิกฺขุสโงฺฆ ทสฺสิโต, เตน ยํ วุตฺตํ ‘‘ภิกฺขุสงฺฆวเสนปิ ทีเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ, (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๘) ตํ ยถารุตวเสเนว ทีปิตํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    145. ‘‘Vedanānaṃ samudaya’’ntiādipāḷi vedanākammaṭṭhānanti daṭṭhabbā. Tanti ‘‘phassasamudayā phassanirodhā’’ti vuttaphassaṭṭhānaṃ. Āhāroti kabaḷīkāro āhāro veditabbo. So hi ‘‘kabaḷīkāro āhāro imassa kāyassa āhārapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.paccayaniddesa 429) vacanato kammasamuṭṭhānānampi upatthambhakapaccayo hotiyeva. Yadipi sotāpannādayo yathābhūtaṃ pajānanti, ukkaṃsagativijānanavasena pana desanā arahattanikūṭena niṭṭhāpitā. Ettha ca ‘‘yato kho bhikkhave bhikkhu…pe… yathābhūtaṃ pajānātī’’ti etena dhammassa niyyānikabhāvena saddhiṃ saṅghassa suppaṭipattiṃ dasseti. Teneva hi aṭṭhakathāyamettha ‘‘ko evaṃ jānātīti? Khīṇāsavo jānāti, yāva āraddhavipassako jānātī’’ti paripuṇṇaṃ katvā bhikkhusaṅgho dassito, tena yaṃ vuttaṃ ‘‘bhikkhusaṅghavasenapi dīpetuṃ vaṭṭatī’’ti, (dī. ni. aṭṭha. 1.8) taṃ yathārutavaseneva dīpitaṃ hotīti daṭṭhabbaṃ.

    ๑๔๖. อโนฺต ชาลสฺสาติ อโนฺตชาลํ, อโนฺตชาเล กตาติ อโนฺตชาลีกตาฯ อปายูปปตฺติวเสน อโธ โอสีทนํ, สมฺปตฺติภววเสน อุทฺธํ อุคฺคมนํฯ ตถา ปริตฺตภูมิมหคฺคตภูมิวเสน, โอลีนตา’ติธาวนวเสน, ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐิอปรนฺตานุทิฎฺฐิวเสน จ ยถากฺกมํ อโธ โอสีทนํ อุทฺธํ อุคฺคมนํ โยเชตพฺพํฯ ‘‘ทสสหสฺสิโลกธาตู’’ติ ชาติเขตฺตํ สนฺธายาหฯ

    146. Anto jālassāti antojālaṃ, antojāle katāti antojālīkatā. Apāyūpapattivasena adho osīdanaṃ, sampattibhavavasena uddhaṃ uggamanaṃ. Tathā parittabhūmimahaggatabhūmivasena, olīnatā’tidhāvanavasena, pubbantānudiṭṭhiaparantānudiṭṭhivasena ca yathākkamaṃ adho osīdanaṃ uddhaṃ uggamanaṃ yojetabbaṃ. ‘‘Dasasahassilokadhātū’’ti jātikhettaṃ sandhāyāha.

    ๑๔๗. อปณฺณตฺติกภาวนฺติ ธรมานกปณฺณตฺติยา อปณฺณตฺติกภาวํฯ อตีตภาเวน ปน ตถา ปณฺณตฺติ ยาว สาสนนฺตรธานา, ตโต อุทฺธมฺปิ อญฺญพุทฺธุปฺปาเทสุ วตฺตติ เอวฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘โวหารมตฺตเมว ภวิสฺสตี’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๗)ฯ กาโยติ อตฺตภาโว, โย รูปารูปธมฺมสมูโหฯ เอวํ หิสฺส อมฺพรุกฺขสทิสตา, ตทวยวานญฺจ รูปกฺขนฺธจกฺขาทีนํ อมฺพปกฺกสทิสตา ยุชฺชตีติฯ เอตฺถ จ วณฺฎเจฺฉเท วณฺฎูปนิพนฺธานํ อมฺพปกฺกานํ อมฺพรุกฺขโต วิเจฺฉโท วิย ภวเนตฺติเฉเท ตทุปนิพนฺธานํ รูปกฺขนฺธาทีนํ สนฺตานโต วิเจฺฉโทติ เอตฺตาวตา โอปมฺมํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    147.Apaṇṇattikabhāvanti dharamānakapaṇṇattiyā apaṇṇattikabhāvaṃ. Atītabhāvena pana tathā paṇṇatti yāva sāsanantaradhānā, tato uddhampi aññabuddhuppādesu vattati eva. Tathā hi vakkhati ‘‘vohāramattameva bhavissatī’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.147). Kāyoti attabhāvo, yo rūpārūpadhammasamūho. Evaṃ hissa ambarukkhasadisatā, tadavayavānañca rūpakkhandhacakkhādīnaṃ ambapakkasadisatā yujjatīti. Ettha ca vaṇṭacchede vaṇṭūpanibandhānaṃ ambapakkānaṃ ambarukkhato vicchedo viya bhavanettichede tadupanibandhānaṃ rūpakkhandhādīnaṃ santānato vicchedoti ettāvatā opammaṃ daṭṭhabbaṃ.

    ๑๔๘. ธมฺมปริยาเยติ ปาฬิยํฯ อิธโตฺถติ ทิฎฺฐธมฺมหิตํฯ ปรโตฺถติ สมฺปรายหิตํฯ สงฺคามํ วิชินาติ เอเตนาติ สงฺคามวิชโยฯ อตฺถสมฺปตฺติยา อตฺถชาลํฯ พฺยญฺชนสมฺปตฺติยา, สีลาทิอนวชฺชธมฺมนิเทฺทสโต จ ธมฺมชาลํฯ เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมภูตานํ มคฺคผลนิพฺพานานํ วิภตฺตตฺตา พฺรหฺมชาลํฯ ทิฎฺฐิวิเวจนมุเขน สุญฺญตาปกาสเนน สมฺมาทิฎฺฐิยา วิภาวิตตฺตา ทิฎฺฐิชาลํฯ ติตฺถิยวาทนิมฺมทฺทนูปายตฺตา อนุตฺตโร สงฺคามวิชโยติ เอวเมฺปตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    148.Dhammapariyāyeti pāḷiyaṃ. Idhatthoti diṭṭhadhammahitaṃ. Paratthoti samparāyahitaṃ. Saṅgāmaṃ vijināti etenāti saṅgāmavijayo. Atthasampattiyā atthajālaṃ. Byañjanasampattiyā, sīlādianavajjadhammaniddesato ca dhammajālaṃ. Seṭṭhaṭṭhena brahmabhūtānaṃ maggaphalanibbānānaṃ vibhattattā brahmajālaṃ. Diṭṭhivivecanamukhena suññatāpakāsanena sammādiṭṭhiyā vibhāvitattā diṭṭhijālaṃ. Titthiyavādanimmaddanūpāyattā anuttaro saṅgāmavijayoti evampettha yojanā veditabbā.

    ๑๔๙. อตฺตมนาติ ปีติยา คหิตจิตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘พุทฺธคตายา’’ติอาทิฯ ยถา ปน อนตฺตมนา อตฺตโน อนตฺถจรตาย ปรมนา เวริมนา นาม โหนฺติฯ ยถาห ‘‘ทิโส ทิส’’นฺติ (ธ. ป. ๔๒; อุทา. ๓๓) คาถา, น เอวํ อตฺตมนาฯ อิเม ปน อตฺตโน อตฺถจรตาย สกมนา โหนฺตีติ อาห ‘‘อตฺตมนาติ สกมนา’’ติฯ อถ วา อตฺตมนาติ สมตฺตมนา, อิมาย เทสนาย ปริปุณฺณมนสงฺกปฺปาติ อโตฺถฯ อภินนฺทตีติ ตณฺหายตีติ อโตฺถติ อาห ‘‘ตณฺหายมฺปิ อาคโต’’ติฯ อเนกตฺถตฺตา ธาตูนํ อภินนฺทนฺตีติ อุปคจฺฉนฺติ เสวนฺตีติ อโตฺถติ อาห ‘‘อุปคมเนปิ อาคโต’’ติฯ ตถา อภินนฺทนฺตีติ สมฺปฎิจฺฉนฺตีติ อโตฺถติ อาห ‘‘สมฺปฎิจฺฉเนปิ อาคโต’’ติฯ ‘‘อภินนฺทิตฺวา’’ติ อิมินา ปเทน วุโตฺตเยว อโตฺถ ‘‘อนุโมทิตฺวา’’ติ อิมินา ปกาสียตีติ อภินนฺทนสโทฺท อิธ อนุโมทนสทฺทโตฺถติ อาห ‘‘อนุโมทเนปิ อาคโต’’ติฯ ‘‘กตมญฺจ ตํ ภิกฺขเว’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๗) ตตฺถ ตตฺถ ปวตฺตาย กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาย วิสฺสชฺชนวเสน ปวตฺตตฺตา อิทํ สุตฺตํ เวยฺยากรณํ โหติฯ ยสฺมา ปน ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนวเสน ปวตฺตมฺปิ สคาถกํ สุตฺตํ เคยฺยํ นาม โหติ, นิคฺคาถกตฺตเมว ปน องฺคนฺติ คาถารหิตํ เวยฺยากรณํ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘นิคฺคาถกตฺตา หิ อิทํ เวยฺยากรณนฺติ วุตฺต’’นฺติฯ

    149.Attamanāti pītiyā gahitacittā. Tenevāha ‘‘buddhagatāyā’’tiādi. Yathā pana anattamanā attano anatthacaratāya paramanā verimanā nāma honti. Yathāha ‘‘diso disa’’nti (dha. pa. 42; udā. 33) gāthā, na evaṃ attamanā. Ime pana attano atthacaratāya sakamanā hontīti āha ‘‘attamanāti sakamanā’’ti. Atha vā attamanāti samattamanā, imāya desanāya paripuṇṇamanasaṅkappāti attho. Abhinandatīti taṇhāyatīti atthoti āha ‘‘taṇhāyampi āgato’’ti. Anekatthattā dhātūnaṃ abhinandantīti upagacchanti sevantīti atthoti āha ‘‘upagamanepi āgato’’ti. Tathā abhinandantīti sampaṭicchantīti atthoti āha ‘‘sampaṭicchanepi āgato’’ti. ‘‘Abhinanditvā’’ti iminā padena vuttoyeva attho ‘‘anumoditvā’’ti iminā pakāsīyatīti abhinandanasaddo idha anumodanasaddatthoti āha ‘‘anumodanepi āgato’’ti. ‘‘Katamañca taṃ bhikkhave’’tiādinā (dī. ni. 1.7) tattha tattha pavattāya kathetukamyatāpucchāya vissajjanavasena pavattattā idaṃ suttaṃ veyyākaraṇaṃ hoti. Yasmā pana pucchāvissajjanavasena pavattampi sagāthakaṃ suttaṃ geyyaṃ nāma hoti, niggāthakattameva pana aṅganti gāthārahitaṃ veyyākaraṇaṃ, tasmā vuttaṃ ‘‘niggāthakattā hi idaṃ veyyākaraṇanti vutta’’nti.

    อปเรสุปีติ เอตฺถ ปิสเทฺทน ปารมิปริจยมฺปิ สงฺคณฺหาติฯ วุตฺตญฺหิ พุทฺธวํเส –

    Aparesupīti ettha pisaddena pāramiparicayampi saṅgaṇhāti. Vuttañhi buddhavaṃse –

    ‘‘อิเม ธเมฺม สมฺมสโต, สภาวสรสลกฺขเณ;

    ‘‘Ime dhamme sammasato, sabhāvasarasalakkhaṇe;

    ธมฺมเตเชน วสุธา, ทสสหสฺสี ปกมฺปถา’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๑๖๖);

    Dhammatejena vasudhā, dasasahassī pakampathā’’ti. (bu. vaṃ. 2.166);

    วีริยพเลนาติ มหาภินิกฺขมเน จกฺกวตฺติสิริปริจฺจาคเหตุภูตวีริยปฺปภาเวน, โพธิมณฺฑูปสงฺกมเน ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ, อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตู’’ติอาทินา (ม. นิ. ๒.๑๘๔; สํ. นิ. ๒.๒๒; มหานิ. ๑๙๖) วุตฺตจตุรงฺคสมนฺนาคตวีริยานุภาเวนฯ อจฺฉริยเวคาภิหตาติ วิมฺหยาวหกิริยานุภาวฆฎฺฎิตา ฯ ปํสุกูลโธวเน เกจิ ‘‘ปุญฺญเตเชนา’’ติ วทนฺติ , อจฺฉริยเวคาภิหตาติ ยุตฺตํ วิย ทิสฺสติ, เวสฺสนฺตรชาตเก ปารมิปริปูรณปุญฺญเตเชน อเนกกฺขตฺตุํ กมฺปิตตฺตา ‘‘อกาลกมฺปเนนา’’ติ วุตฺตํฯ สาธุการทานวเสน อกมฺปิตฺถ ยถา ตํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓; ปฎิ. ม. ๒.๓๐)ฯ สงฺคีติกาลาทีสุปิ สาธุการทานวเสน อกมฺปิตฺถาติ เวทิตพฺพํฯ อยํ ตาเวตฺถ อฎฺฐกถาย ลีนตฺถวณฺณนาฯ

    Vīriyabalenāti mahābhinikkhamane cakkavattisiripariccāgahetubhūtavīriyappabhāvena, bodhimaṇḍūpasaṅkamane ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru ca, aṭṭhi ca avasissatū’’tiādinā (ma. ni. 2.184; saṃ. ni. 2.22; mahāni. 196) vuttacaturaṅgasamannāgatavīriyānubhāvena. Acchariyavegābhihatāti vimhayāvahakiriyānubhāvaghaṭṭitā . Paṃsukūladhovane keci ‘‘puññatejenā’’ti vadanti , acchariyavegābhihatāti yuttaṃ viya dissati, vessantarajātake pāramiparipūraṇapuññatejena anekakkhattuṃ kampitattā ‘‘akālakampanenā’’ti vuttaṃ. Sādhukāradānavasena akampittha yathā taṃ dhammacakkappavattane (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13; paṭi. ma. 2.30). Saṅgītikālādīsupi sādhukāradānavasena akampitthāti veditabbaṃ. Ayaṃ tāvettha aṭṭhakathāya līnatthavaṇṇanā.

    ปกรณนยวณฺณนา

    Pakaraṇanayavaṇṇanā

    อยํ ปน ปกรณนเยน ปาฬิยา อตฺถวณฺณนา – สา ปนายํ อตฺถวณฺณนา ยสฺมา เทสนาย สมุฎฺฐานปฺปโยชนภาชเนสุ ปิณฺฑเตฺถสุ จ นิทฺธาริเตสุ สุกรา โหติ สุวิเญฺญยฺยา จ, ตสฺมา สุตฺตเทสนาย สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมํ นิทฺธารยิสฺสามฯ ตตฺถ สมุฎฺฐานํ ตาว วุตฺตํ ‘‘วณฺณาวณฺณภณน’’นฺติฯ อปิจ นินฺทาปสํสาสุ วิเนยฺยาฆาตานนฺทาทิภาวานาปตฺติ, ตตฺถ จ อาทีนวทสฺสนํ สมุฎฺฐานํฯ ตถา นินฺทาปสํสาสุ ปฎิปชฺชนกฺกมสฺส, ปสํสาวิสยสฺส ขุทฺทกาทิวเสน อเนกวิธสฺส สีลสฺส, สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส สสฺสตาทิทิฎฺฐิฎฺฐาเนสุ ตตุตฺตริ จ อปฺปฎิหตจารตาย, ตถาคตสฺส จ กตฺถจิ อปริยาปนฺนตาย อนวโพโธ สมุฎฺฐานํฯ

    Ayaṃ pana pakaraṇanayena pāḷiyā atthavaṇṇanā – sā panāyaṃ atthavaṇṇanā yasmā desanāya samuṭṭhānappayojanabhājanesu piṇḍatthesu ca niddhāritesu sukarā hoti suviññeyyā ca, tasmā suttadesanāya samuṭṭhānādīni paṭhamaṃ niddhārayissāma. Tattha samuṭṭhānaṃ tāva vuttaṃ ‘‘vaṇṇāvaṇṇabhaṇana’’nti. Apica nindāpasaṃsāsu vineyyāghātānandādibhāvānāpatti, tattha ca ādīnavadassanaṃ samuṭṭhānaṃ. Tathā nindāpasaṃsāsu paṭipajjanakkamassa, pasaṃsāvisayassa khuddakādivasena anekavidhassa sīlassa, sabbaññutaññāṇassa sassatādidiṭṭhiṭṭhānesu tatuttari ca appaṭihatacāratāya, tathāgatassa ca katthaci apariyāpannatāya anavabodho samuṭṭhānaṃ.

    วุตฺตวิปริยาเยน ปโยชนํ เวทิตพฺพํฯ วิเนยฺยาฆาตานนฺทาทิภาวาปตฺติ อาทิกญฺหิ อิมํ เทสนํ ปโยเชตีติฯ ตถา กุหนลปนาทินานาวิธมิจฺฉาชีววิทฺธํสนํ, ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิชาลวินิเวฐนํ, ทิฎฺฐิสีเสน ปจฺจยาการวิภาวนํ, ฉผสฺสายตนวเสน จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานนิเทฺทโส, สพฺพทิฎฺฐิคตานํ อนวเสสปริยาทานํ, อตฺตโน อนุปาทาปรินิพฺพานทีปนญฺจ ปโยชนานิฯ

    Vuttavipariyāyena payojanaṃ veditabbaṃ. Vineyyāghātānandādibhāvāpatti ādikañhi imaṃ desanaṃ payojetīti. Tathā kuhanalapanādinānāvidhamicchājīvaviddhaṃsanaṃ, dvāsaṭṭhidiṭṭhijālaviniveṭhanaṃ, diṭṭhisīsena paccayākāravibhāvanaṃ, chaphassāyatanavasena catusaccakammaṭṭhānaniddeso, sabbadiṭṭhigatānaṃ anavasesapariyādānaṃ, attano anupādāparinibbānadīpanañca payojanāni.

    วณฺณาวณฺณนิมิตฺตํ อนุโรธวิโรธวนฺตจิตฺตา กุหนาทิวิวิธมิจฺฉาชีวนิรตา สสฺสตาทิทิฎฺฐิปงฺกํ นิมุคฺคา, สีลกฺขนฺธาทีสุ อปริปูรการิตาย อนวพุทฺธคุณวิเสสญาณา วิเนยฺยา อิมิสฺสา ธมฺมเทสนาย ภาชนํฯ

    Vaṇṇāvaṇṇanimittaṃ anurodhavirodhavantacittā kuhanādivividhamicchājīvaniratā sassatādidiṭṭhipaṅkaṃ nimuggā, sīlakkhandhādīsu aparipūrakāritāya anavabuddhaguṇavisesañāṇā vineyyā imissā dhammadesanāya bhājanaṃ.

    ปิณฺฑตฺถา ปน อาฆาตาทีนํ อกรณียตาวจเนน ปฎิญฺญานุรูปํ สมณสญฺญาย นิโยชนํ, ขนฺติโสรจฺจานุฎฺฐานํ, พฺรหฺมวิหารภาวนานุโยโค, สทฺธาปญฺญาสมาโยโค, สติสมฺปชญฺญาธิฎฺฐานํ, ปฎิสงฺขานภาวนาพลสิทฺธิ, ปริยุฎฺฐานานุสยปฺปหานํ, อุภยหิตปฎิปตฺติ, โลกธเมฺมหิ อนุปเลโป จ ทสฺสิตา โหนฺติฯ ตถา ปาณาติปาตาทีหิ ปฎิวิรติวจเนน สีลวิสุทฺธิ ทสฺสิตา, ตาย จ หิโรตฺตปฺปสมฺปตฺติ, เมตฺตากรุณาสมงฺคิตา , วีติกฺกมปฺปหานํ, ตทงฺคปหานํ, ทุจฺจริตสํกิเลสปฺปหานํ, วิรติตฺตยสิทฺธิ, ปิยมนาปครุภาวนียตานิปฺผตฺติ, ลาภสกฺการสิโลกสมุทาคโม, สมถวิปสฺสนานํ อธิฎฺฐานภาโว, อกุสลมูลตนุกรณํ, กุสลมูลโรปนํ, อุภยานตฺถทูรีกรณํ, ปริสาสุ วิสารทตา, อปฺปมาทวิหาโร,ปเรหิ ทุปฺปธํสิยตา, อวิปฺปฎิสาราทิสมงฺคิตา จ ทสฺสิตา โหนฺติฯ

    Piṇḍatthā pana āghātādīnaṃ akaraṇīyatāvacanena paṭiññānurūpaṃ samaṇasaññāya niyojanaṃ, khantisoraccānuṭṭhānaṃ, brahmavihārabhāvanānuyogo, saddhāpaññāsamāyogo, satisampajaññādhiṭṭhānaṃ, paṭisaṅkhānabhāvanābalasiddhi, pariyuṭṭhānānusayappahānaṃ, ubhayahitapaṭipatti, lokadhammehi anupalepo ca dassitā honti. Tathā pāṇātipātādīhi paṭivirativacanena sīlavisuddhi dassitā, tāya ca hirottappasampatti, mettākaruṇāsamaṅgitā , vītikkamappahānaṃ, tadaṅgapahānaṃ, duccaritasaṃkilesappahānaṃ, viratittayasiddhi, piyamanāpagarubhāvanīyatānipphatti, lābhasakkārasilokasamudāgamo, samathavipassanānaṃ adhiṭṭhānabhāvo, akusalamūlatanukaraṇaṃ, kusalamūlaropanaṃ, ubhayānatthadūrīkaraṇaṃ, parisāsu visāradatā, appamādavihāro,parehi duppadhaṃsiyatā, avippaṭisārādisamaṅgitā ca dassitā honti.

    ‘‘คมฺภีรา’’ติอาทิวจเนหิ คมฺภีรธมฺมวิภาวนํ, อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐตา, กปฺปานํ อสเงฺขฺยเยฺยนาปิ ทุลฺลภปาตุภาวตา, สุขุเมนปิ ญาเณน ปจฺจกฺขโต ปฎิวิชฺฌิตุํ อสกฺกุเณยฺยตา, ธมฺมนฺวยสงฺขาเตน อนุมานญาเณนาปิ ทุรธิคมนียตา, ปสฺสทฺธสพฺพทรถตา, สนฺตธมฺมวิภาวนํ, โสภนปริโยสานตา, อติตฺติกรภาโว, ปธานภาวปฺปตฺติ, ยถาภูตญาณโคจรตา, สุขุมสภาวตา, มหาปญฺญาวิภาวนา จ ทสฺสิตา โหนฺติฯ ทิฎฺฐิทีปกปเทหิ สมาสโต สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิโย ปกาสิตาติ โอลีนตาติธาวนวิภาวนํ, อุปายวินิพทฺธนิเทฺทโส, มิจฺฉาภินิเวสกิตฺตนํ, กุมฺมคฺคปฎิปตฺติยา ปกาสนา, วิปริเยสคฺคาหปญฺญาปนํ, ปรามาสปริคฺคโห, ปุพฺพนฺตาปรนฺตานุทิฎฺฐิปติฎฺฐาปนํ, ภววิภวทิฎฺฐิวิภาโค, ตณฺหาวิชฺชาปวตฺติ, อนฺตวานนฺตวาทิฎฺฐินิเทฺทโส, อนฺตทฺวยาวตารณํ, อาสโวฆโยคกิเลสคนฺถสํโยชนูปาทานวิเสสวิภชฺชนญฺจ ทสฺสิตานิ โหนฺติฯ ตถา ‘‘เวทนานํ สมุทย’’นฺติอาทิวจเนหิ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อนุโพธปฎิเวธสิทฺธิ, วิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทปฺปหานํ , ตณฺหาวิชฺชาวิคโม, สทฺธมฺมฎฺฐิตินิมิตฺตปริคฺคโห, อาคมาธิคมสมฺปตฺติ, อุภยหิตปฎิปตฺติ, ติวิธปญฺญาปริคฺคโห, สติสมฺปชญฺญานุฎฺฐานํ, สทฺธาปญฺญาสมาโยโค, สมฺมาวีริยสมถานุโยชนํ, สมถวิปสฺสนานิปฺผตฺติ จ ทสฺสิตา โหนฺติฯ

    ‘‘Gambhīrā’’tiādivacanehi gambhīradhammavibhāvanaṃ, alabbhaneyyapatiṭṭhatā, kappānaṃ asaṅkhyeyyenāpi dullabhapātubhāvatā, sukhumenapi ñāṇena paccakkhato paṭivijjhituṃ asakkuṇeyyatā, dhammanvayasaṅkhātena anumānañāṇenāpi duradhigamanīyatā, passaddhasabbadarathatā, santadhammavibhāvanaṃ, sobhanapariyosānatā, atittikarabhāvo, padhānabhāvappatti, yathābhūtañāṇagocaratā, sukhumasabhāvatā, mahāpaññāvibhāvanā ca dassitā honti. Diṭṭhidīpakapadehi samāsato sassatucchedadiṭṭhiyo pakāsitāti olīnatātidhāvanavibhāvanaṃ, upāyavinibaddhaniddeso, micchābhinivesakittanaṃ, kummaggapaṭipattiyā pakāsanā, vipariyesaggāhapaññāpanaṃ, parāmāsapariggaho, pubbantāparantānudiṭṭhipatiṭṭhāpanaṃ, bhavavibhavadiṭṭhivibhāgo, taṇhāvijjāpavatti, antavānantavādiṭṭhiniddeso, antadvayāvatāraṇaṃ, āsavoghayogakilesaganthasaṃyojanūpādānavisesavibhajjanañca dassitāni honti. Tathā ‘‘vedanānaṃ samudaya’’ntiādivacanehi catunnaṃ ariyasaccānaṃ anubodhapaṭivedhasiddhi, vikkhambhanasamucchedappahānaṃ , taṇhāvijjāvigamo, saddhammaṭṭhitinimittapariggaho, āgamādhigamasampatti, ubhayahitapaṭipatti, tividhapaññāpariggaho, satisampajaññānuṭṭhānaṃ, saddhāpaññāsamāyogo, sammāvīriyasamathānuyojanaṃ, samathavipassanānipphatti ca dassitā honti.

    ‘‘อชานตํ อปสฺสต’’นฺติ อวิชฺชาสิทฺธิ, ‘‘ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิตนฺติ ตณฺหาสิทฺธิ, ตทุภเยน จ นีวรณสํโยชนทฺวยสิทฺธิ, อนมตคฺคสํสารวฎฺฎานุเจฺฉโท, ปุพฺพนฺตาหรณอปรนฺตปฎิสนฺธานานิ, อตีตปจฺจุปฺปนฺนกาลวเสน เหตุวิภาโค, อวิชฺชาตณฺหานํ อญฺญมญฺญานติวตฺตนเฎฺฐน อญฺญมญฺญูปการิตา, ปญฺญาวิมุตฺติเจโตวิมุตฺตีนํ ปฎิปกฺขนิเทฺทโส จ ทสฺสิตา โหนฺติฯ ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา’’ติ สสฺสตาทิปญฺญาปนสฺส ปจฺจยาธีนวุตฺติตากถเนน ธมฺมานํ นิจฺจตาปฎิเสโธ, อนิจฺจตาปติฎฺฐาปนํ, ปรมตฺถโต การกาทิปฎิเกฺขโป, เอวํธมฺมตาทินิเทฺทโส, สุญฺญตาปกาสนํ, สมตฺตนิยามปจฺจยลกฺขณวิภาวนญฺจ ทสฺสิตานิ โหนฺติฯ

    ‘‘Ajānataṃ apassata’’nti avijjāsiddhi, ‘‘taṇhāgatānaṃ paritassitavipphanditanti taṇhāsiddhi, tadubhayena ca nīvaraṇasaṃyojanadvayasiddhi, anamataggasaṃsāravaṭṭānucchedo, pubbantāharaṇaaparantapaṭisandhānāni, atītapaccuppannakālavasena hetuvibhāgo, avijjātaṇhānaṃ aññamaññānativattanaṭṭhena aññamaññūpakāritā, paññāvimutticetovimuttīnaṃ paṭipakkhaniddeso ca dassitā honti. ‘‘Tadapi phassapaccayā’’ti sassatādipaññāpanassa paccayādhīnavuttitākathanena dhammānaṃ niccatāpaṭisedho, aniccatāpatiṭṭhāpanaṃ, paramatthato kārakādipaṭikkhepo, evaṃdhammatādiniddeso, suññatāpakāsanaṃ, samattaniyāmapaccayalakkhaṇavibhāvanañca dassitāni honti.

    ‘‘อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโก’’ติอาทินา ภควโต ปหานสมฺปตฺติ, วิชฺชาธิมุตฺติ, วสีภาโว, สิกฺขตฺตยนิปฺผตฺติ, นิพฺพานธาตุทฺวยวิภาโค, จตุรธิฎฺฐานปริปูรณํ, ภวโยนิอาทีสุ อปริยาปนฺนตา จ ทสฺสิตา โหนฺติฯ สกเลน ปน สุตฺตปเทน อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ ภควโต ตาทิภาโว, ตตฺถ จ ปเรสํ ปติฎฺฐาปนํ, กุสลธมฺมานํ อาทิภูตธมฺมทฺวยสฺส นิเทฺทโส, สิกฺขตฺตยูปเทโส, อตฺตนฺตปาทิปุคฺคลจตุกฺกสิทฺธิ, กณฺหากณฺหวิปากาทิกมฺมจตุกฺกวิภาโค, จตุรปฺปมญฺญาวิสยนิเทฺทโส, สมุทยาทิปญฺจกสฺส ยถาภูตาวโพโธ, ฉสารณียธมฺมวิภาวนา , ทสนาถกรธมฺมปติฎฺฐาปนฺติ เอวมาทโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ

    ‘‘Ucchinnabhavanettiko’’tiādinā bhagavato pahānasampatti, vijjādhimutti, vasībhāvo, sikkhattayanipphatti, nibbānadhātudvayavibhāgo, caturadhiṭṭhānaparipūraṇaṃ, bhavayoniādīsu apariyāpannatā ca dassitā honti. Sakalena pana suttapadena iṭṭhāniṭṭhesu bhagavato tādibhāvo, tattha ca paresaṃ patiṭṭhāpanaṃ, kusaladhammānaṃ ādibhūtadhammadvayassa niddeso, sikkhattayūpadeso, attantapādipuggalacatukkasiddhi, kaṇhākaṇhavipākādikammacatukkavibhāgo, caturappamaññāvisayaniddeso, samudayādipañcakassa yathābhūtāvabodho, chasāraṇīyadhammavibhāvanā , dasanāthakaradhammapatiṭṭhāpanti evamādayo niddhāretabbā.

    โสฬสหารวณฺณนา

    Soḷasahāravaṇṇanā

    เทสนาหารวณฺณนา

    Desanāhāravaṇṇanā

    ตตฺถ ‘‘อตฺตา, โลโก’’ติ จ ทิฎฺฐิยา อธิฎฺฐานภาเวน, เวทนาผสฺสายตนาทิมุเขน จ คหิเตสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ ตณฺหาวชฺชา ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจํฯ ตณฺหา สมุทยสจฺจํฯ สา ปน ปริตสฺสนาคฺคหเณน ‘‘ตณฺหาคตาน’’นฺติ, ‘‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหา’’ติ จ สรูเปเนว สมุทยคฺคหเณน, ภวเนตฺติคฺคหเณน จ ปาฬิยํ คหิตาวฯ อยํ ตาว สุตฺตนฺตนโยฯ อภิธมฺมนเยน ปน อาฆาตานนฺทาทิวจเนหิ, อาตปฺปาทิปเทหิ, จิตฺตปฺปโทสวจเนน, สพฺพทิฎฺฐิทีปกปเทหิ, กุสลากุสลคฺคหเณน, ภวคฺคหเณน, โสกาทิคฺคหเณน, ตตฺถ ตตฺถ สมุทยคฺคหเณน จาติ สเงฺขปโต สพฺพโลกิยกุสลากุสลธมฺมวิภาวนปเทหิ คหิตา กมฺมกิเลสา สมุทยสจฺจํฯ อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํฯ ตสฺส ตตฺถ ตตฺถ เวทนานํ อตฺถงฺคมนิสฺสรณปริยาเยหิ, ปจฺจตฺตํ นิพฺพุติวจเนน, อนุปาทาวิมุตฺติวจเนน จ ปาฬิยํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ นิโรธปชานนา ปฎิปทา มคฺคสจฺจํฯ ตสฺสาปิ ตตฺถ ตตฺถ เวทนานํ สมุทยาทิยถาภูตเวทนาปเทเสน, ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ สมุทยาทิยถาภูตปชานนปริยาเยน, ภวเนตฺติยา อุเจฺฉทปริยาเยน จ คหณํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ สมุทเยน อสฺสาโท, ทุเกฺขน อาทีนโว, มคฺคนิโรเธหิ นิสฺสรณนฺติ เอวํ จตุสจฺจวเสน, ยานิ ปาฬิยํ (เนตฺติ. ๙) สรูเปเนว อาคตานิ อสฺสาทาทีนวนิสฺสรณานิ, เตสญฺจ วเสน อิธ อสฺสาทาทโย เวทิตพฺพาฯ วิเนยฺยานนฺตาทิภาวาปตฺติอาทิกํ ยถาวุตฺตวิภาคํ ปโยชนเมว ผลํฯ อาฆาตาทีนํ อกรณียตา, อาฆาตาทิผลสฺส จ อนญฺญสนฺตานภาวิตา, นินฺทาปสํสาสุ ยถาสภาวปฎิชานนนิเพฺพฐนาติ เอวํ ตํตํปโยชนาธิคมเหตุ อุปาโยฯ อาฆาตาทีนํ กรณปฎิเสธนาทิอปเทเสน ธมฺมราชสฺส อาณตฺติ เวทิตพฺพาติ อยํ เทสนาหาโรฯ

    Tattha ‘‘attā, loko’’ti ca diṭṭhiyā adhiṭṭhānabhāvena, vedanāphassāyatanādimukhena ca gahitesu pañcasu upādānakkhandhesu taṇhāvajjā pañcupādānakkhandhā dukkhasaccaṃ. Taṇhā samudayasaccaṃ. Sā pana paritassanāggahaṇena ‘‘taṇhāgatāna’’nti, ‘‘vedanāpaccayā taṇhā’’ti ca sarūpeneva samudayaggahaṇena, bhavanettiggahaṇena ca pāḷiyaṃ gahitāva. Ayaṃ tāva suttantanayo. Abhidhammanayena pana āghātānandādivacanehi, ātappādipadehi, cittappadosavacanena, sabbadiṭṭhidīpakapadehi, kusalākusalaggahaṇena, bhavaggahaṇena, sokādiggahaṇena, tattha tattha samudayaggahaṇena cāti saṅkhepato sabbalokiyakusalākusaladhammavibhāvanapadehi gahitā kammakilesā samudayasaccaṃ. Ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ. Tassa tattha tattha vedanānaṃ atthaṅgamanissaraṇapariyāyehi, paccattaṃ nibbutivacanena, anupādāvimuttivacanena ca pāḷiyaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Nirodhapajānanā paṭipadā maggasaccaṃ. Tassāpi tattha tattha vedanānaṃ samudayādiyathābhūtavedanāpadesena, channaṃ phassāyatanānaṃ samudayādiyathābhūtapajānanapariyāyena, bhavanettiyā ucchedapariyāyena ca gahaṇaṃ veditabbaṃ. Tattha samudayena assādo, dukkhena ādīnavo, magganirodhehi nissaraṇanti evaṃ catusaccavasena, yāni pāḷiyaṃ (netti. 9) sarūpeneva āgatāni assādādīnavanissaraṇāni, tesañca vasena idha assādādayo veditabbā. Vineyyānantādibhāvāpattiādikaṃ yathāvuttavibhāgaṃ payojanameva phalaṃ. Āghātādīnaṃ akaraṇīyatā, āghātādiphalassa ca anaññasantānabhāvitā, nindāpasaṃsāsu yathāsabhāvapaṭijānananibbeṭhanāti evaṃ taṃtaṃpayojanādhigamahetu upāyo. Āghātādīnaṃ karaṇapaṭisedhanādiapadesena dhammarājassa āṇatti veditabbāti ayaṃ desanāhāro.

    วิจยหารวณฺณนา

    Vicayahāravaṇṇanā

    กปฺปนาภาเวปิ โวหารวเสน, อนุวาทวเสน จ ‘‘มม’’นฺติ วุตฺตํ, นิยมาภาวโต วิกปฺปนตฺถํ วาคฺคหณํ กตํ, คุณสมงฺคิตาย, อภิมุขีกรณาย จ ‘‘ภิกฺขเว’’ติ อามนฺตนํฯ อญฺญภาวโต, ปฎิวิรุทฺธภาวโต จ ‘‘ปเร’’ติ วุตฺตํ, วณฺณปฎิปกฺขโต, อวณฺณนียโต จ ‘‘อวณฺณ’’นฺติ วุตฺตํฯ พฺยตฺติวเสน, วิตฺถารวเสน จ ‘‘ภาเสยฺยุ’’นฺติ วุตฺตํ, ธารณภาวโต, อธมฺมปฎิปกฺขโต จ ‘‘ธมฺมสฺสา’’ติ วุตฺตํ, ทิฎฺฐิสีเลหิ สํหตภาวโต, กิเลสานํ สงฺฆาตกรณโต จ ‘‘สงฺฆสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ วุตฺตปฎินิเทฺทสโต, วจนุปนฺยาสนโต จ ‘‘ตตฺรา’’ติ วุตฺตํ, สมฺมุขภาวโต, ปุถุภาวโต จ ‘‘ตุเมฺหหี’’ติ วุตฺตํฯ จิตฺตสฺส หนนโต, อารมฺมณาภิฆาตโต จ ‘‘อาฆาโต’’ติ วุตฺตํ, อารมฺมเณ สโงฺกจวุตฺติยา, อตุฎฺฐาการตาย จ ‘‘อปฺปจฺจโย’’ติ วุตฺตํ, อารมฺมณจินฺตนโต, นิสฺสยโต จ ‘‘เจตโส’’ติ วุตฺตํ, อตฺถาสาธนโต, อนุ อนุ ‘‘อนตฺถสาธนโต’’ จ ‘‘อนภิรทฺธี’’ติ วุตฺตํ, การณานรหตฺตา, สตฺถุสาสเน ฐิเตหิ กาตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา จ ‘‘น กรณียา’’ติ วุตฺตนฺติฯ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ วินิจฺฉโย กาตโพฺพฯ อิติ อนุปทวิจยโต วิจโย หาโร อติวิตฺถารภเยน, สกฺกา จ อฎฺฐกถํ ตสฺสา ลีนตฺถวณฺณนญฺจ อนุคนฺตฺวา อยมโตฺถ วิญฺญุนา วิภาเวตุนฺติ น วิตฺถารยิมฺหฯ

    Kappanābhāvepi vohāravasena, anuvādavasena ca ‘‘mama’’nti vuttaṃ, niyamābhāvato vikappanatthaṃ vāggahaṇaṃ kataṃ, guṇasamaṅgitāya, abhimukhīkaraṇāya ca ‘‘bhikkhave’’ti āmantanaṃ. Aññabhāvato, paṭiviruddhabhāvato ca ‘‘pare’’ti vuttaṃ, vaṇṇapaṭipakkhato, avaṇṇanīyato ca ‘‘avaṇṇa’’nti vuttaṃ. Byattivasena, vitthāravasena ca ‘‘bhāseyyu’’nti vuttaṃ, dhāraṇabhāvato, adhammapaṭipakkhato ca ‘‘dhammassā’’ti vuttaṃ, diṭṭhisīlehi saṃhatabhāvato, kilesānaṃ saṅghātakaraṇato ca ‘‘saṅghassā’’ti vuttaṃ. Vuttapaṭiniddesato, vacanupanyāsanato ca ‘‘tatrā’’ti vuttaṃ, sammukhabhāvato, puthubhāvato ca ‘‘tumhehī’’ti vuttaṃ. Cittassa hananato, ārammaṇābhighātato ca ‘‘āghāto’’ti vuttaṃ, ārammaṇe saṅkocavuttiyā, atuṭṭhākāratāya ca ‘‘appaccayo’’ti vuttaṃ, ārammaṇacintanato, nissayato ca ‘‘cetaso’’ti vuttaṃ, atthāsādhanato, anu anu ‘‘anatthasādhanato’’ ca ‘‘anabhiraddhī’’ti vuttaṃ, kāraṇānarahattā, satthusāsane ṭhitehi kātuṃ asakkuṇeyyattā ca ‘‘na karaṇīyā’’ti vuttanti. Iminā nayena sabbapadesu vinicchayo kātabbo. Iti anupadavicayato vicayo hāro ativitthārabhayena, sakkā ca aṭṭhakathaṃ tassā līnatthavaṇṇanañca anugantvā ayamattho viññunā vibhāvetunti na vitthārayimha.

    ยุตฺติหารวณฺณนา

    Yuttihāravaṇṇanā

    สเพฺพน สพฺพํ อาฆาตาทีนํ อกรณํ ตาทิภาวาย สํวตฺตตีติ ยุชฺชติ อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ สมปฺปวตฺติสพฺภาวโตฯ ยสฺมิํ สนฺตาเน อาฆาตาทโย อุปฺปนฺนา, ตนฺนิมิตฺตโก อนฺตราโย ตเสฺสว สมฺปตฺติวิพนฺธาย สํวตฺตตีติ ยุชฺชติฯ กสฺมา? สนฺตานนฺตเรสุ อสงฺกมนโตฯ จิตฺตํ อภิภวิตฺวา อุปฺปนฺนา อาฆาตาทโย สุภาสิตาทิสลฺลกฺขเณปิ อสมตฺถตาย สํวตฺตนฺตีติ ยุชฺชติ สโกธโลภานํ อนฺธตมสพฺภาวโตฯ ปาณาติปาตาทิทุสฺสีลฺยโต เวรมณิ สพฺพสตฺตานํ ปาโมชฺชปาสํสภาวาย สํวตฺตตีติ ยุชฺชติฯ สีลสมฺปตฺติยา หิ มหโต กิตฺติสทฺทสฺส อพฺภุคฺคโม โหตีติฯ คมฺภีรตาทิวิเสสยุเตฺตน คุเณน ตถาคตสฺส วณฺณนา เอกเทสภูตาปิ สกลสพฺพญฺญุคุณคฺคหณาย สํวตฺตตีติ ยุชฺชติ อนญฺญสาธารณตฺตาฯ ตชฺชาอโยนิโสมนสิการปริกฺขตานิ อธิคมตกฺกนานิ สสฺสตวาทาทิอภินิเวสาย สํวตฺตนฺตีติ ยุชฺชติ กปฺปนาชาลสฺส อสมุคฺฆาฎิตตฺตาฯ เวทนาทีนวานวโพเธน เวทนาย ตณฺหา ปวฑฺฒตีติ ยุชฺชติ อสฺสาทานุปสฺสนาสพฺภาวโตฯ สติ จ เวทยิตราเค ตตฺถ อตฺตตฺตนิยคาโห, สสฺสตาทิคาโห จ วิปริผนฺทตีติ ยุชฺชติ การณสฺส สนฺนิหิตตฺตาฯ ตณฺหาปจฺจยา หิ อุปาทานํ สสฺสตาทิวาเท ปญฺญเปนฺตานํ , ตทนุจฺฉวิกํ วา เวทนํ เวทยนฺตานํ ผโสฺส เหตูติ ยุชฺชติ วิสยินฺทฺริยวิญฺญาณสงฺคติยา วินา ตทภาวโตฯ ฉผสฺสายตนนิมิตฺตวฎฺฎสฺส อนุปเจฺฉโทติ ยุชฺชติ ตตฺถ อวิชฺชาตณฺหานํ อปฺปหีนตฺตาฯ ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ สมุทยาทิปชานนา สพฺพทิฎฺฐิคติกสญฺญํ อติจฺจ ติฎฺฐตีติ ยุชฺชติ จตุสจฺจปฎิเวธภาวโตฯ อิมาเหว ทฺวาสฎฺฐิยา ทิฎฺฐีหิ สพฺพทิฎฺฐิคตานํ อโนฺตชาลีกตภาโวติ ยุชฺชติ อกิริยวาทาทีนํ อิสฺสรวาทาทีนญฺจ ตทโนฺตคธตฺตาฯ ตถา เจว สํวณฺณิตํฯ อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโก ตถาคตสฺส กาโยติ ยุชฺชติ, ยสฺมา ภควา อภินีหารสมฺปตฺติยา จตูสุ สติปฎฺฐาเนสุ ปติฎฺฐิตจิโตฺต สตฺตโพชฺฌเงฺคเยว ยถาภูตํ ภาเวสิฯ กายสฺส เภทา ปรินิพฺพุตํ น ทกฺขนฺตีติ ยุชฺชติ อนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติยํ รูปาทีสุ กสฺสจิปิ อนวเสสโตติ อยํ ยุตฺติหาโรฯ

    Sabbena sabbaṃ āghātādīnaṃ akaraṇaṃ tādibhāvāya saṃvattatīti yujjati iṭṭhāniṭṭhesu samappavattisabbhāvato. Yasmiṃ santāne āghātādayo uppannā, tannimittako antarāyo tasseva sampattivibandhāya saṃvattatīti yujjati. Kasmā? Santānantaresu asaṅkamanato. Cittaṃ abhibhavitvā uppannā āghātādayo subhāsitādisallakkhaṇepi asamatthatāya saṃvattantīti yujjati sakodhalobhānaṃ andhatamasabbhāvato. Pāṇātipātādidussīlyato veramaṇi sabbasattānaṃ pāmojjapāsaṃsabhāvāya saṃvattatīti yujjati. Sīlasampattiyā hi mahato kittisaddassa abbhuggamo hotīti. Gambhīratādivisesayuttena guṇena tathāgatassa vaṇṇanā ekadesabhūtāpi sakalasabbaññuguṇaggahaṇāya saṃvattatīti yujjati anaññasādhāraṇattā. Tajjāayonisomanasikāraparikkhatāni adhigamatakkanāni sassatavādādiabhinivesāya saṃvattantīti yujjati kappanājālassa asamugghāṭitattā. Vedanādīnavānavabodhena vedanāya taṇhā pavaḍḍhatīti yujjati assādānupassanāsabbhāvato. Sati ca vedayitarāge tattha attattaniyagāho, sassatādigāho ca vipariphandatīti yujjati kāraṇassa sannihitattā. Taṇhāpaccayā hi upādānaṃ sassatādivāde paññapentānaṃ , tadanucchavikaṃ vā vedanaṃ vedayantānaṃ phasso hetūti yujjati visayindriyaviññāṇasaṅgatiyā vinā tadabhāvato. Chaphassāyatananimittavaṭṭassa anupacchedoti yujjati tattha avijjātaṇhānaṃ appahīnattā. Channaṃ phassāyatanānaṃ samudayādipajānanā sabbadiṭṭhigatikasaññaṃ aticca tiṭṭhatīti yujjati catusaccapaṭivedhabhāvato. Imāheva dvāsaṭṭhiyā diṭṭhīhi sabbadiṭṭhigatānaṃ antojālīkatabhāvoti yujjati akiriyavādādīnaṃ issaravādādīnañca tadantogadhattā. Tathā ceva saṃvaṇṇitaṃ. Ucchinnabhavanettiko tathāgatassa kāyoti yujjati, yasmā bhagavā abhinīhārasampattiyā catūsu satipaṭṭhānesu patiṭṭhitacitto sattabojjhaṅgeyeva yathābhūtaṃ bhāvesi. Kāyassa bhedā parinibbutaṃ na dakkhantīti yujjati anupādisesanibbānappattiyaṃ rūpādīsu kassacipi anavasesatoti ayaṃ yuttihāro.

    ปทฎฺฐานหารวณฺณนา

    Padaṭṭhānahāravaṇṇanā

    อวณฺณารหอวณฺณานุรูปสมฺปตฺตานาเทยฺยวจนตาทิวิปตฺตีนํ ปทฎฺฐานํฯ วณฺณารหวณฺณานุรูสมฺปตฺตสเทฺธยฺยวจนตาทิสมฺปตฺตีนํ ปทฎฺฐานํฯ ตถา อาฆาตาทโย นิรยาทิทุกฺขสฺส ปทฎฺฐานํฯ อาฆาตาทีนํ อกรณํ สคฺคสมฺปตฺติอาทิสพฺพสมฺปตฺตีนํ ปทฎฺฐานํฯ ปาณาติปาตาทีหิ ปฎิวิรติ อริยสฺส สีลกฺขนฺธสฺส ปทฎฺฐานํฯ อริโย สีลกฺขโนฺธ อริยสฺส สมาธิกฺขนฺธสฺส ปทฎฺฐานํฯ อริโย สมาธิกฺขโนฺธ อริยสฺส ปญฺญากฺขนฺธสฺส ปทฎฺฐานํฯ คมฺภีรตาทิวิเสสยุตฺตํ ภควโต ปฎิเวธปฺปการญาณํ เทสนาญาณสฺส ปทฎฺฐานํฯ เทสนาญาณํ วิเนยฺยานํ สกลวฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณสฺส ปทฎฺฐานํฯ สพฺพาปิ ทิฎฺฐิ ทิฎฺฐุปาทานฺติ สา ยถารหํ นววิธสฺสาปิ ภวสฺส ปทฎฺฐานํฯ ภโว ชาติยา, ชาติ ชรามรณสฺส, โสกาทีนญฺจ ปทฎฺฐานํฯ เวทนานํ สมุทยาทิยถาภูตเวทนํ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อนุโพธปฎิเวโธฯ ตตฺถ อนุโพโธ ปฎิเวธสฺส ปทฎฺฐานํ, ปฎิเวโธ จตุพฺพิธสฺส สามญฺญผลสฺส ปทฎฺฐานํฯ ‘‘อชานตํ อปสฺสต’’นฺติ อวิชฺชาคหณํ, ตตฺถ อวิชฺชา สงฺขารานํ ปทฎฺฐานฺติ ยาว เวทนา ตณฺหาย ปทฎฺฐานฺติ เนตพฺพํฯ ‘‘ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิต’’นฺติ เอตฺถ ตณฺหา อุปาทานสฺส ปทฎฺฐานํฯ ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา’’ติ เอตฺถ สสฺสตาทิปญฺญาปนํ ปเรสํ มิจฺฉาภินิเวสสฺส ปทฎฺฐานํ, มิจฺฉาภินิเวโส สทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปสฺสยโยนิโสมนสิการธมฺมานุธมฺมปฎิปตฺตีหิ วิมุขตาย, อสทฺธมฺมสฺสวนาทีนญฺจ ปทฎฺฐานํ, ‘‘อญฺญตฺร ผสฺสา’’ติอาทีสุ ผโสฺส เวทนาย ปทฎฺฐานํ, ฉ ผสฺสายตนานิ ผสฺสสฺส, สกลวฎฺฎทุกฺขสฺส จ ปทฎฺฐานํ, ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ สมุทยาทิยถาภูตปฺปชานนํ นิพฺพิทาย ปทฎฺฐานํ, นิพฺพิทา วิราคสฺสาติ ยาว อนุปาทาปรินิพฺพานํ เนตพฺพํฯ ภควโต ภวเนตฺติสมุเจฺฉโท สพฺพญฺญุตาย ปทฎฺฐานํฯ ตถา อนุปาทาปรินิพฺพานสฺสาติ อยํ ปทฎฺฐานหาโรฯ

    Avaṇṇārahaavaṇṇānurūpasampattānādeyyavacanatādivipattīnaṃ padaṭṭhānaṃ. Vaṇṇārahavaṇṇānurūsampattasaddheyyavacanatādisampattīnaṃ padaṭṭhānaṃ. Tathā āghātādayo nirayādidukkhassa padaṭṭhānaṃ. Āghātādīnaṃ akaraṇaṃ saggasampattiādisabbasampattīnaṃ padaṭṭhānaṃ. Pāṇātipātādīhi paṭivirati ariyassa sīlakkhandhassa padaṭṭhānaṃ. Ariyo sīlakkhandho ariyassa samādhikkhandhassa padaṭṭhānaṃ. Ariyo samādhikkhandho ariyassa paññākkhandhassa padaṭṭhānaṃ. Gambhīratādivisesayuttaṃ bhagavato paṭivedhappakārañāṇaṃ desanāñāṇassa padaṭṭhānaṃ. Desanāñāṇaṃ vineyyānaṃ sakalavaṭṭadukkhanissaraṇassa padaṭṭhānaṃ. Sabbāpi diṭṭhi diṭṭhupādānti sā yathārahaṃ navavidhassāpi bhavassa padaṭṭhānaṃ. Bhavo jātiyā, jāti jarāmaraṇassa, sokādīnañca padaṭṭhānaṃ. Vedanānaṃ samudayādiyathābhūtavedanaṃ catunnaṃ ariyasaccānaṃ anubodhapaṭivedho. Tattha anubodho paṭivedhassa padaṭṭhānaṃ, paṭivedho catubbidhassa sāmaññaphalassa padaṭṭhānaṃ. ‘‘Ajānataṃ apassata’’nti avijjāgahaṇaṃ, tattha avijjā saṅkhārānaṃ padaṭṭhānti yāva vedanā taṇhāya padaṭṭhānti netabbaṃ. ‘‘Taṇhāgatānaṃ paritassitavipphandita’’nti ettha taṇhā upādānassa padaṭṭhānaṃ. ‘‘Tadapi phassapaccayā’’ti ettha sassatādipaññāpanaṃ paresaṃ micchābhinivesassa padaṭṭhānaṃ, micchābhiniveso saddhammassavanasappurisūpassayayonisomanasikāradhammānudhammapaṭipattīhi vimukhatāya, asaddhammassavanādīnañca padaṭṭhānaṃ, ‘‘aññatra phassā’’tiādīsu phasso vedanāya padaṭṭhānaṃ, cha phassāyatanāni phassassa, sakalavaṭṭadukkhassa ca padaṭṭhānaṃ, channaṃ phassāyatanānaṃ samudayādiyathābhūtappajānanaṃ nibbidāya padaṭṭhānaṃ, nibbidā virāgassāti yāva anupādāparinibbānaṃ netabbaṃ. Bhagavato bhavanettisamucchedo sabbaññutāya padaṭṭhānaṃ. Tathā anupādāparinibbānassāti ayaṃ padaṭṭhānahāro.

    ลกฺขณหารวณฺณนา

    Lakkhaṇahāravaṇṇanā

    อาฆาตาทิคฺคหเณน โกธุปนาหมกฺขปลาสอิสฺสามจฺฉริยสารมฺภปรวมฺภนาทีนํ สงฺคโห ปฎิฆจิตฺตุปฺปาทปริยาปนฺนตาย เอกลกฺขณตฺตาฯ อานนฺทาทิคฺคหเณน อภิชฺฌาวิสมโลภมานาติมานมทปฺปมาทาทีนํ สงฺคโห โลภจิตฺตุปฺปาทปริยาปนฺนตาย สมานลกฺขณตฺตาฯ ตถา อาฆาตคฺคหเณน อวสิฎฺฐคนฺถนีวรณานํ สงฺคโห กายคนฺถนีวรณลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ อานนฺทคฺคหเณน ผสฺสาทีนํ สงฺคโห สงฺขารกฺขนฺธลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ สีลคฺคหเณน อธิจิตฺตอธิปญฺญาสิกฺขานมฺปิ สงฺคโห สิกฺขาลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ อิธ ปน สีลเสฺสว อินฺทฺริยสํวราทิกสฺส ทฎฺฐพฺพํฯ ทิฎฺฐิคฺคหเณน อวสิฎฺฐอุปาทานานมฺปิ สงฺคโห อุปาทานลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ ‘‘เวทนาน’’นฺติ เอตฺถ เวทนาคฺคหเณน อวสิฎฺฐอุปาทานกฺขนฺธานมฺปิ สงฺคโห ขนฺธลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ ตถา เวทนาย ธมฺมายตนธมฺมธาตุปริยาปนฺนตฺตา สมฺมสนูปคานํ สเพฺพสํ อายตนานํ ธาตูนญฺจ สงฺคโห อายตนลกฺขเณน, ธาตุลกฺขเณน จ เอกลกฺขณตฺตาฯ ‘‘อชานตํ อปสฺสต’’นฺติ เอตฺถ อวิชฺชาคฺคหเณน เหตุอาสโวฆโยคนีวรณาทิสงฺคโห เหตาทิลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตา อวิชฺชาย, ตถา ‘‘ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิต’’นฺติ เอตฺถ ตณฺหาคฺคหเณนาปิฯ ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา’’ติ เอตฺถ ผสฺสคฺคหเณน สญฺญาสงฺขารวิญฺญาณานํ สงฺคโห วิปลฺลาสเหตุภาเวน, ขนฺธลกฺขเณน จ เอกลกฺขณตฺตาฯ ฉผสฺสายตนคฺคหเณน ขนฺธินฺทฺริยธาตาทีนํ สงฺคโห ผสฺสุปฺปตฺตินิมิตฺตตาย, สมฺมสนสภาเวน จ เอกลกฺขณตฺตาฯ ภวเนตฺติคฺคหเณน อวิชฺชาทีนมฺปิ สํกิเลสธมฺมานํ สงฺคโห วฎฺฎเหตุภาเวน เอกลกฺขณตฺตาติ อยํ ลกฺขณหาโรฯ

    Āghātādiggahaṇena kodhupanāhamakkhapalāsaissāmacchariyasārambhaparavambhanādīnaṃ saṅgaho paṭighacittuppādapariyāpannatāya ekalakkhaṇattā. Ānandādiggahaṇena abhijjhāvisamalobhamānātimānamadappamādādīnaṃ saṅgaho lobhacittuppādapariyāpannatāya samānalakkhaṇattā. Tathā āghātaggahaṇena avasiṭṭhaganthanīvaraṇānaṃ saṅgaho kāyaganthanīvaraṇalakkhaṇena ekalakkhaṇattā. Ānandaggahaṇena phassādīnaṃ saṅgaho saṅkhārakkhandhalakkhaṇena ekalakkhaṇattā. Sīlaggahaṇena adhicittaadhipaññāsikkhānampi saṅgaho sikkhālakkhaṇena ekalakkhaṇattā. Idha pana sīlasseva indriyasaṃvarādikassa daṭṭhabbaṃ. Diṭṭhiggahaṇena avasiṭṭhaupādānānampi saṅgaho upādānalakkhaṇena ekalakkhaṇattā. ‘‘Vedanāna’’nti ettha vedanāggahaṇena avasiṭṭhaupādānakkhandhānampi saṅgaho khandhalakkhaṇena ekalakkhaṇattā. Tathā vedanāya dhammāyatanadhammadhātupariyāpannattā sammasanūpagānaṃ sabbesaṃ āyatanānaṃ dhātūnañca saṅgaho āyatanalakkhaṇena, dhātulakkhaṇena ca ekalakkhaṇattā. ‘‘Ajānataṃ apassata’’nti ettha avijjāggahaṇena hetuāsavoghayoganīvaraṇādisaṅgaho hetādilakkhaṇena ekalakkhaṇattā avijjāya, tathā ‘‘taṇhāgatānaṃ paritassitavipphandita’’nti ettha taṇhāggahaṇenāpi. ‘‘Tadapi phassapaccayā’’ti ettha phassaggahaṇena saññāsaṅkhāraviññāṇānaṃ saṅgaho vipallāsahetubhāvena, khandhalakkhaṇena ca ekalakkhaṇattā. Chaphassāyatanaggahaṇena khandhindriyadhātādīnaṃ saṅgaho phassuppattinimittatāya, sammasanasabhāvena ca ekalakkhaṇattā. Bhavanettiggahaṇena avijjādīnampi saṃkilesadhammānaṃ saṅgaho vaṭṭahetubhāvena ekalakkhaṇattāti ayaṃ lakkhaṇahāro.

    จตุพฺยูหหารวณฺณนา

    Catubyūhahāravaṇṇanā

    นินฺทาปสํสาหิ สมฺมากมฺปิตเจตสา มิจฺฉาชีวโต อโนรตา สสฺสตาทิมิจฺฉาภินิเวสิโน สีลาทิธมฺมกฺขเนฺธสุ อปฺปติฎฺฐิตตาย สมฺมาสมฺพุทฺธคุณรสสฺสาทวิมุขา เวเนยฺยา อิมิสฺสา เทสนาย นิทานํฯ เต ยถาวุตฺตโทสวินิมุตฺตา กถํ นุ โข สมฺมาปฎิปตฺติยา อุภยหิตปรา ภเวยฺยุนฺติ อยเมตฺถ ภควโต อธิปฺปาโยฯ ปทนิพฺพจนํ นิรุตฺติฯ ตํ ‘‘เอว’’นฺติอาทินิทานปทานํ, ‘‘มม’’นฺติอาทิปาฬิปทานญฺจ อฎฺฐกถาวเสน สุวิเญฺญยฺยตฺตา อติวิตฺถารภเยน น วิตฺถารยิมฺหฯ ปทปทตฺถนิเทฺทสนิเกฺขปสุตฺตเทสนาสนฺธิวเสน ฉพฺพิธา สนฺธิฯ ตตฺถ ปทสฺส ปทนฺตเรน สมฺพโนฺธ ปทสนฺธิฯ ตถา ปทตฺถสฺส ปทตฺถนฺตเรน สมฺพโนฺธ ปทตฺถสนฺธิ ฯ นานานุสนฺธิกสฺส สุตฺตสฺส ตํตํอนุสนฺธีหิ สมฺพโนฺธ, เอกานุสนฺธิกสฺส จ ปุพฺพาปรสมฺพโนฺธ นิเทฺทสสนฺธิ , ยา อฎฺฐกถายํ ปุจฺฉานุสนฺธิอชฺฌาสยานุสนฺธิยถานุสนฺธิวเสน ติวิธา วิภตฺตา, ตา ปเนตา ติโสฺสปิ สนฺธิโย อฎฺฐกถายํ วิจาริตา เอวฯ สุตฺตสนฺธิ จ ปฐมํ นิเกฺขปวเสน อเมฺหหิ ปุเพฺพ ทสฺสิตาเยวฯ เอกิสฺสา เทสนาย เทสนานฺตเรน สทฺธิํ สํสนฺทนํ เทสนาสนฺธิ, สา เอวํ เวทิตพฺพา – ‘‘มมํ วา ภิกฺขเว…เป.… น เจตโส อนภิรทฺธิ กรณียา’’ติ อยํ เทสนา ‘‘อุภโตทณฺฑเกน เจปิ ภิกฺขเว กกเจน โจรา โอจรกา องฺคมงฺคานิ โอกฺกเนฺตยฺยุํ, ตตฺรปิ โย มโน ปทูเสยฺย, น เม โส เตน สาสนกโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓๒) อิมาย เทสนาย สทฺธิํ สํสนฺทติฯ ‘‘ตุมฺหํ เยวสฺส เตน อนฺตราโย’’ติ ‘‘กมฺมสฺสกา มาณว สตฺตา…เป.… ทายาทา ภวิสฺสนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๒๑๖) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ ‘‘อปิ ตุเมฺห…เป.… อาชาเนยฺยาถา’’ติ ‘‘กุโทฺธ อตฺถํ…เป.… สหเต นร’’นฺติ (อ. นิ. ๗.๖๔; มหานิ. ๕, ๑๕๖, ๑๙๕) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ

    Nindāpasaṃsāhi sammākampitacetasā micchājīvato anoratā sassatādimicchābhinivesino sīlādidhammakkhandhesu appatiṭṭhitatāya sammāsambuddhaguṇarasassādavimukhā veneyyā imissā desanāya nidānaṃ. Te yathāvuttadosavinimuttā kathaṃ nu kho sammāpaṭipattiyā ubhayahitaparā bhaveyyunti ayamettha bhagavato adhippāyo. Padanibbacanaṃ nirutti. Taṃ ‘‘eva’’ntiādinidānapadānaṃ, ‘‘mama’’ntiādipāḷipadānañca aṭṭhakathāvasena suviññeyyattā ativitthārabhayena na vitthārayimha. Padapadatthaniddesanikkhepasuttadesanāsandhivasena chabbidhā sandhi. Tattha padassa padantarena sambandho padasandhi. Tathā padatthassa padatthantarena sambandho padatthasandhi. Nānānusandhikassa suttassa taṃtaṃanusandhīhi sambandho, ekānusandhikassa ca pubbāparasambandho niddesasandhi, yā aṭṭhakathāyaṃ pucchānusandhiajjhāsayānusandhiyathānusandhivasena tividhā vibhattā, tā panetā tissopi sandhiyo aṭṭhakathāyaṃ vicāritā eva. Suttasandhi ca paṭhamaṃ nikkhepavasena amhehi pubbe dassitāyeva. Ekissā desanāya desanāntarena saddhiṃ saṃsandanaṃ desanāsandhi, sā evaṃ veditabbā – ‘‘mamaṃ vā bhikkhave…pe… na cetaso anabhiraddhi karaṇīyā’’ti ayaṃ desanā ‘‘ubhatodaṇḍakena cepi bhikkhave kakacena corā ocarakā aṅgamaṅgāni okkanteyyuṃ, tatrapi yo mano padūseyya, na me so tena sāsanakaro’’ti (ma. ni. 1.232) imāya desanāya saddhiṃ saṃsandati. ‘‘Tumhaṃ yevassa tena antarāyo’’ti ‘‘kammassakā māṇava sattā…pe… dāyādā bhavissantī’’ti (a. ni. 10.216) imāya desanāya saṃsandati. ‘‘Api tumhe…pe… ājāneyyāthā’’ti ‘‘kuddho atthaṃ…pe… sahate nara’’nti (a. ni. 7.64; mahāni. 5, 156, 195) imāya desanāya saṃsandati.

    ‘‘มมํ วา ภิกฺขเว ปเร วณฺณํ…เป.… น เจตโส อุพฺพิลฺลาวิตตฺตํ กรณีย’’นฺติ ‘‘ธมฺมาปิ โว ภิกฺขเว ปหาตพฺพา, ปเคว อธมฺมา (ม. นิ. ๑.๒๔๐)ฯ กุลฺลูปมํ โว ภิกฺขเว ธมฺมํ เทเสสฺสามิ, นิตฺถรณตฺถาย, โน คหณตฺถายา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔๐) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ ‘‘ตตฺร เจ ตุเมฺหหิ…เป.… อุพฺพิลาวิตา, ตุมฺหํ เยวสฺส เตน อนฺตราโย’’ติ ‘‘ลุโทฺธอตฺถํ…เป.… สหเต นร’’นฺติ (อิติวุ. ๘๘; มหานิ. ๕.๑๕๖, ๑๙๕; จูฬนิ. ๑๒๘) ‘‘กามนฺธา ชาลสญฺฉนฺนา, ตณฺหาฉทนฉาทิตา’’ติ (อุทา. ๖๔; เนตฺติ. ๒๗, ๙๐; เปฎโก. ๑๔) อิมาหิ เทสนาหิ สํสนฺทติฯ

    ‘‘Mamaṃ vā bhikkhave pare vaṇṇaṃ…pe… na cetaso ubbillāvitattaṃ karaṇīya’’nti ‘‘dhammāpi vo bhikkhave pahātabbā, pageva adhammā (ma. ni. 1.240). Kullūpamaṃ vo bhikkhave dhammaṃ desessāmi, nittharaṇatthāya, no gahaṇatthāyā’’ti (ma. ni. 1.240) imāya desanāya saṃsandati. ‘‘Tatra ce tumhehi…pe… ubbilāvitā, tumhaṃ yevassa tena antarāyo’’ti ‘‘luddhoatthaṃ…pe… sahate nara’’nti (itivu. 88; mahāni. 5.156, 195; cūḷani. 128) ‘‘kāmandhā jālasañchannā, taṇhāchadanachāditā’’ti (udā. 64; netti. 27, 90; peṭako. 14) imāhi desanāhi saṃsandati.

    ‘‘อปฺปมตฺตกํ…เป.… สีลมตฺตก’’นฺติ ‘‘ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ โข พฺราหฺมณ ยโญฺญ ปุริเมหิ ยเญฺญหิ อปฺปฎฺฐตโร จ อปฺปสมารมฺภตโร จ มหปฺผลตโร จ มหานิสํสตโร จา’’ติอาทิกาย (ที. นิ. ๑.๓๕๓) เทสนาย สํสนฺทติ, ปฐมชฺฌานสฺส สีลโต มหปฺผลมหานิสํสตรภาววจเนน ฌานโต สีลสฺส อปฺปภาวทีปนโตฯ

    ‘‘Appamattakaṃ…pe… sīlamattaka’’nti ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ kho brāhmaṇa yañño purimehi yaññehi appaṭṭhataro ca appasamārambhataro ca mahapphalataro ca mahānisaṃsataro cā’’tiādikāya (dī. ni. 1.353) desanāya saṃsandati, paṭhamajjhānassa sīlato mahapphalamahānisaṃsatarabhāvavacanena jhānato sīlassa appabhāvadīpanato.

    ‘‘ปาณาติปาตํ ปหายา’’ติอาทิ ‘‘สมโณ ขลุ โภ โคตโม สีลวา…เป.… กุสลสีเลน สมนฺนาคโต’’ติอาทิกาหิ (ที. นิ. ๑.๓๐๔) เทสนาหิ สํสนฺทติฯ

    ‘‘Pāṇātipātaṃ pahāyā’’tiādi ‘‘samaṇo khalu bho gotamo sīlavā…pe… kusalasīlena samannāgato’’tiādikāhi (dī. ni. 1.304) desanāhi saṃsandati.

    ‘‘อเญฺญว ธมฺมา คมฺภีรา’’ติอาทิ ‘‘อธิคโต โข มฺยายํ ธโมฺม คมฺภีโร’’ติอาทิ (ที. นิ. ๒.๖๗; ม. นิ. ๑.๒๘๑; ๒.๓๓๗; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๗, ๘) ปาฬิยา สํสนฺทติฯ คมฺภีรตาทิวิเสสยุตฺตธมฺมปฎิเวเธน หิ ญาณสฺส คมฺภีราทิภาโว วิญฺญายตีติฯ

    ‘‘Aññeva dhammā gambhīrā’’tiādi ‘‘adhigato kho myāyaṃ dhammo gambhīro’’tiādi (dī. ni. 2.67; ma. ni. 1.281; 2.337; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 7, 8) pāḷiyā saṃsandati. Gambhīratādivisesayuttadhammapaṭivedhena hi ñāṇassa gambhīrādibhāvo viññāyatīti.

    ‘‘สนฺติ ภิกฺขเว เอเก สมณพฺราหฺมณา’’ติอาทิ ‘‘สนฺติ ภิกฺขเว เอเก สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา…เป.… อภิวทนฺติ, สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺติ อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, อสสฺสโต, สสฺสโต จ อสสฺสโต จ, เนว สสฺสโต จ นาสสฺสโต จ, อนฺตวา, อนนฺตวา, อนฺตวา จ อนนฺตวา จ, เนวนฺตวา นานนฺตวา จ อตฺตา จ โลโก จ อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺติ อิเตฺถเก อภิวทนฺตี’’ติอาทิกาหิ (ม. นิ. ๓.๒๗) เทสนาหิ สํสนฺทติฯ

    ‘‘Santi bhikkhave eke samaṇabrāhmaṇā’’tiādi ‘‘santi bhikkhave eke samaṇabrāhmaṇā pubbantakappikā…pe… abhivadanti, sassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ, moghamaññanti ittheke abhivadanti, asassato, sassato ca asassato ca, neva sassato ca nāsassato ca, antavā, anantavā, antavā ca anantavā ca, nevantavā nānantavā ca attā ca loko ca idameva saccaṃ, moghamaññanti ittheke abhivadantī’’tiādikāhi (ma. ni. 3.27) desanāhi saṃsandati.

    ‘‘สนฺติ ภิกฺขเว เอเก สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา’’ติอาทิ ‘‘สนฺติ ภิกฺขเว เอเก สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา…เป.… อภิวทนฺติ, สญฺญี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณาฯ อิเตฺถเก อภิวทนฺติ อสญฺญี, เนวสญฺญีนาสญฺญี จ อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณาฯ อิเตฺถเก อภิวทนฺติ สโต วา ปน สตฺตสฺส อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ, ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา ปเนเก อภิวทนฺตี’’ติอาทิกาหิ (ม. นิ. ๓.๒๑) เทสนาหิ สํสนฺทติฯ ‘‘เวทนานํ…เป.… ตถาคโต’’ติ ‘‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ, อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ, อเตฺถตนฺติ อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺต’’ติอาทิกาหิ (ม. นิ. ๓.๒๘) เทสนาหิ สํสนฺทติฯ

    ‘‘Santi bhikkhave eke samaṇabrāhmaṇā aparantakappikā’’tiādi ‘‘santi bhikkhave eke samaṇabrāhmaṇā aparantakappikā…pe… abhivadanti, saññī attā hoti arogo paraṃ maraṇā. Ittheke abhivadanti asaññī, nevasaññīnāsaññī ca attā hoti arogo paraṃ maraṇā. Ittheke abhivadanti sato vā pana sattassa ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapenti, diṭṭhadhammanibbānaṃ vā paneke abhivadantī’’tiādikāhi (ma. ni. 3.21) desanāhi saṃsandati. ‘‘Vedanānaṃ…pe… tathāgato’’ti ‘‘tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ, atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho, atthetanti iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto’’tiādikāhi (ma. ni. 3.28) desanāhi saṃsandati.

    ‘‘ตทปิ เตสํ…เป.… วิปฺผนฺทิตเมวา’’ติ อิทํ ‘‘เตสํ ภวตํ อญฺญเตฺรว ฉนฺทาย อญฺญตฺร รุจิยา อญฺญตฺร อนุสฺสวา อญฺญตฺร อาการปริวิตกฺกา อญฺญตฺร ทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา ปจฺจตฺตํเยว ญาณํ ภวิสฺสติ ปริสุทฺธํ ปริโยทาตนฺติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ปจฺจตฺตํ โข ปน ภิกฺขเว ญาเณ อสติ ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต ยทปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ตตฺถ ญาณภาคมตฺตเมว ปริโยทาเปนฺติ, ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อุปาทานมกฺขายตี’’ติอาทิกาหิ (ม. นิ. ๓.๒๙) เทสนาหิ สํสนฺทติฯ

    ‘‘Tadapi tesaṃ…pe… vipphanditamevā’’ti idaṃ ‘‘tesaṃ bhavataṃ aññatreva chandāya aññatra ruciyā aññatra anussavā aññatra ākāraparivitakkā aññatra diṭṭhinijjhānakkhantiyā paccattaṃyeva ñāṇaṃ bhavissati parisuddhaṃ pariyodātanti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Paccattaṃ kho pana bhikkhave ñāṇe asati parisuddhe pariyodāte yadapi te bhonto samaṇabrāhmaṇā tattha ñāṇabhāgamattameva pariyodāpenti, tadapi tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ upādānamakkhāyatī’’tiādikāhi (ma. ni. 3.29) desanāhi saṃsandati.

    ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา’’ติ อิทญฺจ ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ, ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทาน’’นฺติ, (สํ. นิ. ๒.๔๔) ‘‘ฉนฺทมูลกา อิเม อาวุโส ธมฺมา มนสิการสมุฎฺฐานา ผสฺสสโมธานา เวทนาสโมสรณา’’ติ (อ. นิ. ๘.๘๓) จ อาทิกาหิ เทสนาหิ สํสนฺทติฯ

    ‘‘Tadapi phassapaccayā’’ti idañca ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇaṃ, tiṇṇaṃ saṅgati phasso, phassapaccayā vedanā, vedanāpaccayā taṇhā, taṇhāpaccayā upādāna’’nti, (saṃ. ni. 2.44) ‘‘chandamūlakā ime āvuso dhammā manasikārasamuṭṭhānā phassasamodhānā vedanāsamosaraṇā’’ti (a. ni. 8.83) ca ādikāhi desanāhi saṃsandati.

    ‘‘ยโต โข ภิกฺขเว ภิกฺขุ ฉนฺนํ ผสฺสายตนาน’’นฺติอาทิ ‘‘ยโต โข อานนฺท ภิกฺขุ เนว เวทนํ อตฺตานํ สมนุปสฺสติ, น สญฺญํ, น สงฺขาเร, น วิญฺญาณํ อตฺตานํ สมนุปสฺสติ, โส เอวํ อสมนุปสฺสโนฺต น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ, อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ, อปริตสฺสํ ปจฺจตฺตํเยว ปรินิพฺพายตี’’ติอาทิกาหิ เทสนาหิ สํสนฺทติฯ

    ‘‘Yato kho bhikkhave bhikkhu channaṃ phassāyatanāna’’ntiādi ‘‘yato kho ānanda bhikkhu neva vedanaṃ attānaṃ samanupassati, na saññaṃ, na saṅkhāre, na viññāṇaṃ attānaṃ samanupassati, so evaṃ asamanupassanto na kiñci loke upādiyati, anupādiyaṃ na paritassati, aparitassaṃ paccattaṃyeva parinibbāyatī’’tiādikāhi desanāhi saṃsandati.

    ‘‘สเพฺพ เต อิเมเหว ทฺวาสฎฺฐิยา วตฺถูหิ อโนฺตชาลีกตา’’ติอาทิ ‘‘เย หิ เกจิ ภิกฺขเว…เป.… อภิวทนฺติ, สเพฺพ เต อิมาเนว ปญฺจ กายานิ อภิวทนฺติ เอเตสํ วา อญฺญตร’’นฺติอาทิกาหิ (ม. นิ. ๓.๒๖) เทสนาหิ สํสนฺทติฯ ‘‘กายสฺส เภทา…เป.… เทวมนุสฺสา’’ติ

    ‘‘Sabbe te imeheva dvāsaṭṭhiyā vatthūhi antojālīkatā’’tiādi ‘‘ye hi keci bhikkhave…pe… abhivadanti, sabbe te imāneva pañca kāyāni abhivadanti etesaṃ vā aññatara’’ntiādikāhi (ma. ni. 3.26) desanāhi saṃsandati. ‘‘Kāyassa bhedā…pe… devamanussā’’ti

    ‘‘อจฺจี ยถา วาตเวเคน ขิตฺตา, (อุปสิวาติ ภควา)

    ‘‘Accī yathā vātavegena khittā, (upasivāti bhagavā)

    อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ;

    Atthaṃ paleti na upeti saṅkhaṃ;

    เอวํ มุนี นามกายา วิมุโตฺต,

    Evaṃ munī nāmakāyā vimutto,

    อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺข’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๐๘๐; จูฬนิ. ๔๓);

    Atthaṃ paleti na upeti saṅkha’’nti. (su. ni. 1080; cūḷani. 43);

    อาทิกาหิ เทสนาหิ สํสนฺทตีติ อยํ จาตุพฺยูโห หาโรฯ

    Ādikāhi desanāhi saṃsandatīti ayaṃ cātubyūho hāro.

    อาวตฺตหารวณฺณนา

    Āvattahāravaṇṇanā

    อาฆาตาทีนํ อกรณียตาวจเนน ขนฺติโสรจฺจานุฎฺฐานํฯ ตตฺถ ขนฺติยา สทฺธาปญฺญาปราปการทุกฺขสหคตานํ สงฺคโห, โสรเจฺจน สีลสฺสฯ สทฺธาทิคฺคหเณน จ สทฺธินฺทฺริยาทิสกลโพธิปกฺขิยธมฺมา อาวตฺตนฺติฯ สีลคฺคหเณน อวิปฺปฎิสาราทโย สเพฺพปิ สีลานิสํสธมฺมา อาวตฺตนฺติฯ ปาณาติปาตาทีหิ ปฎิวิรติวจเนน อปฺปมาทวิหาโร, เตน สกลํ สาสนพฺรหฺมจริยํ อาวตฺตติฯ คมฺภีรตาทิวิเสสยุตฺตธมฺมคฺคหเณน มหาโพธิปกิตฺตนํฯ อนาวรณญาณปทฎฺฐานญฺหิ อาสวกฺขยญาณํ, อาสวกฺขยญาณปทฎฺฐานญฺจ อนาวรณญาณํ มหาโพธิ, เตน ทสพลาทโย สเพฺพ พุทฺธคุณา อาวตฺตนฺติฯ สสฺสตาทิทิฎฺฐิคฺคหเณน ตณฺหาวิชฺชาย สงฺคโห, ตาหิ อนมตคฺคสํสารวฎฺฎํ อาวตฺตติฯ เวทนานํ สมุทยาทิยถาภูตเวทเนน ภควโต ปริญฺญาตฺตยวิสุทฺธิ, ตาย ปญฺญาปารมิมุเขน สพฺพปารมิโย อาวตฺตนฺติฯ ‘‘อชานตํ อปสฺสต’’นฺติ อวิชฺชาคฺคหเณน อโยนิโสมนสิการปริคฺคโห, เตน จ อโยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา อาวตฺตนฺติฯ ‘‘ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิต’’นฺติ ตณฺหาคฺคหเณน นว ตณฺหามูลกา ธมฺมา อาวตฺตนฺติ, ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา’’ติอาทิ สสฺสตาทิปญฺญาปนสฺส ปจฺจยาธีนวุตฺติทสฺสนํ, เตน อนิจฺจตาทิลกฺขณตฺตยํ อาวตฺตติฯ ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ ยถาภูตํ ปชานเนน วิมุตฺติสมฺปทานิเทฺทโส, เตน สตฺตปิ วิสุทฺธิโย อาวตฺตนฺติฯ ‘‘อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโก ตถาคตสฺส กาโย’’ติ ตณฺหาปหานํ, เตน ภควโต สกลสํกิเลสปฺปหานํ อาวตฺตตีติ อยํ อาวโตฺต หาโรฯ

    Āghātādīnaṃ akaraṇīyatāvacanena khantisoraccānuṭṭhānaṃ. Tattha khantiyā saddhāpaññāparāpakāradukkhasahagatānaṃ saṅgaho, soraccena sīlassa. Saddhādiggahaṇena ca saddhindriyādisakalabodhipakkhiyadhammā āvattanti. Sīlaggahaṇena avippaṭisārādayo sabbepi sīlānisaṃsadhammā āvattanti. Pāṇātipātādīhi paṭivirativacanena appamādavihāro, tena sakalaṃ sāsanabrahmacariyaṃ āvattati. Gambhīratādivisesayuttadhammaggahaṇena mahābodhipakittanaṃ. Anāvaraṇañāṇapadaṭṭhānañhi āsavakkhayañāṇaṃ, āsavakkhayañāṇapadaṭṭhānañca anāvaraṇañāṇaṃ mahābodhi, tena dasabalādayo sabbe buddhaguṇā āvattanti. Sassatādidiṭṭhiggahaṇena taṇhāvijjāya saṅgaho, tāhi anamataggasaṃsāravaṭṭaṃ āvattati. Vedanānaṃ samudayādiyathābhūtavedanena bhagavato pariññāttayavisuddhi, tāya paññāpāramimukhena sabbapāramiyo āvattanti. ‘‘Ajānataṃ apassata’’nti avijjāggahaṇena ayonisomanasikārapariggaho, tena ca ayonisomanasikāramūlakā dhammā āvattanti. ‘‘Taṇhāgatānaṃ paritassitavipphandita’’nti taṇhāggahaṇena nava taṇhāmūlakā dhammā āvattanti, ‘‘tadapi phassapaccayā’’tiādi sassatādipaññāpanassa paccayādhīnavuttidassanaṃ, tena aniccatādilakkhaṇattayaṃ āvattati. Channaṃ phassāyatanānaṃ yathābhūtaṃ pajānanena vimuttisampadāniddeso, tena sattapi visuddhiyo āvattanti. ‘‘Ucchinnabhavanettiko tathāgatassa kāyo’’ti taṇhāpahānaṃ, tena bhagavato sakalasaṃkilesappahānaṃ āvattatīti ayaṃ āvatto hāro.

    วิภตฺติหารวณฺณนา

    Vibhattihāravaṇṇanā

    อาฆาตานนฺทาทโย อกุสลา ธมฺมา, เตสํ อโยนิโสมนสิการาทิ ปทฎฺฐานํฯ เยหิ ปน ธเมฺมหิ อาฆาตานนฺทาทีนํ อกรณํ อปฺปวตฺติ, เต อพฺยาปาทาทโย กุสลา ธมฺมา, เตสํ โยนิโสมนสิการาทิ ปทฎฺฐานํฯ เตสุ อาฆาตาทโย กามาวจราว, อพฺยาปาทาทโย จตุภูมกาฯ ตถา ปาณาติปาตาทีหิ ปฎิวิรติ กุสลา วา อพฺยากตา วา, ตสฺสา หิโรตฺตปฺปาทโย ธมฺมา ปทฎฺฐานํฯ ตตฺถ กุสลา สิยา กามาวจรา, สิยา โลกุตฺตรา, อพฺยากตา โลกุตฺตราวฯ ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว อเญฺญว ธมฺมา คมฺภีรา’’ติ วุตฺตธมฺมา สิยา กุสลา, สิยา อพฺยากตา, ตตฺถ กุสลานํ วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนา ปทฎฺฐานํฯ อพฺยากตานํ มคฺคธมฺมา, วิปสฺสนา, อาวชฺชนา วา ปทฎฺฐานํฯ เตสุ กุสลา โลกุตฺตรา, อพฺยากตา สิยา กามาวจรา, สิยา โลกุตฺตรา, สพฺพาปิ ทิฎฺฐิโย อกุสลาว กามาวจราว, ตาสํ อวิเสเสน มิจฺฉาภินิเวเส อโยนิโสมนสิกาโร ปทฎฺฐานํฯ วิเสสโต ปน สนฺตติฆนวินิโพฺภคาภาวโต เอกตฺตนยสฺส มิจฺฉาคาโห อตีตชาติอนุสฺสรณตกฺกสหิโต สสฺสตทิฎฺฐิยา ปทฎฺฐานํฯ เหตุผลภาเวน สมฺพนฺธภาวสฺส อคฺคหณโต นานตฺตนยสฺส มิจฺฉาคาโห ตชฺชาสมนฺนาหารสหิโต อุเจฺฉททิฎฺฐิยา ปทฎฺฐานํฯ เอวํ เสสทิฎฺฐีนมฺปิ ยถาสมฺภวํ วตฺตพฺพํฯ ‘‘เวทนาน’’นฺติ เอตฺถ เวทนา สิยา กุสลา, สิยา อพฺยากตา, สิยา กามาวจรา, สิยา รูปาวจรา, สิยา อรูปาวจรา, ผโสฺส ตาสํ ปทฎฺฐานํฯ เวทนานํ สมุทยาทิยถาภูตเวทนํ มคฺคญาณํ, อนุปาทาวิมุตฺติ ผลํ , เตสํ ‘‘อเญฺญว ธมฺมา คมฺภีรา’’ติ เอตฺถ วุตฺตนเยน ธมฺมาทิวิภาโค เนตโพฺพฯ ‘‘อชานตํ อปสฺสต’’นฺติอาทีสุ อวิชฺชา ตณฺหา อกุสลา กามาวจรา, ตาสุ อวิชฺชาย อาสวา, อโยนิโสมนสิกาโร เอว วา ปทฎฺฐานํฯ ตณฺหาย สํโยชนิเยสุ ธเมฺมสุ อสฺสาททสฺสนํ ปทฎฺฐานํฯ ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา’’ติ เอตฺถ ผสฺสสฺส เวทนาย วิย ธมฺมาทิวิภาโค เวทิตโพฺพฯ อิมินา นเยน ผสฺสายตนาทีนมฺปิ ยถารหํ ธมฺมาทิวิภาโค เนตโพฺพติ อยํ วิภตฺติหาโรฯ

    Āghātānandādayo akusalā dhammā, tesaṃ ayonisomanasikārādi padaṭṭhānaṃ. Yehi pana dhammehi āghātānandādīnaṃ akaraṇaṃ appavatti, te abyāpādādayo kusalā dhammā, tesaṃ yonisomanasikārādi padaṭṭhānaṃ. Tesu āghātādayo kāmāvacarāva, abyāpādādayo catubhūmakā. Tathā pāṇātipātādīhi paṭivirati kusalā vā abyākatā vā, tassā hirottappādayo dhammā padaṭṭhānaṃ. Tattha kusalā siyā kāmāvacarā, siyā lokuttarā, abyākatā lokuttarāva. ‘‘Atthi bhikkhave aññeva dhammā gambhīrā’’ti vuttadhammā siyā kusalā, siyā abyākatā, tattha kusalānaṃ vuṭṭhānagāminivipassanā padaṭṭhānaṃ. Abyākatānaṃ maggadhammā, vipassanā, āvajjanā vā padaṭṭhānaṃ. Tesu kusalā lokuttarā, abyākatā siyā kāmāvacarā, siyā lokuttarā, sabbāpi diṭṭhiyo akusalāva kāmāvacarāva, tāsaṃ avisesena micchābhinivese ayonisomanasikāro padaṭṭhānaṃ. Visesato pana santatighanavinibbhogābhāvato ekattanayassa micchāgāho atītajātianussaraṇatakkasahito sassatadiṭṭhiyā padaṭṭhānaṃ. Hetuphalabhāvena sambandhabhāvassa aggahaṇato nānattanayassa micchāgāho tajjāsamannāhārasahito ucchedadiṭṭhiyā padaṭṭhānaṃ. Evaṃ sesadiṭṭhīnampi yathāsambhavaṃ vattabbaṃ. ‘‘Vedanāna’’nti ettha vedanā siyā kusalā, siyā abyākatā, siyā kāmāvacarā, siyā rūpāvacarā, siyā arūpāvacarā, phasso tāsaṃ padaṭṭhānaṃ. Vedanānaṃ samudayādiyathābhūtavedanaṃ maggañāṇaṃ, anupādāvimutti phalaṃ , tesaṃ ‘‘aññeva dhammā gambhīrā’’ti ettha vuttanayena dhammādivibhāgo netabbo. ‘‘Ajānataṃ apassata’’ntiādīsu avijjā taṇhā akusalā kāmāvacarā, tāsu avijjāya āsavā, ayonisomanasikāro eva vā padaṭṭhānaṃ. Taṇhāya saṃyojaniyesu dhammesu assādadassanaṃ padaṭṭhānaṃ. ‘‘Tadapi phassapaccayā’’ti ettha phassassa vedanāya viya dhammādivibhāgo veditabbo. Iminā nayena phassāyatanādīnampi yathārahaṃ dhammādivibhāgo netabboti ayaṃ vibhattihāro.

    ปริวตฺตหารวณฺณนา

    Parivattahāravaṇṇanā

    อาฆาตาทีนํ อกรณํ ขนฺติโสรจฺจานิ อนุพฺรูเหตฺวา ปฎิสงฺขานภาวนาพลสิทฺธิยา อุภยหิตปฎิปตฺติํ อาวหติฯ อาฆาตาทโย ปน ปวตฺติยมานา ทุพฺพณฺณตํ ทุกฺขเสยฺยํ โภคหานิํ อกิตฺติํ ปเรหิ ทุรุปสงฺกมนตญฺจ นิปฺผาเทนฺตา นิรยาทีสุ มหาทุกฺขํ อาวหนฺติฯ ปาณาติปาตาทีหิ ปฎิวิรติ อวิปฺปฎิสาราทิกลฺยาณํ ปรมฺปรํ อาวหติฯ ปาณาติปาตาทิ ปน วิปฺปฎิสาราทิอกลฺยาณํ ปรมฺปรํ, คมฺภีรตาทิวิเสสยุตฺตํ ญาณํ วิเนยฺยานํ ยถารหํ วิชฺชาภิญฺญาทิคุณวิเสสํ อาวหติ สพฺพเญยฺยํ ยถาสภาวาวโพธโตฯ ตถา คมฺภีรตาทิวิเสสรหิตํ ปน ญาณํ เญเยฺยสุ สาวรณโต ยถาวุตฺตคุณวิเสสํ นาวหติฯ สพฺพาปิ เจตา ทิฎฺฐิโย ยถารหํ สสฺสตุเจฺฉทภาวโต อนฺตทฺวยภูตา สกฺกายตีรํ นาติวตฺตนฺติ อนิยฺยานิกสภาวตฺตาฯ นิยฺยานิกสภาวตฺตา ปน สมฺมาทิฎฺฐิ สปริกฺขารา มชฺฌิมปฎิปทาภูตา อติกฺกมฺม สกฺกายตีรํ ปารํ อาคจฺฉติฯ เวทนานํ สมุทยาทิยถาภูตเวทนํ อนุปาทาวิมุตฺติํ อาวหติ มคฺคภาวโตฯ เวทนานํ สมุทยาทิอสมฺปฎิเวโธ สํสารจารกาวโรธํ อาวหติ สงฺขารานํ ปจฺจยภาวโตฯ เวทยิตสภาวปฎิจฺฉาทโก สโมฺมโห ตทภินนฺทนํ อาวหติ ฯ ยถาภูตาวโพโธ ปน ตตฺถ นิเพฺพทํ วิราคญฺจ อาวหติฯ มิจฺฉาภินิเวเส อโยนิโสมนสิการสหิตา ตณฺหา อเนกวิหิตํ ทิฎฺฐิชาลํ ปสาเรติฯ ยถาวุตฺตตณฺหาสมุเจฺฉโท ปฐมมโคฺค ตํ ทิฎฺฐิชาลํ สโงฺกเจติฯ สสฺสตวาทาทิปญฺญาปนสฺส ผโสฺส ปจฺจโย โหติ อสติ ผเสฺส ตทภาวโตฯ ทิฎฺฐิพนฺธนพนฺธานํ ผสฺสายตนาทีนํ อนิโรเธน ผสฺสาทิอนิโรโธ สํสารทุกฺขสฺส อนิวตฺติเยว, ยาถาวโต ผสฺสายตนาทิปริญฺญา สพฺพทิฎฺฐิทสฺสนานิ อติวตฺตติ, ผสฺสายตนาทิอปริญฺญา ตํทิฎฺฐิคหนํ นาติวตฺตติ, ภวเนตฺติสมุเจฺฉโท อายติํ อตฺตภาวสฺส อนิพฺพตฺติยา สํวตฺตติ, อสมุจฺฉินฺนาย ภวเนตฺติยา อนาคเต ภวปฺปพโนฺธ ปริวตฺตติเยวาติ อยํ ปริวโตฺต หาโรฯ

    Āghātādīnaṃ akaraṇaṃ khantisoraccāni anubrūhetvā paṭisaṅkhānabhāvanābalasiddhiyā ubhayahitapaṭipattiṃ āvahati. Āghātādayo pana pavattiyamānā dubbaṇṇataṃ dukkhaseyyaṃ bhogahāniṃ akittiṃ parehi durupasaṅkamanatañca nipphādentā nirayādīsu mahādukkhaṃ āvahanti. Pāṇātipātādīhi paṭivirati avippaṭisārādikalyāṇaṃ paramparaṃ āvahati. Pāṇātipātādi pana vippaṭisārādiakalyāṇaṃ paramparaṃ, gambhīratādivisesayuttaṃ ñāṇaṃ vineyyānaṃ yathārahaṃ vijjābhiññādiguṇavisesaṃ āvahati sabbañeyyaṃ yathāsabhāvāvabodhato. Tathā gambhīratādivisesarahitaṃ pana ñāṇaṃ ñeyyesu sāvaraṇato yathāvuttaguṇavisesaṃ nāvahati. Sabbāpi cetā diṭṭhiyo yathārahaṃ sassatucchedabhāvato antadvayabhūtā sakkāyatīraṃ nātivattanti aniyyānikasabhāvattā. Niyyānikasabhāvattā pana sammādiṭṭhi saparikkhārā majjhimapaṭipadābhūtā atikkamma sakkāyatīraṃ pāraṃ āgacchati. Vedanānaṃ samudayādiyathābhūtavedanaṃ anupādāvimuttiṃ āvahati maggabhāvato. Vedanānaṃ samudayādiasampaṭivedho saṃsāracārakāvarodhaṃ āvahati saṅkhārānaṃ paccayabhāvato. Vedayitasabhāvapaṭicchādako sammoho tadabhinandanaṃ āvahati . Yathābhūtāvabodho pana tattha nibbedaṃ virāgañca āvahati. Micchābhinivese ayonisomanasikārasahitā taṇhā anekavihitaṃ diṭṭhijālaṃ pasāreti. Yathāvuttataṇhāsamucchedo paṭhamamaggo taṃ diṭṭhijālaṃ saṅkoceti. Sassatavādādipaññāpanassa phasso paccayo hoti asati phasse tadabhāvato. Diṭṭhibandhanabandhānaṃ phassāyatanādīnaṃ anirodhena phassādianirodho saṃsāradukkhassa anivattiyeva, yāthāvato phassāyatanādipariññā sabbadiṭṭhidassanāni ativattati, phassāyatanādiapariññā taṃdiṭṭhigahanaṃ nātivattati, bhavanettisamucchedo āyatiṃ attabhāvassa anibbattiyā saṃvattati, asamucchinnāya bhavanettiyā anāgate bhavappabandho parivattatiyevāti ayaṃ parivatto hāro.

    เววจนหารวณฺณนา

    Vevacanahāravaṇṇanā

    ‘‘มม มยฺหํ เม’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘ภิกฺขเว สมณา ตปสฺสิโน’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘ปเร อเญฺญ ปฎิวิรุทฺธา’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘อวณฺณํ อกิตฺติํ นินฺท’’นฺติ ปริยายวจนํฯ ‘‘ภาเสยฺยุํ ภเณยฺยุํ กเรยฺยุ’’นฺติ ปริยายวจนํฯ ‘‘ธมฺมสฺส วินยสฺส สตฺถุสาสนสฺสา’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘สงฺฆสฺส สมูหสฺส คณสฺสา’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘ตตฺร ตตฺถ เตสู’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘ตุเมฺหหิ โว ภวเนฺตหี’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘อาฆาโต โทโส พฺยาปาโท’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘อปฺปจฺจโย โทมนสฺสํ เจตสิกทุกฺข’’นฺติ ปริยายวจนํฯ ‘‘เจตโส อนภิรทฺธิ จิตฺตสฺส พฺยาปตฺติ มโนปโทโส’’ติ ปริยายวจนํฯ ‘‘น กรณียา น อุปฺปาเทตพฺพา น ปวเตฺตตพฺพา’’ติ ปริยายวจนํฯ อิติ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ เววจนํ วตฺตพฺพนฺติ อยํ เววจโน หาโรฯ

    ‘‘Mama mayhaṃ me’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Bhikkhave samaṇā tapassino’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Pare aññe paṭiviruddhā’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Avaṇṇaṃ akittiṃ ninda’’nti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Bhāseyyuṃ bhaṇeyyuṃ kareyyu’’nti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Dhammassa vinayassa satthusāsanassā’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Saṅghassa samūhassa gaṇassā’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Tatra tattha tesū’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Tumhehi vo bhavantehī’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Āghāto doso byāpādo’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Appaccayo domanassaṃ cetasikadukkha’’nti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Cetaso anabhiraddhi cittassa byāpatti manopadoso’’ti pariyāyavacanaṃ. ‘‘Na karaṇīyā na uppādetabbā na pavattetabbā’’ti pariyāyavacanaṃ. Iti iminā nayena sabbapadesu vevacanaṃ vattabbanti ayaṃ vevacano hāro.

    ปญฺญตฺติหารวณฺณนา

    Paññattihāravaṇṇanā

    อาฆาโต วตฺถุวเสน ทสวิเธน เอกูนวีสติวิเธน วา ปญฺญโตฺตฯ อปฺปจฺจโย อุปวิจารวเสน ฉธา ปญฺญโตฺตฯ อานโนฺทปีติอาทิวเสน นวธา ปญฺญโตฺตฯ ปีติ สามญฺญโต ขุทฺทิกาทิวเสน ปญฺจธา ปญฺญตฺตาฯ โสมนสฺสํ อุปวิจารวเสน ฉธา ปญฺญตฺตํฯ สีลํ วาริตฺตจาริตฺตาทิวเสน อเนกธา ปญฺญตฺตํฯ คมฺภีรตาทิวิเสสยุตฺตํ ญาณํ จิตฺตุปฺปาทวเสน จตุธา, ทฺวาทสวิเธน วา, วิสยเภทโต อเนกธา จ ปญฺญตฺตํฯ ทิฎฺฐิสสฺสตาทิวเสน ทฺวาสฎฺฐิยา เภเทหิ, ตทโนฺตคธวิภาเคน อเนกธา จ ปญฺญตฺตาฯ เวทนา ฉธา อฎฺฐสตธา อเนกธา จ ปญฺญตฺตาฯ ตสฺสา สมุทโย ปญฺจธา ปญฺญโตฺต, ตถา อตฺถงฺคโมฯ อสฺสาโท ทุวิเธน ปญฺญโตฺตฯ อาทีนโว ติวิเธน ปญฺญโตฺตฯ นิสฺสรณํ เอกธา จตุธา จ ปญฺญตฺตํ…เป.… อนุปาทาวิมุตฺติ ทุวิเธน ปญฺญตฺตาฯ

    Āghāto vatthuvasena dasavidhena ekūnavīsatividhena vā paññatto. Appaccayo upavicāravasena chadhā paññatto. Ānandopītiādivasena navadhā paññatto. Pīti sāmaññato khuddikādivasena pañcadhā paññattā. Somanassaṃ upavicāravasena chadhā paññattaṃ. Sīlaṃ vārittacārittādivasena anekadhā paññattaṃ. Gambhīratādivisesayuttaṃ ñāṇaṃ cittuppādavasena catudhā, dvādasavidhena vā, visayabhedato anekadhā ca paññattaṃ. Diṭṭhisassatādivasena dvāsaṭṭhiyā bhedehi, tadantogadhavibhāgena anekadhā ca paññattā. Vedanā chadhā aṭṭhasatadhā anekadhā ca paññattā. Tassā samudayo pañcadhā paññatto, tathā atthaṅgamo. Assādo duvidhena paññatto. Ādīnavo tividhena paññatto. Nissaraṇaṃ ekadhā catudhā ca paññattaṃ…pe… anupādāvimutti duvidhena paññattā.

    ‘‘อชานตํ อปสฺสต’’นฺติ วุตฺตา อวิชฺชา วิสยเภเทน จตุธา อฎฺฐธา จ ปญฺญตฺตาฯ ‘‘ตณฺหาคตาน’’นฺติอาทินา วุตฺตา ตณฺหา ฉธา อฎฺฐสตธา อเนกธา จ ปญฺญตฺตาฯ ผโสฺส นิสฺสยวเสน ฉธา ปญฺญโตฺตฯ อุปาทานํ จตุธา ปญฺญตฺตํฯ ภโว ทฺวิธา อเนกธา จ ปญฺญโตฺตฯ ชาติ เววจนวเสน ฉธา ปญฺญตฺตาฯ ตถา ชรา สตฺตธา ปญฺญตฺตาฯ มรณํ อฎฺฐธา นวธา จ ปญฺญตฺตํฯ โสโก ปญฺจธา ปญฺญโตฺตฯ ปริเทโว ฉธา ปญฺญโตฺตฯ ทุกฺขํ จตุธา ปญฺญตฺตํ, ตถา โทมนสฺสํฯ อุปายาโส จตุธา ปญฺญโตฺตฯ ‘‘สมุทโย โหตี’’ติ ปภวปญฺญตฺติ, ‘‘ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติ ทุกฺขสฺส ปริญฺญาปญฺญตฺติ, สมุทยสฺส ปหานปญฺญตฺติ, นิโรธสฺส สจฺฉิกิริยาปญฺญตฺติ, มคฺคสฺส ภาวนาปญฺญตฺติฯ

    ‘‘Ajānataṃ apassata’’nti vuttā avijjā visayabhedena catudhā aṭṭhadhā ca paññattā. ‘‘Taṇhāgatāna’’ntiādinā vuttā taṇhā chadhā aṭṭhasatadhā anekadhā ca paññattā. Phasso nissayavasena chadhā paññatto. Upādānaṃ catudhā paññattaṃ. Bhavo dvidhā anekadhā ca paññatto. Jāti vevacanavasena chadhā paññattā. Tathā jarā sattadhā paññattā. Maraṇaṃ aṭṭhadhā navadhā ca paññattaṃ. Soko pañcadhā paññatto. Paridevo chadhā paññatto. Dukkhaṃ catudhā paññattaṃ, tathā domanassaṃ. Upāyāso catudhā paññatto. ‘‘Samudayo hotī’’ti pabhavapaññatti, ‘‘yathābhūtaṃ pajānātī’’ti dukkhassa pariññāpaññatti, samudayassa pahānapaññatti, nirodhassa sacchikiriyāpaññatti, maggassa bhāvanāpaññatti.

    ‘‘อโนฺตชาลีกตา’’ติอาทิ สพฺพทิฎฺฐีนํ สงฺคหปญฺญตฺติฯ ‘‘อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโก’’ติอาทิ ทุวิเธน ปรินิพฺพานปญฺญตฺติฯ เอวํ อาฆาตาทีนํ อกุสลกุสลาทิธมฺมานํ ยถาปภวปญฺญตฺติอาทิวเสน, ตถา ‘‘อาฆาโต’’ติ พฺยาปาทสฺส เววจนปญฺญตฺติ, ‘‘อปฺปจฺจโย’’ติ โทมนสฺสสฺส เววจนปญฺญตฺตีติอาทินา นเยน ปญฺญตฺติเภโท วิภชิตโพฺพติ อยํ ปญฺญตฺติหาโรฯ

    ‘‘Antojālīkatā’’tiādi sabbadiṭṭhīnaṃ saṅgahapaññatti. ‘‘Ucchinnabhavanettiko’’tiādi duvidhena parinibbānapaññatti. Evaṃ āghātādīnaṃ akusalakusalādidhammānaṃ yathāpabhavapaññattiādivasena, tathā ‘‘āghāto’’ti byāpādassa vevacanapaññatti, ‘‘appaccayo’’ti domanassassa vevacanapaññattītiādinā nayena paññattibhedo vibhajitabboti ayaṃ paññattihāro.

    โอตรณหารวณฺณนา

    Otaraṇahāravaṇṇanā

    อาฆาตคฺคหเณน สงฺขารกฺขนฺธสงฺคโห, ตถา อนภิรทฺธิคหเณนฯ อปฺปจฺจยคฺคหเณน เวทนากฺขนฺธสงฺคโหติ อิทํ ขนฺธมุเขน โอตรณํฯ ตถา อาฆาตาทิคฺคหเณน ธมฺมายตนํ ธมฺมธาตุ ทุกฺขสจฺจํ สมุทยสจฺจํ วา คหิตนฺติ อิทํ อายตนมุเขน ธาตุมุเขน สจฺจมุเขนโอตรณํฯ ตถา อาฆาตาทีนํ สหชาตา อวิชฺชา เหตุสหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตปจฺจเยหิ ปจฺจโย โหติ, อสหชาตา ปน อนนฺตรสมนนฺตรอนนฺตรูปนิสฺสยนตฺถิวิคตาเสวนปจฺจเยหิ ปจฺจโย โหติ, อนนฺตรา อุปนิสฺสยวเสเนว ปจฺจโย โหติ ฯ ตณฺหาอุปาทานาทีนํ, ผสฺสาทีนมฺปิ เตสํ สหชาตานํ อสหชาตานญฺจ ยถารหํ ปจฺจยภาโว วตฺตโพฺพฯ โกจิ ปเนตฺถ อธิปติวเสน, โกจิ กมฺมวเสน, โกจิ อาหารวเสน, โกจิ อินฺทฺริยวเสน, โกจิ ฌานวเสน, โกจิ มคฺควเสนปิ ปจฺจโย โหตีติฯ อยมฺปิ วิเสโส เวทิตโพฺพติ อิทํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทมุเขน โอตรณํฯ อานนฺทาทีนมฺปิ อิมินาว นเยน ขนฺธาทิมุเขน โอตรณํ วิภาเวตพฺพํฯ

    Āghātaggahaṇena saṅkhārakkhandhasaṅgaho, tathā anabhiraddhigahaṇena. Appaccayaggahaṇena vedanākkhandhasaṅgahoti idaṃ khandhamukhena otaraṇaṃ. Tathā āghātādiggahaṇena dhammāyatanaṃ dhammadhātu dukkhasaccaṃ samudayasaccaṃ vā gahitanti idaṃ āyatanamukhena dhātumukhena saccamukhena ca otaraṇaṃ. Tathā āghātādīnaṃ sahajātā avijjā hetusahajātaaññamaññanissayasampayuttaatthiavigatapaccayehi paccayo hoti, asahajātā pana anantarasamanantaraanantarūpanissayanatthivigatāsevanapaccayehi paccayo hoti, anantarā upanissayavaseneva paccayo hoti . Taṇhāupādānādīnaṃ, phassādīnampi tesaṃ sahajātānaṃ asahajātānañca yathārahaṃ paccayabhāvo vattabbo. Koci panettha adhipativasena, koci kammavasena, koci āhāravasena, koci indriyavasena, koci jhānavasena, koci maggavasenapi paccayo hotīti. Ayampi viseso veditabboti idaṃ paṭiccasamuppādamukhena otaraṇaṃ. Ānandādīnampi imināva nayena khandhādimukhena otaraṇaṃ vibhāvetabbaṃ.

    ตถา สีลํ ปาณาติปาตาทีหิ วิรติเจตนา, อพฺยาปาทาทิเจตสิกธมฺมา จ, ปาณาติปาตาทโย เจตนาว, เตสํ ตทุปการกธมฺมานญฺจ ลชฺชาทยาทีนํ สงฺขารกฺขนฺธธมฺมายตนาทิสงฺคโห, ปุริมนเยเนว ขนฺธาทิมุเขน จ โอตรณํ วิภาเวตพฺพํฯ เอส นโย ญาณทิฎฺฐิเวทนาอวิชฺชาตณฺหาทิคฺคหเณสุฯ นิสฺสรณอนุปาทาวิมุตฺติคหเณสุ อสงฺขตธาตุวเสนปิ ธาตุมุเขน โอตรณํ วิภาเวตพฺพํฯ ตถา ‘‘เวทนานํ…เป.… อนุปาทาวิมุโตฺต’’ติ เอเตน ภควโต สีลาทโย ปญฺจ ธมฺมกฺขนฺธา, สติปฎฺฐานาทโย จ โพธิปกฺขิยธมฺมา ปกาสิตา โหนฺตีติ ตํ มุเขนปิ โอตรณํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา’’ติ ทิฎฺฐิปญฺญาปนสฺส ปจฺจยาธีนวุตฺติตาทีปเนน อนิจฺจตามุเขน โอตรณํ, ตถา เอวํธมฺมตาย ปฎิจฺจสมุปฺปาทมุเขน โอตรณํ, อนิจฺจสฺส ทุกฺขานตฺตภาวโต อปฺปณิหิตมุเขน สุญฺญตามุเขน โอตรณํฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยติ อยํ โอตรโณ หาโรฯ

    Tathā sīlaṃ pāṇātipātādīhi viraticetanā, abyāpādādicetasikadhammā ca, pāṇātipātādayo cetanāva, tesaṃ tadupakārakadhammānañca lajjādayādīnaṃ saṅkhārakkhandhadhammāyatanādisaṅgaho, purimanayeneva khandhādimukhena ca otaraṇaṃ vibhāvetabbaṃ. Esa nayo ñāṇadiṭṭhivedanāavijjātaṇhādiggahaṇesu. Nissaraṇaanupādāvimuttigahaṇesu asaṅkhatadhātuvasenapi dhātumukhena otaraṇaṃ vibhāvetabbaṃ. Tathā ‘‘vedanānaṃ…pe… anupādāvimutto’’ti etena bhagavato sīlādayo pañca dhammakkhandhā, satipaṭṭhānādayo ca bodhipakkhiyadhammā pakāsitā hontīti taṃ mukhenapi otaraṇaṃ veditabbaṃ. ‘‘Tadapi phassapaccayā’’ti diṭṭhipaññāpanassa paccayādhīnavuttitādīpanena aniccatāmukhena otaraṇaṃ, tathā evaṃdhammatāya paṭiccasamuppādamukhena otaraṇaṃ, aniccassa dukkhānattabhāvato appaṇihitamukhena suññatāmukhena ca otaraṇaṃ. Sesapadesupi eseva nayoti ayaṃ otaraṇo hāro.

    โสธนหารวณฺณนา

    Sodhanahāravaṇṇanā

    ‘‘มมํ วา…เป.… ภาเสยฺยุ’’นฺติ อารโมฺภฯ ‘‘ธมฺมสฺส…เป.… สงฺฆสฺส…เป.… ภาเสยฺยุ’’นฺติ ปทสุทฺธิ, โน อารมฺภสุทฺธิฯ ‘‘ตตฺร ตุเมฺหหิ…เป.… กรณียา’’ติ ปทสุทฺธิ เจว อารมฺภสุทฺธิ จฯ ทุติยนยาทีสุปิ เอเสว นโย ฯ ตถา ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนต’’นฺติอาทิ อารโมฺภฯ ‘‘กตม’’นฺติอาทิ ปุจฺฉาฯ ‘‘ปาณาติปาตํ ปหายา’’ติอาทิ ปทสุทฺธิ, โน อารมฺภสุทฺธิ, โน จ ปุจฺฉาสุทฺธิฯ ‘‘อิทํ โข’’ติอาทิ ปุจฺฉาสุทฺธิ เจว ปทสุทฺธิ จ อารมฺภสุทฺธิ จฯ

    ‘‘Mamaṃ vā…pe… bhāseyyu’’nti ārambho. ‘‘Dhammassa…pe… saṅghassa…pe… bhāseyyu’’nti padasuddhi, no ārambhasuddhi. ‘‘Tatra tumhehi…pe… karaṇīyā’’ti padasuddhi ceva ārambhasuddhi ca. Dutiyanayādīsupi eseva nayo . Tathā ‘‘appamattakaṃ kho paneta’’ntiādi ārambho. ‘‘Katama’’ntiādi pucchā. ‘‘Pāṇātipātaṃ pahāyā’’tiādi padasuddhi, no ārambhasuddhi, no ca pucchāsuddhi. ‘‘Idaṃ kho’’tiādi pucchāsuddhi ceva padasuddhi ca ārambhasuddhi ca.

    ตถา ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว’’ติอาทิ อารโมฺภฯ ‘‘กตเม จ เต’’ติอาทิ ปุจฺฉาฯ ‘‘สนฺติ ภิกฺขเว’’ติอาทิ อารโมฺภฯ ‘‘กิ’’นฺติอาทิ อารมฺภ ปุจฺฉาฯ ‘‘ยถาสมาหิเต’’ติอาทิ ปทสุทฺธิ, โน อารมฺภสุทฺธิ โน จ ปุจฺฉาสุทฺธิฯ ‘‘อิเม โข เต’’ติอาทิ ปทสุทฺธิ เจว ปุจฺฉาสุทฺธิ จ อารมฺภสุทฺธิ จฯ อิมินา นเยน สพฺพตฺถ อารมฺภาทโย เวทิตพฺพาติฯ อยํ โสธโน หาโรฯ

    Tathā ‘‘atthi bhikkhave’’tiādi ārambho. ‘‘Katame ca te’’tiādi pucchā. ‘‘Santi bhikkhave’’tiādi ārambho. ‘‘Ki’’ntiādi ārambha pucchā. ‘‘Yathāsamāhite’’tiādi padasuddhi, no ārambhasuddhi no ca pucchāsuddhi. ‘‘Ime kho te’’tiādi padasuddhi ceva pucchāsuddhi ca ārambhasuddhi ca. Iminā nayena sabbattha ārambhādayo veditabbāti. Ayaṃ sodhano hāro.

    อธิฎฺฐานหารวณฺณนา

    Adhiṭṭhānahāravaṇṇanā

    ‘‘อวณฺณ’’นฺติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ ตํ, อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘มมํ วา ธมฺมสฺส วา สงฺฆสฺส วา’’ติฯ สุกฺกปเกฺขปิ เอเสว นโยฯ

    ‘‘Avaṇṇa’’nti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ taṃ, avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘mamaṃ vā dhammassa vā saṅghassa vā’’ti. Sukkapakkhepi eseva nayo.

    ตถา ‘‘สีล’’นฺติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต’’ติอาทิฯ

    Tathā ‘‘sīla’’nti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘pāṇātipātā paṭivirato’’tiādi.

    ‘‘อเญฺญว ธมฺมา’’ติอาทิ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘ตยิทํ ภิกฺขเว ตถาคโต ปชานาตี’’ติอาทิฯ

    ‘‘Aññeva dhammā’’tiādi sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘tayidaṃ bhikkhave tathāgato pajānātī’’tiādi.

    ตถา ‘‘ปุพฺพนฺตกปฺปิกา’’ติอาทิ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘สสฺสตวาทา’’ติอาทิฯ อิมินา นเยน สพฺพตฺถ สามญฺญวิเสโส นิทฺธาเรตโพฺพติ อยํ อธิฎฺฐาโน หาโรฯ

    Tathā ‘‘pubbantakappikā’’tiādi sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘sassatavādā’’tiādi. Iminā nayena sabbattha sāmaññaviseso niddhāretabboti ayaṃ adhiṭṭhāno hāro.

    ปริกฺขารหารวณฺณนา

    Parikkhārahāravaṇṇanā

    อาฆาตาทีนํ ‘‘อนตฺถํ เม อจรี’’ติอาทีนิ (ธ. ส. ๑๒๓๗; วิภ. ๙๐๙) จ เอกูนวีสติ อาฆาตวตฺถูนิ เหตุฯ อานนฺทาทีนํ อารมฺมเณ อภิสิเนโห เหตุฯ สีลสฺส หิริโอตฺตปฺปํ อปฺปิจฺฉตาทโย จ เหตุฯ ‘‘คมฺภีรา’’ติอาทินา วุตฺตธมฺมสฺส สพฺพาปิ ปารมิโย เหตุ, วิเสเสน ปญฺญาปารมีฯ ทิฎฺฐีนํ อสปฺปุริสูปสฺสโย, อสทฺธมฺมสฺสวนํ, มิจฺฉาภินิเวเสน อโยนิโสมนสิกาโร จ อวิเสเสน เหตุ, วิเสเสน ปน สสฺสตวาทาทีนํ อตีตชาติอนุสฺสรณาทิ เหตุฯ เวทนานํ อวิชฺชาตณฺหากมฺมานิ ผโสฺส จ เหตุฯ อนุปาทาวิมุตฺติยา อริยมโคฺค เหตุฯ ปญฺญาปนสฺส อโยนิโสมนสิกาโร เหตุฯ ตณฺหาย สํโยชนิเยสุ อสฺสาทานุปสฺสนา เหตุฯ ผสฺสสฺส ฉฬายตนานิ, ฉฬายตนสฺส นามรูปํ เหตุฯ ภวเนตฺติสมุเจฺฉทสฺส วิสุทฺธิภาวนา เหตูติ อยํ ปริกฺขาโร หาโรฯ

    Āghātādīnaṃ ‘‘anatthaṃ me acarī’’tiādīni (dha. sa. 1237; vibha. 909) ca ekūnavīsati āghātavatthūni hetu. Ānandādīnaṃ ārammaṇe abhisineho hetu. Sīlassa hiriottappaṃ appicchatādayo ca hetu. ‘‘Gambhīrā’’tiādinā vuttadhammassa sabbāpi pāramiyo hetu, visesena paññāpāramī. Diṭṭhīnaṃ asappurisūpassayo, asaddhammassavanaṃ, micchābhinivesena ayonisomanasikāro ca avisesena hetu, visesena pana sassatavādādīnaṃ atītajātianussaraṇādi hetu. Vedanānaṃ avijjātaṇhākammāni phasso ca hetu. Anupādāvimuttiyā ariyamaggo hetu. Paññāpanassa ayonisomanasikāro hetu. Taṇhāya saṃyojaniyesu assādānupassanā hetu. Phassassa chaḷāyatanāni, chaḷāyatanassa nāmarūpaṃ hetu. Bhavanettisamucchedassa visuddhibhāvanā hetūti ayaṃ parikkhāro hāro.

    สมาโรปนหารวณฺณนา

    Samāropanahāravaṇṇanā

    อาฆาตาทีนํ อกรณียตาวจเนน ขนฺติสมฺปทา ทสฺสิตา โหติฯ ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนต’’นฺติอาทินา โสรจฺจสมฺปทา, ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว’’ติอาทินา ญาณสมฺปทา, ‘‘อปรามสโต จสฺส ปจฺจตฺตเญฺญว นิพฺพุติ วิทิตา’’ติ, ‘‘เวทนานํ…เป.… ยถาภูตํ วิทิตฺวา อนุปาทาวิมุโตฺต’’ติ เอเตหิ สมาธิสมฺปทาย สทฺธิํ วิชฺชาวิมุตฺติวสีภาวสมฺปทา ทสฺสิตา โหติฯ ตตฺถ ขนฺติสมฺปทา ปฎิสงฺขานพลสิทฺธิโต โสรจฺจสมฺปทาย ปทฎฺฐานํฯ โสรจฺจสมฺปทา ปน อตฺถโต สีลเมว, ตถา ปาณาติปาตาทีหิ ปฎิวิรติวจนํ สีลสฺส ปริยายวิภาคทสฺสนตฺถํฯ ตตฺถ สีลํ สมาธิสฺส ปทฎฺฐานํ, สมาธิ ปญฺญาย ปทฎฺฐานํฯ เตสุ สีเลน วีติกฺกมปฺปหานํ ทุจฺจริตสํกิเลสปฺปหานญฺจ สิชฺฌติ, สมาธินา ปริยุฎฺฐานปฺปหานํ, วิกฺขมฺภนปฺปหานํ, ตณฺหาสํกิเลสปฺปหานญฺจ สิชฺฌติฯ ปญฺญาย ทิฎฺฐิสํกิเลสปฺปหานํ, สมุเจฺฉทปฺปหานํ, อนุสยปฺปหานญฺจ สิชฺฌตีติ สีลาทีหิ ตีหิ ธมฺมกฺขเนฺธหิ สมถวิปสฺสนาภาวนาปาริปูรี, ปหานตฺตยสิทฺธิ จาติ อยํ สมาโรปโน หาโรฯ

    Āghātādīnaṃ akaraṇīyatāvacanena khantisampadā dassitā hoti. ‘‘Appamattakaṃ kho paneta’’ntiādinā soraccasampadā, ‘‘atthi bhikkhave’’tiādinā ñāṇasampadā, ‘‘aparāmasato cassa paccattaññeva nibbuti viditā’’ti, ‘‘vedanānaṃ…pe… yathābhūtaṃ viditvā anupādāvimutto’’ti etehi samādhisampadāya saddhiṃ vijjāvimuttivasībhāvasampadā dassitā hoti. Tattha khantisampadā paṭisaṅkhānabalasiddhito soraccasampadāya padaṭṭhānaṃ. Soraccasampadā pana atthato sīlameva, tathā pāṇātipātādīhi paṭivirativacanaṃ sīlassa pariyāyavibhāgadassanatthaṃ. Tattha sīlaṃ samādhissa padaṭṭhānaṃ, samādhi paññāya padaṭṭhānaṃ. Tesu sīlena vītikkamappahānaṃ duccaritasaṃkilesappahānañca sijjhati, samādhinā pariyuṭṭhānappahānaṃ, vikkhambhanappahānaṃ, taṇhāsaṃkilesappahānañca sijjhati. Paññāya diṭṭhisaṃkilesappahānaṃ, samucchedappahānaṃ, anusayappahānañca sijjhatīti sīlādīhi tīhi dhammakkhandhehi samathavipassanābhāvanāpāripūrī, pahānattayasiddhi cāti ayaṃ samāropano hāro.

    โสฬสหารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Soḷasahāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปญฺจวิธนยวณฺณนา

    Pañcavidhanayavaṇṇanā

    นนฺทิยาวฎฺฎนยวณฺณนา

    Nandiyāvaṭṭanayavaṇṇanā

    อาฆาตาทีนํ อกรณวจเนน ตณฺหาวิชฺชาสโงฺกโจ ทสฺสิโต โหติฯ สติ หิ อตฺตตฺตนิยวตฺถูสุ สิเนเห สโมฺมเส จ ‘‘อนตฺถํ เม อจรี’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๒๓๗, วิภ. ๙๐๙) อาฆาโต ชายตีติ, ตถา ‘‘ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต’’ติอาทิวจเนหิ , ‘‘ปจฺจตฺตเญฺญว นิพฺพุติ วิทิตา, อนุปาทาวิมุโตฺต, ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ…เป.… ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติอาทีหิ วจเนหิ จ ตณฺหาวิชฺชานํ อจฺจนฺตปฺปหานํ ทสฺสิตํ โหติฯ ตาสํ ปน ปุพฺพนฺตกปฺปิกาทิปเทหิ ‘‘อชานตํ อปสฺสต’’นฺติอาทิปเทหิ จ สรูปโต ทสฺสิตานํ ตณฺหาวิชฺชานํ รูปธมฺมา อรูปธมฺมา จ อธิฎฺฐานํฯ ยถากฺกมํ สมโถ จ วิปสฺสนา จ ปฎิปโกฺขฯ เตสํ เจโตวิมุตฺติ ปญฺญาวิมุตฺติ จ ผลํฯ ตตฺถ ตณฺหา, ตณฺหาวิชฺชา วา สมุทยสจฺจํ, ตทธิฎฺฐานภูตา รูปารูปธมฺมา ทุกฺขสจฺจํ, เตสํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปชานนา สมถวิปสฺสนา มคฺคสจฺจนฺติ เอวํ จตุสจฺจโยชนา เวทิตพฺพาฯ ตณฺหาคฺคหเณน เจตฺถ มายาสาเฐยฺยมานาติมานมทปฺปมาทปาปิจฺฉตาปาปมิตฺตตาอหิริกาโนตฺตปฺปาทิวเสน สโพฺพ อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ ตถา อวิชฺชาคฺคหเณน วิปรีตมนสิการโกธุปนาหมกฺขปลาสอิสฺสามจฺฉริยสารมฺภโทวจสฺสตา- ภวทิฎฺฐิวิภวทิฎฺฐาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ วุตฺตวิปริยาเยน อมายาอสาเฐยฺยาทิอวิปรีตมนสิการาทิวเสน, ตถา สมถปกฺขิยานํ สทฺธินฺทฺริยาทีนํ, วิปสฺสนาปกฺขิยานญฺจ อนิจฺจสญฺญาทีนํ วเสน กุสลปโกฺข เนตโพฺพติฯ อยํ นนฺทิยาวฎฺฎสฺส นยสฺส ภูมิฯ

    Āghātādīnaṃ akaraṇavacanena taṇhāvijjāsaṅkoco dassito hoti. Sati hi attattaniyavatthūsu sinehe sammose ca ‘‘anatthaṃ me acarī’’tiādinā (dha. sa. 1237, vibha. 909) āghāto jāyatīti, tathā ‘‘pāṇātipātā paṭivirato’’tiādivacanehi , ‘‘paccattaññeva nibbuti viditā, anupādāvimutto, channaṃ phassāyatanānaṃ…pe… yathābhūtaṃ pajānātī’’tiādīhi vacanehi ca taṇhāvijjānaṃ accantappahānaṃ dassitaṃ hoti. Tāsaṃ pana pubbantakappikādipadehi ‘‘ajānataṃ apassata’’ntiādipadehi ca sarūpato dassitānaṃ taṇhāvijjānaṃ rūpadhammā arūpadhammā ca adhiṭṭhānaṃ. Yathākkamaṃ samatho ca vipassanā ca paṭipakkho. Tesaṃ cetovimutti paññāvimutti ca phalaṃ. Tattha taṇhā, taṇhāvijjā vā samudayasaccaṃ, tadadhiṭṭhānabhūtā rūpārūpadhammā dukkhasaccaṃ, tesaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, nirodhapajānanā samathavipassanā maggasaccanti evaṃ catusaccayojanā veditabbā. Taṇhāggahaṇena cettha māyāsāṭheyyamānātimānamadappamādapāpicchatāpāpamittatāahirikānottappādivasena sabbo akusalapakkho netabbo. Tathā avijjāggahaṇena viparītamanasikārakodhupanāhamakkhapalāsaissāmacchariyasārambhadovacassatā- bhavadiṭṭhivibhavadiṭṭhādivasena akusalapakkho netabbo. Vuttavipariyāyena amāyāasāṭheyyādiaviparītamanasikārādivasena, tathā samathapakkhiyānaṃ saddhindriyādīnaṃ, vipassanāpakkhiyānañca aniccasaññādīnaṃ vasena kusalapakkho netabboti. Ayaṃ nandiyāvaṭṭassa nayassa bhūmi.

    ติปุกฺขลนยวณฺณนา

    Tipukkhalanayavaṇṇanā

    อาฆาตาทีนํ อกรณวจเนน อโทสสิทฺธิ, ตถา ปาณาติปาตผรุสวาจาหิ ปฎิวิรติวจเนนฯ อานนฺทาทีนํ อกรณวจเนน อโลภสิทฺธิ, ตถา อพฺรหฺมจริยโต ปฎิวิรติวจเนนฯ อทินฺนาทานาทีหิ ปน ปฎิวิรติวจเนน อุภยสิทฺธิฯ ‘‘ตยิทํ ภิกฺขเว ตถาคโต ปชานาตี’’ติอาทินา อโมหสิทฺธิฯ อิติ ตีหิ อกุสลมูเลหิ คหิเตหิ ตปฺปฎิปกฺขโต, อาฆาตาทิอกรณวจเนน จ ตีณิ กุสลมูลานิ สิทฺธานิเยว โหนฺติฯ ตตฺถ ตีหิ อกุสลมูเลหิ ติวิธทุจฺจริตสํกิเลสมลวิสมากุสลสญฺญาวิตกฺกาสทฺธมฺมาทิวเสน สโพฺพ อกุสลปโกฺข วิตฺถาเรตโพฺพฯ ตถา ตีหิ กุสลมูเลหิ ติวิธสุจริตโวทานสมกุสลสญฺญาวิตกฺกปญฺญาสทฺธมฺมสมาธิ- วิโมกฺขมุขวิโมกฺขาทิวเสน สโพฺพ กุสลปโกฺข วิภาเวตโพฺพฯ เอตฺถาปิ จ สจฺจโยชนา เวทิตพฺพาฯ กถํ? โลโภ สพฺพานิ วา กุสลากุสลมูลานิ สมุทยสจฺจํ, เตหิ ปน นิพฺพตฺตา เตสํ อธิฎฺฐานโคจรภูตา อุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจนฺติอาทินา นเยน สจฺจโยชนา เวทิตพฺพาติ อยํ ติปุกฺขลสฺส นยสฺส ภูมิฯ

    Āghātādīnaṃ akaraṇavacanena adosasiddhi, tathā pāṇātipātapharusavācāhi paṭivirativacanena. Ānandādīnaṃ akaraṇavacanena alobhasiddhi, tathā abrahmacariyato paṭivirativacanena. Adinnādānādīhi pana paṭivirativacanena ubhayasiddhi. ‘‘Tayidaṃ bhikkhave tathāgato pajānātī’’tiādinā amohasiddhi. Iti tīhi akusalamūlehi gahitehi tappaṭipakkhato, āghātādiakaraṇavacanena ca tīṇi kusalamūlāni siddhāniyeva honti. Tattha tīhi akusalamūlehi tividhaduccaritasaṃkilesamalavisamākusalasaññāvitakkāsaddhammādivasena sabbo akusalapakkho vitthāretabbo. Tathā tīhi kusalamūlehi tividhasucaritavodānasamakusalasaññāvitakkapaññāsaddhammasamādhi- vimokkhamukhavimokkhādivasena sabbo kusalapakkho vibhāvetabbo. Etthāpi ca saccayojanā veditabbā. Kathaṃ? Lobho sabbāni vā kusalākusalamūlāni samudayasaccaṃ, tehi pana nibbattā tesaṃ adhiṭṭhānagocarabhūtā upādānakkhandhā dukkhasaccantiādinā nayena saccayojanā veditabbāti ayaṃ tipukkhalassa nayassa bhūmi.

    สีหวิกฺกีฬิตนยววณฺณนา

    Sīhavikkīḷitanayavavaṇṇanā

    อาฆาตานนฺทนาทีนํ อกรณวจเนน สติสิทฺธิฯ สติยา หิ สาวชฺชานวเชฺช, ตตฺถ จ อาทีนวานิสํเส สลฺลเกฺขตฺวา สาวชฺชํ ปหาย อนวชฺชํ สมาทาย วตฺตตีติฯ ตถา มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรติวจเนน วีริยสิทฺธิฯ วีริเยน หิ กามพฺยาปาทวิหิํสาวิตเกฺก วิโนเทติ, วีริยสาธนญฺจ อาชีวปาริสุทฺธิสีลนฺติฯ ปาณาติปาตาทีหิ ปฎิวิรติวจเนน สติสิทฺธิฯ สติยา หิ สาวชฺชานวเชฺช, ตตฺถ จ อาทีนวานิสํเส สลฺลเกฺขตฺวา สาวชฺชํ ปหาย อนวชฺชํ สมาทาย วตฺตติฯ ตถา หิ สา ‘‘วิสยาภิมุขภาวปจฺจุปฎฺฐานา’’ติ จ วุจฺจติฯ ‘‘ตยิทํ ภิกฺขเว ตถาคโต ปชานาตี’’ติอาทินา สมาธิปญฺญาสิทฺธิฯ ปญฺญาย หิ ยถาภูตาวโพโธ, สมาหิโต จ ยถาภูตํ ปชานาตีติฯ ตถา ‘‘นิโจฺจ ธุโว’’ติอาทินา อนิเจฺจ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ วิปลฺลาโส, ‘‘อโรโค ปรํ มรณา, เอกนฺตสุขี อตฺตา ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานปฺปโตฺต’’ติ จ เอวมาทีหิ อสุเข ‘‘สุข’’นฺติ วิปลฺลาโส, ‘‘ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต’’ติอาทินา อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ วิปลฺลาโส, สเพฺพเหว จ ทิฎฺฐิทีปกปเทหิ อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ วิปลฺลาโสติ เอวเมตฺถ จตฺตาโร วิปลฺลาสา สิทฺธา โหนฺติ, เตสํ ปฎิปกฺขโต จตฺตาริ สติปฎฺฐานานิ สิทฺธาเนว โหนฺติฯ ตตฺถ จตูหิ อินฺทฺริเยหิ จตฺตาโร ปุคฺคลา นิทฺทิสิตพฺพาฯ

    Āghātānandanādīnaṃ akaraṇavacanena satisiddhi. Satiyā hi sāvajjānavajje, tattha ca ādīnavānisaṃse sallakkhetvā sāvajjaṃ pahāya anavajjaṃ samādāya vattatīti. Tathā micchājīvā paṭivirativacanena vīriyasiddhi. Vīriyena hi kāmabyāpādavihiṃsāvitakke vinodeti, vīriyasādhanañca ājīvapārisuddhisīlanti. Pāṇātipātādīhi paṭivirativacanena satisiddhi. Satiyā hi sāvajjānavajje, tattha ca ādīnavānisaṃse sallakkhetvā sāvajjaṃ pahāya anavajjaṃ samādāya vattati. Tathā hi sā ‘‘visayābhimukhabhāvapaccupaṭṭhānā’’ti ca vuccati. ‘‘Tayidaṃ bhikkhave tathāgato pajānātī’’tiādinā samādhipaññāsiddhi. Paññāya hi yathābhūtāvabodho, samāhito ca yathābhūtaṃ pajānātīti. Tathā ‘‘nicco dhuvo’’tiādinā anicce ‘‘nicca’’nti vipallāso, ‘‘arogo paraṃ maraṇā, ekantasukhī attā diṭṭhadhammanibbānappatto’’ti ca evamādīhi asukhe ‘‘sukha’’nti vipallāso, ‘‘pañcahi kāmaguṇehi samappito’’tiādinā asubhe ‘‘subha’’nti vipallāso, sabbeheva ca diṭṭhidīpakapadehi anattani ‘‘attā’’ti vipallāsoti evamettha cattāro vipallāsā siddhā honti, tesaṃ paṭipakkhato cattāri satipaṭṭhānāni siddhāneva honti. Tattha catūhi indriyehi cattāro puggalā niddisitabbā.

    กถํ? ทุวิโธ หิ ตณฺหาจริโต มุทินฺทฺริโย จ ติกฺขินฺทฺริโย จาติ, ตถา ทิฎฺฐิจริโตฯ เตสุ ปฐโม อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ วิปลฺลตฺตทิฎฺฐิ สติพเลน ยถาภูตํ กายสภาวํ สลฺลเกฺขตฺวา สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ ทุติโย อสุเข ‘‘สุข’’นฺติ วิปลฺลตฺตทิฎฺฐิ ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๔; ๖.๕๘) วุเตฺตน วีริยสํวรสงฺขาเตน วีริยพเลน ตํ วิปลฺลาสํ วิธมติฯ ตติโย อนิเจฺจ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ อยาถาวคาหี สมถพเลน สมาหิตภาวโต สงฺขารานํ ขณิกภาวํ ยถาภูตํ ปฎิวิชฺฌติฯ จตุโตฺถ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนวิจิตฺตตฺตา ผสฺสาทิธมฺมปุญฺชมเตฺต อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ มิจฺฉาภินิเวสี จตุโกฎิกสุญฺญตามนสิกาเรน ตํ มิจฺฉาภินิเวสํ วิทฺธํเสติฯ จตูหิ เจตฺถ วิปลฺลาเสหิ จตุราสโวฆโยคกายคนฺถอคติตณฺหุปฺปาทุปาทานสตฺตวิญฺญาณฎฺฐิติอปริญฺญาทิวเสน สโพฺพ อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ ตถา จตูหิ สติปฎฺฐาเนหิ จตุพฺพิธฌานวิหาราธิฎฺฐานสุขภาคิยธมฺมอปฺปมญฺญาสมฺมปฺปธานอิทฺธิปาทาทิวเสน สโพฺพ โวทานปโกฺข เนตโพฺพติ อยํ สีหวิกฺกีฬิตสฺส นยสฺส ภูมิฯ อิธาปิ สุภสญฺญาสุขสญฺญาหิ, จตูหิปิ วา วิปลฺลาเสหิ สมุทยสจฺจํ , เตสํ อธิฎฺฐานารมฺมณภูตา ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจนฺติอาทินา สจฺจโยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Kathaṃ? Duvidho hi taṇhācarito mudindriyo ca tikkhindriyo cāti, tathā diṭṭhicarito. Tesu paṭhamo asubhe ‘‘subha’’nti vipallattadiṭṭhi satibalena yathābhūtaṃ kāyasabhāvaṃ sallakkhetvā sammattaniyāmaṃ okkamati. Dutiyo asukhe ‘‘sukha’’nti vipallattadiṭṭhi ‘‘uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’tiādinā (ma. ni. 1.26; a. ni. 4.14; 6.58) vuttena vīriyasaṃvarasaṅkhātena vīriyabalena taṃ vipallāsaṃ vidhamati. Tatiyo anicce ‘‘nicca’’nti ayāthāvagāhī samathabalena samāhitabhāvato saṅkhārānaṃ khaṇikabhāvaṃ yathābhūtaṃ paṭivijjhati. Catuttho santatisamūhakiccārammaṇaghanavicittattā phassādidhammapuñjamatte anattani ‘‘attā’’ti micchābhinivesī catukoṭikasuññatāmanasikārena taṃ micchābhinivesaṃ viddhaṃseti. Catūhi cettha vipallāsehi caturāsavoghayogakāyaganthaagatitaṇhuppādupādānasattaviññāṇaṭṭhitiapariññādivasena sabbo akusalapakkho netabbo. Tathā catūhi satipaṭṭhānehi catubbidhajhānavihārādhiṭṭhānasukhabhāgiyadhammaappamaññāsammappadhānaiddhipādādivasena sabbo vodānapakkho netabboti ayaṃ sīhavikkīḷitassa nayassa bhūmi. Idhāpi subhasaññāsukhasaññāhi, catūhipi vā vipallāsehi samudayasaccaṃ , tesaṃ adhiṭṭhānārammaṇabhūtā pañcupādānakkhandhā dukkhasaccantiādinā saccayojanā veditabbā.

    ทิสาโลจนองฺกุสนยทฺวยวณฺณนา

    Disālocanaaṅkusanayadvayavaṇṇanā

    อิติ ติณฺณํ อตฺถนยานํ สิทฺธิยา โวหารนยทฺวยมฺปิ สิทฺธเมว โหติฯ ตถา หิ อตฺถนยทิสาภูตธมฺมานํ สมาโลจนํ ทิสาโลจนํ, เตสํ สมานยนํ องฺกุโสติ นิยุตฺตา ปญฺจ นยาฯ

    Iti tiṇṇaṃ atthanayānaṃ siddhiyā vohāranayadvayampi siddhameva hoti. Tathā hi atthanayadisābhūtadhammānaṃ samālocanaṃ disālocanaṃ, tesaṃ samānayanaṃ aṅkusoti niyuttā pañca nayā.

    ปญฺจวิธนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pañcavidhanayavaṇṇanā niṭṭhitā.

    สาสนปฎฺฐานวณฺณนา

    Sāsanapaṭṭhānavaṇṇanā

    อิทํ สุตฺตํ โสฬสวิเธ สุตฺตนฺตปฎฺฐาเน สํกิเลสวาสนาเสกฺขภาคิยํ, สํกิเลสนิเพฺพธาเสกฺขภาคิยเมว วาฯ อฎฺฐวีสติวิเธ ปน สุตฺตนฺตปฎฺฐาเน โลกิยโลกุตฺตรํ สตฺตธมฺมาธิฎฺฐานํ ญาณเญยฺยทสฺสนภาวนํ สกวจนปรวจนํ วิสฺสชฺชนียาวิสฺสชฺชนียํ กุสลากุสลํ อนุญฺญาตปฎิกฺขิตฺตญฺจาติ เวทิตพฺพํฯ

    Idaṃ suttaṃ soḷasavidhe suttantapaṭṭhāne saṃkilesavāsanāsekkhabhāgiyaṃ, saṃkilesanibbedhāsekkhabhāgiyameva vā. Aṭṭhavīsatividhe pana suttantapaṭṭhāne lokiyalokuttaraṃ sattadhammādhiṭṭhānaṃ ñāṇañeyyadassanabhāvanaṃ sakavacanaparavacanaṃ vissajjanīyāvissajjanīyaṃ kusalākusalaṃ anuññātapaṭikkhittañcāti veditabbaṃ.

    ปกรณนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pakaraṇanayavaṇṇanā niṭṭhitā.

    พฺรหฺมชาลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Brahmajālasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๑. พฺรหฺมชาลสุตฺตํ • 1. Brahmajālasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๑. พฺรหฺมชาลสุตฺตวณฺณนา • 1. Brahmajālasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact