Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๕. พฺราหฺมณสุตฺตวณฺณนา
5. Brāhmaṇasuttavaṇṇanā
๕. ปญฺจเม สาวตฺถิยนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ ตญฺหิ สวตฺถสฺส นาม อิสิโน นิวาสฎฺฐาเน มาปิตตฺตา สาวตฺถีติ วุจฺจติ, ยถา กากนฺที, มากนฺทีติฯ เอวํ ตาว อกฺขรจินฺตกาฯ อฎฺฐกถาจริยา ปน ภณนฺติ – ยํกิญฺจิ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ สพฺพเมตฺถ อตฺถีติ สาวตฺถิฯ สตฺถสมาโยเค จ กิเมตฺถ ภณฺฑมตฺถีติ ปุจฺฉิเต สพฺพมตฺถีติปิ วจนํ อุปาทาย สาวตฺถีติฯ
5. Pañcame sāvatthiyanti evaṃnāmake nagare. Tañhi savatthassa nāma isino nivāsaṭṭhāne māpitattā sāvatthīti vuccati, yathā kākandī, mākandīti. Evaṃ tāva akkharacintakā. Aṭṭhakathācariyā pana bhaṇanti – yaṃkiñci manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ sabbamettha atthīti sāvatthi. Satthasamāyoge ca kimettha bhaṇḍamatthīti pucchite sabbamatthītipi vacanaṃ upādāya sāvatthīti.
‘‘สพฺพทา สพฺพูปกรณํ, สาวตฺถิยํ สโมหิตํ;
‘‘Sabbadā sabbūpakaraṇaṃ, sāvatthiyaṃ samohitaṃ;
ตสฺมา สพฺพมุปาทาย, สาวตฺถีติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔);
Tasmā sabbamupādāya, sāvatthīti pavuccatī’’ti. (ma. ni. aṭṭha. 1.14);
ตสฺสํ สาวตฺถิยํ, สมีปเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ เชตวเนติ อตฺตโน ปจฺจตฺถิเก ชินาตีติ เชโต, รญฺญา วา ปจฺจตฺถิกชเน ชิเต ชาโตติ เชโต, มงฺคลกมฺยตาย วา ตสฺส เอวํ นามเมว กตนฺติ เชโตฯ วนยตีติ วนํ, อตฺตโน สมฺปตฺติยา สตฺตานํ อตฺตนิ ภตฺติํ กโรติ อุปฺปาเทตีติ อโตฺถฯ วนุเก อิติ วา วนํ, นานาวิธกุสุมคนฺธสโมฺมทมตฺตโกกิลาทิวิหงฺควิรุตาลาเปหิ มนฺทมารุตจลิตรุกฺขสาขาปลฺลวหเตฺถหิ จ ‘‘เอถ มํ ปริภุญฺชถา’’ติ ปาณิโน ยาจติ วิยาติ อโตฺถฯ เชตสฺส วนํ เชตวนํฯ ตญฺหิ เชเตน กุมาเรน โรปิตํ สํวทฺธิตํ ปริปาลิตํฯ โสว ตสฺส สามี อโหสิ, ตสฺมา เชตวนนฺติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ เชตวเนฯ
Tassaṃ sāvatthiyaṃ, samīpatthe cetaṃ bhummavacanaṃ. Jetavaneti attano paccatthike jinātīti jeto, raññā vā paccatthikajane jite jātoti jeto, maṅgalakamyatāya vā tassa evaṃ nāmameva katanti jeto. Vanayatīti vanaṃ, attano sampattiyā sattānaṃ attani bhattiṃ karoti uppādetīti attho. Vanuke iti vā vanaṃ, nānāvidhakusumagandhasammodamattakokilādivihaṅgavirutālāpehi mandamārutacalitarukkhasākhāpallavahatthehi ca ‘‘etha maṃ paribhuñjathā’’ti pāṇino yācati viyāti attho. Jetassa vanaṃ jetavanaṃ. Tañhi jetena kumārena ropitaṃ saṃvaddhitaṃ paripālitaṃ. Sova tassa sāmī ahosi, tasmā jetavananti vuccati, tasmiṃ jetavane.
อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมติ มาตาปิตูหิ คหิตนามวเสน สุทโตฺต นาม โส มหาเสฎฺฐิ, สพฺพกามสมิทฺธิตาย ปน วิคตมลมเจฺฉรตาย กรุณาทิคุณสมงฺคิตาย จ นิจฺจกาลํ อนาถานํ ปิณฺฑํ เทติ, ตสฺมา อนาถปิณฺฑิโกติ วุจฺจติฯ อารมนฺติ เอตฺถ ปาณิโน วิเสเสน ปพฺพชิตาติ อาราโม, ปุปฺผผลาทิโสภาย นาติทูรนาจฺจาสนฺนตาทิปญฺจวิธเสนาสนงฺคสมฺปตฺติยา จ ตโต ตโต อาคมฺม รมนฺติ อภิรมนฺติ อนุกฺกณฺฐิตา หุตฺวา วสนฺตีติ อโตฺถฯ วุตฺตปฺปการาย วา สมฺปตฺติยา ตตฺถ ตตฺถ คเตปิ อตฺตโน อพฺภนฺตรํเยว อาเนตฺวา รเมตีติ อาราโมฯ โส หิ อนาถปิณฺฑิเกน คหปตินา เชตสฺส ราชกุมารสฺส หตฺถโต อฎฺฐารสหิ หิรญฺญโกฎีหิ โกฎิสนฺถาเรน กิณิตฺวา อฎฺฐารสหิ หิรญฺญโกฎีหิ เสนาสนานิ การาเปตฺวา อฎฺฐารสหิ หิรญฺญโกฎีหิ วิหารมหํ นิฎฺฐาเปตฺวา เอวํ จตุปญฺญาสหิรญฺญโกฎิปริจฺจาเคน พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส นิยฺยาติโต, ตสฺมา ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโม’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ
Anāthapiṇḍikassa ārāmeti mātāpitūhi gahitanāmavasena sudatto nāma so mahāseṭṭhi, sabbakāmasamiddhitāya pana vigatamalamaccheratāya karuṇādiguṇasamaṅgitāya ca niccakālaṃ anāthānaṃ piṇḍaṃ deti, tasmā anāthapiṇḍikoti vuccati. Āramanti ettha pāṇino visesena pabbajitāti ārāmo, pupphaphalādisobhāya nātidūranāccāsannatādipañcavidhasenāsanaṅgasampattiyā ca tato tato āgamma ramanti abhiramanti anukkaṇṭhitā hutvā vasantīti attho. Vuttappakārāya vā sampattiyā tattha tattha gatepi attano abbhantaraṃyeva ānetvā rametīti ārāmo. So hi anāthapiṇḍikena gahapatinā jetassa rājakumārassa hatthato aṭṭhārasahi hiraññakoṭīhi koṭisanthārena kiṇitvā aṭṭhārasahi hiraññakoṭīhi senāsanāni kārāpetvā aṭṭhārasahi hiraññakoṭīhi vihāramahaṃ niṭṭhāpetvā evaṃ catupaññāsahiraññakoṭipariccāgena buddhappamukhassa saṅghassa niyyātito, tasmā ‘‘anāthapiṇḍikassa ārāmo’’ti vuccati. Tasmiṃ anāthapiṇḍikassa ārāme.
เอตฺถ จ ‘‘เชตวเน’’ติ วจนํ ปุริมสามิปริกิตฺตนํ, ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ ปจฺฉิมสามิปริกิตฺตนํฯ อุภยมฺปิ ทฺวินฺนํ ปริจฺจาควิเสสปริทีปเนน ปุญฺญกามานํ อายติํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชนตฺถํฯ ตตฺถ หิ ทฺวารโกฎฺฐกปาสาทกรณวเสน ภูมิวิกฺกยลทฺธา อฎฺฐารส หิรญฺญโกฎิโย อเนกโกฎิอคฺฆนกา รุกฺขา จ เชตสฺส ปริจฺจาโค, จตุปญฺญาส โกฎิโย อนาถปิณฺฑิกสฺสฯ อิติ เตสํ ปริจฺจาคปริกิตฺตเนน ‘‘เอวํ ปุญฺญกามา ปุญฺญานิ กโรนฺตี’’ติ ทเสฺสโนฺต ธมฺมภณฺฑาคาริโก อเญฺญปิ ปุญฺญกาเม เตสํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชเน นิโยเชตีติฯ
Ettha ca ‘‘jetavane’’ti vacanaṃ purimasāmiparikittanaṃ, ‘‘anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti pacchimasāmiparikittanaṃ. Ubhayampi dvinnaṃ pariccāgavisesaparidīpanena puññakāmānaṃ āyatiṃ diṭṭhānugatiāpajjanatthaṃ. Tattha hi dvārakoṭṭhakapāsādakaraṇavasena bhūmivikkayaladdhā aṭṭhārasa hiraññakoṭiyo anekakoṭiagghanakā rukkhā ca jetassa pariccāgo, catupaññāsa koṭiyo anāthapiṇḍikassa. Iti tesaṃ pariccāgaparikittanena ‘‘evaṃ puññakāmā puññāni karontī’’ti dassento dhammabhaṇḍāgāriko aññepi puññakāme tesaṃ diṭṭhānugatiāpajjane niyojetīti.
ตตฺถ สิยา – ยทิ ตาว ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ, ‘‘เชตวเน’’ติ น วตฺตพฺพํฯ อถ เชตวเน วิหรติ, ‘‘สาวตฺถิย’’นฺติ น วตฺตพฺพํฯ น หิ สกฺกา อุภยตฺถ เอกํ สมยํ วิหริตุนฺติฯ น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ, นนุ อโวจุมฺหา ‘‘สมีปเตฺถ เอตํ ภุมฺมวจน’’นฺติฯ ตสฺมา ยทิทํ สาวตฺถิยา สมีเป เชตวนํ, ตตฺถ วิหรโนฺต ‘‘สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน’’ติ วุโตฺตฯ โคจรคามนิทสฺสนตฺถํ หิสฺส สาวตฺถิวจนํ, ปพฺพชิตานุรูปนิวาสฎฺฐานทสฺสนตฺถํ เสสวจนนฺติฯ
Tattha siyā – yadi tāva bhagavā sāvatthiyaṃ viharati, ‘‘jetavane’’ti na vattabbaṃ. Atha jetavane viharati, ‘‘sāvatthiya’’nti na vattabbaṃ. Na hi sakkā ubhayattha ekaṃ samayaṃ viharitunti. Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ, nanu avocumhā ‘‘samīpatthe etaṃ bhummavacana’’nti. Tasmā yadidaṃ sāvatthiyā samīpe jetavanaṃ, tattha viharanto ‘‘sāvatthiyaṃ viharati jetavane’’ti vutto. Gocaragāmanidassanatthaṃ hissa sāvatthivacanaṃ, pabbajitānurūpanivāsaṭṭhānadassanatthaṃ sesavacananti.
อายสฺมา จ สาริปุโตฺตติอาทีสุ อายสฺมาติ ปิยวจนํฯ จสโทฺท สมุจฺจยโตฺถฯ รูปสาริยา นาม พฺราหฺมณิยา ปุโตฺตติ สาริปุโตฺตฯ มหาโมคฺคลฺลาโนติ ปูชาวจนํฯ คุณวิเสเสหิ มหโนฺต โมคฺคลฺลาโนติ หิ มหาโมคฺคลฺลาโนฯ เรวโตติ ขทิรวนิกเรวโต, น กงฺขาเรวโตฯ เอกสฺมิญฺหิ ทิวเส ภควา รตฺตสาณิปริกฺขิโตฺต วิย สุวณฺณยูโป, ปวาฬธชปริวาริโต วิย สุวณฺณปพฺพโต, นวุติหํสสหสฺสปริวาริโต วิย ธตรโฎฺฐ หํสราชา, สตฺตรตนสมุชฺชลาย จตุรงฺคินิยา เสนาย ปริวาริโต วิย จกฺกวตฺติ ราชา, มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต คคนมเชฺฌ จนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย จตุนฺนํ ปริสานํ มเชฺฌ ธมฺมํ เทเสโนฺต นิสิโนฺน โหติฯ ตสฺมิํ สมเย อิเม อคฺคสาวกา มหาสาวกา จ ภควโต ปาเท วนฺทนตฺถาย อุปสงฺกมิํสุฯ
Āyasmā ca sāriputtotiādīsu āyasmāti piyavacanaṃ. Casaddo samuccayattho. Rūpasāriyā nāma brāhmaṇiyā puttoti sāriputto. Mahāmoggallānoti pūjāvacanaṃ. Guṇavisesehi mahanto moggallānoti hi mahāmoggallāno. Revatoti khadiravanikarevato, na kaṅkhārevato. Ekasmiñhi divase bhagavā rattasāṇiparikkhitto viya suvaṇṇayūpo, pavāḷadhajaparivārito viya suvaṇṇapabbato, navutihaṃsasahassaparivārito viya dhataraṭṭho haṃsarājā, sattaratanasamujjalāya caturaṅginiyā senāya parivārito viya cakkavatti rājā, mahābhikkhusaṅghaparivuto gaganamajjhe candaṃ uṭṭhāpento viya catunnaṃ parisānaṃ majjhe dhammaṃ desento nisinno hoti. Tasmiṃ samaye ime aggasāvakā mahāsāvakā ca bhagavato pāde vandanatthāya upasaṅkamiṃsu.
ภิกฺขู อามเนฺตสีติ อตฺตานํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนภิกฺขู เต อาคจฺฉเนฺต ทเสฺสตฺวา อภาสิฯ ภควา หิ เต อายสฺมเนฺต สีลสมาธิปญฺญาทิคุณสมฺปเนฺน ปรเมน อุปสเมน สมนฺนาคเต ปรมาย อากปฺปสมฺปตฺติยา ยุเตฺต อุปสงฺกมเนฺต ปสฺสิตฺวา ปสนฺนมานโส เตสํ คุณวิเสสปริกิตฺตนตฺถํ ภิกฺขู อามเนฺตสิ ‘‘เอเต, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณา อาคจฺฉนฺติ, เอเต, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณา อาคจฺฉนฺตี’’ติฯ ปสาทวเสน เอตํ อาเมฑิตํ, ปสํสาวเสนาติปิ วตฺตุํ ยุตฺตํฯ เอวํ วุเตฺตติ เอวํ ภควตา เต อายสฺมเนฺต ‘‘พฺราหฺมณา’’ติ วุเตฺตฯ อญฺญตโรติ นามโคเตฺตน อปากโฎ, ตสฺสํ ปริสายํ นิสิโนฺน เอโก ภิกฺขุฯ พฺราหฺมณชาติโกติ พฺราหฺมณกุเล ชาโตฯ โส หิ อุฬารโภคา พฺราหฺมณมหาสาลกุลา ปพฺพชิโตฯ ตสฺส กิร เอวํ อโหสิ ‘‘อิเม โลกิยา อุภโตสุชาติยา พฺราหฺมณสิกฺขานิปฺผตฺติยา จ พฺราหฺมโณ โหติ, น อญฺญถาติ วทนฺติ, ภควา จ เอเต อายสฺมเนฺต พฺราหฺมณาติ วทติ, หนฺทาหํ ภควนฺตํ พฺราหฺมณลกฺขณํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ เอตทตฺถเมว หิ ภควา ตทา เต เถเร ‘‘พฺราหฺมณา’’ติ อภาสิฯ พฺรหฺมํ อณตีติ พฺราหฺมโณติ หิ ชาติพฺราหฺมณานํ นิพฺพจนํฯ อริยา ปน พาหิตปาปตาย พฺราหฺมณาฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘พาหิตปาโปติ พฺราหฺมโณ, สมจริยา สมโณติ วุจฺจตี’’ติ (ธ. ป. ๓๘๘)ฯ วกฺขติ จ ‘‘พาหิตฺวา ปาปเก ธเมฺม’’ติฯ
Bhikkhū āmantesīti attānaṃ parivāretvā nisinnabhikkhū te āgacchante dassetvā abhāsi. Bhagavā hi te āyasmante sīlasamādhipaññādiguṇasampanne paramena upasamena samannāgate paramāya ākappasampattiyā yutte upasaṅkamante passitvā pasannamānaso tesaṃ guṇavisesaparikittanatthaṃ bhikkhū āmantesi ‘‘ete, bhikkhave, brāhmaṇā āgacchanti, ete, bhikkhave, brāhmaṇā āgacchantī’’ti. Pasādavasena etaṃ āmeḍitaṃ, pasaṃsāvasenātipi vattuṃ yuttaṃ. Evaṃ vutteti evaṃ bhagavatā te āyasmante ‘‘brāhmaṇā’’ti vutte. Aññataroti nāmagottena apākaṭo, tassaṃ parisāyaṃ nisinno eko bhikkhu. Brāhmaṇajātikoti brāhmaṇakule jāto. So hi uḷārabhogā brāhmaṇamahāsālakulā pabbajito. Tassa kira evaṃ ahosi ‘‘ime lokiyā ubhatosujātiyā brāhmaṇasikkhānipphattiyā ca brāhmaṇo hoti, na aññathāti vadanti, bhagavā ca ete āyasmante brāhmaṇāti vadati, handāhaṃ bhagavantaṃ brāhmaṇalakkhaṇaṃ puccheyya’’nti etadatthameva hi bhagavā tadā te there ‘‘brāhmaṇā’’ti abhāsi. Brahmaṃ aṇatīti brāhmaṇoti hi jātibrāhmaṇānaṃ nibbacanaṃ. Ariyā pana bāhitapāpatāya brāhmaṇā. Vuttañhetaṃ – ‘‘bāhitapāpoti brāhmaṇo, samacariyā samaṇoti vuccatī’’ti (dha. pa. 388). Vakkhati ca ‘‘bāhitvā pāpake dhamme’’ti.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ พฺราหฺมณสทฺทสฺส ปรมตฺถโต สิขาปตฺตมตฺถํ ชานิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ ปรมตฺถพฺราหฺมณภาวทีปกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃ viditvāti etaṃ brāhmaṇasaddassa paramatthato sikhāpattamatthaṃ jānitvā. Imaṃ udānanti imaṃ paramatthabrāhmaṇabhāvadīpakaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ พาหิตฺวาติ พหิ กตฺวา, อตฺตโน สนฺตานโต นีหริตฺวา สมุเจฺฉทปฺปหานวเสน ปชหิตฺวาติ อโตฺถฯ ปาปเก ธเมฺมติ ลามเก ธเมฺม, ทุจฺจริตวเสน ติวิธทุจฺจริตธเมฺม, จิตฺตุปฺปาทวเสน ทฺวาทสากุสลจิตฺตุปฺปาเท, กมฺมปถวเสน ทสากุสลกมฺมปเถ, ปวตฺติเภทวเสน อเนกเภทภิเนฺน สเพฺพปิ อกุสลธเมฺมติ อโตฺถฯ เย จรนฺติ สทา สตาติ เย สติเวปุลฺลปฺปตฺตตาย สพฺพกาลํ รูปาทีสุ ฉสุปิ อารมฺมเณสุ สตตวิหารวเสน สตา สติมโนฺต หุตฺวา จตูหิ อิริยาปเถหิ จรนฺติฯ สติคฺคหเณเนว เจตฺถ สมฺปชญฺญมฺปิ คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ขีณสํโยชนาติ จตูหิปิ อริยมเคฺคหิ ทสวิธสฺส สํโยชนสฺส สมุจฺฉินฺนตฺตา ปริกฺขีณสํโยชนาฯ พุทฺธาติ จตุสจฺจสโมฺพเธน พุทฺธาฯ เต จ ปน สาวกพุทฺธา, ปเจฺจกพุทฺธา , สมฺมาสมฺพุทฺธาติ ติวิธา, เตสุ อิธ สาวกพุทฺธา อธิเปฺปตาฯ เต เว โลกสฺมิ พฺราหฺมณาติ เต เสฎฺฐเตฺถน พฺราหฺมณสงฺขาเต ธเมฺม อริยาย ชาติยา ชาตา, พฺราหฺมณภูตสฺส วา ภควโต โอรสปุตฺตาติ อิมสฺมิํ สตฺตโลเก ปรมตฺถโต พฺราหฺมณา นาม, น ชาติโคตฺตมเตฺตหิ, น ชฎาธารณาทิมเตฺตน วาติ อโตฺถฯ เอวํ อิเมสุ ทฺวีสุ สุเตฺตสุ พฺราหฺมณกรา ธมฺมา อรหตฺตํ ปาเปตฺวา กถิตา, นานชฺฌาสยตาย ปน สตฺตานํ เทสนาวิลาเสน อภิลาปนานเตฺตน เทสนานานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Tattha bāhitvāti bahi katvā, attano santānato nīharitvā samucchedappahānavasena pajahitvāti attho. Pāpake dhammeti lāmake dhamme, duccaritavasena tividhaduccaritadhamme, cittuppādavasena dvādasākusalacittuppāde, kammapathavasena dasākusalakammapathe, pavattibhedavasena anekabhedabhinne sabbepi akusaladhammeti attho. Ye caranti sadā satāti ye sativepullappattatāya sabbakālaṃ rūpādīsu chasupi ārammaṇesu satatavihāravasena satā satimanto hutvā catūhi iriyāpathehi caranti. Satiggahaṇeneva cettha sampajaññampi gahitanti veditabbaṃ. Khīṇasaṃyojanāti catūhipi ariyamaggehi dasavidhassa saṃyojanassa samucchinnattā parikkhīṇasaṃyojanā. Buddhāti catusaccasambodhena buddhā. Te ca pana sāvakabuddhā, paccekabuddhā , sammāsambuddhāti tividhā, tesu idha sāvakabuddhā adhippetā. Teve lokasmi brāhmaṇāti te seṭṭhatthena brāhmaṇasaṅkhāte dhamme ariyāya jātiyā jātā, brāhmaṇabhūtassa vā bhagavato orasaputtāti imasmiṃ sattaloke paramatthato brāhmaṇā nāma, na jātigottamattehi, na jaṭādhāraṇādimattena vāti attho. Evaṃ imesu dvīsu suttesu brāhmaṇakarā dhammā arahattaṃ pāpetvā kathitā, nānajjhāsayatāya pana sattānaṃ desanāvilāsena abhilāpanānattena desanānānattaṃ veditabbaṃ.
ปญฺจมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๕. พฺราหฺมณสุตฺตํ • 5. Brāhmaṇasuttaṃ