Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๙. พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตํ
9. Brahmanimantanikasuttaṃ
๕๐๑. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ –
501. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca –
‘‘เอกมิทาหํ, ภิกฺขเว, สมยํ อุกฺกฎฺฐายํ วิหรามิ สุภควเน สาลราชมูเลฯ เตน โข ปน, ภิกฺขเว, สมเยน พกสฺส พฺรหฺมุโน เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ – ‘อิทํ นิจฺจํ, อิทํ ธุวํ, อิทํ สสฺสตํ, อิทํ เกวลํ, อิทํ อจวนธมฺมํ, อิทญฺหิ น ชายติ น ชียติ น มียติ น จวติ น อุปปชฺชติ, อิโต จ ปนญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณํ นตฺถี’ติฯ อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, พกสฺส พฺรหฺมุโน เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมว – อุกฺกฎฺฐายํ สุภควเน สาลราชมูเล อนฺตรหิโต ตสฺมิํ พฺรหฺมโลเก ปาตุรโหสิํฯ อทฺทสา โข มํ, ภิกฺขเว, พโก พฺรหฺมา ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ; ทิสฺวาน มํ เอตทโวจ – ‘เอหิ โข, มาริส, สฺวาคตํ, มาริส! จิรสฺสํ โข, มาริส, อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ อิทญฺหิ, มาริส, นิจฺจํ, อิทํ ธุวํ, อิทํ สสฺสตํ, อิทํ เกวลํ, อิทํ อจวนธมฺมํ, อิทญฺหิ น ชายติ น ชียติ น มียติ น จวติ น อุปปชฺชติฯ อิโต จ ปนญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณํ นตฺถี’’’ติฯ
‘‘Ekamidāhaṃ, bhikkhave, samayaṃ ukkaṭṭhāyaṃ viharāmi subhagavane sālarājamūle. Tena kho pana, bhikkhave, samayena bakassa brahmuno evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ hoti – ‘idaṃ niccaṃ, idaṃ dhuvaṃ, idaṃ sassataṃ, idaṃ kevalaṃ, idaṃ acavanadhammaṃ, idañhi na jāyati na jīyati na mīyati na cavati na upapajjati, ito ca panaññaṃ uttari nissaraṇaṃ natthī’ti. Atha khvāhaṃ, bhikkhave, bakassa brahmuno cetasā cetoparivitakkamaññāya – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evameva – ukkaṭṭhāyaṃ subhagavane sālarājamūle antarahito tasmiṃ brahmaloke pāturahosiṃ. Addasā kho maṃ, bhikkhave, bako brahmā dūratova āgacchantaṃ; disvāna maṃ etadavoca – ‘ehi kho, mārisa, svāgataṃ, mārisa! Cirassaṃ kho, mārisa, imaṃ pariyāyamakāsi yadidaṃ idhāgamanāya. Idañhi, mārisa, niccaṃ, idaṃ dhuvaṃ, idaṃ sassataṃ, idaṃ kevalaṃ, idaṃ acavanadhammaṃ, idañhi na jāyati na jīyati na mīyati na cavati na upapajjati. Ito ca panaññaṃ uttari nissaraṇaṃ natthī’’’ti.
เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภิกฺขเว, พกํ พฺรหฺมานํ เอตทโวจํ – ‘‘อวิชฺชาคโต วต, โภ, พโก พฺรหฺมา; อวิชฺชาคโต วต, โภ, พโก พฺรหฺมา; ยตฺร หิ นาม อนิจฺจํเยว สมานํ นิจฺจนฺติ วกฺขติ, อทฺธุวํเยว สมานํ ธุวนฺติ วกฺขติ, อสสฺสตํเยว สมานํ สสฺสตนฺติ วกฺขติ, อเกวลํเยว สมานํ เกวลนฺติ วกฺขติ, จวนธมฺมํเยว สมานํ อจวนธมฺมนฺติ วกฺขติ; ยตฺถ จ ปน ชายติ ชียติ มียติ จวติ อุปปชฺชติ ตญฺจ วกฺขติ – ‘อิทญฺหิ น ชายติ น ชียติ น มียติ น จวติ น อุปปชฺชตี’ติ; สนฺตญฺจ ปนญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณํ ‘นตฺถญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ วกฺขตี’’ติฯ
Evaṃ vutte, ahaṃ, bhikkhave, bakaṃ brahmānaṃ etadavocaṃ – ‘‘avijjāgato vata, bho, bako brahmā; avijjāgato vata, bho, bako brahmā; yatra hi nāma aniccaṃyeva samānaṃ niccanti vakkhati, addhuvaṃyeva samānaṃ dhuvanti vakkhati, asassataṃyeva samānaṃ sassatanti vakkhati, akevalaṃyeva samānaṃ kevalanti vakkhati, cavanadhammaṃyeva samānaṃ acavanadhammanti vakkhati; yattha ca pana jāyati jīyati mīyati cavati upapajjati tañca vakkhati – ‘idañhi na jāyati na jīyati na mīyati na cavati na upapajjatī’ti; santañca panaññaṃ uttari nissaraṇaṃ ‘natthaññaṃ uttari nissaraṇa’nti vakkhatī’’ti.
๕๐๒. ‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, มาโร ปาปิมา อญฺญตรํ พฺรหฺมปาริสชฺชํ อนฺวาวิสิตฺวา มํ เอตทโวจ – ‘ภิกฺขุ, ภิกฺขุ, เมตมาสโท เมตมาสโท, เอโส หิ, ภิกฺขุ, พฺรหฺมา มหาพฺรหฺมา อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุทโส วสวตฺตี อิสฺสโร กตฺตา นิมฺมาตา เสโฎฺฐ สชิตา 1 วสี ปิตา ภูตภพฺยานํฯ อเหสุํ โข เย, ภิกฺขุ, ตยา ปุเพฺพ สมณพฺราหฺมณา โลกสฺมิํ ปถวีครหกา ปถวีชิคุจฺฉกา, อาปครหกา อาปชิคุจฺฉกา, เตชครหกา เตชชิคุจฺฉกา, วายครหกา วายชิคุจฺฉกา, ภูตครหกา ภูตชิคุจฺฉกา, เทวครหกา เทวชิคุจฺฉกา, ปชาปติครหกา ปชาปติชิคุจฺฉกา, พฺรหฺมครหกา พฺรหฺมชิคุจฺฉกา – เต กายสฺส เภทา ปาณุปเจฺฉทา หีเน กาเย ปติฎฺฐิตา อเหสุํฯ เย ปน, ภิกฺขุ, ตยา ปุเพฺพ สมณพฺราหฺมณา โลกสฺมิํ ปถวีปสํสกา ปถวาภินนฺทิโน, อาปปสํสกา อาปาภินนฺทิโน, เตชปสํสกา เตชาภินนฺทิโน, วายปสํสกา วายาภินนฺทิโน, ภูตปสํสกา ภูตาภินนฺทิโน, เทวปสํสกา เทวาภินนฺทิโน, ปชาปติปสํสกา ปชาปตาภินนฺทิโน, พฺรหฺมปสํสกา พฺรหฺมาภินนฺทิโน – เต กายสฺส เภทา ปาณุปเจฺฉทา ปณีเต กาเย ปติฎฺฐิตาฯ ตํ ตาหํ, ภิกฺขุ, เอวํ วทามิ – ‘อิงฺฆ ตฺวํ, มาริส, ยเทว เต พฺรหฺมา อาห ตเทว ตฺวํ กโรหิ, มา ตฺวํ พฺรหฺมุโน วจนํ อุปาติวตฺติโตฺถ’ฯ สเจ โข ตฺวํ, ภิกฺขุ, พฺรหฺมุโน วจนํ อุปาติวตฺติสฺสสิ, เสยฺยถาปิ นาม ปุริโส สิริํ อาคจฺฉนฺติํ ทเณฺฑน ปฎิปฺปณาเมยฺย, เสยฺยถาปิ วา ปน, ภิกฺขุ, ปุริโส นรกปฺปปาเต ปปตโนฺต หเตฺถหิ จ ปาเทหิ จ ปถวิํ วิราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, ภิกฺขุ, ตุยฺหํ ภวิสฺสติฯ ‘อิงฺฆํ ตฺวํ, มาริส, ยเทว เต พฺรหฺมา อาห ตเทว ตฺวํ กโรหิ, มา ตฺวํ พฺรหฺมุโน วจนํ อุปาติวตฺติโตฺถฯ นนุ ตฺวํ, ภิกฺขุ, ปสฺสสิ พฺรหฺมปริสํ สนฺนิปติต’นฺติ? อิติ โข มํ, ภิกฺขเว, มาโร ปาปิมา พฺรหฺมปริสํ อุปเนสิฯ
502. ‘‘Atha kho, bhikkhave, māro pāpimā aññataraṃ brahmapārisajjaṃ anvāvisitvā maṃ etadavoca – ‘bhikkhu, bhikkhu, metamāsado metamāsado, eso hi, bhikkhu, brahmā mahābrahmā abhibhū anabhibhūto aññadatthudaso vasavattī issaro kattā nimmātā seṭṭho sajitā 2 vasī pitā bhūtabhabyānaṃ. Ahesuṃ kho ye, bhikkhu, tayā pubbe samaṇabrāhmaṇā lokasmiṃ pathavīgarahakā pathavījigucchakā, āpagarahakā āpajigucchakā, tejagarahakā tejajigucchakā, vāyagarahakā vāyajigucchakā, bhūtagarahakā bhūtajigucchakā, devagarahakā devajigucchakā, pajāpatigarahakā pajāpatijigucchakā, brahmagarahakā brahmajigucchakā – te kāyassa bhedā pāṇupacchedā hīne kāye patiṭṭhitā ahesuṃ. Ye pana, bhikkhu, tayā pubbe samaṇabrāhmaṇā lokasmiṃ pathavīpasaṃsakā pathavābhinandino, āpapasaṃsakā āpābhinandino, tejapasaṃsakā tejābhinandino, vāyapasaṃsakā vāyābhinandino, bhūtapasaṃsakā bhūtābhinandino, devapasaṃsakā devābhinandino, pajāpatipasaṃsakā pajāpatābhinandino, brahmapasaṃsakā brahmābhinandino – te kāyassa bhedā pāṇupacchedā paṇīte kāye patiṭṭhitā. Taṃ tāhaṃ, bhikkhu, evaṃ vadāmi – ‘iṅgha tvaṃ, mārisa, yadeva te brahmā āha tadeva tvaṃ karohi, mā tvaṃ brahmuno vacanaṃ upātivattittho’. Sace kho tvaṃ, bhikkhu, brahmuno vacanaṃ upātivattissasi, seyyathāpi nāma puriso siriṃ āgacchantiṃ daṇḍena paṭippaṇāmeyya, seyyathāpi vā pana, bhikkhu, puriso narakappapāte papatanto hatthehi ca pādehi ca pathaviṃ virādheyya, evaṃ sampadamidaṃ, bhikkhu, tuyhaṃ bhavissati. ‘Iṅghaṃ tvaṃ, mārisa, yadeva te brahmā āha tadeva tvaṃ karohi, mā tvaṃ brahmuno vacanaṃ upātivattittho. Nanu tvaṃ, bhikkhu, passasi brahmaparisaṃ sannipatita’nti? Iti kho maṃ, bhikkhave, māro pāpimā brahmaparisaṃ upanesi.
‘‘เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภิกฺขเว, มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจํ – ‘ชานามิ โข ตาหํ, ปาปิม; มา ตฺวํ มญฺญิโตฺถ – น มํ ชานาตี’ติฯ มาโร ตฺวมสิ, ปาปิมฯ โย เจว, ปาปิม, พฺรหฺมา, ยา จ พฺรหฺมปริสา, เย จ พฺรหฺมปาริสชฺชา, สเพฺพว ตว หตฺถคตา สเพฺพว ตว วสํคตาฯ ตุยฺหญฺหิ, ปาปิม, เอวํ โหติ – ‘เอโสปิ เม อสฺส หตฺถคโต, เอโสปิ เม อสฺส วสํคโต’ติฯ อหํ โข ปน, ปาปิม, เนว ตว หตฺถคโต เนว ตว วสํคโต’’ติฯ
‘‘Evaṃ vutte, ahaṃ, bhikkhave, māraṃ pāpimantaṃ etadavocaṃ – ‘jānāmi kho tāhaṃ, pāpima; mā tvaṃ maññittho – na maṃ jānātī’ti. Māro tvamasi, pāpima. Yo ceva, pāpima, brahmā, yā ca brahmaparisā, ye ca brahmapārisajjā, sabbeva tava hatthagatā sabbeva tava vasaṃgatā. Tuyhañhi, pāpima, evaṃ hoti – ‘esopi me assa hatthagato, esopi me assa vasaṃgato’ti. Ahaṃ kho pana, pāpima, neva tava hatthagato neva tava vasaṃgato’’ti.
๕๐๓. ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภิกฺขเว, พโก พฺรหฺมา มํ เอตทโวจ – ‘อหญฺหิ, มาริส, นิจฺจํเยว สมานํ นิจฺจนฺติ วทามิ, ธุวํเยว สมานํ ธุวนฺติ วทามิ, สสฺสตํเยว สมานํ สสฺสตนฺติ วทามิ, เกวลํเยว สมานํ เกวลนฺติ วทามิ, อจวนธมฺมํเยว สมานํ อจวนธมฺม’นฺติ วทามิ, ยตฺถ จ ปน น ชายติ น ชียติ น มียติ น จวติ น อุปปชฺชติ ตเทวาหํ วทามิ – ‘อิทญฺหิ น ชายติ น ชียติ น มียติ น จวติ น อุปปชฺชตี’ติฯ อสนฺตญฺจ ปนญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณํ ‘นตฺถญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ วทามิฯ อเหสุํ โข, ภิกฺขุ, ตยา ปุเพฺพ สมณพฺราหฺมณา โลกสฺมิํ ยาวตกํ ตุยฺหํ กสิณํ อายุ ตาวตกํ เตสํ ตโปกมฺมเมว อโหสิฯ เต โข เอวํ ชาเนยฺยุํ – ‘สนฺตญฺจ ปนญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณํ อตฺถญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณนฺติ, อสนฺตํ วา อญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณํ นตฺถญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติฯ ตํ ตาหํ, ภิกฺขุ, เอวํ วทามิ – ‘น เจวญฺญํ อุตฺตริ นิสฺสรณํ ทกฺขิสฺสสิ, ยาวเทว จ ปน กิลมถสฺส วิฆาตสฺส ภาคี ภวิสฺสสิฯ สเจ โข ตฺวํ, ภิกฺขุ, ปถวิํ อโชฺฌสิสฺสสิ, โอปสายิโก เม ภวิสฺสสิ วตฺถุสายิโก, ยถากามกรณีโย พาหิเตโยฺยฯ สเจ อาปํ… เตชํ… วายํ… ภูเต… เทเว… ปชาปติํ… พฺรหฺมํ อโชฺฌสิสฺสสิ, โอปสายิโก เม ภวิสฺสสิ วตฺถุสายิโก, ยถากามกรณีโย พาหิเตโยฺย’ติฯ
503. ‘‘Evaṃ vutte, bhikkhave, bako brahmā maṃ etadavoca – ‘ahañhi, mārisa, niccaṃyeva samānaṃ niccanti vadāmi, dhuvaṃyeva samānaṃ dhuvanti vadāmi, sassataṃyeva samānaṃ sassatanti vadāmi, kevalaṃyeva samānaṃ kevalanti vadāmi, acavanadhammaṃyeva samānaṃ acavanadhamma’nti vadāmi, yattha ca pana na jāyati na jīyati na mīyati na cavati na upapajjati tadevāhaṃ vadāmi – ‘idañhi na jāyati na jīyati na mīyati na cavati na upapajjatī’ti. Asantañca panaññaṃ uttari nissaraṇaṃ ‘natthaññaṃ uttari nissaraṇa’nti vadāmi. Ahesuṃ kho, bhikkhu, tayā pubbe samaṇabrāhmaṇā lokasmiṃ yāvatakaṃ tuyhaṃ kasiṇaṃ āyu tāvatakaṃ tesaṃ tapokammameva ahosi. Te kho evaṃ jāneyyuṃ – ‘santañca panaññaṃ uttari nissaraṇaṃ atthaññaṃ uttari nissaraṇanti, asantaṃ vā aññaṃ uttari nissaraṇaṃ natthaññaṃ uttari nissaraṇa’nti. Taṃ tāhaṃ, bhikkhu, evaṃ vadāmi – ‘na cevaññaṃ uttari nissaraṇaṃ dakkhissasi, yāvadeva ca pana kilamathassa vighātassa bhāgī bhavissasi. Sace kho tvaṃ, bhikkhu, pathaviṃ ajjhosissasi, opasāyiko me bhavissasi vatthusāyiko, yathākāmakaraṇīyo bāhiteyyo. Sace āpaṃ… tejaṃ… vāyaṃ… bhūte… deve… pajāpatiṃ… brahmaṃ ajjhosissasi, opasāyiko me bhavissasi vatthusāyiko, yathākāmakaraṇīyo bāhiteyyo’ti.
‘‘อหมฺปิ โข เอวํ, พฺรเหฺม, ชานามิ – สเจ ปถวิํ อโชฺฌสิสฺสามิ, โอปสายิโก เต ภวิสฺสามิ วตฺถุสายิโก, ยถากามกรณีโย พาหิเตโยฺยฯ ‘สเจ อาปํ… เตชํ… วายํ… ภูเต… เทเว… ปชาปติํ… พฺรหฺมํ อโชฺฌสิสฺสามิ, โอปสายิโก เต ภวิสฺสามิ วตฺถุสายิโก, ยถากามกรณีโย พาหิเตโยฺย’ติ อปิ จ เต อหํ, พฺรเหฺม, คติญฺจ ปชานามิ, ชุติญฺจ ปชานามิ – เอวํ มหิทฺธิโก พโก พฺรหฺมา, เอวํ มหานุภาโว พโก พฺรหฺมา, เอวํ มเหสโกฺข พโก พฺรหฺมา’’ติฯ
‘‘Ahampi kho evaṃ, brahme, jānāmi – sace pathaviṃ ajjhosissāmi, opasāyiko te bhavissāmi vatthusāyiko, yathākāmakaraṇīyo bāhiteyyo. ‘Sace āpaṃ… tejaṃ… vāyaṃ… bhūte… deve… pajāpatiṃ… brahmaṃ ajjhosissāmi, opasāyiko te bhavissāmi vatthusāyiko, yathākāmakaraṇīyo bāhiteyyo’ti api ca te ahaṃ, brahme, gatiñca pajānāmi, jutiñca pajānāmi – evaṃ mahiddhiko bako brahmā, evaṃ mahānubhāvo bako brahmā, evaṃ mahesakkho bako brahmā’’ti.
‘‘ยถากถํ ปน เม ตฺวํ, มาริส, คติญฺจ ปชานาสิ, ชุติญฺจ ปชานาสิ – ‘เอวํ มหิทฺธิโก พโก พฺรหฺมา, เอวํ มหานุภาโว พโก พฺรหฺมา, เอวํ มเหสโกฺข พโก พฺรหฺมา’ติ?
‘‘Yathākathaṃ pana me tvaṃ, mārisa, gatiñca pajānāsi, jutiñca pajānāsi – ‘evaṃ mahiddhiko bako brahmā, evaṃ mahānubhāvo bako brahmā, evaṃ mahesakkho bako brahmā’ti?
‘‘ยาวตา จนฺทิมสูริยา, ปริหรนฺติ ทิสา ภนฺติ วิโรจนา;
‘‘Yāvatā candimasūriyā, pariharanti disā bhanti virocanā;
อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ, สตฺตานํ อาคติํ คติ’’นฺติฯ
Itthabhāvaññathābhāvaṃ, sattānaṃ āgatiṃ gati’’nti.
‘‘เอวํ โข เต อหํ, พฺรเหฺม, คติญฺจ ปชานามิ ชุติญฺจ ปชานามิ – ‘เอวํ มหิทฺธิโก พโก พฺรหฺมา, เอวํ มหานุภาโว พโก พฺรหฺมา, เอวํ มเหสโกฺข พโก พฺรหฺมา’ติฯ
‘‘Evaṃ kho te ahaṃ, brahme, gatiñca pajānāmi jutiñca pajānāmi – ‘evaṃ mahiddhiko bako brahmā, evaṃ mahānubhāvo bako brahmā, evaṃ mahesakkho bako brahmā’ti.
๕๐๔. ‘‘อตฺถิ โข, พฺรเหฺม, อโญฺญ กาโย, ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิ; ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ อตฺถิ โข, พฺรเหฺม, อาภสฺสรา นาม กาโย ยโต ตฺวํ จุโต อิธูปปโนฺนฯ ตสฺส เต อติจิรนิวาเสน สา สติ ปมุฎฺฐา, เตน ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิ; ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ เอวมฺปิ โข อหํ, พฺรเหฺม, เนว เต สมสโม อภิญฺญาย, กุโต นีเจยฺยํ? อถ โข อหเมว ตยา ภิโยฺยฯ อตฺถิ โข, พฺรเหฺม, สุภกิโณฺห นาม กาโย, เวหปฺผโล นาม กาโย, อภิภู นาม กาโย, ตํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิ; ตมหํ ชานามิ ปสฺสามิฯ เอวมฺปิ โข อหํ, พฺรเหฺม, เนว เต สมสโม อภิญฺญาย, กุโต นีเจยฺยํ? อถ โข อหเมว ตยา ภิโยฺยฯ ปถวิํ โข อหํ, พฺรเหฺม, ปถวิโต อภิญฺญาย ยาวตา ปถวิยา ปถวเตฺตน อนนุภูตํ ตทภิญฺญาย ปถวิํ นาปโหสิํ, ปถวิยา นาปโหสิํ, ปถวิโต นาปโหสิํ, ปถวิํ เมติ นาปโหสิํ, ปถวิํ นาภิวทิํฯ เอวมฺปิ โข อหํ, พฺรเหฺม, เนว เต สมสโม อภิญฺญาย, กุโต นีเจยฺยํ? อถ โข อหเมว ตยา ภิโยฺยฯ อาปํ โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… เตชํ โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… วายํ โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… ภูเต โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… เทเว โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… ปชาปติํ โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… พฺรหฺมํ โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… อาภสฺสเร โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… สุภกิเณฺห โข อหํ, พฺรเหฺม… …เป.… เวหปฺผเล โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… อภิภุํ โข อหํ, พฺรเหฺม…เป.… สพฺพํ โข อหํ, พฺรเหฺม, สพฺพโต อภิญฺญาย ยาวตา สพฺพสฺส สพฺพเตฺตน อนนุภูตํ ตทภิญฺญาย สพฺพํ นาปโหสิํ สพฺพสฺมิํ นาปโหสิํ สพฺพโต นาปโหสิํ สพฺพํ เมติ นาปโหสิํ, สพฺพํ นาภิวทิํฯ เอวมฺปิ โข อหํ, พฺรเหฺม, เนว เต สมสโม อภิญฺญาย, กุโต นีเจยฺยํ? อถ โข อหเมว ตยา ภิโยฺย’’ติฯ
504. ‘‘Atthi kho, brahme, añño kāyo, taṃ tvaṃ na jānāsi na passasi; tamahaṃ jānāmi passāmi. Atthi kho, brahme, ābhassarā nāma kāyo yato tvaṃ cuto idhūpapanno. Tassa te aticiranivāsena sā sati pamuṭṭhā, tena taṃ tvaṃ na jānāsi na passasi; tamahaṃ jānāmi passāmi. Evampi kho ahaṃ, brahme, neva te samasamo abhiññāya, kuto nīceyyaṃ? Atha kho ahameva tayā bhiyyo. Atthi kho, brahme, subhakiṇho nāma kāyo, vehapphalo nāma kāyo, abhibhū nāma kāyo, taṃ tvaṃ na jānāsi na passasi; tamahaṃ jānāmi passāmi. Evampi kho ahaṃ, brahme, neva te samasamo abhiññāya, kuto nīceyyaṃ? Atha kho ahameva tayā bhiyyo. Pathaviṃ kho ahaṃ, brahme, pathavito abhiññāya yāvatā pathaviyā pathavattena ananubhūtaṃ tadabhiññāya pathaviṃ nāpahosiṃ, pathaviyā nāpahosiṃ, pathavito nāpahosiṃ, pathaviṃ meti nāpahosiṃ, pathaviṃ nābhivadiṃ. Evampi kho ahaṃ, brahme, neva te samasamo abhiññāya, kuto nīceyyaṃ? Atha kho ahameva tayā bhiyyo. Āpaṃ kho ahaṃ, brahme…pe… tejaṃ kho ahaṃ, brahme…pe… vāyaṃ kho ahaṃ, brahme…pe… bhūte kho ahaṃ, brahme…pe… deve kho ahaṃ, brahme…pe… pajāpatiṃ kho ahaṃ, brahme…pe… brahmaṃ kho ahaṃ, brahme…pe… ābhassare kho ahaṃ, brahme…pe… subhakiṇhe kho ahaṃ, brahme… …pe… vehapphale kho ahaṃ, brahme…pe… abhibhuṃ kho ahaṃ, brahme…pe… sabbaṃ kho ahaṃ, brahme, sabbato abhiññāya yāvatā sabbassa sabbattena ananubhūtaṃ tadabhiññāya sabbaṃ nāpahosiṃ sabbasmiṃ nāpahosiṃ sabbato nāpahosiṃ sabbaṃ meti nāpahosiṃ, sabbaṃ nābhivadiṃ. Evampi kho ahaṃ, brahme, neva te samasamo abhiññāya, kuto nīceyyaṃ? Atha kho ahameva tayā bhiyyo’’ti.
‘‘สเจ โข, มาริส, สพฺพสฺส สพฺพเตฺตน อนนุภูตํ, ตทภิญฺญาย มา เหว เต ริตฺตกเมว อโหสิ, ตุจฺฉกเมว อโหสี’’ติ ฯ
‘‘Sace kho, mārisa, sabbassa sabbattena ananubhūtaṃ, tadabhiññāya mā heva te rittakameva ahosi, tucchakameva ahosī’’ti .
‘‘‘วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ อนนฺตํ สพฺพโต ปภํ’, ตํ ปถวิยา ปถวเตฺตน อนนุภูตํ, อาปสฺส อาปเตฺตน อนนุภูตํ, เตชสฺส เตชเตฺตน อนนุภูตํ, วายสฺส วายเตฺตน อนนุภูตํ, ภูตานํ ภูตเตฺตน อนนุภูตํ, เทวานํ เทวเตฺตน อนนุภูตํ, ปชาปติสฺส ปชาปติเตฺตน อนนุภูตํ, พฺรหฺมานํ พฺรหฺมเตฺตน อนนุภูตํ, อาภสฺสรานํ อาภสฺสรเตฺตน อนนุภูตํ, สุภกิณฺหานํ สุภกิณฺหเตฺตน อนนุภูตํ, เวหปฺผลานํ เวหปฺผลเตฺต อนนุภูตํ, อภิภุสฺส อภิภุเตฺตน อนนุภูตํ, สพฺพสฺส สพฺพเตฺตน อนนุภูตํ’’ฯ
‘‘‘Viññāṇaṃ anidassanaṃ anantaṃ sabbato pabhaṃ’, taṃ pathaviyā pathavattena ananubhūtaṃ, āpassa āpattena ananubhūtaṃ, tejassa tejattena ananubhūtaṃ, vāyassa vāyattena ananubhūtaṃ, bhūtānaṃ bhūtattena ananubhūtaṃ, devānaṃ devattena ananubhūtaṃ, pajāpatissa pajāpatittena ananubhūtaṃ, brahmānaṃ brahmattena ananubhūtaṃ, ābhassarānaṃ ābhassarattena ananubhūtaṃ, subhakiṇhānaṃ subhakiṇhattena ananubhūtaṃ, vehapphalānaṃ vehapphalatte ananubhūtaṃ, abhibhussa abhibhuttena ananubhūtaṃ, sabbassa sabbattena ananubhūtaṃ’’.
‘‘หนฺท จรหิ 7 เต, มาริส, ปสฺส อนฺตรธายามี’’ติฯ ‘หนฺท จรหิ เม ตฺวํ, พฺรเหฺม, อนฺตรธายสฺสุ, สเจ วิสหสี’ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พโก พฺรหฺมา ‘อนฺตรธายิสฺสามิ สมณสฺส โคตมสฺส, อนฺตรธายิสฺสามิ สมณสฺส โคตมสฺสา’ติ เนวสฺสุ เม สโกฺกติ อนฺตรธายิตุํฯ
‘‘Handa carahi 8 te, mārisa, passa antaradhāyāmī’’ti. ‘Handa carahi me tvaṃ, brahme, antaradhāyassu, sace visahasī’ti. Atha kho, bhikkhave, bako brahmā ‘antaradhāyissāmi samaṇassa gotamassa, antaradhāyissāmi samaṇassa gotamassā’ti nevassu me sakkoti antaradhāyituṃ.
‘‘เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภิกฺขเว, พกํ พฺรหฺมานํ เอตทโวจํ – ‘หนฺท จรหิ เต พฺรเหฺม อนฺตรธายามี’ติฯ ‘หนฺท จรหิ เม ตฺวํ, มาริส, อนฺตรธายสฺสุ สเจ วิสหสี’ติฯ อถ โข อหํ, ภิกฺขเว, ตถารูปํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสิํ – ‘เอตฺตาวตา พฺรหฺมา จ พฺรหฺมปริสา จ พฺรหฺมปาริสชฺชา จ สทฺทญฺจ เม โสสฺสนฺติ 9, น จ มํ ทกฺขนฺตี’ติฯ อนฺตรหิโต อิมํ คาถํ อภาสิํ –
‘‘Evaṃ vutte, ahaṃ, bhikkhave, bakaṃ brahmānaṃ etadavocaṃ – ‘handa carahi te brahme antaradhāyāmī’ti. ‘Handa carahi me tvaṃ, mārisa, antaradhāyassu sace visahasī’ti. Atha kho ahaṃ, bhikkhave, tathārūpaṃ iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāsiṃ – ‘ettāvatā brahmā ca brahmaparisā ca brahmapārisajjā ca saddañca me sossanti 10, na ca maṃ dakkhantī’ti. Antarahito imaṃ gāthaṃ abhāsiṃ –
‘‘ภเววาหํ ภยํ ทิสฺวา, ภวญฺจ วิภเวสินํ;
‘‘Bhavevāhaṃ bhayaṃ disvā, bhavañca vibhavesinaṃ;
ภวํ นาภิวทิํ กิญฺจิ, นนฺทิญฺจ น อุปาทิยิ’’นฺติฯ
Bhavaṃ nābhivadiṃ kiñci, nandiñca na upādiyi’’nti.
‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา จ พฺรหฺมปริสา จ พฺรหฺมปาริสชฺชา จ อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา อเหสุํ – ‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ! สมณสฺส โคตมสฺส มหิทฺธิกตา มหานุภาวตา, น จ วต โน อิโต ปุเพฺพ ทิโฎฺฐ วา, สุโต วา, อโญฺญ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํ มหิทฺธิโก เอวํ มหานุภาโว ยถายํ สมโณ โคตโม สกฺยปุโตฺต สกฺยกุลา ปพฺพชิโตฯ ภวรามาย วต, โภ, ปชาย ภวรตาย ภวสมฺมุทิตาย สมูลํ ภวํ อุทพฺพหี’ติฯ
‘‘Atha kho, bhikkhave, brahmā ca brahmaparisā ca brahmapārisajjā ca acchariyabbhutacittajātā ahesuṃ – ‘acchariyaṃ vata bho, abbhutaṃ vata bho! Samaṇassa gotamassa mahiddhikatā mahānubhāvatā, na ca vata no ito pubbe diṭṭho vā, suto vā, añño samaṇo vā brāhmaṇo vā evaṃ mahiddhiko evaṃ mahānubhāvo yathāyaṃ samaṇo gotamo sakyaputto sakyakulā pabbajito. Bhavarāmāya vata, bho, pajāya bhavaratāya bhavasammuditāya samūlaṃ bhavaṃ udabbahī’ti.
๕๐๕. ‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, มาโร ปาปิมา อญฺญตรํ พฺรหฺมปาริสชฺชํ อนฺวาวิสิตฺวา มํ เอตทโวจ – ‘สเจ โข ตฺวํ, มาริส, เอวํ ปชานาสิ, สเจ ตฺวํ เอวํ อนุพุโทฺธ, มา สาวเก อุปเนสิ, มา ปพฺพชิเต; มา สาวกานํ ธมฺมํ เทเสสิ, มา ปพฺพชิตานํ; มา สาวเกสุ เคธิมกาสิ, มา ปพฺพชิเตสุฯ อเหสุํ โข, ภิกฺขุ, ตยา ปุเพฺพ สมณพฺราหฺมณา โลกสฺมิํ อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา ปฎิชานมานา ฯ เต สาวเก อุปเนสุํ ปพฺพชิเต, สาวกานํ ธมฺมํ เทเสสุํ ปพฺพชิตานํ, สาวเกสุ เคธิมกํสุ ปพฺพชิเตสุ, เต สาวเก อุปเนตฺวา ปพฺพชิเต, สาวกานํ ธมฺมํ เทเสตฺวา ปพฺพชิตานํ, สาวเกสุ เคธิตจิตฺตา ปพฺพชิเตสุ, กายสฺส เภทา ปาณุปเจฺฉทา หีเน กาเย ปติฎฺฐิตาฯ อเหสุํ เย ปน, ภิกฺขุ, ตยา ปุเพฺพ สมณพฺราหฺมณา โลกสฺมิํ อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา ปฎิชานมานาฯ เต น สาวเก อุปเนสุํ น ปพฺพชิเต, น สาวกานํ ธมฺมํ เทเสสุํ น ปพฺพชิตานํ, น สาวเกสุ เคธิมกํสุ น ปพฺพชิเตสุ, เต น สาวเก อุปเนตฺวา น ปพฺพชิเต, น สาวกานํ ธมฺมํ เทเสตฺวา น ปพฺพชิตานํ, น สาวเกสุ เคธิตจิตฺตา น ปพฺพชิเตสุ, กายสฺส เภทา ปาณุปเจฺฉทา ปณีเต กาเย ปติฎฺฐิตาฯ ตํ ตาหํ, ภิกฺขุ, เอวํ วทามิ – อิงฺฆ ตฺวํ, มาริส, อโปฺปสฺสุโกฺก ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารมนุยุโตฺต วิหรสฺสุ, อนกฺขาตํ กุสลญฺหิ, มาริส, มา ปรํ โอวทาหี’ติฯ
505. ‘‘Atha kho, bhikkhave, māro pāpimā aññataraṃ brahmapārisajjaṃ anvāvisitvā maṃ etadavoca – ‘sace kho tvaṃ, mārisa, evaṃ pajānāsi, sace tvaṃ evaṃ anubuddho, mā sāvake upanesi, mā pabbajite; mā sāvakānaṃ dhammaṃ desesi, mā pabbajitānaṃ; mā sāvakesu gedhimakāsi, mā pabbajitesu. Ahesuṃ kho, bhikkhu, tayā pubbe samaṇabrāhmaṇā lokasmiṃ arahanto sammāsambuddhā paṭijānamānā . Te sāvake upanesuṃ pabbajite, sāvakānaṃ dhammaṃ desesuṃ pabbajitānaṃ, sāvakesu gedhimakaṃsu pabbajitesu, te sāvake upanetvā pabbajite, sāvakānaṃ dhammaṃ desetvā pabbajitānaṃ, sāvakesu gedhitacittā pabbajitesu, kāyassa bhedā pāṇupacchedā hīne kāye patiṭṭhitā. Ahesuṃ ye pana, bhikkhu, tayā pubbe samaṇabrāhmaṇā lokasmiṃ arahanto sammāsambuddhā paṭijānamānā. Te na sāvake upanesuṃ na pabbajite, na sāvakānaṃ dhammaṃ desesuṃ na pabbajitānaṃ, na sāvakesu gedhimakaṃsu na pabbajitesu, te na sāvake upanetvā na pabbajite, na sāvakānaṃ dhammaṃ desetvā na pabbajitānaṃ, na sāvakesu gedhitacittā na pabbajitesu, kāyassa bhedā pāṇupacchedā paṇīte kāye patiṭṭhitā. Taṃ tāhaṃ, bhikkhu, evaṃ vadāmi – iṅgha tvaṃ, mārisa, appossukko diṭṭhadhammasukhavihāramanuyutto viharassu, anakkhātaṃ kusalañhi, mārisa, mā paraṃ ovadāhī’ti.
‘‘เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภิกฺขเว, มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจํ – ‘ชานามิ โข ตาหํ, ปาปิม, มา ตฺวํ มญฺญิโตฺถ – น มํ ชานาตี’ติฯ มาโร ตฺวมสิ, ปาปิมฯ น มํ ตฺวํ, ปาปิม, หิตานุกมฺปี เอวํ วเทสิ; อหิตานุกมฺปี มํ ตฺวํ, ปาปิม, เอวํ วเทสิฯ ตุยฺหญฺหิ, ปาปิม, เอวํ โหติ – ‘เยสํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสสฺสติ, เต เม วิสยํ อุปาติวตฺติสฺสนฺตี’ติฯ อสมฺมาสมฺพุทฺธาว ปน เต , ปาปิม, สมานา สมฺมาสมฺพุทฺธามฺหาติ ปฎิชานิํสุฯ อหํ โข ปน, ปาปิม, สมฺมาสมฺพุโทฺธว สมาโน สมฺมาสมฺพุโทฺธมฺหีติ ปฎิชานามิฯ เทเสโนฺตปิ หิ, ปาปิม, ตถาคโต สาวกานํ ธมฺมํ ตาทิโสว อเทเสโนฺตปิ หิ, ปาปิม, ตถาคโต สาวกานํ ธมฺมํ ตาทิโสวฯ อุปเนโนฺตปิ หิ, ปาปิม, ตถาคโต สาวเก ตาทิโสว, อนุปเนโนฺตปิ หิ, ปาปิม, ตถาคโต สาวเก ตาทิโสวฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถาคตสฺส, ปาปิม, เย อาสวา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สทรา ทุกฺขวิปากา อายติํ ชาติชรามรณิยา – เต ปหีนา อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาฯ เสยฺยถาปิ, ปาปิม, ตาโล มตฺถกจฺฉิโนฺน อภโพฺพ ปุน วิรูฬฺหิยา; เอวเมว โข, ปาปิม, ตถาคตสฺส เย อาสวา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สทรา ทุกฺขวิปากา อายติํ ชาติชรามรณิยา – เต ปหีนา อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาติฯ
‘‘Evaṃ vutte, ahaṃ, bhikkhave, māraṃ pāpimantaṃ etadavocaṃ – ‘jānāmi kho tāhaṃ, pāpima, mā tvaṃ maññittho – na maṃ jānātī’ti. Māro tvamasi, pāpima. Na maṃ tvaṃ, pāpima, hitānukampī evaṃ vadesi; ahitānukampī maṃ tvaṃ, pāpima, evaṃ vadesi. Tuyhañhi, pāpima, evaṃ hoti – ‘yesaṃ samaṇo gotamo dhammaṃ desessati, te me visayaṃ upātivattissantī’ti. Asammāsambuddhāva pana te , pāpima, samānā sammāsambuddhāmhāti paṭijāniṃsu. Ahaṃ kho pana, pāpima, sammāsambuddhova samāno sammāsambuddhomhīti paṭijānāmi. Desentopi hi, pāpima, tathāgato sāvakānaṃ dhammaṃ tādisova adesentopi hi, pāpima, tathāgato sāvakānaṃ dhammaṃ tādisova. Upanentopi hi, pāpima, tathāgato sāvake tādisova, anupanentopi hi, pāpima, tathāgato sāvake tādisova. Taṃ kissa hetu? Tathāgatassa, pāpima, ye āsavā saṃkilesikā ponobbhavikā sadarā dukkhavipākā āyatiṃ jātijarāmaraṇiyā – te pahīnā ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā āyatiṃ anuppādadhammā. Seyyathāpi, pāpima, tālo matthakacchinno abhabbo puna virūḷhiyā; evameva kho, pāpima, tathāgatassa ye āsavā saṃkilesikā ponobbhavikā sadarā dukkhavipākā āyatiṃ jātijarāmaraṇiyā – te pahīnā ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā āyatiṃ anuppādadhammāti.
‘‘อิติ หิทํ มารสฺส จ อนาลปนตาย พฺรหฺมุโน จ อภินิมนฺตนตาย, ตสฺมา อิมสฺส เวยฺยากรณสฺส พฺรหฺมนิมนฺตนิกํเตว อธิวจน’’นฺติฯ
‘‘Iti hidaṃ mārassa ca anālapanatāya brahmuno ca abhinimantanatāya, tasmā imassa veyyākaraṇassa brahmanimantanikaṃteva adhivacana’’nti.
พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ นวมํฯ
Brahmanimantanikasuttaṃ niṭṭhitaṃ navamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๙. พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตวณฺณนา • 9. Brahmanimantanikasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตวณฺณนา • 9. Brahmanimantanikasuttavaṇṇanā