Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๙. พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตวณฺณนา
9. Brahmanimantanikasuttavaṇṇanā
๕๐๑. เอวํ เม สุตนฺติ พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตํฯ ตตฺถ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตนฺติ ลามกา สสฺสตทิฎฺฐิฯ อิทํ นิจฺจนฺติ อิทํ สห กาเยน พฺรหฺมฎฺฐานํ อนิจฺจํ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ วทติฯ ธุวาทีนิ ตเสฺสว เววจนานิฯ ตตฺถ ธุวนฺติ ถิรํฯ สสฺสตนฺติ สทา วิชฺชมานํฯ เกวลนฺติ อขณฺฑํ สกลํฯ อจวนธมฺมนฺติ อจวนสภาวํฯ อิทญฺหิ น ชายตีติอาทีสุ อิมสฺมิํ ฐาเน โกจิ ชายนโก วา ชียนโก วา มียนโก วา จวนโก วา อุปปชฺชนโก วา นตฺถีติ สนฺธาย วทติฯ อิโต จ ปนญฺญนฺติ อิโต สห กายกา พฺรหฺมฎฺฐานา อุตฺตริ อญฺญํ นิสฺสรณํ นาม นตฺถีติ เอวมสฺส ถามคตา สสฺสตทิฎฺฐิ อุปฺปนฺนา โหติฯ เอวํวาที ปน โส อุปริ ติโสฺส ฌานภูมิโย จตฺตาโร มคฺคา จตฺตาริ ผลานิ นิพฺพานนฺติ สพฺพํ ปฎิพาหติฯ อวิชฺชาคโตติ อวิชฺชาย คโต สมนฺนาคโต อญฺญาณี อนฺธีภูโตฯ ยตฺร หิ นามาติ โย นามฯ
501.Evaṃme sutanti brahmanimantanikasuttaṃ. Tattha pāpakaṃ diṭṭhigatanti lāmakā sassatadiṭṭhi. Idaṃ niccanti idaṃ saha kāyena brahmaṭṭhānaṃ aniccaṃ ‘‘nicca’’nti vadati. Dhuvādīni tasseva vevacanāni. Tattha dhuvanti thiraṃ. Sassatanti sadā vijjamānaṃ. Kevalanti akhaṇḍaṃ sakalaṃ. Acavanadhammanti acavanasabhāvaṃ. Idañhi na jāyatītiādīsu imasmiṃ ṭhāne koci jāyanako vā jīyanako vā mīyanako vā cavanako vā upapajjanako vā natthīti sandhāya vadati. Ito ca panaññanti ito saha kāyakā brahmaṭṭhānā uttari aññaṃ nissaraṇaṃ nāma natthīti evamassa thāmagatā sassatadiṭṭhi uppannā hoti. Evaṃvādī pana so upari tisso jhānabhūmiyo cattāro maggā cattāri phalāni nibbānanti sabbaṃ paṭibāhati. Avijjāgatoti avijjāya gato samannāgato aññāṇī andhībhūto. Yatra hi nāmāti yo nāma.
๕๐๒. อถ โข, ภิกฺขเว, มาโร ปาปิมาติ มาโร กถํ ภควนฺตํ อทฺทส? โส กิร อตฺตโน ภวเน นิสีทิตฺวา กาเลน กาลํ สตฺถารํ อาวเชฺชติ – ‘‘อชฺช สมโณ โคตโม กตรสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา วสตี’’ติฯ อิมสฺมิํ ปน กาเล อาวชฺชโนฺต, ‘‘อุกฺกฎฺฐํ นิสฺสาย สุภควเน วิหรตี’’ติ ญตฺวา, ‘‘กตฺถ นุ โข คโต’’ติ โอโลเกโนฺต พฺรหฺมโลกํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา, ‘‘สมโณ โคตโม พฺรหฺมโลกํ คจฺฉติ, ยาว ตตฺถ ธมฺมกถํ กเถตฺวา พฺรหฺมคณํ มม วิสยา นาติกฺกเมติ, ตาว คนฺตฺวา ธมฺมเทสนายํ วิฉนฺทํ กริสฺสามี’’ติ สตฺถุ ปทานุปทิโก คนฺตฺวา พฺรหฺมคณสฺส อนฺตเร อทิสฺสมาเนน กาเยน อฎฺฐาสิฯ โส, ‘‘สตฺถารา พกพฺรหฺมา อปสาทิโต’’ติ ญตฺวา พฺรหฺมุโน อุปตฺถโมฺภ หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, มาโร ปาปิมา’’ติฯ
502.Atha kho, bhikkhave, māro pāpimāti māro kathaṃ bhagavantaṃ addasa? So kira attano bhavane nisīditvā kālena kālaṃ satthāraṃ āvajjeti – ‘‘ajja samaṇo gotamo katarasmiṃ gāme vā nigame vā vasatī’’ti. Imasmiṃ pana kāle āvajjanto, ‘‘ukkaṭṭhaṃ nissāya subhagavane viharatī’’ti ñatvā, ‘‘kattha nu kho gato’’ti olokento brahmalokaṃ gacchantaṃ disvā, ‘‘samaṇo gotamo brahmalokaṃ gacchati, yāva tattha dhammakathaṃ kathetvā brahmagaṇaṃ mama visayā nātikkameti, tāva gantvā dhammadesanāyaṃ vichandaṃ karissāmī’’ti satthu padānupadiko gantvā brahmagaṇassa antare adissamānena kāyena aṭṭhāsi. So, ‘‘satthārā bakabrahmā apasādito’’ti ñatvā brahmuno upatthambho hutvā aṭṭhāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho, bhikkhave, māro pāpimā’’ti.
พฺรหฺมปาริสชฺชํ อนฺวาวิสิตฺวาติ เอกสฺส พฺรหฺมปาริสชฺชสฺส สรีรํ ปวิสิตฺวาฯ มหาพฺรหฺมานํ ปน พฺรหฺมปุโรหิตานํ วา อนฺวาวิสิตุํ น สโกฺกติฯ เมตมาสโทติ มา เอตํ อปสาทยิตฺถฯ อภิภูติ อภิภวิตฺวา ฐิโต เชฎฺฐโกฯ อนภิภูโตติ อเญฺญหิ อนภิภูโตฯ อญฺญทตฺถูติ เอกํสวจเน นิปาโตฯ ทสฺสนวเสน ทโส, สพฺพํ ปสฺสตีติ ทีเปติฯ วสวตฺตีติ สพฺพชนํ วเส วเตฺตติฯ อิสฺสโรติ โลเก อิสฺสโรฯ กตฺตา นิมฺมาตาติ โลกสฺส กตฺตา จ นิมฺมาตา จ, ปถวีหิมวนฺตสิเนรุจกฺกวาฬมหาสมุทฺทจนฺทิมสูริยา จ อิมินา นิมฺมิตาติ ทีเปติฯ
Brahmapārisajjaṃ anvāvisitvāti ekassa brahmapārisajjassa sarīraṃ pavisitvā. Mahābrahmānaṃ pana brahmapurohitānaṃ vā anvāvisituṃ na sakkoti. Metamāsadoti mā etaṃ apasādayittha. Abhibhūti abhibhavitvā ṭhito jeṭṭhako. Anabhibhūtoti aññehi anabhibhūto. Aññadatthūti ekaṃsavacane nipāto. Dassanavasena daso, sabbaṃ passatīti dīpeti. Vasavattīti sabbajanaṃ vase vatteti. Issaroti loke issaro. Kattā nimmātāti lokassa kattā ca nimmātā ca, pathavīhimavantasinerucakkavāḷamahāsamuddacandimasūriyā ca iminā nimmitāti dīpeti.
เสโฎฺฐ สชิตาติ อยํ โลกสฺส อุตฺตโม จ สชิตา จฯ ‘‘ตฺวํ ขตฺติโย นาม โหหิ, ตฺวํ พฺราหฺมโณ นาม, เวโสฺส นาม, สุโทฺท นาม, คหโฎฺฐ นาม, ปพฺพชิโต นาม, อนฺตมโส โอโฎฺฐ โหหิ, โคโณ โหหี’’ติ เอวํ สตฺตานํ วิสเชฺชตา อยนฺติ ทเสฺสติฯ วสี ปิตา ภูตภพฺยานนฺติ อยํ จิณฺณวสิตาย วสี, อยํ ปิตา ภูตานญฺจ ภพฺยานญฺจาติ วทติฯ ตตฺถ อณฺฑชชลาพุชา สตฺตา อโนฺตอณฺฑโกเส เจว อโนฺตวตฺถิมฺหิ จ ภพฺยา นาม, พหิ นิกฺขนฺตกาลโต ปฎฺฐาย ภูตาฯ สํเสทชา ปฐมจิตฺตกฺขเณ ภพฺยา, ทุติยโต ปฎฺฐาย ภูตาฯ โอปปาติกา ปฐมอิริยาปเถ ภพฺยา, ทุติยโต ปฎฺฐาย ภูตาติ เวทิตพฺพาฯ เต สเพฺพปิ เอตสฺส ปุตฺตาติ สญฺญาย, ‘‘ปิตา ภูตภพฺยาน’’นฺติ อาหฯ
Seṭṭho sajitāti ayaṃ lokassa uttamo ca sajitā ca. ‘‘Tvaṃ khattiyo nāma hohi, tvaṃ brāhmaṇo nāma, vesso nāma, suddo nāma, gahaṭṭho nāma, pabbajito nāma, antamaso oṭṭho hohi, goṇo hohī’’ti evaṃ sattānaṃ visajjetā ayanti dasseti. Vasī pitā bhūtabhabyānanti ayaṃ ciṇṇavasitāya vasī, ayaṃ pitā bhūtānañca bhabyānañcāti vadati. Tattha aṇḍajajalābujā sattā antoaṇḍakose ceva antovatthimhi ca bhabyā nāma, bahi nikkhantakālato paṭṭhāya bhūtā. Saṃsedajā paṭhamacittakkhaṇe bhabyā, dutiyato paṭṭhāya bhūtā. Opapātikā paṭhamairiyāpathe bhabyā, dutiyato paṭṭhāya bhūtāti veditabbā. Te sabbepi etassa puttāti saññāya, ‘‘pitā bhūtabhabyāna’’nti āha.
ปถวีครหกาติ ยถา ตฺวํ เอตรหิ, ‘‘อนิจฺจา ทุกฺขา อนตฺตา’’ติ ปถวิํ ครหสิ ชิคุจฺฉสิ, เอวํ เตปิ ปถวีครหกา อเหสุํ, น เกวลํ ตฺวํเยวาติ ทีเปติฯ อาปครหกาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ หีเน กาเย ปติฎฺฐิตาติ จตูสุ อปาเยสุ นิพฺพตฺตาฯ ปถวีปสํสกาติ ยถา ตฺวํ ครหสิ, เอวํ อครหิตฺวา, ‘‘นิจฺจา ธุวา สสฺสตา อเจฺฉชฺชา อเภชฺชา อกฺขยา’’ติ เอวํ ปถวีปสํสกา ปถวิยา วณฺณวาทิโน อเหสุนฺติ วทติฯ ปถวาภินนฺทิโนติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน ปถวิยา อภินนฺทิโนฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ปณีเต กาเย ปติฎฺฐิตาติ พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตาฯ ตํ ตาหนฺติ เตน การเณน ตํ อหํฯ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ อุปาติวตฺติโตฺถติ อติกฺกมิตฺถฯ ‘‘อุปาติวตฺติโต’’ติปิ ปาโฐ, อยเมวโตฺถฯ ทเณฺฑน ปฎิปฺปณาเมยฺยาติ จตุหเตฺถน มุคฺครทเณฺฑน โปเถตฺวา ปลาเปยฺยฯ นรกปปาเตติ สตโปริเส มหาโสเพฺภฯ วิราเธยฺยาติ หเตฺถน คหณยุเตฺต วา ปาเทน ปติฎฺฐานยุเตฺต วา ฐาเน คหณปติฎฺฐานานิ กาตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ นนุ ตฺวํ ภิกฺขุ ปสฺสสีติ ภิกฺขุ นนุ ตฺวํ อิมํ พฺรหฺมปริสํ สนฺนิปติตํ โอภาสมานํ วิโรจมานํ โชตยมานํ ปสฺสสีติ พฺรหฺมุโน โอวาเท ฐิตานํ อิทฺธานุภาวํ ทเสฺสติฯ อิติ โข มํ, ภิกฺขเว, มาโร ปาปิมา พฺรหฺมปริสํ อุปเนสีติ, ภิกฺขเว , มาโร ปาปิมา นนุ ตฺวํ ภิกฺขุ ปสฺสสิ พฺรหฺมปริสํ ยเสน จ สิริยา จ โอภาสมานํ วิโรจมานํ โชตยมานํ, ยทิ ตฺวมฺปิ มหาพฺรหฺมุโน วจนํ อนติกฺกมิตฺวา ยเทว เต พฺรหฺมา วทติ, ตํ กเรยฺยาสิ, ตฺวมฺปิ เอวเมวํ ยเสน จ สิริยา จ วิโรเจยฺยาสีติ เอวํ วทโนฺต มํ พฺรหฺมปริสํ อุปเนสิ อุปสํหริฯ มา ตฺวํ มญฺญิโตฺถติ มา ตฺวํ มญฺญิฯ มาโร ตฺวมสิ ปาปิมาติ ปาปิม ตฺวํ มหาชนสฺส มารณโต มาโร นาม, ปาปกํ ลามกํ มหาชนสฺส อยสํ กรณโต ปาปิมา นามาติ ชานามิฯ
Pathavīgarahakāti yathā tvaṃ etarahi, ‘‘aniccā dukkhā anattā’’ti pathaviṃ garahasi jigucchasi, evaṃ tepi pathavīgarahakā ahesuṃ, na kevalaṃ tvaṃyevāti dīpeti. Āpagarahakātiādīsupi eseva nayo. Hīne kāye patiṭṭhitāti catūsu apāyesu nibbattā. Pathavīpasaṃsakāti yathā tvaṃ garahasi, evaṃ agarahitvā, ‘‘niccā dhuvā sassatā acchejjā abhejjā akkhayā’’ti evaṃ pathavīpasaṃsakā pathaviyā vaṇṇavādino ahesunti vadati. Pathavābhinandinoti taṇhādiṭṭhivasena pathaviyā abhinandino. Sesesupi eseva nayo. Paṇīte kāye patiṭṭhitāti brahmaloke nibbattā. Taṃ tāhanti tena kāraṇena taṃ ahaṃ. Iṅghāti codanatthe nipāto. Upātivattitthoti atikkamittha. ‘‘Upātivattito’’tipi pāṭho, ayamevattho. Daṇḍena paṭippaṇāmeyyāti catuhatthena muggaradaṇḍena pothetvā palāpeyya. Narakapapāteti sataporise mahāsobbhe. Virādheyyāti hatthena gahaṇayutte vā pādena patiṭṭhānayutte vā ṭhāne gahaṇapatiṭṭhānāni kātuṃ na sakkuṇeyya. Nanu tvaṃ bhikkhu passasīti bhikkhu nanu tvaṃ imaṃ brahmaparisaṃ sannipatitaṃ obhāsamānaṃ virocamānaṃ jotayamānaṃ passasīti brahmuno ovāde ṭhitānaṃ iddhānubhāvaṃ dasseti. Iti kho maṃ, bhikkhave, māro pāpimā brahmaparisaṃ upanesīti, bhikkhave , māro pāpimā nanu tvaṃ bhikkhu passasi brahmaparisaṃ yasena ca siriyā ca obhāsamānaṃ virocamānaṃ jotayamānaṃ, yadi tvampi mahābrahmuno vacanaṃ anatikkamitvā yadeva te brahmā vadati, taṃ kareyyāsi, tvampi evamevaṃ yasena ca siriyā ca viroceyyāsīti evaṃ vadanto maṃ brahmaparisaṃ upanesi upasaṃhari. Mā tvaṃ maññitthoti mā tvaṃ maññi. Māro tvamasi pāpimāti pāpima tvaṃ mahājanassa māraṇato māro nāma, pāpakaṃ lāmakaṃ mahājanassa ayasaṃ karaṇato pāpimā nāmāti jānāmi.
๕๐๓. กสิณํ อายุนฺติ สกลํ อายุํฯ เต โข เอวํ ชาเนยฺยุนฺติ เต เอวํ มหเนฺตน ตโปกเมฺมน สมนฺนาคตา, ตฺวํ ปน ปุริมทิวเส ชาโต, กิํ ชานิสฺสสิ, ยสฺส เต อชฺชาปิ มุเข ขีรคโนฺธ วายตีติ ฆเฎฺฎโนฺต วทติฯ ปถวิํ อโชฺฌสิสฺสสีติ ปถวิํ อโชฺฌสาย คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐเปตฺวา ตณฺหามานทิฎฺฐีหิ คณฺหิสฺสสิฯ โอปสายิโก เม ภวิสฺสสีติ มยฺหํ สมีปสโย ภวิสฺสสิ, มํ คจฺฉนฺตํ อนุคจฺฉิสฺสสิ, ฐิตํ อุปติฎฺฐิสฺสสิ, นิสินฺนํ อุปนิสีทิสฺสสิ, นิปนฺนํ อุปนิปชฺชิสฺสสีติ อโตฺถฯ วตฺถุสายิโกติ มม วตฺถุสฺมิํ สยนโกฯ ยถากามกรณีโย พาหิเตโยฺยติ มยา อตฺตโน รุจิยา ยํ อิจฺฉามิ, ตํ กตฺตโพฺพ, พาหิตฺวา จ ปน ชชฺฌริกาคุมฺพโตปิ นีจตโร ลกุณฺฑฎกตโร กาตโพฺพ ภวิสฺสสีติ อโตฺถฯ
503.Kasiṇaṃ āyunti sakalaṃ āyuṃ. Te kho evaṃ jāneyyunti te evaṃ mahantena tapokammena samannāgatā, tvaṃ pana purimadivase jāto, kiṃ jānissasi, yassa te ajjāpi mukhe khīragandho vāyatīti ghaṭṭento vadati. Pathaviṃ ajjhosissasīti pathaviṃ ajjhosāya gilitvā pariniṭṭhapetvā taṇhāmānadiṭṭhīhi gaṇhissasi. Opasāyiko me bhavissasīti mayhaṃ samīpasayo bhavissasi, maṃ gacchantaṃ anugacchissasi, ṭhitaṃ upatiṭṭhissasi, nisinnaṃ upanisīdissasi, nipannaṃ upanipajjissasīti attho. Vatthusāyikoti mama vatthusmiṃ sayanako. Yathākāmakaraṇīyo bāhiteyyoti mayā attano ruciyā yaṃ icchāmi, taṃ kattabbo, bāhitvā ca pana jajjharikāgumbatopi nīcataro lakuṇḍaṭakataro kātabbo bhavissasīti attho.
อิมินา เอส ภควนฺตํ อุปลาเปติ วา อปสาเทติ วาฯ อุปลาเปติ นาม สเจ โข ตฺวํ, ภิกฺขุ, ตณฺหาทีหิ ปถวิํ อโชฺฌสิสฺสสิ, โอปสายิโก เม ภวิสฺสสิ, มยิ คจฺฉเนฺต คมิสฺสสิ, ติฎฺฐเนฺต ฐสฺสสิ, นิสิเนฺน นิสีทิสฺสสิ, นิปเนฺน นิปชฺชิสฺสสิ, อหํ ตํ เสสชนํ ปฎิพาหิตฺวา วิสฺสาสิกํ อพฺภนฺตริกํ กริสฺสามีติ เอวํ ตาว อุปลาเปติ นามฯ เสสปเทหิ ปน อปสาเทติ นามฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – สเจ ตฺวํ ปถวิํ อโชฺฌสิสฺสสิ, วตฺถุสายิโก เม ภวิสฺสสิ, มม คมนาทีนิ อาคเมตฺวา คมิสฺสสิ วา ฐสฺสสิ วา นิสีทิสฺสสิ วา นิปชฺชิสฺสสิ วา, มม วตฺถุสฺมิํ มยฺหํ อารกฺขํ คณฺหิสฺสสิ, อหํ ปน ตํ ยถากามํ กริสฺสามิ พาหิตฺวา จ ชชฺฌริกาคุมฺพโตปิ ลกุณฺฑกตรนฺติ เอวํ อปสาเทติ นามฯ อยํ ปน พฺรหฺมา มานนิสฺสิโต, ตสฺมา อิธ อปสาทนาว อธิเปฺปตาฯ อาปาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Iminā esa bhagavantaṃ upalāpeti vā apasādeti vā. Upalāpeti nāma sace kho tvaṃ, bhikkhu, taṇhādīhi pathaviṃ ajjhosissasi, opasāyiko me bhavissasi, mayi gacchante gamissasi, tiṭṭhante ṭhassasi, nisinne nisīdissasi, nipanne nipajjissasi, ahaṃ taṃ sesajanaṃ paṭibāhitvā vissāsikaṃ abbhantarikaṃ karissāmīti evaṃ tāva upalāpeti nāma. Sesapadehi pana apasādeti nāma. Ayañhettha adhippāyo – sace tvaṃ pathaviṃ ajjhosissasi, vatthusāyiko me bhavissasi, mama gamanādīni āgametvā gamissasi vā ṭhassasi vā nisīdissasi vā nipajjissasi vā, mama vatthusmiṃ mayhaṃ ārakkhaṃ gaṇhissasi, ahaṃ pana taṃ yathākāmaṃ karissāmi bāhitvā ca jajjharikāgumbatopi lakuṇḍakataranti evaṃ apasādeti nāma. Ayaṃ pana brahmā mānanissito, tasmā idha apasādanāva adhippetā. Āpādīsupi eseva nayo.
อปิจ เต อหํ พฺรเหฺมติ อิทานิ ภควา, ‘‘อยํ พฺรหฺมา มานนิสฺสิโต ‘อหํ ชานามี’ติ มญฺญติ, อตฺตโน ยเสน สมฺมโตฺต สรีรํ ผุสิตุมฺปิ สมตฺถํ กิญฺจิ น ปสฺสติ, โถกํ นิคฺคเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ คติญฺจ ปชานามีติ นิปฺผตฺติญฺจ ปชานามิฯ ชุติญฺจาติ อานุภาวญฺจ ปชานามิฯ เอวํ มเหสโกฺขติ เอวํ มหายโส มหาปริวาโรฯ
Apicate ahaṃ brahmeti idāni bhagavā, ‘‘ayaṃ brahmā mānanissito ‘ahaṃ jānāmī’ti maññati, attano yasena sammatto sarīraṃ phusitumpi samatthaṃ kiñci na passati, thokaṃ niggahetuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā imaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha gatiñca pajānāmīti nipphattiñca pajānāmi. Jutiñcāti ānubhāvañca pajānāmi. Evaṃ mahesakkhoti evaṃ mahāyaso mahāparivāro.
ยาวตา จนฺทิมสูริยา ปริหรนฺตีติ ยตฺตเก ฐาเน จนฺทิมสูริยา วิจรนฺติฯ ทิสา ภนฺติ วิโรจนาติ ทิสาสุ วิโรจมานา โอภาสนฺติ, ทิสา วา เตหิ วิโรจมานา โอภาสนฺติฯ ตาว สหสฺสธา โลโกติ ตตฺตเกน ปมาเณน สหสฺสธา โลโก, อิมินา จกฺกวาเฬน สทฺธิํ จกฺกวาฬสหสฺสนฺติ อโตฺถฯ เอตฺถ เต วตฺตเต วโสติ เอตฺถ จกฺกวาฬสหเสฺส ตุยฺหํ วโส วตฺตติฯ ปโรปรญฺจ ชานาสีติ เอตฺถ จกฺกวาฬสหเสฺส ปโรปเร อุจฺจนีเจ หีนปฺปณีเต สเตฺต ชานาสิฯ อโถ ราควิราคินนฺติ น เกวลํ, ‘‘อยํ อิโทฺธ อยํ ปกติมนุโสฺส’’ติ ปโรปรํ, ‘‘อยํ ปน สราโค อยํ วีตราโค’’ติ เอวํ ราควิราคินมฺปิ ชนํ ชานาสิฯ อิตฺถํภาวญฺญถาภาวนฺติ อิตฺถํภาโวติ อิทํ จกฺกวาฬํฯ อญฺญถาภาโวติ อิโต เสสํ เอกูนสหสฺสํฯ สตฺตานํ อาคติํ คตินฺติ เอตฺถ จกฺกวาฬสหเสฺส ปฎิสนฺธิวเสน สตฺตานํ อาคติํ, จุติวเสน คติํ จ ชานาสิฯ ตุยฺหํ ปน อติมหโนฺตหมสฺมีติ สญฺญา โหติ, สหสฺสิพฺรหฺมา นาม ตฺวํ, อเญฺญสํ ปน ตยา อุตฺตริ ทฺวิสหสฺสานํ ติสหสฺสานํ จตุสหสฺสานํ ปญฺจสหสฺสานํ ทสสหสฺสานํ สตสหสฺสานญฺจ พฺรหฺมานํ ปมาณํ นตฺถิ, จตุหตฺถาย ปิโลติกาย ปฎปฺปมาณํ กาตุํ วายมโนฺต วิย มหโนฺตสฺมีติ สญฺญํ กโรสีติ นิคฺคณฺหาติฯ
Yāvatā candimasūriyā pariharantīti yattake ṭhāne candimasūriyā vicaranti. Disā bhanti virocanāti disāsu virocamānā obhāsanti, disā vā tehi virocamānā obhāsanti. Tāva sahassadhā lokoti tattakena pamāṇena sahassadhā loko, iminā cakkavāḷena saddhiṃ cakkavāḷasahassanti attho. Ettha te vattate vasoti ettha cakkavāḷasahasse tuyhaṃ vaso vattati. Paroparañca jānāsīti ettha cakkavāḷasahasse paropare uccanīce hīnappaṇīte satte jānāsi. Atho rāgavirāginanti na kevalaṃ, ‘‘ayaṃ iddho ayaṃ pakatimanusso’’ti paroparaṃ, ‘‘ayaṃ pana sarāgo ayaṃ vītarāgo’’ti evaṃ rāgavirāginampi janaṃ jānāsi. Itthaṃbhāvaññathābhāvanti itthaṃbhāvoti idaṃ cakkavāḷaṃ. Aññathābhāvoti ito sesaṃ ekūnasahassaṃ. Sattānaṃ āgatiṃ gatinti ettha cakkavāḷasahasse paṭisandhivasena sattānaṃ āgatiṃ, cutivasena gatiṃ ca jānāsi. Tuyhaṃ pana atimahantohamasmīti saññā hoti, sahassibrahmā nāma tvaṃ, aññesaṃ pana tayā uttari dvisahassānaṃ tisahassānaṃ catusahassānaṃ pañcasahassānaṃ dasasahassānaṃ satasahassānañca brahmānaṃ pamāṇaṃ natthi, catuhatthāya pilotikāya paṭappamāṇaṃ kātuṃ vāyamanto viya mahantosmīti saññaṃ karosīti niggaṇhāti.
๕๐๔. อิธูปปโนฺนติ อิธ ปฐมชฺฌานภูมิยํ อุปปโนฺนฯ เตน ตํ ตฺวํ น ชานาสีติ เตน การเณน ตํ กายํ ตฺวํ น ชานาสิฯ เนว เต สมสโมติ ชานิตพฺพฎฺฐานํ ปตฺวาปิ ตยา สมสโม น โหมิฯ อภิญฺญายาติ อญฺญายฯ กุโต นีเจยฺยนฺติ ตยา นีจตรภาโว ปน มยฺหํ กุโตฯ
504.Idhūpapannoti idha paṭhamajjhānabhūmiyaṃ upapanno. Tena taṃ tvaṃ na jānāsīti tena kāraṇena taṃ kāyaṃ tvaṃ na jānāsi. Neva te samasamoti jānitabbaṭṭhānaṃ patvāpi tayā samasamo na homi. Abhiññāyāti aññāya. Kuto nīceyyanti tayā nīcatarabhāvo pana mayhaṃ kuto.
เหฎฺฐูปปตฺติโก กิเรส พฺรหฺมา อนุปฺปเนฺน พุทฺธุปฺปาเท อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌาโน กาลํ กตฺวา จตุตฺถชฺฌานภูมิยํ เวหปฺผลพฺรหฺมโลเก ปญฺจกปฺปสติกํ อายุํ คเหตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา เหฎฺฎูปปตฺติกํ กตฺวา ตติยชฺฌานํ ปณีตํ ภาเวตฺวา สุภกิณฺหพฺรหฺมโลเก จตุสฎฺฐิกปฺปํ อายุํ คเหตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตตฺถ ทุติยชฺฌานํ ภาเวตฺวา อาภสฺสเรสุ อฎฺฐกปฺปํ อายุํ คเหตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตตฺถ ปฐมชฺฌานํ ภาเวตฺวา ปฐมชฺฌานภูมิยํ กปฺปายุโก หุตฺวา นิพฺพตฺติ, โส ปฐมกาเล อตฺตนา กตกมฺมญฺจ นิพฺพตฺตฎฺฐานญฺจ อญฺญาสิ, กาเล ปน คจฺฉเนฺต อุภยํ ปมุสฺสิตฺวา สสฺสตทิฎฺฐิํ อุปฺปาเทสิฯ เตน นํ ภควา, ‘‘เตน ตํ ตฺวํ น ชานาสิ…เป.… กุโต นีเจยฺย’’นฺติ อาหฯ
Heṭṭhūpapattiko kiresa brahmā anuppanne buddhuppāde isipabbajjaṃ pabbajitvā kasiṇaparikammaṃ katvā samāpattiyo nibbattetvā aparihīnajjhāno kālaṃ katvā catutthajjhānabhūmiyaṃ vehapphalabrahmaloke pañcakappasatikaṃ āyuṃ gahetvā nibbatti. Tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā heṭṭūpapattikaṃ katvā tatiyajjhānaṃ paṇītaṃ bhāvetvā subhakiṇhabrahmaloke catusaṭṭhikappaṃ āyuṃ gahetvā nibbatti. Tattha dutiyajjhānaṃ bhāvetvā ābhassaresu aṭṭhakappaṃ āyuṃ gahetvā nibbatti. Tattha paṭhamajjhānaṃ bhāvetvā paṭhamajjhānabhūmiyaṃ kappāyuko hutvā nibbatti, so paṭhamakāle attanā katakammañca nibbattaṭṭhānañca aññāsi, kāle pana gacchante ubhayaṃ pamussitvā sassatadiṭṭhiṃ uppādesi. Tena naṃ bhagavā, ‘‘tena taṃ tvaṃ na jānāsi…pe… kuto nīceyya’’nti āha.
อถ พฺรหฺมา จิเนฺตสิ – ‘‘สมโณ โคตโม มยฺหํ อายุญฺจ นิพฺพตฺตฎฺฐานญฺจ ปุเพฺพกตกมฺมญฺจ ชานาติ, หนฺท นํ ปุเพฺพ กตกมฺมํ ปุจฺฉามี’’ติ สตฺถารํ อตฺตโน ปุเพฺพกตกมฺมํ ปุจฺฉิฯ สตฺถา กเถสิฯ
Atha brahmā cintesi – ‘‘samaṇo gotamo mayhaṃ āyuñca nibbattaṭṭhānañca pubbekatakammañca jānāti, handa naṃ pubbe katakammaṃ pucchāmī’’ti satthāraṃ attano pubbekatakammaṃ pucchi. Satthā kathesi.
ปุเพฺพ กิเรส กุลฆเร นิพฺพตฺติตฺวา กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา, ‘‘ชาติชราพฺยาธิมรณสฺส อนฺตํ กริสฺสามี’’ติ นิกฺขมฺม อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา อภิญฺญาปาทกชฺฌานลาภี หุตฺวา คงฺคาตีเร ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา ฌานรติยา วีตินาเมติฯ ตทา จ กาเลน กาลํ สตฺถวาหา ปญฺจหิ สกฎสเตหิ มรุกนฺตารํ ปฎิปชฺชนฺติฯ มรุกนฺตาเร ปน ทิวา น สกฺกา คนฺตุํ, รตฺติํ คมนํ โหติฯ อถ ปุริมสกฎสฺส อคฺคยุเค ยุตฺตพลิพทฺทา คจฺฉนฺตา นิวตฺติตฺวา อาคตมคฺคาภิมุขาว อเหสุํฯ อิตรสกฎานิ ตเถว นิวตฺติตฺวา อรุเณ อุคฺคเต นิวตฺติตภาวํ ชานิํสุฯ เตสญฺจ ตทา กนฺตารํ อติกฺกมนทิวโส อโหสิฯ สพฺพํ ทารุทกํ ปริกฺขีณํ, ตสฺมา, ‘‘นตฺถิ ทานิ อมฺหากํ ชีวิต’’นฺติ จิเนฺตตฺวา โคเณ จเกฺกสุ พนฺธิตฺวา มนุสฺสา สกฎปจฺฉายายํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชิํสุ ฯ ตาปโสปิ กาลเสฺสว ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา ปณฺณสาลทฺวาเร นิสิโนฺน คงฺคํ โอโลกยมาโน อทฺทส คงฺคํ มหตา อุทโกเฆน วุยฺหมานํ ปวตฺติตมณิกฺขนฺธํ วิย อาคจฺฉนฺติํฯ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข อิมสฺมิํ โลเก เอวรูปสฺส มธุโรทกสฺส อลาเภน กิลิสฺสมานา สตฺตา’’ติฯ โส เอวํ อาวชฺชโนฺต มรุกนฺตาเร ตํ สตฺถํ ทิสฺวา, ‘‘อิเม สตฺตา มา นสฺสนฺตู’’ติ, ‘‘อิโต มหา อุทกกฺขโนฺธ ฉิชฺชิตฺวา มรุกนฺตาเร สตฺถาภิมุโข คจฺฉตู’’ติ อภิญฺญาจิเตฺตน อธิฎฺฐาสิฯ สหจิตฺตุปฺปาเทน มาติการุฬฺหํ วิย อุทกํ ตตฺถ อคมาสิฯ มนุสฺสา อุทกสเทฺทน วุฎฺฐาย อุทกํ ทิสฺวา หตฺถตุฎฺฐา นฺหายิตฺวา ปิวิตฺวา โคเณปิ ปาเยตฺวา โสตฺถินา อิจฺฉิตฎฺฐานํ อคมํสุฯ สตฺถา ตํ พฺรหฺมุโน ปุพฺพกมฺมํ ทเสฺสโนฺต –
Pubbe kiresa kulaghare nibbattitvā kāmesu ādīnavaṃ disvā, ‘‘jātijarābyādhimaraṇassa antaṃ karissāmī’’ti nikkhamma isipabbajjaṃ pabbajitvā samāpattiyo nibbattetvā abhiññāpādakajjhānalābhī hutvā gaṅgātīre paṇṇasālaṃ kāretvā jhānaratiyā vītināmeti. Tadā ca kālena kālaṃ satthavāhā pañcahi sakaṭasatehi marukantāraṃ paṭipajjanti. Marukantāre pana divā na sakkā gantuṃ, rattiṃ gamanaṃ hoti. Atha purimasakaṭassa aggayuge yuttabalibaddā gacchantā nivattitvā āgatamaggābhimukhāva ahesuṃ. Itarasakaṭāni tatheva nivattitvā aruṇe uggate nivattitabhāvaṃ jāniṃsu. Tesañca tadā kantāraṃ atikkamanadivaso ahosi. Sabbaṃ dārudakaṃ parikkhīṇaṃ, tasmā, ‘‘natthi dāni amhākaṃ jīvita’’nti cintetvā goṇe cakkesu bandhitvā manussā sakaṭapacchāyāyaṃ pavisitvā nipajjiṃsu . Tāpasopi kālasseva paṇṇasālato nikkhamitvā paṇṇasāladvāre nisinno gaṅgaṃ olokayamāno addasa gaṅgaṃ mahatā udakoghena vuyhamānaṃ pavattitamaṇikkhandhaṃ viya āgacchantiṃ. Disvā cintesi – ‘‘atthi nu kho imasmiṃ loke evarūpassa madhurodakassa alābhena kilissamānā sattā’’ti. So evaṃ āvajjanto marukantāre taṃ satthaṃ disvā, ‘‘ime sattā mā nassantū’’ti, ‘‘ito mahā udakakkhandho chijjitvā marukantāre satthābhimukho gacchatū’’ti abhiññācittena adhiṭṭhāsi. Sahacittuppādena mātikāruḷhaṃ viya udakaṃ tattha agamāsi. Manussā udakasaddena vuṭṭhāya udakaṃ disvā hatthatuṭṭhā nhāyitvā pivitvā goṇepi pāyetvā sotthinā icchitaṭṭhānaṃ agamaṃsu. Satthā taṃ brahmuno pubbakammaṃ dassento –
‘‘ยํ ตฺวํ อปาเยสิ พหู มนุเสฺส,
‘‘Yaṃ tvaṃ apāyesi bahū manusse,
ปิปาสิเต ฆมฺมนิ สมฺปเรเต;
Pipāsite ghammani samparete;
ตํ เต ปุราณํ วตสีลวตฺตํ,
Taṃ te purāṇaṃ vatasīlavattaṃ,
สุตฺตปฺปพุโทฺธว อนุสฺสรามี’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๗๑) –
Suttappabuddhova anussarāmī’’ti. (jā. 1.7.71) –
อิมํ คาถมาหฯ
Imaṃ gāthamāha.
อปรสฺมิํ สมเย ตาปโส คงฺคาตีเร ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา อารญฺญกํ คามํ นิสฺสาย วสติฯ เตน จ สมเยน โจรา ตํ คามํ ปหริตฺวา หตฺถสารํ คเหตฺวา คาวิโย จ กรมเร จ คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ คาโวปิ สุนขาปิ มนุสฺสาปิ มหาวิรวํ วิรวนฺติฯ ตาปโส ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ อาวชฺชโนฺต, ‘‘มนุสฺสานํ ภยํ อุปฺปนฺน’’นฺติ ญตฺวา, ‘‘มยิ ปสฺสเนฺต อิเม สตฺตา มา นสฺสนฺตู’’ติ อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อภิญฺญาจิเตฺตน โจรานํ ปฎิปเถ จตุรงฺคินิเสนํ มาเปสิ กมฺมสชฺชํ อาคจฺฉนฺติํฯ โจรา ทิสฺวา, ‘‘ราชา’’ติ เต มญฺญมานา วิโลปํ ฉเฑฺฑตฺวา ปกฺกมิํสุฯ ตาปโส ‘‘ยํ ยสฺส สนฺตกํ, ตํ ตเสฺสว โหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิ, ตํ ตเถว อโหสิฯ มหาชโน โสตฺถิภาวํ ปาปุณิฯ สตฺถา อิทมฺปิ ตสฺส ปุพฺพกมฺมํ ทเสฺสโนฺต –
Aparasmiṃ samaye tāpaso gaṅgātīre paṇṇasālaṃ māpetvā āraññakaṃ gāmaṃ nissāya vasati. Tena ca samayena corā taṃ gāmaṃ paharitvā hatthasāraṃ gahetvā gāviyo ca karamare ca gahetvā gacchanti. Gāvopi sunakhāpi manussāpi mahāviravaṃ viravanti. Tāpaso taṃ saddaṃ sutvā ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti āvajjanto, ‘‘manussānaṃ bhayaṃ uppanna’’nti ñatvā, ‘‘mayi passante ime sattā mā nassantū’’ti abhiññāpādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya abhiññācittena corānaṃ paṭipathe caturaṅginisenaṃ māpesi kammasajjaṃ āgacchantiṃ. Corā disvā, ‘‘rājā’’ti te maññamānā vilopaṃ chaḍḍetvā pakkamiṃsu. Tāpaso ‘‘yaṃ yassa santakaṃ, taṃ tasseva hotū’’ti adhiṭṭhāsi, taṃ tatheva ahosi. Mahājano sotthibhāvaṃ pāpuṇi. Satthā idampi tassa pubbakammaṃ dassento –
‘‘ยํ เอณิกูลสฺมิํ ชนํ คหีตํ,
‘‘Yaṃ eṇikūlasmiṃ janaṃ gahītaṃ,
อโมจยี คยฺหก นียมานํ;
Amocayī gayhaka nīyamānaṃ;
ตํ เต ปุราณํ วตสีลวตฺตํ,
Taṃ te purāṇaṃ vatasīlavattaṃ,
สุตฺตปฺปพุโทฺธว อนุสฺสรามี’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๗๒) –
Suttappabuddhova anussarāmī’’ti. (jā. 1.7.72) –
อิมํ คาถมาหฯ เอตฺถ เอณิกูลสฺมินฺติ คงฺคาตีเรฯ
Imaṃ gāthamāha. Ettha eṇikūlasminti gaṅgātīre.
ปุน เอกสฺมิํ สมเย อุปริคงฺคาวาสิกํ กุลํ เหฎฺฐาคงฺคาวาสิเกน กุเลน สทฺธิํ มิตฺตสนฺถวํ กตฺวา นาวาสงฺฆาฎํ พนฺธิตฺวา พหุํ ขาทนียโภชนียเญฺจว คนฺธมาลาทีนิ จ อาโรเปตฺวา คงฺคาโสเตน อาคจฺฉติฯ มนุสฺสา ขาทมานา ภุญฺชมานา นจฺจนฺตา คายนฺตา เทววิมาเนน คจฺฉนฺตา วิย พลวโสมนสฺสา อเหสุํฯ คเงฺคยฺยโก นาโค ทิสฺวา กุปิโต, ‘‘อิเม มยิ สญฺญมฺปิ น กโรนฺติ, อิทานิ เน สมุทฺทเมว ปาเปสฺสามี’’ติ มหนฺตํ อตฺตภาวํ มาเปตฺวา อุทกํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา อุฎฺฐาย ผณํ กตฺวา สุสฺสูการํ กโรโนฺต อฎฺฐาสิฯ มหาชโน ทิสฺวา ภีโต วิสฺสรมกาสิฯ ตาปโส ปณฺณสาลาย นิสิโนฺน สุตฺวา, ‘‘อิเม คายนฺตา นจฺจนฺตา โสมนสฺสชาตา อาคจฺฉนฺติ, อิทานิ ปน ภยรวํ รวิํสุ, กิํ นุ โข’’ติ อาวชฺชโนฺต นาคราชํ ทิสฺวา, ‘‘มยิ ปสฺสเนฺต อิเม สตฺตา มา นสฺสนฺตู’’ติ อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา สุปณฺณวณฺณํ มาเปตฺวา นาคราชสฺส ทเสฺสสิฯ นาคราชา ภีโต ผณํ สํหริตฺวา อุทกํ ปวิโฎฺฐฯ มหาชโน โสตฺถิภาวํ ปาปุณิฯ สตฺถา อิทมฺปิ ตสฺส ปุพฺพกมฺมํ ทเสฺสโนฺต –
Puna ekasmiṃ samaye uparigaṅgāvāsikaṃ kulaṃ heṭṭhāgaṅgāvāsikena kulena saddhiṃ mittasanthavaṃ katvā nāvāsaṅghāṭaṃ bandhitvā bahuṃ khādanīyabhojanīyañceva gandhamālādīni ca āropetvā gaṅgāsotena āgacchati. Manussā khādamānā bhuñjamānā naccantā gāyantā devavimānena gacchantā viya balavasomanassā ahesuṃ. Gaṅgeyyako nāgo disvā kupito, ‘‘ime mayi saññampi na karonti, idāni ne samuddameva pāpessāmī’’ti mahantaṃ attabhāvaṃ māpetvā udakaṃ dvidhā bhinditvā uṭṭhāya phaṇaṃ katvā sussūkāraṃ karonto aṭṭhāsi. Mahājano disvā bhīto vissaramakāsi. Tāpaso paṇṇasālāya nisinno sutvā, ‘‘ime gāyantā naccantā somanassajātā āgacchanti, idāni pana bhayaravaṃ raviṃsu, kiṃ nu kho’’ti āvajjanto nāgarājaṃ disvā, ‘‘mayi passante ime sattā mā nassantū’’ti abhiññāpādakajjhānaṃ samāpajjitvā attabhāvaṃ vijahitvā supaṇṇavaṇṇaṃ māpetvā nāgarājassa dassesi. Nāgarājā bhīto phaṇaṃ saṃharitvā udakaṃ paviṭṭho. Mahājano sotthibhāvaṃ pāpuṇi. Satthā idampi tassa pubbakammaṃ dassento –
‘‘คงฺคาย โสตสฺมิํ คหีตนาวํ,
‘‘Gaṅgāya sotasmiṃ gahītanāvaṃ,
ลุเทฺทน นาเคน มนุสฺสกปฺปา;
Luddena nāgena manussakappā;
อโมจยิตฺถ พลสา ปสยฺห,
Amocayittha balasā pasayha,
ตํ เต ปุราณํ วตสีลวตฺตํ;
Taṃ te purāṇaṃ vatasīlavattaṃ;
สุตฺตปฺปพุโทฺธว อนุสฺสรามี’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๗๓) –
Suttappabuddhova anussarāmī’’ti. (jā. 1.7.73) –
อิมํ คาถมาหฯ
Imaṃ gāthamāha.
อปรสฺมิํ สมเย เอส อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา เกสโว นาม ตาปโส อโหสิฯ เตน สมเยน อมฺหากํ โพธิสโตฺต กโปฺป นาม มาณโว เกสวสฺส พทฺธจโร อเนฺตวาสิโก หุตฺวา อาจริยสฺส กิํการปฎิสฺสาวี มนาปจารี พุทฺธิสมฺปโนฺน อตฺถจโร อโหสิฯ เกสโว ตํ วินา วตฺติตุํ นาสกฺขิ, ตํ นิสฺสาเยว ชีวิกํ กเปฺปสิฯ สตฺถา อิทมฺปิ ตสฺส ปุพฺพกมฺมํ ทเสฺสโนฺต –
Aparasmiṃ samaye esa isipabbajjaṃ pabbajitvā kesavo nāma tāpaso ahosi. Tena samayena amhākaṃ bodhisatto kappo nāma māṇavo kesavassa baddhacaro antevāsiko hutvā ācariyassa kiṃkārapaṭissāvī manāpacārī buddhisampanno atthacaro ahosi. Kesavo taṃ vinā vattituṃ nāsakkhi, taṃ nissāyeva jīvikaṃ kappesi. Satthā idampi tassa pubbakammaṃ dassento –
‘‘กโปฺป จ เต พทฺธจโร อโหสิ,
‘‘Kappo ca te baddhacaro ahosi,
สมฺพุทฺธิมนฺตํ วตินํ อมญฺญิ;
Sambuddhimantaṃ vatinaṃ amaññi;
ตํ เต ปุราณํ วตสีลวตฺตํ,
Taṃ te purāṇaṃ vatasīlavattaṃ,
สุตฺตปฺปพุโทฺธว อนุสฺสรามี’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๗๔) –
Suttappabuddhova anussarāmī’’ti. (jā. 1.7.74) –
อิมํ คาถมาหฯ
Imaṃ gāthamāha.
เอวํ พฺรหฺมุโน นานตฺตภาเวสุ กตกมฺมํ สตฺถา ปกาเสสิฯ สตฺถริ กเถเนฺตเยว พฺรหฺมา สลฺลเกฺขสิ, ทีปสหเสฺส อุชฺชลิเต รูปานิ วิย สพฺพกมฺมานิสฺส ปากฎานิ อเหสุํฯ โส ปสนฺนจิโตฺต อิมํ คาถมาห –
Evaṃ brahmuno nānattabhāvesu katakammaṃ satthā pakāsesi. Satthari kathenteyeva brahmā sallakkhesi, dīpasahasse ujjalite rūpāni viya sabbakammānissa pākaṭāni ahesuṃ. So pasannacitto imaṃ gāthamāha –
‘‘อทฺธา ปชานาสิ มเมตมายุํ,
‘‘Addhā pajānāsi mametamāyuṃ,
อญฺญมฺปิ ชานาสิ ตถา หิ พุโทฺธ;
Aññampi jānāsi tathā hi buddho;
ตถา หิ ตายํ ชลิตานุภาโว,
Tathā hi tāyaṃ jalitānubhāvo,
โอภาสยํ ติฎฺฐติ พฺรหฺมโลก’’นฺติฯ (ชา. ๑.๗.๗๕);
Obhāsayaṃ tiṭṭhati brahmaloka’’nti. (jā. 1.7.75);
อถสฺส ภควา อุตฺตริ อสมสมตํ ปกาเสโนฺต ปถวิํ โข อหํ พฺรเหฺมติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปถวิยา ปถวเตฺตน อนนุภูตนฺติ ปถวิยา ปถวิสภาเวน อนนุภูตํ อปฺปตฺตํฯ กิํ ปน ตนฺติ? นิพฺพานํฯ ตญฺหิ สพฺพสฺมา สงฺขตา นิสฺสฎตฺตา ปถวิสภาเวน อปฺปตฺตํ นามฯ ตทภิญฺญายาติ ตํ นิพฺพานํ ชานิตฺวา สจฺฉิกตฺวาฯ ปถวิํ นาปโหสินฺติ ปถวิํ ตณฺหาทิฎฺฐิมานคาเหหิ น คณฺหิํฯ อาปาทีสุปิ เอเสว นโยฯ วิตฺถาโร ปน มูลปริยาเย วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Athassa bhagavā uttari asamasamataṃ pakāsento pathaviṃ kho ahaṃ brahmetiādimāha. Tattha pathaviyā pathavattena ananubhūtanti pathaviyā pathavisabhāvena ananubhūtaṃ appattaṃ. Kiṃ pana tanti? Nibbānaṃ. Tañhi sabbasmā saṅkhatā nissaṭattā pathavisabhāvena appattaṃ nāma. Tadabhiññāyāti taṃ nibbānaṃ jānitvā sacchikatvā. Pathaviṃ nāpahosinti pathaviṃ taṇhādiṭṭhimānagāhehi na gaṇhiṃ. Āpādīsupi eseva nayo. Vitthāro pana mūlapariyāye vuttanayeneva veditabbo.
สเจ โข เต, มาริส, สพฺพสฺส สพฺพเตฺตนาติ อิทเมว พฺรหฺมา อตฺตโน วาทิตาย สพฺพนฺติ อกฺขรํ นิทฺทิสิตฺวา อกฺขเร โทสํ คณฺหโนฺต อาหฯ สตฺถา ปน สกฺกายํ สนฺธาย ‘‘สพฺพ’’นฺติ วทติ, พฺรหฺมา สพฺพสพฺพํ สนฺธายฯ ตฺวํ ‘‘สพฺพ’’นฺติ วทสิ, ‘‘สพฺพสฺส สพฺพเตฺตน อนนุภูต’’นฺติ วทสิ, ยทิ สพฺพํ อนนุภูตํ นตฺถิ, อถสฺส อนนุภูตํ อตฺถิฯ มา เหว เต ริตฺตกเมว อโหสิ ตุจฺฉกเมว อโหสีติ ตุยฺหํ วจนํ ริตฺตกํ มา โหตุ, ตุจฺฉกํ มา โหตูติ สตฺถารํ มุสาวาเทน นิคฺคณฺหาติฯ
Sace kho te, mārisa, sabbassa sabbattenāti idameva brahmā attano vāditāya sabbanti akkharaṃ niddisitvā akkhare dosaṃ gaṇhanto āha. Satthā pana sakkāyaṃ sandhāya ‘‘sabba’’nti vadati, brahmā sabbasabbaṃ sandhāya. Tvaṃ ‘‘sabba’’nti vadasi, ‘‘sabbassa sabbattena ananubhūta’’nti vadasi, yadi sabbaṃ ananubhūtaṃ natthi, athassa ananubhūtaṃ atthi. Mā heva te rittakamevaahositucchakameva ahosīti tuyhaṃ vacanaṃ rittakaṃ mā hotu, tucchakaṃ mā hotūti satthāraṃ musāvādena niggaṇhāti.
สตฺถา ปน เอตสฺมา พฺรหฺมุนา สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน วาทีตโร, ตสฺมา อหํ สพฺพญฺจ วกฺขามิ, อนนุภูตญฺจ วกฺขามิ, สุณาหิ เมติ ตสฺส วาทมทฺทนตฺถํ การณํ อาหรโนฺต วิญฺญาณนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิญฺญาณนฺติ วิชานิตพฺพํฯ อนิทสฺสนนฺติ จกฺขุวิญฺญาณสฺส อาปาถํ อนุปคมนโต อนิทสฺสนํ นาม, ปททฺวเยนปิ นิพฺพานเมว วุตฺตํฯ อนนฺตนฺติ ตยิทํ อุปฺปาทวยอนฺตรหิตตฺตา อนนฺตํ นามฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ –
Satthā pana etasmā brahmunā sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena vādītaro, tasmā ahaṃ sabbañca vakkhāmi, ananubhūtañca vakkhāmi, suṇāhi meti tassa vādamaddanatthaṃ kāraṇaṃ āharanto viññāṇantiādimāha. Tattha viññāṇanti vijānitabbaṃ. Anidassananti cakkhuviññāṇassa āpāthaṃ anupagamanato anidassanaṃ nāma, padadvayenapi nibbānameva vuttaṃ. Anantanti tayidaṃ uppādavayaantarahitattā anantaṃ nāma. Vuttampi hetaṃ –
‘‘อนฺตวนฺตานิ ภูตานิ, อสมฺภูตํ อนนฺตกํ;
‘‘Antavantāni bhūtāni, asambhūtaṃ anantakaṃ;
ภูเต อนฺตานิ ทิสฺสนฺติ, ภูเต อนฺตา ปกาสิตา’’ติฯ
Bhūte antāni dissanti, bhūte antā pakāsitā’’ti.
สพฺพโตปภนฺติ สพฺพโส ปภาสมฺปนฺนํฯ นิพฺพานโต หิ อโญฺญ ธโมฺม สปภตโร วา โชติวนฺตตโร วา ปริสุทฺธตโร วา ปณฺฑรตโร วา นตฺถิฯ สพฺพโต วา ตถา ปภูตเมว, น กตฺถจิ นตฺถีติ สพฺพโตปภํฯ ปุรตฺถิมทิสาทีสุ หิ อสุกทิสาย นาม นิพฺพานํ นตฺถีติ น วตฺตพฺพํฯ อถ วา ปภนฺติ ติตฺถสฺส นามํ, สพฺพโต ปภมสฺสาติ สพฺพโตปภํฯ นิพฺพานสฺส กิร ยถา มหาสมุทฺทสฺส ยโต ยโต โอตริตุกามา โหนฺติ, ตํ ตเทว ติตฺถํ, อติตฺถํ นาม นตฺถิฯ เอวเมวํ อฎฺฐติํสาย กมฺมฎฺฐาเนสุ เยน เยน มุเขน นิพฺพานํ โอตริตุกามา โหนฺติ, ตํ ตเทว ติตฺถํฯ นิพฺพานสฺส อติตฺถํ นาม กมฺมฎฺฐานํ นตฺถิฯ เตน วุตฺตํ สพฺพโตปภนฺติฯ ตํ ปถวิยา ปถวเตฺตนาติ ตํ นิพฺพานํ ปถวิยา ปถวีสภาเวน ตโต ปเรสํ อาปาทีนํ อาปาทิสภาเวน จ อนนุภูตํฯ อิติ ยํ ตุมฺหาทิสานํ วิสยภูตํ สพฺพเตภูมกธมฺมชาตํ ตสฺส สพฺพเตฺตน ตํ วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ อนนฺตํ สพฺพโตปตํ อนนุภูตนฺติ วาทํ ปติฎฺฐเปสิฯ
Sabbatopabhanti sabbaso pabhāsampannaṃ. Nibbānato hi añño dhammo sapabhataro vā jotivantataro vā parisuddhataro vā paṇḍarataro vā natthi. Sabbato vā tathā pabhūtameva, na katthaci natthīti sabbatopabhaṃ. Puratthimadisādīsu hi asukadisāya nāma nibbānaṃ natthīti na vattabbaṃ. Atha vā pabhanti titthassa nāmaṃ, sabbato pabhamassāti sabbatopabhaṃ. Nibbānassa kira yathā mahāsamuddassa yato yato otaritukāmā honti, taṃ tadeva titthaṃ, atitthaṃ nāma natthi. Evamevaṃ aṭṭhatiṃsāya kammaṭṭhānesu yena yena mukhena nibbānaṃ otaritukāmā honti, taṃ tadeva titthaṃ. Nibbānassa atitthaṃ nāma kammaṭṭhānaṃ natthi. Tena vuttaṃ sabbatopabhanti. Taṃ pathaviyā pathavattenāti taṃ nibbānaṃ pathaviyā pathavīsabhāvena tato paresaṃ āpādīnaṃ āpādisabhāvena ca ananubhūtaṃ. Iti yaṃ tumhādisānaṃ visayabhūtaṃ sabbatebhūmakadhammajātaṃ tassa sabbattena taṃ viññāṇaṃ anidassanaṃ anantaṃ sabbatopataṃ ananubhūtanti vādaṃ patiṭṭhapesi.
ตโต พฺรหฺมา คหิตคหิตํ สตฺถารา วิสฺสชฺชาปิโต กิญฺจิ คเหตพฺพํ อทิสฺวา ลฬิตกํ กาตุกาโม หนฺท จรหิ เต, มาริส, อนฺตรธายามีติ อาหฯ ตตฺถ อนฺตรธายามีติ อทิสฺสมานกปาฎิหาริยํ กโรมีติ อาหฯ สเจ วิสหสีติ ยทิ สโกฺกสิ มยฺหํ อนฺตรธายิตุํ, อนฺตรธายสิ , ปาฎิหาริยํ กโรหีติฯ เนวสฺสุ เม สโกฺกติ อนฺตรธายิตุนฺติ มยฺหํ อนฺตรธายิตุํ เนว สโกฺกติฯ กิํ ปเนส กาตุกาโม อโหสีติ? มูลปฎิสนฺธิํ คนฺตุกาโม อโหสิฯ พฺรหฺมานญฺหิ มูลปฎิสนฺธิกอตฺตภาโว สุขุโม, อเญฺญสํ อนาปาโถ, อภิสงฺขตกาเยเนว ติฎฺฐนฺติฯ สตฺถา ตสฺส มูลปฎิสนฺธิํ คนฺตุํ น อทาสิฯ มูลปฎิสนฺธิํ วา อคนฺตฺวาปิ เยน ตเมน อตฺตานํ อนฺตรธาเปตฺวา อทิสฺสมานโก ภเวยฺย, สตฺถา ตํ ตมํ วิโนเทสิ, ตสฺมา อนฺตรธายิตุํ นาสกฺขิฯ โส อสโกฺกโนฺต วิมาเน นิลียติ, กปฺปรุเกฺข นิลียติ, อุกฺกุฎิโก นิสีทติฯ พฺรหฺมคโณ เกฬิมกาสิ – ‘‘เอส โข พโก พฺรหฺมา วิมาเน นิลียติ, กปฺปรุเกฺข นิลียติ, อุกฺกุฎิโก นิสีทติ, พฺรเหฺม ตฺวํ อนฺตรหิโตมฺหี’’ติ สญฺญํ อุปฺปาเทสิ นามาติฯ โส พฺรหฺมคเณน อุปฺปณฺฑิโต มงฺกุ อโหสิฯ
Tato brahmā gahitagahitaṃ satthārā vissajjāpito kiñci gahetabbaṃ adisvā laḷitakaṃ kātukāmo handa carahi te, mārisa, antaradhāyāmīti āha. Tattha antaradhāyāmīti adissamānakapāṭihāriyaṃ karomīti āha. Sace visahasīti yadi sakkosi mayhaṃ antaradhāyituṃ, antaradhāyasi , pāṭihāriyaṃ karohīti. Nevassu me sakkoti antaradhāyitunti mayhaṃ antaradhāyituṃ neva sakkoti. Kiṃ panesa kātukāmo ahosīti? Mūlapaṭisandhiṃ gantukāmo ahosi. Brahmānañhi mūlapaṭisandhikaattabhāvo sukhumo, aññesaṃ anāpātho, abhisaṅkhatakāyeneva tiṭṭhanti. Satthā tassa mūlapaṭisandhiṃ gantuṃ na adāsi. Mūlapaṭisandhiṃ vā agantvāpi yena tamena attānaṃ antaradhāpetvā adissamānako bhaveyya, satthā taṃ tamaṃ vinodesi, tasmā antaradhāyituṃ nāsakkhi. So asakkonto vimāne nilīyati, kapparukkhe nilīyati, ukkuṭiko nisīdati. Brahmagaṇo keḷimakāsi – ‘‘esa kho bako brahmā vimāne nilīyati, kapparukkhe nilīyati, ukkuṭiko nisīdati, brahme tvaṃ antarahitomhī’’ti saññaṃ uppādesi nāmāti. So brahmagaṇena uppaṇḍito maṅku ahosi.
เอวํ วุเตฺต อหํ, ภิกฺขเวติ, ภิกฺขเว, เอเตน พฺรหฺมุนา, ‘‘หนฺท จรหิ เต, มาริส, อนฺตรธายามี’’ติ เอวํ วุเตฺต ตํ อนฺตรธายิตุํ อสโกฺกนฺตํ ทิสฺวา อหํ เอตทโวจํฯ อิมํ คาถมภาสินฺติ กสฺมา ภควา คาถมภาสีติ? สมณสฺส โคตมสฺส อิมสฺมิํ ฐาเน อตฺถิภาโว วา นตฺถิภาโว วา กถํ สกฺกา ชานิตุนฺติ เอวํ พฺรหฺมคณสฺส วจโนกาโส มา โหตูติ อนฺตรหิโตว คาถมภาสิฯ
Evaṃ vutte ahaṃ, bhikkhaveti, bhikkhave, etena brahmunā, ‘‘handa carahi te, mārisa, antaradhāyāmī’’ti evaṃ vutte taṃ antaradhāyituṃ asakkontaṃ disvā ahaṃ etadavocaṃ. Imaṃ gāthamabhāsinti kasmā bhagavā gāthamabhāsīti? Samaṇassa gotamassa imasmiṃ ṭhāne atthibhāvo vā natthibhāvo vā kathaṃ sakkā jānitunti evaṃ brahmagaṇassa vacanokāso mā hotūti antarahitova gāthamabhāsi.
ตตฺถ ภเววาหํ ภยํ ทิสฺวาติ อหํ ภเว ภยํ ทิสฺวาเยวฯ ภวญฺจ วิภเวสินนฺติ อิมญฺจ กามภวาทิติวิธมฺปิ สตฺตภวํ วิภเวสินํ วิภวํ คเวสมานํ ปริเยสมานมฺปิ ปุนปฺปุนํ ภเวเยว ทิสฺวาฯ ภวํ นาภิวทินฺติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน กิญฺจิ ภวํ น อภิวทิํ, น คเวสินฺติ อโตฺถฯ นนฺทิญฺจ น อุปาทิยินฺติ ภวตณฺหํ น อุปคญฺฉิํ, น อคฺคเหสินฺติ อโตฺถฯ อิติ จตฺตาริ สจฺจานิ ปกาเสโนฺต สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน เทสนานุสาเรน วิปสฺสนาคพฺภํ คาหาเปตฺวา ทสมตฺตานิ พฺรหฺมสหสฺสานิ มคฺคผลามตปานํ ปิวิํสุฯ
Tattha bhavevāhaṃ bhayaṃ disvāti ahaṃ bhave bhayaṃ disvāyeva. Bhavañca vibhavesinanti imañca kāmabhavāditividhampi sattabhavaṃ vibhavesinaṃ vibhavaṃ gavesamānaṃ pariyesamānampi punappunaṃ bhaveyeva disvā. Bhavaṃ nābhivadinti taṇhādiṭṭhivasena kiñci bhavaṃ na abhivadiṃ, na gavesinti attho. Nandiñca na upādiyinti bhavataṇhaṃ na upagañchiṃ, na aggahesinti attho. Iti cattāri saccāni pakāsento satthā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne desanānusārena vipassanāgabbhaṃ gāhāpetvā dasamattāni brahmasahassāni maggaphalāmatapānaṃ piviṃsu.
อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตาติ อจฺฉริยชาตา อพฺภุตชาตา ตุฎฺฐิชาตา จ อเหสุํฯ สมูลํ ภวํ อุทพฺพหีติ โพธิมเณฺฑ อตฺตโน ตาย ตาย เทสนาย อเญฺญสมฺปิ พหูนํ เทวมนุสฺสานํ สมูลกํ ภวํ อุทพฺพหิ, อุทฺธริ อุปฺปาเฎสีติ อโตฺถฯ
Acchariyabbhutacittajātāti acchariyajātā abbhutajātā tuṭṭhijātā ca ahesuṃ. Samūlaṃ bhavaṃ udabbahīti bodhimaṇḍe attano tāya tāya desanāya aññesampi bahūnaṃ devamanussānaṃ samūlakaṃ bhavaṃ udabbahi, uddhari uppāṭesīti attho.
๕๐๕. ตสฺมิํ ปน สมเย มาโร ปาปิมา โกธาภิภูโต หุตฺวา, ‘‘มยิ วิจรเนฺตเยว สมเณน โคตเมน ธมฺมกถํ กเถตฺวา ทสมตฺตานิ พฺรหฺมสหสฺสานิ มม วสํ อติวตฺติตานี’’ติ โกธาภิภูตตาย อญฺญตรสฺส พฺรหฺมปาริสชฺชสฺส สรีเร อธิมุจฺจิ, ตํ ทเสฺสตุํ อถ โข, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ สเจ ตฺวํ เอวํ อนุพุโทฺธติ สเจ ตฺวํ เอวํ อตฺตนาว จตฺตาริ สจฺจานิ อนุพุโทฺธฯ มา สาวเก อุปเนสีติ คิหิสาวเก วา ปพฺพชิตสาวเก วา ตํ ธมฺมํ มา อุปนยสิฯ หีเน กาเย ปติฎฺฐิตาติ จตูสุ อปาเยสุ ปติฎฺฐิตาฯ ปณีเต กาเย ปติฎฺฐิตาติ พฺรหฺมโลเก ปติฎฺฐิตาฯ อิทํ เก สนฺธาย วทติ? พาหิรปพฺพชฺชํ ปพฺพชิเต ตาปสปริพฺพาชเกฯ อนุปฺปเนฺน หิ พุทฺธุปฺปาเท กุลปุตฺตา ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา กสฺสจิ กิญฺจิ อวิจาเรตฺวา เอกจรา หุตฺวา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชิํสุ, เต สนฺธาย เอวมาหฯ อนกฺขาตํ กุสลญฺหิ มาริสาติ ปเรสํ อนกฺขาตํ อโนวทนํ ธมฺมกถาย อกถนํ กุสลํ เอตํ เสโยฺยฯ มา ปรํ โอวทาหีติ กาเลน มนุสฺสโลกํ, กาเลน เทวโลกํ, กาเลน พฺรหฺมโลกํ, กาเลน นาคโลกํ อาหิณฺฑโนฺต มา วิจริ, เอกสฺมิํ ฐาเน นิสิโนฺน ฌานมคฺคผลสุเขน วีตินาเมหีติฯ อนาลปนตายาติ อนุลฺลปนตายฯ พฺรหฺมุโน จ อภินิมนฺตนตายาติ พกพฺรหฺมุโน จ อิทญฺหิ, มาริส, นิจฺจนฺติอาทินา นเยน สห กายเกน พฺรหฺมฎฺฐาเนน นิมนฺตนวจเนนฯ ตสฺมาติ เตน การเณนฯ อิมสฺส เวยฺยากรณสฺส พฺรหฺมนิมนฺตนิกํเตฺวว อธิวจนํ สงฺขา สมญฺญา ปญฺญตฺติ ชาตาฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
505. Tasmiṃ pana samaye māro pāpimā kodhābhibhūto hutvā, ‘‘mayi vicaranteyeva samaṇena gotamena dhammakathaṃ kathetvā dasamattāni brahmasahassāni mama vasaṃ ativattitānī’’ti kodhābhibhūtatāya aññatarassa brahmapārisajjassa sarīre adhimucci, taṃ dassetuṃ atha kho, bhikkhavetiādimāha. Tattha sace tvaṃ evaṃ anubuddhoti sace tvaṃ evaṃ attanāva cattāri saccāni anubuddho. Mā sāvake upanesīti gihisāvake vā pabbajitasāvake vā taṃ dhammaṃ mā upanayasi. Hīne kāye patiṭṭhitāti catūsu apāyesu patiṭṭhitā. Paṇīte kāye patiṭṭhitāti brahmaloke patiṭṭhitā. Idaṃ ke sandhāya vadati? Bāhirapabbajjaṃ pabbajite tāpasaparibbājake. Anuppanne hi buddhuppāde kulaputtā tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā kassaci kiñci avicāretvā ekacarā hutvā samāpattiyo nibbattetvā brahmaloke uppajjiṃsu, te sandhāya evamāha. Anakkhātaṃ kusalañhi mārisāti paresaṃ anakkhātaṃ anovadanaṃ dhammakathāya akathanaṃ kusalaṃ etaṃ seyyo. Mā paraṃ ovadāhīti kālena manussalokaṃ, kālena devalokaṃ, kālena brahmalokaṃ, kālena nāgalokaṃ āhiṇḍanto mā vicari, ekasmiṃ ṭhāne nisinno jhānamaggaphalasukhena vītināmehīti. Anālapanatāyāti anullapanatāya. Brahmuno ca abhinimantanatāyāti bakabrahmuno ca idañhi, mārisa, niccantiādinā nayena saha kāyakena brahmaṭṭhānena nimantanavacanena. Tasmāti tena kāraṇena. Imassa veyyākaraṇassa brahmanimantanikaṃtveva adhivacanaṃ saṅkhā samaññā paññatti jātā. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Brahmanimantanikasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๙. พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตํ • 9. Brahmanimantanikasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุตฺตวณฺณนา • 9. Brahmanimantanikasuttavaṇṇanā