Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๙๑
The Middle-Length Suttas Collection 91
พฺรหฺมายุสุตฺต
With Brahmāyu
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา วิเทเหสุ จาริกํ จรติ มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิฯ
So I have heard. At one time the Buddha was wandering in the land of the Videhans together with a large Saṅgha of five hundred bhikkhus.
เตน โข ปน สมเยน พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ มิถิลายํ ปฏิวสติ ชิณฺโณ วุฑฺโฒ มหลฺลโก อทฺธคโต วโยอนุปฺปตฺโต, วีสวสฺสสติโก ชาติยา, ติณฺณํ เวทานํ ปารคู สนิฆณฺฑุเกฏุภานํ สากฺขรปฺปเภทานํ อิติหาสปญฺจมานํ, ปทโก, เวยฺยากรโณ, โลกายตมหาปุริสลกฺขเณสุ อนวโยฯ
Now at that time the brahmin Brahmāyu was residing in Mithilā. He was old, elderly, and senior, advanced in years, having reached the final stage of life; he was a hundred and twenty years old. He had mastered the three Vedas, together with their vocabularies, ritual, phonology and etymology, and the testament as fifth. He knew philology and grammar, and was well versed in cosmology and the marks of a great man.
อโสฺสสิ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ: “สมโณ ขลุ โภ, โคตโม สกฺยปุตฺโต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต วิเทเหสุ จาริกํ จรติ มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต: ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา'ติฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี”ติฯ
He heard: “It seems the ascetic Gotama—a Sakyan, gone forth from a Sakyan family—is wandering in the land of the Videhans, together with a large Saṅgha of five hundred bhikkhus. He has this good reputation: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’ He has realized with his own insight this world—with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—and he makes it known to others. He explains a teaching that’s good in the beginning, good in the middle, and good in the end, meaningful and well-phrased. And he reveals a spiritual practice that’s entirely full and pure. It’s good to see such perfected ones.”
เตน โข ปน สมเยน พฺรหฺมายุสฺส พฺราหฺมณสฺส อุตฺตโร นาม มาณโว อนฺเตวาสี โหติ ติณฺณํ เวทานํ ปารคู สนิฆณฺฑุเกฏุภานํ สากฺขรปฺปเภทานํ อิติหาสปญฺจมานํ, ปทโก, เวยฺยากรโณ, โลกายตมหาปุริสลกฺขเณสุ อนวโยฯ อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อุตฺตรํ มาณวํ อามนฺเตสิ: “อยํ, ตาต อุตฺตร, สมโณ โคตโม สกฺยปุตฺโต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต วิเทเหสุ จาริกํ จรติ มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต: ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ …เป… สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี'ติฯ เอหิ ตฺวํ, ตาต อุตฺตร, เยน สมโณ โคตโม เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา สมณํ โคตมํ ชานาหิ, ยทิ วา ตํ ภวนฺตํ โคตมํ ตถา สนฺตํเยว สทฺโท อพฺภุคฺคโต, ยทิ วา โน ตถา; ยทิ วา โส ภวํ โคตโม ตาทิโส, ยทิ วา น ตาทิโสฯ ตถา มยํ ตํ ภวนฺตํ โคตมํ เวทิสฺสามา”ติฯ
Now at that time the brahmin Brahmāyu had a student named Uttara. He too had mastered the Vedic curriculum. Brahmāyu told Uttara of the Buddha’s presence in the land of the Videhans, and added: “Please, dear Uttara, go to the ascetic Gotama and find out whether or not he lives up to his reputation. Through you I shall learn about Master Gotama.”
“ยถา กถํ ปนาหํ, โภ, ตํ ภวนฺตํ โคตมํ ชานิสฺสามิ ยทิ วา ตํ ภวนฺตํ โคตมํ ตถา สนฺตํเยว สทฺโท อพฺภุคฺคโต, ยทิ วา โน ตถา; ยทิ วา โส ภวํ โคตโม ตาทิโส, ยทิ วา น ตาทิโส”ติฯ
“But sir, how shall I find out whether or not the ascetic Gotama lives up to his reputation?”
“อาคตานิ โข, ตาต อุตฺตร, อมฺหากํ มนฺเตสุ ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณานิ, เยหิ สมนฺนาคตสฺส มหาปุริสสฺส เทฺวเยว คติโย ภวนฺติ อนญฺญาฯ สเจ อคารํ อชฺฌาวสติ, ราชา โหติ จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต สตฺตรตนสมนฺนาคโตฯ ตสฺสิมานิ สตฺต รตนานิ ภวนฺติ, เสยฺยถิทํ—จกฺกรตนํ, หตฺถิรตนํ, อสฺสรตนํ, มณิรตนํ, อิตฺถิรตนํ, คหปติรตนํ, ปริณายกรตนเมว สตฺตมํฯ ปโรสหสฺสํ โข ปนสฺส ปุตฺตา ภวนฺติ สูรา วีรงฺครูปา ปรเสนปฺปมทฺทนาฯ โส อิมํ ปถวึ สาครปริยนฺตํ อทณฺเฑน อสตฺเถน ธมฺเมน อภิวิชิย อชฺฌาวสติฯ สเจ โข ปน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติ, อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก วิวฏฺฏจฺฉโทฯ อหํ โข ปน, ตาต อุตฺตร, มนฺตานํ ทาตา; ตฺวํ มนฺตานํ ปฏิคฺคเหตา”ติฯ
“Dear Uttara, the thirty-two marks of a great man have been handed down in our hymns. A great man who possesses these has only two possible destinies, no other. If he stays at home he becomes a king, a wheel-turning monarch, a just and principled king. His dominion extends to all four sides, he achieves stability in the country, and he possesses the seven treasures. He has the following seven treasures: the wheel, the elephant, the horse, the jewel, the woman, the treasurer, and the counselor as the seventh treasure. He has over a thousand sons who are valiant and heroic, crushing the armies of his enemies. After conquering this land girt by sea, he reigns by principle, without rod or sword. But if he goes forth from the lay life to homelessness, he becomes a perfected one, a fully awakened Buddha, who draws back the veil from the world. But, dear Uttara, I am the one who gives the hymns, and you are the one who receives them.”
“เอวํ, โภ”ติ โข อุตฺตโร มาณโว พฺรหฺมายุสฺส พฺราหฺมณสฺส ปฏิสฺสุตฺวา อุฏฺฐายาสนา พฺรหฺมายุํ พฺราหฺมณํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา วิเทเหสุ เยน ภควา เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อุตฺตโร มาณโว ภควโต กาเย ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณานิ สมนฺเนสิฯ อทฺทสา โข อุตฺตโร มาณโว ภควโต กาเย ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณานิ, เยภุเยฺยน ถเปตฺวา เทฺวฯ ทฺวีสุ มหาปุริสลกฺขเณสุ กงฺขติ วิจิกิจฺฉติ นาธิมุจฺจติ น สมฺปสีทติ—โกโสหิเต จ วตฺถคุเยฺห ปหูตชิวฺหตาย จฯ
“Yes, sir,” replied Uttara. He got up from his seat, bowed, and respectfully circled Brahmāyu before setting out for the land of the Videhans where the Buddha was wandering. Traveling stage by stage, he came to the Buddha and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side, and scrutinized his body for the thirty-two marks of a great man. He saw all of them except for two, which he had doubts about: whether the private parts are covered in a foreskin, and the largeness of the tongue.
อถ โข ภควโต เอตทโหสิ: “ปสฺสติ โข เม อยํ อุตฺตโร มาณโว ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณานิ, เยภุเยฺยน ถเปตฺวา เทฺวฯ ทฺวีสุ มหาปุริสลกฺขเณสุ กงฺขติ วิจิกิจฺฉติ นาธิมุจฺจติ น สมฺปสีทติ—โกโสหิเต จ วตฺถคุเยฺห ปหูตชิวฺหตาย จา”ติฯ
Then it occurred to the Buddha, “This brahmin student Uttara sees all the marks except for two, which he has doubts about: whether the private parts are covered in a foreskin, and the largeness of the tongue.”
อถ โข ภควา ตถารูปํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสิ ยถา อทฺทส อุตฺตโร มาณโว ภควโต โกโสหิตํ วตฺถคุยฺหํฯ อถ โข ภควา ชิวฺหํ นินฺนาเมตฺวา อุโภปิ กณฺณโสตานิ อนุมสิ ปฏิมสิ; อุโภปิ นาสิกโสตานิ อนุมสิ ปฏิมสิ; เกวลมฺปิ นลาฏมณฺฑลํ ชิวฺหาย ฉาเทสิฯ
So the Buddha used his psychic power to will that Uttara would see his private parts covered in a foreskin. And he stuck out his tongue and stroked back and forth on his ear holes and nostrils, and covered his entire forehead with his tongue.
อถ โข อุตฺตรสฺส มาณวสฺส เอตทโหสิ: “สมนฺนาคโต โข สมโณ โคตโม ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขเณหิฯ ยนฺนูนาหํ สมณํ โคตมํ อนุพนฺเธยฺยํ, อิริยาปถมสฺส ปเสฺสยฺยนฺ”ติฯ อถ โข อุตฺตโร มาณโว สตฺตมาสานิ ภควนฺตํ อนุพนฺธิ ฉายาว อนปายินีฯ
Then Uttara thought, “The ascetic Gotama possesses the thirty-two marks. Why don’t I follow him and observe his deportment?” So Uttara followed the Buddha like a shadow for seven months.
อถ โข อุตฺตโร มาณโว สตฺตนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน วิเทเหสุ เยน มิถิลา เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน เยน มิถิลา เยน พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา พฺรหฺมายุํ พฺราหฺมณํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อุตฺตรํ มาณวํ พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ เอตทโวจ: “กจฺจิ, ตาต อุตฺตร, ตํ ภวนฺตํ โคตมํ ตถา สนฺตํเยว สทฺโท อพฺภุคฺคโต, โน อญฺญถา? กจฺจิ ปน โส ภวํ โคตโม ตาทิโส, โน อญฺญาทิโส”ติ?
When seven months had passed he set out wandering towards Mithilā. There he approached the brahmin Brahmāyu, bowed, and sat down to one side. Brahmāyu said to him, “Well, dear Uttara, does Master Gotama live up to his reputation or not?”
“ตถา สนฺตํเยว, โภ, ตํ ภวนฺตํ โคตมํ สทฺโท อพฺภุคฺคโต, โน อญฺญถา; ตาทิโสว โส ภวํ โคตโม, โน อญฺญาทิโสฯ สมนฺนาคโต จ โส ภวํ โคตโม ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขเณหิฯ
“He does, sir. Master Gotama possesses the thirty-two marks.
สุปฺปติฏฺฐิตปาโท โข ปน โภ ภวํ โคตโม; อิทมฺปิ ตสฺส โภโต โคตมสฺส มหาปุริสสฺส มหาปุริสลกฺขณํ ภวติฯ
He has well-planted feet.
เหฏฺฐา โข ปน ตสฺส โภโต โคตมสฺส ปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานิ สหสฺสารานิ สเนมิกานิ สนาภิกานิ สพฺพาการปริปูรานิ …
On the soles of his feet there are thousand-spoked wheels, with rims and hubs, complete in every detail.
อายตปณฺหิ โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He has stretched heels.
ทีฆงฺคุลิ โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He has long fingers.
มุทุตลุนหตฺถปาโท โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His hands and feet are tender.
ชาลหตฺถปาโท โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He has serried hands and feet.
อุสฺสงฺขปาโท โข ปน โส ภวํ โคตโม …
The tops of his feet are arched.
เอณิชงฺโฆ โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His calves are like those of an antelope.
ฐิตโก โข ปน โส ภวํ โคตโม อโนนมนฺโต อุโภหิ ปาณิตเลหิ ชณฺณุกานิ ปริมสติ ปริมชฺชติ …
When standing upright and not bending over, the palms of both hands touch the knees.
โกโสหิตวตฺถคุโยฺห โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His private parts are covered in a foreskin.
สุวณฺณวณฺโณ โข ปน โส ภวํ โคตโม กญฺจนสนฺนิภตฺตโจ …
He is gold colored; his skin has a golden sheen.
สุขุมจฺฉวิ โข ปน โส ภวํ โคตโมฯ สุขุมตฺตา ฉวิยา รโชชลฺลํ กาเย น อุปลิมฺปติ …
He has delicate skin, so delicate that dust and dirt don’t stick to his body.
เอเกกโลโม โข ปน โส ภวํ โคตโม; เอเกกานิ โลมานิ โลมกูเปสุ ชาตานิ …
His hairs grow one per pore.
อุทฺธคฺคโลโม โข ปน โส ภวํ โคตโม; อุทฺธคฺคานิ โลมานิ ชาตานิ นีลานิ อญฺชนวณฺณานิ กุณฺฑลาวฏฺฏานิ ทกฺขิณาวฏฺฏกชาตานิ …
His hairs stand up; they’re blue-black and curl clockwise.
พฺรหฺมุชุคตฺโต โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His body is tall and straight-limbed.
สตฺตุสฺสโท โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He is rounded in seven places.
สีหปุพฺพทฺธกาโย โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His chest is like that of a lion.
จิตนฺตรํโส โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He is filled out between the shoulders.
นิโคฺรธปริมณฺฑโล โข ปน โส ภวํ โคตโม; ยาวตกฺวสฺส กาโย ตาวตกฺวสฺส พฺยาโม, ยาวตกฺวสฺส พฺยาโม ตาวตกฺวสฺส กาโย …
He has the proportional circumference of a banyan tree: the span of his arms equals the height of his body.
สมวฏฺฏกฺขนฺโธ โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His torso is cylindrical.
รสคฺคสคฺคี โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He has ridged taste buds.
สีหหนุ โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His jaw is like that of a lion.
จตฺตาลีสทนฺโต โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He has forty teeth.
สมทนฺโต โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His teeth are even.
อวิรฬทนฺโต โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His teeth have no gaps.
สุสุกฺกทาโฐ โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His teeth are perfectly white.
ปหูตชิโวฺห โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He has a large tongue.
พฺรหฺมสฺสโร โข ปน โส ภวํ โคตโม กรวิกภาณี …
He has the voice of Brahmā, like a cuckoo’s call.
อภินีลเนตฺโต โข ปน โส ภวํ โคตโม …
His eyes are indigo.
โคปขุโม โข ปน โส ภวํ โคตโม …
He has eyelashes like a cow’s.
อุณฺณา โข ปนสฺส โภโต โคตมสฺส ภมุกนฺตเร ชาตา โอทาตา มุทุตูลสนฺนิภา …
Between his eyebrows there grows a tuft, soft and white like cotton-wool.
อุณฺหีสสีโส โข ปน โส ภวํ โคตโม; อิทมฺปิ ตสฺส โภโต โคตมสฺส มหาปุริสสฺส มหาปุริสลกฺขณํ ภวติฯ
The crown of his head is like a turban.
อิเมหิ โข, โภ, โส ภวํ โคตโม ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขเณหิ สมนฺนาคโตฯ
These are the thirty-two marks of a great man possessed by Master Gotama.
คจฺฉนฺโต โข ปน โส ภวํ โคตโม ทกฺขิเณเนว ปาเทน ปฐมํ ปกฺกมติฯ โส นาติทูเร ปาทํ อุทฺธรติ, นาจฺจาสนฺเน ปาทํ นิกฺขิปติ; โส นาติสีฆํ คจฺฉติ, นาติสณิกํ คจฺฉติ; น จ อทฺทุเวน อทฺทุวํ สงฺฆฏฺเฏนฺโต คจฺฉติ, น จ โคปฺผเกน โคปฺผกํ สงฺฆฏฺเฏนฺโต คจฺฉติฯ โส คจฺฉนฺโต น สตฺถึ อุนฺนาเมติ, น สตฺถึ โอนาเมติ; น สตฺถึ สนฺนาเมติ, น สตฺถึ วินาเมติฯ คจฺฉโต โข ปน ตสฺส โภโต โคตมสฺส อธรกาโยว อิญฺชติ, น จ กายพเลน คจฺฉติฯ อปโลเกนฺโต โข ปน โส ภวํ โคตโม สพฺพกาเยเนว อปโลเกติ; โส น อุทฺธํ อุโลฺลเกติ, น อโธ โอโลเกติ; น จ วิเปกฺขมาโน คจฺฉติ, ยุคมตฺตญฺจ เปกฺขติ; ตโต จสฺส อุตฺตริ อนาวฏํ ญาณทสฺสนํ ภวติฯ
When he’s walking he takes the first step with the right foot. He doesn’t lift his foot too far or place it too near. He doesn’t walk too slow or too fast. He walks without knocking his knees or ankles together. When he’s walking he keeps his thighs neither too straight nor too bent, neither too tight nor too loose. When he walks, only the lower half of his body moves, and he walks effortlessly. When he turns to look he does so with the whole body. He doesn’t look directly up or down. He doesn’t look all around while walking, but focuses a plough’s length in front. Beyond that he has unhindered knowledge and vision.
โส อนฺตรฆรํ ปวิสนฺโต น กายํ อุนฺนาเมติ, น กายํ โอนาเมติ; น กายํ สนฺนาเมติ, น กายํ วินาเมติฯ
When entering an inhabited area he keeps his body neither too straight nor too bent, neither too tight nor too loose.
โส นาติทูเร นาจฺจาสนฺเน อาสนสฺส ปริวตฺตติ, น จ ปาณินา อาลมฺพิตฺวา อาสเน นิสีทติ, น จ อาสนสฺมึ กายํ ปกฺขิปติฯ โส อนฺตรฆเร นิสินฺโน สมาโน น หตฺถกุกฺกุจฺจํ อาปชฺชติ, น ปาทกุกฺกุจฺจํ อาปชฺชติ; น อทฺทุเวน อทฺทุวํ อาโรเปตฺวา นิสีทติ; น จ โคปฺผเกน โคปฺผกํ อาโรเปตฺวา นิสีทติ; น จ ปาณินา หนุกํ อุปทหิตฺวา นิสีทติฯ โส อนฺตรฆเร นิสินฺโน สมาโน น ฉมฺภติ น กมฺปติ น เวธติ น ปริตสฺสติฯ โส อฉมฺภี อกมฺปี อเวธี อปริตสฺสี วิคตโลมหํโสฯ วิเวกวตฺโต จ โส ภวํ โคตโม อนฺตรฆเร นิสินฺโน โหติฯ
He turns around neither too far nor too close to the seat. He doesn’t lean on his hand when sitting down. And he doesn’t just plonk his body down on the seat. When sitting in inhabited areas he doesn’t fidget with his hands or feet. He doesn’t sit with his knees or ankles crossed. He doesn’t sit with his hand holding his chin. When sitting in inhabited areas he doesn’t shake, tremble, quake, or get nervous, and so he is not nervous at all. When sitting in inhabited areas he still practices seclusion.
โส ปตฺโตทกํ ปฏิคฺคณฺหนฺโต น ปตฺตํ อุนฺนาเมติ, น ปตฺตํ โอนาเมติ; น ปตฺตํ สนฺนาเมติ, น ปตฺตํ วินาเมติฯ
When receiving water for rinsing the bowl, he holds the bowl neither too straight nor too bent, neither too tight nor too loose.
โส ปตฺโตทกํ ปฏิคฺคณฺหาติ นาติโถกํ นาติพหุํฯ โส น ขุลุขุลุการกํ ปตฺตํ โธวติ, น สมฺปริวตฺตกํ ปตฺตํ โธวติ, น ปตฺตํ ภูมิยํ นิกฺขิปิตฺวา หตฺเถ โธวติ; หตฺเถสุ โธเตสุ ปตฺโต โธโต โหติ, ปตฺเต โธเต หตฺถา โธตา โหนฺติฯ โส ปตฺโตทกํ ฉฑฺเฑติ นาติทูเร นาจฺจาสนฺเน, น จ วิจฺฉฑฺฑยมาโนฯ โส โอทนํ ปฏิคฺคณฺหนฺโต น ปตฺตํ อุนฺนาเมติ, น ปตฺตํ โอนาเมติ; น ปตฺตํ สนฺนาเมติ, น ปตฺตํ วินาเมติฯ โส โอทนํ ปฏิคฺคณฺหาติ นาติโถกํ นาติพหุํฯ พฺยญฺชนํ โข ปน ภวํ โคตโม พฺยญฺชนมตฺตาย อาหาเรติ, น จ พฺยญฺชเนน อาโลปํ อตินาเมติฯ ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โข ภวํ โคตโม มุเข อาโลปํ สมฺปริวตฺเตตฺวา อชฺโฌหรติ; น จสฺส กาจิ โอทนมิญฺชา อสมฺภินฺนา กายํ ปวิสติ, น จสฺส กาจิ โอทนมิญฺชา มุเข อวสิฏฺฐา โหติ; อถาปรํ อาโลปํ อุปนาเมติฯ รสปฏิสํเวที โข ปน โส ภวํ โคตโม อาหารํ อาหาเรติ, โน จ รสราคปฏิสํเวทีฯ
He receives neither too little nor too much water. He rinses the bowl without making a sloshing noise, or spinning it around. He doesn’t put the bowl on the ground to rinse his hands; his hands and bowl are rinsed at the same time. He doesn’t throw the bowl rinsing water away too far or too near, or splash it about. When receiving rice, he holds the bowl neither too straight nor too bent, neither too close nor too loose. He receives neither too little nor too much rice. He eats sauce in a moderate proportion, and doesn’t spend too much time saucing his portions. He chews over each portion two or three times before swallowing. But no grain of rice enters his body unchewed, and none remain in his mouth. Only then does he raise another portion to his lips. He eats experiencing the taste, but without experiencing greed for the taste.
อฏฺฐงฺคสมนฺนาคตํ โข ปน โส ภวํ โคตโม อาหารํ อาหาเรติ—เนว ทวาย, น มทาย น มณฺฑนาย น วิภูสนาย, ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา ยาปนาย, วิหึสูปรติยา พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย: ‘อิติ ปุราณญฺจ เวทนํ ปฏิหงฺขามิ นวญฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามิ, ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสติ อนวชฺชตา จ ผาสุวิหาโร จา'ติฯ
He eats food thinking of eight reasons: ‘Not for fun, indulgence, adornment, or decoration, but only to sustain this body, to avoid harm, and to support spiritual practice. In this way, I shall put an end to old discomfort and not give rise to new discomfort, and I will live blamelessly and at ease.’
โส ภุตฺตาวี ปตฺโตทกํ ปฏิคฺคณฺหนฺโต น ปตฺตํ อุนฺนาเมติ, น ปตฺตํ โอนาเมติ; น ปตฺตํ สนฺนาเมติ, น ปตฺตํ วินาเมติฯ โส ปตฺโตทกํ ปฏิคฺคณฺหาติ นาติโถกํ นาติพหุํฯ โส น ขุลุขุลุการกํ ปตฺตํ โธวติ, น สมฺปริวตฺตกํ ปตฺตํ โธวติ, น ปตฺตํ ภูมิยํ นิกฺขิปิตฺวา หตฺเถ โธวติ; หตฺเถสุ โธเตสุ ปตฺโต โธโต โหติ, ปตฺเต โธเต หตฺถา โธตา โหนฺติฯ โส ปตฺโตทกํ ฉฑฺเฑติ นาติทูเร นาจฺจาสนฺเน, น จ วิจฺฉฑฺฑยมาโนฯ
After eating, when receiving water for washing the bowl, he holds the bowl neither too straight nor too bent, neither too tight nor too loose. He receives neither too little nor too much water. He washes the bowl without making a sloshing noise, or spinning it around. He doesn’t put the bowl on the ground to wash his hands; his hands and bowl are washed at the same time. He doesn’t throw the bowl washing water away too far or too near, or splash it about.
โส ภุตฺตาวี น ปตฺตํ ภูมิยํ นิกฺขิปติ นาติทูเร นาจฺจาสนฺเน, น จ อนตฺถิโก ปตฺเตน โหติ, น จ อติเวลานุรกฺขี ปตฺตสฺมึฯ
After eating he doesn’t put the bowl on the ground too far away or too close. He’s not careless with his bowl, nor does he spend too much time on it.
โส ภุตฺตาวี มุหุตฺตํ ตุณฺหี นิสีทติ, น จ อนุโมทนสฺส กาลมตินาเมติฯ โส ภุตฺตาวี อนุโมทติ, น ตํ ภตฺตํ ครหติ, น อญฺญํ ภตฺตํ ปฏิกงฺขติ; อญฺญทตฺถุ ธมฺมิยา กถาย ตํ ปริสํ สนฺทเสฺสติ สมาทเปติ สมุตฺเตเชติ สมฺปหํเสติฯ โส ตํ ปริสํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุตฺเตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกมติฯ
After eating he sits for a while in silence, but doesn’t wait too long to give the verses of appreciation. After eating he expresses appreciation without criticizing the meal or expecting another one. Invariably, he educates, encourages, fires up, and inspires that assembly with a Dhamma talk. Then he gets up from his seat and leaves.
โส นาติสีฆํ คจฺฉติ, นาติสณิกํ คจฺฉติ, น จ มุจฺจิตุกาโม คจฺฉติ;
He walks neither too fast nor too slow, without wanting to get out of there.
น จ ตสฺส โภโต โคตมสฺส กาเย จีวรํ อจฺจุกฺกฏฺฐํ โหติ น จ อจฺโจกฺกฏฺฐํ, น จ กายสฺมึ อลฺลีนํ น จ กายสฺมา อปกฏฺฐํ; น จ ตสฺส โภโต โคตมสฺส กายมฺหา วาโต จีวรํ อปวหติ; น จ ตสฺส โภโต โคตมสฺส กาเย รโชชลฺลํ อุปลิมฺปติฯ
He wears his robe on his body neither too high nor too low, neither too tight nor too loose. The wind doesn’t blow his robe off his body. And dust and dirt don’t stick to his body.
โส อารามคโต นิสีทติ ปญฺญตฺเต อาสเนฯ นิสชฺช ปาเท ปกฺขาเลติ; น จ โส ภวํ โคตโม ปาทมณฺฑนานุโยคมนุยุตฺโต วิหรติฯ โส ปาเท ปกฺขาเลตฺวา นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวาฯ โส เนว อตฺตพฺยาพาธาย เจเตติ, น ปรพฺยาพาธาย เจเตติ, น อุภยพฺยาพาธาย เจเตติ; อตฺตหิตปรหิเตาภยหิตสพฺพโลกหิตเมว โส ภวํ โคตโม จินฺเตนฺโต นิสินฺโน โหติฯ โส อารามคโต ปริสติ ธมฺมํ เทเสติ, น ตํ ปริสํ อุสฺสาเทติ, น ตํ ปริสํ อปสาเทติ; อญฺญทตฺถุ ธมฺมิยา กถาย ตํ ปริสํ สนฺทเสฺสติ สมาทเปติ สมุตฺเตเชติ สมฺปหํเสติฯ
When he has gone to the monastery he sits on a seat spread out and washes his feet. But he doesn’t waste time with pedicures. When he has washed his feet, he sits down cross-legged, sets his body straight, and establishes mindfulness in front of him. He has no intention to hurt himself, hurt others, or hurt both. He only wishes for the welfare of himself, of others, of both, and of the whole world. In the monastery when he teaches Dhamma to an assembly, he neither flatters them nor rebukes them. Invariably, he educates, encourages, fires up, and inspires that assembly with a Dhamma talk.
อฏฺฐงฺคสมนฺนาคโต โข ปนสฺส โภโต โคตมสฺส มุขโต โฆโส นิจฺฉรติ—วิสฺสฏฺโฐ จ, วิญฺเญโยฺย จ, มญฺชุ จ, สวนีโย จ, พินฺทุ จ, อวิสารี จ, คมฺภีโร จ, นินฺนาที จฯ ยถาปริสํ โข ปน โส ภวํ โคตโม สเรน วิญฺญาเปติ, น จสฺส พหิทฺธา ปริสาย โฆโส นิจฺฉรติฯ เต เตน โภตา โคตเมน ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิตา สมาทปิตา สมุตฺเตชิตา สมฺปหํสิตา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกมนฺติ อวโลกยมานาเยว อวิชหิตตฺตาฯ
His voice has eight qualities: it is clear, comprehensible, charming, audible, lucid, undistorted, deep, and resonant. He makes sure his voice is intelligible as far as the assembly goes, but it doesn’t extend outside the assembly. And when they’ve been inspired with a Dhamma talk by Master Gotama they get up from their seats and leave looking back at him alone, and not forgetting their lesson.
อทฺทสาม โข มยํ, โภ, ตํ ภวนฺตํ โคตมํ คจฺฉนฺตํ, อทฺทสาม ฐิตํ, อทฺทสาม อนฺตรฆรํ ปวิสนฺตํ, อทฺทสาม อนฺตรฆเร นิสินฺนํ ตุณฺหีภูตํ, อทฺทสาม อนฺตรฆเร ภุญฺชนฺตํ, อทฺทสาม ภุตฺตาวึ นิสินฺนํ ตุณฺหีภูตํ, อทฺทสาม ภุตฺตาวึ อนุโมทนฺตํ, อทฺทสาม อารามํ คจฺฉนฺตํ, อทฺทสาม อารามคตํ นิสินฺนํ ตุณฺหีภูตํ, อทฺทสาม อารามคตํ ปริสติ ธมฺมํ เทเสนฺตํฯ เอทิโส จ เอทิโส จ โส ภวํ โคตโม, ตโต จ ภิโยฺย”ติฯ
I have seen Master Gotama walking and standing; entering inhabited areas, and sitting and eating there; sitting silently after eating, and expressing appreciation; going to the monastery, sitting silently there, and teaching Dhamma to an assembly there. Such is Master Gotama; such he is and more than that.”
เอวํ วุตฺเต, พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อุฏฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยน ภควา เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา ติกฺขตฺตุํ อุทานํ อุทาเนติ:
When he had spoken, the brahmin Brahmāyu got up from his seat, arranged his robe over one shoulder, raised his joined palms toward the Buddha, and uttered this aphorism three times:
“นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
“Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสาติฯ
Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!
อปฺเปว นาม มยํ กทาจิ กรหจิ เตน โภตา โคตเมน สมาคจฺเฉยฺยาม? อปฺเปว นาม สิยา โกจิเทว กถาสลฺลาโป”ติฯ
Hopefully, some time or other I’ll get to meet him, and we can have a discussion.”
อถ โข ภควา วิเทเหสุ อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน เยน มิถิลา ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา มิถิลายํ วิหรติ มฆเทวอมฺพวเนฯ
And then the Buddha, traveling stage by stage in the Videhan lands, arrived at Mithilā, where he stayed in the Makhādeva Mango Grove.
อโสฺสสุํ โข มิถิเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา: “สมโณ ขลุ, โภ, โคตโม สกฺยปุตฺโต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต วิเทเหสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิ มิถิลํ อนุปฺปตฺโต, มิถิลายํ วิหรติ มฆเทวอมฺพวเนฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต: ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา'ติฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี”ติฯ
The brahmins and householders of Mithilā heard: “It seems the ascetic Gotama—a Sakyan, gone forth from a Sakyan family—has arrived at Mithilā, where he is staying in the Makhādeva Mango Grove. He has this good reputation: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’ He has realized with his own insight this world—with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—and he makes it known to others. He teaches Dhamma that’s good in the beginning, good in the middle, and good in the end, meaningful and well-phrased. And he reveals a spiritual practice that’s entirely full and pure. It’s good to see such perfected ones.”
อถ โข มิถิเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อปฺเปกจฺเจ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ ภควตา สทฺธึ สมฺโมทึสุ, สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ เยน ภควา เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ ภควโต สนฺติเก นามโคตฺตํ สาเวตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ ตุณฺหีภูตา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ
Then the brahmins and householders of Mithilā went up to the Buddha. Before sitting down to one side, some bowed, some exchanged greetings and polite conversation, some held up their joined palms toward the Buddha, some announced their name and clan, while some kept silent.
อโสฺสสิ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ: “สมโณ ขลุ, โภ, โคตโม สกฺยปุตฺโต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต มิถิลํ อนุปฺปตฺโต, มิถิลายํ วิหรติ มฆเทวอมฺพวเน”ติฯ อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ สมฺพหุเลหิ สาวเกหิ สทฺธึ เยน มฆเทวอมฺพวนํ เตนุปสงฺกมิฯ
The brahmin Brahmāyu also heard that the Buddha had arrived. So he went to the Makhādeva Mango Grove together with several disciples.
อถ โข พฺรหฺมายุโน พฺราหฺมณสฺส อวิทูเร อมฺพวนสฺส เอตทโหสิ: “น โข เมตํ ปติรูปํ โยหํ ปุพฺเพ อปฺปฏิสํวิทิโต สมณํ โคตมํ ทสฺสนาย อุปสงฺกเมยฺยนฺ”ติฯ
Not far from the grove he thought, “It wouldn’t be appropriate for me to go to see the ascetic Gotama without first letting him know.”
อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อญฺญตรํ มาณวกํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, มาณวก, เยน สมโณ โคตโม เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ โคตมํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ: ‘พฺรหฺมายุ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ ภวนฺตํ โคตมํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี'ติฯ เอวญฺจ วเทหิ: ‘พฺรหฺมายุ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ ชิณฺโณ วุฑฺโฒ มหลฺลโก อทฺธคโต วโยอนุปฺปตฺโต, วีสวสฺสสติโก ชาติยา, ติณฺณํ เวทานํ ปารคู สนิฆณฺฑุเกฏุภานํ สากฺขรปฺปเภทานํ อิติหาสปญฺจมานํ, ปทโก, เวยฺยากรโณ, โลกายตมหาปุริสลกฺขเณสุ อนวโยฯ ยาวตา, โภ, พฺราหฺมณคหปติกา มิถิลายํ ปฏิวสนฺติ, พฺรหฺมายุ เตสํ พฺราหฺมโณ อคฺคมกฺขายติ—ยทิทํ โภเคหิ; พฺรหฺมายุ เตสํ พฺราหฺมโณ อคฺคมกฺขายติ—ยทิทํ มนฺเตหิ; พฺรหฺมายุ เตสํ พฺราหฺมโณ อคฺคมกฺขายติ—ยทิทํ อายุนา เจว ยสสา จฯ โส โภโต โคตมสฺส ทสฺสนกาโม'”ติฯ
So he addressed one of his students: “Here, student, go to the ascetic Gotama and in my name bow with your head to his feet. Ask him if he is healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. And then say: ‘Master Gotama, the brahmin Brahmāyu is old, elderly, and senior, advanced in years, having reached the final stage of life; he is a hundred and twenty years old. He has mastered the three Vedas, together with their vocabularies, ritual, phonology and etymology, and the testament as fifth. He knows philology and grammar, and is well versed in cosmology and the marks of a great man. Of all the brahmins and householders residing in Mithilā, Brahmāyu is said to be the foremost in wealth, hymns, lifespan, and fame. He wants to see Master Gotama.’”
“เอวํ, โภ”ติ โข โส มาณวโก พฺรหฺมายุสฺส พฺราหฺมณสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข โส มาณวโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “พฺรหฺมายุ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ ภวนฺตํ โคตมํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติ; เอวญฺจ วเทติ: ‘พฺรหฺมายุ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ ชิณฺโณ วุฑฺโฒ มหลฺลโก อทฺธคโต วโยอนุปฺปตฺโต, วีสวสฺสสติโก ชาติยา, ติณฺณํ เวทานํ ปารคู สนิฆณฺฑุเกฏุภานํ สากฺขรปฺปเภทานํ อิติหาสปญฺจมานํ, ปทโก, เวยฺยากรโณ, โลกายตมหาปุริสลกฺขเณสุ อนวโยฯ ยาวตา, โภ, พฺราหฺมณคหปติกา มิถิลายํ ปฏิวสนฺติ, พฺรหฺมายุ เตสํ พฺราหฺมโณ อคฺคมกฺขายติ—ยทิทํ โภเคหิ; พฺรหฺมายุ เตสํ พฺราหฺมโณ อคฺคมกฺขายติ—ยทิทํ มนฺเตหิ; พฺรหฺมายุ เตสํ พฺราหฺมโณ อคฺคมกฺขายติ—ยทิทํ อายุนา เจว ยสสา จฯ โส โภโต โคตมสฺส ทสฺสนกาโม'”ติฯ “ยสฺสทานิ, มาณว, พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ กาลํ มญฺญตี”ติฯ
“Yes, sir,” that student replied. He did as he was asked, and the Buddha said, “Please, student, let Brahmāyu come when he’s ready.”
อถ โข โส มาณวโก เยน พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา พฺรหฺมายุํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ: “กตาวกาโส โขมฺหิ ภวตา สมเณน โคตเมนฯ ยสฺสทานิ ภวํ กาลํ มญฺญตี”ติฯ
The student went back to Brahmāyu and said to him, “Your request for an audience with the ascetic Gotama has been granted. Please go at your convenience.”
อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข สา ปริสา พฺรหฺมายุํ พฺราหฺมณํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน โอรมิย โอกาสมกาสิ ยถา ตํ ญาตสฺส ยสสฺสิโนฯ
Then the brahmin Brahmāyu went up to the Buddha. The assembly saw him coming off in the distance, and made way for him, as he was well-known and famous.
อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ตํ ปริสํ เอตทโวจ: “อลํ, โภฯ นิสีทถ ตุเมฺห สเก อาสเนฯ อิธาหํ สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติเก นิสีทิสฺสามี”ติฯ
Brahmāyu said to that retinue, “Enough, gentlemen. Please sit on your own seats. I shall sit here by the ascetic Gotama.”
อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ภควโต กาเย ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณานิ สมนฺเนสิฯ อทฺทสา โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ภควโต กาเย ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณานิ, เยภุเยฺยน ฐเปตฺวา เทฺวฯ ทฺวีสุ มหาปุริสลกฺขเณสุ กงฺขติ วิจิกิจฺฉติ นาธิมุจฺจติ น สมฺปสีทติ—โกโสหิเต จ วตฺถคุเยฺห ปหูตชิวฺหตาย จฯ อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ คาถาหิ อชฺฌภาสิ:
Then the brahmin Brahmāyu went up to the Buddha, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side, and scrutinized the Buddha’s body for the thirty-two marks of a great man. He saw all of them except for two, which he had doubts about: whether the private parts are covered in a foreskin, and the largeness of the tongue. Then Brahmāyu addressed the Buddha in verse:
“เย เม ทฺวตฺตึสาติ สุตา, มหาปุริสลกฺขณา; ทุเว เตสํ น ปสฺสามิ, โภโต กายสฺมึ โคตมฯ
“I have learned of the thirty-two marks of a great man. There are two that I don’t see on the body of the ascetic Gotama.
กจฺจิ โกโสหิตํ โภโต, วตฺถคุยฺหํ นรุตฺตม; นารีสมานสวฺหยา, กจฺจิ ชิวฺหา น ทสฺสกาฯ
Are the private parts covered in a foreskin, O supreme person? Though called by a word of the feminine gender, perhaps your tongue is a manly one?
กจฺจิ ปหูตชิโวฺหสิ, ยถา ตํ ชานิยามเส; นินฺนามเยตํ ปหูตํ, กงฺขํ วินย โน อิเสฯ
Perhaps your tongue is large, as we have been informed. Please stick it out in its full extent, and so, O seer, dispel my doubt.
ทิฏฺฐธมฺมหิตตฺถาย, สมฺปรายสุขาย จ; กตาวกาสา ปุจฺฉาม, ยํ กิญฺจิ อภิปตฺถิตนฺ”ติฯ
For my welfare and benefit in this life, and happiness in the next. And I ask you to grant the opportunity to ask whatever I desire.”
อถ โข ภควโต เอตทโหสิ: “ปสฺสติ โข เม อยํ พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณานิ, เยภุเยฺยน ฐเปตฺวา เทฺวฯ ทฺวีสุ มหาปุริสลกฺขเณสุ กงฺขติ วิจิกิจฺฉติ นาธิมุจฺจติ น สมฺปสีทติ—โกโสหิเต จ วตฺถคุเยฺห ปหูตชิวฺหตาย จา”ติฯ
Then the Buddha thought, “Brahmāyu sees all the marks except for two, which he has doubts about: whether the private parts are covered in a foreskin, and the largeness of the tongue.”
อถ โข ภควา ตถารูปํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสิ ยถา อทฺทส พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ภควโต โกโสหิตํ วตฺถคุยฺหํฯ อถ โข ภควา ชิวฺหํ นินฺนาเมตฺวา อุโภปิ กณฺณโสตานิ อนุมสิ ปฏิมสิ; อุโภปิ นาสิกโสตานิ อนุมสิ ปฏิมสิ; เกวลมฺปิ นลาฏมณฺฑลํ ชิวฺหาย ฉาเทสิฯ
So the Buddha used his psychic power to will that Brahmāyu would see his private parts covered in a foreskin. And he stuck out his tongue and stroked back and forth on his ear holes and nostrils, and covered his entire forehead with his tongue.
อถ โข ภควา พฺรหฺมายุํ พฺราหฺมณํ คาถาหิ ปจฺจภาสิ:
Then the Buddha replied to Brahmāyu in verse:
“เย เต ทฺวตฺตึสาติ สุตา, มหาปุริสลกฺขณา; สพฺเพ เต มม กายสฺมึ, มา เต กงฺขาหุ พฺราหฺมณฯ
“The thirty-two marks of a great man that you have learned are all found on my body: so do not doubt, brahmin.
อภิญฺเญยฺยํ อภิญฺญาตํ, ภาเวตพฺพญฺจ ภาวิตํ; ปหาตพฺพํ ปหีนํ เม, ตสฺมา พุทฺโธสฺมิ พฺราหฺมณฯ
I have known what should be known, and developed what should be developed, and given up what should be given up: and so, brahmin, I am a Buddha.
ทิฏฺฐธมฺมหิตตฺถาย, สมฺปรายสุขาย จ; กตาวกาโส ปุจฺฉสฺสุ, ยํ กิญฺจิ อภิปตฺถิตนฺ”ติฯ
For your welfare and benefit in this life, and happiness in the next: I grant you the opportunity to ask whatever you desire.”
อถ โข พฺรหฺมายุสฺส พฺราหฺมณสฺส เอตทโหสิ:
Then Brahmāyu thought:
“กตาวกาโส โขมฺหิ สมเณน โคตเมนฯ กึ นุ โข อหํ สมณํ โคตมํ ปุจฺเฉยฺยํ: ‘ทิฏฺฐธมฺมิกํ วา อตฺถํ สมฺปรายิกํ วา'”ติฯ อถ โข พฺรหฺมายุสฺส พฺราหฺมณสฺส เอตทโหสิ: “กุสโล โข อหํ ทิฏฺฐธมฺมิกานํ อตฺถานํฯ อญฺเญปิ มํ ทิฏฺฐธมฺมิกํ อตฺถํ ปุจฺฉนฺติฯ ยนฺนูนาหํ สมณํ โคตมํ สมฺปรายิกํเยว อตฺถํ ปุจฺเฉยฺยนฺ”ติฯ
“My request has been granted. Should I ask him about what is beneficial in this life or the next?” Then he thought, “I’m well versed in the benefits that apply to this life, and others ask me about this. Why don’t I ask the ascetic Gotama about the benefit that specifically applies to lives to come?”
อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ คาถาหิ อชฺฌภาสิ:
So Brahmāyu addressed the Buddha in verse:
“กถํ โข พฺราหฺมโณ โหติ, กถํ ภวติ เวทคู; เตวิชฺโช โภ กถํ โหติ, โสตฺถิโย กินฺติ วุจฺจติฯ
“How do you become a brahmin? And how do you become a knowledge master? How a master of the three knowledges? And how is one called a scholar?
อรหํ โภ กถํ โหติ, กถํ ภวติ เกวลี; มุนิ จ โภ กถํ โหติ, พุทฺโธ กินฺติ ปวุจฺจตี”ติฯ
How do you become a perfected one? And how a consummate one? How do you become a sage? And how is one declared to be awakened?”
อถ โข ภควา พฺรหฺมายุํ พฺราหฺมณํ คาถาหิ ปจฺจภาสิ:
Then the Buddha replied to Brahmāyu in verse:
“ปุพฺเพนิวาสํ โย เวทิ, สคฺคาปายญฺจ ปสฺสติ; อโถ ชาติกฺขยํ ปตฺโต, อภิญฺญา โวสิโต มุนิฯ
“One who knows their past lives, and sees heaven and places of loss, and has attained the end of rebirth: that sage has perfect insight.
จิตฺตํ วิสุทฺธํ ชานาติ, มุตฺตํ ราเคหิ สพฺพโส; ปหีนชาติมรโณ, พฺรหฺมจริยสฺส เกวลี; ปารคู สพฺพธมฺมานํ, พุทฺโธ ตาที ปวุจฺจตี”ติฯ
They know their mind is pure, completely freed from greed; they’ve given up birth and death, and have completed the spiritual journey. Gone beyond all things, such a one is declared to be awakened.”
เอวํ วุตฺเต, พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อุฏฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ภควโต ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา ภควโต ปาทานิ มุเขน จ ปริจุมฺพติ, ปาณีหิ จ ปริสมฺพาหติ, นามญฺจ สาเวติ: “พฺรหฺมายุ อหํ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ; พฺรหฺมายุ อหํ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ”ติฯ
When he said this, Brahmāyu got up from his seat and arranged his robe on one shoulder. He bowed with his head at the Buddha’s feet, caressing them and covering them with kisses, and pronounced his name: “I am the brahmin Brahmāyu, Master Gotama! I am the brahmin Brahmāyu!”
อถ โข สา ปริสา อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา อโหสิ: “อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภฯ ยตฺร หิ นามายํ พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ญาโต ยสสฺสี เอวรูปํ ปรมนิปจฺจการํ กริสฺสตี”ติฯ อถ โข ภควา พฺรหฺมายุํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ: “อลํ, พฺราหฺมณ, อุฏฺฐห นิสีท ตฺวํ สเก อาสเน ยโต เต มยิ จิตฺตํ ปสนฺนนฺ”ติฯ อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อุฏฺฐหิตฺวา สเก อาสเน นิสีทิฯ
Then that assembly, their minds full of wonder and amazement, thought, “Oh, how incredible, how amazing, that Brahmāyu, who is so well-known and famous, should show the Buddha such utmost devotion.” Then the Buddha said to Brahmāyu, “Enough, brahmin. Get up, and sit in your own seat, since your mind has such confidence in me.” So Brahmāyu got up and sat in his own seat.
อถ โข ภควา พฺรหฺมายุสฺส พฺราหฺมณสฺส อนุปุพฺพึ กถํ กเถสิ, เสยฺยถิทํ—ทานกถํ, สีลกถํ, สคฺคกถํ; กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ ปกาเสสิฯ ยทา ภควา อญฺญาสิ พฺรหฺมายุํ พฺราหฺมณํ กลฺลจิตฺตํ มุทุจิตฺตํ วินีวรณจิตฺตํ อุทคฺคจิตฺตํ ปสนฺนจิตฺตํ, อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา ตํ ปกาเสสิ—ทุกฺขํ, สมุทยํ, นิโรธํ, มคฺคํฯ เสยฺยถาปิ นาม สุทฺธํ วตฺถํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏิคฺคเณฺหยฺย; เอวเมว พฺรหฺมายุสฺส พฺราหฺมณสฺส ตสฺมึเยว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ: “ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมนฺ”ติฯ
Then the Buddha taught him step by step, with a talk on giving, ethical conduct, and heaven. He explained the drawbacks of sensual pleasures, so sordid and corrupt, and the benefit of renunciation. And when the Buddha knew that Brahmāyu’s mind was ready, pliable, rid of hindrances, elated, and confident he explained the special teaching of the Buddhas: suffering, its origin, its cessation, and the path. Just as a clean cloth rid of stains would properly absorb dye, in that very seat the stainless, immaculate vision of the Dhamma arose in the brahmin Brahmāyu: “Everything that has a beginning has an end.”
อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ทิฏฺฐธมฺโม ปตฺตธมฺโม วิทิตธมฺโม ปริโยคาฬฺหธมฺโม ติณฺณวิจิกิจฺโฉ วิคตกถงฺกโถ เวสารชฺชปฺปตฺโต อปรปฺปจฺจโย สตฺถุสาสเน ภควนฺตํ เอตทโวจ:
Then Brahmāyu saw, attained, understood, and fathomed the Dhamma. He went beyond doubt, got rid of indecision, and became self-assured and independent of others regarding the Teacher’s instructions. He said to the Buddha:
“อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมฯ เสยฺยถาปิ, โภ โคตม, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ โภตา โคตเมน อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอสาหํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตํฯ อธิวาเสตุ จ เม ภวํ โคตโม สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา”ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ
“Excellent, Master Gotama! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, Master Gotama has made the teaching clear in many ways. I go for refuge to Master Gotama, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may Master Gotama remember me as a lay follower who has gone for refuge for life. Would you and the bhikkhu Saṅgha please accept a meal from me tomorrow?” The Buddha consented with silence. Then, knowing that the Buddha had consented, Brahmāyu got up from his seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right, before leaving.
อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก นิเวสเน ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยาทาเปตฺวา ภควโต กาลํ อาโรจาเปสิ: “กาโล, โภ โคตม, นิฏฺฐิตํ ภตฺตนฺ”ติฯ
And when the night had passed Brahmāyu had delicious fresh and cooked foods prepared in his own home. Then he had the Buddha informed of the time, saying, “It’s time, Master Gotama, the meal is ready.”
อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน พฺรหฺมายุสฺส พฺราหฺมณสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนฯ อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตปฺเปสิ สมฺปวาเรสิฯ
Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, went to the home of the brahmin Brahmāyu, where he sat on the seat spread out, together with the Saṅgha of bhikkhus. For seven days, Brahmāyu served and satisfied the bhikkhu Saṅgha headed by the Buddha with his own hands with delicious fresh and cooked foods.
อถ โข ภควา ตสฺส สตฺตาหสฺส อจฺจเยน วิเทเหสุ จาริกํ ปกฺกามิฯ อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต กาลมกาสิฯ
When the seven days had passed, the Buddha departed to wander in the Videhan lands. Not long after the Buddha left, Brahmāyu passed away.
อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “พฺรหฺมายุ, ภนฺเต, พฺราหฺมโณ กาลงฺกโตฯ ตสฺส กา คติ, โก อภิสมฺปราโย”ติ?
Then several bhikkhus went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, Brahmāyu has passed away. Where has he been reborn in his next life?”
“ปณฺฑิโต, ภิกฺขเว, พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ ปจฺจปาทิ ธมฺมสฺสานุธมฺมํ, น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ วิเหเสสิฯ พฺรหฺมายุ, ภิกฺขเว, พฺราหฺมโณ ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก โหติ, ตตฺถ ปรินิพฺพายี, อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกา”ติฯ
“Bhikkhus, the brahmin Brahmāyu was astute. He practiced in line with the teachings, and did not trouble me about the teachings. With the ending of the five lower fetters, he’s been reborn spontaneously and will become extinguished there, not liable to return from that world.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.
พฺรหฺมายุสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปฐมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]