Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๑. พุทฺธอปทานวณฺณนา

    1. Buddhaapadānavaṇṇanā

    อิทานิ อพฺภนฺตรนิทานานนฺตรํ อปทานฎฺฐกถํ กเถตุกาโม –

    Idāni abbhantaranidānānantaraṃ apadānaṭṭhakathaṃ kathetukāmo –

    ‘‘สปทานํ อปทานํ, วิจิตฺรนยเทสนํ;

    ‘‘Sapadānaṃ apadānaṃ, vicitranayadesanaṃ;

    ยํ ขุทฺทกนิกายสฺมิํ, สงฺคายิํสุ มเหสโย;

    Yaṃ khuddakanikāyasmiṃ, saṅgāyiṃsu mahesayo;

    ตสฺส ทานิ อนุปฺปโตฺต, อตฺถสํวณฺณนากฺกโม’’ติฯ

    Tassa dāni anuppatto, atthasaṃvaṇṇanākkamo’’ti.

    ตตฺถ ยํ อปทานํ ตาว ‘‘สกลํ พุทฺธวจนํ เอกวิมุตฺติรส’’นฺติ วุตฺตตฺตา เอกรเส สงฺคหํ คจฺฉติ, ธมฺมวินยวเสน ทฺวิธาสงฺคเห ธเมฺม สงฺคหํ คจฺฉติ, ปฐมมชฺฌิมปจฺฉิมพุทฺธวจเนสุ มชฺฌิมพุทฺธวจเน สงฺคหํ คจฺฉติ, วินยาภิธมฺมสุตฺตนฺตปิฎเกสุ สุตฺตนฺตปิฎเก สงฺคหํ คจฺฉติ, ทีฆนิกายมชฺฌิมสํยุตฺตองฺคุตฺตรขุทฺทกนิกาเยสุ ปญฺจสุ ขุทฺทกนิกาเย สงฺคหํ คจฺฉติ, สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณํ คาถา อุทานํ อิติวุตฺตกํ ชาตกํ อพฺภุตธมฺมํ เวทลฺลนฺติ นวสุ สาสนเงฺคสุ คาถาย สงฺคหิตํฯ

    Tattha yaṃ apadānaṃ tāva ‘‘sakalaṃ buddhavacanaṃ ekavimuttirasa’’nti vuttattā ekarase saṅgahaṃ gacchati, dhammavinayavasena dvidhāsaṅgahe dhamme saṅgahaṃ gacchati, paṭhamamajjhimapacchimabuddhavacanesu majjhimabuddhavacane saṅgahaṃ gacchati, vinayābhidhammasuttantapiṭakesu suttantapiṭake saṅgahaṃ gacchati, dīghanikāyamajjhimasaṃyuttaaṅguttarakhuddakanikāyesu pañcasu khuddakanikāye saṅgahaṃ gacchati, suttaṃ geyyaṃ veyyākaraṇaṃ gāthā udānaṃ itivuttakaṃ jātakaṃ abbhutadhammaṃ vedallanti navasu sāsanaṅgesu gāthāya saṅgahitaṃ.

    ‘‘ทฺวาสีติ พุทฺธโต คณฺหิํ, เทฺวสหสฺสานิ ภิกฺขุโต;

    ‘‘Dvāsīti buddhato gaṇhiṃ, dvesahassāni bhikkhuto;

    จตุราสีติสหสฺสานิ, เยเม ธมฺมา ปวตฺติโน’’ติฯ –

    Caturāsītisahassāni, yeme dhammā pavattino’’ti. –

    เอวํ วุตฺตจตุราสีติสหสฺสธมฺมกฺขเนฺธสุ กติปยธมฺมกฺขนฺธสงฺคหิตํ โหตีติฯ

    Evaṃ vuttacaturāsītisahassadhammakkhandhesu katipayadhammakkhandhasaṅgahitaṃ hotīti.

    อิทานิ ตํ อปทานํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ติํสปารมิสมฺปุณฺณา, ธมฺมราชา อสงฺขิยา’’ติ อาหฯ ตตฺถ ทสปารมิตาว ปจฺฉิมมชฺฌิมุกฺกฎฺฐวเสน ทสปารมีทสอุปปารมีทสปรมตฺถปารมีนํ วเสน สมตฺติํสปารมีฯ ตาหิ สํสุฎฺฐุ ปุณฺณา สมฺปุณฺณา สมนฺนาคตา สมงฺคีภูตา อชฺฌาปนฺนา สํยุตฺตาติ ติํสปารมิสมฺปุณฺณาฯ สกลโลกตฺตยวาสิเน สตฺตนิกาเย เมตฺตากรุณามุทิตาอุเปกฺขาสงฺขาตาหิ จตูหิ พฺรหฺมวิหารสมาปตฺตีหิ วา ผลสมาปตฺติวิหาเรน วา เอกจิตฺตภาเวน อตฺตโน จ กาเย รเญฺชนฺติ อลฺลียาเปนฺตีติ ราชาโน, ธเมฺมน ราชาโน ธมฺมราชา, อิตฺถมฺภูตา พุทฺธาฯ ทสสตํ สหสฺสํ ทสสหสฺสํ สตสหสฺสํ ทสสตสหสฺสํ โกฎิ ปโกฎิ โกฎิปฺปโกฎิ นหุตํ นินฺนหุตํ อโกฺขภิณิ พินฺทุ อพฺพุทํ นิรพฺพุทํ อหหํ อพพํ อฎฎํ โสคนฺธิกํ อุปฺปลํ กุมุทํ ปุณฺฑริกํ ปทุมํ กถานํ มหากถานํ อสเงฺขฺยยฺยานํ วเสน อสงฺขิยา สงฺขารหิตา ธมฺมราชาโน อตีตา วิคตา นิรุทฺธา อพฺภตฺถํ คตาติ อธิปฺปาโยฯ

    Idāni taṃ apadānaṃ dassento ‘‘tiṃsapāramisampuṇṇā, dhammarājā asaṅkhiyā’’ti āha. Tattha dasapāramitāva pacchimamajjhimukkaṭṭhavasena dasapāramīdasaupapāramīdasaparamatthapāramīnaṃ vasena samattiṃsapāramī. Tāhi saṃsuṭṭhu puṇṇā sampuṇṇā samannāgatā samaṅgībhūtā ajjhāpannā saṃyuttāti tiṃsapāramisampuṇṇā. Sakalalokattayavāsine sattanikāye mettākaruṇāmuditāupekkhāsaṅkhātāhi catūhi brahmavihārasamāpattīhi vā phalasamāpattivihārena vā ekacittabhāvena attano ca kāye rañjenti allīyāpentīti rājāno, dhammena rājāno dhammarājā, itthambhūtā buddhā. Dasasataṃ sahassaṃ dasasahassaṃ satasahassaṃ dasasatasahassaṃ koṭi pakoṭi koṭippakoṭi nahutaṃ ninnahutaṃ akkhobhiṇi bindu abbudaṃ nirabbudaṃ ahahaṃ ababaṃ aṭaṭaṃ sogandhikaṃ uppalaṃ kumudaṃ puṇḍarikaṃ padumaṃ kathānaṃ mahākathānaṃ asaṅkhyeyyānaṃ vasena asaṅkhiyā saṅkhārahitā dhammarājāno atītā vigatā niruddhā abbhatthaṃ gatāti adhippāyo.

    . เตสุ อตีตพุเทฺธสุ กตาธิการญฺจ อตฺตนา โพธิสตฺตภูเตน จกฺกวตฺติรญฺญา หุตฺวา กตสมฺภารญฺจ อานนฺทเตฺถเรน ปุโฎฺฐ ภควา ‘‘สโมฺพธิํ พุทฺธเสฎฺฐาน’’นฺติอาทิมาหฯ โภ อานนฺท, มม อปทานํ สุโณหีติ อธิปฺปาโยฯ อานนฺท, อหํ ปุเพฺพ โพธิสมฺภารปูรณกาเล จกฺกวตฺติราชา หุตฺวา เสฎฺฐานํ ปสฎฺฐานํ ปฎิวิทฺธจตุสจฺจานํ พุทฺธานํ สโมฺพธิํ จตุสจฺจมคฺคญาณํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วา สิรสา อภิวาทเยติ สมฺพโนฺธ ฯ สสเงฺฆ สาวกสงฺฆสหิเต โลกนายเก โลกเชเฎฺฐ พุเทฺธ ทสหิ องฺคุลีหิ อุโภหิ หตฺถปุเฎหิ นมสฺสิตฺวา วนฺทิตฺวา สิรสา สีเสน อภิวาทเย อาทเรน โถมนํ กตฺวา ปณามํ กโรมีติ อโตฺถฯ

    6. Tesu atītabuddhesu katādhikārañca attanā bodhisattabhūtena cakkavattiraññā hutvā katasambhārañca ānandattherena puṭṭho bhagavā ‘‘sambodhiṃ buddhaseṭṭhāna’’ntiādimāha. Bho ānanda, mama apadānaṃ suṇohīti adhippāyo. Ānanda, ahaṃ pubbe bodhisambhārapūraṇakāle cakkavattirājā hutvā seṭṭhānaṃ pasaṭṭhānaṃ paṭividdhacatusaccānaṃ buddhānaṃ sambodhiṃ catusaccamaggañāṇaṃ sabbaññutaññāṇaṃ vā sirasā abhivādayeti sambandho . Sasaṅghe sāvakasaṅghasahite lokanāyake lokajeṭṭhe buddhe dasahi aṅgulīhi ubhohi hatthapuṭehi namassitvā vanditvā sirasā sīsena abhivādaye ādarena thomanaṃ katvā paṇāmaṃ karomīti attho.

    . ยาวตา พุทฺธเขเตฺตสูติ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ พุทฺธเขเตฺตสุ, อากาสฎฺฐา อากาสคตา, ภูมฎฺฐา ภูมิตลคตา, เวฬุริยาทโย สตฺต รตนา อสงฺขิยา สงฺขารหิตา, ยาวตา ยตฺตกา, วิชฺชนฺติฯ ตานิ สพฺพานิ มนสา จิเตฺตน สมาหเร, สํ สุฎฺฐุ จิเตฺตน อธิฎฺฐหิตฺวา อาหริสฺสามีติ อโตฺถ, มม ปาสาทสฺส สามนฺตา ราสิํ กโรมีติ อโตฺถฯ

    7.Yāvatā buddhakhettesūti dasasahassacakkavāḷesu buddhakhettesu, ākāsaṭṭhā ākāsagatā, bhūmaṭṭhā bhūmitalagatā, veḷuriyādayo satta ratanā asaṅkhiyā saṅkhārahitā, yāvatā yattakā, vijjanti. Tāni sabbāni manasā cittena samāhare, saṃ suṭṭhu cittena adhiṭṭhahitvā āharissāmīti attho, mama pāsādassa sāmantā rāsiṃ karomīti attho.

    . ตตฺถ รูปิยภูมิยนฺติ ตสฺมิํ อเนกภูมิมฺหิ ปาสาเท รูปิยมยํ รชตมยํ ภูมิํ นิมฺมิตนฺติ อโตฺถฯ อหํ รตนมยํ สตฺตหิ รตเนหิ นิมฺมิตํ อเนกสตภูมิกํ ปาสาทํ อุพฺพิทฺธํ อุคฺคตํ นภมุคฺคตํ อากาเส โชตมานํ มาปยินฺติ อโตฺถฯ

    8.Tattha rūpiyabhūmiyanti tasmiṃ anekabhūmimhi pāsāde rūpiyamayaṃ rajatamayaṃ bhūmiṃ nimmitanti attho. Ahaṃ ratanamayaṃ sattahi ratanehi nimmitaṃ anekasatabhūmikaṃ pāsādaṃ ubbiddhaṃ uggataṃ nabhamuggataṃ ākāse jotamānaṃ māpayinti attho.

    . ตเมว ปาสาทํ วเณฺณโนฺต ‘‘วิจิตฺตถมฺภ’’นฺตฺยาทิมาหฯ วิจิเตฺตหิ อเนเกหิ มสารคลฺลาทิวเณฺณหิ ถเมฺภหิ อุสฺสาปิตํ สุกตํ สุฎฺฐุ กตํ ลกฺขณยุตฺตํ อาโรหปริณาหวเสน สุฎฺฐุ วิภตฺตํ อเนกโกฎิสตคฺฆนโตรณนิมฺมิตตฺตา มหารหํฯ ปุนปิ กิํ วิสิฎฺฐํ? กนกมยสงฺฆาฎํ สุวเณฺณหิ กตตุลาสงฺฆาฎวลเยหิ ยุตฺตํ, ตตฺถ อุสฺสาปิตโกเนฺตหิ จ ฉเตฺตหิ จ มณฺฑิตํ โสภิตํ ปาสาทนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    9. Tameva pāsādaṃ vaṇṇento ‘‘vicittathambha’’ntyādimāha. Vicittehi anekehi masāragallādivaṇṇehi thambhehi ussāpitaṃ sukataṃ suṭṭhu kataṃ lakkhaṇayuttaṃ ārohapariṇāhavasena suṭṭhu vibhattaṃ anekakoṭisatagghanatoraṇanimmitattā mahārahaṃ. Punapi kiṃ visiṭṭhaṃ? Kanakamayasaṅghāṭaṃ suvaṇṇehi katatulāsaṅghāṭavalayehi yuttaṃ, tattha ussāpitakontehi ca chattehi ca maṇḍitaṃ sobhitaṃ pāsādanti sambandho.

    ๑๐. ปุนปิ ปาสาทเสฺสว โสภํ วเณฺณโนฺต ‘‘ปฐมา เวฬุริยา ภูมี’’ตฺยาทิมาหฯ ตสฺส อเนกสตภูมิปาสาทสฺส สุภา อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา อพฺภสมา วลาหกปฎลสทิสา วิมลา นิมฺมลา เวฬุริยมณิมยา นีลวณฺณา ปฐมา ภูมิ อโหสีติ อโตฺถฯ ชลชนฬินปทุเมหิ อากิณฺณา สมงฺคีภูตา วราย อุตฺตมาย กญฺจนภูมิยา สุวณฺณภูมิยาว โสภตีติ อโตฺถฯ

    10. Punapi pāsādasseva sobhaṃ vaṇṇento ‘‘paṭhamā veḷuriyā bhūmī’’tyādimāha. Tassa anekasatabhūmipāsādassa subhā iṭṭhā kantā manāpā abbhasamā valāhakapaṭalasadisā vimalā nimmalā veḷuriyamaṇimayā nīlavaṇṇā paṭhamā bhūmi ahosīti attho. Jalajanaḷinapadumehi ākiṇṇā samaṅgībhūtā varāya uttamāya kañcanabhūmiyā suvaṇṇabhūmiyāva sobhatīti attho.

    ๑๑. ตเสฺสว ปาสาทสฺส กาจิ ภูมิ ปวาฬํสา ปวาฬโกฎฺฐาสา ปวาฬวณฺณา, กาจิ ภูมิ โลหิตกา โลหิตวณฺณา, กาจิ ภูมิ สุภา มโนหรา อินฺทโคปกวณฺณาภา รสฺมิโย นิจฺฉรมานา, กาจิ ภูมิ ทส ทิสา โอภาสตีติ อโตฺถฯ

    11. Tasseva pāsādassa kāci bhūmi pavāḷaṃsā pavāḷakoṭṭhāsā pavāḷavaṇṇā, kāci bhūmi lohitakā lohitavaṇṇā, kāci bhūmi subhā manoharā indagopakavaṇṇābhā rasmiyo niccharamānā, kāci bhūmi dasa disā obhāsatīti attho.

    ๑๒. ตสฺมิํเยว ปาสาเท นิยฺยูหา นิคฺคตปมุขสาลา จ สุวิภตฺตา สุฎฺฐุ วิภตฺตา โกฎฺฐาสโต วิสุํ วิสุํ กตา สีหปญฺชรา สีหทฺวารา จฯ จตุโร เวทิกาติ จตูหิ เวทิกาวลเยหิ ชาลกวาเฎหิ จ มโนรมา มนอลฺลียนกา คนฺธาเวฬา คนฺธทามา จ โอลมฺพนฺตีติ อโตฺถฯ

    12. Tasmiṃyeva pāsāde niyyūhā niggatapamukhasālā ca suvibhattā suṭṭhu vibhattā koṭṭhāsato visuṃ visuṃ katā sīhapañjarā sīhadvārā ca. Caturo vedikāti catūhi vedikāvalayehi jālakavāṭehi ca manoramā manaallīyanakā gandhāveḷā gandhadāmā ca olambantīti attho.

    ๑๓. ตสฺมิํเยว ปาสาเท สตฺตรตนภูสิตา สตฺตรตเนหิ โสภิตา กูฎาคาราฯ กิํ ภูตา? นีลา นีลวณฺณา, ปีตา ปีตวณฺณา สุวณฺณวณฺณา, โลหิตกา โลหิตกวณฺณา รตฺตวณฺณา, โอทาตา โอทาตวณฺณา เสตวณฺณา, สุทฺธกาฬกา อมิสฺสกาฬวณฺณา, กูฎาคารวรูเปตา กูฎาคารวเรหิ กณฺณิกกูฎาคารวเรหิ อุเปโต สมนฺนาคโต โส ปาสาโทติ อโตฺถฯ

    13. Tasmiṃyeva pāsāde sattaratanabhūsitā sattaratanehi sobhitā kūṭāgārā. Kiṃ bhūtā? Nīlā nīlavaṇṇā, pītā pītavaṇṇā suvaṇṇavaṇṇā, lohitakā lohitakavaṇṇā rattavaṇṇā, odātā odātavaṇṇā setavaṇṇā, suddhakāḷakā amissakāḷavaṇṇā, kūṭāgāravarūpetā kūṭāgāravarehi kaṇṇikakūṭāgāravarehi upeto samannāgato so pāsādoti attho.

    ๑๔. ตสฺมิํเยว ปาสาเท โอโลกมยา อุทฺธมฺมุขา ปทุมา สุปุปฺผิตา ปทุมา โสภนฺติ, สีหพฺยคฺฆาทีหิ วาฬมิคคเณหิ จ หํสโกญฺจมยูราทิปกฺขิสมูเหหิ จ โสภิโต โส ปาสาโทติ อโตฺถฯ อติอุโจฺจ หุตฺวา นภมุคฺคตตฺตา นกฺขตฺตตารกาหิ อากิโณฺณ จนฺทสูเรหิ จนฺทสูริยรูเปหิ จ มณฺฑิโต โส ปาสาโทติ อโตฺถฯ

    14. Tasmiṃyeva pāsāde olokamayā uddhammukhā padumā supupphitā padumā sobhanti, sīhabyagghādīhi vāḷamigagaṇehi ca haṃsakoñcamayūrādipakkhisamūhehi ca sobhito so pāsādoti attho. Atiucco hutvā nabhamuggatattā nakkhattatārakāhi ākiṇṇo candasūrehi candasūriyarūpehi ca maṇḍito so pāsādoti attho.

    ๑๕. โส เอว จกฺกวตฺติสฺส ปาสาโท เหมชาเลน สุวณฺณชาเลน สญฺฉนฺนา, โสณฺณกิงฺกณิกายุโต สุวณฺณกิงฺกณิกชาเลหิ ยุโต สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ มโนรมา มนลฺลียนกา โสณฺณมาลา สุวณฺณปุปฺผปนฺติโย วาตเวเคน วาตปฺปหาเรน กูชนฺติ สทฺทํ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ

    15. So eva cakkavattissa pāsādo hemajālena suvaṇṇajālena sañchannā, soṇṇakiṅkaṇikāyuto suvaṇṇakiṅkaṇikajālehi yuto samannāgatoti attho. Manoramā manallīyanakā soṇṇamālā suvaṇṇapupphapantiyo vātavegena vātappahārena kūjanti saddaṃ karontīti attho.

    ๑๖. มเญฺชฎฺฐกํ มญฺชิฎฺฐวณฺณํ, โลหิตกํ โลหิตวณฺณํ, ปีตกํ ปีตวณฺณํ, หริปิญฺชรํ ชโมฺพนทสุวณฺณวณฺณํ ปญฺชรวณฺณญฺจ ธชํ นานารเงฺคหิ อเนเกหิ วเณฺณหิ, สมฺปีตํ รญฺชิตํ ธชํ, อุสฺสิตํ ตสฺมิํ ปาสาเท อุสฺสาปิตํฯ ธชมาลินีติ ลิงฺควิปลฺลาสวเสน วุตฺตํ, ธชมาลายุโตฺต โส ปาสาโทติ อโตฺถฯ

    16.Mañjeṭṭhakaṃ mañjiṭṭhavaṇṇaṃ, lohitakaṃ lohitavaṇṇaṃ, pītakaṃ pītavaṇṇaṃ, haripiñjaraṃ jambonadasuvaṇṇavaṇṇaṃ pañjaravaṇṇañca dhajaṃ nānāraṅgehi anekehi vaṇṇehi, sampītaṃ rañjitaṃ dhajaṃ, ussitaṃ tasmiṃ pāsāde ussāpitaṃ. Dhajamālinīti liṅgavipallāsavasena vuttaṃ, dhajamālāyutto so pāsādoti attho.

    ๑๗. ตสฺมิํ ปาสาเท อตฺถรณาทโย วเณฺณโนฺต ‘‘น นํ พหู’’ตฺยาทิมาหฯ ตตฺถ นํ ปาสาทํ พหูหิ อวิชฺชมานํ นาม นตฺถีติ อโตฺถ, นานาสยนวิจิตฺตา อเนเกหิ อตฺถรเณหิ วิจิตฺตา โสภิตา มญฺจปีฐาทิสยนา อเนกสตา อเนกสตสงฺขฺยา, กิํ ภูตา? ผลิกา ผลิกมณิมยา ผลิกาหิ กตา, รชตามยา รชเตหิ กตา, มณิมยา นีลมณีหิ กตา, โลหิตงฺคา รตฺตชาติมณีหิ กตา, มสารคลฺลมยา กพรวณฺณมณีหิ กตา, สณฺหกาสิกสนฺถตา สเณฺหหิ สุขุเมหิ กาสิกวเตฺถหิ อตฺถตาฯ

    17. Tasmiṃ pāsāde attharaṇādayo vaṇṇento ‘‘na naṃ bahū’’tyādimāha. Tattha naṃ pāsādaṃ bahūhi avijjamānaṃ nāma natthīti attho, nānāsayanavicittā anekehi attharaṇehi vicittā sobhitā mañcapīṭhādisayanā anekasatā anekasatasaṅkhyā, kiṃ bhūtā? Phalikā phalikamaṇimayā phalikāhi katā, rajatāmayā rajatehi katā, maṇimayā nīlamaṇīhi katā, lohitaṅgā rattajātimaṇīhi katā, masāragallamayā kabaravaṇṇamaṇīhi katā, saṇhakāsikasanthatā saṇhehi sukhumehi kāsikavatthehi atthatā.

    ๑๘. ปาวุราติ ปาวุรณาฯ กีทิสา? กมฺพลา โลมสุเตฺตหิ กตา, ทุกูลา ทุกูลปเฎหิ กตา, จีนา จีนปเฎหิ กตา, ปตฺตุณฺณา ปตฺตุณฺณเทเส ชาตปเฎหิ กตา, ปณฺฑุ ปณฺฑุวณฺณา, วิจิตฺตตฺถรณํ อเนเกหิ อตฺถรเณหิ ปาวุรเณหิ จ วิจิตฺตํ, สพฺพํ สยนํ, มนสา จิเตฺตน, อหํ ปญฺญเปสินฺติ อโตฺถฯ

    18.Pāvurāti pāvuraṇā. Kīdisā? Kambalā lomasuttehi katā, dukūlā dukūlapaṭehi katā, cīnā cīnapaṭehi katā, pattuṇṇā pattuṇṇadese jātapaṭehi katā, paṇḍu paṇḍuvaṇṇā, vicittattharaṇaṃ anekehi attharaṇehi pāvuraṇehi ca vicittaṃ, sabbaṃ sayanaṃ, manasā cittena, ahaṃ paññapesinti attho.

    ๑๙. ตเทว ปาสาทํ วเณฺณโนฺต ‘‘ตาสุ ตาเสฺวว ภูมีสู’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ รตนกูฎลงฺกตนฺติ รตนมยกูเฎหิ รตนกณฺณิกาหิ อลงฺกตํ โสภิตนฺติ อโตฺถฯ มณิเวโรจนา อุกฺกาติ เวโรจนมณีหิ รตฺตมณีหิ กตา, อุกฺกา ทณฺฑปทีปาฯ ธารยนฺตา สุติฎฺฐเรติ อากาเส สุฎฺฐุ ธารยนฺตา คณฺหนฺตา อเนกสตชนา สุฎฺฐุ ติฎฺฐนฺตีติ อโตฺถฯ

    19. Tadeva pāsādaṃ vaṇṇento ‘‘tāsu tāsveva bhūmīsū’’tiādimāha. Tattha ratanakūṭalaṅkatanti ratanamayakūṭehi ratanakaṇṇikāhi alaṅkataṃ sobhitanti attho. Maṇiverocanā ukkāti verocanamaṇīhi rattamaṇīhi katā, ukkā daṇḍapadīpā. Dhārayantā sutiṭṭhareti ākāse suṭṭhu dhārayantā gaṇhantā anekasatajanā suṭṭhu tiṭṭhantīti attho.

    ๒๐. ปุน ตเทว ปาสาทํ วเณฺณโนฺต ‘‘โสภนฺติ เอสิกาถมฺภา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอสิกาถมฺภา นาม นครทฺวาเร โสภนตฺถาย นิขาตา ถมฺภา, สุภา อิฎฺฐา, กญฺจนโตรณา สุวณฺณมยา, ชโมฺพนทา ชโมฺพนทสุวณฺณมยา จ, สารมยา ขทิรรุกฺขสารมยา จ รชตมยา จ โตรณา โสภนฺติ, เอสิกา จ โตรณา จ ตํ ปาสาทํ โสภยนฺตีติ อโตฺถฯ

    20. Puna tadeva pāsādaṃ vaṇṇento ‘‘sobhanti esikāthambhā’’tiādimāha. Tattha esikāthambhā nāma nagaradvāre sobhanatthāya nikhātā thambhā, subhā iṭṭhā, kañcanatoraṇā suvaṇṇamayā, jambonadā jambonadasuvaṇṇamayā ca, sāramayā khadirarukkhasāramayā ca rajatamayā ca toraṇā sobhanti, esikā ca toraṇā ca taṃ pāsādaṃ sobhayantīti attho.

    ๒๑. ตสฺมิํ ปาสาเท สุวิภตฺตา อเนกา สนฺธี กวาเฎหิ จ อคฺคเฬหิ จ จิตฺติตา โสภิตา สนฺธิปริเกฺขปา โสภยนฺตีติ อโตฺถ, อุภโตติ ตสฺส ปาสาทสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ, ปุณฺณฆฎา อเนเกหิ ปทุเมหิ อเนเกหิ จ อุปฺปเลหิ, สํยุตา ปุณฺณา ตํ ปาสาทํ โสภยนฺตีติ อโตฺถฯ

    21. Tasmiṃ pāsāde suvibhattā anekā sandhī kavāṭehi ca aggaḷehi ca cittitā sobhitā sandhiparikkhepā sobhayantīti attho, ubhatoti tassa pāsādassa ubhosu passesu, puṇṇaghaṭā anekehi padumehi anekehi ca uppalehi, saṃyutā puṇṇā taṃ pāsādaṃ sobhayantīti attho.

    ๒๒-๒๓. เอวํ ปาสาทสฺส โสภํ วเณฺณตฺวา รตนมยํ ปาสาทญฺจ สกฺการสมฺมานญฺจ ปกาเสโนฺต ‘‘อตีเต สพฺพพุเทฺธ จา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อตีเตติ อติกฺกเนฺต วิคเต กาเล ชาเต ภูเต, สสเงฺฆ สาวกสมูหสหิเต, สเพฺพ โลกนายเก พุเทฺธ สภาเวน ปกติวเณฺณน รูเปน สณฺฐาเนน จ, สสาวเก สาวกสหิเต, พุเทฺธ นิมฺมินิตฺวา เยน ทฺวาเรน ปาสาโท ปวิสิตโพฺพ โหติ , เตน ทฺวาเรน ปวิสิตฺวา สสาวกา สเพฺพ พุทฺธา สพฺพโสณฺณมเย สกลสุวณฺณมเย, ปีเฐ นิสินฺนา อริยมณฺฑลา อริยสมูหา อเหสุนฺติ อโตฺถฯ

    22-23. Evaṃ pāsādassa sobhaṃ vaṇṇetvā ratanamayaṃ pāsādañca sakkārasammānañca pakāsento ‘‘atīte sabbabuddhe cā’’tiādimāha. Tattha atīteti atikkante vigate kāle jāte bhūte, sasaṅghe sāvakasamūhasahite, sabbe lokanāyake buddhe sabhāvena pakativaṇṇena rūpena saṇṭhānena ca, sasāvake sāvakasahite, buddhe nimminitvā yena dvārena pāsādo pavisitabbo hoti , tena dvārena pavisitvā sasāvakā sabbe buddhā sabbasoṇṇamaye sakalasuvaṇṇamaye, pīṭhe nisinnā ariyamaṇḍalā ariyasamūhā ahesunti attho.

    ๒๔-๒๕. เอตรหิ วตฺตมาเน กาเล อนุตฺตรา อุตฺตรวิรหิตา เยพุทฺธา อตฺถิ สํวิชฺชนฺติ, เต จ ปเจฺจกพุเทฺธ อเนกสเต สยมฺภู สยเมว ภูเต อญฺญาจริยรหิเต, อปราชิเต ขนฺธกิเลสาภิสงฺขารมจฺจุเทวปุตฺตมาเรหิ อปราชิเต, ชยมาปเนฺน สนฺตเปฺปสินฺติ อโตฺถฯ ภวนํ มยฺหํ ปาสาทํ อตีตกาเล จ วตฺตมานกาเล จ, สเพฺพ พุทฺธา สมารุหุํ สํ สุฎฺฐุ อารุหิํสูติ อโตฺถฯ

    24-25.Etarahi vattamāne kāle anuttarā uttaravirahitā ye ca buddhāatthi saṃvijjanti, te ca paccekabuddhe anekasate sayambhū sayameva bhūte aññācariyarahite, aparājite khandhakilesābhisaṅkhāramaccudevaputtamārehi aparājite, jayamāpanne santappesinti attho. Bhavanaṃ mayhaṃ pāsādaṃ atītakāle ca vattamānakāle ca, sabbe buddhā samāruhuṃ saṃ suṭṭhu āruhiṃsūti attho.

    ๒๖. เย ทิพฺพา ทิวิ ภวา ทิพฺพา เทวโลเก ชาตา, เยพหู กปฺปรุกฺขา อตฺถิฯ เย จ มานุสา มนุเสฺส ชาตา เย จ พหู กปฺปรุกฺขา อตฺถิ, ตโต สพฺพํ ทุสฺสํ สมาหนฺตฺวา สํ สุฎฺฐุ อาหริตฺวา เตจีวรานิ กาเรตฺวา เต ปเจฺจกพุเทฺธ ติจีวเรหิ อจฺฉาเทมีติ สมฺพโนฺธฯ

    26.Ye dibbā divi bhavā dibbā devaloke jātā, ye ca bahū kapparukkhā atthi. Ye ca mānusā manusse jātā ye ca bahū kapparukkhā atthi, tato sabbaṃ dussaṃ samāhantvā saṃ suṭṭhu āharitvā tecīvarāni kāretvā te paccekabuddhe ticīvarehi acchādemīti sambandho.

    ๒๗. เอวํ ติจีวเรหิ อจฺฉาเทตฺวา ปารุปาเปตฺวา เตสํ นิสินฺนานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ สมฺปนฺนํ มธุรํ ขชฺชํ ขาทิตพฺพํ ปูวาทิ กิญฺจิ, มธุรํ โภชฺชํ ภุญฺชิตพฺพํ อาหารญฺจ, มธุรํ สายนียํ เลหนียญฺจ, สมฺปนฺนํ มธุรํ ปิวิตพฺพํ อฎฺฐปานญฺจ, โภชนํ ภุญฺชิตพฺพํ อาหารญฺจ, สุเภ สุนฺทเร มณิมเย เสลมเย ปเตฺต สํ สุฎฺฐุ ปูเรตฺวา อทาสิํ ปฎิคฺคหาเปสินฺติ อโตฺถฯ

    27. Evaṃ ticīvarehi acchādetvā pārupāpetvā tesaṃ nisinnānaṃ paccekabuddhānaṃ sampannaṃ madhuraṃ khajjaṃ khāditabbaṃ pūvādi kiñci, madhuraṃ bhojjaṃ bhuñjitabbaṃ āhārañca, madhuraṃ sāyanīyaṃ lehanīyañca, sampannaṃ madhuraṃ pivitabbaṃ aṭṭhapānañca, bhojanaṃ bhuñjitabbaṃ āhārañca, subhe sundare maṇimaye selamaye patte saṃ suṭṭhu pūretvā adāsiṃ paṭiggahāpesinti attho.

    ๒๘. สเพฺพ เต อริยมณฺฑลา สเพฺพ เต อริยสมูหา, ทิพฺพจกฺขุ สมา หุตฺวา มฎฺฐาติ ทิพฺพจกฺขุสมงฺคิโน หุตฺวา มฎฺฐา กิเลเสหิ รหิตตฺตา สิลิฎฺฐา โสภมานา จีวรสํยุตา ติจีวเรหิ สมงฺคีภูตา มธุรสกฺขราหิ จ เตเลน จ มธุผาณิเตหิ จ ปรมเนฺนน อุตฺตเมน อเนฺนน จ มยา ตปฺปิตา อปฺปิตา ปริปูริตา อเหสุนฺติ อโตฺถฯ

    28.Sabbe te ariyamaṇḍalā sabbe te ariyasamūhā, dibbacakkhu samā hutvā maṭṭhāti dibbacakkhusamaṅgino hutvā maṭṭhā kilesehi rahitattā siliṭṭhā sobhamānā cīvarasaṃyutā ticīvarehi samaṅgībhūtā madhurasakkharāhi ca telena ca madhuphāṇitehi ca paramannena uttamena annena ca mayā tappitā appitā paripūritā ahesunti attho.

    ๒๙. เต เอวํ สนฺตปฺปิตา อริยมณฺฑลา รตนคพฺภํ สตฺตหิ รตเนหิ นิมฺมิตคพฺภํ เคหํ, ปวิสิตฺวา คุหาสยา คุหายํ สยมานา, เกสรีว เกสรสีหา อิว, มหารหมฺหิ สยเน อนเคฺฆ มเญฺจ, สีหเสยฺยมกปฺปยุํ ยถา สีโห มิคราชา ทกฺขิณปเสฺสน สยโนฺต ปาเท ปาทํ อจฺจาธาย ทกฺขิณหตฺถํ สีสูปธานํ กตฺวา วามหตฺถํ อุชุกํ ฐเปตฺวา วาลธิํ อนฺตรสตฺถิยํ กตฺวา นิจฺจโล สยติ, เอวํ เสยฺยํ กปฺปยุํ กริํสูติ อโตฺถฯ

    29. Te evaṃ santappitā ariyamaṇḍalā ratanagabbhaṃ sattahi ratanehi nimmitagabbhaṃ gehaṃ, pavisitvā guhāsayā guhāyaṃ sayamānā, kesarīva kesarasīhā iva, mahārahamhi sayane anagghe mañce, sīhaseyyamakappayuṃ yathā sīho migarājā dakkhiṇapassena sayanto pāde pādaṃ accādhāya dakkhiṇahatthaṃ sīsūpadhānaṃ katvā vāmahatthaṃ ujukaṃ ṭhapetvā vāladhiṃ antarasatthiyaṃ katvā niccalo sayati, evaṃ seyyaṃ kappayuṃ kariṃsūti attho.

    ๓๐. เต เอวํ สีหเสยฺยํ กเปฺปตฺวา สมฺปชานา สติสมฺปชญฺญสมฺปนฺนาฯ สมุฎฺฐาย สํ สุฎฺฐุ อุฎฺฐหิตฺวา สยเน ปลฺลงฺกมาภุชุํ อูรุพทฺธาสนํ กริํสูติ อโตฺถฯ

    30. Te evaṃ sīhaseyyaṃ kappetvā sampajānā satisampajaññasampannā. Samuṭṭhāya saṃ suṭṭhu uṭṭhahitvā sayane pallaṅkamābhujuṃ ūrubaddhāsanaṃ kariṃsūti attho.

    ๓๑. โคจรํ สพฺพพุทฺธานนฺติ สเพฺพสํ อตีตานาคตานํ พุทฺธานํ โคจรํ อารมฺมณภูตํ ฌานรติสมปฺปิตา ฌานรติยา สํ สุฎฺฐุ อปฺปิตา สมงฺคีภูตา อเหสุนฺติ อโตฺถ, อเญฺญ ธมฺมานิ เทเสนฺตีติ เตสุ ปเจฺจกพุเทฺธสุ อเญฺญ เอกเจฺจ ธเมฺม เทเสนฺติ, อเญฺญ เอกเจฺจ อิทฺธิยา ปฐมาทิชฺฌานกีฬาย กีฬนฺติ รมนฺติฯ

    31.Gocaraṃsabbabuddhānanti sabbesaṃ atītānāgatānaṃ buddhānaṃ gocaraṃ ārammaṇabhūtaṃ jhānaratisamappitā jhānaratiyā saṃ suṭṭhu appitā samaṅgībhūtā ahesunti attho, aññe dhammāni desentīti tesu paccekabuddhesu aññe ekacce dhamme desenti, aññe ekacce iddhiyā paṭhamādijjhānakīḷāya kīḷanti ramanti.

    ๓๒. อเญฺญ เอกเจฺจ อภิญฺญา ปญฺจ อภิญฺญาโย วสิภาวิตา วสีกริํสุ, ปญฺจสุ อภิญฺญาสุ อาวชฺชนสมาปชฺชนวุฎฺฐานอธิฎฺฐานปจฺจเวกฺขณสงฺขาตาหิ ปญฺจวสิตาหิ วสีภาวํ อิตา คตา ปตฺตา อภิญฺญาโย , อเปฺปนฺติ สมาปชฺชนฺติฯ อเญฺญ เอกเจฺจ อเนกสหสฺสิโย วิกุพฺพนานิ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหตีติ เอวมาทีนิ อิทฺธิวิกุพฺพนานิ วิกุพฺพนฺติ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ

    32.Aññe ekacce abhiññā pañca abhiññāyo vasibhāvitā vasīkariṃsu, pañcasu abhiññāsu āvajjanasamāpajjanavuṭṭhānaadhiṭṭhānapaccavekkhaṇasaṅkhātāhi pañcavasitāhi vasībhāvaṃ itā gatā pattā abhiññāyo , appenti samāpajjanti. Aññe ekacce anekasahassiyo vikubbanāni ekopi hutvā bahudhā hoti, bahudhāpi hutvā eko hotīti evamādīni iddhivikubbanāni vikubbanti karontīti attho.

    ๓๓. พุทฺธาปิ พุเทฺธติ เอวํ สนฺนิปติเตสุ ปเจฺจกพุเทฺธสุ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส วิสยํ อารมฺมณภูตํ ปญฺหํ พุทฺธา พุเทฺธ ปุจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ เต พุทฺธา อตฺถคมฺภีรตาย คมฺภีรํ นิปุณํ สุขุมํ, ฐานํ การณํ, ปญฺญาย วินิพุชฺฌเร วิเสเสน นิรวเสสโต พุชฺฌนฺติฯ

    33.Buddhāpi buddheti evaṃ sannipatitesu paccekabuddhesu sabbaññutaññāṇassa visayaṃ ārammaṇabhūtaṃ pañhaṃ buddhā buddhe pucchantīti attho. Te buddhā atthagambhīratāya gambhīraṃ nipuṇaṃ sukhumaṃ, ṭhānaṃ kāraṇaṃ, paññāya vinibujjhare visesena niravasesato bujjhanti.

    ๓๔. ตทา มม ปาสาเท สนฺนิปติตา สาวกาปิ พุเทฺธ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, พุทฺธา สาวเก สิเสฺส ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, เต พุทฺธา จ สาวกา จ อญฺญมญฺญํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา อญฺญมญฺญํ พฺยากโรนฺติ วิสฺสเชฺชนฺติฯ

    34. Tadā mama pāsāde sannipatitā sāvakāpi buddhe pañhaṃ pucchanti, buddhā sāvake sisse pañhaṃ pucchanti, te buddhā ca sāvakā ca aññamaññaṃ pañhaṃ pucchitvā aññamaññaṃ byākaronti vissajjenti.

    ๓๕. ปุน เต สเพฺพ เอกโต ทเสฺสโนฺต ‘‘พุทฺธา ปเจฺจกพุทฺธา จา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ พุทฺธา สมฺมาสมฺพุทฺธา, ปเจฺจกพุทฺธาสาวกา จ สิสฺสา ปริจารกา นิสฺสิตกา เอเต สเพฺพ, สกาย สกาย รติยา รมมานา สลฺลีนา มม ปาสาเท อภิรมนฺตีติ อโตฺถฯ

    35. Puna te sabbe ekato dassento ‘‘buddhā paccekabuddhā cā’’tiādimāha. Tattha buddhā sammāsambuddhā, paccekabuddhā ca sāvakā ca sissā paricārakā nissitakā ete sabbe, sakāya sakāya ratiyā ramamānā sallīnā mama pāsāde abhiramantīti attho.

    ๓๖. เอวํ ตสฺมิํ เวชยนฺตปาสาเท ปเจฺจกพุทฺธานํ อาจารสมฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อตฺตโน อานุภาวํ ทเสฺสโนฺต โส ติโลกวิชโย จกฺกวตฺติราชา ‘‘ฉตฺตา ติฎฺฐนฺตุ รตนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ รตนา สตฺตรตนมยา, ฉตฺตา กญฺจนาเวฬปนฺติกา สุวณฺณชาเลหิ โอลมฺพิตา ติฎฺฐนฺตุฯ มุตฺตาชาลปริกฺขิตฺตา มุตฺตาชาเลหิ ปริวาริตา, สเพฺพ ฉตฺตา มม มตฺถเก มุทฺธนิ, ธาเรนฺตูติ จินฺติตมเตฺตเยว ฉตฺตา ปาตุภูตา โหนฺตีติ อโตฺถฯ

    36. Evaṃ tasmiṃ vejayantapāsāde paccekabuddhānaṃ ācārasampattiṃ dassetvā idāni attano ānubhāvaṃ dassento so tilokavijayo cakkavattirājā ‘‘chattā tiṭṭhantu ratanā’’tiādimāha. Tattha ratanā sattaratanamayā, chattā kañcanāveḷapantikā suvaṇṇajālehi olambitā tiṭṭhantu. Muttājālaparikkhittā muttājālehi parivāritā, sabbe chattā mama matthake muddhani, dhārentūti cintitamatteyeva chattā pātubhūtā hontīti attho.

    ๓๗. โสณฺณตารกจิตฺติตา สุวณฺณตารกาหิ ททฺทลฺลมานา เจลวิตานา ภวนฺตุ นิพฺพตฺตนฺตุ ฯ วิจิตฺตา อเนกวณฺณา, มลฺยวิตตา ปุปฺผปตฺถฎา, สเพฺพ อเนกวิตานา, มตฺถเก นิสีทนฎฺฐานสฺส อุปริภาเค ธาเรนฺตูติ อโตฺถฯ

    37.Soṇṇatārakacittitā suvaṇṇatārakāhi daddallamānā celavitānā bhavantu nibbattantu . Vicittā anekavaṇṇā, malyavitatā pupphapatthaṭā, sabbe anekavitānā, matthake nisīdanaṭṭhānassa uparibhāge dhārentūti attho.

    ๓๘-๔๐. มลฺยทาเมหิ อเนกสุคนฺธปุปฺผทาเมหิ วิตตา ปริกิณฺณา, คนฺธทาเมหิ จนฺทนกุงฺกุมตคราทิสุคนฺธทาเมหิ, โสภิตา โปกฺขรณีติ สมฺพโนฺธ ฯ ทุสฺสทาเมหิ ปตฺตุณฺณจีนาทิอนคฺฆทุสฺสทาเมหิ, ปริกิณฺณา สตฺตรตนทาเมหิ ภูสิตา อลงฺกตา โปกฺขรณี, ปุปฺผาภิกิณฺณา จมฺปกสฬลโสคนฺธิกาทิสุคนฺธปุเปฺผหิ อภิกิณฺณา สุฎฺฐุ วิจิตฺตา โสภิตาฯ ปุนรปิ กิํ ภูตา โปกฺขรณี? สุรภิคนฺธสุคเนฺธหิ ภูสิตา วาสิตาฯ สมนฺตโต คนฺธปญฺจงฺคุลลงฺกตา ปญฺจหิ องฺคุเลหิ ลิมฺปิตคเนฺธหิ อลงฺกตา, เหมจฺฉทนฉาทิตา สุวณฺณฉทเนหิ สุวณฺณวิตาเนหิ ฉาทิตา, ปาสาทสฺส จาตุทฺทิสา โปกฺขรณิโย ปทุเมหิ จ อุปฺปเลหิ จ สุฎฺฐุ สนฺถตา ปตฺถฎา สุวณฺณรูเป สุวณฺณวณฺณา, ขายนฺตุ, ปทฺมเรณุรชุคฺคตา ปทุมเรณูหิ ธูลีหิ จ อากิณฺณา โปกฺขรณิโย โสภนฺตูติ อโตฺถฯ

    38-40.Malyadāmehi anekasugandhapupphadāmehi vitatā parikiṇṇā, gandhadāmehi candanakuṅkumatagarādisugandhadāmehi, sobhitā pokkharaṇīti sambandho . Dussadāmehi pattuṇṇacīnādianagghadussadāmehi, parikiṇṇā sattaratanadāmehi bhūsitā alaṅkatā pokkharaṇī, pupphābhikiṇṇā campakasaḷalasogandhikādisugandhapupphehi abhikiṇṇā suṭṭhu vicittā sobhitā. Punarapi kiṃ bhūtā pokkharaṇī? Surabhigandhasugandhehi bhūsitā vāsitā. Samantato gandhapañcaṅgulalaṅkatā pañcahi aṅgulehi limpitagandhehi alaṅkatā, hemacchadanachāditā suvaṇṇachadanehi suvaṇṇavitānehi chāditā, pāsādassa cātuddisā pokkharaṇiyo padumehi ca uppalehi ca suṭṭhu santhatā patthaṭā suvaṇṇarūpe suvaṇṇavaṇṇā, khāyantu, padmareṇurajuggatā padumareṇūhi dhūlīhi ca ākiṇṇā pokkharaṇiyo sobhantūti attho.

    ๔๑. มม เวชยนฺตปาสาทสฺส สมนฺตโต ปาทปา จมฺปกาทโย รุกฺขา สเพฺพ ปุปฺผนฺตุ เอเต ปุปฺผรุกฺขาฯ สยเมว ปุปฺผา มุญฺจิตฺวา วิคฬิตฺวา คนฺตฺวา ภวนํ โอกิรุํ, โอกิณฺณา ปาสาทสฺส อุปริ กโรนฺตูติ อโตฺถฯ

    41. Mama vejayantapāsādassa samantato pādapā campakādayo rukkhā sabbe pupphantu ete puppharukkhā. Sayameva pupphā muñcitvā vigaḷitvā gantvā bhavanaṃ okiruṃ, okiṇṇā pāsādassa upari karontūti attho.

    ๔๒. ตตฺถ ตสฺมิํ มม เวชยนฺตปาสาเท สิขิโน มยูรา นจฺจนฺตู, ทิพฺพหํสา เทวตาหํสา, ปกูชเร สทฺทํ กโรนฺตุ, กรวีกา จ มธุรสทฺทา โกกิลา คายนฺตุ คีตวากฺยํ กโรนฺตุ, อปเร อนุตฺตา จ ทิชสงฺฆา ปกฺขิโน สมูหา ปาสาทสฺส สมนฺตโต มธุรรวํ รวนฺตูติ อโตฺถฯ

    42.Tattha tasmiṃ mama vejayantapāsāde sikhino mayūrā naccantū, dibbahaṃsā devatāhaṃsā, pakūjare saddaṃ karontu, karavīkā ca madhurasaddā kokilā gāyantu gītavākyaṃ karontu, apare anuttā ca dijasaṅghā pakkhino samūhā pāsādassa samantato madhuraravaṃ ravantūti attho.

    ๔๓. ปาสาทสฺส สมนฺตโก สพฺพา อาตตวิตตาทโย เภริโย วชฺชนฺตุ หญฺญนฺตุ, สพฺพา ตา อเนกตนฺติโย วีณา รสนฺตุ สทฺทํ กโรนฺตุ, สพฺพา อเนกปฺปการา สงฺคีติโย ปาสาทสฺส สมนฺตโต วตฺตนฺตุ ปวตฺตนฺตุ คายนฺตูติ อโตฺถฯ

    43.Pāsādassa samantako sabbā ātatavitatādayo bheriyo vajjantu haññantu, sabbā tā anekatantiyo vīṇā rasantu saddaṃ karontu, sabbā anekappakārā saṅgītiyo pāsādassa samantato vattantu pavattantu gāyantūti attho.

    ๔๔-๕. ยาวตา ยตฺตเก ฐาเน พุทฺธเขตฺตมฺหิ ทสสหสฺสิจกฺกวาเฬ ตโต ปเร จกฺกวาเฬ, โชติสมฺปนฺนา ปภาสมฺปนฺนา อจฺฉินฺนา มหนฺตา สมนฺตโต รตนามยา สตฺตหิ รตเนหิ กตา ขจิตา โสณฺณปลฺลงฺกา สุวณฺณปลฺลงฺกา ติฎฺฐนฺตุ, ปาสาทสฺส สมนฺตโต ทีปรุกฺขา ปทีปธารณา เตลรุกฺขา ชลนฺตุ , ปทีเปหิ ปชฺชลนฺตุ, ทสสหสฺสิปรมฺปรา ทสสหสฺสีนํ ปรมฺปรา ทสสหสฺสิโย เอกปโชฺชตา เอกปทีปา วิย ภวนฺตุ อุโชฺชตนฺตูติ อโตฺถฯ

    44-5.Yāvatā yattake ṭhāne buddhakhettamhi dasasahassicakkavāḷe tato pare cakkavāḷe, jotisampannā pabhāsampannā acchinnā mahantā samantato ratanāmayā sattahi ratanehi katā khacitā soṇṇapallaṅkā suvaṇṇapallaṅkā tiṭṭhantu, pāsādassa samantato dīparukkhā padīpadhāraṇā telarukkhā jalantu, padīpehi pajjalantu, dasasahassiparamparā dasasahassīnaṃ paramparā dasasahassiyo ekapajjotā ekapadīpā viya bhavantu ujjotantūti attho.

    ๔๖. นจฺจคีเตสุ เฉกา คณิกา นจฺจิตฺถิโย จ ลาสิกา มุเขน สทฺทการิกา จ ปาสาทสฺส สมนฺตโต นจฺจนฺตุ, อจฺฉราคณา เทวิตฺถิสมูหา นจฺจนฺตุ, นานารงฺคา อเนกวณฺณา นานารงฺคมณฺฑลา ปาสาทสฺส สมนฺตโต นจฺจนฺตุ, ปทิสฺสนฺตุ ปากฎา โหนฺตูติ อโตฺถฯ

    46. Naccagītesu chekā gaṇikā naccitthiyo ca lāsikā mukhena saddakārikā ca pāsādassa samantato naccantu, accharāgaṇā devitthisamūhā naccantu, nānāraṅgā anekavaṇṇā nānāraṅgamaṇḍalā pāsādassa samantato naccantu, padissantu pākaṭā hontūti attho.

    ๔๗. ตทา อหํ ติโลกวิชโย นาม จกฺกวตฺติราชา หุตฺวา สกลจกฺกวาเฬ ทุมเคฺค รุกฺขเคฺค ปพฺพตเคฺค หิมวนฺตจกฺกวาฬปพฺพตาทีนํ อเคฺค สิเนรูปพฺพตมุทฺธนิ จ สพฺพฎฺฐาเนสุ วิจิตฺตํ อเนกวณฺณวิจิตฺตํ ปญฺจวณฺณิกํ นีลปีตาทิปญฺจวณฺณํ สพฺพํ ธชํ อุสฺสาเปมีติ อโตฺถฯ

    47. Tadā ahaṃ tilokavijayo nāma cakkavattirājā hutvā sakalacakkavāḷe dumagge rukkhagge pabbatagge himavantacakkavāḷapabbatādīnaṃ agge sinerūpabbatamuddhani ca sabbaṭṭhānesu vicittaṃ anekavaṇṇavicittaṃ pañcavaṇṇikaṃ nīlapītādipañcavaṇṇaṃ sabbaṃ dhajaṃ ussāpemīti attho.

    ๔๘. นรา โลกนฺตรา นรา จ นาคโลกโต นาคา จ เทวโลกโต คนฺธพฺพาเทวาสเพฺพ อุเปนฺตุ อุปคจฺฉนฺตุ, เต นราทโย นมสฺสนฺตา มม นมกฺการํ กโรนฺตา ปญฺชลิกา กตหตฺถปุฎา มม เวชยนฺตํ ปาสาทํ ปริวารยุนฺติ อโตฺถฯ

    48.Narā lokantarā narā ca nāgalokato nāgā ca devalokato gandhabbā ca devā ca sabbe upentu upagacchantu, te narādayo namassantā mama namakkāraṃ karontā pañjalikā katahatthapuṭā mama vejayantaṃ pāsādaṃ parivārayunti attho.

    ๔๙. เอวํ โส ติโลกวิชโย จกฺกวตฺติราชา ปาสาทสฺส จ อตฺตโน จ อานุภาวํ วเณฺณตฺวา อิทานิ อตฺตนา สมฺปตฺติกตปุญฺญผลํ สมาทเปโนฺต ‘‘ยํ กิญฺจิ กุสลํ กมฺม’’นฺติอาทิมาหฯ ยํ กิญฺจิ กุสลกมฺมสงฺขาตํ กิริยํ กตฺตพฺพํ อตฺถิ, ตํ สพฺพํ มม มยา กาเยน วา วาจาย วา มนสา วา ตีหิ ทฺวาเรหิ กตํ ติทเส สุกตํ สุฎฺฐุ กตํ, ตาวติํสภวเน อุปฺปชฺชนารหํ กตนฺติ อโตฺถฯ

    49. Evaṃ so tilokavijayo cakkavattirājā pāsādassa ca attano ca ānubhāvaṃ vaṇṇetvā idāni attanā sampattikatapuññaphalaṃ samādapento ‘‘yaṃ kiñci kusalaṃ kamma’’ntiādimāha. Yaṃ kiñci kusalakammasaṅkhātaṃ kiriyaṃ kattabbaṃ atthi, taṃ sabbaṃ mama mayā kāyenavācāyamanasā vā tīhi dvārehi kataṃ tidase sukataṃ suṭṭhu kataṃ, tāvatiṃsabhavane uppajjanārahaṃ katanti attho.

    ๕๐. ปุน สมาทเปโนฺต ‘‘เย สตฺตา สญฺญิโน’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เย สตฺตา มนุสฺสา วา เทวา วา พฺรหฺมาโน วา สญฺญิโน สญฺญาสหิตา อตฺถิ, เย จ สตฺตา อสญฺญิโน สญฺญารหิตา อสญฺญา สตฺตา สนฺติ, เต สเพฺพ สตฺตา มยฺหํ มยา กตํ ปุญฺญผลํ, ภาคี ภวนฺตุ ปุญฺญวนฺตา โหนฺตูติ อโตฺถฯ

    50. Puna samādapento ‘‘ye sattā saññino’’tiādimāha. Tattha ye sattā manussā vā devā vā brahmāno vā saññino saññāsahitā atthi, ye ca sattā asaññino saññārahitā asaññā sattā santi, te sabbe sattā mayhaṃ mayā kataṃ puññaphalaṃ, bhāgī bhavantu puññavantā hontūti attho.

    ๕๑. ปุนปิ สมาทเปโนฺต โพธิสโตฺต ‘‘เยสํ กต’’นฺติอาทิมาหฯ มยา กตํ ปุญฺญํ เยหิ นรนาคคนฺธพฺพเทเวหิ สุวิทิตํ ญาตํ, เตสํ มยา ทินฺนํ ปุญฺญผลํ, ตสฺมิํ มยา กเต ปุเญฺญ ทินฺนภาวํ เย นราทโย น ชานนฺติ, เทวา คนฺตฺวา เตสํ ตํ นิเวทยุํ อาโรจยุนฺติ อโตฺถฯ

    51. Punapi samādapento bodhisatto ‘‘yesaṃ kata’’ntiādimāha. Mayā kataṃ puññaṃ yehi naranāgagandhabbadevehi suviditaṃ ñātaṃ, tesaṃ mayā dinnaṃ puññaphalaṃ, tasmiṃ mayā kate puññe dinnabhāvaṃ ye narādayo na jānanti, devā gantvā tesaṃ taṃ nivedayuṃ ārocayunti attho.

    ๕๒. สพฺพโลกมฺหิ เย สตฺตา อาหารนิสฺสิตา ชีวนฺติ, เต สเพฺพ สตฺตา มนุญฺญํ โภชนํ สพฺพํ มม เจตสา มม จิเตฺตน ลภนฺตุ, มม ปุญฺญิทฺธิยา ลภนฺตูติ อโตฺถฯ

    52.Sabbalokamhiye sattā āhāranissitā jīvanti, te sabbe sattā manuññaṃ bhojanaṃ sabbaṃ mama cetasā mama cittena labhantu, mama puññiddhiyā labhantūti attho.

    ๕๓. มนสา ปสเนฺนน จิเตฺตน ยํ ทานํ มยา ทินฺนํ ตสฺมิํ ทาเน จิเตฺตน ปสาทํ อาวหิํ อุปฺปาเทสิํฯ สพฺพสมฺพุทฺธาปเจฺจกา ปฎิเอกฺกา ชินสาวกา จ มยา จกฺกวตฺติรญฺญา ปูชิตา

    53.Manasā pasannena cittena yaṃ dānaṃ mayā dinnaṃ tasmiṃ dāne cittena pasādaṃ āvahiṃ uppādesiṃ. Sabbasambuddhā ca paccekā paṭiekkā jinasāvakā ca mayā cakkavattiraññā pūjitā.

    ๕๔. สุกเตน เตน กเมฺมน สทฺทหิตฺวา กเตน กุสลกเมฺมน, เจตนาปณิธีหิ จ จิเตฺตน กตปตฺถนาหิ จ, มานุสํ เทหํ มนุสฺสสรีรํ, ชหิตฺวา ฉเฑฺฑตฺวา, อหํ ตาวติํสํ เทวโลกํ อคจฺฉิํ อคมาสิํ, สุตฺตปฺปพุโทฺธ วิย ตตฺถ อุปฺปชฺชินฺติ อโตฺถฯ

    54.Sukatena tena kammena saddahitvā katena kusalakammena, cetanāpaṇidhīhi ca cittena katapatthanāhi ca, mānusaṃ dehaṃ manussasarīraṃ, jahitvā chaḍḍetvā, ahaṃ tāvatiṃsaṃ devalokaṃ agacchiṃ agamāsiṃ, suttappabuddho viya tattha uppajjinti attho.

    ๕๕. ตโต ติโลกวิชโย จกฺกวตฺติราชา กาลงฺกโต, ตโต ปฎฺฐาย อาคเต ทุเว ภเว เทฺว ชาติโย ปชานามิ เทวเตฺต เทวตฺตภาเว มานุเส มนุสฺสตฺตภาเว จ, ตโต ชาติทฺวยโต อญฺญํ คติํ อญฺญํ อุปปตฺติํ น ชานามิ น ปสฺสามิ, มนสา จิเตฺตน ปตฺถนาผลํ ปตฺถิตปตฺถนาผลนฺติ อโตฺถฯ

    55. Tato tilokavijayo cakkavattirājā kālaṅkato, tato paṭṭhāya āgate duve bhave dve jātiyo pajānāmi devatte devattabhāve mānuse manussattabhāve ca, tato jātidvayato aññaṃ gatiṃ aññaṃ upapattiṃ na jānāmi na passāmi, manasā cittena patthanāphalaṃ patthitapatthanāphalanti attho.

    ๕๖. เทวานํ อธิโก โหมีติ ยทิ เทเวสุ ชาโต, อายุวณฺณพลเตเชหิ เทวานํ อธิโก เชโฎฺฐ เสโฎฺฐ อโหสินฺติ อโตฺถฯ ยทิ มนุเสฺสสุ ชาโต, มนุชาธิโป มนุสฺสานํ อธิปติ อิสฺสโร ภวามิ, ตถา ราชภูโต อภิรูเปน รูปสมฺปตฺติยา จ ลกฺขเณน อาโรหปริณาหาทิลกฺขเณน จ สมฺปโนฺน สมฺปุโณฺณ อุปฺปนฺนุปฺปนฺนภเว ปญฺญาย ปรมตฺถชานนปญฺญาย อสโม สมรหิโต, มยา สทิโส โกจิ นตฺถีติ อโตฺถฯ

    56.Devānaṃ adhiko homīti yadi devesu jāto, āyuvaṇṇabalatejehi devānaṃ adhiko jeṭṭho seṭṭho ahosinti attho. Yadi manussesu jāto, manujādhipo manussānaṃ adhipati issaro bhavāmi, tathā rājabhūto abhirūpena rūpasampattiyā ca lakkhaṇena ārohapariṇāhādilakkhaṇena ca sampanno sampuṇṇo uppannuppannabhave paññāya paramatthajānanapaññāya asamo samarahito, mayā sadiso koci natthīti attho.

    ๕๗. มยา กตปุญฺญสมฺภาเรน ปุญฺญผเลน อุปฺปนฺนุปฺปนฺนภเว เสฎฺฐํ ปสฎฺฐํ มธุรํ วิวิธํ อเนกปฺปการํ โภชนญฺจ อนปฺปกํ พหุสตฺตรตนญฺจ วิวิธานิ, อเนกปฺปการานิ ปตฺตุณฺณโกเสยฺยาทิวตฺถานินภา อากาสโต มํ มม สนฺติกํ ขิปฺปํ สีฆํ อุเปนฺติ อุปคจฺฉนฺติฯ

    57. Mayā katapuññasambhārena puññaphalena uppannuppannabhave seṭṭhaṃ pasaṭṭhaṃ madhuraṃ vividhaṃ anekappakāraṃ bhojanañca anappakaṃ bahusattaratanañca vividhāni, anekappakārāni pattuṇṇakoseyyādivatthāni ca nabhā ākāsato maṃ mama santikaṃ khippaṃ sīghaṃ upenti upagacchanti.

    ๕๘-๖๖. ปถพฺยา ปถวิยา ปพฺพเตอากาเสอุทเกวเนยํ ยํ ยตฺถ ยตฺถ หตฺถํ ปสาเรมิ นิกฺขิปามิ, ตโต ตโต ทิพฺพา ภกฺขา ทิพฺพา อาหารา มํ มม สนฺติกํ อุเปนฺติ อุปคจฺฉนฺติ, ปาตุภวนฺตีติ อโตฺถฯ ตถา ยถากฺกมํ สเพฺพ รตนาฯ สเพฺพ จนฺทนาทโย คนฺธา ฯ สเพฺพ ยานา วาหนาฯ สเพฺพ จมฺปกนาคปุนฺนาคาทโย มาลา ปุปฺผาฯ สเพฺพ อลงฺการา อาภรณาฯ สพฺพา ทิพฺพกญฺญาฯ สเพฺพ มธุสกฺขราสเพฺพ ปูปาทโย ขชฺชา ขาทิตพฺพา มํ มม สนฺติกํ อุเปนฺติ อุปคจฺฉนฺติฯ

    58-66.Pathabyā pathaviyā pabbate ca ākāse ca udake ca vane ca yaṃ yaṃ yattha yattha hatthaṃ pasāremi nikkhipāmi, tato tato dibbā bhakkhā dibbā āhārā maṃ mama santikaṃ upenti upagacchanti, pātubhavantīti attho. Tathā yathākkamaṃ sabbe ratanā. Sabbe candanādayo gandhā. Sabbe yānā vāhanā. Sabbe campakanāgapunnāgādayo mālā pupphā. Sabbe alaṅkārā ābharaṇā. Sabbā dibbakaññā. Sabbe madhusakkharā. Sabbe pūpādayo khajjā khāditabbā maṃ mama santikaṃ upenti upagacchanti.

    ๖๗-๖๘. สโมฺพธิวรปตฺติยาติ อุตฺตมจตุมคฺคญาณปตฺติยา ปาปุณนตฺถายฯ มยา ยํ อุตฺตมทานํ กตํ ปูริตํ, เตน อุตฺตมทาเนน เสลสงฺขาตํ ปพฺพตํ สกลํ เอกนินฺนาทํ กโรโนฺต พหลํ คิรํ ปุถุลํ โฆสํ คเชฺชโนฺต, สเทวกํ โลกํ สกลํ มนุสฺสเทวโลกํ หาสยโนฺต โสมนสฺสปฺปตฺตํ กโรโนฺต โลเก สกลโลกตฺตเย วิวฎฺฎจฺฉโท พุโทฺธ อหํ ภวามีติ อโตฺถฯ

    67-68.Sambodhivarapattiyāti uttamacatumaggañāṇapattiyā pāpuṇanatthāya. Mayā yaṃ uttamadānaṃ kataṃ pūritaṃ, tena uttamadānena selasaṅkhātaṃ pabbataṃ sakalaṃ ekaninnādaṃ karonto bahalaṃ giraṃ puthulaṃ ghosaṃ gajjento, sadevakaṃ lokaṃ sakalaṃ manussadevalokaṃ hāsayanto somanassappattaṃ karonto loke sakalalokattaye vivaṭṭacchado buddho ahaṃ bhavāmīti attho.

    ๖๙. ทิสา ทสวิธา โลเกติ จกฺกวาฬโลเก ทสวิธา ทสโกฎฺฐาสา ทิสา โหนฺติ, ตตฺถ โกฎฺฐาเส ยายโต ยายนฺตสฺส คจฺฉนฺตสฺส อนฺตกํ นตฺถีติ อโตฺถ, จกฺกวตฺติกาเล ตสฺมิํ มยา คตคตฎฺฐาเน ทิสาภาเค วา พุทฺธเขตฺตา พุทฺธวิสยา อสงฺขิยา สงฺขารหิตาฯ

    69.Disā dasavidhā loketi cakkavāḷaloke dasavidhā dasakoṭṭhāsā disā honti, tattha koṭṭhāse yāyato yāyantassa gacchantassa antakaṃ natthīti attho, cakkavattikāle tasmiṃ mayā gatagataṭṭhāne disābhāge vā buddhakhettā buddhavisayā asaṅkhiyā saṅkhārahitā.

    ๗๐. ปภา ปกิตฺติตาติ ตทา จกฺกวตฺติราชกาเล มยฺหํ ปภา จกฺกรตนมณิรตนาทีนํ ปภา อาโลกา ยมกา ยุคฬยุคฬา หุตฺวา รํสิวาหนา รํสิํ มุญฺจมานา ปกิตฺติตา ปากฎา, เอตฺถนฺตเร ทสสหสฺสิจกฺกวาฬนฺตเร รํสิชาลํ รํสิสมูหํ, อาโลโก วิปุโล พหุตโร ภเว อโหสีติ อโตฺถฯ

    70.Pabhā pakittitāti tadā cakkavattirājakāle mayhaṃ pabhā cakkaratanamaṇiratanādīnaṃ pabhā ālokā yamakā yugaḷayugaḷā hutvā raṃsivāhanā raṃsiṃ muñcamānā pakittitā pākaṭā, etthantare dasasahassicakkavāḷantare raṃsijālaṃ raṃsisamūhaṃ, āloko vipulo bahutaro bhave ahosīti attho.

    ๗๑. เอตฺตเก โลกธาตุมฺหีติ ทสสหสฺสิจกฺกวาเฬสุ สเพฺพ ชนา มํ ปสฺสนฺตุ ทกฺขนฺตูติ อโตฺถฯ สเพฺพ เทวา ยาว พฺรหฺมนิเวสนา ยาว พฺรหฺมโลกา มํ อนุวตฺตนฺตุ อนุกูลา ภวนฺตุฯ

    71.Ettake lokadhātumhīti dasasahassicakkavāḷesu sabbe janā maṃ passantu dakkhantūti attho. Sabbe devā yāva brahmanivesanā yāva brahmalokā maṃ anuvattantu anukūlā bhavantu.

    ๗๒. วิสิฎฺฐมธุนาเทนาติ วิสเฎฺฐน มธุเรน นาเทน, อมตเภริมาหนินฺติ อมตเภริํ เทวทุนฺทุภิํ ปหริํ, เอตฺถนฺตเร เอตสฺมิํ ทสสหสฺสิจกฺกวาฬพฺภนฺตเร สเพฺพ ชนา มน มธุรํ คิรํ สทฺทํ สุณนฺตุ มนสิ กโรนฺตุฯ

    72.Visiṭṭhamadhunādenāti visaṭṭhena madhurena nādena, amatabherimāhaninti amatabheriṃ devadundubhiṃ pahariṃ, etthantare etasmiṃ dasasahassicakkavāḷabbhantare sabbe janā mana madhuraṃ giraṃ saddaṃ suṇantu manasi karontu.

    ๗๓. ธมฺมเมเฆน วสฺสเนฺต ธมฺมเทสนามเยน นาเทน ตโพฺพหารปรมตฺถคมฺภีรมธุรสุขุมตฺถวเสฺส วสฺสเนฺต วสฺสมาเน สมฺมาสมฺพุทฺธานุภาเวน สเพฺพ ภิกฺขุภิกฺขุนีอาทโย อนาสวา นิกฺกิเลสา โหนฺตุ ภวนฺตุฯ เยตฺถ ปจฺฉิมกา สตฺตาติ เอตฺถ เอเตสุ ราสิภูเตสุ จตูสุ ปริสสเตฺตสุ เย สตฺตา ปจฺฉิมกา คุณวเสน เหฎฺฐิมกา, เต สเพฺพ โสตาปนฺนา ภวนฺตูติ อธิปฺปาโยฯ

    73.Dhammameghena vassante dhammadesanāmayena nādena tabbohāraparamatthagambhīramadhurasukhumatthavasse vassante vassamāne sammāsambuddhānubhāvena sabbe bhikkhubhikkhunīādayo anāsavā nikkilesā hontu bhavantu. Yettha pacchimakā sattāti ettha etesu rāsibhūtesu catūsu parisasattesu ye sattā pacchimakā guṇavasena heṭṭhimakā, te sabbe sotāpannā bhavantūti adhippāyo.

    ๗๔. ตทา ติโลกวิชยจกฺกวตฺติราชกาเล ทาตพฺพกํ ทาตพฺพยุตฺตกํ, ทานํ กตฺวา, อเสสโต นิเสฺสเสน, สีลํ สีลปารมิํ, ปูเรตฺวา เนกฺขเมฺม เนกฺขมฺมปารมิตาย, ปารมิํ โกฎิํ ปตฺวา, อุตฺตมํ สโมฺพธิํ จตุมคฺคญาณํ, ปโตฺต ภวามิ ภเวยฺยํฯ

    74. Tadā tilokavijayacakkavattirājakāle dātabbakaṃ dātabbayuttakaṃ, dānaṃ katvā, asesato nissesena, sīlaṃ sīlapāramiṃ, pūretvā nekkhamme nekkhammapāramitāya, pāramiṃ koṭiṃ patvā, uttamaṃ sambodhiṃ catumaggañāṇaṃ, patto bhavāmi bhaveyyaṃ.

    ๗๕. ปณฺฑิเต ปญฺญวเนฺต เมธาวิโน ปริปุจฺฉิตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, กตฺตพฺพํ? กิํ น กตฺตพฺพํ? กิํ กุสลํ? กิํ อกุสลํ? กิํ กตฺวา สคฺคโมกฺขทฺวยสฺส ภาคี โหตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา, เอวํ ปญฺญาปารมิํ ปูเรตฺวาติ อโตฺถฯ กตฺวา วีริยมุตฺตมนฺติ อุตฺตมํ เสฎฺฐํ ฐานนิสชฺชาทีสุ อวิจฺฉินฺนํ วีริยํ กตฺวา, วีริยปารมิํ ปูเรตฺวาติ อโตฺถฯ สกลวิรุทฺธชเนหิ กตอนาทราธิวาสนาขนฺติยา ปารมิํ โกฎิํ คนฺตฺวา ขนฺติปารมิํ ปูเรตฺวา อุตฺตมํ สโมฺพธิํ อุตฺตมํ สมฺพุทฺธตฺตํ ปโตฺต ภวามิ ภเวยฺยํฯ

    75.Paṇḍite paññavante medhāvino paripucchitvā ‘‘kiṃ, bhante, kattabbaṃ? Kiṃ na kattabbaṃ? Kiṃ kusalaṃ? Kiṃ akusalaṃ? Kiṃ katvā saggamokkhadvayassa bhāgī hotī’’ti pucchitvā, evaṃ paññāpāramiṃ pūretvāti attho. Katvā vīriyamuttamanti uttamaṃ seṭṭhaṃ ṭhānanisajjādīsu avicchinnaṃ vīriyaṃ katvā, vīriyapāramiṃ pūretvāti attho. Sakalaviruddhajanehi kataanādarādhivāsanākhantiyā pāramiṃ koṭiṃ gantvā khantipāramiṃ pūretvā uttamaṃ sambodhiṃ uttamaṃ sambuddhattaṃ patto bhavāmi bhaveyyaṃ.

    ๗๖. กตฺวา ทฬฺหมธิฎฺฐานนฺติ ‘‘มม สรีรชีวิเตสุ วินสฺสเนฺตสุปิ ปุญฺญกมฺมโต น วิรมิสฺสามี’’ติ อจลวเสน ทฬฺหํ อธิฎฺฐานปารมิํ กตฺวา ‘‘สีเส ฉิชฺชมาเนปิ มุสาวาทํ น กเถสฺสามี’’ติ สจฺจปารมิตาย โกฎิํ ปูริย ปูเรตฺวา ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขี อเวรา’’ติอาทินา เมตฺตาปารมิตาย โกฎิํ ปตฺวา อุตฺตมํ สโมฺพธิํ ปโตฺตติ อโตฺถฯ

    76.Katvā daḷhamadhiṭṭhānanti ‘‘mama sarīrajīvitesu vinassantesupi puññakammato na viramissāmī’’ti acalavasena daḷhaṃ adhiṭṭhānapāramiṃ katvā ‘‘sīse chijjamānepi musāvādaṃ na kathessāmī’’ti saccapāramitāya koṭiṃ pūriya pūretvā ‘‘sabbe sattā sukhī averā’’tiādinā mettāpāramitāya koṭiṃ patvā uttamaṃ sambodhiṃ pattoti attho.

    ๗๗. สชีวกาชีวกวตฺถูนํ ลาเภ จ เตสํ อลาเภ จ กายิกเจตสิกสุเข เจว ตถา ทุเกฺข จ สาทรชเนหิ กเต, สมฺมาเน เจว โอมาเน, จ สพฺพตฺถ สมโก สมานมานโส อุเปกฺขาปารมิํ ปูเรตฺวา อุตฺตมํ สโมฺพธิํ ปโตฺต ปาปุเณยฺยนฺติ อโตฺถฯ

    77. Sajīvakājīvakavatthūnaṃ lābhe ca tesaṃ alābhe ca kāyikacetasikasukhe ceva tathā dukkhe ca sādarajanehi kate, sammāne ceva omāne, ca sabbattha samako samānamānaso upekkhāpāramiṃ pūretvā uttamaṃ sambodhiṃ patto pāpuṇeyyanti attho.

    ๗๘. โกสชฺชํ กุสีตภาวํ, ภยโต ภยวเสน ‘‘อปายทุกฺขภาคี’’ติ ทิสฺวา ญตฺวา อโกสชฺชํ อกุสีตภาวํ อลีนวุตฺติํ, วีริยํ เขมโต เขมวเสน ‘‘นิพฺพานคามี’’ติ ทิสฺวา ญตฺวา อารทฺธวีริยา โหถ ภวถฯ เอสา พุทฺธานุสาสนี เอสา พุทฺธานํ อนุสิฎฺฐิฯ

    78.Kosajjaṃ kusītabhāvaṃ, bhayato bhayavasena ‘‘apāyadukkhabhāgī’’ti disvā ñatvā akosajjaṃ akusītabhāvaṃ alīnavuttiṃ, vīriyaṃ khemato khemavasena ‘‘nibbānagāmī’’ti disvā ñatvā āraddhavīriyā hotha bhavatha. Esā buddhānusāsanī esā buddhānaṃ anusiṭṭhi.

    ๗๙. วิวาทํ ภยโต ทิสฺวาติ วิวาทํ กลหํ ภยโต ทิสฺวา ‘‘อปายภาคี’’ติ ทิสฺวา ญตฺวา อวิวาทํ วิวาทโต วิรมณํ ‘‘นิพฺพานปฺปตฺตี’’ติ, เขมโต ทิสฺวา ญตฺวา สมคฺคา เอกคฺคจิตฺตา สขิลา สิลิฎฺฐา เมตฺตาย ธุรคตาย โสภมานา โหถาติ อโตฺถฯ เอสา กถา มนฺตนา อุทีรณา พุทฺธานํ อนุสาสนี โอวาททานํฯ

    79.Vivādaṃ bhayato disvāti vivādaṃ kalahaṃ bhayato disvā ‘‘apāyabhāgī’’ti disvā ñatvā avivādaṃ vivādato viramaṇaṃ ‘‘nibbānappattī’’ti, khemato disvā ñatvā samaggā ekaggacittā sakhilā siliṭṭhā mettāya dhuragatāya sobhamānā hothāti attho. Esā kathā mantanā udīraṇā buddhānaṃ anusāsanī ovādadānaṃ.

    ๘๐. ปมาทํ ฐานนิสชฺชาทีสุ สติวิปฺปวาเสน วิหรณํ ภยโต ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเนสุ ทุกฺขิตทุรูปอปฺปนฺนปานตาทิสํวตฺตนกํ อปายาทิคมนญฺจา’’ติ ทิสฺวา ญตฺวา, อปฺปมาทํ สพฺพกิริยาสุ สติยา วิหรณํ, เขมโต วฑฺฒิโต ‘‘นิพฺพานสมฺปาปุณน’’นฺติ ทิสฺวา ปจฺจกฺขโต ญตฺวา อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ สมฺมาทิฎฺฐิ สมฺมาสงฺกโปฺป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมโนฺต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธีติ อฎฺฐอวยวํ สมฺมาสโมฺพธิยา มคฺคํ อธิคมูปายํ ภาเวถ วเฑฺฒถ มนสิ กโรถ, เอสา กถา ภาสนา อุทีรณา พุทฺธานุสาสนี พุทฺธานํ อนุสิฎฺฐีติ อโตฺถฯ

    80.Pamādaṃ ṭhānanisajjādīsu sativippavāsena viharaṇaṃ bhayato ‘‘nibbattanibbattaṭṭhānesu dukkhitadurūpaappannapānatādisaṃvattanakaṃ apāyādigamanañcā’’ti disvā ñatvā, appamādaṃ sabbakiriyāsu satiyā viharaṇaṃ, khemato vaḍḍhito ‘‘nibbānasampāpuṇana’’nti disvā paccakkhato ñatvā aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ sammādiṭṭhi sammāsaṅkappo sammāvācā sammākammanto sammāājīvo sammāvāyāmo sammāsati sammāsamādhīti aṭṭhaavayavaṃ sammāsambodhiyā maggaṃ adhigamūpāyaṃ bhāvetha vaḍḍhetha manasi karotha, esā kathā bhāsanā udīraṇā buddhānusāsanī buddhānaṃ anusiṭṭhīti attho.

    ๘๑. สมาคตา พหู พุทฺธาติ อเนกสตสหสฺสสงฺขฺยา ปเจฺจกพุทฺธา สมาคตา ราสิภูตา, สพฺพโส สพฺพปฺปกาเรน อรหนฺตา จ ขีณาสวา อเนกสตสหสฺสา สมาคตา ราสิภูตาฯ ตสฺมา เต พุเทฺธ จ อรหเนฺตวนฺทมาเน วนฺทนารเห นมสฺสถ องฺคปจฺจงฺคนมกฺกาเรน นมสฺสถ วนฺทถฯ

    81.Samāgatā bahū buddhāti anekasatasahassasaṅkhyā paccekabuddhā samāgatā rāsibhūtā, sabbaso sabbappakārena arahantā ca khīṇāsavā anekasatasahassā samāgatā rāsibhūtā. Tasmā te buddhe ca arahante ca vandamāne vandanārahe namassatha aṅgapaccaṅganamakkārena namassatha vandatha.

    ๘๒. เอวํ อิมินา มยา วุตฺตปฺปกาเรน อจินฺติยา จิเนฺตตุํ อสกฺกุเณยฺยา, พุทฺธา, พุทฺธธมฺมาติ พุเทฺธหิ เทสิตา จตฺตาโร สติปฎฺฐานา…เป.… อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, ปญฺจกฺขนฺธา, เหตุปจฺจโย อารมฺมณปจฺจโยติอาทโย ธมฺมา, พุทฺธานํ วา สภาวา อจินฺติยา จิเนฺตตุํ อสกฺกุเณยฺยา, อจินฺติเย จินฺตาวิสยาติกฺกเนฺต ปสนฺนานํ เทวมนุสฺสานํ วิปาโก เทวมนุสฺสสมฺปตฺตินิพฺพานสมฺปตฺติสงฺขาโต จิเนฺตตุํ อสกฺกุเณโยฺย สงฺขฺยาติกฺกโนฺต โหติ ภวติฯ

    82.Evaṃ iminā mayā vuttappakārena acintiyā cintetuṃ asakkuṇeyyā, buddhā, buddhadhammāti buddhehi desitā cattāro satipaṭṭhānā…pe… aṭṭhaṅgiko maggo, pañcakkhandhā, hetupaccayo ārammaṇapaccayotiādayo dhammā, buddhānaṃ vā sabhāvā acintiyā cintetuṃ asakkuṇeyyā, acintiye cintāvisayātikkante pasannānaṃ devamanussānaṃ vipāko devamanussasampattinibbānasampattisaṅkhāto cintetuṃ asakkuṇeyyo saṅkhyātikkanto hoti bhavati.

    อิติ เอตฺตาวตา จ ยถา อทฺธานคามิโน ‘‘มคฺคํ โน อาจิกฺขา’’ติ ปุเฎฺฐน ‘‘วามํ มุญฺจิตฺวา ทกฺขิณํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺต เตน มเคฺคน คามนิคมราชธานีสุ กตฺตพฺพกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ปุน มุญฺจิเตน อปเรน วามมเคฺคน คตาปิ คามนิคมาทีสุ กตฺตพฺพกิจฺจํ นิฎฺฐาเปนฺติ, เอวเมว พุทฺธาปทานํ กุสลาปทานวเสน นิฎฺฐาเปตฺวา ตเทว อกุสลาปทานวเสน วิตฺถาเรตุํ อิทํ ปญฺหกมฺมํ –

    Iti ettāvatā ca yathā addhānagāmino ‘‘maggaṃ no ācikkhā’’ti puṭṭhena ‘‘vāmaṃ muñcitvā dakkhiṇaṃ gaṇhathā’’ti vutte tena maggena gāmanigamarājadhānīsu kattabbakiccaṃ niṭṭhāpetvā puna muñcitena aparena vāmamaggena gatāpi gāmanigamādīsu kattabbakiccaṃ niṭṭhāpenti, evameva buddhāpadānaṃ kusalāpadānavasena niṭṭhāpetvā tadeva akusalāpadānavasena vitthāretuṃ idaṃ pañhakammaṃ –

    ‘‘ทุกฺกรญฺจ อพฺภกฺขานํ, อพฺภกฺขานํ ปุนาปรํ;

    ‘‘Dukkarañca abbhakkhānaṃ, abbhakkhānaṃ punāparaṃ;

    อพฺภกฺขานํ สิลาเวโธ, สกลิกาปิ จ เวทนาฯ

    Abbhakkhānaṃ silāvedho, sakalikāpi ca vedanā.

    ‘‘นาฬาคิริ สตฺตเจฺฉโท, สีสทุกฺขํ ยวขาทนํ;

    ‘‘Nāḷāgiri sattacchedo, sīsadukkhaṃ yavakhādanaṃ;

    ปิฎฺฐิทุกฺขมตีสาโร, อิเม อกุสลการณา’’ติฯ

    Piṭṭhidukkhamatīsāro, ime akusalakāraṇā’’ti.

    อตฺถ ปฐมปเญฺห – ทุกฺกรนฺติ ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิกาฯ อตีเต กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล โพธิสโตฺต โชติปาโล นาม พฺราหฺมณมาณโว หุตฺวา นิพฺพโตฺต พฺราหฺมณชาติวเสน สาสเน อปฺปสโนฺน ตสฺส ภควโต ปิโลติกกมฺมนิสฺสเนฺทน ‘‘กสฺสโป ภควา’’ติ สุตฺวา ‘‘กุโต มุณฺฑกสฺส สมณสฺส โพธิ, โพธิ ปรมทุลฺลภา’’ติ อาหฯ โส เตน กมฺมนิสฺสเนฺทน อเนกชาติสเตสุ นรกาทิทุกฺขมนุภวิตฺวา ตเสฺสว ภควโต อนนฺตรํ เตเนว ลทฺธพฺยากรเณน กเมฺมน ชาติสํสารํ เขเปตฺวา ปริโยสาเน เวสฺสนฺตรตฺตภาวํ ปตฺวา ตโต จุโต ตุสิตภวเน นิพฺพโตฺตฯ เทวตายาจเนน ตโต จวิตฺวา สกฺยกุเล นิพฺพโตฺต ญาณสฺส ปริปากตฺตา สกลชมฺพุทีปรชฺชํ ปหาย อโนมานทีตีเร สุนิสิเตนาสินา สมกุฎเกสกลาปํ ฉินฺทิตฺวา พฺรหฺมุนา อานีเต อิทฺธิมเย กปฺปสฺส สณฺฐานกาเล ปทุมคเพฺภ นิพฺพเตฺต อฎฺฐ ปริกฺขาเร ปฎิคฺคเหตฺวา ปพฺพชิตฺวา โพธิญาณทสฺสนสฺส ตาว อปริปกฺกตฺตา พุทฺธภาวาย มคฺคามคฺคํ อชานิตฺวา ฉพฺพสฺสานิ อุรุเวลชนปเท เอกาหารเอกาโลปเอกปุคฺคลเอกมคฺคเอกาสนโภชนวเสน อฎฺฐิจมฺมนหารุเสสํ นิมฺมํสรุธิรเปตรูปสทิสสรีโร ปธานสุเตฺต (สุ. นิ. ๔๒๗ อาทโย) วุตฺตนเยเนว ปธานํ มหาวีริยํ ทุกฺกรการิกํ อกาสิฯ โส อิมํ ทุกฺกรการิกํ ‘‘สโมฺพธิยา มคฺคํ น โหตี’’ติ จิเนฺตตฺวา คามนิคมราชธานีสุ ปณีตาหารํ ปริภุญฺชิตฺวา ปีณินฺทฺริโย ปริปุณฺณทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขโณ กเมน โพธิมณฺฑมุปคนฺตฺวา ปญฺจ มาเร ชินิตฺวา พุโทฺธ ชาโตติฯ

    Attha paṭhamapañhe – dukkaranti chabbassāni dukkarakārikā. Atīte kassapasammāsambuddhakāle bodhisatto jotipālo nāma brāhmaṇamāṇavo hutvā nibbatto brāhmaṇajātivasena sāsane appasanno tassa bhagavato pilotikakammanissandena ‘‘kassapo bhagavā’’ti sutvā ‘‘kuto muṇḍakassa samaṇassa bodhi, bodhi paramadullabhā’’ti āha. So tena kammanissandena anekajātisatesu narakādidukkhamanubhavitvā tasseva bhagavato anantaraṃ teneva laddhabyākaraṇena kammena jātisaṃsāraṃ khepetvā pariyosāne vessantarattabhāvaṃ patvā tato cuto tusitabhavane nibbatto. Devatāyācanena tato cavitvā sakyakule nibbatto ñāṇassa paripākattā sakalajambudīparajjaṃ pahāya anomānadītīre sunisitenāsinā samakuṭakesakalāpaṃ chinditvā brahmunā ānīte iddhimaye kappassa saṇṭhānakāle padumagabbhe nibbatte aṭṭha parikkhāre paṭiggahetvā pabbajitvā bodhiñāṇadassanassa tāva aparipakkattā buddhabhāvāya maggāmaggaṃ ajānitvā chabbassāni uruvelajanapade ekāhāraekālopaekapuggalaekamaggaekāsanabhojanavasena aṭṭhicammanahārusesaṃ nimmaṃsarudhirapetarūpasadisasarīro padhānasutte (su. ni. 427 ādayo) vuttanayeneva padhānaṃ mahāvīriyaṃ dukkarakārikaṃ akāsi. So imaṃ dukkarakārikaṃ ‘‘sambodhiyā maggaṃ na hotī’’ti cintetvā gāmanigamarājadhānīsu paṇītāhāraṃ paribhuñjitvā pīṇindriyo paripuṇṇadvattiṃsamahāpurisalakkhaṇo kamena bodhimaṇḍamupagantvā pañca māre jinitvā buddho jātoti.

    ‘‘อวจาหํ โชติปาโล, สุคตํ กสฺสปํ ตทา;

    ‘‘Avacāhaṃ jotipālo, sugataṃ kassapaṃ tadā;

    กุโต นุ โพธิ มุณฺฑสฺส, โพธิ ปรมทุลฺลภาฯ

    Kuto nu bodhi muṇḍassa, bodhi paramadullabhā.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, อจริํ ทุกฺกรํ พหุํ;

    ‘‘Tena kammavipākena, acariṃ dukkaraṃ bahuṃ;

    ฉพฺพสฺสานุรุเวลายํ, ตโต โพธิมปาปุณิํฯ

    Chabbassānuruvelāyaṃ, tato bodhimapāpuṇiṃ.

    ‘‘นาหํ เอเตน มเคฺคน, ปาปุณิํ โพธิมุตฺตมํ;

    ‘‘Nāhaṃ etena maggena, pāpuṇiṃ bodhimuttamaṃ;

    กุมฺมเคฺคน คเวสิสฺสํ, ปุพฺพกเมฺมน วาริโตฯ

    Kummaggena gavesissaṃ, pubbakammena vārito.

    ‘‘ปุญฺญปาปปริกฺขีโณ, สพฺพสนฺตาปวชฺชิโต;

    ‘‘Puññapāpaparikkhīṇo, sabbasantāpavajjito;

    อโสโก อนุปายาโส, นิพฺพายิสฺสมนาสโว’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๙๒-๙๕);

    Asoko anupāyāso, nibbāyissamanāsavo’’ti. (apa. thera 1.39.92-95);

    ทุติยปเญฺห – อพฺภกฺขานนฺติ อภิ อกฺขานํ ปริภาสนํฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต สุทฺทกุเล ชาโต อปากโฎ อปฺปสิโทฺธ มุนาฬิ นาม ธุโตฺต หุตฺวา ปฎิวสติฯ ตทา มหิทฺธิโก มหานุภาโว สุรภิ นาม ปเจฺจกพุโทฺธ เกนจิ กรณีเยน ตสฺส สมีปฎฺฐานํ ปาปุณิฯ โส ตํ ทิสฺวาว ‘‘ทุสฺสีโล ปาปธโมฺม อยํ สมโณ’’ติอาทินา อพฺภาจิกฺขิฯ โส เตน อกุสลนิสฺสเนฺทน นรกาทีสุ อเนกวสฺสสหสฺสานิ ทุกฺขมนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ ปจฺฉิมตฺตภาเว ยทา ติตฺถิยา ปฐมตรํ ภควโต ตุสิตภวเน วสนสมเย จ ปากฎา หุตฺวา สกลชนํ วเญฺจตฺวา ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิโย ทีเปตฺวา วิจรนฺติ, ตทา ตุสิตปุรา จวิตฺวา สกฺยราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา กเมน พุโทฺธ ชาโตฯ ติตฺถิยา สูริยุคฺคมเน ขโชฺชปนกา วิย วิหตลาภสกฺการา ภควติ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา วิจรนฺติฯ ตสฺมิํ สมเย ราชคหเสฎฺฐิ คงฺคาย ชาลํ พนฺธิตฺวา กีฬโนฺต รตฺตจนฺทนฆฎิกํ ทิสฺวา อมฺหากํ เคเห จนฺทนานิ พหูนิ, อิมํ ภมํ อาโรเปตฺวา เตน ภมกาเรหิ ปตฺตํ ลิขาเปตฺวา เวฬุปรมฺปราย ลเคฺคตฺวา ‘‘เย อิมํ ปตฺตํ อิทฺธิยา อาคนฺตฺวา คณฺหนฺติ, เตสํ ภตฺติโก ภวิสฺสามี’’ติ เภริํ จราเปสิฯ

    Dutiyapañhe – abbhakkhānanti abhi akkhānaṃ paribhāsanaṃ. Atīte kira bodhisatto suddakule jāto apākaṭo appasiddho munāḷi nāma dhutto hutvā paṭivasati. Tadā mahiddhiko mahānubhāvo surabhi nāma paccekabuddho kenaci karaṇīyena tassa samīpaṭṭhānaṃ pāpuṇi. So taṃ disvāva ‘‘dussīlo pāpadhammo ayaṃ samaṇo’’tiādinā abbhācikkhi. So tena akusalanissandena narakādīsu anekavassasahassāni dukkhamanubhavitvā imasmiṃ pacchimattabhāve yadā titthiyā paṭhamataraṃ bhagavato tusitabhavane vasanasamaye ca pākaṭā hutvā sakalajanaṃ vañcetvā dvāsaṭṭhidiṭṭhiyo dīpetvā vicaranti, tadā tusitapurā cavitvā sakyarājakule nibbattitvā kamena buddho jāto. Titthiyā sūriyuggamane khajjopanakā viya vihatalābhasakkārā bhagavati āghātaṃ bandhitvā vicaranti. Tasmiṃ samaye rājagahaseṭṭhi gaṅgāya jālaṃ bandhitvā kīḷanto rattacandanaghaṭikaṃ disvā amhākaṃ gehe candanāni bahūni, imaṃ bhamaṃ āropetvā tena bhamakārehi pattaṃ likhāpetvā veḷuparamparāya laggetvā ‘‘ye imaṃ pattaṃ iddhiyā āgantvā gaṇhanti, tesaṃ bhattiko bhavissāmī’’ti bheriṃ carāpesi.

    ตทา ติตฺถิยา ‘‘นฎฺฐมฺหา ทานิ นฎฺฐมฺหา ทานี’’ติ มเนฺตตฺวา นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สกปริสํ เอวมาห – ‘‘อหํ เวฬุสมีปํ คนฺตฺวา อากาเส อุลฺลงฺคนาการํ กโรมิ, ‘ตุเมฺห ฉวทารุมยํ ปตฺตํ ปฎิจฺจ มา อิทฺธิํ กโรถา’ติ มํ ขเนฺธ คเหตฺวา วาเรถา’’ติ, เต ตถา คนฺตฺวา ตถา อกํสุฯ

    Tadā titthiyā ‘‘naṭṭhamhā dāni naṭṭhamhā dānī’’ti mantetvā nigaṇṭho nāṭaputto sakaparisaṃ evamāha – ‘‘ahaṃ veḷusamīpaṃ gantvā ākāse ullaṅganākāraṃ karomi, ‘tumhe chavadārumayaṃ pattaṃ paṭicca mā iddhiṃ karothā’ti maṃ khandhe gahetvā vārethā’’ti, te tathā gantvā tathā akaṃsu.

    ตทา ปิโณฺฑลภารทฺวาโช จ โมคฺคลฺลาโน จ ติคาวุเต เสลปพฺพตมตฺถเก ฐตฺวา ปิณฺฑปาตคณฺหนตฺถาย จีวรํ ปารุปนฺตา ตํ โกลาหลํ สุณิํสุฯ เตสุ โมคฺคลฺลาโน ปิโณฺฑลภารทฺวาชํ ‘‘ตฺวํ อากาเสน คนฺตฺวา ตํ ปตฺตํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหเยว ภควตา อิทฺธิมนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐปิตา, ตุเมฺหว คณฺหถา’’ติ อาหฯ ตถาปิ ‘‘มยา อาณโตฺต ตฺวเมว คณฺหาหี’’ติ อาณโตฺต อตฺตนา ฐิตํ ติคาวุตํ เสลปพฺพตํ ปาทตเล ลเคฺคตฺวา อุกฺขลิยา ปิธานํ วิย สกลราชคหนครํ ฉาเทสิ, ตทา นครวาสิโน ผฬิกปพฺพเต อาวุตํ รตฺตสุตฺตมิว ตํ เถรํ ปสฺสิตฺวา ‘‘ภเนฺต ภารทฺวาช, อเมฺห รกฺขถา’’ติ อุโคฺฆสยิํสุ, ภีตา สุปฺปาทีนิ สีเส อกํสุฯ ตทา เถโร ตํ ปพฺพตํ ฐิตฎฺฐาเน วิสฺสเชฺชตฺวา อิทฺธิยา คนฺตฺวา ตํ ปตฺตํ อคฺคเหสิ, ตทา นครวาสิโน มหาโกลาหลมกํสุฯ

    Tadā piṇḍolabhāradvājo ca moggallāno ca tigāvute selapabbatamatthake ṭhatvā piṇḍapātagaṇhanatthāya cīvaraṃ pārupantā taṃ kolāhalaṃ suṇiṃsu. Tesu moggallāno piṇḍolabhāradvājaṃ ‘‘tvaṃ ākāsena gantvā taṃ pattaṃ gaṇhāhī’’ti āha. So ‘‘bhante, tumheyeva bhagavatā iddhimantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapitā, tumheva gaṇhathā’’ti āha. Tathāpi ‘‘mayā āṇatto tvameva gaṇhāhī’’ti āṇatto attanā ṭhitaṃ tigāvutaṃ selapabbataṃ pādatale laggetvā ukkhaliyā pidhānaṃ viya sakalarājagahanagaraṃ chādesi, tadā nagaravāsino phaḷikapabbate āvutaṃ rattasuttamiva taṃ theraṃ passitvā ‘‘bhante bhāradvāja, amhe rakkhathā’’ti ugghosayiṃsu, bhītā suppādīni sīse akaṃsu. Tadā thero taṃ pabbataṃ ṭhitaṭṭhāne vissajjetvā iddhiyā gantvā taṃ pattaṃ aggahesi, tadā nagaravāsino mahākolāhalamakaṃsu.

    ภควา เวฬุวนาราเม นิสิโนฺน ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํ เอโส สโทฺท’’ติ อานนฺทํ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภารทฺวาเชน, ภเนฺต, ปตฺตสฺส คหิตตฺตา สนฺตุฎฺฐา นครวาสิโน อุกฺกุฎฺฐิสทฺทมกํสู’’ติ อาหฯ ตทา ภควา อายติํ ปรูปวาทโมจนตฺถํ ตํ ปตฺตํ อาหราเปตฺวา เภทาเปตฺวา อญฺชนุปปิสนํ กตฺวา ภิกฺขูนํ ทาเปสิ, ทาเปตฺวา จ ปน ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทฺธิวิกุพฺพนา กาตพฺพา, โย กเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๒ โถกํ วิสทิสํ) สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปสิฯ

    Bhagavā veḷuvanārāme nisinno taṃ saddaṃ sutvā ‘‘kiṃ eso saddo’’ti ānandaṃ pucchi. ‘‘Bhāradvājena, bhante, pattassa gahitattā santuṭṭhā nagaravāsino ukkuṭṭhisaddamakaṃsū’’ti āha. Tadā bhagavā āyatiṃ parūpavādamocanatthaṃ taṃ pattaṃ āharāpetvā bhedāpetvā añjanupapisanaṃ katvā bhikkhūnaṃ dāpesi, dāpetvā ca pana ‘‘na, bhikkhave, iddhivikubbanā kātabbā, yo kareyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 252 thokaṃ visadisaṃ) sikkhāpadaṃ paññāpesi.

    ตโต ติตฺถิยา ‘‘สมเณน กิร โคตเมน สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, เต ชีวิตเหตุปิ ตํ นาติกฺกมนฺติ, มยํ อิทฺธิปาฎิหาริยํ กริสฺสามา’’ติ ตตฺถ ตตฺถ ราสิภูตา โกลาหลมกํสุฯ อถ ราชา พิมฺพิสาโร ตํ สุตฺวา ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ภควนฺตเมวมาห – ‘‘ติตฺถิยา, ภเนฺต, ‘อิทฺธิปาฎิหาริยํ กริสฺสามา’ติ อุโคฺฆเสนฺตี’’ติฯ ‘‘อหมฺปิ, มหาราช, กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘นนุ, ภเนฺต, ภควตา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ ‘‘ตเมว, มหาราช, ปุจฺฉิสฺสามิ, ตวุยฺยาเน อมฺพผลาทีนิ ขาทนฺตานํ ‘เอตฺตโก ทโณฺฑ’ติ ทณฺฑํ ฐเปโนฺต ตวาปิ เอกโต กตฺวา ฐเปสี’’ติฯ ‘‘น มยฺหํ, ภเนฺต, ทโณฺฑ’’ติฯ ‘‘เอวํ, มหาราช, น มยฺหํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ อตฺถี’’ติฯ ‘‘กตฺถ, ภเนฺต, ปาฎิหาริยํ ภวิสฺสตี’’ติ? ‘‘สาวตฺถิยา สมีเป กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล, มหาราชา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต, ตํ ปสฺสิสฺสามา’’ติฯ ตโต ติตฺถิยา ‘‘กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล กิร ปาฎิหาริยํ ภวิสฺสตี’’ติ สุตฺวา นครสฺส สามนฺตา อมฺพรุเกฺข เฉทาเปสุํ, นาครา มหาองฺคณฎฺฐาเน มญฺจาติมญฺจํ อฎฺฎาทโย พนฺธิํสุ, สกลชมฺพุทีปวาสิโน ราสิภูตา ปุรตฺถิมทิสายเมว ทฺวาทสโยชนานิ ผริตฺวา อฎฺฐํสุฯ เสสทิสาสุปิ ตทนุรูเปนากาเรน สนฺนิปติํสุฯ

    Tato titthiyā ‘‘samaṇena kira gotamena sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, te jīvitahetupi taṃ nātikkamanti, mayaṃ iddhipāṭihāriyaṃ karissāmā’’ti tattha tattha rāsibhūtā kolāhalamakaṃsu. Atha rājā bimbisāro taṃ sutvā bhagavato santikaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ nisinno bhagavantamevamāha – ‘‘titthiyā, bhante, ‘iddhipāṭihāriyaṃ karissāmā’ti ugghosentī’’ti. ‘‘Ahampi, mahārāja, karissāmī’’ti. ‘‘Nanu, bhante, bhagavatā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññatta’’nti. ‘‘Tameva, mahārāja, pucchissāmi, tavuyyāne ambaphalādīni khādantānaṃ ‘ettako daṇḍo’ti daṇḍaṃ ṭhapento tavāpi ekato katvā ṭhapesī’’ti. ‘‘Na mayhaṃ, bhante, daṇḍo’’ti. ‘‘Evaṃ, mahārāja, na mayhaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ atthī’’ti. ‘‘Kattha, bhante, pāṭihāriyaṃ bhavissatī’’ti? ‘‘Sāvatthiyā samīpe kaṇḍambarukkhamūle, mahārājā’’ti. ‘‘Sādhu, bhante, taṃ passissāmā’’ti. Tato titthiyā ‘‘kaṇḍambarukkhamūle kira pāṭihāriyaṃ bhavissatī’’ti sutvā nagarassa sāmantā ambarukkhe chedāpesuṃ, nāgarā mahāaṅgaṇaṭṭhāne mañcātimañcaṃ aṭṭādayo bandhiṃsu, sakalajambudīpavāsino rāsibhūtā puratthimadisāyameva dvādasayojanāni pharitvā aṭṭhaṃsu. Sesadisāsupi tadanurūpenākārena sannipatiṃsu.

    ภควาปิ กาเล สมฺปเตฺต อาสาฬฺหิปุณฺณมาสิยํ ปาโตว กตฺตพฺพกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ตํ ฐานํ คนฺตฺวา นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ กโณฺฑ นาม อุยฺยานปาโล กิปิลฺลิกปุเฎ สุปกฺกํ อมฺพผลํ ทิสฺวา ‘‘สจาหํ อิมํ รโญฺญ ทเทยฺยํ, กหาปณาทิสารํ ลเภยฺยํ, ภควโต อุปนามิเต ปน อิธโลกปรโลเกสุ สมฺปตฺติ ภวิสฺสตี’’ติ ภควโต อุปนาเมสิฯ ภควา ตํ ปฎิคฺคเหตฺวา อานนฺทเตฺถรํ อาณาเปสิ – ‘‘อิมํ ผลํ มทฺทิตฺวา ปานํ เทหี’’ติฯ เถโร ตถา อกาสิฯ ภควา อมฺพรสํ ปิวิตฺวา อมฺพฎฺฐิํ อุยฺยานปาลสฺส ทตฺวา ‘‘อิมํ โรเปหี’’ติ อาหฯ โส วาลุกํ วิยูหิตฺวา ตํ โรเปสิ, อานนฺทเตฺถโร กุณฺฑิกาย อุทกํ อาสิญฺจิฯ ตสฺมิํ ขเณ อมฺพงฺกุโร อุฎฺฐหิตฺวา มหาชนสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว สาขาวิฎปปุปฺผผลปลฺลวภริโต ปญฺญายิตฺถฯ ปติตํ อมฺพผลํ ขาทนฺตา สกลชมฺพุทีปวาสิโน ขยํ ปาเปตุํ นาสกฺขิํสุฯ

    Bhagavāpi kāle sampatte āsāḷhipuṇṇamāsiyaṃ pātova kattabbakiccaṃ niṭṭhāpetvā taṃ ṭhānaṃ gantvā nisīdi. Tasmiṃ khaṇe kaṇḍo nāma uyyānapālo kipillikapuṭe supakkaṃ ambaphalaṃ disvā ‘‘sacāhaṃ imaṃ rañño dadeyyaṃ, kahāpaṇādisāraṃ labheyyaṃ, bhagavato upanāmite pana idhalokaparalokesu sampatti bhavissatī’’ti bhagavato upanāmesi. Bhagavā taṃ paṭiggahetvā ānandattheraṃ āṇāpesi – ‘‘imaṃ phalaṃ madditvā pānaṃ dehī’’ti. Thero tathā akāsi. Bhagavā ambarasaṃ pivitvā ambaṭṭhiṃ uyyānapālassa datvā ‘‘imaṃ ropehī’’ti āha. So vālukaṃ viyūhitvā taṃ ropesi, ānandatthero kuṇḍikāya udakaṃ āsiñci. Tasmiṃ khaṇe ambaṅkuro uṭṭhahitvā mahājanassa passantasseva sākhāviṭapapupphaphalapallavabharito paññāyittha. Patitaṃ ambaphalaṃ khādantā sakalajambudīpavāsino khayaṃ pāpetuṃ nāsakkhiṃsu.

    อถ ภควา ปุรตฺถิมจกฺกวาฬโต ยาว ปจฺฉิมจกฺกวาฬํ, ตาว อิมสฺมิํ จกฺกวาเฬ มหาเมรุมุทฺธนิ รตนจงฺกมํ มาเปตฺวา อเนกปริสาหิ สีหนาทํ นทาเปโนฺต ธมฺมปทฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน มหาอิทฺธิปาฎิหาริยํ กตฺวา ติตฺถิเย มทฺทิตฺวา เต วิปฺปการํ ปาเปตฺวา ปาฎิหีราวสาเน ปุริมพุทฺธาจิณฺณวเสน ตาวติํสภวนํ คนฺตฺวา ตตฺถ วสฺสํวุโฎฺฐ นิรนฺตรํ เตมาสํ อภิธมฺมํ เทเสตฺวา มาตุปฺปมุขานํ อเนกเทวตานํ โสตาปตฺติมคฺคาธิคมนํ กตฺวา, วุฎฺฐวโสฺส เทโวโรหนํ กตฺวา อเนกเทวพฺรหฺมคณปริวุโต สงฺกสฺสปุรทฺวารํ โอรุยฺห โลกานุคฺคหํ อกาสิฯ ตทา ภควโต ลาภสกฺกาโร ชมฺพุทีปมโชฺฌตฺถรมาโน ปญฺจมหาคงฺคา วิย อโหสิฯ

    Atha bhagavā puratthimacakkavāḷato yāva pacchimacakkavāḷaṃ, tāva imasmiṃ cakkavāḷe mahāmerumuddhani ratanacaṅkamaṃ māpetvā anekaparisāhi sīhanādaṃ nadāpento dhammapadaṭṭhakathāyaṃ vuttanayena mahāiddhipāṭihāriyaṃ katvā titthiye madditvā te vippakāraṃ pāpetvā pāṭihīrāvasāne purimabuddhāciṇṇavasena tāvatiṃsabhavanaṃ gantvā tattha vassaṃvuṭṭho nirantaraṃ temāsaṃ abhidhammaṃ desetvā mātuppamukhānaṃ anekadevatānaṃ sotāpattimaggādhigamanaṃ katvā, vuṭṭhavasso devorohanaṃ katvā anekadevabrahmagaṇaparivuto saṅkassapuradvāraṃ oruyha lokānuggahaṃ akāsi. Tadā bhagavato lābhasakkāro jambudīpamajjhottharamāno pañcamahāgaṅgā viya ahosi.

    อถ ติตฺถิยา ปริหีนลาภสกฺการา ทุกฺขี ทุมฺมนา ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา นิสีทิํสุฯ ตทา เตสํ อุปาสิกา จิญฺจมาณวิกา นาม อติวิย รูปคฺคปฺปตฺตา เต ตถา นิสิเนฺน ทิสฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, เอวํทุกฺขี ทุมฺมนา นิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ, ภคินิ, อโปฺปสฺสุกฺกาสี’’ติ? ‘‘กิํ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘ภคินิ, สมณสฺส โคตมสฺส อุปฺปาทกาลโต ปฎฺฐาย มยํ หตลาภสกฺการา, นครวาสิโน อเมฺห น กิญฺจิ มญฺญนฺตี’’ติฯ ‘‘มยา เอตฺถ กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? ‘‘ตยา สมณสฺส โคตมสฺส อวณฺณํ อุปฺปาเทตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ สา ‘‘น มยฺหํ ภาโร’’ติ วตฺวา ตตฺถ อุสฺสาหํ กโรนฺตี วิกาเล เชตวนวิหารํ คนฺตฺวา ติตฺถิยานํ อุปสฺสเย วสิตฺวา ปาโต นครวาสีนํ คนฺธาทีนิ คเหตฺวา ภควนฺตํ วนฺทนตฺถาย คมนสมเย เชตวนา วิย นิกฺขนฺตา, ‘‘กตฺถ สยิตา’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘กิํ ตุมฺหากํ มม สยิตฎฺฐาเนนา’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ สา กเมน คจฺฉเนฺต กาเล ปุจฺฉิตา ‘‘สมเณนาหํ โคตเมน เอกคนฺธกุฎิยํ สยิตฺวา นิกฺขนฺตา’’ติ อาหฯ ตํ พาลปุถุชฺชนา สทฺทหิํสุ, ปณฺฑิตา โสตาปนฺนาทโย น สทฺทหิํสุฯ เอกทิวสํ สา ทารุมณฺฑลํ อุทเร พนฺธิตฺวา อุปริ รตฺตปฎํ ปริทหิตฺวา คนฺตฺวา สราชิกาย ปริสาย ธมฺมเทสนตฺถาย นิสินฺนํ ภควนฺตํ เอวมาห – ‘‘โภ สมณ, ตฺวํ ธมฺมํ เทเสสิ, ตุยฺหํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนทารกคพฺภินิยา มยฺหํ ลสุณมริจาทีนิ น วิจาเรสี’’ติ? ‘‘ตถาภาวํ, ภคินิ, ตฺวเญฺจว ปชานาสิ, อหญฺจา’’ติฯ สา ‘‘เอวเมว เมถุนสํสคฺคสมยํ เทฺวเยว ชานนฺติ, น อเญฺญ’’ติ อาหฯ

    Atha titthiyā parihīnalābhasakkārā dukkhī dummanā pattakkhandhā adhomukhā nisīdiṃsu. Tadā tesaṃ upāsikā ciñcamāṇavikā nāma ativiya rūpaggappattā te tathā nisinne disvā ‘‘kiṃ, bhante, evaṃdukkhī dummanā nisinnā’’ti pucchi. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ, bhagini, appossukkāsī’’ti? ‘‘Kiṃ, bhante’’ti? ‘‘Bhagini, samaṇassa gotamassa uppādakālato paṭṭhāya mayaṃ hatalābhasakkārā, nagaravāsino amhe na kiñci maññantī’’ti. ‘‘Mayā ettha kiṃ kātabba’’nti? ‘‘Tayā samaṇassa gotamassa avaṇṇaṃ uppādetuṃ vaṭṭatī’’ti. Sā ‘‘na mayhaṃ bhāro’’ti vatvā tattha ussāhaṃ karontī vikāle jetavanavihāraṃ gantvā titthiyānaṃ upassaye vasitvā pāto nagaravāsīnaṃ gandhādīni gahetvā bhagavantaṃ vandanatthāya gamanasamaye jetavanā viya nikkhantā, ‘‘kattha sayitā’’ti puṭṭhā ‘‘kiṃ tumhākaṃ mama sayitaṭṭhānenā’’ti vatvā pakkāmi. Sā kamena gacchante kāle pucchitā ‘‘samaṇenāhaṃ gotamena ekagandhakuṭiyaṃ sayitvā nikkhantā’’ti āha. Taṃ bālaputhujjanā saddahiṃsu, paṇḍitā sotāpannādayo na saddahiṃsu. Ekadivasaṃ sā dārumaṇḍalaṃ udare bandhitvā upari rattapaṭaṃ paridahitvā gantvā sarājikāya parisāya dhammadesanatthāya nisinnaṃ bhagavantaṃ evamāha – ‘‘bho samaṇa, tvaṃ dhammaṃ desesi, tuyhaṃ paṭicca uppannadārakagabbhiniyā mayhaṃ lasuṇamaricādīni na vicāresī’’ti? ‘‘Tathābhāvaṃ, bhagini, tvañceva pajānāsi, ahañcā’’ti. Sā ‘‘evameva methunasaṃsaggasamayaṃ dveyeva jānanti, na aññe’’ti āha.

    ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา เทฺว เทวปุเตฺต อาณาเปสิ – ‘‘ตุเมฺหสุ เอโก มูสิกวณฺณํ มาเปตฺวา ตสฺสา ทารุมณฺฑลสฺส พนฺธนํ ฉินฺทตุ, เอโก วาตมณฺฑลํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ปารุตปฎํ อุทฺธํ ขิปตู’’ติฯ เต คนฺตฺวา ตถา อกํสุฯ ทารุมณฺฑลํ ปตมานํ ตสฺสา ปาทปิฎฺฐิํ ภินฺทิฯ ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตา ปุถุชฺชนา สเพฺพ ‘‘อเร, ทุฎฺฐโจริ, ตฺวํ เอวรูปสฺส โลกตฺตยสามิโน เอวรูปํ อพฺภกฺขานํ อกาสี’’ติ อุฎฺฐหิตฺวา เอเกกมุฎฺฐิปหารํ ทตฺวา สภาย นีหริํสุ, ทสฺสนาติกฺกนฺตาย ปถวี วิวรมทาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ อวีจิโต ชาลา อุฎฺฐหิตฺวา กุลทตฺติเกน รตฺตกมฺพเลเนว ตํ อจฺฉาเทตฺวา อวีจิมฺหิ ปกฺขิปิ, ภควโต ลาภสกฺกาโร อติเรกตโร อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tasmiṃ khaṇe sakkassa paṇḍukambalasilāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko āvajjento taṃ kāraṇaṃ ñatvā dve devaputte āṇāpesi – ‘‘tumhesu eko mūsikavaṇṇaṃ māpetvā tassā dārumaṇḍalassa bandhanaṃ chindatu, eko vātamaṇḍalaṃ samuṭṭhāpetvā pārutapaṭaṃ uddhaṃ khipatū’’ti. Te gantvā tathā akaṃsu. Dārumaṇḍalaṃ patamānaṃ tassā pādapiṭṭhiṃ bhindi. Dhammasabhāyaṃ sannipatitā puthujjanā sabbe ‘‘are, duṭṭhacori, tvaṃ evarūpassa lokattayasāmino evarūpaṃ abbhakkhānaṃ akāsī’’ti uṭṭhahitvā ekekamuṭṭhipahāraṃ datvā sabhāya nīhariṃsu, dassanātikkantāya pathavī vivaramadāsi. Tasmiṃ khaṇe avīcito jālā uṭṭhahitvā kuladattikena rattakambaleneva taṃ acchādetvā avīcimhi pakkhipi, bhagavato lābhasakkāro atirekataro ahosi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘สพฺพาภิภุสฺส พุทฺธสฺส, นโนฺท นามาสิ สาวโก;

    ‘‘Sabbābhibhussa buddhassa, nando nāmāsi sāvako;

    ตํ อพฺภกฺขาย นิรเย, จิรํ สํสริตํ มยาฯ

    Taṃ abbhakkhāya niraye, ciraṃ saṃsaritaṃ mayā.

    ‘‘ทสวสฺสสหสฺสานิ, นิรเย สํสริํ จิรํ;

    ‘‘Dasavassasahassāni, niraye saṃsariṃ ciraṃ;

    มนุสฺสภาวํ ลทฺธาหํ, อพฺภกฺขานํ พหุํ ลภิํฯ

    Manussabhāvaṃ laddhāhaṃ, abbhakkhānaṃ bahuṃ labhiṃ.

    ‘‘เตน กมฺมาวเสเสน, จิญฺจมาณวิกา มมํ;

    ‘‘Tena kammāvasesena, ciñcamāṇavikā mamaṃ;

    อพฺภาจิกฺขิ อภูเตน, ชนกายสฺส อคฺคโต’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๗๐-๗๒);

    Abbhācikkhi abhūtena, janakāyassa aggato’’ti. (apa. thera 1.39.70-72);

    ตติยปเญฺห – อพฺภกฺขานนฺติ อภิ อกฺขานํ อโกฺกสนํฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต อปากฎชาติยํ อุปฺปโนฺน มุนาฬิ นาม ธุโตฺต หุตฺวา ทุชฺชนสํสคฺคพเลน สุรภิํ นาม ปเจฺจกพุทฺธํ ‘‘ทุสฺสีโล ปาปธโมฺม อยํ ภิกฺขู’’ติ อโกฺกสิฯ โส เตน อกุสเลน วจีกเมฺมน พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ นิรเย ปจฺจิตฺวา อิมสฺมิํ ปจฺฉิมตฺตภาเว ทสปารมิตาสํสิทฺธิพเลน พุโทฺธ ชาโต ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต อโหสิฯ ปุน ติตฺถิยา อุสฺสาหชาตา – ‘‘กถํ นุ โข สมณสฺส โคตมสฺส อยสํ อุปฺปาเทสฺสามา’’ติ ทุกฺขี ทุมฺมนา นิสีทิํสุฯ ตทา สุนฺทรี นาเมกา ปริพฺพาชิกา เต อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ฐิตา ตุณฺหีภูเต กิญฺจิ อวทเนฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ มยฺหํ โทโส’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สมเณน โคตเมน อเมฺห วิเหฐิยมาเน ตฺวํ อโปฺปสฺสุกฺกา วิหริสฺสสิ, อิทํ ตว โทโส’’ติฯ ‘‘เอวมหํ ตตฺถ กิํ กริสฺสามี’’ติ? ‘‘ตฺวํ สมณสฺส โคตมสฺส อวณฺณํ อุปฺปาเทตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติ? ‘‘สกฺขิสฺสามิ, อยฺยา’’ติ วตฺวา ตโต ปฎฺฐาย วุตฺตนเยน ทิฎฺฐทิฎฺฐานํ ‘‘สมเณน โคตเมน เอกคนฺธกุฎิยํ สยิตฺวา นิกฺขนฺตา’’ติ วตฺวา อโกฺกสติ ปริภาสติฯ ติตฺถิยาปิ ‘‘ปสฺสถ, โภ, สมณสฺส โคตมสฺส กมฺม’’นฺติ อโกฺกสนฺติ ปริภาสนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tatiyapañhe – abbhakkhānanti abhi akkhānaṃ akkosanaṃ. Atīte kira bodhisatto apākaṭajātiyaṃ uppanno munāḷi nāma dhutto hutvā dujjanasaṃsaggabalena surabhiṃ nāma paccekabuddhaṃ ‘‘dussīlo pāpadhammo ayaṃ bhikkhū’’ti akkosi. So tena akusalena vacīkammena bahūni vassasahassāni niraye paccitvā imasmiṃ pacchimattabhāve dasapāramitāsaṃsiddhibalena buddho jāto lābhaggayasaggappatto ahosi. Puna titthiyā ussāhajātā – ‘‘kathaṃ nu kho samaṇassa gotamassa ayasaṃ uppādessāmā’’ti dukkhī dummanā nisīdiṃsu. Tadā sundarī nāmekā paribbājikā te upasaṅkamitvā vanditvā ṭhitā tuṇhībhūte kiñci avadante disvā ‘‘kiṃ mayhaṃ doso’’ti pucchi. ‘‘Samaṇena gotamena amhe viheṭhiyamāne tvaṃ appossukkā viharissasi, idaṃ tava doso’’ti. ‘‘Evamahaṃ tattha kiṃ karissāmī’’ti? ‘‘Tvaṃ samaṇassa gotamassa avaṇṇaṃ uppādetuṃ sakkhissasī’’ti? ‘‘Sakkhissāmi, ayyā’’ti vatvā tato paṭṭhāya vuttanayena diṭṭhadiṭṭhānaṃ ‘‘samaṇena gotamena ekagandhakuṭiyaṃ sayitvā nikkhantā’’ti vatvā akkosati paribhāsati. Titthiyāpi ‘‘passatha, bho, samaṇassa gotamassa kamma’’nti akkosanti paribhāsanti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘มุนาฬิ นามหํ ธุโตฺต, ปุเพฺพ อญฺญาสุ ชาติสุ;

    ‘‘Munāḷi nāmahaṃ dhutto, pubbe aññāsu jātisu;

    ปเจฺจกพุทฺธํ สุรภิํ, อพฺภาจิกฺขิํ อทูสกํฯ

    Paccekabuddhaṃ surabhiṃ, abbhācikkhiṃ adūsakaṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, นิรเย สํสริํ จิรํ;

    ‘‘Tena kammavipākena, niraye saṃsariṃ ciraṃ;

    พหู วสฺสสหสฺสานิ, ทุกฺขํ เวเทสิ เวทนํฯ

    Bahū vassasahassāni, dukkhaṃ vedesi vedanaṃ.

    ‘‘เตน กมฺมาวเสเสน, อิธ ปจฺฉิมเก ภเว;

    ‘‘Tena kammāvasesena, idha pacchimake bhave;

    อพฺภกฺขานํ มยา ลทฺธํ, สุนฺทริกาย การณา’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๖๗-๖๙);

    Abbhakkhānaṃ mayā laddhaṃ, sundarikāya kāraṇā’’ti. (apa. thera 1.39.67-69);

    จตุตฺถปเญฺห – อพฺภกฺขานํ อภิ วิเสเสน อโกฺกสนํ ปริภาสนํฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล อุปฺปโนฺน พหุสฺสุโต พหูหิ สกฺกโต ปูชิโต ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา หิมวเนฺต วนมูลผลาหาโร พหุมาณเว มเนฺต วาเจโนฺต วาสํ กเปฺปสิฯ เอโก ปญฺจาภิญฺญาอฎฺฐสมาปตฺติลาภี ตาปโส ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ โส ตํ ทิสฺวาว อิสฺสาปกโต ตํ อทูสกํ อิสิํ ‘‘กามโภคี กุหโก อยํ อิสี’’ติ อพฺภาจิกฺขิ, อตฺตโน สิเสฺส จ อาห – ‘‘อยํ อิสิ เอวรูโป อนาจารโก’’ติฯ เตปิ ตเถว อโกฺกสิํสุ ปริภาสิํสุฯ โส เตน อกุสลกมฺมวิปาเกน วสฺสสหสฺสานิ นิรเย ทุกฺขมนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ ปจฺฉิมตฺตภาเว พุโทฺธ หุตฺวา ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต อากาเส ปุณฺณจโนฺท วิย ปากโฎ ชาโตฯ ตเถว ติตฺถิยา อพฺภกฺขาเนนปิ อสนฺตุฎฺฐา ปุนปิ สุนฺทริยา อพฺภกฺขานํ กาเรตฺวา สุราธุเตฺต ปโกฺกสาเปตฺวา ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘ตุเมฺห สุนฺทริํ มาเรตฺวา เชตวนทฺวารสมีเป มาลากจวเรน ฉาเทถา’’ติ อาณาเปสุํฯ เต ตถา กริํสุฯ ตโต ติตฺถิยา ‘‘สุนฺทริํ น ปสฺสามา’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘ปริเยสถา’’ติ อาหฯ เต อตฺตนา ปาติตฎฺฐานโต คเหตฺวา มญฺจกํ อาโรเปตฺวา รโญฺญ ทเสฺสตฺวา ‘‘ปสฺสถ, โภ, สมณสฺส โคตมสฺส สาวกานํ กมฺม’’นฺติ ภควโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ สกลนคเร อวณฺณํ อุโคฺฆเสนฺตา วิจริํสุฯ สุนฺทริํ อามกสุสาเน อฎฺฎเก ฐเปสุํฯ ราชา ‘‘สุนฺทริมารเก ปริเยสถา’’ติ อาณาเปสิฯ ตทา ธุตฺตา สุรํ ปิวิตฺวา ‘‘ตฺวํ สุนฺทริํ มาเรสิ, ตฺวํ มาเรสี’’ติ กลหํ กริํสุฯ ราชปุริสา เต ธุเตฺต คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ ราชา ‘‘กิํ, ภเณ, ตุเมฺหหิ สุนฺทรี มาริตา’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เกหิ อาณตฺตา’’ติ? ‘‘ติตฺถิเยหิ, เทวา’’ติฯ ราชา ติตฺถิเย อาหราเปตฺวา พนฺธาเปตฺวา ‘‘คจฺฉถ, ภเณ, ‘พุทฺธสฺส อวณฺณตฺถาย อเมฺหหิ สยเมว สุนฺทรี มาราปิตา, ภควา ตสฺส สาวกา จ อการกา’ติ อุโคฺฆสถา’’ติ อาหฯ เต ตถา อกํสุ ฯ สกลนครวาสิโน นิกฺกงฺขา อเหสุํฯ ราชา ติตฺถิเย จ ธุเตฺต จ มาราเปตฺวา ฉฑฺฑาเปติ ฯ ตโต ภควโต ภิโยฺยโสมตฺตาย ลาภสกฺกาโร วฑฺฒิฯ เตน วุตฺตํ –

    Catutthapañhe – abbhakkhānaṃ abhi visesena akkosanaṃ paribhāsanaṃ. Atīte kira bodhisatto brāhmaṇakule uppanno bahussuto bahūhi sakkato pūjito tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā himavante vanamūlaphalāhāro bahumāṇave mante vācento vāsaṃ kappesi. Eko pañcābhiññāaṭṭhasamāpattilābhī tāpaso tassa santikaṃ agamāsi. So taṃ disvāva issāpakato taṃ adūsakaṃ isiṃ ‘‘kāmabhogī kuhako ayaṃ isī’’ti abbhācikkhi, attano sisse ca āha – ‘‘ayaṃ isi evarūpo anācārako’’ti. Tepi tatheva akkosiṃsu paribhāsiṃsu. So tena akusalakammavipākena vassasahassāni niraye dukkhamanubhavitvā imasmiṃ pacchimattabhāve buddho hutvā lābhaggayasaggappatto ākāse puṇṇacando viya pākaṭo jāto. Tatheva titthiyā abbhakkhānenapi asantuṭṭhā punapi sundariyā abbhakkhānaṃ kāretvā surādhutte pakkosāpetvā lañjaṃ datvā ‘‘tumhe sundariṃ māretvā jetavanadvārasamīpe mālākacavarena chādethā’’ti āṇāpesuṃ. Te tathā kariṃsu. Tato titthiyā ‘‘sundariṃ na passāmā’’ti rañño ārocesuṃ. Rājā ‘‘pariyesathā’’ti āha. Te attanā pātitaṭṭhānato gahetvā mañcakaṃ āropetvā rañño dassetvā ‘‘passatha, bho, samaṇassa gotamassa sāvakānaṃ kamma’’nti bhagavato bhikkhusaṅghassa ca sakalanagare avaṇṇaṃ ugghosentā vicariṃsu. Sundariṃ āmakasusāne aṭṭake ṭhapesuṃ. Rājā ‘‘sundarimārake pariyesathā’’ti āṇāpesi. Tadā dhuttā suraṃ pivitvā ‘‘tvaṃ sundariṃ māresi, tvaṃ māresī’’ti kalahaṃ kariṃsu. Rājapurisā te dhutte gahetvā rañño dassesuṃ. Rājā ‘‘kiṃ, bhaṇe, tumhehi sundarī māritā’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Kehi āṇattā’’ti? ‘‘Titthiyehi, devā’’ti. Rājā titthiye āharāpetvā bandhāpetvā ‘‘gacchatha, bhaṇe, ‘buddhassa avaṇṇatthāya amhehi sayameva sundarī mārāpitā, bhagavā tassa sāvakā ca akārakā’ti ugghosathā’’ti āha. Te tathā akaṃsu . Sakalanagaravāsino nikkaṅkhā ahesuṃ. Rājā titthiye ca dhutte ca mārāpetvā chaḍḍāpeti . Tato bhagavato bhiyyosomattāya lābhasakkāro vaḍḍhi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘พฺราหฺมโณ สุตวา อาสิํ, อหํ สกฺกตปูชิโต;

    ‘‘Brāhmaṇo sutavā āsiṃ, ahaṃ sakkatapūjito;

    มหาวเน ปญฺจสเต, มเนฺต วาเจมิ มาณเวฯ

    Mahāvane pañcasate, mante vācemi māṇave.

    ‘‘ตตฺถาคโต อิสิ ภีโม, ปญฺจาภิโญฺญ มหิทฺธิโก;

    ‘‘Tatthāgato isi bhīmo, pañcābhiñño mahiddhiko;

    ตญฺจาหํ อาคตํ ทิสฺวา, อพฺภาจิกฺขิํ อทูสกํฯ

    Tañcāhaṃ āgataṃ disvā, abbhācikkhiṃ adūsakaṃ.

    ‘‘ตโตหํ อวจํ สิเสฺส, กามโภคี อยํ อิสิ;

    ‘‘Tatohaṃ avacaṃ sisse, kāmabhogī ayaṃ isi;

    มยฺหมฺปิ ภาสมานสฺส, อนุโมทิํสุ มาณวาฯ

    Mayhampi bhāsamānassa, anumodiṃsu māṇavā.

    ‘‘ตโต มาณวกา สเพฺพ, ภิกฺขมานํ กุเล กุเล;

    ‘‘Tato māṇavakā sabbe, bhikkhamānaṃ kule kule;

    มหาชนสฺส อาหํสุ, กามโภคี อยํ อิสิฯ

    Mahājanassa āhaṃsu, kāmabhogī ayaṃ isi.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, ปญฺจภิกฺขุสตา อิเม;

    ‘‘Tena kammavipākena, pañcabhikkhusatā ime;

    อพฺภกฺขานํ ลภุํ สเพฺพ, สุนฺทริกาย การณา’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๗๓-๗๗);

    Abbhakkhānaṃ labhuṃ sabbe, sundarikāya kāraṇā’’ti. (apa. thera 1.39.73-77);

    ปญฺจเม ปเญฺห – สิลาเวโธติ อาหตจิโตฺต สิลํ ปวิชฺฌิฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต จ กนิฎฺฐภาตา จ เอกปิตุปุตฺตา อเหสุํฯ เต ปิตุ อจฺจเยน ทาเส ปฎิจฺจ กลหํ กโรนฺตา อญฺญมญฺญํ วิรุทฺธา อเหสุํฯ โพธิสโตฺต อตฺตโน พลวภาเวน กนิฎฺฐภาตรํ อโชฺฌตฺถริตฺวา ตสฺสุปริ ปาสาณํ ปวิเชฺฌสิฯ โส เตน กมฺมวิปาเกน นรกาทีสุ อเนกวสฺสสหสฺสานิ ทุกฺขมนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ ปจฺฉิมตฺตภาเว พุโทฺธ ชาโตฯ เทวทโตฺต ราหุลกุมารสฺส มาตุโล ปุเพฺพ เสริวาณิชกาเล โพธิสเตฺตน สทฺธิํ วาณิโช อโหสิ, เต เอกํ ปฎฺฎนคามํ ปตฺวา ‘‘ตฺวํ เอกวีถิํ คณฺหาหิ, อหมฺปิ เอกวีถิํ คณฺหามี’’ติ เทฺวปิ ปวิฎฺฐาฯ เตสุ เทวทตฺตสฺส ปวิฎฺฐวีถิยํ ชิณฺณเสฎฺฐิภริยา จ นตฺตา จ เทฺวเยว อเหสุํ, เตสํ มหนฺตํ สุวณฺณถาลกํ มลคฺคหิตํ ภาชนนฺตเร ฐปิตํ โหติ, ตํ สุวณฺณถาลกภาวํ อชานนฺตี ‘‘อิมํ ถาลกํ คเหตฺวา ปิฬนฺธนํ เทถา’’ติ อาหฯ โส ตํ คเหตฺวา สูจิยา เลขํ กฑฺฒิตฺวา สุวณฺณถาลกภาวํ ญตฺวา ‘‘โถกํ ทตฺวา คณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา คโตฯ อถ โพธิสตฺตํ ทฺวารสมีปํ อาคตํ ทิสฺวา ‘‘นตฺตา, อเยฺย , มยฺหํ กจฺฉปุฎํ ปิฬนฺธนํ เทถา’’ติฯ สา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา นิสีทาเปตฺวา ตํ ถาลกํ ทตฺวา ‘‘อิมํ คเหตฺวา มยฺหํ นตฺตาย กจฺฉปุฎํ ปิฬนฺธนํ เทถา’’ติฯ โพธิสโตฺต ตํ คเหตฺวา สุวณฺณถาลกภาวํ ญตฺวา ‘‘เตน วญฺจิตา’’ติ ญตฺวา อตฺตโน ปสิพฺพกาย ฐปิตอฎฺฐกหาปเณ อวเสสภณฺฑญฺจ ทตฺวา กจฺฉปุฎํ ปิฬนฺธนํ กุมาริกาย หเตฺถ ปิฬนฺธาเปตฺวา อคมาสิฯ โส วาณิโช ปุนาคนฺตฺวา ปุจฺฉิฯ ‘‘ตาต, ตฺวํ น คณฺหิตฺถ, มยฺหํ ปุโตฺต อิทญฺจิทญฺจ ทตฺวา ตํ คเหตฺวา คโต’’ติฯ โส ตํ สุตฺวาว หทเยน ผาลิเตน วิย ธาวิตฺวา อนุพนฺธิฯ โพธิสโตฺต นาวํ อารุยฺห ปกฺขนฺทิฯ โส ‘‘ติฎฺฐ, มา ปลายิ มา ปลายี’’ติ วตฺวา ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตภเว ตํ นาเสตุํ สมโตฺถ ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ

    Pañcame pañhe – silāvedhoti āhatacitto silaṃ pavijjhi. Atīte kira bodhisatto ca kaniṭṭhabhātā ca ekapituputtā ahesuṃ. Te pitu accayena dāse paṭicca kalahaṃ karontā aññamaññaṃ viruddhā ahesuṃ. Bodhisatto attano balavabhāvena kaniṭṭhabhātaraṃ ajjhottharitvā tassupari pāsāṇaṃ pavijjhesi. So tena kammavipākena narakādīsu anekavassasahassāni dukkhamanubhavitvā imasmiṃ pacchimattabhāve buddho jāto. Devadatto rāhulakumārassa mātulo pubbe serivāṇijakāle bodhisattena saddhiṃ vāṇijo ahosi, te ekaṃ paṭṭanagāmaṃ patvā ‘‘tvaṃ ekavīthiṃ gaṇhāhi, ahampi ekavīthiṃ gaṇhāmī’’ti dvepi paviṭṭhā. Tesu devadattassa paviṭṭhavīthiyaṃ jiṇṇaseṭṭhibhariyā ca nattā ca dveyeva ahesuṃ, tesaṃ mahantaṃ suvaṇṇathālakaṃ malaggahitaṃ bhājanantare ṭhapitaṃ hoti, taṃ suvaṇṇathālakabhāvaṃ ajānantī ‘‘imaṃ thālakaṃ gahetvā piḷandhanaṃ dethā’’ti āha. So taṃ gahetvā sūciyā lekhaṃ kaḍḍhitvā suvaṇṇathālakabhāvaṃ ñatvā ‘‘thokaṃ datvā gaṇhissāmī’’ti cintetvā gato. Atha bodhisattaṃ dvārasamīpaṃ āgataṃ disvā ‘‘nattā, ayye , mayhaṃ kacchapuṭaṃ piḷandhanaṃ dethā’’ti. Sā taṃ pakkosāpetvā nisīdāpetvā taṃ thālakaṃ datvā ‘‘imaṃ gahetvā mayhaṃ nattāya kacchapuṭaṃ piḷandhanaṃ dethā’’ti. Bodhisatto taṃ gahetvā suvaṇṇathālakabhāvaṃ ñatvā ‘‘tena vañcitā’’ti ñatvā attano pasibbakāya ṭhapitaaṭṭhakahāpaṇe avasesabhaṇḍañca datvā kacchapuṭaṃ piḷandhanaṃ kumārikāya hatthe piḷandhāpetvā agamāsi. So vāṇijo punāgantvā pucchi. ‘‘Tāta, tvaṃ na gaṇhittha, mayhaṃ putto idañcidañca datvā taṃ gahetvā gato’’ti. So taṃ sutvāva hadayena phālitena viya dhāvitvā anubandhi. Bodhisatto nāvaṃ āruyha pakkhandi. So ‘‘tiṭṭha, mā palāyi mā palāyī’’ti vatvā ‘‘nibbattanibbattabhave taṃ nāsetuṃ samattho bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi.

    โส ปตฺถนาวเสน อเนเกสุ ชาติสตสหเสฺสสุ อญฺญมญฺญํ วิเหเฐตฺวา อิมสฺมิํ อตฺตภาเว สกฺยกุเล นิพฺพตฺติตฺวา กเมน ภควติ สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ราชคเห วิหรเนฺต อนุรุทฺธาทีหิ สทฺธิํ ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา ฌานลาภี หุตฺวา ปากโฎ ภควนฺตํ วรํ ยาจิ – ‘‘ภเนฺต, สโพฺพ ภิกฺขุสโงฺฆ ปิณฺฑปาติกาทีนิ เตรส ธุตงฺคานิ สมาทิยตุ, สกโล ภิกฺขุสโงฺฆ มม ภาโร โหตู’’ติฯ ภควา น อนุชานิฯ เทวทโตฺต เวรํ พนฺธิตฺวา ปริหีนชฺฌาโน ภควนฺตํ มาเรตุกาโม เอกทิวสํ เวภารปพฺพตปาเท ฐิตสฺส ภควโต อุปริ ฐิโต ปพฺพตกูฎํ ปวิเทฺธสิฯ ภควโต อานุภาเวน อปโร ปพฺพตกูโฎ ตํ ปตมานํ สมฺปฎิจฺฉิฯ เตสํ ฆฎฺฎเนน อุฎฺฐิตา ปปฎิกา อาคนฺตฺวา ภควโต ปาทปิฎฺฐิยํ ปหริฯ เตน วุตฺตํ –

    So patthanāvasena anekesu jātisatasahassesu aññamaññaṃ viheṭhetvā imasmiṃ attabhāve sakyakule nibbattitvā kamena bhagavati sabbaññutaṃ patvā rājagahe viharante anuruddhādīhi saddhiṃ bhagavato santikaṃ gantvā pabbajitvā jhānalābhī hutvā pākaṭo bhagavantaṃ varaṃ yāci – ‘‘bhante, sabbo bhikkhusaṅgho piṇḍapātikādīni terasa dhutaṅgāni samādiyatu, sakalo bhikkhusaṅgho mama bhāro hotū’’ti. Bhagavā na anujāni. Devadatto veraṃ bandhitvā parihīnajjhāno bhagavantaṃ māretukāmo ekadivasaṃ vebhārapabbatapāde ṭhitassa bhagavato upari ṭhito pabbatakūṭaṃ paviddhesi. Bhagavato ānubhāvena aparo pabbatakūṭo taṃ patamānaṃ sampaṭicchi. Tesaṃ ghaṭṭanena uṭṭhitā papaṭikā āgantvā bhagavato pādapiṭṭhiyaṃ pahari. Tena vuttaṃ –

    ‘‘เวมาตุภาตรํ ปุเพฺพ, ธนเหตุ หนิํ อหํ;

    ‘‘Vemātubhātaraṃ pubbe, dhanahetu haniṃ ahaṃ;

    ปกฺขิปิํ คิริทุคฺคสฺมิํ, สิลาย จ อปิํสยิํฯ

    Pakkhipiṃ giriduggasmiṃ, silāya ca apiṃsayiṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, เทวทโตฺต สิลํ ขิปิ;

    ‘‘Tena kammavipākena, devadatto silaṃ khipi;

    องฺคุฎฺฐํ ปิํสยี ปาเท, มม ปาสาณสกฺขรา’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๗๘-๗๙);

    Aṅguṭṭhaṃ piṃsayī pāde, mama pāsāṇasakkharā’’ti. (apa. thera 1.39.78-79);

    ฉฎฺฐปเญฺห – สกลิกาเวโธติ สกลิกาย ฆฎฺฎนํฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ กุเล นิพฺพโตฺต ทหรกาเล มหาวีถิยํ กีฬมาโน วีถิยํ ปิณฺฑาย จรมานํ ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มุณฺฑโก สมโณ กุหิํ คจฺฉตี’’ติ ปาสาณสกลิกํ คเหตฺวา ตสฺส ปาทปิฎฺฐิยํ ขิปิ ฯ ปาทปิฎฺฐิจมฺมํ ฉินฺทิตฺวา รุหิรํ นิกฺขมิฯ โส เตน ปาปกเมฺมน อเนกวสฺสสหสฺสานิ นิรเย มหาทุกฺขํ อนุภวิตฺวา พุทฺธภูโตปิ กมฺมปิโลติกวเสน ปาทปิฎฺฐิยํ ปาสาณสกลิกฆฎฺฎเนน รุหิรุปฺปาทํ ลภิฯ เตน วุตฺตํ –

    Chaṭṭhapañhe – sakalikāvedhoti sakalikāya ghaṭṭanaṃ. Atīte kira bodhisatto ekasmiṃ kule nibbatto daharakāle mahāvīthiyaṃ kīḷamāno vīthiyaṃ piṇḍāya caramānaṃ paccekabuddhaṃ disvā ‘‘ayaṃ muṇḍako samaṇo kuhiṃ gacchatī’’ti pāsāṇasakalikaṃ gahetvā tassa pādapiṭṭhiyaṃ khipi . Pādapiṭṭhicammaṃ chinditvā ruhiraṃ nikkhami. So tena pāpakammena anekavassasahassāni niraye mahādukkhaṃ anubhavitvā buddhabhūtopi kammapilotikavasena pādapiṭṭhiyaṃ pāsāṇasakalikaghaṭṭanena ruhiruppādaṃ labhi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ปุเรหํ ทารโก หุตฺวา, กีฬมาโน มหาปเถ;

    ‘‘Purehaṃ dārako hutvā, kīḷamāno mahāpathe;

    ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวาน, มเคฺค สกลิกํ ขิปิํฯ

    Paccekabuddhaṃ disvāna, magge sakalikaṃ khipiṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, อิธ ปจฺฉิมเก ภเว;

    ‘‘Tena kammavipākena, idha pacchimake bhave;

    วธตฺถํ มํ เทวทโตฺต, อภิมาเร ปโยฺยชยี’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๘๐-๘๑);

    Vadhatthaṃ maṃ devadatto, abhimāre payyojayī’’ti. (apa. thera 1.39.80-81);

    สตฺตมปเญฺห – นาฬาคิรีติ ธนปาลโก หตฺถี มารณตฺถาย เปสิโตฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต หตฺถิโคปโก หุตฺวา นิพฺพโตฺต หตฺถิํ อารุยฺห วิจรมาโน มหาปเถ ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา ‘‘กุโต อาคจฺฉติ อยํ มุณฺฑโก’’ติ อาหตจิโตฺต ขิลชาโต หตฺถินา อาสาเทสิฯ โส เตน กเมฺมน อปาเยสุ อเนกวสฺสสหสฺสานิ ทุกฺขํ อนุภวิตฺวา ปจฺฉิมตฺตภาเว พุโทฺธ ชาโตฯ เทวทโตฺต อชาตสตฺตุราชานํ สหายํ กตฺวา ‘‘ตฺวํ, มหาราช, ปิตรํ ฆาเตตฺวา ราชา โหหิ, อหํ พุทฺธํ มาเรตฺวา พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ สญฺญาเปตฺวา เอกทิวสํ รโญฺญ อนุญฺญาตาย หตฺถิสาลํ คนฺตฺวา – ‘‘เสฺว ตุเมฺห นาฬาคิริํ โสฬสสุราฆเฎ ปาเยตฺวา ภควโต ปิณฺฑาย จรณเวลายํ เปเสถา’’ติ หตฺถิโคปเก อาณาเปสิฯ สกลนครํ มหาโกลาหลํ อโหสิ, ‘‘พุทฺธนาเคน หตฺถินาคสฺส ยุทฺธํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ อุภโต ราชวีถิยํ มญฺจาติมญฺจํ พนฺธิตฺวา ปาโตว สนฺนิปติํสุฯ ภควาปิ กตสรีรปฎิชคฺคโน ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ ตสฺมิํ ขเณ วุตฺตนิยาเมเนว นาฬาคิริํ วิสฺสเชฺชสุํฯ โส วีถิจจฺจราทโย วิธเมโนฺต อาคจฺฉติฯ ตทา เอกา อิตฺถี ทารกํ คเหตฺวา วีถิโต วีถิํ คจฺฉติ, หตฺถี ตํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อนุพนฺธิฯ ภควา ‘‘นาฬาคิริ, น ตํ หนตฺถาย เปสิโต, อิธาคจฺฉาหี’’ติ อาหฯ โส ตํ สทฺทํ สุตฺวา ภควนฺตาภิมุโข ธาวิฯ ภควา อปริมาเณสุ จกฺกวาเฬสุ อนนฺตสเตฺตสุ ผรณารหํ เมตฺตํ เอกสฺมิํเยว นาฬาคิริมฺหิ ผริฯ โส ภควโต เมตฺตาย ผุโฎ นิพฺภโย หุตฺวา ภควโต ปาทมูเล นิปติฯ ภควา ตสฺส มตฺถเก หตฺถํ ฐเปสิฯ ตทา เทวพฺรหฺมาทโย อจฺฉริยพฺภุตชาตจิตฺตา ปุปฺผปราคาทีหิ ปูเชสุํฯ สกลนคเร ชณฺณุกมตฺตา ธนราสโย อเหสุํฯ ราชา ‘‘ปจฺฉิมทฺวาเร ธนานิ นครวาสีนํ โหนฺตุ, ปุรตฺถิมทฺวาเร ธนานิ ราชภณฺฑาคาเร โหนฺตู’’ติ เภริํ จราเปสิฯ สเพฺพ ตถา กริํสุฯ ตทา นาฬาคิริ ธนปาโล นาม อโหสิฯ ภควา เวฬุวนารามํ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Sattamapañhe – nāḷāgirīti dhanapālako hatthī māraṇatthāya pesito. Atīte kira bodhisatto hatthigopako hutvā nibbatto hatthiṃ āruyha vicaramāno mahāpathe paccekabuddhaṃ disvā ‘‘kuto āgacchati ayaṃ muṇḍako’’ti āhatacitto khilajāto hatthinā āsādesi. So tena kammena apāyesu anekavassasahassāni dukkhaṃ anubhavitvā pacchimattabhāve buddho jāto. Devadatto ajātasatturājānaṃ sahāyaṃ katvā ‘‘tvaṃ, mahārāja, pitaraṃ ghātetvā rājā hohi, ahaṃ buddhaṃ māretvā buddho bhavissāmī’’ti saññāpetvā ekadivasaṃ rañño anuññātāya hatthisālaṃ gantvā – ‘‘sve tumhe nāḷāgiriṃ soḷasasurāghaṭe pāyetvā bhagavato piṇḍāya caraṇavelāyaṃ pesethā’’ti hatthigopake āṇāpesi. Sakalanagaraṃ mahākolāhalaṃ ahosi, ‘‘buddhanāgena hatthināgassa yuddhaṃ passissāmā’’ti ubhato rājavīthiyaṃ mañcātimañcaṃ bandhitvā pātova sannipatiṃsu. Bhagavāpi katasarīrapaṭijaggano bhikkhusaṅghaparivuto rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi. Tasmiṃ khaṇe vuttaniyāmeneva nāḷāgiriṃ vissajjesuṃ. So vīthicaccarādayo vidhamento āgacchati. Tadā ekā itthī dārakaṃ gahetvā vīthito vīthiṃ gacchati, hatthī taṃ itthiṃ disvā anubandhi. Bhagavā ‘‘nāḷāgiri, na taṃ hanatthāya pesito, idhāgacchāhī’’ti āha. So taṃ saddaṃ sutvā bhagavantābhimukho dhāvi. Bhagavā aparimāṇesu cakkavāḷesu anantasattesu pharaṇārahaṃ mettaṃ ekasmiṃyeva nāḷāgirimhi phari. So bhagavato mettāya phuṭo nibbhayo hutvā bhagavato pādamūle nipati. Bhagavā tassa matthake hatthaṃ ṭhapesi. Tadā devabrahmādayo acchariyabbhutajātacittā pupphaparāgādīhi pūjesuṃ. Sakalanagare jaṇṇukamattā dhanarāsayo ahesuṃ. Rājā ‘‘pacchimadvāre dhanāni nagaravāsīnaṃ hontu, puratthimadvāre dhanāni rājabhaṇḍāgāre hontū’’ti bheriṃ carāpesi. Sabbe tathā kariṃsu. Tadā nāḷāgiri dhanapālo nāma ahosi. Bhagavā veḷuvanārāmaṃ agamāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘หตฺถาโรโห ปุเร อาสิํ, ปเจฺจกมุนิมุตฺตมํ;

    ‘‘Hatthāroho pure āsiṃ, paccekamunimuttamaṃ;

    ปิณฺฑาย วิจรนฺตํ ตํ, อาสาเทสิํ คเชนหํฯ

    Piṇḍāya vicarantaṃ taṃ, āsādesiṃ gajenahaṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, ภโนฺต นาฬาคิรี คโช;

    ‘‘Tena kammavipākena, bhanto nāḷāgirī gajo;

    คิริพฺพเช ปุรวเร, ทารุโณ สมุปาคมี’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๘๒-๘๓);

    Giribbaje puravare, dāruṇo samupāgamī’’ti. (apa. thera 1.39.82-83);

    อฎฺฐมปเญฺห – สตฺถเจฺฉโทติ สเตฺถน คณฺฑผาลนํ กุฐาราย สเตฺถน เฉโทฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต ปจฺจนฺตเทเส ราชา อโหสิฯ โส ทุชฺชนสํสคฺควเสน ปจฺจนฺตเทเส วาสวเสน จ ธุโตฺต สาหสิโก เอกทิวสํ ขคฺคหโตฺถ ปตฺติโกว นคเร วิจรโนฺต นิราปราเธ ชเน ขเคฺคน ผาเลโนฺต อคมาสิฯ โส เตน ปาปกมฺมวิปาเกน พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ นิรเย ปจฺจิตฺวา ติรจฺฉานาทีสุ ทุกฺขมนุภวิตฺวา ปกฺกาวเสเสน ปจฺฉิมตฺตภาเว พุทฺธภูโตปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน เทวทเตฺตน ขิตฺตปาสาณสกฺขลิกปหาเรน อุฎฺฐิตคโณฺฑ อโหสิฯ ชีวโก เมตฺตจิเตฺตน ตํ คณฺฑํ ผาเลสิฯ เวริจิตฺตสฺส เทวทตฺตสฺส รุหิรุปฺปาทกมฺมํ อนนฺตริกํ อโหสิ, เมตฺตจิตฺตสฺส ชีวกสฺส คณฺฑผาลนํ ปุญฺญเมว อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Aṭṭhamapañhe – satthacchedoti satthena gaṇḍaphālanaṃ kuṭhārāya satthena chedo. Atīte kira bodhisatto paccantadese rājā ahosi. So dujjanasaṃsaggavasena paccantadese vāsavasena ca dhutto sāhasiko ekadivasaṃ khaggahattho pattikova nagare vicaranto nirāparādhe jane khaggena phālento agamāsi. So tena pāpakammavipākena bahūni vassasahassāni niraye paccitvā tiracchānādīsu dukkhamanubhavitvā pakkāvasesena pacchimattabhāve buddhabhūtopi heṭṭhā vuttanayena devadattena khittapāsāṇasakkhalikapahārena uṭṭhitagaṇḍo ahosi. Jīvako mettacittena taṃ gaṇḍaṃ phālesi. Vericittassa devadattassa ruhiruppādakammaṃ anantarikaṃ ahosi, mettacittassa jīvakassa gaṇḍaphālanaṃ puññameva ahosi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ราชาหํ ปตฺติโก อาสิํ, สตฺติยา ปุริเส หนิํ;

    ‘‘Rājāhaṃ pattiko āsiṃ, sattiyā purise haniṃ;

    เตน กมฺมวิปาเกน, นิรเย ปจฺจิสํ ภุสํฯ

    Tena kammavipākena, niraye paccisaṃ bhusaṃ.

    ‘‘กมฺมุโน ตสฺส เสเสน, อิทานิ สกลํ มม;

    ‘‘Kammuno tassa sesena, idāni sakalaṃ mama;

    ปาเท ฉวิํ ปกเปฺปสิ, น หิ กมฺมํ วินสฺสตี’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๘๔-๘๕);

    Pāde chaviṃ pakappesi, na hi kammaṃ vinassatī’’ti. (apa. thera 1.39.84-85);

    นวเม ปเญฺห – ‘‘สีสทุกฺขนฺติ สีสาพาโธ สีสเวทนาฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต เกวฎฺฎคาเม เกวโฎฺฎ หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ โส เอกทิวสํ เกวฎฺฎปุริเสหิ สทฺธิํ มจฺฉมารณฎฺฐานํ คนฺตฺวา มเจฺฉ มาเรเนฺต ทิสฺวา ตตฺถ โสมนสฺสํ อุปฺปาเทสิ, สหคตาปิ ตเถว โสมนสฺสํ อุปฺปาทยิํสุฯ โส เตน อกุสลกเมฺมน จตุราปาเย ทุกฺขมนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ ปจฺฉิมตฺตภาเว เตหิ ปุริเสหิ สทฺธิํ สกฺยราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา กเมน พุทฺธตฺตํ ปโตฺตปิ สยํ สีสาพาธํ ปจฺจนุโภสิฯ เต จ สกฺยราชาโน ธมฺมปทฎฺฐกถายํ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.วิฑฑูภวตฺถุ) วุตฺตนเยน วิฑฑูภสงฺคาเม สเพฺพ วินาสํ ปาปุณิํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Navame pañhe – ‘‘sīsadukkhanti sīsābādho sīsavedanā. Atīte kira bodhisatto kevaṭṭagāme kevaṭṭo hutvā nibbatti. So ekadivasaṃ kevaṭṭapurisehi saddhiṃ macchamāraṇaṭṭhānaṃ gantvā macche mārente disvā tattha somanassaṃ uppādesi, sahagatāpi tatheva somanassaṃ uppādayiṃsu. So tena akusalakammena caturāpāye dukkhamanubhavitvā imasmiṃ pacchimattabhāve tehi purisehi saddhiṃ sakyarājakule nibbattitvā kamena buddhattaṃ pattopi sayaṃ sīsābādhaṃ paccanubhosi. Te ca sakyarājāno dhammapadaṭṭhakathāyaṃ (dha. pa. aṭṭha. 1.viḍaḍūbhavatthu) vuttanayena viḍaḍūbhasaṅgāme sabbe vināsaṃ pāpuṇiṃsu. Tena vuttaṃ –

    ‘‘อหํ เกวฎฺฎคามสฺมิํ, อหุํ เกวฎฺฎทารโก;

    ‘‘Ahaṃ kevaṭṭagāmasmiṃ, ahuṃ kevaṭṭadārako;

    มจฺฉเก ฆาติเต ทิสฺวา, ชนยิํ โสมนสฺสกํฯ

    Macchake ghātite disvā, janayiṃ somanassakaṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, สีสทุกฺขํ อหู มม;

    ‘‘Tena kammavipākena, sīsadukkhaṃ ahū mama;

    สเพฺพ สกฺกา จ หญฺญิํสุ, ยทา หนิ วิฎฎูโภ’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๘๖-๘๗);

    Sabbe sakkā ca haññiṃsu, yadā hani viṭaṭūbho’’ti. (apa. thera 1.39.86-87);

    ทสมปเญฺห – ยวขาทนนฺติ เวรญฺชายํ ยวตณฺฑุลขาทนํฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต อญฺญตรสฺมิํ กุเล นิพฺพโตฺต ชาติวเสน จ อนฺธพาลภาเวน จ ผุสฺสสฺส ภควโต สาวเก มธุรนฺนปาเน สาลิโภชนาทโย จ ภุญฺชมาเน ทิสฺวา ‘‘อเร มุณฺฑกสมณา, ยวํ ขาทถ, มา สาลิโภชนํ ภุญฺชถา’’ติ อโกฺกสิฯ โส เตน อกุสลกมฺมวิปาเกน อเนกวสฺสสหสฺสานิ จตุราปาเย ทุกฺขมนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ ปจฺฉิมตฺตภาเว กเมน พุทฺธตฺตํ ปตฺวา โลกสงฺคหํ กโรโนฺต คามนิคมราชธานีสุ จริตฺวา เอกสฺมิํ สมเย เวรญฺชพฺราหฺมณคามสมีเป สาขาวิฎปสมฺปนฺนํ ปุจิมนฺทรุกฺขมูลํ ปาปุณิฯ เวรญฺชพฺราหฺมโณ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อเนกปริยาเยน ภควนฺตํ ชินิตุํ อสโกฺกโนฺต โสตาปโนฺน หุตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิเธว วสฺสํ อุปคนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาโรเจสิฯ ภควา ตุณฺหีภาเวน อธิวาเสสิฯ อถ ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย มาโร ปาปิมา สกลเวรญฺชพฺราหฺมณคามวาสีนํ มาราวฎฺฎนํ อกาสิฯ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐสฺส ภควโต มาราวฎฺฎนวเสน เอโกปิ กฎจฺฉุภิกฺขามตฺตํ ทาตา นาโหสิฯ ภควา ตุจฺฉปโตฺตว ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ปุนาคญฺฉิฯ ตสฺมิํ เอวํ อาคเต ตเตฺถว นิวุฎฺฐา อสฺสวาณิชา ตํ ทิวสํ ทานํ ทตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ภควนฺตํ ปญฺจสตภิกฺขุปริวารํ นิมเนฺตตฺวา ปญฺจนฺนํ อสฺสสตานํ ภตฺตโต วิภาคํ กตฺวา ยวํ โกเฎฺฎตฺวา ภิกฺขูนํ ปเตฺตสุ ปกฺขิปิํสุ ฯ สกลสฺส สหสฺสจกฺกวาฬเทวตา สุชาตาย ปายาสปจนทิวเส วิย ทิโพฺพชํ ปกฺขิปิํสุฯ ภควา ปริภุญฺชิ , เอวํ เตมาสํ ยวํ ปริภุญฺชิฯ เตมาสจฺจเยน มาราวฎฺฎเน วิคเต ปวารณาทิวเส เวรโญฺช พฺราหฺมโณ สริตฺวา มหาสํเวคปฺปโตฺต พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา วนฺทิตฺวา ขมาเปสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Dasamapañhe – yavakhādananti verañjāyaṃ yavataṇḍulakhādanaṃ. Atīte kira bodhisatto aññatarasmiṃ kule nibbatto jātivasena ca andhabālabhāvena ca phussassa bhagavato sāvake madhurannapāne sālibhojanādayo ca bhuñjamāne disvā ‘‘are muṇḍakasamaṇā, yavaṃ khādatha, mā sālibhojanaṃ bhuñjathā’’ti akkosi. So tena akusalakammavipākena anekavassasahassāni caturāpāye dukkhamanubhavitvā imasmiṃ pacchimattabhāve kamena buddhattaṃ patvā lokasaṅgahaṃ karonto gāmanigamarājadhānīsu caritvā ekasmiṃ samaye verañjabrāhmaṇagāmasamīpe sākhāviṭapasampannaṃ pucimandarukkhamūlaṃ pāpuṇi. Verañjabrāhmaṇo bhagavantaṃ upasaṅkamitvā anekapariyāyena bhagavantaṃ jinituṃ asakkonto sotāpanno hutvā ‘‘bhante, idheva vassaṃ upagantuṃ vaṭṭatī’’ti ārocesi. Bhagavā tuṇhībhāvena adhivāsesi. Atha punadivasato paṭṭhāya māro pāpimā sakalaverañjabrāhmaṇagāmavāsīnaṃ mārāvaṭṭanaṃ akāsi. Piṇḍāya paviṭṭhassa bhagavato mārāvaṭṭanavasena ekopi kaṭacchubhikkhāmattaṃ dātā nāhosi. Bhagavā tucchapattova bhikkhusaṅghaparivuto punāgañchi. Tasmiṃ evaṃ āgate tattheva nivuṭṭhā assavāṇijā taṃ divasaṃ dānaṃ datvā tato paṭṭhāya bhagavantaṃ pañcasatabhikkhuparivāraṃ nimantetvā pañcannaṃ assasatānaṃ bhattato vibhāgaṃ katvā yavaṃ koṭṭetvā bhikkhūnaṃ pattesu pakkhipiṃsu . Sakalassa sahassacakkavāḷadevatā sujātāya pāyāsapacanadivase viya dibbojaṃ pakkhipiṃsu. Bhagavā paribhuñji , evaṃ temāsaṃ yavaṃ paribhuñji. Temāsaccayena mārāvaṭṭane vigate pavāraṇādivase verañjo brāhmaṇo saritvā mahāsaṃvegappatto buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā vanditvā khamāpesi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ผุสฺสสฺสาหํ ปาวจเน, สาวเก ปริภาสยิํ;

    ‘‘Phussassāhaṃ pāvacane, sāvake paribhāsayiṃ;

    ยวํ ขาทถ ภุญฺชถ, มา จ ภุญฺชถ สาลโยฯ

    Yavaṃ khādatha bhuñjatha, mā ca bhuñjatha sālayo.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, เตมาสํ ขาทิตํ ยวํ;

    ‘‘Tena kammavipākena, temāsaṃ khāditaṃ yavaṃ;

    นิมนฺติโต พฺราหฺมเณน, เวรญฺชายํ วสิํ ตทา’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๘๘-๘๙);

    Nimantito brāhmaṇena, verañjāyaṃ vasiṃ tadā’’ti. (apa. thera 1.39.88-89);

    เอกาทสมปเญฺห – ปิฎฺฐิทุกฺขนฺติ ปิฎฺฐิอาพาโธฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต คหปติกุเล นิพฺพโตฺต ถามสมฺปโนฺน กิญฺจิ รสฺสธาตุโก อโหสิฯ เตน สมเยน เอโก มลฺลยุทฺธโยโธ สกลชมฺพุทีเป คามนิคมราชธานีสุ มลฺลยุเทฺธ วตฺตมาเน ปุริเส ปาเตตฺวา ชยปฺปโตฺต กเมน โพธิสตฺตสฺส วสนนครํ ปตฺวา ตสฺมิมฺปิ ชเน ปาเตตฺวา คนฺตุมารโทฺธฯ ตทา โพธิสโตฺต ‘‘มยฺหํ วสนฎฺฐาเน เอส ชยํ ปตฺวา คจฺฉตี’’ติ ตตฺถ นครมณฺฑลมาคมฺม อโปฺปเฎตฺวา อาคจฺฉ มยา สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา คจฺฉาติฯ โส หสิตฺวา ‘‘อหํ มหเนฺต ปุริเส ปาเตสิํ, อยํ รสฺสธาตุโก วามนโก มม เอกหตฺถสฺสาปิ นปฺปโหตี’’ติ อโปฺปเฎตฺวา นทิตฺวา อาคจฺฉิฯ เต อุโภปิ อญฺญมญฺญํ หตฺถํ ปรามสิํสุ, โพธิสโตฺต ตํ อุกฺขิปิตฺวา อากาเส ภมิตฺวา ภูมิยํ ปาเตโนฺต ขนฺธฎฺฐิํ ภินฺทิตฺวา ปาเตสิฯ สกลนครวาสิโน อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺตา อโปฺปเฎตฺวา วตฺถาภรณาทีหิ โพธิสตฺตํ ปูเชสุํฯ โพธิสโตฺต ตํ มลฺลโยธํ อุชุํ สยาเปตฺวา ขนฺธฎฺฐิํ อุชุกํ กตฺวา ‘‘คจฺฉ อิโต ปฎฺฐาย เอวรูปํ มา กโรสี’’ติ วตฺวา อุโยฺยเชสิฯ โส เตน กมฺมวิปาเกน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตภเว สรีรสีสาทิ ทุกฺขมนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ ปจฺฉิมตฺตภาเว พุทฺธภูโตปิ ปิฎฺฐิรุชาทิทุกฺขมนุโภสิฯ ตสฺมา กทาจิ ปิฎฺฐิทุเกฺข อุปฺปเนฺน สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเน ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ธมฺมํ เทเสถา’’ติ วตฺวา สยํ สุคตจีวรํ ปญฺญาเปตฺวา สยติ, กมฺมปิโลติกํ นาม พุทฺธมปิ น มุญฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Ekādasamapañhe – piṭṭhidukkhanti piṭṭhiābādho. Atīte kira bodhisatto gahapatikule nibbatto thāmasampanno kiñci rassadhātuko ahosi. Tena samayena eko mallayuddhayodho sakalajambudīpe gāmanigamarājadhānīsu mallayuddhe vattamāne purise pātetvā jayappatto kamena bodhisattassa vasananagaraṃ patvā tasmimpi jane pātetvā gantumāraddho. Tadā bodhisatto ‘‘mayhaṃ vasanaṭṭhāne esa jayaṃ patvā gacchatī’’ti tattha nagaramaṇḍalamāgamma appoṭetvā āgaccha mayā saddhiṃ yujjhitvā gacchāti. So hasitvā ‘‘ahaṃ mahante purise pātesiṃ, ayaṃ rassadhātuko vāmanako mama ekahatthassāpi nappahotī’’ti appoṭetvā naditvā āgacchi. Te ubhopi aññamaññaṃ hatthaṃ parāmasiṃsu, bodhisatto taṃ ukkhipitvā ākāse bhamitvā bhūmiyaṃ pātento khandhaṭṭhiṃ bhinditvā pātesi. Sakalanagaravāsino ukkuṭṭhiṃ karontā appoṭetvā vatthābharaṇādīhi bodhisattaṃ pūjesuṃ. Bodhisatto taṃ mallayodhaṃ ujuṃ sayāpetvā khandhaṭṭhiṃ ujukaṃ katvā ‘‘gaccha ito paṭṭhāya evarūpaṃ mā karosī’’ti vatvā uyyojesi. So tena kammavipākena nibbattanibbattabhave sarīrasīsādi dukkhamanubhavitvā imasmiṃ pacchimattabhāve buddhabhūtopi piṭṭhirujādidukkhamanubhosi. Tasmā kadāci piṭṭhidukkhe uppanne sāriputtamoggallāne ‘‘ito paṭṭhāya dhammaṃ desethā’’ti vatvā sayaṃ sugatacīvaraṃ paññāpetvā sayati, kammapilotikaṃ nāma buddhamapi na muñcati. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘นิพฺพุเทฺธ วตฺตมานมฺหิ, มลฺลปุตฺตํ นิเหฐยิํ;

    ‘‘Nibbuddhe vattamānamhi, mallaputtaṃ niheṭhayiṃ;

    เตน กมฺมวิปาเกน, ปิฎฺฐิทุกฺขํ อหู มมา’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๙๐);

    Tena kammavipākena, piṭṭhidukkhaṃ ahū mamā’’ti. (apa. thera 1.39.90);

    ทฺวาทสมปเญฺห – อติสาโรติ โลหิตปกฺขนฺทิกาวิเรจนํฯ อตีเต กิร โพธิสโตฺต คหปติกุเล นิพฺพโตฺต เวชฺชกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปสิฯ โส เอกํ เสฎฺฐิปุตฺตํ โรเคน วิจฺฉิตํ ติกิจฺฉโนฺต เภสชฺชํ กตฺวา ติกิจฺฉิตฺวา ตสฺส เทยฺยธมฺมทาเน ปมาทมาคมฺม อปรํ โอสธํ ทตฺวา วมนวิเรจนํ อกาสิฯ เสฎฺฐิ พหุธนํ อทาสิฯ โส เตน กมฺมวิปาเกน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตภเว โลหิตปกฺขนฺทิกาพาเธน วิจฺฉิโต อโหสิฯ อิมสฺมิมฺปิ ปจฺฉิมตฺตภาเว ปรินิพฺพานสมเย จุเนฺทน กมฺมารปุเตฺตน ปจิตสูกรมทฺทวสฺส สกลจกฺกวาฬเทวตาหิ ปกฺขิตฺตทิโพฺพเชน อาหาเรน สห ภุตฺตกฺขเณ โลหิตปกฺขนฺทิกาวิเรจนํ อโหสิฯ โกฎิสตสหสฺสานํ หตฺถีนํ พลํ ขยมคมาสิฯ ภควา วิสาขปุณฺณมายํ กุสินารายํ ปรินิพฺพานตฺถาย คจฺฉโนฺต อเนเกสุ ฐาเนสุ นิสีทโนฺต ปิปาสิโต ปานียํ ปิวิตฺวา มหาทุเกฺขน กุสินารํ ปตฺวา ปจฺจูสสมเย ปรินิพฺพายิฯ กมฺมปิโลติกํ เอวรูปํ โลกตฺตยสามิมฺปิ น วิชหติฯ เตน วุตฺตํ –

    Dvādasamapañhe – atisāroti lohitapakkhandikāvirecanaṃ. Atīte kira bodhisatto gahapatikule nibbatto vejjakammena jīvikaṃ kappesi. So ekaṃ seṭṭhiputtaṃ rogena vicchitaṃ tikicchanto bhesajjaṃ katvā tikicchitvā tassa deyyadhammadāne pamādamāgamma aparaṃ osadhaṃ datvā vamanavirecanaṃ akāsi. Seṭṭhi bahudhanaṃ adāsi. So tena kammavipākena nibbattanibbattabhave lohitapakkhandikābādhena vicchito ahosi. Imasmimpi pacchimattabhāve parinibbānasamaye cundena kammāraputtena pacitasūkaramaddavassa sakalacakkavāḷadevatāhi pakkhittadibbojena āhārena saha bhuttakkhaṇe lohitapakkhandikāvirecanaṃ ahosi. Koṭisatasahassānaṃ hatthīnaṃ balaṃ khayamagamāsi. Bhagavā visākhapuṇṇamāyaṃ kusinārāyaṃ parinibbānatthāya gacchanto anekesu ṭhānesu nisīdanto pipāsito pānīyaṃ pivitvā mahādukkhena kusināraṃ patvā paccūsasamaye parinibbāyi. Kammapilotikaṃ evarūpaṃ lokattayasāmimpi na vijahati. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ติกิจฺฉโก อหํ อาสิํ, เสฎฺฐิปุตฺตํ วิเรจยิํ;

    ‘‘Tikicchako ahaṃ āsiṃ, seṭṭhiputtaṃ virecayiṃ;

    เตน กมฺมวิปาเกน, โหติ ปกฺขนฺทิกา มมาติฯ

    Tena kammavipākena, hoti pakkhandikā mamāti.

    ‘‘เอวํ ชิโน วิยากาสิ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อคฺคโต;

    ‘‘Evaṃ jino viyākāsi, bhikkhusaṅghassa aggato;

    สพฺพาภิญฺญาพลปฺปโตฺต, อโนตเตฺต มหาสเร’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๙๑, ๙๖);

    Sabbābhiññābalappatto, anotatte mahāsare’’ti. (apa. thera 1.39.91, 96);

    เอวํ ปฎิญฺญาตปญฺหานํ, มาติกาฐปนวเสน อกุสลาปทานํ สมตฺตํ นาม โหตีติ วุตฺตํ อิตฺถํ สุทนฺติ อิตฺถํ อิมินา ปกาเรน เหฎฺฐา วุตฺตนเยนฯ สุทนฺติ นิปาโต ปทปูรณเตฺถ อาคโตฯ ภควา ภาคฺยสมฺปโนฺน ปูริตปารมิมหาสโตฺต –

    Evaṃ paṭiññātapañhānaṃ, mātikāṭhapanavasena akusalāpadānaṃ samattaṃ nāma hotīti vuttaṃ itthaṃ sudanti itthaṃ iminā pakārena heṭṭhā vuttanayena. Sudanti nipāto padapūraṇatthe āgato. Bhagavā bhāgyasampanno pūritapāramimahāsatto –

    ‘‘ภาคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;

    ‘‘Bhāgyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;

    ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ –

    Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti. –

    เอวมาทิคุณยุโตฺต เทวาติเทโว สกฺกาติสโกฺก พฺรหฺมาติพฺรหฺมา พุทฺธาติพุโทฺธ โส มหาการุณิโก ภควา อตฺตโน พุทฺธจริยํ พุทฺธการณํ สมฺภาวยมาโน ปากฎํ กุรุมาโน พุทฺธาปทานิยํ นาม พุทฺธการณปกาสกํ นาม ธมฺมปริยายํ ธมฺมเทสนํ สุตฺตํ อภาสิตฺถ กเถสีติฯ

    Evamādiguṇayutto devātidevo sakkātisakko brahmātibrahmā buddhātibuddho so mahākāruṇiko bhagavā attano buddhacariyaṃ buddhakāraṇaṃ sambhāvayamāno pākaṭaṃ kurumāno buddhāpadāniyaṃ nāma buddhakāraṇapakāsakaṃ nāma dhammapariyāyaṃ dhammadesanaṃ suttaṃ abhāsittha kathesīti.

    อิติ วิสุทฺธชนวิลาสินิยา อปทาน-อฎฺฐกถาย

    Iti visuddhajanavilāsiniyā apadāna-aṭṭhakathāya

    พุทฺธอปทานสํวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Buddhaapadānasaṃvaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๑. พุทฺธอปทานํ • 1. Buddhaapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact