Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
พุทฺธาจิณฺณกถา
Buddhāciṇṇakathā
๒๒. เอวํ ธมฺมเสนาปติํ สญฺญาเปตฺวา เวรญฺชายํ ตํ วสฺสาวาสํ วีตินาเมตฺวา วุตฺถวโสฺส มหาปวารณาย ปวาเรตฺวา อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิฯ อามเนฺตสีติ อาลปิ อภาสิ สโมฺพเธสิฯ กินฺติ? อาจิณฺณํ โข ปเนตนฺติ เอวมาทิฯ อาจิณฺณนฺติ จริตํ วตฺตํ อนุธมฺมตาฯ ตํ โข ปเนตํ อาจิณฺณํ ทุวิธํ โหติ – พุทฺธาจิณฺณํ, สาวกาจิณฺณนฺติฯ กตมํ พุทฺธาจิณฺณํ? อิทํ ตาว เอกํ – เยหิ นิมนฺติตา วสฺสํ วสนฺติ, น เต อนปโลเกตฺวา อนาปุจฺฉิตฺวา ชนปทจาริกํ ปกฺกมนฺติฯ สาวกา ปน อปโลเกตฺวา วา อนปโลเกตฺวา วา ยถาสุขํ ปกฺกมนฺติฯ
22. Evaṃ dhammasenāpatiṃ saññāpetvā verañjāyaṃ taṃ vassāvāsaṃ vītināmetvā vutthavasso mahāpavāraṇāya pavāretvā atha kho bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi. Āmantesīti ālapi abhāsi sambodhesi. Kinti? Āciṇṇaṃ kho panetanti evamādi. Āciṇṇanti caritaṃ vattaṃ anudhammatā. Taṃ kho panetaṃ āciṇṇaṃ duvidhaṃ hoti – buddhāciṇṇaṃ, sāvakāciṇṇanti. Katamaṃ buddhāciṇṇaṃ? Idaṃ tāva ekaṃ – yehi nimantitā vassaṃ vasanti, na te anapaloketvā anāpucchitvā janapadacārikaṃ pakkamanti. Sāvakā pana apaloketvā vā anapaloketvā vā yathāsukhaṃ pakkamanti.
อปรมฺปิ พุทฺธาจิณฺณํ – วุตฺถวสฺสา ปวาเรตฺวา ชนสงฺคหตฺถาย ชนปทจาริกํ ปกฺกมนฺติเยวฯ ชนปทจาริกํ จรนฺตา จ มหามณฺฑลํ มชฺฌิมมณฺฑลํ อนฺติมมณฺฑลนฺติ อิเมสํ ติณฺณํ มณฺฑลานํ อญฺญตรสฺมิํ มณฺฑเล จรนฺติฯ ตตฺถ มหามณฺฑลํ นวโยชนสติกํ, มชฺฌิมมณฺฑลํ ฉโยชนสติกํ, อนฺติมมณฺฑลํ ติโยชนสติกํฯ ยทา มหามณฺฑเล จาริกํ จริตุกามา โหนฺติ, ตทา มหาปวารณาย ปวาเรตฺวา ปาฎิปททิวเส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวารา นิกฺขมิตฺวา คามนิคมาทีสุ มหาชนํ อามิสปฎิคฺคเหน อนุคฺคณฺหนฺตา ธมฺมทาเนน จสฺส วิวฎฺฎุปนิสฺสิตํ กุสลํ วเฑฺฒนฺตา นวหิ มาเสหิ ชนปทจาริกํ ปริโยสาเปนฺติฯ สเจ ปน อโนฺตวเสฺส ภิกฺขูนํ สมถวิปสฺสนา ตรุณา โหนฺติ, มหาปวารณาย อปฺปวาเรตฺวา ปวารณาสงฺคหํ ทตฺวา กตฺติกปุณฺณมายํ ปวาเรตฺวา มาคสิรสฺส ปฐมทิวเส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวารา นิกฺขมิตฺวา วุตฺตนเยเนว มชฺฌิมมณฺฑเล อฎฺฐหิ มาเสหิ จาริกํ ปริโยสาเปนฺติฯ สเจ ปน เนสํ วุตฺถวสฺสานํ อปริปากินฺทฺริยา เวเนยฺยสตฺตา โหนฺติ, เตสํ อินฺทฺริยปริปากํ อาคเมนฺตา มาคสิรมาสมฺปิ ตเตฺถว วสิตฺวา ผุสฺสมาสสฺส ปฐมทิวเส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวารา นิกฺขมิตฺวา วุตฺตนเยเนว อนฺติมมณฺฑเล สตฺตหิ มาเสหิ จาริกํ ปริโยสาเปนฺติฯ เตสุ จ มณฺฑเลสุ ยตฺถ กตฺถจิ วิจรนฺตาปิ เต เต สเตฺต กิเลเสหิ วิโยเชนฺตา โสตาปตฺติผลาทีหิ ปโยเชนฺตา เวเนยฺยวเสเนว นานาวณฺณานิ ปุปฺผานิ โอจินนฺตา วิย จรนฺติฯ
Aparampi buddhāciṇṇaṃ – vutthavassā pavāretvā janasaṅgahatthāya janapadacārikaṃ pakkamantiyeva. Janapadacārikaṃ carantā ca mahāmaṇḍalaṃ majjhimamaṇḍalaṃ antimamaṇḍalanti imesaṃ tiṇṇaṃ maṇḍalānaṃ aññatarasmiṃ maṇḍale caranti. Tattha mahāmaṇḍalaṃ navayojanasatikaṃ, majjhimamaṇḍalaṃ chayojanasatikaṃ, antimamaṇḍalaṃ tiyojanasatikaṃ. Yadā mahāmaṇḍale cārikaṃ caritukāmā honti, tadā mahāpavāraṇāya pavāretvā pāṭipadadivase mahābhikkhusaṅghaparivārā nikkhamitvā gāmanigamādīsu mahājanaṃ āmisapaṭiggahena anuggaṇhantā dhammadānena cassa vivaṭṭupanissitaṃ kusalaṃ vaḍḍhentā navahi māsehi janapadacārikaṃ pariyosāpenti. Sace pana antovasse bhikkhūnaṃ samathavipassanā taruṇā honti, mahāpavāraṇāya appavāretvā pavāraṇāsaṅgahaṃ datvā kattikapuṇṇamāyaṃ pavāretvā māgasirassa paṭhamadivase mahābhikkhusaṅghaparivārā nikkhamitvā vuttanayeneva majjhimamaṇḍale aṭṭhahi māsehi cārikaṃ pariyosāpenti. Sace pana nesaṃ vutthavassānaṃ aparipākindriyā veneyyasattā honti, tesaṃ indriyaparipākaṃ āgamentā māgasiramāsampi tattheva vasitvā phussamāsassa paṭhamadivase mahābhikkhusaṅghaparivārā nikkhamitvā vuttanayeneva antimamaṇḍale sattahi māsehi cārikaṃ pariyosāpenti. Tesu ca maṇḍalesu yattha katthaci vicarantāpi te te satte kilesehi viyojentā sotāpattiphalādīhi payojentā veneyyavaseneva nānāvaṇṇāni pupphāni ocinantā viya caranti.
อปรมฺปิ พุทฺธานํ อาจิณฺณํ – เทวสิกํ ปจฺจูสสมเย สนฺตํ สุขํ นิพฺพานารมฺมณํ กตฺวา ผลสมาปตฺติสมาปชฺชนํ, ผลสมาปตฺติยา วุฎฺฐหิตฺวา เทวสิกํ มหากรุณาสมาปตฺติยา สมาปชฺชนํ, ตโต วุฎฺฐหิตฺวา ทสสหสฺสจกฺกวาเฬ โพธเนยฺยสตฺตสมวโลกนํฯ
Aparampi buddhānaṃ āciṇṇaṃ – devasikaṃ paccūsasamaye santaṃ sukhaṃ nibbānārammaṇaṃ katvā phalasamāpattisamāpajjanaṃ, phalasamāpattiyā vuṭṭhahitvā devasikaṃ mahākaruṇāsamāpattiyā samāpajjanaṃ, tato vuṭṭhahitvā dasasahassacakkavāḷe bodhaneyyasattasamavalokanaṃ.
อปรมฺปิ พุทฺธานํ อาจิณฺณํ – อาคนฺตุเกหิ สทฺธิํ ปฐมตรํ ปฎิสนฺถารกรณํ, อฎฺฐุปฺปตฺติวเสน ธมฺมเทสนา, โอติเณฺณ โทเส สิกฺขาปทปญฺญาปนนฺติ อิทํ พุทฺธาจิณฺณํฯ
Aparampi buddhānaṃ āciṇṇaṃ – āgantukehi saddhiṃ paṭhamataraṃ paṭisanthārakaraṇaṃ, aṭṭhuppattivasena dhammadesanā, otiṇṇe dose sikkhāpadapaññāpananti idaṃ buddhāciṇṇaṃ.
กตมํ สาวกาจิณฺณํ? พุทฺธสฺส ภควโต กาเล ทฺวิกฺขตฺตุํ สนฺนิปาโต ปุเร วสฺสูปนายิกาย จ กมฺมฎฺฐานคฺคหณตฺถํ, วุตฺถวสฺสานญฺจ อธิคตคุณาโรจนตฺถํ อุปริ กมฺมฎฺฐานคฺคหณตฺถญฺจ ฯ อิทํ สาวกาจิณฺณํฯ อิธ ปน พุทฺธาจิณฺณํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘อาจิณฺณํ โข ปเนตํ, อานนฺท, ตถาคตาน’’นฺติฯ
Katamaṃ sāvakāciṇṇaṃ? Buddhassa bhagavato kāle dvikkhattuṃ sannipāto pure vassūpanāyikāya ca kammaṭṭhānaggahaṇatthaṃ, vutthavassānañca adhigataguṇārocanatthaṃ upari kammaṭṭhānaggahaṇatthañca . Idaṃ sāvakāciṇṇaṃ. Idha pana buddhāciṇṇaṃ dassento āha – ‘‘āciṇṇaṃ kho panetaṃ, ānanda, tathāgatāna’’nti.
อายามาติ อาคจฺฉ ยามฯ อปโลเกสฺสามาติ จาริกํ จรณตฺถาย อาปุจฺฉิสฺสามฯ เอวนฺติ สมฺปฎิจฺฉนเตฺถ นิปาโตฯ ภเนฺตติ คารวาธิวจนเมตํ; สตฺถุโน ปฎิวจนทานนฺติปิ วฎฺฎติฯ ภควโต ปจฺจโสฺสสีติ ภควโต วจนํ ปฎิอโสฺสสิ, อภิมุโข หุตฺวา สุณิ สมฺปฎิจฺฉิฯ เอวนฺติ อิมินา วจเนน ปฎิคฺคเหสีติ วุตฺตํ โหติฯ
Āyāmāti āgaccha yāma. Apalokessāmāti cārikaṃ caraṇatthāya āpucchissāma. Evanti sampaṭicchanatthe nipāto. Bhanteti gāravādhivacanametaṃ; satthuno paṭivacanadānantipi vaṭṭati. Bhagavato paccassosīti bhagavato vacanaṃ paṭiassosi, abhimukho hutvā suṇi sampaṭicchi. Evanti iminā vacanena paṭiggahesīti vuttaṃ hoti.
อถ โข ภควา นิวาเสตฺวาติ อิธ ปุพฺพณฺหสมยนฺติ วา สายนฺหสมยนฺติ วา น วุตฺตํฯ เอวํ สเนฺตปิ ภควา กตภตฺตกิโจฺจ มชฺฌนฺหิกํ วีตินาเมตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ปจฺฉาสมณํ กตฺวา นครทฺวารโต ปฎฺฐาย นครวีถิโย สุวณฺณรสปิญฺชราหิ รํสีหิ สมุโชฺชตยมาโน เยน เวรญฺชสฺส พฺราหฺมณสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิฯ ฆรทฺวาเร ฐิตมตฺตเมว จสฺส ภควนฺตํ ทิสฺวา ปริชโน อาโรเจสิฯ พฺราหฺมโณ สติํ ปฎิลภิตฺวา สํเวคชาโต สหสา วุฎฺฐาย มหารหํ อาสนํ ปญฺญเปตฺวา ภควนฺตํ ปจฺจุคฺคมฺม ‘‘อิโต, ภควา, อุปสงฺกมตู’’ติ อาหฯ ภควา อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข เวรโญฺช พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ อุปนิสีทิตุกาโม อตฺตนา ฐิตปเทสโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ อิโต ปรํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
Atha kho bhagavā nivāsetvāti idha pubbaṇhasamayanti vā sāyanhasamayanti vā na vuttaṃ. Evaṃ santepi bhagavā katabhattakicco majjhanhikaṃ vītināmetvā āyasmantaṃ ānandaṃ pacchāsamaṇaṃ katvā nagaradvārato paṭṭhāya nagaravīthiyo suvaṇṇarasapiñjarāhi raṃsīhi samujjotayamāno yena verañjassa brāhmaṇassa nivesanaṃ tenupasaṅkami. Gharadvāre ṭhitamattameva cassa bhagavantaṃ disvā parijano ārocesi. Brāhmaṇo satiṃ paṭilabhitvā saṃvegajāto sahasā vuṭṭhāya mahārahaṃ āsanaṃ paññapetvā bhagavantaṃ paccuggamma ‘‘ito, bhagavā, upasaṅkamatū’’ti āha. Bhagavā upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Atha kho verañjo brāhmaṇo bhagavantaṃ upanisīditukāmo attanā ṭhitapadesato yena bhagavā tenupasaṅkami. Ito paraṃ uttānatthameva.
ยํ ปน พฺราหฺมโณ อาห – ‘‘อปิจ โย เทยฺยธโมฺม, โส น ทิโนฺน’’ติฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – มยา นิมนฺติตานํ วสฺสํวุตฺถานํ ตุมฺหากํ เตมาสํ ทิวเส ทิวเส ปาโต ยาคุขชฺชกํ, มชฺฌนฺหิเก ขาทนียโภชนียํ, สายเนฺห อเนกวิธ ปานวิกติ คนฺธปุปฺผาทีหิ ปูชาสกฺกาโรติ เอวมาทิโก โย เทยฺยธโมฺม ทาตโพฺพ อสฺส, โส น ทิโนฺนติฯ ตญฺจ โข โน อสนฺตนฺติ เอตฺถ ปน ลิงฺควิปลฺลาโส เวทิตโพฺพฯ โส จ โข เทยฺยธโมฺม อมฺหากํ โน อสโนฺตติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ อถ วา ยํ ทานวตฺถุํ มยํ ตุมฺหากํ ทเทยฺยาม, ตญฺจ โข โน อสนฺตนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Yaṃ pana brāhmaṇo āha – ‘‘apica yo deyyadhammo, so na dinno’’ti. Tatrāyamadhippāyo – mayā nimantitānaṃ vassaṃvutthānaṃ tumhākaṃ temāsaṃ divase divase pāto yāgukhajjakaṃ, majjhanhike khādanīyabhojanīyaṃ, sāyanhe anekavidha pānavikati gandhapupphādīhi pūjāsakkāroti evamādiko yo deyyadhammo dātabbo assa, so na dinnoti. Tañca kho no asantanti ettha pana liṅgavipallāso veditabbo. So ca kho deyyadhammo amhākaṃ no asantoti ayañhettha attho. Atha vā yaṃ dānavatthuṃ mayaṃ tumhākaṃ dadeyyāma, tañca kho no asantanti evamettha attho veditabbo.
โนปิ อทาตุกมฺยตาติ อทาตุกามตาปิ โน นตฺถิ, ยถา ปหูตวิตฺตูปกรณานํ มจฺฉรีนํฯ ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา พหุกิจฺจา ฆราวาสาติ ตตฺรายํ โยชนา – ยสฺมา พหุกิจฺจา ฆราวาสา, ตสฺมา เอตฺถ สเนฺตปิ เทยฺยธเมฺม ทาตุกมฺยตาย จ ตํ กุโต ลพฺภา กุโต ตํ สกฺกา ลทฺธุํ, ยํ มยํ ตุมฺหากํ เทยฺยธมฺมํ ทเทยฺยามาติ ฆราวาสํ ครหโนฺต อาหฯ โส กิร มาเรน อาวฎฺฎิตภาวํ น ชานาติ, ‘‘ฆราวาสปลิโพเธน เม สติสโมฺมโส ชาโต’’ติ มญฺญิ, ตสฺมา เอวมาหฯ อปิจ – ตํ กุเตตฺถ ลพฺภาติ อิมสฺมิํ เตมาสพฺภนฺตเร ยมหํ ตุมฺหากํ ทเทยฺยํ, ตํ กุโต ลพฺภา? พหุกิจฺจา หิ ฆราวาสาติ เอวเมตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
Nopiadātukamyatāti adātukāmatāpi no natthi, yathā pahūtavittūpakaraṇānaṃ maccharīnaṃ. Taṃ kutettha labbhā bahukiccā gharāvāsāti tatrāyaṃ yojanā – yasmā bahukiccā gharāvāsā, tasmā ettha santepi deyyadhamme dātukamyatāya ca taṃ kuto labbhā kuto taṃ sakkā laddhuṃ, yaṃ mayaṃ tumhākaṃ deyyadhammaṃ dadeyyāmāti gharāvāsaṃ garahanto āha. So kira mārena āvaṭṭitabhāvaṃ na jānāti, ‘‘gharāvāsapalibodhena me satisammoso jāto’’ti maññi, tasmā evamāha. Apica – taṃ kutettha labbhāti imasmiṃ temāsabbhantare yamahaṃ tumhākaṃ dadeyyaṃ, taṃ kuto labbhā? Bahukiccā hi gharāvāsāti evamettha yojanā veditabbā.
อถ พฺราหฺมโณ ‘‘ยํนูนาหํ ยํ เม ตีหิ มาเสหิ ทาตพฺพํ สิยา, ตํ สพฺพํ เอกทิวเสเนว ทเทยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อธิวาเสตุ เม ภวํ โคตโมติอาทิมาหฯ ตตฺถ สฺวาตนายาติ ยํ เม ตุเมฺหสุ สกฺการํ กโรโต เสฺว ภวิสฺสติ ปุญฺญเญฺจว ปีติปาโมชฺชญฺจ, ตทตฺถายฯ อถ ตถาคโต ‘‘สเจ อหํ นาธิวาเสยฺยํ, ‘อยํ เตมาสํ กิญฺจิ อลทฺธา กุปิโต มเญฺญ, เตน เม ยาจิยมาโน เอกภตฺตมฺปิ น ปฎิคฺคณฺหาติ, นตฺถิ อิมสฺมิํ อธิวาสนขนฺติ, อสพฺพญฺญู อย’นฺติ เอวํ พฺราหฺมโณ จ เวรญฺชาวาสิโน จ ครหิตฺวา พหุํ อปุญฺญํ ปสเวยฺยุํ, ตํ เตสํ มา อโหสี’’ติ เตสํ อนุกมฺปาย อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ
Atha brāhmaṇo ‘‘yaṃnūnāhaṃ yaṃ me tīhi māsehi dātabbaṃ siyā, taṃ sabbaṃ ekadivaseneva dadeyya’’nti cintetvā adhivāsetu me bhavaṃ gotamotiādimāha. Tattha svātanāyāti yaṃ me tumhesu sakkāraṃ karoto sve bhavissati puññañceva pītipāmojjañca, tadatthāya. Atha tathāgato ‘‘sace ahaṃ nādhivāseyyaṃ, ‘ayaṃ temāsaṃ kiñci aladdhā kupito maññe, tena me yāciyamāno ekabhattampi na paṭiggaṇhāti, natthi imasmiṃ adhivāsanakhanti, asabbaññū aya’nti evaṃ brāhmaṇo ca verañjāvāsino ca garahitvā bahuṃ apuññaṃ pasaveyyuṃ, taṃ tesaṃ mā ahosī’’ti tesaṃ anukampāya adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena.
อธิวาเสตฺวา จ อถ โข ภควา เวรญฺชํ พฺราหฺมณํ ‘‘อลํ ฆราวาสปลิโพธจินฺตายา’’ติ สญฺญาเปตฺวา ตงฺขณานุรูปาย ธมฺมิยา กถาย ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกํ อตฺถํ สนฺทเสฺสตฺวา กุสเล ธเมฺม สมาทเปตฺวา คณฺหาเปตฺวา ตตฺถ จ นํ สมุเตฺตเชตฺวา สอุสฺสาหํ กตฺวา ตาย สอุสฺสาหตาย อเญฺญหิ จ วิชฺชมานคุเณหิ สมฺปหํเสตฺวา ธมฺมรตนวสฺสํ วเสฺสตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ ปกฺกเนฺต จ ปน ภควติ เวรโญฺช พฺราหฺมโณ ปุตฺตทารํ อามเนฺตสิ – ‘‘มยํ, ภเณ, ภควนฺตํ เตมาสํ นิมเนฺตตฺวา เอกทิวสํ เอกภตฺตมฺปิ นาทมฺหฯ หนฺท, ทานิ ตถา ทานํ ปฎิยาเทถ ยถา เตมาสิโกปิ เทยฺยธโมฺม เสฺว เอกทิวเสเนว ทาตุํ สกฺกา โหตี’’ติฯ ตโต ปณีตํ ทานํ ปฎิยาทาเปตฺวา ยํ ทิวสํ ภควา นิมนฺติโต, ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน อาสนฎฺฐานํ อลงฺการาเปตฺวา มหารหานิ อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา คนฺธธูมวาสกุสุมวิจิตฺรํ มหาปูชํ สเชฺชตฺวา ภควโต กาลํ อาโรจาเปสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข เวรโญฺช พฺราหฺมโณ ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน…เป.… นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’นฺติฯ
Adhivāsetvā ca atha kho bhagavā verañjaṃ brāhmaṇaṃ ‘‘alaṃ gharāvāsapalibodhacintāyā’’ti saññāpetvā taṅkhaṇānurūpāya dhammiyā kathāya diṭṭhadhammikasamparāyikaṃ atthaṃ sandassetvā kusale dhamme samādapetvā gaṇhāpetvā tattha ca naṃ samuttejetvā saussāhaṃ katvā tāya saussāhatāya aññehi ca vijjamānaguṇehi sampahaṃsetvā dhammaratanavassaṃ vassetvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Pakkante ca pana bhagavati verañjo brāhmaṇo puttadāraṃ āmantesi – ‘‘mayaṃ, bhaṇe, bhagavantaṃ temāsaṃ nimantetvā ekadivasaṃ ekabhattampi nādamha. Handa, dāni tathā dānaṃ paṭiyādetha yathā temāsikopi deyyadhammo sve ekadivaseneva dātuṃ sakkā hotī’’ti. Tato paṇītaṃ dānaṃ paṭiyādāpetvā yaṃ divasaṃ bhagavā nimantito, tassā rattiyā accayena āsanaṭṭhānaṃ alaṅkārāpetvā mahārahāni āsanāni paññapetvā gandhadhūmavāsakusumavicitraṃ mahāpūjaṃ sajjetvā bhagavato kālaṃ ārocāpesi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho verañjo brāhmaṇo tassā rattiyā accayena…pe… niṭṭhitaṃ bhatta’’nti.
๒๓. ภควา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ตตฺถ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา…เป.… นิสีทิ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนา’’ติฯ อถ โข เวรโญฺช พฺราหฺมโณ พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆนฺติ พุทฺธปฺปมุขนฺติ พุทฺธปริณายกํ; พุทฺธํ สงฺฆเตฺถรํ กตฺวา นิสินฺนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ปณีเตนาติ อุตฺตเมนฯ สหตฺถาติ สหเตฺถนฯ สนฺตเปฺปตฺวาติ สุฎฺฐุ ตเปฺปตฺวา, ปริปุณฺณํ สุหิตํ ยาวทตฺถํ กตฺวาฯ สมฺปวาเรตฺวาติ สุฎฺฐุ ปวาเรตฺวา ‘อล’นฺติ หตฺถสญฺญาย มุขสญฺญาย วจีเภเทน จ ปฎิกฺขิปาเปตฺวาฯ ภุตฺตาวินฺติ ภุตฺตวนฺตํฯ โอนีตปตฺตปาณินฺติ ปตฺตโต โอนีตปาณิํ; อปนีตหตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ติจีวเรน อจฺฉาเทสีติ ติจีวรํ ภควโต อทาสิฯ อิทํ ปน โวหารวจนมตฺตํ โหติ ‘‘ติจีวเรน อจฺฉาเทสี’’ติ, ตสฺมิญฺจ ติจีวเร เอกเมโก สาฎโก สหสฺสํ อคฺฆติฯ อิติ พฺราหฺมโณ ภควโต ติสหสฺสคฺฆนกํ ติจีวรมทาสิ อุตฺตมํ กาสิกวตฺถสทิสํฯ เอกเมกญฺจ ภิกฺขุํ เอกเมเกน ทุสฺสยุเคนาติ เอกเมเกน ทุสฺสยุคเฬนฯ ตตฺร เอกสาฎโก ปญฺจสตานิ อคฺฆติฯ เอวํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ ปญฺจสตสหสฺสคฺฆนกานิ ทุสฺสานิ อทาสิฯ พฺราหฺมโณ เอตฺตกมฺปิ ทตฺวา อตุโฎฺฐ ปุน สตฺตฎฺฐสหสฺสคฺฆนเก อเนกรตฺตกมฺพเล จ ปฎฺฎุณฺณปตฺตปเฎ จ ผาเลตฺวา ผาเลตฺวา อาโยคอํสพทฺธกกายพนฺธนปริสฺสาวนาทีนํ อตฺถาย อทาสิฯ สตปากสหสฺสปากานญฺจ เภสชฺชเตลานํ ตุมฺพานิ ปูเรตฺวา เอกเมกสฺส ภิกฺขุโน อพฺภญฺชนตฺถาย สหสฺสคฺฆนกํ เตลมทาสิฯ กิํ พหุนา, จตูสุ ปจฺจเยสุ น โกจิ ปริกฺขาโร สมณปริโภโค อทิโนฺน นาม อโหสิฯ ปาฬิยํ ปน จีวรมตฺตเมว วุตฺตํฯ
23. Bhagavā bhikkhusaṅghaparivuto tattha agamāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavā…pe… nisīdi saddhiṃ bhikkhusaṅghenā’’ti. Atha kho verañjo brāhmaṇo buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghanti buddhappamukhanti buddhapariṇāyakaṃ; buddhaṃ saṅghattheraṃ katvā nisinnanti vuttaṃ hoti. Paṇītenāti uttamena. Sahatthāti sahatthena. Santappetvāti suṭṭhu tappetvā, paripuṇṇaṃ suhitaṃ yāvadatthaṃ katvā. Sampavāretvāti suṭṭhu pavāretvā ‘ala’nti hatthasaññāya mukhasaññāya vacībhedena ca paṭikkhipāpetvā. Bhuttāvinti bhuttavantaṃ. Onītapattapāṇinti pattato onītapāṇiṃ; apanītahatthanti vuttaṃ hoti. Ticīvarena acchādesīti ticīvaraṃ bhagavato adāsi. Idaṃ pana vohāravacanamattaṃ hoti ‘‘ticīvarena acchādesī’’ti, tasmiñca ticīvare ekameko sāṭako sahassaṃ agghati. Iti brāhmaṇo bhagavato tisahassagghanakaṃ ticīvaramadāsi uttamaṃ kāsikavatthasadisaṃ. Ekamekañca bhikkhuṃ ekamekena dussayugenāti ekamekena dussayugaḷena. Tatra ekasāṭako pañcasatāni agghati. Evaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ pañcasatasahassagghanakāni dussāni adāsi. Brāhmaṇo ettakampi datvā atuṭṭho puna sattaṭṭhasahassagghanake anekarattakambale ca paṭṭuṇṇapattapaṭe ca phāletvā phāletvā āyogaaṃsabaddhakakāyabandhanaparissāvanādīnaṃ atthāya adāsi. Satapākasahassapākānañca bhesajjatelānaṃ tumbāni pūretvā ekamekassa bhikkhuno abbhañjanatthāya sahassagghanakaṃ telamadāsi. Kiṃ bahunā, catūsu paccayesu na koci parikkhāro samaṇaparibhogo adinno nāma ahosi. Pāḷiyaṃ pana cīvaramattameva vuttaṃ.
เอวํ มหายาคํ ยชิตฺวา สปุตฺตทารํ วนฺทิตฺวา นิสินฺนํ อถ โข ภควา เวรญฺชํ พฺราหฺมณํ เตมาสํ มาราวฎฺฎเนน ธมฺมสวนามตรสปริโภคปริหีนํ เอกทิวเสเนว ธมฺมามตวสฺสํ วเสฺสตฺวา ปุริปุณฺณสงฺกปฺปํ กุรุมาโน ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา…เป.… อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ พฺราหฺมโณปิ สปุตฺตทาโร ภควนฺตญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ วนฺทิตฺวา ‘‘ปุนปิ, ภเนฺต, อมฺหากํ อนุคฺคหํ กเรยฺยาถา’’ติ เอวมาทีนิ วทโนฺต อนุพนฺธิตฺวา อสฺสูนิ ปวตฺตยมาโน นิวตฺติฯ
Evaṃ mahāyāgaṃ yajitvā saputtadāraṃ vanditvā nisinnaṃ atha kho bhagavā verañjaṃ brāhmaṇaṃ temāsaṃ mārāvaṭṭanena dhammasavanāmatarasaparibhogaparihīnaṃ ekadivaseneva dhammāmatavassaṃ vassetvā puripuṇṇasaṅkappaṃ kurumāno dhammiyākathāya sandassetvā…pe… uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Brāhmaṇopi saputtadāro bhagavantañca bhikkhusaṅghañca vanditvā ‘‘punapi, bhante, amhākaṃ anuggahaṃ kareyyāthā’’ti evamādīni vadanto anubandhitvā assūni pavattayamāno nivatti.
อถ โข ภควา เวรญฺชายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวาติ ยถาชฺฌาสยํ ยถารุจิตํ วาสํ วสิตฺวา เวรญฺชาย นิกฺขมิตฺวา มหามณฺฑเล จาริกาย จรณกาเล คนฺตพฺพํ พุทฺธวีถิ ปหาย ทุพฺภิกฺขโทเสน กิลนฺตํ ภิกฺขุสงฺฆํ อุชุนาว มเคฺคน คเหตฺวา คนฺตุกาโม โสเรยฺยาทีนิ อนุปคมฺม ปยาคปติฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตตฺถ คงฺคํ นทิํ อุตฺตริตฺวา เยน พาราณสี ตทวสริฯ เตน อวสริ ตทวสริฯ ตตฺราปิ ยถาชฺฌาสยํ วิหริตฺวา เวสาลิํ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนุปคมฺม โสเรยฺยํ…เป.… เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลาย’’นฺติฯ
Atha kho bhagavā verañjāyaṃ yathābhirantaṃ viharitvāti yathājjhāsayaṃ yathārucitaṃ vāsaṃ vasitvā verañjāya nikkhamitvā mahāmaṇḍale cārikāya caraṇakāle gantabbaṃ buddhavīthi pahāya dubbhikkhadosena kilantaṃ bhikkhusaṅghaṃ ujunāva maggena gahetvā gantukāmo soreyyādīni anupagamma payāgapatiṭṭhānaṃ gantvā tattha gaṅgaṃ nadiṃ uttaritvā yena bārāṇasī tadavasari. Tena avasari tadavasari. Tatrāpi yathājjhāsayaṃ viharitvā vesāliṃ agamāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘anupagamma soreyyaṃ…pe… vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāya’’nti.
พุทฺธาจิณฺณกถา นิฎฺฐิตาฯ
Buddhāciṇṇakathā niṭṭhitā.
สมนฺตปาสาทิกาย วินยสํวณฺณนาย
Samantapāsādikāya vinayasaṃvaṇṇanāya
เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Verañjakaṇḍavaṇṇanā niṭṭhitā.
ตตฺริทํ สมนฺตปาสาทิกาย สมนฺตปาสาทิกตฺตสฺมิํ –
Tatridaṃ samantapāsādikāya samantapāsādikattasmiṃ –
อาจริยปรมฺปรโต, นิทานวตฺถุปฺปเภททีปนโต;
Ācariyaparamparato, nidānavatthuppabhedadīpanato;
ปรสมยวิวชฺชนโต, สกสมยวิสุทฺธิโต เจวฯ
Parasamayavivajjanato, sakasamayavisuddhito ceva.
พฺยญฺชนปริโสธนโต, ปทตฺถโต ปาฬิโยชนกฺกมโต;
Byañjanaparisodhanato, padatthato pāḷiyojanakkamato;
สิกฺขาปทนิจฺฉยโต, วิภงฺคนยเภททสฺสนโตฯ
Sikkhāpadanicchayato, vibhaṅganayabhedadassanato.
สมฺปสฺสตํ น ทิสฺสติ, กิญฺจิ อปาสาทิกํ ยโต เอตฺถ;
Sampassataṃ na dissati, kiñci apāsādikaṃ yato ettha;
วิญฺญูนมยํ ตสฺมา, สมนฺตปาสาทิกาเตฺววฯ
Viññūnamayaṃ tasmā, samantapāsādikātveva.
สํวณฺณนา ปวตฺตา, วินยสฺส วิเนยฺยทมนกุสเลน;
Saṃvaṇṇanā pavattā, vinayassa vineyyadamanakusalena;
วุตฺตสฺส โลกนาเถน, โลกมนุกมฺปมาเนนาติฯ
Vuttassa lokanāthena, lokamanukampamānenāti.
เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Verañjakaṇḍavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / พุทฺธาจิณฺณกถา • Buddhāciṇṇakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา • Upāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / วินยปญฺญตฺติยาจนกถาวณฺณนา • Vinayapaññattiyācanakathāvaṇṇanā