Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๕. พุทฺธลาภนฺตรายปโญฺห
5. Buddhalābhantarāyapañho
๕. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, ตุเมฺห ภณถ ‘ลาภี ตถาคโต จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราน’นฺติฯ ปุน จ ตถาคโต ปญฺจสาลํ พฺราหฺมณคามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา กิญฺจิเทว อลภิตฺวา ยถาโธเตน ปเตฺตน นิกฺขโนฺตติฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, ตถาคโต ลาภี จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํ, เตน หิ ปญฺจสาลํ พฺราหฺมณคามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา กิญฺจิเทว อลภิตฺวา ยถาโธเตน ปเตฺตน นิกฺขโนฺตติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ ปญฺจสาลํ พฺราหฺมณคามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา กิญฺจิเทว อลภิตฺวา ยถาโธเตน ปเตฺตน นิกฺขโนฺต, เตน หิ ลาภี ตถาคโต จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานนฺติ ตมฺปิ วจนํ มิจฺฉาฯ อยมฺปิ อุภโต โกฎิโก ปโญฺห สุมหโนฺต ทุนฺนิเพฺพโฐ ตวานุปฺปโตฺต, โส ตยา นิพฺพาหิตโพฺพ’’ติฯ
5. ‘‘Bhante nāgasena, tumhe bhaṇatha ‘lābhī tathāgato cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārāna’nti. Puna ca tathāgato pañcasālaṃ brāhmaṇagāmaṃ piṇḍāya pavisitvā kiñcideva alabhitvā yathādhotena pattena nikkhantoti. Yadi, bhante nāgasena, tathāgato lābhī cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārānaṃ, tena hi pañcasālaṃ brāhmaṇagāmaṃ piṇḍāya pavisitvā kiñcideva alabhitvā yathādhotena pattena nikkhantoti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā. Yadi pañcasālaṃ brāhmaṇagāmaṃ piṇḍāya pavisitvā kiñcideva alabhitvā yathādhotena pattena nikkhanto, tena hi lābhī tathāgato cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārānanti tampi vacanaṃ micchā. Ayampi ubhato koṭiko pañho sumahanto dunnibbeṭho tavānuppatto, so tayā nibbāhitabbo’’ti.
‘‘ลาภี, มหาราช, ตถาคโต จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํ, ปญฺจสาลญฺจ พฺราหฺมณคามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา กิญฺจิเทว อลภิตฺวา ยถาโธเตน ปเตฺตน นิกฺขโนฺต, ตญฺจ ปน มารสฺส ปาปิมโต การณา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต นาคเสน, ภควโต คณนปถํ วีติวตฺตกเปฺป 1 อภิสงฺขตํ กุสลํ กินฺติ นิฎฺฐิตํ, อธุนุฎฺฐิเตน มาเรน ปาปิมตา ตสฺส กุสลสฺส พลเวคํ 2 กินฺติ ปิหิตํ, เตน หิ, ภเนฺต นาคเสน, ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ทฺวีสุ ฐาเนสุ อุปวาโท อาคจฺฉติ, กุสลโตปิ อกุสลํ พลวตรํ โหติ, พุทฺธพลโตปิ มารพลํ พลวตรํ โหตีติ, เตน หิ รุกฺขสฺส มูลโตปิ อคฺคํ ภารตรํ โหติ, คุณสมฺปริกิณฺณโตปิ ปาปิยํ พลวตรํ โหตี’’ติฯ ‘‘น, มหาราช, ตาวตเกน กุสลโตปิ อกุสลํ พลวตรํ นาม โหติ, น พุทฺธพลโตปิ มารพลํ พลวตรํ นาม โหติฯ อปิ เจตฺถ การณํ อิจฺฉิตพฺพํฯ
‘‘Lābhī, mahārāja, tathāgato cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārānaṃ, pañcasālañca brāhmaṇagāmaṃ piṇḍāya pavisitvā kiñcideva alabhitvā yathādhotena pattena nikkhanto, tañca pana mārassa pāpimato kāraṇā’’ti. ‘‘Tena hi, bhante nāgasena, bhagavato gaṇanapathaṃ vītivattakappe 3 abhisaṅkhataṃ kusalaṃ kinti niṭṭhitaṃ, adhunuṭṭhitena mārena pāpimatā tassa kusalassa balavegaṃ 4 kinti pihitaṃ, tena hi, bhante nāgasena, tasmiṃ vatthusmiṃ dvīsu ṭhānesu upavādo āgacchati, kusalatopi akusalaṃ balavataraṃ hoti, buddhabalatopi mārabalaṃ balavataraṃ hotīti, tena hi rukkhassa mūlatopi aggaṃ bhārataraṃ hoti, guṇasamparikiṇṇatopi pāpiyaṃ balavataraṃ hotī’’ti. ‘‘Na, mahārāja, tāvatakena kusalatopi akusalaṃ balavataraṃ nāma hoti, na buddhabalatopi mārabalaṃ balavataraṃ nāma hoti. Api cettha kāraṇaṃ icchitabbaṃ.
‘‘ยถา, มหาราช, ปุริโส รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส มธุํ วา มธุปิณฺฑิกํ วา อญฺญํ วา อุปายนํ อภิหเรยฺย, ตเมนํ รโญฺญ ทฺวารปาโล เอวํ วเทยฺย ‘อกาโล, โภ, อยํ รโญฺญ ทสฺสนาย, เตน หิ, โภ, ตว อุปายนํ คเหตฺวา สีฆสีฆํ ปฎินิวตฺต, ปุเร ตว ราชา ทณฺฑํ ธาเรสฺสตี’ติ 5ฯ ตโต โส ปุริโส ทณฺฑภยา ตสิโต อุพฺพิโคฺค ตํ อุปายนํ อาทาย สีฆสีฆํ ปฎินิวเตฺตยฺย, อปิ นุ โข โส, มหาราช, ราชา จกฺกวตฺตี ตาวตเกน อุปายนวิกลมตฺตเกน ทฺวารปาลโต ทุพฺพลตโร นาม โหติ , อญฺญํ วา ปน กิญฺจิ อุปายนํ น ลเภยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, อิสฺสาปกโต โส, ภเนฺต, ทฺวารปาโล อุปายนํ นิวาเรสิ, อเญฺญน ปน ทฺวาเรน สตสหสฺสคุณมฺปิ รโญฺญ อุปายนํ อุเปตี’’ติ ฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อิสฺสาปกโต มาโร ปาปิมา ปญฺจสาลเก พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิ, อญฺญานิ ปน อเนกานิ เทวตาสตสหสฺสานิ อมตํ ทิพฺพํ โอชํ คเหตฺวา อุปคตานิ ‘ภควโต กาเย โอชํ โอทหิสฺสามา’ติ ภควนฺตํ นมสฺสมานานิ ปญฺชลิกานิ ฐิตานี’’ติฯ
‘‘Yathā, mahārāja, puriso rañño cakkavattissa madhuṃ vā madhupiṇḍikaṃ vā aññaṃ vā upāyanaṃ abhihareyya, tamenaṃ rañño dvārapālo evaṃ vadeyya ‘akālo, bho, ayaṃ rañño dassanāya, tena hi, bho, tava upāyanaṃ gahetvā sīghasīghaṃ paṭinivatta, pure tava rājā daṇḍaṃ dhāressatī’ti 6. Tato so puriso daṇḍabhayā tasito ubbiggo taṃ upāyanaṃ ādāya sīghasīghaṃ paṭinivatteyya, api nu kho so, mahārāja, rājā cakkavattī tāvatakena upāyanavikalamattakena dvārapālato dubbalataro nāma hoti , aññaṃ vā pana kiñci upāyanaṃ na labheyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, issāpakato so, bhante, dvārapālo upāyanaṃ nivāresi, aññena pana dvārena satasahassaguṇampi rañño upāyanaṃ upetī’’ti . ‘‘Evameva kho, mahārāja, issāpakato māro pāpimā pañcasālake brāhmaṇagahapatike anvāvisi, aññāni pana anekāni devatāsatasahassāni amataṃ dibbaṃ ojaṃ gahetvā upagatāni ‘bhagavato kāye ojaṃ odahissāmā’ti bhagavantaṃ namassamānāni pañjalikāni ṭhitānī’’ti.
‘‘โหตุ, ภเนฺต นาคเสน, สุลภา ภควโต จตฺตาโร ปจฺจยา โลเก อุตฺตมปุริสสฺส, ยาจิโตว ภควา เทวมนุโสฺสหิ จตฺตาโร ปจฺจเย ปริภุญฺชติ, อปิ จ โข ปน มารสฺส โย อธิปฺปาโย, โส ตาวตเกน สิโทฺธ, ยํ โส ภควโต โภชนสฺส อนฺตรายมกาสิฯ เอตฺถ เม, ภเนฺต, กงฺขา น ฉิชฺชติ, วิมติชาโตหํ ตตฺถ สํสยปกฺขโนฺทฯ น เม ตตฺถ มานสํ ปกฺขนฺทติ, ยํ ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคลวรสฺส กุสลวรปุญฺญสมฺภวสฺส อสมสมสฺส อนุปมสฺส อปฺปฎิสมสฺส ฉวกํ ลามกํ ปริตฺตํ ปาปํ อนริยํ วิปนฺนํ มาโร ลาภนฺตรายมกาสี’’ติฯ
‘‘Hotu, bhante nāgasena, sulabhā bhagavato cattāro paccayā loke uttamapurisassa, yācitova bhagavā devamanussohi cattāro paccaye paribhuñjati, api ca kho pana mārassa yo adhippāyo, so tāvatakena siddho, yaṃ so bhagavato bhojanassa antarāyamakāsi. Ettha me, bhante, kaṅkhā na chijjati, vimatijātohaṃ tattha saṃsayapakkhando. Na me tattha mānasaṃ pakkhandati, yaṃ tathāgatassa arahato sammāsambuddhassa sadevake loke aggapuggalavarassa kusalavarapuññasambhavassa asamasamassa anupamassa appaṭisamassa chavakaṃ lāmakaṃ parittaṃ pāpaṃ anariyaṃ vipannaṃ māro lābhantarāyamakāsī’’ti.
‘‘จตฺตาโร โข, มหาราช, อนฺตรายา อทิฎฺฐนฺตราโย อุทฺทิสฺส กตนฺตราโย อุปกฺขฎนฺตราโย ปริโภคนฺตราโยติฯ ตตฺถ กตโม อทิฎฺฐนฺตราโย? อโนทิสฺส อทสฺสเนน อนภิสงฺขตํ โกจิ อนฺตรายํ กโรติ ‘กิํ ปรสฺส ทิเนฺนนา’ติ, อยํ อทิฎฺฐนฺตราโย นามฯ
‘‘Cattāro kho, mahārāja, antarāyā adiṭṭhantarāyo uddissa katantarāyo upakkhaṭantarāyo paribhogantarāyoti. Tattha katamo adiṭṭhantarāyo? Anodissa adassanena anabhisaṅkhataṃ koci antarāyaṃ karoti ‘kiṃ parassa dinnenā’ti, ayaṃ adiṭṭhantarāyo nāma.
‘‘กตโม อุทฺทิสฺส กตนฺตราโย? อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ อุปทิสิตฺวา อุทฺทิสฺส โภชนํ ปฎิยตฺตํ โหติ, ตํ โกจิ อนฺตรายํ กโรติ, อยํ อุทฺทิสฺส กตนฺตราโย นามฯ
‘‘Katamo uddissa katantarāyo? Idhekaccaṃ puggalaṃ upadisitvā uddissa bhojanaṃ paṭiyattaṃ hoti, taṃ koci antarāyaṃ karoti, ayaṃ uddissa katantarāyo nāma.
‘‘กตโม อุปกฺขฎนฺตราโย? อิธ ยํ กิญฺจิ อุปกฺขฎํ โหติ อปฺปฎิคฺคหิตํ, ตตฺถ โกจิ อนฺตรายํ กโรติ, อยํ อุปกฺขฎนฺตราโย นามฯ
‘‘Katamo upakkhaṭantarāyo? Idha yaṃ kiñci upakkhaṭaṃ hoti appaṭiggahitaṃ, tattha koci antarāyaṃ karoti, ayaṃ upakkhaṭantarāyo nāma.
‘‘กตโม ปริโภคนฺตราโย? อิธ ยํ กิญฺจิ ปริโภคํ, ตตฺถ โกจิ อนฺตรายํ กโรติ, อยํ ปริโภคนฺตราโย นามฯ อิเม โข, มหาราช, จตฺตาโร อนฺตรายาฯ
‘‘Katamo paribhogantarāyo? Idha yaṃ kiñci paribhogaṃ, tattha koci antarāyaṃ karoti, ayaṃ paribhogantarāyo nāma. Ime kho, mahārāja, cattāro antarāyā.
‘‘ยํ ปน มาโร ปาปิมา ปญฺจสาลเก พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิ, ตํ เนว ภควโต ปริโภคํ น อุปกฺขฎํ น อุทฺทิสฺสกตํ, อนาคตํ อสมฺปตฺตํ อทสฺสเนน อนฺตรายํ กตํ, ตํ ปน เนกสฺส ภควโต เยว, อถ โข เย เต เตน สมเยน นิกฺขนฺตา อพฺภาคตา, สเพฺพปิ เต ตํ ทิวสํ โภชนํ น ลภิํสุ, นาหํ ตํ, มหาราช, ปสฺสามิ สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย, โย ตสฺส ภควโต อุทฺทิสฺส กตํ อุปกฺขฎํ ปริโภคํ อนฺตรายํ กเรยฺยฯ สเจ โกจิ อิสฺสาย อุทฺทิสฺส กตํ อุปกฺขฎํ ปริโภคํ อนฺตรายํ กเรยฺย, ผเลยฺย ตสฺส มุทฺธา สตธา วา สหสฺสธา วาฯ
‘‘Yaṃ pana māro pāpimā pañcasālake brāhmaṇagahapatike anvāvisi, taṃ neva bhagavato paribhogaṃ na upakkhaṭaṃ na uddissakataṃ, anāgataṃ asampattaṃ adassanena antarāyaṃ kataṃ, taṃ pana nekassa bhagavato yeva, atha kho ye te tena samayena nikkhantā abbhāgatā, sabbepi te taṃ divasaṃ bhojanaṃ na labhiṃsu, nāhaṃ taṃ, mahārāja, passāmi sadevake loke samārake sabrahmake sassamaṇabrāhmaṇiyā pajāya sadevamanussāya, yo tassa bhagavato uddissa kataṃ upakkhaṭaṃ paribhogaṃ antarāyaṃ kareyya. Sace koci issāya uddissa kataṃ upakkhaṭaṃ paribhogaṃ antarāyaṃ kareyya, phaleyya tassa muddhā satadhā vā sahassadhā vā.
‘‘จตฺตาโรเม, มหาราช, ตถาคตสฺส เกนจิ อนาวรณียา คุณาฯ กตเม จตฺตาโร? ลาโภ, มหาราช, ภควโต อุทฺทิสฺส กโต อุปกฺขโฎ น สกฺกา เกนจิ อนฺตรายํ กาตุํ; สรีรานุคตา , มหาราช, ภควโต พฺยามปฺปภา น สกฺกา เกนจิ อนฺตรายํ กาตุํ; สพฺพญฺญุตํ, มหาราช, ภควโต ญาณรตนํ น สกฺกา เกนจิ อนฺตรายํ กาตุํ; ชีวิตํ, มหาราช, ภควโต น สกฺกา เกนจิ อนฺตรายํ กาตุํฯ อิเม โข, มหาราช, จตฺตาโร ตถาคตสฺส เกนจิ อนาวรณียา คุณา, สเพฺพเปเต, มหาราช, คุณา เอกรสา อโรคา อกุปฺปา อปรูปกฺกมา อผุสานิ กิริยานิฯ อทสฺสเนน, มหาราช, มาโร ปาปิมา นิลียิตฺวา ปญฺจสาลเก พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิฯ
‘‘Cattārome, mahārāja, tathāgatassa kenaci anāvaraṇīyā guṇā. Katame cattāro? Lābho, mahārāja, bhagavato uddissa kato upakkhaṭo na sakkā kenaci antarāyaṃ kātuṃ; sarīrānugatā , mahārāja, bhagavato byāmappabhā na sakkā kenaci antarāyaṃ kātuṃ; sabbaññutaṃ, mahārāja, bhagavato ñāṇaratanaṃ na sakkā kenaci antarāyaṃ kātuṃ; jīvitaṃ, mahārāja, bhagavato na sakkā kenaci antarāyaṃ kātuṃ. Ime kho, mahārāja, cattāro tathāgatassa kenaci anāvaraṇīyā guṇā, sabbepete, mahārāja, guṇā ekarasā arogā akuppā aparūpakkamā aphusāni kiriyāni. Adassanena, mahārāja, māro pāpimā nilīyitvā pañcasālake brāhmaṇagahapatike anvāvisi.
‘‘ยถา, มหาราช, รโญฺญ ปจฺจเนฺต เทเส วิสเม อทสฺสเนน นิลียิตฺวา โจรา ปนฺถํ ทูเสนฺติฯ ยทิ ปน ราชา เต โจเร ปเสฺสยฺย, อปิ นุ โข เต โจรา โสตฺถิํ ลเภยฺยุ’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, ผรสุนา ผาลาเปยฺย สตธา วา สหสฺสธา วา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อทสฺสเนน มาโร ปาปิมา นิลียิตฺวา ปญฺจสาลเก พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิฯ
‘‘Yathā, mahārāja, rañño paccante dese visame adassanena nilīyitvā corā panthaṃ dūsenti. Yadi pana rājā te core passeyya, api nu kho te corā sotthiṃ labheyyu’’nti? ‘‘Na hi, bhante, pharasunā phālāpeyya satadhā vā sahassadhā vā’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, adassanena māro pāpimā nilīyitvā pañcasālake brāhmaṇagahapatike anvāvisi.
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, อิตฺถี สปติกา อทสฺสเนน นิลียิตฺวา ปรปุริสํ เสวติ, เอวเมว โข, มหาราช, อทสฺสเนน มาโร ปาปิมา นิลียิตฺวา ปญฺจสาลเก พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิฯ ยทิ, มหาราช, อิตฺถี สามิกสฺส สมฺมุขา ปรปุริสํ เสวติ, อปิ นุ โข สา อิตฺถี โสตฺถิํ ลเภยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, หเนยฺยาปิ ตํ, ภเนฺต, สามิโก วเธยฺยาปิ พเนฺธยฺยาปิ ทาสิตฺตํ วา อุปเนยฺยา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อทสฺสเนน มาโร ปาปิมา นิลียิตฺวา ปญฺจสาลเก พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิฯ ยทิ, มหาราช, มาโร ปาปิมา ภควโต อุทฺทิสฺส กตํ อุปกฺขฎํ ปริโภคํ อนฺตรายํ กเรยฺย, ผเลยฺย ตสฺส มุทฺธา สตธา วา สหสฺสธา วา’’ติฯ ‘‘เอวเมตํ, ภเนฺต นาคเสน, โจริกาย กตํ มาเรน ปาปิมตา, นิลียิตฺวา มาโร ปาปิมา ปญฺจสาลเก พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิฯ สเจ โส, ภเนฺต, มาโร ปาปิมา ภควโต อุทฺทิสฺส กตํ อุปกฺขฎํ ปริโภคํ อนฺตรายํ กเรยฺย, มุทฺธา วาสฺส ผเลยฺย สตธา วา สหสฺสธา วา, กาโย วาสฺส ภุสมุฎฺฐิ วิย วิกิเรยฺย, สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามี’’ติฯ
‘‘Yathā vā pana, mahārāja, itthī sapatikā adassanena nilīyitvā parapurisaṃ sevati, evameva kho, mahārāja, adassanena māro pāpimā nilīyitvā pañcasālake brāhmaṇagahapatike anvāvisi. Yadi, mahārāja, itthī sāmikassa sammukhā parapurisaṃ sevati, api nu kho sā itthī sotthiṃ labheyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, haneyyāpi taṃ, bhante, sāmiko vadheyyāpi bandheyyāpi dāsittaṃ vā upaneyyā’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, adassanena māro pāpimā nilīyitvā pañcasālake brāhmaṇagahapatike anvāvisi. Yadi, mahārāja, māro pāpimā bhagavato uddissa kataṃ upakkhaṭaṃ paribhogaṃ antarāyaṃ kareyya, phaleyya tassa muddhā satadhā vā sahassadhā vā’’ti. ‘‘Evametaṃ, bhante nāgasena, corikāya kataṃ mārena pāpimatā, nilīyitvā māro pāpimā pañcasālake brāhmaṇagahapatike anvāvisi. Sace so, bhante, māro pāpimā bhagavato uddissa kataṃ upakkhaṭaṃ paribhogaṃ antarāyaṃ kareyya, muddhā vāssa phaleyya satadhā vā sahassadhā vā, kāyo vāssa bhusamuṭṭhi viya vikireyya, sādhu, bhante nāgasena, evametaṃ tathā sampaṭicchāmī’’ti.
พุทฺธลาภนฺตรายปโญฺห ปญฺจโมฯ
Buddhalābhantarāyapañho pañcamo.
Footnotes: