Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๓๔] ๘. จกฺกวากชาตกวณฺณนา

    [434] 8. Cakkavākajātakavaṇṇanā

    กาสายวเตฺถติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ โลลภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร โลโล อโหสิ ปจฺจยลุโทฺธ, อาจริยุปชฺฌายวตฺตาทีนิ ฉเฑฺฑตฺวา ปาโตว สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา วิสาขาย เคเห อเนกขาทนียปริวารํ ยาคุํ ปิวิตฺวา นานคฺครสสาลิมํโสทนํ ภุญฺชิตฺวาปิ เตน อติโตฺต ตโต จูฬอนาถปิณฺฑิกสฺส มหาอนาถปิณฺฑิกสฺส โกสลรโญฺญติ เตสํ เตสํ นิเวสนานิ สนฺธาย วิจริฯ อเถกทิวสํ ตสฺส โลลภาวํ อารพฺภ ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ตํ ภิกฺขุํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ โลโล’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ กสฺมา โลโลสิ, ปุเพฺพปิ ตฺวํ โลลภาเวน พาราณสิยํ หตฺถิกุณปาทีนิ ขาทิตฺวา วิจรโนฺต เตหิ อติโตฺต ตโต นิกฺขมิตฺวา คงฺคาตีเร วิจรโนฺต หิมวนฺตํ ปวโฎฺฐ’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Kāsāyavattheti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ lolabhikkhuṃ ārabbha kathesi. So kira lolo ahosi paccayaluddho, ācariyupajjhāyavattādīni chaḍḍetvā pātova sāvatthiṃ pavisitvā visākhāya gehe anekakhādanīyaparivāraṃ yāguṃ pivitvā nānaggarasasālimaṃsodanaṃ bhuñjitvāpi tena atitto tato cūḷaanāthapiṇḍikassa mahāanāthapiṇḍikassa kosalaraññoti tesaṃ tesaṃ nivesanāni sandhāya vicari. Athekadivasaṃ tassa lolabhāvaṃ ārabbha dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte taṃ bhikkhuṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu lolo’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu kasmā lolosi, pubbepi tvaṃ lolabhāvena bārāṇasiyaṃ hatthikuṇapādīni khāditvā vicaranto tehi atitto tato nikkhamitvā gaṅgātīre vicaranto himavantaṃ pavaṭṭho’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต เอโก โลลกาโก พาราณสิยํ หตฺถิกุณปาทีนิ ขาทิตฺวา วิจรโนฺต เตหิ อติโตฺต ‘‘คงฺคากูเล มจฺฉมตํ ขาทิสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ตตฺถ มตมเจฺฉ ขาทโนฺต กติปาหํ วสิตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา นานาผลาผลานิ ขาทโนฺต พหุมจฺฉกจฺฉปํ มหนฺตํ ปทุมสรํ ปตฺวา ตตฺถ สุวณฺณวเณฺณ เทฺว จกฺกวาเก เสวาลํ ขาทิตฺวา วสเนฺต ทิสฺวา ‘‘อิเม อติวิย วณฺณสมฺปนฺนา โสภคฺคปฺปตฺตา, อิเมสํ โภชนํ มนาปํ ภวิสฺสติ, อิเมสํ โภชนํ ปุจฺฉิตฺวา อหมฺปิ ตเทว ภุญฺชิตฺวา สุวณฺณวโณฺณ ภวิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกสฺมิํ สาขปริยเนฺต นิสีทิตฺวา เตสํ ปสํสนปฎิสํยุตฺตํ กถํ กเถโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente eko lolakāko bārāṇasiyaṃ hatthikuṇapādīni khāditvā vicaranto tehi atitto ‘‘gaṅgākūle macchamataṃ khādissāmī’’ti gantvā tattha matamacche khādanto katipāhaṃ vasitvā himavantaṃ pavisitvā nānāphalāphalāni khādanto bahumacchakacchapaṃ mahantaṃ padumasaraṃ patvā tattha suvaṇṇavaṇṇe dve cakkavāke sevālaṃ khāditvā vasante disvā ‘‘ime ativiya vaṇṇasampannā sobhaggappattā, imesaṃ bhojanaṃ manāpaṃ bhavissati, imesaṃ bhojanaṃ pucchitvā ahampi tadeva bhuñjitvā suvaṇṇavaṇṇo bhavissāmī’’ti cintetvā tesaṃ santikaṃ gantvā paṭisanthāraṃ katvā ekasmiṃ sākhapariyante nisīditvā tesaṃ pasaṃsanapaṭisaṃyuttaṃ kathaṃ kathento paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๖๙.

    69.

    ‘‘กาสายวเตฺถ สกุเณ วทามิ, ทุเว ทุเว นนฺทมเน จรเนฺต;

    ‘‘Kāsāyavatthe sakuṇe vadāmi, duve duve nandamane carante;

    กํ อณฺฑชํ อณฺฑชา มานุเสสุ, ชาติํ ปสํสนฺติ ตทิงฺฆ พฺรูถา’’ติฯ

    Kaṃ aṇḍajaṃ aṇḍajā mānusesu, jātiṃ pasaṃsanti tadiṅgha brūthā’’ti.

    ตตฺถ กาสายวเตฺถติ สุวณฺณวเณฺณ กาสายวเตฺถ วิยฯ ทุเว ทุเวติ เทฺว เทฺว หุตฺวาฯ นนฺทมเนติ ตุฎฺฐจิเตฺตฯ กํ อณฺฑชํ อณฺฑชา มานุเสสุ ชาติํ ปสํสนฺตีติ อโมฺภ อณฺฑชา ตุเมฺห มนุเสฺสสุ ปสํสนฺตา กํ อณฺฑชํ ชาติํ กตรํ นาม อณฺฑชนฺติ วตฺวา ปสํสนฺติ, กํ สกุณํ นามาติ วตฺวา ตุเมฺห มนุสฺสานํ อนฺตเร วเณฺณนฺตีติ อโตฺถฯ ‘‘กํ อณฺฑชํ อณฺฑชมานุเสสู’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – ตุเมฺห อณฺฑเชสุ จ มานุเสสุ จ กตรํ อณฺฑชนฺติ วตฺวา ปสํสนฺตีติฯ

    Tattha kāsāyavattheti suvaṇṇavaṇṇe kāsāyavatthe viya. Duve duveti dve dve hutvā. Nandamaneti tuṭṭhacitte. Kaṃ aṇḍajaṃ aṇḍajā mānusesu jātiṃ pasaṃsantīti ambho aṇḍajā tumhe manussesu pasaṃsantā kaṃ aṇḍajaṃ jātiṃ kataraṃ nāma aṇḍajanti vatvā pasaṃsanti, kaṃ sakuṇaṃ nāmāti vatvā tumhe manussānaṃ antare vaṇṇentīti attho. ‘‘Kaṃ aṇḍajaṃ aṇḍajamānusesū’’tipi pāṭho. Tassattho – tumhe aṇḍajesu ca mānusesu ca kataraṃ aṇḍajanti vatvā pasaṃsantīti.

    ตํ สุตฺวา จกฺกวาโก ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā cakkavāko dutiyaṃ gāthamāha –

    ๗๐.

    70.

    ‘‘อเมฺห มนุเสฺสสุ มนุสฺสหิํส, อนุพฺพเต จกฺกวาเก วทนฺติ;

    ‘‘Amhe manussesu manussahiṃsa, anubbate cakkavāke vadanti;

    กลฺยาณภาวเมฺห ทิเชสุ สมฺมตา, อภิรูปา วิจราม อณฺณเว’’ติฯ

    Kalyāṇabhāvamhe dijesu sammatā, abhirūpā vicarāma aṇṇave’’ti.

    ตตฺถ มนุสฺสหิํสาติ กาโก มนุเสฺส หิํสติ วิเหเฐติ, เตน นํ เอวํ อาลปติฯ อนุพฺพเตติ อญฺญมญฺญํ อนุคเต สโมฺมทมาเน วิยสํวาเสฯ จกฺกวาเกติ จกฺกวากา นาม สา อณฺฑชชาตีติ ปสํสนฺติ วเณฺณนฺติ กเถนฺติฯ ทิเชสูติ ยตฺตกา ปกฺขิโน นาม, เตสุ มยํ ‘‘กลฺยาณภาวา’’ติปิ มนุเสฺสสุ สมฺมตาฯ ทุติเย อตฺถวิกเปฺป มนุเสฺสสุ อเมฺห ‘‘จกฺกวากา’’ติปิ วทนฺติ, ทิเชสุ ปน มยํ ‘‘กลฺยาณภาวา’’ติ สมฺมตา, ‘‘กลฺยาณภาวา’’ติ โน ทิชา วทนฺตีติ อโตฺถฯ อณฺณเวติ อิมสฺมิํ ฐาเน สโร ‘‘อณฺณโว’’ติ วุโตฺต, อิมสฺมิํ ปทุมสเร มยเมว เทฺว ชนา ปเรสํ อหิํสนโต อภิรูปา วิจรามาติ อโตฺถฯ อิมิสฺสาย ปน คาถาย จตุตฺถปทํ ‘‘น ฆาสเหตูปิ กโรม ปาป’’นฺติ ปฐนฺติฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺมา มยํ ฆาสเหตูปิ ปาปํ น กโรม, ตสฺมา ‘‘กลฺยาณภาวา’’ติ อเมฺห มนุเสฺสสุ จ ทิเชสุ จ สมฺมตาฯ

    Tattha manussahiṃsāti kāko manusse hiṃsati viheṭheti, tena naṃ evaṃ ālapati. Anubbateti aññamaññaṃ anugate sammodamāne viyasaṃvāse. Cakkavāketi cakkavākā nāma sā aṇḍajajātīti pasaṃsanti vaṇṇenti kathenti. Dijesūti yattakā pakkhino nāma, tesu mayaṃ ‘‘kalyāṇabhāvā’’tipi manussesu sammatā. Dutiye atthavikappe manussesu amhe ‘‘cakkavākā’’tipi vadanti, dijesu pana mayaṃ ‘‘kalyāṇabhāvā’’ti sammatā, ‘‘kalyāṇabhāvā’’ti no dijā vadantīti attho. Aṇṇaveti imasmiṃ ṭhāne saro ‘‘aṇṇavo’’ti vutto, imasmiṃ padumasare mayameva dve janā paresaṃ ahiṃsanato abhirūpā vicarāmāti attho. Imissāya pana gāthāya catutthapadaṃ ‘‘na ghāsahetūpi karoma pāpa’’nti paṭhanti. Tassattho – yasmā mayaṃ ghāsahetūpi pāpaṃ na karoma, tasmā ‘‘kalyāṇabhāvā’’ti amhe manussesu ca dijesu ca sammatā.

    ตํ สุตฺวา กาโก ตติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā kāko tatiyaṃ gāthamāha –

    ๗๑.

    71.

    ‘‘กิํ อณฺณเว กานิ ผลานิ ภุเญฺช, มํสํ กุโต ขาทถ จกฺกวากา;

    ‘‘Kiṃ aṇṇave kāni phalāni bhuñje, maṃsaṃ kuto khādatha cakkavākā;

    กิํ โภชนํ ภุญฺชถ โว อโนมา, พลญฺจ วโณฺณ จ อนปฺปรูปา’’ติฯ

    Kiṃ bhojanaṃ bhuñjatha vo anomā, balañca vaṇṇo ca anapparūpā’’ti.

    ตตฺถ กินฺติ ปุจฺฉาวเสน อาลปนํ, กิํ โภ จกฺกวากาติ วุตฺตํ โหติฯ อณฺณเวติ อิมสฺมิํ สเรฯ ภุเญฺชติ ภุญฺชถ, กิํ ภุญฺชถาติ อโตฺถ มํสํ กุโต ขาทถาติ กตรปาณานํ สรีรโต มํสํ ขาทถฯ ภุญฺชถ โวติ โวกาโร นิปาตมตฺตํ, ปรปเทน วาสฺส สมฺพโนฺธ ‘‘พลญฺจ วา วโณฺณ จ อนปฺปรูปา’’ติฯ

    Tattha kinti pucchāvasena ālapanaṃ, kiṃ bho cakkavākāti vuttaṃ hoti. Aṇṇaveti imasmiṃ sare. Bhuñjeti bhuñjatha, kiṃ bhuñjathāti attho maṃsaṃ kuto khādathāti katarapāṇānaṃ sarīrato maṃsaṃ khādatha. Bhuñjatha voti vokāro nipātamattaṃ, parapadena vāssa sambandho ‘‘balañca vā vaṇṇo ca anapparūpā’’ti.

    ตโต จกฺกวาโก จตุตฺถํ คาถมาห –

    Tato cakkavāko catutthaṃ gāthamāha –

    ๗๒.

    72.

    ‘‘น อณฺณเว สนฺติ ผลานิ ธงฺก, มํสํ กุโต ขาทิตุํ จกฺกวาเก;

    ‘‘Na aṇṇave santi phalāni dhaṅka, maṃsaṃ kuto khādituṃ cakkavāke;

    เสวาลภกฺขมฺห อปาณโภชนา, น ฆาสเหตูปิ กโรม ปาป’’นฺติฯ

    Sevālabhakkhamha apāṇabhojanā, na ghāsahetūpi karoma pāpa’’nti.

    ตตฺถ จกฺกวาเกติ จกฺกวากสฺสฯ อปาณโภชนาติ ปาณกรหิตอุทกโภชนาฯ อมฺหากญฺหิ เสวาลเญฺจว อุทกญฺจ โภชนนฺติ ทเสฺสติฯ น ฆาสเหตูติ ตุมฺหาทิสา วิย มยํ ฆาสเหตุ ปาปํ น กโรมาติฯ

    Tattha cakkavāketi cakkavākassa. Apāṇabhojanāti pāṇakarahitaudakabhojanā. Amhākañhi sevālañceva udakañca bhojananti dasseti. Na ghāsahetūti tumhādisā viya mayaṃ ghāsahetu pāpaṃ na karomāti.

    ตโต กาโก เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato kāko dve gāthā abhāsi –

    ๗๓.

    73.

    ‘‘น เม อิทํ รุจฺจติ จกฺกวาก, อสฺมิํ ภเว โภชนสนฺนิกาโส;

    ‘‘Na me idaṃ ruccati cakkavāka, asmiṃ bhave bhojanasannikāso;

    อโหสิ ปุเพฺพ ตโต เม อญฺญถา, อิเจฺจว เม วิมติ เอตฺถ ชาตาฯ

    Ahosi pubbe tato me aññathā, icceva me vimati ettha jātā.

    ๗๔.

    74.

    ‘‘อหมฺปิ มํสานิ ผลานิ ภุเญฺช, อนฺนานิ จ โลณิยเตลิยานิ;

    ‘‘Ahampi maṃsāni phalāni bhuñje, annāni ca loṇiyateliyāni;

    รสํ มนุเสฺสสุ ลภามิ โภตฺตุํ, สูโรว สงฺคามมุขํ วิเชตฺวา;

    Rasaṃ manussesu labhāmi bhottuṃ, sūrova saṅgāmamukhaṃ vijetvā;

    น จ เม ตาทิโส วโณฺณ, จกฺกวาก ยถา ตวา’’ติฯ

    Na ca me tādiso vaṇṇo, cakkavāka yathā tavā’’ti.

    ตตฺถ อิทนฺติ อิทํ ตุมฺหากํ ภุญฺชนโภชนํ มยฺหํ น รุจฺจติฯ อสฺมิํ ภเว โภชนสนฺนิกาโสติ อิมสฺมิํ ภเว โภชนสนฺนิกาโส ยํ อิมสฺมิํ จกฺกวากภเว โภชนํ, ตฺวํ เตน สนฺนิกาโส ตํสทิโส ตทนุรูโป อโหสิ, อติวิย ปสนฺนสรีโรสีติ อโตฺถฯ ตโต เม อญฺญถาติ ยํ มยฺหํ ปุเพฺพ ตุเมฺห ทิสฺวาว เอเต เอตฺถ นานาวิธานิ ผลานิ เจว มจฺฉมํสญฺจ ขาทนฺติ, เตน เอวํ โสภคฺคปฺปตฺตาติ อโหสิ, อิทานิ เม ตโต อญฺญถา โหตีติ อโตฺถฯ อิเจฺจว เมติ เอเตเนว เม การเณน เอตฺถ ตุมฺหากํ สรีรวเณฺณ วิมติ ชาตา ‘‘กถํ นุ โข เอเต เอวรูปํ ลูขโภชนํ ภุญฺชนฺตา วณฺณวโนฺต ชาตา’’ติฯ อหมฺปีติ อหญฺหิ, อยเมว วา ปาโฐ ฯ ภุเญฺชติ ภุญฺชามิฯ อนฺนานิ จาติ โภชนานิ จฯ โลณิยเตลิยานีติ โลณเตลยุตฺตานิฯ รสนฺติ มนุเสฺสสุ ปริโภคํ ปณีตรสํฯ วิเชตฺวาติ ยถา สูโร วีรโยโธ สงฺคามมุขํ วิเชตฺวา วิลุมฺปิตฺวา ปริภุญฺชติ, ตถา วิลุมฺปิตฺวา ปริภุญฺชามีติ อโตฺถฯ ยถา ตวาติ เอวํ ปณีตํ โภชนํ ภุญฺชนฺตสฺสปิ มม ตาทิโส วโณฺณ นตฺถิ, ยาทิโส ตว วโณฺณ, เตน ตว วจนํ น สทฺทหามีติ ทีเปติฯ

    Tattha idanti idaṃ tumhākaṃ bhuñjanabhojanaṃ mayhaṃ na ruccati. Asmiṃ bhave bhojanasannikāsoti imasmiṃ bhave bhojanasannikāso yaṃ imasmiṃ cakkavākabhave bhojanaṃ, tvaṃ tena sannikāso taṃsadiso tadanurūpo ahosi, ativiya pasannasarīrosīti attho. Tato me aññathāti yaṃ mayhaṃ pubbe tumhe disvāva ete ettha nānāvidhāni phalāni ceva macchamaṃsañca khādanti, tena evaṃ sobhaggappattāti ahosi, idāni me tato aññathā hotīti attho. Icceva meti eteneva me kāraṇena ettha tumhākaṃ sarīravaṇṇe vimati jātā ‘‘kathaṃ nu kho ete evarūpaṃ lūkhabhojanaṃ bhuñjantā vaṇṇavanto jātā’’ti. Ahampīti ahañhi, ayameva vā pāṭho . Bhuñjeti bhuñjāmi. Annāni cāti bhojanāni ca. Loṇiyateliyānīti loṇatelayuttāni. Rasanti manussesu paribhogaṃ paṇītarasaṃ. Vijetvāti yathā sūro vīrayodho saṅgāmamukhaṃ vijetvā vilumpitvā paribhuñjati, tathā vilumpitvā paribhuñjāmīti attho. Yathā tavāti evaṃ paṇītaṃ bhojanaṃ bhuñjantassapi mama tādiso vaṇṇo natthi, yādiso tava vaṇṇo, tena tava vacanaṃ na saddahāmīti dīpeti.

    อถสฺส วณฺณสมฺปตฺติยา อภาวการณํ อตฺตโน จ ภาวการณํ กเถโนฺต จกฺกวาโก เสสคาถา อภาสิ –

    Athassa vaṇṇasampattiyā abhāvakāraṇaṃ attano ca bhāvakāraṇaṃ kathento cakkavāko sesagāthā abhāsi –

    ๗๕.

    75.

    ‘‘อสุทฺธภโกฺขสิ ขณานุปาตี, กิเจฺฉน เต ลพฺภติ อนฺนปานํ;

    ‘‘Asuddhabhakkhosi khaṇānupātī, kicchena te labbhati annapānaṃ;

    น ตุสฺสสี รุกฺขผเลหิ ธงฺก, มํสานิ วา ยานิ สุสานมเชฺฌฯ

    Na tussasī rukkhaphalehi dhaṅka, maṃsāni vā yāni susānamajjhe.

    ๗๖.

    76.

    ‘‘โย สาหเสน อธิคมฺม โภเค, ปริภุญฺชติ ธงฺก ขณานุปาตี;

    ‘‘Yo sāhasena adhigamma bhoge, paribhuñjati dhaṅka khaṇānupātī;

    ตโต อุปโกฺกสติ นํ สภาโว, อุปกฺกุโฎฺฐ วณฺณพลํ ชหาติฯ

    Tato upakkosati naṃ sabhāvo, upakkuṭṭho vaṇṇabalaṃ jahāti.

    ๗๗.

    77.

    ‘‘อปฺปมฺปิ เจ นิพฺพุติํ ภุญฺชตี ยทิ, อสาหเสน อปรูปฆาตี;

    ‘‘Appampi ce nibbutiṃ bhuñjatī yadi, asāhasena aparūpaghātī;

    พลญฺจ วโณฺณ จ ตทสฺส โหติ, น หิ สโพฺพ อาหารมเยน วโณฺณ’’ติฯ

    Balañca vaṇṇo ca tadassa hoti, na hi sabbo āhāramayena vaṇṇo’’ti.

    ตตฺถ อสุทฺธภโกฺขสีติ ตฺวํ เถเนตฺวา วเญฺจตฺวา ภกฺขนโต อสุทฺธภโกฺข อสิฯ ขณานุปาตีติ ปมาทกฺขเณ อนุปตนสีโลฯ กิเจฺฉน เตติ ตยา ทุเกฺขน อนฺนปานํ ลพฺภติฯ มํสานิ วา ยานีติ ยานิ วา สุสานมเชฺฌ มํสานิ, เตหิ น ตุสฺสสิฯ ตโตติ ปจฺฉาฯ อุปโกฺกสติ นํ สภาโวติ อตฺตาว ตํ ปุคฺคลํ ครหิฯ อุปกฺกุโฎฺฐติ อตฺตนาปิ ปเรหิปิ อุปกฺกุโฎฺฐ ครหิโต วิปฺปฎิสาริตาย วณฺณญฺจ พลญฺจ ชหาสิฯ นิพฺพุติํ ภุญฺชตี ยทีติ ยทิ ปน ปรํ อวิเหเฐตฺวา อปฺปกมฺปิ ธมฺมลทฺธํ นิพฺพุติโภชนํ ภุญฺชติฯ ตทสฺส โหตีติ ตทา อสฺส ปณฺฑิตสฺส สรีเร พลญฺจ วโณฺณ จ โหติฯ อาหารมเยนาติ นานปฺปกาเรน อาหาเรเนวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โภ กาก, วโณฺณ นาเมส จตุสมุฎฺฐาโน, โส น อาหารมเตฺตเนว โหติ, อุตุจิตฺตกเมฺมหิปิ โหติเยวาติฯ

    Tattha asuddhabhakkhosīti tvaṃ thenetvā vañcetvā bhakkhanato asuddhabhakkho asi. Khaṇānupātīti pamādakkhaṇe anupatanasīlo. Kicchenateti tayā dukkhena annapānaṃ labbhati. Maṃsāni vā yānīti yāni vā susānamajjhe maṃsāni, tehi na tussasi. Tatoti pacchā. Upakkosati naṃ sabhāvoti attāva taṃ puggalaṃ garahi. Upakkuṭṭhoti attanāpi parehipi upakkuṭṭho garahito vippaṭisāritāya vaṇṇañca balañca jahāsi. Nibbutiṃ bhuñjatī yadīti yadi pana paraṃ aviheṭhetvā appakampi dhammaladdhaṃ nibbutibhojanaṃ bhuñjati. Tadassa hotīti tadā assa paṇḍitassa sarīre balañca vaṇṇo ca hoti. Āhāramayenāti nānappakārena āhāreneva. Idaṃ vuttaṃ hoti – bho kāka, vaṇṇo nāmesa catusamuṭṭhāno, so na āhāramatteneva hoti, utucittakammehipi hotiyevāti.

    เอวํ จกฺกวาโก อเนกปริยาเยน กากํ ครหิฯ กาโก หรายิตฺวา ‘‘น มยฺหํ ตว วเณฺณน อโตฺถ, กา กา’’ติ วสฺสโนฺต ปลายิฯ

    Evaṃ cakkavāko anekapariyāyena kākaṃ garahi. Kāko harāyitvā ‘‘na mayhaṃ tava vaṇṇena attho, kā kā’’ti vassanto palāyi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โลลภิกฺขุ อนาคามิผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา กาโก โลลภิกฺขุ อโหสิ, จกฺกวากี ราหุลมาตา, จกฺกวาโก ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne lolabhikkhu anāgāmiphale patiṭṭhahi. Tadā kāko lolabhikkhu ahosi, cakkavākī rāhulamātā, cakkavāko pana ahameva ahosinti.

    จกฺกวากชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ

    Cakkavākajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๓๔. จกฺกวากชาตกํ • 434. Cakkavākajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact