Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation

    ทีฆ นิกาย ๒๖

    Long Discourses 26

    จกฺกวตฺติสุตฺต

    The Wheel-Turning Monarch

    ๑ฯ อตฺตทีปสรณตา

    1. Taking Refuge in Oneself

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา มคเธสุ วิหรติ มาตุลายํฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ภิกฺขโว”ติฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying in the land of the Magadhans at Mātulā. There the Buddha addressed the bhikkhus, “Bhikkhus!”

    “ภทฺทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    “Venerable sir,” they replied. The Buddha said this:

    “อตฺตทีปา, ภิกฺขเว, วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา, ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณาฯ กถญฺจ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อตฺตทีโป วิหรติ อตฺตสรโณ อนญฺญสรโณ, ธมฺมทีโป ธมฺมสรโณ อนญฺญสรโณ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี …เป… จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี …เป… ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อตฺตทีโป วิหรติ อตฺตสรโณ อนญฺญสรโณ, ธมฺมทีโป ธมฺมสรโณ อนญฺญสรโณฯ

    “Bhikkhus, live as your own island, your own refuge, with no other refuge. Let the teaching be your island and your refuge, with no other refuge. And how does a bhikkhu do this? They meditate observing an aspect of the body—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. They meditate observing an aspect of feelings … mind … principles—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. That’s how a bhikkhu lives as their own island, their own refuge, with no other refuge. That’s how they let the teaching be their island and their refuge, with no other refuge.

    โคจเร, ภิกฺขเว, จรถ สเก เปตฺติเก วิสเยฯ โคจเร, ภิกฺขเว, จรตํ สเก เปตฺติเก วิสเย น ลจฺฉติ มาโร โอตารํ, น ลจฺฉติ มาโร อารมฺมณํฯ กุสลานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติฯ

    You should roam inside your own territory, the domain of your fathers. If you roam inside your own territory, the domain of your fathers, Māra won’t catch you or get hold of you. It is due to undertaking skillful qualities that merit grows.

    ๒ฯ ทฬฺหเนมิจกฺกวตฺติราชา

    2. King Daḷhanemi

    ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ราชา ทฬฺหเนมิ นาม อโหสิ จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต สตฺตรตนสมนฺนาคโตฯ ตสฺสิมานิ สตฺต รตนานิ อเหสุํ เสยฺยถิทํ—จกฺกรตนํ หตฺถิรตนํ อสฺสรตนํ มณิรตนํ อิตฺถิรตนํ คหปติรตนํ ปริณายกรตนเมว สตฺตมํฯ ปโรสหสฺสํ โข ปนสฺส ปุตฺตา อเหสุํ สูรา วีรงฺครูปา ปรเสนปฺปมทฺทนาฯ โส อิมํ ปถวึ สาครปริยนฺตํ อทณฺเฑน อสตฺเถน ธมฺเมน อภิวิชิย อชฺฌาวสิฯ

    Once upon a time, bhikkhus, there was a king named Daḷhanemi who was a wheel-turning monarch, a just and principled king. His dominion extended to all four sides, he achieved stability in the country, and he possessed the seven treasures. He had the following seven treasures: the wheel, the elephant, the horse, the jewel, the woman, the treasurer, and the counselor as the seventh treasure. He had over a thousand sons who were valiant and heroic, crushing the armies of his enemies. After conquering this land girt by sea, he reigned by principle, without rod or sword.

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ทฬฺหเนมิ พหุนฺนํ วสฺสานํ พหุนฺนํ วสฺสสตานํ พหุนฺนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน อญฺญตรํ ปุริสํ อามนฺเตสิ: ‘ยทา ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, ปเสฺสยฺยาสิ ทิพฺพํ จกฺกรตนํ โอสกฺกิตํ ฐานา จุตํ, อถ เม อาโรเจยฺยาสี'ติฯ

    Then, after many years, many hundred years, many thousand years had passed, King Daḷhanemi addressed one of his men, ‘My good man, when you see that the heavenly wheel-treasure has receded back from its place, please tell me.’

    ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, โส ปุริโส รญฺโญ ทฬฺหเนมิสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ

    ‘Yes, Your Majesty,’ replied that man.

    อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, โส ปุริโส พหุนฺนํ วสฺสานํ พหุนฺนํ วสฺสสตานํ พหุนฺนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน ทิพฺพํ จกฺกรตนํ โอสกฺกิตํ ฐานา จุตํ, ทิสฺวาน เยน ราชา ทฬฺหเนมิ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ราชานํ ทฬฺหเนมึ เอตทโวจ: ‘ยคฺเฆ, เทว, ชาเนยฺยาสิ, ทิพฺพํ เต จกฺกรตนํ โอสกฺกิตํ ฐานา จุตนฺ'ติฯ

    After many thousand years had passed, that man saw that the heavenly wheel-treasure had receded back from its place. So he went to King Daḷhanemi and said, ‘Please sire, you should know that your heavenly wheel-treasure has receded back from its place.’

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ทฬฺหเนมิ เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘ทิพฺพํ กิร เม, ตาต กุมาร, จกฺกรตนํ โอสกฺกิตํ ฐานา จุตํฯ สุตํ โข ปน เมตํ—ยสฺส รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ โอสกฺกติ ฐานา จวติ, น ทานิ เตน รญฺญา จิรํ ชีวิตพฺพํ โหตีติฯ ภุตฺตา โข ปน เม มานุสกา กามา, สมโย ทานิ เม ทิพฺเพ กาเม ปริเยสิตุํฯ เอหิ ตฺวํ, ตาต กุมาร, อิมํ สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ ปฏิปชฺชฯ อหํ ปน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามี'ติฯ

    So the king summoned the crown prince and said, ‘Dear prince, my heavenly wheel-treasure has receded back from its place. I’ve heard that when this happens to a wheel-turning monarch, he does not have long to live. I have enjoyed human pleasures. Now it is time for me to seek heavenly pleasures. Come, dear prince, rule this land surrounded by ocean! I shall shave off my hair and beard, dress in ocher robes, and go forth from the lay life to homelessness.’

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ทฬฺหเนมิ เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รชฺเช สมนุสาสิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ สตฺตาหปพฺพชิเต โข ปน, ภิกฺขเว, ราชิสิมฺหิ ทิพฺพํ จกฺกรตนํ อนฺตรธายิฯ

    And so, after carefully instructing the crown prince in kingship, King Daḷhanemi shaved off his hair and beard, dressed in ocher robes, and went forth from the lay life to homelessness. Seven days later the heavenly wheel-treasure vanished.

    อถ โข, ภิกฺขเว, อญฺญตโร ปุริโส เยน ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ราชานํ ขตฺติยํ มุทฺธาภิสิตฺตํ เอตทโวจ: ‘ยคฺเฆ, เทว, ชาเนยฺยาสิ, ทิพฺพํ จกฺกรตนํ อนฺตรหิตนฺ'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ทิพฺเพ จกฺกรตเน อนฺตรหิเต อนตฺตมโน อโหสิ, อนตฺตมนตญฺจ ปฏิสํเวเทสิฯ โส เยน ราชิสิ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ราชิสึ เอตทโวจ: ‘ยคฺเฆ, เทว, ชาเนยฺยาสิ, ทิพฺพํ จกฺกรตนํ อนฺตรหิตนฺ'ติฯ

    Then a certain man approached the newly anointed aristocrat king and said, ‘Please sire, you should know that the heavenly wheel-treasure has vanished.’ At that the king was unhappy and experienced unhappiness. He went to the royal sage and said, ‘Please sire, you should know that the heavenly wheel-treasure has vanished.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, ราชิสิ ราชานํ ขตฺติยํ มุทฺธาภิสิตฺตํ เอตทโวจ: ‘มา โข ตฺวํ, ตาต, ทิพฺเพ จกฺกรตเน อนฺตรหิเต อนตฺตมโน อโหสิ, มา อนตฺตมนตญฺจ ปฏิสํเวเทสิ, น หิ เต, ตาต, ทิพฺพํ จกฺกรตนํ เปตฺติกํ ทายชฺชํฯ อิงฺฆ ตฺวํ, ตาต, อริเย จกฺกวตฺติวตฺเต วตฺตาหิฯ ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ เต อริเย จกฺกวตฺติวตฺเต วตฺตมานสฺส ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาตสฺส อุโปสถิกสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวิสฺสติ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรนฺ'ติฯ

    When he said this, the royal sage said to him, ‘Don’t be unhappy at the vanishing of the wheel-treasure. My dear, the wheel-treasure is not inherited from your father. Come now, my dear, proceed in the noble duty of a wheel-turning monarch. If you do so, it’s possible that—on a fifteenth day Uposatha, having bathed your head and gone upstairs in the royal longhouse to observe the Uposatha day—the heavenly wheel-treasure will appear to you, with a thousand spokes, with rim and hub, complete in every detail.’

    ๒ฯ๑ฯ จกฺกวตฺติอริยวตฺต

    2.1. The Noble Duty of a Wheel-Turning Monarch

    ‘กตมํ ปน ตํ, เทว, อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตนฺ'ติ?

    ‘But sire, what is the noble duty of a wheel-turning monarch?’

    ‘เตน หิ ตฺวํ, ตาต, ธมฺมํเยว นิสฺสาย ธมฺมํ สกฺกโรนฺโต ธมฺมํ ครุํ กโรนฺโต ธมฺมํ มาเนนฺโต ธมฺมํ ปูเชนฺโต ธมฺมํ อปจายมาโน ธมฺมทฺธโช ธมฺมเกตุ ธมฺมาธิปเตโยฺย ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺตึ สํวิทหสฺสุ อนฺโตชนสฺมึ พลกายสฺมึ ขตฺติเยสุ อนุยนฺเตสุ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคมชานปเทสุ สมณพฺราหฺมเณสุ มิคปกฺขีสุฯ มา จ เต, ตาต, วิชิเต อธมฺมกาโร ปวตฺติตฺถฯ เย จ เต, ตาต, วิชิเต อธนา อสฺสุ, เตสญฺจ ธนมนุปฺปเทยฺยาสิฯ

    ‘Well then, my dear, relying only on principle—honoring, respecting, and venerating principle, having principle as your flag, banner, and authority—provide just protection and security for your court, troops, aristocrats, vassals, brahmins and householders, people of town and country, ascetics and brahmins, beasts and birds. Do not let injustice prevail in the realm. Provide money to the penniless in the realm.

    เย จ เต, ตาต, วิชิเต สมณพฺราหฺมณา มทปฺปมาทา ปฏิวิรตา ขนฺติโสรจฺเจ นิวิฏฺฐา เอกมตฺตานํ ทเมนฺติ, เอกมตฺตานํ สเมนฺติ, เอกมตฺตานํ ปรินิพฺพาเปนฺติ, เต กาเลน กาลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปริปุจฺเฉยฺยาสิ ปริคฺคเณฺหยฺยาสิ: “กึ, ภนฺเต, กุสลํ, กึ อกุสลํ, กึ สาวชฺชํ, กึ อนวชฺชํ, กึ เสวิตพฺพํ, กึ น เสวิตพฺพํ, กึ เม กรียมานํ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย อสฺส, กึ วา ปน เม กรียมานํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย อสฺสา”ติ? เตสํ สุตฺวา ยํ อกุสลํ ตํ อภินิวชฺเชยฺยาสิ, ยํ กุสลํ ตํ สมาทาย วตฺเตยฺยาสิฯ

    And there are ascetics and brahmins in the realm who avoid intoxication and negligence, are settled in patience and gentleness, and who tame, calm, and extinguish themselves. From time to time you should go up to them and ask and learn: “Sirs, what is skillful? What is unskillful? What is blameworthy? What is blameless? What should be cultivated? What should not be cultivated? Doing what leads to my lasting harm and suffering? Doing what leads to my lasting welfare and happiness?” Having heard them, you should reject what is unskillful and undertake and follow what is skillful.

    อิทํ โข, ตาต, ตํ อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตนฺ'ติฯ

    This is the noble duty of a wheel-turning monarch.’

    ๒ฯ๒ฯ จกฺกรตนปาตุภาว

    2.2. The Wheel-Treasure Appears

    ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ราชิสิสฺส ปฏิสฺสุตฺวา อริเย จกฺกวตฺติวตฺเต วตฺติฯ

    ‘Yes, Your Majesty,’ replied the new king to the royal sage. And he proceeded in the noble duty of a wheel-turning monarch.

    ตสฺส อริเย จกฺกวตฺติวตฺเต วตฺตมานสฺส ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาตสฺส อุโปสถิกสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุรโหสิ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํฯ ทิสฺวาน รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘สุตํ โข ปน เมตํ—ยสฺส รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาตสฺส อุโปสถิกสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวติ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํ, โส โหติ ราชา จกฺกวตฺตีติฯ อสฺสํ นุ โข อหํ ราชา จกฺกวตฺตี'ติฯ

    While he was proceeding in that duty, on a fifteenth day Uposatha, he had bathed his head and gone upstairs in the royal longhouse to observe the Uposatha day. And the heavenly wheel-treasure appeared to him, with a thousand spokes, with rim and hub, complete in every detail. Seeing this, the king thought, ‘I have heard that when the heavenly wheel-treasure appears to a king in this way, he becomes a wheel-turning monarch. Am I then a wheel-turning monarch?’

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต อุฏฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วาเมน หตฺเถน ภิงฺการํ คเหตฺวา ทกฺขิเณน หตฺเถน จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิริ: ‘ปวตฺตตุ ภวํ จกฺกรตนํ, อภิวิชินาตุ ภวํ จกฺกรตนนฺ'ติฯ

    Then the anointed king, rising from his seat and arranging his robe over one shoulder, took a ceremonial vase in his left hand and besprinkled the wheel-treasure with his right hand, saying, ‘Roll forth, O wheel-treasure! Triumph, O wheel-treasure!’

    อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, จกฺกรตนํ ปุรตฺถิมํ ทิสํ ปวตฺติ, อนฺวเทว ราชา จกฺกวตฺตี สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ยสฺมึ โข ปน, ภิกฺขเว, ปเทเส จกฺกรตนํ ปติฏฺฐาสิ, ตตฺถ ราชา จกฺกวตฺตี วาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘เอหิ โข, มหาราช, สฺวาคตํ เต มหาราช, สกํ เต, มหาราช, อนุสาส, มหาราชา'ติฯ ราชา จกฺกวตฺตี เอวมาห: ‘ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ, กาเมสุมิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภาสิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ, ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา'ติฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนุยนฺตา อเหสุํฯ

    Then the wheel-treasure rolled towards the east. And the king followed it together with his army of four divisions. In whatever place the wheel-treasure stood still, there the king came to stay together with his army. And any opposing rulers of the eastern quarter came to the wheel-turning monarch and said, ‘Come, great king! Welcome, great king! We are yours, great king, instruct us.’ The wheel-turning monarch said, ‘Do not kill living creatures. Do not steal. Do not commit sexual misconduct. Do not lie. Do not drink alcohol. Maintain the current level of taxation.’ And so the opposing rulers of the eastern quarter became his vassals.

    อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, จกฺกรตนํ ปุรตฺถิมํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ทกฺขิณํ ทิสํ ปวตฺติ …เป… ทกฺขิณํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ปจฺฉิมํ ทิสํ ปวตฺติ, อนฺวเทว ราชา จกฺกวตฺตี สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ยสฺมึ โข ปน, ภิกฺขเว, ปเทเส จกฺกรตนํ ปติฏฺฐาสิ, ตตฺถ ราชา จกฺกวตฺตี วาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, ปจฺฉิมาย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘เอหิ โข, มหาราช, สฺวาคตํ เต, มหาราช, สกํ เต, มหาราช, อนุสาส, มหาราชา'ติฯ ราชา จกฺกวตฺตี เอวมาห: ‘ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ, กาเมสุมิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภาสิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ, ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา'ติฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, ปจฺฉิมาย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนุยนฺตา อเหสุํฯ

    Then the wheel-treasure, having plunged into the eastern ocean and emerged again, rolled towards the south. … Having plunged into the southern ocean and emerged again, it rolled towards the west. …

    อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, จกฺกรตนํ ปจฺฉิมํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา อุตฺตรํ ทิสํ ปวตฺติ, อนฺวเทว ราชา จกฺกวตฺตี สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ยสฺมึ โข ปน, ภิกฺขเว, ปเทเส จกฺกรตนํ ปติฏฺฐาสิ, ตตฺถ ราชา จกฺกวตฺตี วาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, อุตฺตราย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘เอหิ โข, มหาราช, สฺวาคตํ เต, มหาราช, สกํ เต, มหาราช, อนุสาส, มหาราชา'ติฯ ราชา จกฺกวตฺตี เอวมาห: ‘ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ, กาเมสุมิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภาสิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ, ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา'ติฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, อุตฺตราย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนุยนฺตา อเหสุํฯ

    Having plunged into the western ocean and emerged again, it rolled towards the north, followed by the king together with his army of four divisions. In whatever place the wheel-treasure stood still, there the king came to stay together with his army. And any opposing rulers of the northern quarter came to the wheel-turning monarch and said, ‘Come, great king! Welcome, great king! We are yours, great king, instruct us.’ The wheel-turning monarch said, ‘Do not kill living creatures. Do not steal. Do not commit sexual misconduct. Do not lie. Do not drink alcohol. Maintain the current level of taxation.’ And so the rulers of the northern quarter became his vassals.

    อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, จกฺกรตนํ สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ อภิวิชินิตฺวา ตเมว ราชธานึ ปจฺจาคนฺตฺวา รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนฺเตปุรทฺวาเร อตฺถกรณปมุเข อกฺขาหตํ มญฺเญ อฏฺฐาสิ รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนฺเตปุรํ อุปโสภยมานํฯ

    And then the wheel-treasure, having triumphed over this land surrounded by ocean, returned to the royal capital. There it stood still by the gate to the royal compound at the High Court as if fixed to an axle, illuminating the royal compound.

    ๓ฯ ทุติยาทิจกฺกวตฺติกถา

    3. On Subsequent Wheel-Turning Monarchs

    ทุติโยปิ โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี …เป… ตติโยปิ โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี … จตุตฺโถปิ โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี … ปญฺจโมปิ โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี … ฉฏฺโฐปิ โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี … สตฺตโมปิ โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี พหุนฺนํ วสฺสานํ พหุนฺนํ วสฺสสตานํ พหุนฺนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน อญฺญตรํ ปุริสํ อามนฺเตสิ: ‘ยทา ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, ปเสฺสยฺยาสิ ทิพฺพํ จกฺกรตนํ โอสกฺกิตํ ฐานา จุตํ, อถ เม อาโรเจยฺยาสี'ติฯ ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, โส ปุริโส รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, โส ปุริโส พหุนฺนํ วสฺสานํ พหุนฺนํ วสฺสสตานํ พหุนฺนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน ทิพฺพํ จกฺกรตนํ โอสกฺกิตํ ฐานา จุตํฯ ทิสฺวาน เยน ราชา จกฺกวตฺตี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ราชานํ จกฺกวตฺตึ เอตทโวจ: ‘ยคฺเฆ, เทว, ชาเนยฺยาสิ, ทิพฺพํ เต จกฺกรตนํ โอสกฺกิตํ ฐานา จุตนฺ'ติ?

    And for a second time, and a third, a fourth, a fifth, a sixth, and a seventh time, a wheel-turning monarch was established in exactly the same way. And after many years the seventh wheel-turning monarch went forth, handing the realm over to the crown prince.

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘ทิพฺพํ กิร เม, ตาต กุมาร, จกฺกรตนํ โอสกฺกิตํ, ฐานา จุตํ, สุตํ โข ปน เมตํ—ยสฺส รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ โอสกฺกติ, ฐานา จวติ, น ทานิ เตน รญฺญา จิรํ ชีวิตพฺพํ โหตีติฯ ภุตฺตา โข ปน เม มานุสกา กามา, สมโย ทานิ เม ทิพฺเพ กาเม ปริเยสิตุํ, เอหิ ตฺวํ, ตาต กุมาร, อิมํ สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ ปฏิปชฺชฯ อหํ ปน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามี'ติฯ

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รชฺเช สมนุสาสิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ สตฺตาหปพฺพชิเต โข ปน, ภิกฺขเว, ราชิสิมฺหิ ทิพฺพํ จกฺกรตนํ อนฺตรธายิฯ

    Seven days later the heavenly wheel-treasure vanished.

    อถ โข, ภิกฺขเว, อญฺญตโร ปุริโส เยน ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ราชานํ ขตฺติยํ มุทฺธาภิสิตฺตํ เอตทโวจ: ‘ยคฺเฆ, เทว, ชาเนยฺยาสิ, ทิพฺพํ จกฺกรตนํ อนฺตรหิตนฺ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ทิพฺเพ จกฺกรตเน อนฺตรหิเต อนตฺตมโน อโหสิฯ อนตฺตมนตญฺจ ปฏิสํเวเทสิ; โน จ โข ราชิสึ อุปสงฺกมิตฺวา อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตํ ปุจฺฉิฯ โส สมเตเนว สุทํ ชนปทํ ปสาสติฯ ตสฺส สมเตน ชนปทํ ปสาสโต ปุพฺเพนาปรํ ชนปทา น ปพฺพนฺติ, ยถา ตํ ปุพฺพกานํ ราชูนํ อริเย จกฺกวตฺติวตฺเต วตฺตมานานํฯ

    Then a certain man approached the newly anointed aristocrat king and said, ‘Please sire, you should know that the heavenly wheel-treasure has vanished.’ At that the king was unhappy and experienced unhappiness. But he didn’t go to the royal sage and ask about the noble duty of a wheel-turning monarch. He just governed the country according to his own ideas. So governed, the country’s people did not prosper like before, as they had when former kings proceeded in the noble duty of a wheel-turning monarch.

    อถ โข, ภิกฺขเว, อมจฺจา ปาริสชฺชา คณกมหามตฺตา อนีกฏฺฐา โทวาริกา มนฺตสฺสาชีวิโน สนฺนิปติตฺวา ราชานํ ขตฺติยํ มุทฺธาภิสิตฺตํ เอตทโวจุํ: ‘น โข เต, เทว, สมเตน สุทํ ชนปทํ ปสาสโต ปุพฺเพนาปรํ ชนปทา ปพฺพนฺติ, ยถา ตํ ปุพฺพกานํ ราชูนํ อริเย จกฺกวตฺติวตฺเต วตฺตมานานํฯ สํวิชฺชนฺติ โข เต, เทว, วิชิเต อมจฺจา ปาริสชฺชา คณกมหามตฺตา อนีกฏฺฐา โทวาริกา มนฺตสฺสาชีวิโน มยญฺเจว อญฺเญ จ เย มยํ อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตํ ธาเรมฯ อิงฺฆ ตฺวํ, เทว, อเมฺห อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตํ ปุจฺฉฯ ตสฺส เต มยํ อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตํ ปุฏฺฐา พฺยากริสฺสามา'ติฯ

    Then the ministers and counselors, the treasury officials, military officers, guardsmen, and professional advisers gathered and said to the king, ‘Sire, when governed according to your own ideas, the country’s people do not prosper like before, as they did when former kings proceeded in the noble duty of a wheel-turning monarch. In your realm are found ministers and counselors, treasury officials, military officers, guardsmen, and professional advisers—both ourselves and others—who remember the noble duty of a wheel-turning monarch. Please, Your Majesty, ask us about the noble duty of a wheel-turning monarch. We will answer you.’

    ๔ฯ อายุวณฺณาทิปริหานิกถา

    4. On the Period of Decline

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต อมจฺเจ ปาริสชฺเช คณกมหามตฺเต อนีกฏฺเฐ โทวาริเก มนฺตสฺสาชีวิโน สนฺนิปาเตตฺวา อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตํ ปุจฺฉิฯ ตสฺส เต อริยํ จกฺกวตฺติวตฺตํ ปุฏฺฐา พฺยากรึสุฯ เตสํ สุตฺวา ธมฺมิกญฺหิ โข รกฺขาวรณคุตฺตึ สํวิทหิ, โน จ โข อธนานํ ธนมนุปฺปทาสิฯ อธนานํ ธเน อนนุปฺปทิยมาเน ทาลิทฺทิยํ เวปุลฺลมคมาสิฯ

    So the anointed king asked the assembled ministers and counselors, treasury officials, military officers, guardsmen, and professional advisers about the noble duty of a wheel-turning monarch. And they answered him. After listening to them, he provided just protection and security. But he did not provide money to the penniless in the realm. And so poverty grew widespread.

    ทาลิทฺทิเย เวปุลฺลํ คเต อญฺญตโร ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิฯ ตเมนํ อคฺคเหสุํฯ คเหตฺวา รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส ทเสฺสสุํ: ‘อยํ, เทว, ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติฯ

    When poverty was widespread, a certain person stole from others, with the intention to commit theft. They arrested him and presented him to the king, saying, ‘Your Majesty, this person stole from others with the intention to commit theft.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ตํ ปุริสํ เอตทโวจ: ‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติ?

    The king said to that person, ‘Is it really true, mister, that you stole from others with the intention to commit theft?’

    ‘สจฺจํ, เทวา'ติฯ

    ‘It’s true, sire.’

    ‘กึ การณา'ติ?

    ‘What was the reason?’

    ‘น หิ, เทว, ชีวามี'ติฯ

    ‘Sire, I can’t survive.’

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ตสฺส ปุริสสฺส ธนมนุปฺปทาสิ: ‘อิมินา ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, ธเนน อตฺตนา จ ชีวาหิ, มาตาปิตโร จ โปเสหิ, ปุตฺตทารญฺจ โปเสหิ, กมฺมนฺเต จ ปโยเชหิ, สมณพฺราหฺมเณสุ อุทฺธคฺคิกํ ทกฺขิณํ ปติฏฺฐาเปหิ โสวคฺคิกํ สุขวิปากํ สคฺคสํวตฺตนิกนฺ'ติฯ

    So the king provided some money to that person, saying, ‘With this money, mister, keep yourself alive, and provide for your mother and father, partners and children. Work for a living, and establish an uplifting religious donation for ascetics and brahmins that’s conducive to heaven, ripens in happiness, and leads to heaven.’

    ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, โส ปุริโส รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ

    ‘Yes, Your Majesty,’ replied that man.

    อญฺญตโรปิ โข, ภิกฺขเว, ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิฯ ตเมนํ อคฺคเหสุํฯ คเหตฺวา รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส ทเสฺสสุํ: ‘อยํ, เทว, ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติฯ

    But then another man stole something from others. They arrested him and presented him to the king, saying, ‘Your Majesty, this person stole from others.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ตํ ปุริสํ เอตทโวจ: ‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติ?

    The king said to that person, ‘Is it really true, mister, that you stole from others?’

    ‘สจฺจํ, เทวา'ติฯ

    ‘It’s true, sire.’

    ‘กึ การณา'ติ?

    ‘What was the reason?’

    ‘น หิ, เทว, ชีวามี'ติฯ

    ‘Sire, I can’t survive.’

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ตสฺส ปุริสสฺส ธนมนุปฺปทาสิ: ‘อิมินา ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, ธเนน อตฺตนา จ ชีวาหิ, มาตาปิตโร จ โปเสหิ, ปุตฺตทารญฺจ โปเสหิ, กมฺมนฺเต จ ปโยเชหิ, สมณพฺราหฺมเณสุ อุทฺธคฺคิกํ ทกฺขิณํ ปติฏฺฐาเปหิ โสวคฺคิกํ สุขวิปากํ สคฺคสํวตฺตนิกนฺ'ติฯ

    So the king provided some money to that person, saying, ‘With this money, mister, keep yourself alive, and provide for your mother and father, partners and children. Work for a living, and establish an uplifting religious donation for ascetics and brahmins that’s conducive to heaven, ripens in happiness, and leads to heaven.’

    ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, โส ปุริโส รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ

    ‘Yes, Your Majesty,’ replied that man.

    อโสฺสสุํ โข, ภิกฺขเว, มนุสฺสา: ‘เย กิร, โภ, ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยนฺติ, เตสํ ราชา ธนมนุปฺปเทตี'ติฯ สุตฺวาน เตสํ เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูน มยมฺปิ ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิเยยฺยามา'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, อญฺญตโร ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิฯ

    People heard about this: ‘It seems the king is providing money to anyone who steals from others!’ It occurred to them, ‘Why don’t we steal from others?’ So then another man stole something from others.

    ตเมนํ อคฺคเหสุํฯ คเหตฺวา รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส ทเสฺสสุํ: ‘อยํ, เทว, ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติฯ

    They arrested him and presented him to the king, saying, ‘Your Majesty, this person stole from others.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ตํ ปุริสํ เอตทโวจ: ‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติ?

    The king said to that person, ‘Is it really true, mister, that you stole from others?’

    ‘สจฺจํ, เทวา'ติฯ

    ‘It’s true, sire.’

    ‘กึ การณา'ติ?

    ‘What was the reason?’

    ‘น หิ, เทว, ชีวามี'ติฯ

    ‘Sire, I can’t survive.’

    อถ โข, ภิกฺขเว, รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘สเจ โข อหํ โย โย ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิสฺสติ, ตสฺส ตสฺส ธนมนุปฺปทสฺสามิ, เอวมิทํ อทินฺนาทานํ ปวฑฺฒิสฺสติฯ ยนฺนูนาหํ อิมํ ปุริสํ สุนิเสธํ นิเสเธยฺยํ, มูลฆจฺจํ กเรยฺยํ, สีสมสฺส ฉินฺเทยฺยนฺ'ติฯ

    Then the king thought, ‘If I provide money to anyone who steals from others, it will only increase the stealing. I’d better make an end of this person, finish him off, and chop off his head.’

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ปุริเส อาณาเปสิ: ‘เตน หิ, ภเณ, อิมํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สุนิเสธํ นิเสเธถ, มูลฆจฺจํ กโรถ, สีสมสฺส ฉินฺทถา'ติฯ

    Then he ordered his men, ‘Well then, my men, tie this man’s arms tightly behind his back with a strong rope. Shave his head and march him from street to street and square to square to the beating of a harsh drum. Then take him out the south gate and make an end of him, finish him off, and chop off his head.’

    ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, เต ปุริสา รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สุนิเสธํ นิเสเธสุํ, มูลฆจฺจํ อกํสุ, สีสมสฺส ฉินฺทึสุฯ

    ‘Yes, Your Majesty,’ they replied, and did as he commanded.

    อโสฺสสุํ โข, ภิกฺขเว, มนุสฺสา: ‘เย กิร, โภ, ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยนฺติ, เต ราชา สุนิเสธํ นิเสเธติ, มูลฆจฺจํ กโรติ, สีสานิ เตสํ ฉินฺทตี'ติฯ สุตฺวาน เตสํ เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูน มยมฺปิ ติณฺหานิ สตฺถานิ การาเปสฺสาม, ติณฺหานิ สตฺถานิ การาเปตฺวา เยสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิสฺสาม, เต สุนิเสธํ นิเสเธสฺสาม, มูลฆจฺจํ กริสฺสาม, สีสานิ เตสํ ฉินฺทิสฺสามา'ติฯ เต ติณฺหานิ สตฺถานิ การาเปสุํ, ติณฺหานิ สตฺถานิ การาเปตฺวา คามฆาตมฺปิ อุปกฺกมึสุ กาตุํ, นิคมฆาตมฺปิ อุปกฺกมึสุ กาตุํ, นครฆาตมฺปิ อุปกฺกมึสุ กาตุํ, ปนฺถทุหนมฺปิ อุปกฺกมึสุ กาตุํฯ เยสํ เต อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยนฺติ, เต สุนิเสธํ นิเสเธนฺติ, มูลฆจฺจํ กโรนฺติ, สีสานิ เตสํ ฉินฺทนฺติฯ

    People heard about this: ‘It seems the king is chopping the head off anyone who steals from others!’ It occurred to them, ‘We’d better have sharp swords made. Then when we steal from others, we’ll make an end of them, finish them off, and chop off their heads.’ They had sharp swords made. Then they started to make raids on villages, towns, and cities, and to infest the highways. And they chopped the heads off anyone they stole from.

    อิติ โข, ภิกฺขเว, อธนานํ ธเน อนนุปฺปทิยมาเน ทาลิทฺทิยํ เวปุลฺลมคมาสิ, ทาลิทฺทิเย เวปุลฺลํ คเต อทินฺนาทานํ เวปุลฺลมคมาสิ, อทินฺนาทาเน เวปุลฺลํ คเต สตฺถํ เวปุลฺลมคมาสิ, สตฺเถ เวปุลฺลํ คเต ปาณาติปาโต เวปุลฺลมคมาสิ, ปาณาติปาเต เวปุลฺลํ คเต เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ อสีติวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ จตฺตารีสวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    And so, bhikkhus, from not providing money to the penniless, poverty became widespread. When poverty was widespread, theft became widespread. When theft was widespread, swords became widespread. When swords were widespread, killing living creatures became widespread. And for the sentient beings among whom killing was widespread, their lifespan and beauty declined. Those people lived for 80,000 years, but their children lived for 40,000 years.

    จตฺตารีสวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อญฺญตโร ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิฯ ตเมนํ อคฺคเหสุํฯ คเหตฺวา รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส ทเสฺสสุํ: ‘อยํ, เทว, ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติฯ

    Among the people who lived for 40,000 years, a certain person stole something from others. They arrested him and presented him to the king, saying, ‘Your Majesty, this person stole from others.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิตฺโต ตํ ปุริสํ เอตทโวจ: ‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติ?

    The king said to that person, ‘Is it really true, mister, that you stole from others?’

    ‘น หิ, เทวา'ติ สมฺปชานมุสา อภาสิฯ

    ‘No, sire,’ he said, deliberately lying.

    อิติ โข, ภิกฺขเว, อธนานํ ธเน อนนุปฺปทิยมาเน ทาลิทฺทิยํ เวปุลฺลมคมาสิฯ ทาลิทฺทิเย เวปุลฺลํ คเต อทินฺนาทานํ เวปุลฺลมคมาสิ, อทินฺนาทาเน เวปุลฺลํ คเต สตฺถํ เวปุลฺลมคมาสิฯ สตฺเถ เวปุลฺลํ คเต ปาณาติปาโต เวปุลฺลมคมาสิ, ปาณาติปาเต เวปุลฺลํ คเต มุสาวาโท เวปุลฺลมคมาสิ, มุสาวาเท เวปุลฺลํ คเต เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ จตฺตารีสวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ วีสติวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    And so, bhikkhus, from not providing money to the penniless, poverty, theft, swords, and killing became widespread. When killing was widespread, lying became widespread. And for the sentient beings among whom lying was widespread, their lifespan and beauty declined. Those people who lived for 40,000 years had children who lived for 20,000 years.

    วีสติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อญฺญตโร ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิฯ ตเมนํ อญฺญตโร ปุริโส รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาภิสิตฺตสฺส อาโรเจสิ: ‘อิตฺถนฺนาโม, เทว, ปุริโส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยี'ติ เปสุญฺญมกาสิฯ

    Among the people who lived for 20,000 years, a certain person stole something from others. Someone else reported this to the king, ‘Your Majesty, such-and-such person stole from others,’ he said, going behind his back.

    อิติ โข, ภิกฺขเว, อธนานํ ธเน อนนุปฺปทิยมาเน ทาลิทฺทิยํ เวปุลฺลมคมาสิฯ ทาลิทฺทิเย เวปุลฺลํ คเต อทินฺนาทานํ เวปุลฺลมคมาสิ, อทินฺนาทาเน เวปุลฺลํ คเต สตฺถํ เวปุลฺลมคมาสิ, สตฺเถ เวปุลฺลํ คเต ปาณาติปาโต เวปุลฺลมคมาสิ, ปาณาติปาเต เวปุลฺลํ คเต มุสาวาโท เวปุลฺลมคมาสิ, มุสาวาเท เวปุลฺลํ คเต ปิสุณา วาจา เวปุลฺลมคมาสิ, ปิสุณาย วาจาย เวปุลฺลํ คตาย เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ วีสติวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ ทสวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    And so, bhikkhus, from not providing money to the penniless, poverty, theft, swords, killing, and lying became widespread. When lying was widespread, backbiting became widespread. And for the sentient beings among whom backbiting was widespread, their lifespan and beauty declined. Those people who lived for 20,000 years had children who lived for 10,000 years.

    ทสวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ เอกิทํ สตฺตา วณฺณวนฺโต โหนฺติ, เอกิทํ สตฺตา ทุพฺพณฺณาฯ ตตฺถ เย เต สตฺตา ทุพฺพณฺณา, เต วณฺณวนฺเต สตฺเต อภิชฺฌายนฺตา ปเรสํ ทาเรสุ จาริตฺตํ อาปชฺชึสุฯ

    Among the people who lived for 10,000 years, some were beautiful, some were ugly. And the ugly beings, coveting the beautiful ones, committed adultery with the wives of others.

    อิติ โข, ภิกฺขเว, อธนานํ ธเน อนนุปฺปทิยมาเน ทาลิทฺทิยํ เวปุลฺลมคมาสิฯ ทาลิทฺทิเย เวปุลฺลํ คเต …เป… กาเมสุมิจฺฉาจาโร เวปุลฺลมคมาสิ, กาเมสุมิจฺฉาจาเร เวปุลฺลํ คเต เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ ทสวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ ปญฺจวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    And so, bhikkhus, from not providing money to the penniless, poverty, theft, swords, killing, lying, and backbiting became widespread. When backbiting was widespread, sexual misconduct became widespread. And for the sentient beings among whom sexual misconduct was widespread, their lifespan and beauty declined. Those people who lived for 10,000 years had children who lived for 5,000 years.

    ปญฺจวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ เทฺว ธมฺมา เวปุลฺลมคมํสุ—ผรุสาวาจา สมฺผปฺปลาโป จฯ ทฺวีสุ ธมฺเมสุ เวปุลฺลํ คเตสุ เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ ปญฺจวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ อปฺเปกจฺเจ อฑฺฒเตยฺยวสฺสสหสฺสายุกา, อปฺเปกจฺเจ เทฺววสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    Among the people who lived for 5,000 years, two things became widespread: harsh speech and talking nonsense. For the sentient beings among whom these two things were widespread, their lifespan and beauty declined. Those people who lived for 5,000 years had some children who lived for 2,500 years, while others lived for 2,000 years.

    อฑฺฒเตยฺยวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อภิชฺฌาพฺยาปาทา เวปุลฺลมคมํสุฯ อภิชฺฌาพฺยาปาเทสุ เวปุลฺลํ คเตสุ เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ อฑฺฒเตยฺยวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ วสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    Among the people who lived for 2,500 years, desire and ill will became widespread. For the sentient beings among whom desire and ill will were widespread, their lifespan and beauty declined. Those people who lived for 2,500 years had children who lived for 1,000 years.

    วสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ มิจฺฉาทิฏฺฐิ เวปุลฺลมคมาสิฯ มิจฺฉาทิฏฺฐิยา เวปุลฺลํ คตาย เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ วสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ ปญฺจวสฺสสตายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    Among the people who lived for 1,000 years, wrong view became widespread. For the sentient beings among whom wrong view was widespread, their lifespan and beauty declined. Those people who lived for 1,000 years had children who lived for five hundred years.

    ปญฺจวสฺสสตายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ ตโย ธมฺมา เวปุลฺลมคมํสุ—อธมฺมราโค วิสมโลโภ มิจฺฉาธมฺโมฯ ตีสุ ธมฺเมสุ เวปุลฺลํ คเตสุ เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ ปญฺจวสฺสสตายุกานํ มนุสฺสานํ อปฺเปกจฺเจ อฑฺฒเตยฺยวสฺสสตายุกา, อปฺเปกจฺเจ เทฺววสฺสสตายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    Among the people who lived for five hundred years, three things became widespread: illicit desire, immoral greed, and wrong custom. For the sentient beings among whom these three things were widespread, their lifespan and beauty declined. Those people who lived for five hundred years had some children who lived for two hundred and fifty years, while others lived for two hundred years.

    อฑฺฒเตยฺยวสฺสสตายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อิเม ธมฺมา เวปุลฺลมคมํสุฯ อมตฺเตยฺยตา อเปตฺเตยฺยตา อสามญฺญตา อพฺรหฺมญฺญตา น กุเล เชฏฺฐาปจายิตาฯ

    Among the people who lived for two hundred and fifty years, these things became widespread: lack of due respect for mother and father, ascetics and brahmins, and failure to honor the elders in the family.

    อิติ โข, ภิกฺขเว, อธนานํ ธเน อนนุปฺปทิยมาเน ทาลิทฺทิยํ เวปุลฺลมคมาสิฯ ทาลิทฺทิเย เวปุลฺลํ คเต อทินฺนาทานํ เวปุลฺลมคมาสิฯ อทินฺนาทาเน เวปุลฺลํ คเต สตฺถํ เวปุลฺลมคมาสิฯ สตฺเถ เวปุลฺลํ คเต ปาณาติปาโต เวปุลฺลมคมาสิฯ ปาณาติปาเต เวปุลฺลํ คเต มุสาวาโท เวปุลฺลมคมาสิฯ มุสาวาเท เวปุลฺลํ คเต ปิสุณา วาจา เวปุลฺลมคมาสิฯ ปิสุณาย วาจาย เวปุลฺลํ คตาย กาเมสุมิจฺฉาจาโร เวปุลฺลมคมาสิฯ กาเมสุมิจฺฉาจาเร เวปุลฺลํ คเต เทฺว ธมฺมา เวปุลฺลมคมํสุ, ผรุสา วาจา สมฺผปฺปลาโป จฯ ทฺวีสุ ธมฺเมสุ เวปุลฺลํ คเตสุ อภิชฺฌาพฺยาปาทา เวปุลฺลมคมํสุฯ อภิชฺฌาพฺยาปาเทสุ เวปุลฺลํ คเตสุ มิจฺฉาทิฏฺฐิ เวปุลฺลมคมาสิฯ มิจฺฉาทิฏฺฐิยา เวปุลฺลํ คตาย ตโย ธมฺมา เวปุลฺลมคมํสุ, อธมฺมราโค วิสมโลโภ มิจฺฉาธมฺโมฯ ตีสุ ธมฺเมสุ เวปุลฺลํ คเตสุ อิเม ธมฺมา เวปุลฺลมคมํสุ, อมตฺเตยฺยตา อเปตฺเตยฺยตา อสามญฺญตา อพฺรหฺมญฺญตา น กุเล เชฏฺฐาปจายิตาฯ อิเมสุ ธมฺเมสุ เวปุลฺลํ คเตสุ เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ, วณฺโณปิ ปริหายิฯ เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ อฑฺฒเตยฺยวสฺสสตายุกานํ มนุสฺสานํ วสฺสสตายุกา ปุตฺตา อเหสุํฯ

    And so, bhikkhus, from not providing money to the penniless, all these things became widespread—poverty, theft, swords, killing, lying, backbiting, sexual misconduct, harsh speech and talking nonsense, desire and ill will, wrong view, illicit desire, immoral greed, and wrong custom, and lack of due respect for mother and father, ascetics and brahmins, and failure to honor the elders in the family. For the sentient beings among whom these things were widespread, their lifespan and beauty declined. Those people who lived for two hundred and fifty years had children who lived for a hundred years.

    ๕ฯ ทสวสฺสายุกสมย

    5. When People Live for Ten Years

    ภวิสฺสติ, ภิกฺขเว, โส สมโย, ยํ อิเมสํ มนุสฺสานํ ทสวสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติฯ ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ ปญฺจวสฺสิกา กุมาริกา อลํปเตยฺยา ภวิสฺสนฺติฯ ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อิมานิ รสานิ อนฺตรธายิสฺสนฺติ, เสยฺยถิทํ—สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิตํ โลณํฯ ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ กุทฺรูสโก อคฺคํ โภชนานํ ภวิสฺสติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, เอตรหิ สาลิมํโสทโน อคฺคํ โภชนานํ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ทสวสฺสายุเกสุ มนุเสฺสสุ กุทฺรูสโก อคฺคํ โภชนานํ ภวิสฺสติฯ

    There will come a time, bhikkhus, when these people will have children who live for ten years. Among the people who live for ten years, girls will be marriageable at five. The following flavors will disappear: ghee, butter, oil, honey, molasses, and salt. The best kind of food will be finger millet, just as fine rice with meat is the best kind of food today.

    ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ ทส กุสลกมฺมปถา สพฺเพน สพฺพํ อนฺตรธายิสฺสนฺติ, ทส อกุสลกมฺมปถา อติพฺยาทิปฺปิสฺสนฺติฯ ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ กุสลนฺติปิ น ภวิสฺสติ, กุโต ปน กุสลสฺส การโกฯ ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ เย เต ภวิสฺสนฺติ อมตฺเตยฺยา อเปตฺเตยฺยา อสามญฺญา อพฺรหฺมญฺญา น กุเล เชฏฺฐาปจายิโน, เต ปุชฺชา จ ภวิสฺสนฺติ ปาสํสา จฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, เอตรหิ มตฺเตยฺยา เปตฺเตยฺยา สามญฺญา พฺรหฺมญฺญา กุเล เชฏฺฐาปจายิโน ปุชฺชา จ ปาสํสา จ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ทสวสฺสายุเกสุ มนุเสฺสสุ เย เต ภวิสฺสนฺติ อมตฺเตยฺยา อเปตฺเตยฺยา อสามญฺญา อพฺรหฺมญฺญา น กุเล เชฏฺฐาปจายิโน, เต ปุชฺชา จ ภวิสฺสนฺติ ปาสํสา จฯ

    The ten ways of doing skillful deeds will totally disappear, and the ten ways of doing unskillful deeds will explode in popularity. Those people will not even have the word ‘skillful’, still less anyone who does what is skillful. And anyone who disrespects mother and father, ascetics and brahmins, and fails to honor the elders in the family will be venerated and praised, just as the opposite is venerated and praised today.

    ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ น ภวิสฺสติ มาตาติ วา มาตุจฺฉาติ วา มาตุลานีติ วา อาจริยภริยาติ วา ครูนํ ทาราติ วาฯ สมฺเภทํ โลโก คมิสฺสติ ยถา อเชฬกา กุกฺกุฏสูกรา โสณสิงฺคาลาฯ

    There’ll be no recognition of the status of mother, aunts, or wives and partners of teachers and respected people. The world will become dissolute, like goats and sheep, chickens and pigs, and dogs and jackals.

    ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ เตสํ สตฺตานํ อญฺญมญฺญมฺหิ ติพฺโพ อาฆาโต ปจฺจุปฏฺฐิโต ภวิสฺสติ ติพฺโพ พฺยาปาโท ติพฺโพ มโนปโทโส ติพฺพํ วธกจิตฺตํฯ มาตุปิ ปุตฺตมฺหิ ปุตฺตสฺสปิ มาตริ; ปิตุปิ ปุตฺตมฺหิ ปุตฺตสฺสปิ ปิตริ; ภาตุปิ ภคินิยา ภคินิยาปิ ภาตริ ติพฺโพ อาฆาโต ปจฺจุปฏฺฐิโต ภวิสฺสติ ติพฺโพ พฺยาปาโท ติพฺโพ มโนปโทโส ติพฺพํ วธกจิตฺตํฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มาควิกสฺส มิคํ ทิสฺวา ติพฺโพ อาฆาโต ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ ติพฺโพ พฺยาปาโท ติพฺโพ มโนปโทโส ติพฺพํ วธกจิตฺตํ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ทสวสฺสายุเกสุ มนุเสฺสสุ เตสํ สตฺตานํ อญฺญมญฺญมฺหิ ติพฺโพ อาฆาโต ปจฺจุปฏฺฐิโต ภวิสฺสติ ติพฺโพ พฺยาปาโท ติพฺโพ มโนปโทโส ติพฺพํ วธกจิตฺตํฯ มาตุปิ ปุตฺตมฺหิ ปุตฺตสฺสปิ มาตริ; ปิตุปิ ปุตฺตมฺหิ ปุตฺตสฺสปิ ปิตริ; ภาตุปิ ภคินิยา ภคินิยาปิ ภาตริ ติพฺโพ อาฆาโต ปจฺจุปฏฺฐิโต ภวิสฺสติ ติพฺโพ พฺยาปาโท ติพฺโพ มโนปโทโส ติพฺพํ วธกจิตฺตํฯ

    They’ll be full of hostility towards each other, with acute ill will, malevolence, and thoughts of murder. Even a mother will feel like this for her child, and the child for its mother, father for child, child for father, brother for sister, and sister for brother. They’ll be just like a deer hunter when he sees a deer—full of hostility, ill will, malevolence, and thoughts of killing.

    ทสวสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ สตฺตาหํ สตฺถนฺตรกปฺโป ภวิสฺสติฯ เต อญฺญมญฺญมฺหิ มิคสญฺญํ ปฏิลภิสฺสนฺติฯ เตสํ ติณฺหานิ สตฺถานิ หตฺเถสุ ปาตุภวิสฺสนฺติฯ เต ติเณฺหน สตฺเถน ‘เอส มิโค เอส มิโค'ติ อญฺญมญฺญํ ชีวิตา โวโรเปสฺสนฺติฯ

    Among the people who live for ten years, there will be an interregnum of swords lasting seven days. During that time they will see each other as beasts. Sharp swords will appear in their hands, with which they’ll take each other’s life, crying, ‘It’s a beast! It’s a beast!’

    อถ โข เตสํ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ เอกจฺจานํ เอวํ ภวิสฺสติ: ‘มา จ มยํ กญฺจิ, มา จ อเมฺห โกจิ, ยนฺนูน มยํ ติณคหนํ วา วนคหนํ วา รุกฺขคหนํ วา นทีวิทุคฺคํ วา ปพฺพตวิสมํ วา ปวิสิตฺวา วนมูลผลาหารา ยาเปยฺยามา'ติฯ เต ติณคหนํ วา วนคหนํ วา รุกฺขคหนํ วา นทีวิทุคฺคํ วา ปพฺพตวิสมํ วา ปวิสิตฺวา สตฺตาหํ วนมูลผลาหารา ยาเปสฺสนฺติฯ

    But then some of those beings will think, ‘Let us neither kill nor be killed! Why don’t we hide in thick grass, thick jungle, thick trees, inaccessible riverlands, or rugged mountains and survive on forest roots and fruits?’ So that’s what they do.

    เต ตสฺส สตฺตาหสฺส อจฺจเยน ติณคหนา วนคหนา รุกฺขคหนา นทีวิทุคฺคา ปพฺพตวิสมา นิกฺขมิตฺวา อญฺญมญฺญํ อาลิงฺคิตฺวา สภาคายิสฺสนฺติ สมสฺสาสิสฺสนฺติ: ‘ทิฏฺฐา, โภ, สตฺตา ชีวสิ, ทิฏฺฐา, โภ, สตฺตา ชีวสี'ติฯ

    When those seven days have passed, having emerged from their hiding places and embraced each other, they will come together and cry in one voice, ‘Fantastic, dear foe, you live! Fantastic, dear foe, you live!’

    ๖ฯ อายุวณฺณาทิวฑฺฒนกถา

    6. The Period of Growth

    อถ โข เตสํ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ เอวํ ภวิสฺสติ: ‘มยํ โข อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวรูปํ อายตํ ญาติกฺขยํ ปตฺตาฯ ยนฺนูน มยํ กุสลํ กเรยฺยามฯ กึ กุสลํ กเรยฺยาม? ยนฺนูน มยํ ปาณาติปาตา วิรเมยฺยาม, อิทํ กุสลํ ธมฺมํ สมาทาย วตฺเตยฺยามา'ติฯ เต ปาณาติปาตา วิรมิสฺสนฺติ, อิทํ กุสลํ ธมฺมํ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ เต กุสลานํ ธมฺมานํ สมาทานเหตุ อายุนาปิ วฑฺฒิสฺสนฺติ, วณฺเณนปิ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ เตสํ อายุนาปิ วฑฺฒมานานํ วณฺเณนปิ วฑฺฒมานานํ ทสวสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ วีสติวสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติฯ

    Then those beings will think, ‘It’s because we undertook unskillful things that we suffered such an extensive loss of our relatives. We’d better do what’s skillful. What skillful thing should we do? Why don’t we refrain from killing living creatures? Having undertaken this skillful thing we’ll live by it.’ So that’s what they do. Because of undertaking this skillful thing, their lifespan and beauty will grow. Those people who live for ten years will have children who live for twenty years.

    อถ โข เตสํ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ เอวํ ภวิสฺสติ: ‘มยํ โข กุสลานํ ธมฺมานํ สมาทานเหตุ อายุนาปิ วฑฺฒาม, วณฺเณนปิ วฑฺฒามฯ ยนฺนูน มยํ ภิโยฺยโส มตฺตาย กุสลํ กเรยฺยามฯ กึ กุสลํ กเรยฺยาม? ยนฺนูน มยํ อทินฺนาทานา วิรเมยฺยาม … กาเมสุมิจฺฉาจารา วิรเมยฺยาม … มุสาวาทา วิรเมยฺยาม … ปิสุณาย วาจาย วิรเมยฺยาม … ผรุสาย วาจาย วิรเมยฺยาม … สมฺผปฺปลาปา วิรเมยฺยาม … อภิชฺฌํ ปชเหยฺยาม … พฺยาปาทํ ปชเหยฺยาม … มิจฺฉาทิฏฺฐึ ปชเหยฺยาม … ตโย ธมฺเม ปชเหยฺยาม—อธมฺมราคํ วิสมโลภํ มิจฺฉาธมฺมํ … ยนฺนูน มยํ มตฺเตยฺยา อสฺสาม เปตฺเตยฺยา สามญฺญา พฺรหฺมญฺญา กุเล เชฏฺฐาปจายิโน, อิทํ กุสลํ ธมฺมํ สมาทาย วตฺเตยฺยามา'ติฯ เต มตฺเตยฺยา ภวิสฺสนฺติ เปตฺเตยฺยา สามญฺญา พฺรหฺมญฺญา กุเล เชฏฺฐาปจายิโน, อิทํ กุสลํ ธมฺมํ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ

    Then those beings will think, ‘Because of undertaking this skillful thing, our lifespan and beauty are growing. Why don’t we do even more skillful things? What skillful thing should we do? Why don’t we refrain from stealing … sexual misconduct … lying … backbiting … harsh speech … and talking nonsense. Why don’t we give up covetousness … ill will … wrong view … three things: illicit desire, immoral greed, and wrong custom. Why don’t we pay due respect to mother and father, ascetics and brahmins, honoring the elders in our families? Having undertaken this skillful thing we’ll live by it.’ So that’s what they do.

    เต กุสลานํ ธมฺมานํ สมาทานเหตุ อายุนาปิ วฑฺฒิสฺสนฺติ, วณฺเณนปิ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ เตสํ อายุนาปิ วฑฺฒมานานํ วณฺเณนปิ วฑฺฒมานานํ วีสติวสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ จตฺตารีสวสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … จตฺตารีสวสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ อสีติวสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … อสีติวสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ สฏฺฐิวสฺสสตายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … สฏฺฐิวสฺสสตายุกานํ มนุสฺสานํ วีสติติวสฺสสตายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … วีสติติวสฺสสตายุกานํ มนุสฺสานํ จตฺตารีสฉพฺพสฺสสตายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติฯ จตฺตารีสฉพฺพสฺสสตายุกานํ มนุสฺสานํ เทฺววสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … เทฺววสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ จตฺตาริวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … จตฺตาริวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ อฏฺฐวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … อฏฺฐวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ วีสติวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … วีสติวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ จตฺตารีสวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … จตฺตารีสวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ อสีติวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ … อสีติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ ปญฺจวสฺสสติกา กุมาริกา อลํปเตยฺยา ภวิสฺสนฺติฯ

    Because of undertaking this skillful thing, their lifespan and beauty will grow. Those people who live for twenty years will have children who live for forty years. Those people who live for forty years will have children who live for eighty years, then a hundred and sixty years, three hundred and twenty years, six hundred and forty years, 2,000 years, 4,000 years, 8,000 years, 20,000 years, 40,000 years, and finally 80,000 years. Among the people who live for 80,000 years, girls will be marriageable at five hundred.

    ๗ฯ สงฺขราเชาปฺปตฺติ

    7. The Time of King Saṅkha

    อสีติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ ตโย อาพาธา ภวิสฺสนฺติ, อิจฺฉา, อนสนํ, ชราฯ อสีติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อยํ ชมฺพุทีโป อิทฺโธ เจว ภวิสฺสติ ผีโต จ, กุกฺกุฏสมฺปาติกา คามนิคมราชธานิโยฯ อสีติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อยํ ชมฺพุทีโป อวีจิ มญฺเญ ผุโฏ ภวิสฺสติ มนุเสฺสหิ, เสยฺยถาปิ นฬวนํ วา สรวนํ วาฯ อสีติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อยํ พาราณสี เกตุมตี นาม ราชธานี ภวิสฺสติ อิทฺธา เจว ผีตา จ พหุชนา จ อากิณฺณมนุสฺสา จ สุภิกฺขา จฯ อสีติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ อิมสฺมึ ชมฺพุทีเป จตุราสีตินครสหสฺสานิ ภวิสฺสนฺติ เกตุมตีราชธานีปมุขานิฯ

    Among the people who live for 80,000 years, there will be just three afflictions: greed, starvation, and old age. India will be successful and prosperous. The villages, towns, and capital cities will be no more than a chicken’s flight apart. And the land will be as crowded as hell with people, like a thicket of rushes or reeds. The royal capital will be Varanasi, renamed Ketumatī. And it will be successful, prosperous, populous, full of people, with plenty of food. There will be 84,000 cities in India, with the royal capital of Ketumatī foremost.

    อสีติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ เกตุมติยา ราชธานิยา สงฺโข นาม ราชา อุปฺปชฺชิสฺสติ จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต สตฺตรตนสมนฺนาคโตฯ ตสฺสิมานิ สตฺต รตนานิ ภวิสฺสนฺติ, เสยฺยถิทํ—จกฺกรตนํ หตฺถิรตนํ อสฺสรตนํ มณิรตนํ อิตฺถิรตนํ คหปติรตนํ ปริณายกรตนเมว สตฺตมํฯ ปโรสหสฺสํ โข ปนสฺส ปุตฺตา ภวิสฺสนฺติ สูรา วีรงฺครูปา ปรเสนปฺปมทฺทนาฯ โส อิมํ ปถวึ สาครปริยนฺตํ อทณฺเฑน อสตฺเถน ธมฺเมน อภิวิชิย อชฺฌาวสิสฺสติฯ

    And in the royal capital of Ketumatī a king named Saṅkha will arise, a wheel-turning monarch, a just and principled king. His dominion will extend to all four sides, he will achieve stability in the country, and possess the seven treasures. He will have the following seven treasures: the wheel, the elephant, the horse, the jewel, the woman, the treasurer, and the counselor as the seventh treasure. He will have over a thousand sons who are valiant and heroic, crushing the armies of his enemies. After conquering this land girt by sea, he will reign by principle, without rod or sword.

    ๘ฯ เมตฺเตยฺยพุทฺธุปฺปาท

    8. The Arising of the Buddha Metteyya

    อสีติวสฺสสหสฺสายุเกสุ, ภิกฺขเว, มนุเสฺสสุ เมตฺเตโยฺย นาม ภควา โลเก อุปฺปชฺชิสฺสติ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาฯ เสยฺยถาปาหเมตรหิ โลเก อุปฺปนฺโน อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทสฺสติ, เสยฺยถาปาหเมตรหิ อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทมิฯ โส ธมฺมํ เทเสสฺสติ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสสฺสติ; เสยฺยถาปาหเมตรหิ ธมฺมํ เทเสมิ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสมิฯ โส อเนกสหสฺสํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริหริสฺสติ, เสยฺยถาปาหเมตรหิ อเนกสตํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริหรามิฯ

    And the Blessed One named Metteyya will arise in the world—perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed—just as I have arisen today. He will realize with his own insight this world—with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—and make it known to others, just as I do today. He will teach the Dhamma that’s good in the beginning, good in the middle, and good in the end, meaningful and well-phrased. And he will reveal a spiritual practice that’s entirely full and pure, just as I do today. He will lead a Saṅgha of many thousand bhikkhus, just as I lead a Saṅgha of many hundreds today.

    อถ โข, ภิกฺขเว, สงฺโข นาม ราชา โย โส ยูโป รญฺญา มหาปนาเทน การาปิโตฯ ตํ ยูปํ อุสฺสาเปตฺวา อชฺฌาวสิตฺวา ตํ ทตฺวา วิสฺสชฺชิตฺวา สมณพฺราหฺมณกปณทฺธิกวณิพฺพกยาจกานํ ทานํ ทตฺวา เมตฺเตยฺยสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสติฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน เอโก วูปกฏฺโฐ อปฺปมตฺโต อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติฯ

    Then King Saṅkha will have the sacrificial post once built by King Mahāpanāda raised up. Having reigned, he will abdicate, offering charity to ascetics and brahmins, paupers, vagrants, nomads, and beggars. Then, having shaved off his hair and beard and dressed in ocher robes, he will go forth from the lay life to homelessness in the Buddha Metteyya’s presence. Soon after going forth, living withdrawn, diligent, keen, and resolute, he will realize the supreme end of the spiritual path in this very life. He will live having achieved with his own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.

    อตฺตทีปา, ภิกฺขเว, วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา, ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณาฯ กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อตฺตทีโป วิหรติ อตฺตสรโณ อนญฺญสรโณ ธมฺมทีโป ธมฺมสรโณ อนญฺญสรโณ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี …เป… จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี …เป… ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อตฺตทีโป วิหรติ อตฺตสรโณ อนญฺญสรโณ ธมฺมทีโป ธมฺมสรโณ อนญฺญสรโณฯ

    Bhikkhus, live as your own island, your own refuge, with no other refuge. Let the teaching be your island and your refuge, with no other refuge. And how does a bhikkhu do this? It’s when a bhikkhu meditates by observing an aspect of the body—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. They meditate observing an aspect of feelings … mind … principles—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. That’s how a bhikkhu lives as their own island, their own refuge, with no other refuge. That’s how they let the teaching be their island and their refuge, with no other refuge.

    ๙ฯ ภิกฺขุโนอายุวณฺณาทิวฑฺฒนกถา

    9. On Long Life and Beauty for Bhikkhus

    โคจเร, ภิกฺขเว, จรถ สเก เปตฺติเก วิสเยฯ โคจเร, ภิกฺขเว, จรนฺตา สเก เปตฺติเก วิสเย อายุนาปิ วฑฺฒิสฺสถ, วณฺเณนปิ วฑฺฒิสฺสถ, สุเขนปิ วฑฺฒิสฺสถ, โภเคนปิ วฑฺฒิสฺสถ, พเลนปิ วฑฺฒิสฺสถฯ

    Bhikkhus, you should roam inside your own territory, the domain of your fathers. Doing so, you will grow in life span, beauty, happiness, wealth, and power.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อายุสฺมึ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, วีริยสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, จิตฺตสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, วีมํสาสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติฯ โส อิเมสํ จตุนฺนํ อิทฺธิปาทานํ ภาวิตตฺตา พหุลีกตตฺตา อากงฺขมาโน กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วาฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อายุสฺมึฯ

    And what is long life for a bhikkhu? It’s when a bhikkhu develops the basis of psychic power that has immersion due to enthusiasm, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to energy, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to mental development, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to inquiry, and active effort. Having developed and cultivated these four bases of psychic power they may, if they wish, live for the proper lifespan or what’s left of it. This is long life for a bhikkhu.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน วณฺณสฺมึ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สีลวา โหติ, ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ อาจารโคจรสมฺปนฺโน, อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี, สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน วณฺณสฺมึฯ

    And what is beauty for a bhikkhu? It’s when a bhikkhu is ethical, restrained in the monastic code, conducting themselves well and seeking alms in suitable places. Seeing danger in the slightest fault, they keep the rules they’ve undertaken. This is beauty for a bhikkhu.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน สุขสฺมึ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา …เป… ทุติยํ ฌานํ … ตติยํ ฌานํ … จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน, สุขสฺมึฯ

    And what is happiness for a bhikkhu? It’s when a bhikkhu, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, enters and remains in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. As the placing of the mind and keeping it connected are stilled, they enter and remain in the second jhāna … third jhāna … fourth jhāna. This is happiness for a bhikkhu.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน โภคสฺมึ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ ตถา ทุติยํฯ ตถา ตติยํฯ ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปชฺเชน ผริตฺวา วิหรติฯ กรุณาสหคเตน เจตสา …เป… มุทิตาสหคเตน เจตสา …เป… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติฯ ตถา ทุติยํฯ ตถา ตติยํฯ ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปชฺเชน ผริตฺวา วิหรติฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน โภคสฺมึฯ

    And what is wealth for a bhikkhu? It’s when a monk meditates spreading a heart full of love to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of love to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. They meditate spreading a heart full of compassion … rejoicing … equanimity to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of equanimity to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. This is wealth for a bhikkhu.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน พลสฺมึ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน พลสฺมึฯ

    And what is power for a bhikkhu? It’s when a bhikkhu realizes the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life. And they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements. This is power for a bhikkhu.

    นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกพลมฺปิ สมนุปสฺสามิ ยํ เอวํ ทุปฺปสหํ, ยถยิทํ, ภิกฺขเว, มารพลํฯ กุสลานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒตี”ติฯ

    Bhikkhus, I do not see a single power so hard to defeat as the power of Māra. It is due to undertaking skillful qualities that merit grows.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.

    จกฺกวตฺติสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ตติยํฯ





    The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact